สรุปเนื้อหา บทสัมภาษณ์ Eddy Cue รองประธานฝ่ายบริการของ Apple กับช่อง Youtube SuperSa

เป็นอีกหนึ่งทีมงานยุค Dream Team ของ Apple สำหรับ Eddy Cue รองประธานอาวุโสฝ่ายบริการที่เรามักจะเห็นในเวทีเปิดตัวสินค้าของ Apple อยู่บ่อย ๆ

ช่อง Youtube SuperSaf ได้สัมภาษณ์ Eddy Cue และพูดคุยเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่เขาใช้ บริการต่างๆ ของ Apple รวมถึง Apple Music/Apple TV+ ความชาญฉลาดของ Apple Intelligence ผลิตภัณฑ์ Apple ที่เขาชื่นชอบที่สุดตลอดกาล และอื่นๆ อีกมากมาย

Highlights

🍎 Eddy Cue รองประธานอาวุโสฝ่ายบริการของ Apple เปิดเผยว่าหลังจากทำงานที่ Apple มา 36 ปี เขายังคงเรียนรู้ทุกวัน และบริษัทยังคงจัดการเหมือนกับบริษัทขนาดเล็ก

💡 Eddy Cue อธิบายบทบาทของเขาในการดูแลบริการต่างๆ ของ Apple โดยเน้นที่การเรียนรู้ การทำงานร่วมกันเป็นทีม และการตัดสินใจที่สำคัญ ๆ

🎵 ความโดดเด่นของ Apple Music อยู่ที่การมุ่งเน้นนวัตกรรมด้านคุณภาพเพลง การสร้างเพลย์ลิสต์ที่มีความเป็นส่วนตัว รายการวิทยุ และฟีเจอร์พิเศษ เช่น เนื้อเพลงและเพลงคลาสสิก

📺 Eddy Cue เน้นย้ำว่า Apple TV+ โดดเด่นด้วยการโฟกัสไปที่คุณภาพของเนื้อหามากกว่าปริมาณ และความพยายามของทีมในการสร้างรายการและภาพยนตร์ในแบบฉบับ original content เป็นหลัก

🤖 Apple Intelligence จะช่วยยกระดับบริการของ Apple โดยปรับปรุงการค้นหา คำแนะนำ และประสบการณ์ของผู้ใช้ ในขณะที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย

🚀 ผลิตภัณฑ์ Apple ที่ Eddy Cue ชื่นชอบที่สุดคือผลิตภัณฑ์ตัวถัดไปเสมอ เนื่องจากเขามองไปข้างหน้าถึงนวัตกรรมและการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของบริษัทในอนาคต

Key Insights

🍎 Eddy Cue เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและนวัตกรรมที่ Apple ได้สรรค์สร้างขึ้นมา แม้ว่าจะทำงานกับบริษัทมานานถึง 36 ปี เขาได้เน้นถึงวัฒนธรรมของบริษัทที่ยังคงจัดการเหมือนบริษัทขนาดเล็ก ซึ่งช่วยให้เกิดการทำงานร่วมกันและการตัดสินใจระหว่างทีมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

🎵 ความโดดเด่นของ Apple Music อยู่ที่การโฟกัสไปที่เรื่องของนวัตกรรม คุณภาพ และความเป็นส่วนตัว Cue กล่าวถึงความก้าวหน้าในคุณภาพของเพลงและการเพิ่มความเป็นส่วนตัวในเพลย์ลิสต์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Apple ในการยกระดับประสบการณ์การฟังเพลงแบบสตรีมมิ่งที่ฉีกหนีจากคู่แข่ง

📺 Apple TV+ โดดเด่นด้วยการให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณในการสร้างเนื้อหา Cue กล่าวถึงความทุ่มเทของทีมในการผลิตรายการต้นฉบับและรายการที่ได้รับรางวัล โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ชมทั่วโลก

🤖 การเปิดตัว Apple Intelligence จะปฏิวัติบริการของ Apple โดยยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้ผ่านคำแนะนำที่เป็นส่วนตัว ความสามารถในการค้นหาที่ดีขึ้น และการรักษาความเป็นส่วนตัวที่สูงมากตามแบบฉบับของ Apple ซึ่ง Cue เน้นย้ำถึงศักยภาพของ AI ในการยกระดับทุกแง่มุมของผลิตภัณฑ์และบริการของ Apple

🚀 Cue สะท้อนถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยี ตั้งแต่การเปิดตัว iMac จนถึง iPhone แสดงให้เห็นถึงเส้นทางแห่งนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงของ Apple ตลอดมา เขาเน้นย้ำถึงแรงผลักดันที่ต่อเนื่องในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และความน่าตื่นเต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และความก้าวหน้าของนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

📹 Cue แบ่งปันความสนใจส่วนตัวในการดูวิดีโอบน YouTube โดยเฉพาะเนื้อหาเกี่ยวกับรถยนต์ เกมย้อนยุค และไฮไลท์กีฬา สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของงานอดิเรกและความชื่นชอบด้านความบันเทิงนอกเหนือจากบทบาทของเขาที่ Apple

🔍 การสนทนากับ Eddy Cue เผยให้เห็นถึงความหลงใหลในเทคโนโลยี ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ และความสามารถของเขาที่ช่วยในการผสานรวมอย่างไร้รอยต่อของทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการที่ Apple ก็ต้องบอกว่าข้อมูลเชิงลึกจาก Eddy Cue สะท้อนให้เห็นภาพรวมของวัฒนธรรมที่ผลักดันนวัตกรรมใหม่ ๆ และแนวทางของ Apple ที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางของบริษัทได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว

Opinion

เราไม่ค่อยได้เห็นคนเบื้องหลังออกมาสัมภาษณ์เกี่ยวกับวัฒนธรรมภายในองค์กรของ Apple ซักเท่าไหร่ ซึ่ง Eddy Cue ถือว่าเป็นอีกหนึ่งผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับความไว้วางใจจาก Tim Cook สูงมาก ๆ เป็นขุนพลยุคใหม่ในยุคการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากกลุ่มผู้บริหารเดิมและผลักดัน Apple เติบโตไปอีกขั้น

เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากการสัมภาษณ์นี้โดยเฉพาะเรื่องวัฒนธรรมองค์กรของ Apple ที่เป็นบริษัทที่แทบจะใหญ่ที่สุดในโลก แต่ยังคงมีวิธีการจัดการให้เหมือนกับบริษัทขนาดเล็กได้ ถือว่าเป็นเรื่องสุดยอดมาก ๆ

ซึ่งเราจะเห็นผลลัพธ์ที่ออกมาว่า Apple ก็ไม่เคยหยุดยั้งในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ไม่ต่างจากบริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็กเลยด้วยซ้ำ ซึ่งแทนที่จะทำให้องค์กรบวมจนใหญ่เทอะทะ แต่ Tim Cook ก็มีวิธีการจัดการให้บริษัทมีความคล่องแคล่ว ว่องไว ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างดีเยี่ยม

ส่วนเรื่องบริการเราคงไม่แปลกใจว่าทำไมเนื้อหาในบริการหลัก ๆ อย่าง Apple TV+ นั้นดูเหมือนจะน้อย ซึ่งพวกเขาได้เน้นไปที่คุณภาพเป็นหลัก หรือ Apple Intelligence ที่ดูเหมือนจะออกมาช้า แต่มันก็เป็น Playbook สูตรสำเร็จของ Apple ไปแล้วที่รอให้เทคโนโลยีมันพร้อมจริง Apple จะเป็นผู้ผลักดันมันออกมาให้โลกได้ยลโฉมในรูปแบบที่เข้าใจ user อย่างแท้จริง

ในโลกที่เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วแบบติดจรวด Apple ยังคงสามารถยืนหยัดเป็นผู้นำด้วยวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล การสัมภาษณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เราได้เห็นถึงภาพอดีตและปัจจุบันของ Apple แต่ะยังเปิดประตูสู่อนาคตอันน่าตื่นเต้นที่ Apple กำลังสร้างก่อร่างสร้างมันขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของมนุษย์เราในอนาคตนั่นเองครับผม

สรุปเนื้อหา บทสัมภาษณ์ Elon Musk ในรายการพอดแคสต์ The Joe Rogan Experience

Elon Musk ได้มาออกรายการพอดแคสต์ชื่อดัง The Joe Rogan Experience และได้เล่าอย่างเป็นกันเองถึงความท้าทายในการผลิต Cybertruck ผลกระทบของการเซ็นเซอร์สื่อสังคมออนไลน์ และความสำคัญของเสรีภาพในการแสดงออก

Highlights

🎙️ Elon Musk พูดถึงความท้าทายในการผลิต Cybertruck และความสำคัญของการผลิตให้ได้ปริมาณมาก

🌞 Musk พูดถึงความเป็นไปได้ในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อจ่ายไฟฟ้าทั่วสหรัฐอเมริกา

🧘 Musk แบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับความสำคัญของเสรีภาพในการแสดงออกบนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์

📰 Musk วิพากษ์วิจารณ์การเซ็นเซอร์ในสื่อสังคมออนไลน์และผลกระทบต่อการถกเถียงของมนุษย์ในที่สาธารณะ

🤔 Musk ตั้งคำถามเกี่ยวกับความสอดคล้องของสื่อกระแสหลักกับเรื่องเล่าที่ถูกปั้นแต่งโดยรัฐบาล

💉 Musk ได้พูดถึงอิทธิพลของวงการยาที่มีผลต่อการเซ็นเซอร์สื่อ

Key Insights

🏭 Elon Musk ได้พูดถึงความท้าทายในการผลิต Cybertruck โดยเน้นย้ำว่าการผลิตนั้นยากกว่าการออกแบบมาก เขาได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการผลิตในปริมาณมาก ๆ และราคาที่เหมาะสมในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดย Musk เองยังให้เครดิตกับ Henry Ford ในการประดิษฐ์โรงงานที่มีรูปแบบของสายพานการผลิตเป็นครั้งแรกของโลก

🌆 Elon Musk แบ่งปันความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของอุดมการณ์สุดโต่งที่มีต่อสังคม เขาได้อ้างว่าทำการซื้อ Twitter ต่อจากพวก “Mind Virus” ซึ่งเป็นวลีที่เขาใช้เรียกพวกกลุ่ม Woke หรือแนวคิดฝ่ายซ้าย โดยเปรียบเทียบกับสภาพที่เสื่อมโทรมลงในใจกลางเมือง San Francisco

🧪 เขามองว่า Twitter เมื่อก่อนนั้นโลกสวยทำตัวเป็นแพลตฟอร์มที่มีปรัชญา ซึ่งมันเป็นเพียงแค่เฉพาะกลุ่มหนึ่งเพียงเท่านั้น เพราะโลกเรามีหลายมุมมองแต่ถูกเซ็นเซอร์ผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ แต่มันได้ได้ถูกใช้เป็นอาวุธทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อแพร่กระจายไวรัสทางจิตใจไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลก

🐦 Musk ได้พูดถึงบทบาทของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อย่าง X (Twitter) ในการกำหนดรูปแบบการถกเถียงในสื่อสาธารณะ Musk ชี้ให้เห็นว่าเมื่อก่อน Twitter เคยถูกควบคุมโดยฝ่ายซ้ายจัด จนกลายเป็นเครื่องมือในการเซ็นเซอร์และปิดกั้นทางอุดมการณ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อมุมมองที่เห็นต่าง ตัวอย่างเช่นการแบน Donald Trump

📰 ทั้งสองได้พูดคุยในเรื่องความเกี่ยวข้องของอำนาจในหน่วยงานรัฐบาล บริษัทสื่อสังคมออนไลน์ และสื่อดั้งเดิม Musk แนะว่าการบังคับให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น การแบนหรือเซ็นเซอร์ โดยผู้มีอำนาจจะนำไปสู่การขาดอิสระและเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งคำถามเชิงวิพากษ์

🗣️ Musk สะท้อนถึงแนวคิดเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกและความสำคัญของการเปิดโอกาสให้มุมมองที่หลากหลายได้รับการรับฟัง แม้ว่าจะเป็นมุมมองที่ไม่เห็นด้วยก็ตาม เขาอธิบายถึงความจำเป็นที่แพลตฟอร์มต่างๆ ควรเป็นตัวแทนของจิตสำนึกร่วมของมนุษยชาติ ส่งเสริมให้มีการพูดจากันอย่างเปิดเผยและต้องสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน

💊 มีการสำรวจบทบาทของการโฆษณาและอิทธิพลภายนอกที่มีต่อการเซ็นเซอร์สื่อ โดย Musk กล่าวถึงผลกระทบของบริษัทยาและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในการกำหนดเนื้อหาและพยายามที่จะเสกสรรปั้นแต่งเรื่องราว ซึ่งเขาแสดงความกังวลเกี่ยวกับการถูกปิดปากไม่ให้รายงานข่าวที่เป็นความจริงและอิทธิพลจากการถูกยัดเงินของสื่อ

👥 Musk แสดงมุมมองของเขาเกี่ยวกับบุคคลที่มีอิทธิพลอย่าง George Soros โดยตั้งคำถามถึงแรงจูงใจและสิ่งที่เขาสร้างผลกระทบต่อสังคม เขาแนะว่าบุคคลเช่น Soros อาจมีวาระซ่อนเร้นที่บ่อนทำลายโครงสร้างของอารยธรรมของมนุษย์เรา นำไปสู่ผลที่เป็นอันตรายต่อเรื่องใหญ่ ๆ แม้กระทั่งเรื่องของประชาธิปไตยได้เลยทีเดียว

Opinion

Elon Musk เป็นบุคคลที่เรียกได้ว่าอ่านหนังสือมาเยอะมาก ๆ และรู้เรื่องราวต่าง ๆ แบบเข้าถึงแก่นลึก แม้ภาพลักษณ์บ้างครั้งอาจจะดูบ้า ๆ บอ ๆ บ้าง แต่ถ้าได้ฟังอย่างเข้าใจจริง ๆ จะรู้ว่าชายคนนี้รู้ลึกรู้จริงที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว

ผมว่าแนวคิดนึงที่น่าสนใจมาก ๆ ของ Musk ที่เขาพยายามป่าวประกาศออกมาก็คือ เรื่องของโลกเราที่ถูกขับเคลื่อนโดยฝ่ายซ้ายมากจนเกินไป ซึ่ง ยัดเยียดให้กับมนุษย์เราในทิศทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดของซิลิคอน วัลเลย์ที่ยัดเยียดเราผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมายที่แทบจะฝังหัวความคิดของพวกเราไปหมดแล้ว

ฝั่งฮอลลีวู้ด ก็มีภาพยนตร์ ซีรีส์ สตรีมมิ่ง มากมาย ที่คอยถ่ายทอดแนวคิดทำนองนี้ฝังหัวผู้คนทั่วโลก ส่วน Wallstreet ก็นำพาแนวคิดทุนนิยมจ๋า มนุษย์ต้องเป็นหนูถีบจักร ทำงานๆ เพื่อสร้างหนี้ ให้พวกเขาเหล่านี้ร่ำรวยยิ่งขึ้นไป

โลกเรามันเอียงไปทางซ้ายอย่างที่ Elon Musk ได้กล่าวไว้ ไม่ได้เปิดพื้นที่ให้แนวคิดขวา ๆ มีบทบาทมากนัก และหลายคนอาจจะหาว่าบ้าด้วยซ้ำที่ไปสนับสนุนแนวคิดทางนี้ เช่น การขึ้นสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดี Donald Trump จะเห็นได้ว่า ทั่วโลกต่างมองว่าคนอเมริกาบ้าหรือเปล่าที่เลือก Trump

แต่ความจริงแล้วเราถูกยัดเยียดข้อมูลจากฝ่ายซ้ายจนเยอะเกินไป ทำให้เรามองว่าสิ่งที่ความคิดขวา ๆ คิดนั้นมันเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด ซึ่งความจริงแล้วมันควรจะเป็นความคิดที่ได้รับการยอมรับเหมือนกันไม่ต่างจากความคิดของฝ่ายซ้าายในโลกของประชาธิปไตยนั่นเองครับผม

สรุปเนื้อหา บทสัมภาษณ์ John Doerr ประธานบริษัท Kleiner Perkins กับบทเรียนจากการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุด

ต้องบอกว่าใครที่ติดตามโลกเทคโนโลยี คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักชายที่ชื่อว่า John Doerr สุดยอดนักลงทุนระดับท็อปแห่ง Silicon Valley ที่เข้าไปลงทุนบริษัทชื่อดังมากมายตั้งแต่ยุคต้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Google หรือ Amazon และได้รับผลตอบแทนหลายพันเด้ง

John Doerr ประธานบริษัท Kleiner Perkins และผู้เขียนหนังสือ ‘Speed and Scale’ ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับประสบการณ์การลงทุนที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของเขา วิธีการที่บริษัทสตาร์ทอัพจะประสบความสำเร็จ และการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เขาได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “Bloomberg Wealth with David Rubenstein” ที่เมือง Palo Alto รัฐแคลิฟอร์เนีย

Highlights

🌐 John Doerr เชื่อว่าธุรกิจร่วมทุนเป็นอุตสาหกรรมบริการ ไม่ใช่ธุรกิจที่จะ Scale ได้ เขารักการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการเพื่อสร้างบริษัทที่น่าทึ่งและแก้ปัญหาใหญ่ๆ

💡 John Doerr ลงทุนในสตาร์ทอัพอย่าง Amazon และ Google ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ซึ่งเป็นการเดิมพันที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในตอนนั้น แต่กลับกลายเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่

🌍 John Doerr เปลี่ยนจุดสนใจจากการปฏิวัติอินเทอร์เน็ตมาสู่การปฏิวัติด้านสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศผ่านการลงทุนและโครงการต่างๆ ที่เขาสนใจ

🌱 John Doerr ได้รับแรงบันดาลใจจากความกังวลของลูกสาวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นั่นทำให้เขาและพันธมิตรของเขาเข้าลงทุนกับผู้ประกอบการที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในแวดวงดังกล่าว และก่อตั้ง Doerr School of Sustainability ที่มหาวิทยาลัย Stanford

📚 แผน “Speed and Scale” ของ John Doerr นำเสนอแนวทางที่ปฏิบัติได้จริงในการลดการปล่อยคาร์บอนและเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจพลังงานสะอาดภายในปี 2050

Key Insights

🚀 การเปลี่ยนผ่านของ John Doerr จากการเป็นพนักงานรุ่นแรกๆ ที่ Intel สู่การเป็นนักลงทุนบริษัทร่วมทุน (Venture Capital) ที่ประสบความสำเร็จที่ Kleiner Perkins แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมบริษัทร่วมทุน

💡 การเดิมพันที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสตาร์ทอัพอย่าง Amazon ( เงินลงทุน 8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับหุ้น 15 เปอร์เซ็นต์ของ Amazon) และ Google (เงินลงทุน 11 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับหุ้น 11 เปอร์เซ็นต์ของ Google) แสดงให้เห็นถึงความสามารถของ John Doerr ในการมองเห็นและลงทุนในไอเดียที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ซึ่งท้าทายความเชื่อแบบดั้งเดิม

🌍 การเปลี่ยนจุดสนใจของ John Doerr ไปสู่การปฏิวัติด้านสภาพภูมิอากาศสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาท้าทายระดับโลกที่สำคัญ และการสนับสนุนผู้ประกอบการในการสร้างโซลูชันที่ยั่งยืน

🎓 การก่อตั้ง Stanford School on Sustainability โดยการสนับสนุนทางการเงินจาก John Doerr และพันธมิตรของเขา แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการลงทุนในการศึกษาและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

⏳ แผน “Speed and Scale” ของ John Doerr ในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจพลังงานสะอาดภายในปี 2050 เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนและแนวทางที่ปฏิบัติได้จริงที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

🔍 คำแนะนำของ John Doerr สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นนักลงทุน VC ต้องมีความกล้าเดิมพัน มีพื้นฐานทางด้านเทคนิคที่ดี มีความอยากรู้อยากเห็น และทัศนคติที่โฟกัสไปที่การให้บริการที่จะช่วยเหล่าสตาร์ทอัพในการสร้างทีมและแก้ไขปัญหาใหญ่ ๆ ซึ่งจะนำไปสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จในฐานะนักลงทุน VC อย่างที่เขาทำได้

Opinion

ความน่าสนใจของ John Doerr ในขณะนี้มันชี้ให้เห็นว่าเขามองเรื่องการปฏิวัติทางด้านสภาพภูมิอากาศ ไม่ต่างจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับการปฏิวัติอินเทอร์เน็ตเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ที่จะมีมูลค่าธุรกิจหลายหมื่นล้านในอนาคต และเช่นเดียวกัน เขาก็ได้เข้าไปลงทุนกับเหล่าบริษัทสตาร์ทอัพด้านนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และหวังเดิมพันหุ้นพันเด้งอีกครั้งในเทคโนโลยีดังกล่าวนี้

การลงทุนในบริษัทระดับตำนานอย่างทั้ง Amazon และ Google สู่การมุ่งหน้าในการแก้วิกฤติโลกร้อน Doerr แสดงให้เห็นวิธีการคิดนอกกรอบและกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ซึ่งหลายคนอาจจะติดหล่มกับเทคโนโลยีบ้าเห่ออย่าง AI ในตอนนี้ แต่ Doerr มองข้ามไปอีกสเต็ป

เข้าเน้นย้ำว่าการเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่เรื่องของเงิน แต่เป็นเรื่องของการสร้างคุณค่าและแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ของโลกซึ่งสุดท้ายจะนำพาไปสู่มูลค่าทางเศรษฐกิจที่มหาศาล และด้วยแผน “Speed and Scale” ของ Doerr นั้น ผมมองว่ากำลังนำพาเราไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและน่าตื่นเต้นมากเลยทีเดียวนั่นเองครับผม

สรุปเนื้อหา เทคโนโลยี AI และอนาคตของมนุษยชาติ โดย Yuval Noah Harari

Yuval Noah Harari ได้มีการคาดการณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยี AI และอนาคตของมนุษยชาติ โดยมีประเด็นสำคัญหลายข้อ ได้แก่: “AI จะส่งผลต่อการกำหนดรูปแบบวัฒนธรรมของเราอย่างไร? อะไรคือภัยคุกคามต่อมนุษยชาติเมื่อ AI สามารถเข้าใจมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง? AI จะเป็นจุดจบของประวัติศาสตร์มนุษย์หรือไม่? บุคคลทั่วไปจะสามารถสร้างเครื่องมือ AI ที่ทรงพลังด้วยตนเองได้หรือไม่? เราจะควบคุม AI ได้อย่างไร?”

เป็นงานที่จัดขึ้นโดย Frontiers Forum องค์กรที่มีการเชื่อมโยงชุมชนในด้านวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ณ เมือง Montreux ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

เป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับ ความสามารถอันล้ำเลิศของ AI ในการใช้ภาษาที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ ซึ่งอาจนำไปสู่โลกที่ถูกควบคุมด้วยภาพลวงตาและการปั่นหัวมนุษย์เราที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI การควบคุม AI จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องระบอบประชาธิปไตยและป้องกันความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในสังคม

Highlights

🤖 Yuval Noah Harari ได้พูดถึง AI และผลกระทบต่ออนาคตของมนุษยชาติ โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพของ AI ที่อาจช่วยแก้ไขวิกฤตทางนิเวศวิทยา หรือในทางกลับกันอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง

🧠 Harari พูดถึงความกลัวที่เกิดขึ้นรอบ ๆ เทคโนโลยี AI โดยชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจผิดที่ว่า AI จำเป็นต้องมีจิตสำนึกหรือความสามารถในการเคลื่อนไหวทางกายภาพ (เหมือนหุ่นยนต์) จึงจะเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติได้

👽 Harari ได้ลงลึกถึงศักยภาพของ AI ในการกำหนดรูปแบบวัฒนธรรมและสังคม โดยสร้างโลกที่ความเป็นจริงของมนุษย์ถูกกลั่นกรองผ่านมุมมองของ AI

⚖️ Harari ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการควบคุม AI เพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิดและปกป้องหลักการประชาธิปไตย พร้อมเรียกร้องให้มีการเปิดเผยตัวตนของ AI ที่กำลังมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์เราว่ามาจากองค์กรหรือหน่วยงานใด

🌐 Harari ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับการควบคุม AI ความแตกต่างระหว่างปัญญาประดิษฐ์และปัญญาจากต่างดาว (alien intelligence) และความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (artificial general intelligence) อาจมีอิทธิพลต่อระบบสังคมอยู่แล้วในปัจจุบัน

Key Insights

🤖 AI กำลังพัฒนาความสามารถในการจัดการและสร้างภาษาในระดับที่เหนือกว่าความสามารถของมนุษย์อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมรูปแบบใหม่ ๆ

📚 พลังของ AI อยู่ที่ความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษา ทำให้สามารถกำหนดเรื่องราว ความเชื่อ และโครงสร้างทางสังคม ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อกระบวนการประชาธิปไตยและอารยธรรมมนุษย์ของโดยรวม

💔 ด้วยการใช้ประโยชน์จากความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับมนุษย์ ทำให้ AI สามารถมีอิทธิพลต่อความคิดเห็น พฤติกรรม และการตัดสินใจ ซึ่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมได้อย่างถึงแก่น

🛡️ การควบคุม AI มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการใช้งานอย่างไม่มีการตรวจสอบ เนื่องจากการใช้เครื่องมือ AI อย่างไม่รับผิดชอบอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง รวมถึงสามารถทำลายระบอบประชาธิปไตยของมนุษย์ได้เลยทีเดียว

🕵️‍♂️ การเปิดเผยตัวตนของ AI ในการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการถูกปั่นหัวจากองค์กรที่ไม่หวังดีและขับเคลื่อนด้วย AI

🛸 แนวคิดเรื่อง AI ในฐานะ “ปัญญาจากต่างดาว (alien intelligence)” ชี้ให้เห็นถึงความเป็นอิสระและคาดเดาไม่ได้ที่กำลังเพิ่มขึ้นของระบบ AI มันแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการควบคุมเชิงรุกและการกำกับดูแลด้านจริยธรรมเพื่อลดความเสี่ยงและรองรับการพัฒนาอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม

💡 แม้ว่าเรายังไม่ได้เห็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (artificial general intelligence) ระดับขั้นสูงสุด แต่ความสามารถในปัจจุบันของ AI แม้จะอยู่ในขั้นเริ่มต้น ก็ได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่สำคัญต่อระบบสังคมแล้ว ซึ่งเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการจัดการกับประเด็นด้านจริยธรรมและการควบคุมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI

Opinion

ก็ต้องบอกว่า Yuval Noah Harari ได้นำเสนออีกมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคนที่มองในมุมที่เป็นอันตรายต่อมนุษยชาติ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมที่น่าจะเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น Harari ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่สนับสนุนให้มีการควบคุม AI ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์เราแบบคาดไม่ถึง

ซึ่งก็ต้องบอกว่า เราทุกคนกำลังยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนที่สำคัญของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ในขณะที่ AI กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด คำถามสำคัญที่พวกเราต้องถามตัวเองก็คือ เราจะเป็นผู้กำหนดอนาคตของพวกเราเอง หรือปล่อยให้ AI เป็นผู้ชี้นำชะตากรรมของเรา ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องตื่นตัวและมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของเทคโนโลยีที่อาจเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารู้จัก

เพราะสุดท้ายแล้วอนาคตของมนุษย์เราทุกคนก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเราในวันนี้ ! นั่นเองครับผม …

สรุปเนื้อหา บทสัมภาษณ์สุด exclusive จาก Adam Mosseri สุดยอดซีอีโอของ Instagram

เป็นบทสัมภาษณ์จากช่อง Colin and Samir ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวของ Instagram จากปากสุดยอดซีอีโออย่าง Adam Mosseri ที่ได้พูดคุยเกี่ยวกับวิวัฒนาการของแพลตฟอร์ม การแข่งขันกับ TikTok ความท้าทายในการแบ่งรายได้ให้กับครีเอเตอร์ ความสำคัญของตัวชี้วัดด้านการมีส่วนร่วม และการโฟกัสในการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้

Highlights

📸 Instagram ได้พัฒนาจากแพลตฟอร์มที่เน้นรูปภาพสี่เหลี่ยมจัตุรัสไปสู่เนื้อหาที่หลากหลาย โดยวิดีโอกลายเป็นสิ่งที่ผู้ใช้มีส่วนร่วมมากที่สุดในปัจจุบัน

🤝 Instagram โฟกัสในเรื่องการเชื่อมต่อผู้คนกับเพื่อนๆ ผ่านเนื้อหาวิดีโอแบบมีส่วนร่วม โดยเน้นความสำคัญของอัตราส่วนของการแชร์ต่อการเข้าถึงเพื่อเป็นข้อมูลให้อัลกอริธึมสำหรับการจัดอันดับเนื้อหา

🤩 แพลตฟอร์มให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์และกระตุ้นให้ผู้ใช้แชร์กับเพื่อน ส่งผลให้เกิดการมีส่วนร่วมและการเข้าถึงที่สูงขึ้น

💰 แม้ว่าการแบ่งปันรายได้จะมีความสำคัญ แต่ Instagram กำลังศึกษาแรงจูงใจตามผลงานที่แท้จริงของครีเอเตอร์ โดยโฟกัสไปที่โปรแกรมการแบ่งรายได้ที่มีความยั่งยืน

💡 โมเดลการแบ่งปันรายได้ของ YouTube shorts ถือเป็นก้าวที่ดี แม้ว่าผลกระทบต่อธุรกิจโดยรวมของแพลตฟอร์มยังไม่ชัดเจน

🚀 จุดแข็งของ TikTok คือการเปิดโอกาสให้กับครีเอเตอร์รายเล็ก ๆ และช่วยให้พวกเขาได้รับความนิยม แม้ว่ารูปแบบการแบ่งปันรายได้อาจไม่แข็งแกร่งเท่า YouTube

Key Insights

📹 การโฟกัสเนื้อหาวิดีโอสั้นของ Instagram เช่น Reels ได้เปลี่ยนแปลงแพลตฟอร์มอย่างมีนัยสำคัญ โดยมากกว่าครึ่งของเวลาที่ user ใช้งาน Instagram เป็นการเสพเนื้อหาวิดีโอ การเปลี่ยนแปลงไปสู่วิดีโอนี้ช่วยให้เกิดประสบการณ์ที่มีส่วนร่วมมากขึ้นสำหรับผู้ใช้ โดยเน้นการแชร์และการมีส่วนร่วมมากกว่าการโพสต์เพียงแค่รูปภาพเพียงอย่างเดียวแบบดั้งเดิมของแพลตฟอร์ม

🔍 อัลกอริทึมบน Instagram ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่สร้างการมีส่วนร่วมในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการแชร์ ตัวชี้วัดที่เรียกว่า “sends per reach” มีความสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดความสำเร็จของโพสต์ เนื่องจากมันแสดงถึงเนื้อหาที่กระตุ้นให้ผู้ใช้แชร์กับเพื่อนๆ ซึ่งนำไปสู่การมีส่วนร่วมและการสนทนามากยิ่งขึ้น

💡 แนวทางของ Instagram ในการสร้างรายได้ให้กับครีเอเตอร์โฟกัสไปที่ครีเอเตอร์แบบรายบุคคลมากกว่าสื่อหรือสำนักพิมพ์ โดย Instagram มีความตระหนักถึงความสำคัญของการเชื่อมต่อระหว่างเพื่อน ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มที่มีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากสถาบันหรือองค์กรธุรกิจไปสู่บุคคลทั่วไปในอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น

💰 แม้ว่าการแบ่งปันรายได้จะเป็นความกังวลที่สำคัญสำหรับครีเอเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครีเอเตอร์ระดับท็อป แต่ Instagram มองในเรื่องความยั่งยืน เนื่องจากธรรมชาติที่ผันผวนของเนื้อหาวิดีโอสั้น แพลตฟอร์มกำลังศึกษาโปรแกรมสร้างแรงจูงใจแบบใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุนครีเอเตอร์ แต่ด้วยความซับซ้อนของการให้เครดิตของวีดีโอที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาและเรื่องของ ROI ทำให้เกิดความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างค่าตอบแทนของครีเอเตอร์และความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ

📊 Mosseri ได้เน้นย้ำมาก ๆ เกี่ยวกับความสำคัญของการสร้างกระแสรายได้ที่สม่ำเสมอสำหรับเหล่าครีเอเตอร์ แม้ว่าโมเดลการแบ่งปันรายได้สามารถสร้างมูลค่าได้ แต่ธรรมชาติที่ผันผวนของรายได้จากการโฆษณาทำให้เกิดความท้าทายในการรักษารายได้ที่สม่ำเสมอสำหรับครีเอเตอร์ในระยะยาว

🎥 การนำรูปแบบการแบ่งปันรายได้มาใช้สำหรับเนื้อหา shorts ของ YouTube สะท้อนให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์เพื่อแข่งขันในตลาดวิดีโอสั้น ซึ่งอาจมีต้นทุนในการอัดเม็ดเงินให้กับเหล่าครีเตอร์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด การโฟกัสไปที่การสนับสนุนครีเอเตอร์รายเล็ก ๆ และส่งเสริมการเติบโตในเนื้อหาแบบวีดีโอสั้นแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ YouTube ในการปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงของการผลิตและบริโภคคอนเทนต์

🌐 วิวัฒนาการของโมเดลการสร้างรายได้ของครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Instagram และ YouTube เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างสมดุลระหว่างการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ คุณภาพของเนื้อหา และความยั่งยืนทางการเงินของธุรกิจ เมื่อรูปแบบของการสร้างเนื้อหายังคงพัฒนาต่อไป แพลตฟอร์มต่างๆ ก็ต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับความซับซ้อนของการแบ่งปันรายได้ เสถียรภาพ และการเติบโตของธุรกิจเพื่อสนับสนุนความหลากหลายของครีเอเตอร์โดยรวม

Opinion

ต้องบอกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้กับแพลตฟอร์มต่าง ๆ มันชัดเจนแล้วว่ากำลังดำเนินไปในทิศทางรูปแบบวีดีโอสั้นแบบหนีไม่ได้ ซึ่งผมว่าหลายๆ คนก็ไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ ส่วนตัวผมเองคนนึงก็ไม่เคยอินเลยกับพวกรูปแบบวีดีโอสั้นเหล่านี้ เพราะดูเหมือนทำให้เราโฟกัสกับสิ่งต่าง ๆ น้อยลงไปทุกที

Instagram เป็นแพลตฟอร์มใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ กับยุคใหม่ที่นำโดย Adam Mosseri นั้น ผมมองว่าคือหนึ่งในผู้บริหารระดับท็อปคนหนึ่งที่สามารถพลิกสถานการณ์จากที่เคยจะเพลี่ยงพล้ำให้กับ TikTok แต่สุดท้าย Instagram ก็สามารถกลับมาครองบัลลังก์ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง ดูได้จากเทรนด์ยอดดาวน์โหลดที่กลับมาแซง TikTok เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Mosseri เน้นย้ำหลายครั้งในเรื่องความยั่งยืน ซึ่งผมว่านี่คือคีย์หลักของแพลตฟอร์มของพวกเขา ที่ต้องการให้ครีเอเตอร์อยู่ได้ในระยะยาวและสร้างกระแสเงินสดเลี้ยงตัวเองอยู่ได้ ไม่ใช่ไปรับเงินแบบฉาบฉวยที่ถูกอัดเงินโปรโมทมาซึ่งแน่นอนว่ามันกอบโกยได้เพียงระยะสั้นเพียงเท่านั้น

โลกของสื่อสังคมออนไลน์กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าเราทุกคนล้วนมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตของมัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปหรือครีเอเตอร์ ทุกการแชร์ ทุกการมีส่วนร่วมของเราทุกคน ล้วนแล้วแต่มีผลต่อวิวัฒนาการของแพลตฟอร์มเหล่านี้แทบจะทั้งสิ้น ถ้าเราอยากเห็นแพลตฟอร์มเหล่านี้เป็นอย่างไร ก็อยู่ที่ตัวพวกเรานี่แหละครับที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงให้กับพวกมัน

แล้วคุณล่ะ คิดว่าอนาคตของ Instagram และสื่อสังคมออนไลน์จะเป็นอย่างไร? อย่าลืมแชร์ความคิดเห็นของคุณกันได้นะครับผม