AI translation กับตัวช่วยในการเพิ่มยอดขายให้กับ eBay

เรามักจะได้ยินว่าปัญญาประดิษฐ์มีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ  ซึ่งจากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้จากนักเศรษฐศาสตร์ที่ MIT และมหาวิทยาลัยวอชิงตันในเซนต์หลุยส์มีหลักฐานบางอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเครื่องมือ AI ช่วยกระตุ้นการขาย โดยมาช่วยในเรื่องของกำแพงระหว่างภาษาได้อย่างไร

เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลที่คัดลอกมาจาก eBay นักวิจัยได้เปรียบเทียบยอดขายระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแถบละตินอเมริกาที่พูดภาษาสเปน โดยมีการเปรียบเทียบก่อนและหลัง ที่ eBay ได้เปิดตัว AI-powered translation สำหรับรายการสินค้าในปี 2014 (โดยเฉพาะเครื่องมือแปลภาษา และส่วนคำค้นหา )

ก่อนหน้านี้ eBay เสนอการแปลแบบอัตโนมัติ แต่การใช้ AI ช่วยปรับปรุงความแม่นยำของบริการอย่างมาก ซึ่งลูกค้าคาดหวังว่าการแปลที่ดีกว่าจะนำไปสู่การเพิ่มยอดขาย และนั่นคือสิ่งที่นักวิจัยค้นพบ ซึ่งจากข้อมูลของพวกเขาแสดงให้เห็นว่ายอดขายจากสหรัฐอเมริกาไปยังประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ เพิ่มขึ้นถึง 10.9% หลังจากเปิดตัวเครื่องมือ AI-powered translation

นักวิจัยยอมรับว่าตัวแปรอื่น ๆ ก็อาจทำให้เกิดยอดขายที่เพิ่มขึ้นนี้  ตัวอย่างเช่นพวกเขาเปรียบเทียบตัวเลขการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกัน  และทำการควบคุมปัจจัยต่างๆ เช่นค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้น รวมถึงปัจจัยในเรื่องความยาวของชื่อหนังสือที่วางจำหน่าย

นักวิจัยยังเปรียบเทียบข้อมูลนี้กับเครื่องมือแปล AI ของ eBay สำหรับภาษารัสเซีย อิตาลีและฝรั่งเศส พวกเขาพบยอดขายที่เพิ่มขึ้นคล้ายกัน และคาดการณ์ว่า การเพิ่ม Features แปล AI  จะส่งผลโดยตรงต่อยอดขายที่เกิดขึ้นนั่นเอง

“ การเปรียบเทียบเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าเรื่องของการกีดกันทางการค้า  อุปสรรคทางภาษานั้นมีความสำคัญเป็นอันดับแรกจริง ๆ ” นักวิจัยกล่าว “ การแปลด้วยเครื่องมือที่ปรับปรุงแล้ว ทำให้การสื่อสารใน eBay มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

ในบล็อกโพสต์จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ในเซนต์หลุยส์ นักวิจัยกล่าวว่างานของพวกเขาสามารถใช้เป็นมุมมองเชิงลบเกี่ยวกับอัตราการผลิตที่ซบเซาทั่วโลกได้เป็นอย่างดี 

Erik Brynjolfsson จาก MIT ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านการผลิตและยังได้ร่วมเขียนบทความล่าสุดนี้ได้แนะนำว่าสิ่งนี้อาจเกิดจากการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างช้าๆ นั่นเอง

“ปัญหา คือ ปกติต้องใช้เวลาสำหรับองค์กรสำหรับนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อการปรับตัวที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มที่ ” เซียง ฮุ่ย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน กล่าวว่า จากผลงานวิจัยดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นว่าเมื่อเทคโนโลยีอย่าง AI ถูกนำมาใช้งานจริง ๆ นั้น ในที่สุดมันก็มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตัวเลขยอดขายอย่างที่เราเห็นนั่นเอง

References : 
https://www.theverge.com/2019/5/15/18624459/ai-translation-boosted-ebay-sales-more-than-10-percent

Smartphone War ตอนที่ 4 : Turning point

หลังจากความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงกับ ROKR ที่ทาง Apple ได้ร่วมมือกับ Motorola เพื่อหวังจะเป็นบันไดสำคัญในการก้าวเข้าสู่ธุรกิจมือถือของ Apple ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้ จ๊อบส์ นั้นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แทบจะไม่อยากเอ่ยถึงในเรื่องดังกล่าวเลยเสียด้วยซ้ำ

แต่การทดลองครั้งนี้ของ จ๊อบส์ และ Apple มันก็ไม่ได้เสียเปล่าไปเลยเสียทีเดียว เพราะมันทำให้ปลุกไฟของ จ๊อบส์ ให้มีความอยากที่จะสร้างมือถือที่จะปฏิวัติวงการไปแบบสิ้นเชิง มันได้ปลุกไฟของจ๊อบส์ ให้กลับมาลุกโชติช่วงอีกครั้งหลังจากได้ปฏิวัติวงการเพลงสำเร็จไปแล้วด้วย iPod

และแน่นอนว่า จ๊อบส์ ต้องการจับมือกับ Cingular เครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง แต่เขารับประกันว่าครั้งนี้จะไม่เลวร้ายเหมือนที่ได้ร่วมผลิต ROKR กับ Motorola อย่างแน่นอน

ซึ่งในขณะนั้น มือถือ ไม่ได้เป็นเป้าหมายแรกของจ๊อบส์ ที่จะปล่อยออกสู่ตลาด แต่มันคือ Tablet ที่ทีมงานของพวกเขากำลังสร้างอยู่ต่างหาก โดยตอนนั้น Apple กำลังพัฒนา Tablet แบบจอสัมผัส จ๊อบส์ จึงสั่งการให้ลูกทีมเปลี่ยนทิศทางของผลิตภัณฑ์มาที่มือถือทันที

แต่การสร้างมือถือตั้งแต่ศูนย์ นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับบริษัทที่สร้างคอมพิวเตอร์อย่าง Apple แม้กระทั่ง Palm เองก็ต้องดิ้นรนอย่างหนักกว่าจะประสบความสำเร็จในตลาด smartphone แต่มันก็กลายเป็นความสำเร็จเพียงชั่วครู่เท่านั้นสำหรับ Palm เพราะคู่แข่งรายใหญ่ที่น่ากลัวที่สุดมันกำลังจะเกิดขึ้น

อีกบริษัทหนึ่งที่กำลังสร้างผลงานในตลาดมือถือ ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ บริษัท รีเสิร์ช อิน โมชั่น (Research in Motion หรือ RIM) เป็นบริษัทจากแคนาดา ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอุปกรณ์ไร้สายที่มีจุดเด่นในการ “ส่งอีเมล” ถึงมือถือผู้ใช้ ทุกที่ ทุกเวลา โดยรู้จักกันในชื่อว่า “แบล็กเบอร์รี่ (Blackberry)”

ระยะแรกเมื่อปี 2001 “แบล็กเบอร์รี่” เป็นเพียงเพจเจอร์ (Pager) ขนาดเล็ก ที่ผู้ใช้แต่ละคนสามารถพิมพ์ข้อความรับ-ส่งหากันได้เอง โดยมีหน้าจอขาวดำ และ แผงปุ่มกดเหมือนแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์

และ Blackberry นี่เองที่ได้กลายเป็น smartphone ที่มีประโยชน์อย่างแท้จริงเครื่องแรก ๆ ของโลก เพราะมีทั้ง email รวมถึงสามารถเชื่อมต่อได้อย่างง่ายได้เมื่อเดินทางไปไหนมาไหน และจุดเด่นที่คนหลงรักก็คือ แป้นพิมพ์ QWERTY 

และรูปแบบการเข้ารหัสของข้อความที่ส่งผ่านกันในเครือข่าย Blackberry นั้น ทำให้เหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะด้านการเงิน นั้นมั่นใจที่จะใช้งาน เพราะข้อมูลที่มีมูลค่ามหาศาลของเหล่านักการเงินในบริษัทนั้นจะไม่ถูกขโมยออกไปอย่างแน่นอน

Blackberry ที่เน้นด้านความปลอดภัยของข้อมูล
Blackberry ที่เน้นด้านความปลอดภัยของข้อมูล

และทุกส่วนต่าง  ๆ ดังที่กล่าวนี้เองที่ทำให้ในปี 2006 RIM สามารถสร้างรายได้มากกว่า 835 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่ารายรับของ Palm ถึง 2 เท่า และมีกำไรสูงถึง 176 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่ากำไรของ Palm กว่า 10 เท่า สามารถจำหน่ายเครื่อง Blackberry ออกไปได้กว่า 1.8 ล้านเครื่องเลยทีเดียว

ส่วนฟากฝั่ง Microsoft นั้น ก็ดูเหมือนจะเป็นยักษ์ใหญ่ที่ตายใจ ตอนนั้น Microsoft ได้เข้ามาสู่ธุรกิจมือถือมาหลายปีแล้ว และ หลังจากการร่วมกับ Palm ก็หวังจะช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น 

ซึ่ง Microsoft นั้นใช้ Model เดียวกับธุรกิจระบบปฏิบัติการ Windows บน PC ก็คือ การขายสิทธิการใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows Mobile นั่นเอง โดยไม่ได้ลงไปเล่นในตลาด Hardware เหมือนเจ้าอื่น ๆ ที่ทำกัน โดยเน้นทำส่วนที่ตัวเองถนัดอย่าง Software มากกว่า

โดยในปี 2006 นั้น Microsoft สามารถขายสิทธิ์การใช้งาน Windows Mobile ไปยังผู้ผลิตมือถือ Brand ต่าง ๆ ได้ถึง 5.9 ล้านชุด  และหลังจากนั้นอีก 1 ปีให้หลัง สามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นได้เป็นสองเท่า โดยสามารถขายได้ 11 ล้านชุด และมันเป็นช่วงขาขึ้นอย่างชัดเจนสำหรับ Microsoft ในตลาดมือถือโลก

และในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง ถ้าพูดถึงระบบปฏิบัติการที่ใช้งานง่ายที่สุด ก็คงเป็น Windows Mobile ของ Microsoft เพราะมีการออกแบบมาตั้งแต่ต้นให้มาจัดการรูปแบบ email ของ Microsoft รวมถึงการท่องเว๊บ การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต และแน่นอนว่า Microsoft ต้องการเข้ามาผูกขาดตลาดมือถือให้ได้อีกครั้งหลังจากทำสำเร็จมาแล้วกับ Windows บน PC นั่นเอง

อนาคตของ Windows Mobile ที่ค่อนข้างสดใสมาก ๆ
อนาคตของ Windows Mobile ที่ค่อนข้างสดใสมาก ๆ

ส่วนฟากฝั่งของ Google หลังจากได้ Android ของ Rubin ตอนนี้ Google ก็พร้อมแล้วเช่นเดียวกันสำหรับการกระโจนเข้าสู่ตลาดโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะกลายเป็นอนาคตของอินเตอร์เน็ต Google ก็หวังจะกลายเป็นโปรแกรมการค้นหาอันดับ 1 บนมือถือให้ได้เหมือนกับที่เขาทำได้ผ่านเว๊บไซต์บน PC

จากตอนนี้ เราจะเห็นได้ว่า ช่วงปี 2006-2007 ถือเป็นรอยต่อครั้งสำคัญของการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจมือถือโลก ผู้ที่ดูเหมือนได้เปรียบที่สุด ที่จะกลายเป็นเจ้าตลาดมือถือ ควรจะเป็น Microsoft เพราะตอนนั้น พร้อมทุกอย่าง ทั้งระบบปฏิบัติการ บริการ email ที่อยู่เบื้องหลัง รวมถึงได้จับมือกับ Palm เพื่อช่วยเหลือด้าน Hardware อีกด้วย

รวมถึงเหล่าพัฒนาในขณะนั้น ก็เริ่มเทใจมาที่ Microsoft เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าทุกอย่างพร้อมไปเสียหมดสำหรับ Microsoft อีกเพียงนิดเดียวก็จะถึงเส้นชัยในการกินรวบตลาดแบบที่พวกเขาทำได้บน PC เสียแล้ว

แล้วจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ธุรกิจมือถือ ในปี 2007 ซึ่งเรียกได้ว่ามันเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์ ก่อนยุค 2007 ไปอย่างสิ้นเชิง อุปกรณ์ที่เป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่โลกเราก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ที่เปลี่ยนบริษัท Apple ที่แทบจะไม่ติดอันดับในบริษัทยักษ์ใหญ่ Fortune 500 เสียด้วยซ้ำ ในขณะนั้น ให้ก้าวมาสู่บริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกอย่างที่เราเห็นได้อย่างไร โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 5 : That’s iPhone

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Phone & Microsoft *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Startup จีนสร้าง AI ตามหาสุนัขที่หายไปด้วยภาพของจมูก

Megvii เป็น Startup ด้าน AI ของจีนที่สร้างซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าสำหรับโปรแกรมการเฝ้าระวังของรัฐบาลจีน กำลังขยายเทคโนโลยีให้มากกว่าที่จะใช้ในมนุษย์เพียงเดียว โดยมีการสร้างระบบเพื่อจดจำใบหน้าสัตว์เลี้ยงที่แตกต่างกัน 

ตามรายงานของ Abacus News โปรแกรมใหม่ของ Megvii ได้รับการฝึกฝนให้รู้จักสุนัขด้วยการรูปแบบของจมูก ซึ่งเป็นการเลียนแบบการระบุตัวตน เหมือนกับที่มนุษย์ใช้ลายนิ้วมือในการระบุตัวตนแต่ละบุคคลได้นั่นเอง

การใช้แอพ Megvii นั้น ทางบริษัท บอกว่าสามารถลงทะเบียนสุนัขของคุณได้ง่ายๆเพียงสแกนจมูกด้วยกล้องในโทรศัพท์ของคุณ เช่นเดียว กับที่โทรศัพท์ลงได้สร้างระบบจดจำลายนิ้วมือของคุณเพื่อปลดล็อคนั่นเอง ซึ่งแอพจะขอให้คุณถ่ายรูปจมูกสุนัขของคุณจากหลายมุม

โดยทาง Megvii กล่าวว่ามันมีอัตราความแม่นยำในการระบุตัวสุนัขได้สูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์และตอนนี้ได้รวมตัวฐานข้อมูลสัตว์เลี้ยงจำนวนกว่า 15,000 ตัว ผ่านแอพดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

การจดจำใบหน้าสำหรับสัตว์เลี้ยงเริ่มแพร่หลายมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิดที่ได้รับการใช้งานโดยนักวิจัยเพื่อการอนุรักษ์สัตว์ป่า ในสหรัฐอเมริกา แอปที่ชื่อว่า Finding Rover ก็ได้ใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเพื่อค้นหาแมวและสุนัขที่ถูกรายงานว่าหายไปเช่นเดียวกัน

แต่ในประเทศจีน Megvii กล่าวว่าแอปนี้จะใช้งานได้มากกว่าแค่ใช้ในการค้นหาสัตว์เลี้ยงที่หายไป ด้วยความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับรัฐบาล ทางบริษัทได้กล่าวว่าแอพนี้สามารถใช้ในการตรวจสอบ “การดูแลสุนัขที่ไม่ดี” สำหรับเหล่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ ไม่มีจิตสำนึกในสาธารณะ ซึ่งอาจจะเป็นการปล่อยให้สัตว์เลี้ยงไปถ่ายเรี่ยราดตามที่สาธารณะได้นั่นเอง

References : 
https://www.theverge.com