Movie Review : ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบหนังของคุณ เต๋อ นวพล จาก “ฟรีแลนซ์…ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” ซึ่งต้องบอกว่าเป็นหนังใหญ่ที่ทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ให้คล้ายหนัง indy ซึ่งน่าจะพอเข้าใจได้เพราะคุณ เต๋อ เป็นผู้กำกับหนังรางวัล มือดีคนหนึ่งของวงการ ที่ได้มาทำหนังให้ค่าย GDH

กับผลงานใหม่อย่าง ฮาวทูทิ้ง ที่ได้พระเอกหน้าเดิมอย่าง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ มารับบทนำอีกครั้ง ซึ่งต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในพระเอกมากฝีมือที่ผมชอบที่สุดคนหนึ่งในวงการหนังไทย เพราะพี่แกเล่นได้ทุกแนวจริง ๆ

สำหรับเรื่องนี้ ว่าด้วยเรื่องราวของตัวละครหลักอย่าง จีน (ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง) ต้องการจะเคลียร์บ้านเพื่อรีโนเวท มหกรรมการโละของออกจากบ้านจึงเกิดขึ้น อะไรที่ไม่ใช้แล้ว อะไรที่ทิ้งไว้ก็รก เธอตัดสินใจจะทิ้งให้หมดเลย

แต่เมื่อเธอได้เจอกับของบางอย่างที่เป็นของเอ็ม แฟนเก่าของเธอ (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) จีนเริ่มพบว่าการทิ้งครั้งนี้ไม่ง่าย เพราะของบางอย่างแม้จะไม่มีประโยชน์แล้ว แต่มันยังมีเรื่องราวให้นึกถึง มีอดีตที่ยังค้างคา มีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถแค่ทิ้งลงถุงดำแล้วหายไป จีนจึงต้องตัดสินใจว่าจะทําอย่างไรกับสิ่งของของเอ็ม ซึ่งมันมีทางเลือกไม่มากนัก ว่าจะทิ้งไป เก็บไว้ หรือเดินไปคืน ถึงจะเป็นการทิ้งที่สมบูรณ์ที่สุด

ต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้มันไม่ได้แค่เป็นเรื่องราวของ จีน และ เอ็ม (แฟนเก่า) เหมือนในตัวอย่างเท่านั้น แต่มันเป็นการรวมความสัมพันธ์หลาย ๆ อย่างมาถ่ายทอดผ่านหนังเรื่องนี้ได้อย่างลงตัว ทั้งความสัมพันธ์ ระหว่างเพื่อน ความสัมพันธ์ของครอบครัว ซึ่งมีจุดศูนย์กลางของเรื่องคือคำว่า ฮาวทูทิ้ง นั่นเอง

และถ้าเทียบกับ ฟรีแลนซ์นั้น ต้องบอกว่า เรื่องนี้น่าจะเข้าสู่ความต้องการของ คุณ เต๋อ ได้มากกว่า เพราะเป็นหนังที่ดูไปในทาง indy มากกว่า ซึ่ง ฟรีแลนซ์ ยังมีการใส่มุกตลกเข้ามาบ้าง ตามประสา GDH แต่เรื่องนี้กลับดำเนินเรื่องแบบค่อนข้างเครียดเลยทีเดียว

ถ้าใครเป็นแฟน GDH มาดูหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ชอบก็ได้ เพราะเป็นการฉีกแนวออกมาชัดเจนมาก ๆ คือ ทำมาเพื่อเป็นหนังรางวัลมากกว่าหนังทำเงิน เหมือนสไตล์หนัง GDH ทั่วๆ ไปที่เราเห็นก่อนหน้านี้

แต่ต้องบอกว่า โดยส่วนตัวหนังทำออกมาได้ดีในระดับนึง โดยเฉพาะการแสดงของตัวหลักทั้ง ออกแบบ และ ซันนี่ นั้น ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สีหน้า ท่าทาง การเข้าคู่กัน ต้องบอกว่าเป็นบทที่เครียดแต่ทั้งสองก็ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ และหลาย ๆ อย่างมันทำให้ดู เรียลมาก ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เสื้อผ้า หน้า ผม ที่ดูดิบ ๆ มาก ตลอดทั้งเรื่อง

แต่ก็นั่นแหละ เพราะความดูเรียล เกินไปหรือเปล่า มองอีกมุม มันก็ทำให้ดูล้นเกินไป คือ บางครั้งมันก็นิ่งจนเกินเหตุ มันไม่สมจริง และมันดูหดหู่เกินไป โดยเฉพาะท่าทางการแสดงของเหล่านักแสดง ผมก็ว่ามันล้นไปหน่อยในความนิ่งเกินเหตุของเหล่านักแสดงทั้งหลาย ดูเหมือนคนเบื่อโลกมารวมกันเสียมากกว่า

และที่สำคัญ ก็คือ หนังเรื่องนี้ ก็ไม่ได้มีบทสรุปอะไรที่ชัดเจนออกมา มันเป็นการตัดอารมณ์เกินไป ว่าจบแล้วหรือเนี่ย ซึ่ง แน่นอนว่าปรกติงานของ GDH บทเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ แต่เรื่องนี้ต้องบอกว่า บทอ่อนมาก ๆ เนื้อเรื่องแทบจะไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ และตัดจบได้แบบ …(ไปดูกันเองนะครับ) โดยรวมยังดูขัดใจว่าสรุปจะทำให้ indy หรือ ให้ mass กันแน่ มันเลยดูครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทุกอย่างจนถึงตอนจบนั่นเองครับ อยากรู้ว่าเป็นยังไงก็ต้องลองพิสูจน์กันดูนะครับผม อาจจะชอบกันก็ได้ครับ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage :facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit :blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter :twitter.com/tharadhol
Instragram :instragram.com/tharadhol

งานวิจัยใหม่ของ MIT ที่ทำให้สามารถมองเห็นอวัยวะภายในของคุณได้จากระยะไกล

นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาระบบเลเซอร์แบบใหม่ที่สามารถตรวจสอบภายในร่างกายมนุษย์ได้เช่นเดียวกับเครื่องมือทางการแพทย์อย่างอัลตร้าซาวด์ แต่มันสามารถทำได้จากระยะไกล

ระบบสามารถสร้างภาพขึ้นมาได้อย่างถูกต้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของคน โดยสามารถฉายภาพในระดับความลึกประมาณหกเซนติเมตรตามที่แถลงข่าวจาก MIT แม้ว่าอาจจะดูเหมือนไม่มากนัก แต่ก็ถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาที่พบในการสแกนอัลตร้าซาวด์เนื่องจากบางครั้งนั้น การใช้อัลตร้าซาวด์แบบเดิม ๆ นั้นอาจจะทำให้เกิดความแปรปรวนในการอ่านผลของแพทย์ได้

ซึ่งระบบที่ได้อธิบายในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Light: Science & Applications เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาโดยจะมีการใช้เลเซอร์สองเครื่อง: อันแรกคือการสร้างคลื่นเสียงที่กระทบไปมาภายในร่างกายของผู้ป่วย

แม้ในเรื่องของความถูกต้องของข้อมูลที่ได้นั้นถือว่ายังไม่ใกล้เคียงกับเครื่องอัลตราซาวนด์ของจริง ตามรายงานของ Gizmodo แต่ต้องบอกว่า ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่ว่าระบบเลเซอร์ดังกล่าวสามารถมองเข้าไปในร่างกายของผู้ป่วยได้จากระยะไกลโดยไม่ต้องทำการฉายเลเซอร์เข้าไปที่ผิวหนังหรือดวงตาของพวกเขา ซึ่งเป็นขั้นตอนทางการแพทย์ที่สำคัญในอนาคตที่จะไม่กระทบต่อผู้ป่วยได้นั่นเอง

“ เราอยู่ที่จุดเริ่มต้นของสิ่งที่เราสามารถทำได้ด้วยเครื่องอัลตราซาวด์แบบเลเซอร์” วิศวกรของ MIT Anthony Brian กล่าวในการแถลงข่าว “ ลองจินตนาการว่าเราไปถึงจุดที่เราสามารถทำทุกอย่างด้วยอัลตร้าซาวด์ได้แล้ว แต่สำหรับการมองข้อมูลเหล่านี้จากระยะไกล นี่ถือเป็นวิธีใหม่ในการมองอวัยวะภายในร่างกายและกำหนดคุณสมบัติของเนื้อเยื่อภายในได้โดยแทบจะไม่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยนั่นเอง”

ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้เขียน

ถือเป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจมาก ๆ กับความก้าวหน้าครั้งใหม่ของการ สแกนร่างกายของผู้ป่วย แม้จะดูเหมือนจะอยู่ในเฟสการวิจัยอยู่ แต่เป็นการคิดค้นรูปแบบใหม่ได้น่าสนใจกับการ ทำให้สามารถที่จะทำงานได้จากระยะไกลจากงานวิจัยนี้

แน่นอนว่าหากสำเร็จได้จริงนั้น ก็จะทำให้ไม่ต้องไปรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในบางครั้งก็อาจจะเป็นประเด็นที่สำคัญกับอวัยวะบางส่วนของผู้ป่วยนั่นเอง และตอนนี้ Trend ของตลาดด้านนี้กำลังมาแรงมาก ๆ ตัวอย่างเช่นการเกิดขึ้นของ Mobile Ultrasound ที่สามารถ scan ผ่าน Device ขนาดเล็กและเชื่อมต่อกับ smartphone เป็นต้น ถือเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และน่าสนใจมาก ๆ หากงานวิจัยนี้สามารถทำได้เสร็จสิ้นพร้อมใช้งานจริง ๆ ในอนาค

References : https://futurism.com/neoscope/mit-scientists-look-insides-distance-ultrasound

IBM ‘s cobalt-free กับแบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่ใช้วัสดุสกัดจากน้ำทะเล

แน่นอนว่ายานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ากำลังจะมีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำร้ายโลกของเรามาอย่างยาวนาน แต่มันก็ยังไม่ถือว่าเป็นทางออกที่สมบูรณ์แบบนัก โดยในปัจจุบัน พาหนะ EVs ส่วนใหญ่ทำงานบนแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ทำด้วยโลหะหนัก เช่น โคบอลต์ ซึ่งก็เป็นผลเสียต่อโลกเราอยู่ดี

แต่ตอนนี้ IBM Research Battery Lab อาจกำลังมีวิธีแก้ไขครั้งใหม่: ด้วยแบตเตอรี่ใหม่ที่สร้างขึ้นโดยไม่มีโลหะหนัก ซึ่งทำขึ้นมาแทนด้วยวัสดุที่สามารถสกัดได้จากน้ำทะเล

ตามการออกแบบครั้งใหม่ของ IBM ซึ่งพวกเขากล่าวว่า สามารถใช้งานได้ดีกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบปัจจุบันในราคาต้นทุนเพียงแค่ 80% ของแบตเตอรี่เดิม ๆ และสามารถทำเวลาในการชาร์จน้อยกว่าห้านาที รวมถึงเรื่องของประสิทธิภาพการใช้พลังงาน  แบตเตอรี่ยังติดไฟได้น้อยและสามารถใช้ในเครื่องบิน, รถยนต์ไฟฟ้าและรถบรรทุกได้อีกด้วย

ภาพจาก IBM Research
ภาพจาก IBM Research

แบตเตอรี่ใช้วัสดุใหม่สามชนิดรวมถึงวัสดุแคโทดที่ไม่มีโคบอลต์ , นิกเกิลและอิเล็กโทรไลต์ ซึ่งรูปแบบการผสมผสานที่ไม่เหมือนใครนี้สามารถยับยั้งปฏิกิริยา dendrites ในโลหะลิเธียมระหว่างการชาร์จซึ่งช่วยลดโอกาสที่แบตเตอรี่จะติดไฟขึ้นได้นั่นเองแ

และเพื่อที่จะนำแบตเตอรี่ใหม่นี้ไปใช้ IBM ได้ร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำอย่าง เมอร์เซเดส – เบนซ์ ร่วมด้วย ผู้ผลิตแบตเตอรี่อิเลคโทรไลต์อย่างบริษัท Central Glass และ บริษัท Sidus ในขณะที่ทีมวิจัยจาก IBM Research จะมีการใช้ AI เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของแบตเตอรี่และค้นหาวัสดุที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้นในอนาคต

ความเห็นเพิ่มเติมจากผู้เขียน

ถือเป็นหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจสำหรับเรื่องของแบตเตอรี่ EV ที่เหล่ายานพาหนะในอนาคตต้องใช้ ซึ่งแน่นอนว่า แม้ตัวรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนั้นจะใช้พลังงานสะอาดจากไฟฟ้าก็ตาม

แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องเจอปัญหาในเรื่องของแบตเตอรี่ ที่ดูเหมือนยังเป็นสิ่งที่ยากในการทำให้เป็นผลดีต่อโลกเรา 100% แต่แนวคิดใหม่ของ IBM ที่มาวิจัยด้านนี้ ก็ถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และถือเป็นอีกหนึ่งในตลาดที่ใหญ่มาก ๆ ในอนาคต หากสามารถที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้เป็นวัสดุใหม่อย่างที่ IBM กำลังทำการวิจัยอยู่ได้

ซึ่งแทนที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง IBM จะ โฟกัสไปที่การวิจัยในเรื่องพาหนะแบบขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ เหมือน google , tesla หรือบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ทำ กลับเลือกหาโอกาสใหม่ ๆ จากเรื่องของแบตเตอรี่แทน ซึ่ง หากพวกเขาทำได้สำเร็จจริงก็สามารถสร้างมูลค่าให้กับบริษัทได้อย่างมหาศาลในอนาคตอย่างแน่นอน

และในท้ายที่สุด IBM ก็จะทำให้เทคโนโลยีทั้งหมดของยานพาหนะ EV ในอนาคตนั้นสามารถขับเคลื่อนได้ด้วยพลังสะอาดแบบ 100% ได้นั่นเองครับ

References : https://www.engadget.com/2019/12/18/ibm-research-ev-battery-cobalt-free/

General Motors กับอนาคตรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบไร้พวงมาลัย

General Motors ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศอเมริกา กำลังมีแผนใหม่ในการทดสอบรถยนต์ที่ขับขี่ด้วยตนเอง: ด้วยการกำจัดพวงมาลัยออกไปจากรถยนต์ และปล่อยให้พวกมันขับเคลื่อนไปตามถนนสาธารณะได้แบบอิสระ

บริษัท กำลังร้อขอ ศูนย์บริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงของสหรัฐ (NHTSA) เพื่อขออนุญาตให้เริ่มต้นการทดสอบรถยนต์ไร้พวงมาลัยนี้ และในขณะที่ บริษัทดูเหมือนมั่นใจว่ารถยนต์จะสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยแม้จะไม่มีการควบคุมโดยมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่นั้นมองโลกในแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับเทคโนโลยียานยนต์ขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ

ซึ่งหากแผนได้รับการอนุมัติ GM จะเป็นบริษัทแรกที่ทำให้รถยนต์ปราศจากการควบคุมของมนุษย์โดยสิ้นเชิงบนท้องถนน ในขณะที่ Waymo เพิ่งเลือกที่จะนำคนขับที่เป็นมนุษย์ออกไปจากรถแท็กซี่ของตนเอง แต่อย่างไรก็ตามยานพาหนะของพวกเขาก็ยังคงมีพวงมาลัยและคันเร่งอยู่

“ ผมคาดหวังว่าเราจะสามารถก้าวไปข้างหน้ากับการทดสอบในสิ่งเหล่านี้ได้ในไม่ช้า และเร็วที่สุดเท่าที่เราจะทำได้” รักษาการผู้บริหารของ NHTSA James Owens กล่าวกับรอยเตอร์ “ นี่จะเป็นเรื่องใหญ่เพราะนี่จะเป็นครั้งแรกที่รถยนต์จะไม่มีพวงมาลัยอีกต่อไป”

Owens กล่าวเพิ่มเติมว่า ทาง NHTSA จะตัดสินใจในเรื่องดังกล่าว อย่างแน่นอนไม่ทางใดก็ทางหนึ่งภายในปี 2020

แต่ Elaine Chao รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวว่า เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ที่ NHTSA ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบคำร้องของ GM ซึ่ง Chao นั้นมองว่าเจ้าหน้าที่ของอุตสาหกรรมยานยนต์และนักวิเคราะห์บางคนมองโลกในแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับเวลาในการปรับใช้ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเหล่านี้อย่างเต็มที่

ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้เขียน

ความน่าสนใจของ GM ในครั้งนี้ก็คือ การมองว่ารถยนต์ในอนาคตนั้นคงไม่จำเป็นต้องมีผู้ขับขี่ที่เป็นมนุษย์อีกต่อไป ซึ่งถือเป็นการเดิมพันที่สูงมาก ๆ ครั้งหนึ่งของ GM ในการมองไปที่รถยนต์แบบไร้พวงมาลัย

ส่วนตัวหากมองในเรื่องเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นกล้องความละเอียดสูง เซ็นเซอร์ต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบคันรถ ซึ่งยังไงมันก็สามารถแทนที่ความสามารถของมนุษย์ในการขับขี่ได้ไม่ยาก และมีประสิทธิภาพกว่าอย่างแน่นอน

แต่ปัญหาน่าจะเป็นเรื่องการยอมรับ และ ผู้ร่วมใช้ถนนนั้นจะสามารถยอมรับได้หรือเปล่า ถนนที่คุณกำลังขับขี่อยู่นั้น มีรถยนต์ที่ใช้ AI ขับเคลื่อนแบบ 100% มาเป็นเพื่อนร่วมทางเสียมากกว่า ซึ่งเหมือนในหลาย ๆ โดเมนที่ ตอนนี้ความสามารถของ AI นั้นพัฒนาเกินขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้ว เหลือเพียงอย่างเดียวคือเราจะยอมรับมันได้ขนาดไหนเท่านั้นเอง

References : https://in.reuters.com/article/uk-autos-autonomous-exclusive-idINKBN1YO2EE

Movie Review : Silence ศรัทธาไม่เงียบ

ต้องบอกว่า เป็นอีกหนึ่งผลงานของผู้กำกับมือดีอย่าง มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) สำหรับ Silence ศรัทธาไม่เงียบ หนังดราม่าที่มีเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ ด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวกับศาสนา และความเชื่อ รวมถึงศรัทธา ที่เรียกได้ว่า เป็นประเด็นที่น่าสนใจเลยทีเดียว และมีเนื้อหาที่มาจากเรื่องจริงอีกด้วย

และที่สำคัญหนังเรื่องนี้ได้เหล่านักแสดงที่ผมชอบมาก ทั้ง เลียม นีสัน แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ และขวัญใจคนใหม่ล่าสุดจาก Marriage Story อย่าง อดัม ไดรเวอร์ เรื่องนี้เป็นหนังเมื่อปี 2016 ซึ่งมีโอกาสได้นับกลับมาฉายอีกครั้งที่โรงหนัง Lido Connect ผมจึงไม่พลาดที่จะเข้าไปชม เนื่องจากตอนออกใหม่ ๆ นั้นผมเองก็ไม่ได้มีโอกาสดูเรื่องนี้มาก่อน

Silence ศรัทธาไม่เงียบ เป็นหนังที่ ว่าด้วยเรื่องราวของ บาทหลวงเฟอร์เรรา (เลียม นีสัน) เดินทางไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่ญี่ปุ่น เขาหายตัวไปอย่างลึกลับ มีเพียงแต่สาส์นที่เขาได้ส่งมาจากคริสตจักรบอกว่าเขาได้ละทิ้งพระเจ้าและปลดปล่อยตัวเองจากศาสนาคริสต์แล้ว ทำให้ บาทหลวงโรดิเกซ (แอนดรูว์ การ์ฟิลด์) และ บาทหลวงการูเป (อดัม ไดรเวอร์) ลูกศิษย์ทั้งสองคนต้องอาสาเข้าไปยังดินแดนที่มีการกวาดล้างผู้นับถือศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่นเพื่อตามหาบาทหลวงเฟอร์เรรา

ต้องบอกว่า หนังเรื่องนี้อาจจะเป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดที่สร้างจากเนื้อหาเกี่ยวกับความศรัทธา แต่มันได้แฝงเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความขัดแย้งซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการสั่งสอน เพราะคนเพียงไม่กี่คนที่ดูถูกสติปัญญาของคนอื่น ในเรื่องของความเชื่อ โดยเฉพาะความเชื่อทางด้านศาสนานั่นเอง

แน่นอนว่าด้วยเนื้อหามันก็หนักกว่าหนังเรื่องอื่น ๆ ที่กำกับโดย สกอร์เซซี ต้องบอกว่ามันเป็นงานฝีมือที่เข้มข้นมาก ๆ บนแผ่นฟิล์ม หรือ การแสดงจากนักแสดงหลัก ตัว การ์ฟิลด์ ต้องอบอกว่าแสดงได้อย่างสุดยอดกับผลงานเรื่องนี้ ส่วน นีสันดูเหมือนบทของเขานั้นจะน้อยไปหน่อย เพราะเดินเรื่องโดย การ์ฟิลด์แทบจะทั้งเรื่อง รวมถึง อดัม ไดรเวอร์ ที่บทบาทประกอบเป็นผู้ร่วมเดินทางของ การ์ฟิลด์เพียงเท่านั้น

แต่ที่ต้องชมมาก ๆ คือตัวละครหลักอย่าง  Issey Ogata ที่รับบทโดยนักแสดงชาวญี่ปุ่นชื่อ Issey Ogata ผู้ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการแสดงที่น่าจดจำมากที่สุดครั้งหนึ่งเลยทีเดียว ตลอดทั้งทั้งเรื่องที่ชาวคริสเตียนที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นได้รับการตรวจสอบเป็นประจำโดยเจ้าหน้าที่ซามูไรที่ตั้งใจจะตามล่าและจัดการกับประชาชนที่พบว่ามีการละเมิดกฎหมายในเรื่องการนับถือศาสนาคริสต์ 

หนังเรื่องนี้เป็นการเล่นกับความเชื่อ ความศรัทธา และ การทำให้เลิกศรัทธา ที่ต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีมาก ๆ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อ ความศรัทธา ระหว่างโลกตะวันตก กับ โลกตะวันออกในยุคนั้น เป็นการหักเหลี่ยม เฉือนคม ผ่านความเชื่อของแต่ละฝ่าย

แต่สุดท้าย เรื่องราวของความเชื่อเหล่านี้ โดยเฉพาะ เรื่องศาสนา เราจะเห็นได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของความขัดแย้งของโลกเรามานับต่อนับ จวบจนถึงปัจจุบัน มันเพราะแค่ความเชื่อที่แตกต่าง มันทำให้โลกเรานั้นต้องสูญเสียเลือดเนื้อไปจากสงครามที่ไร้สาระ พวกนี้ไปเท่าไหร่แล้ว

และ หนังเรื่องนี้ก็ชี้ให้เห็นเช่นเดียวกันว่า เราไม่สามารถที่จะไปบังคับใครให้เชื่อในสิ่งที่เราเชื่อได้ แม้จะพยายามหาเหตุผลมาหักล้างกันแค่ไหนก็ตาม มันอยู่ที่ วัฒนธรรม เชื้อชาติ ประเพณี และ วิถีชีวิต ที่แตกต่างกัน เพราะสุดท้ายความเชื่อ หรือ ความศรัทธาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุก ๆ ศาสนาสร้างขึ้นมา ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่ด้วยความหวังดี ให้มีสันติสุข ให้เกิดสันติภาพ ในทุก ๆ ศาสนา แต่มนุษย์เรากลับนำความเชื่อเหล่านี้มาสร้างให้กลายเป็นความขัดแย้ง สงคราม ไม่ว่าจะเป็นเพราะเรื่องของผลประโยชน์ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ดูเหมือนจะไม่จบสิ้นซะทีอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบันนั่นเองครับ