หนึ่งวันในชีวิตของ Sam Altman ผู้หมกมุ่นกับการยืดอายุขัย และเตรียมตัวพร้อมสำหรับวันสิ้นโลก

Sam Altman เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกเทคโนโลยี โดยเขาได้ร่วมก่อตั้ง ลงทุนและเป็นผู้นำบริษัทสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมและประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคของเรา

เขายังเป็น CEO ของ OpenAI ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างเทคโนโลยี AI ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือถูกควบคุมโดยคนไม่กี่คน

หลังจากถูกบีบจากบอร์ดบริหารให้ออกจากตำแหน่ง Altman กลับมายึดอำนาจคืนในตำแหน่ง CEO ของ OpenAI ได้สำเร็จ หลังจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่สั่นสะเทือน Silicon Valley ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา

ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องงานแล้วนั้น ชีวิตด้านอื่นๆ ของเขาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน Altman เป็นหนึ่งในผู้บริหารบริษัทด้านเทคโนโลยีที่หมกมุ่นอยู่กับความพยายามในการยืดอายุขัยของตัวเอง

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเขา ไมว่าจะเป็นการนอนหลับ ตารางงาน หรือการรับประทานอาหาร เขาให้ความสำคัญกับแง่มุมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของเขาเป็นพิเศษและต้องการเพิ่ม Productivity ให้ได้สูงสุด

ตอนเช้า

Altman เริ่มต้นวันด้วยการทำสมาธิ หลังจากนั้นจะดื่มเอสเพรสโซ่แก้วใหญ่ทันที และไม่ค่อยรับประทานอาหารเช้า ซึ่งเขามองว่าการดื่มแต่เอสเปรสโซ่ในตอนเช้า อาจช่วยระงับความอยากอาหารและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

Altman กับการดื่มแต่เอสเปรสโซ่ในตอนเช้า (CR:Analytic India Magazine)
Altman กับการดื่มแต่เอสเปรสโซ่ในตอนเช้า (CR:Analytic India Magazine)

หลังจากนั้นเขาจะเริ่มเช็คอีเมล และมักจะหลีกเลี่ยงการจัดตารางการประชุมในช่วงเช้า เนื่องจากเขามองว่าเป็นช่วงที่สร้าง productivity ที่สุดสำหรับเขา

Altman ใช้เวลาสองสามชั่วโมงแรกของวันในตอนเช้ากับงานที่ productive ที่สุด

ช่วงบ่าย

Altman มักจะให้มีการนัดหมายการประชุมเรื่องต่าง ๆ ในช่วงบ่าย โดยใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีเท่านั้นต่อการประชุมแต่ละครั้ง

เขาจะหลีกเลี่ยงการประชุมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และมักจะไปขลุกตัวอยู่ในออฟฟิศเพื่อทำงานซึ่งเขามองว่ามันมีคุณค่ามากกว่าการประชุมไร้สาระที่เขาเองมองว่ากว่า 90% ของเวลาในใช้ในการประชุมนั้นเป็นเรื่องเสียเวลาเป็นอย่างมาก

Altman มักจะไปขลุกตัวอยู่ในออฟฟิศเพื่อทำงานซึ่งเขามองว่ามันมีคุณค่ามากกว่าการประชุมไร้สาระ (CR:Paubox)
Altman มักจะไปขลุกตัวอยู่ในออฟฟิศเพื่อทำงานซึ่งเขามองว่ามันมีคุณค่ามากกว่าการประชุมไร้สาระ (CR:Paubox)

เขามักจะหาเวลาในการพบปะกับผู้คนเพื่อสร้าง Network ใหม่ ๆ และมองหาแนวคิดใหม่ ๆ ให้กับตัวเองอยู่เสมอ

เขาย้ำถึงความสำคัญของการทำงานในสิ่งที่ถูกต้องและใช้เวลาร่วมกับผู้คนที่สร้างแรงบันดาลใจ เขาหลีกเลี่ยงงานที่เขาไม่สนใจ โดยเลือกที่จะมอบหมายงานเหล่านั้นให้ทีมงานทำแทน

เขามักจะใช้กระดาษในการจดสิ่งต่าง ๆ มากกว่าการใช้พวก iPad หรือ แท็ปเล็ตในการจดแบบดิจิทัล

Altman จะกำหนดสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จในแต่ละปี แต่ละเดือน และแต่ละวัน เขาสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างไม่มีปัญหา และมักจะจัดลำดับความสำคัญของงานที่สร้างโมเมนตัมให้กับบริษัทก่อนเสมอ

หลังอาหารกลางวัน Altman จะดื่มเอสเปรสโซอีกหนึ่งช็อต

หากมีเวลาว่างหลังเลิกงาน Altman มักจะไปยกน้ำหนักสัปดาห์ละประมาณ 3 ครั้งโดยใช้เวลาราว ๆ หนึ่งชั่วโมง

ตอนเย็น

แม้จะติดกาแฟ แต่ Altman ก็มองว่าการนอนหลับเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา และพยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารก่อนนอน รวมถึงแทบจะไม่ดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

Altman เป็นมังสวิรัตมาตั้งแต่เด็ก และมักจะดื่มโปรตีนเชคบ่อย ๆ เขากล่าวว่าพยายามที่จะหลีกเลี่ยงอาหารพวกรสจัด หรืออะไรก็ตามที่ทำให้ระบบการย่อยอาหารแย่ลง รวมถึงหลีกเลี่ยงการกินน้ำตาลมากเกินไป

Altman มักจะทำสมาธิอีกครั้งในตอนเย็นเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายก่อนนอน ซึ่งเป็นการตอกย้ำความสำคัญของความสม่ำเสมอในการรักษาการฝึกสมาธิ

เมื่อเขาเข้านอน เขาจะใช้เครื่องมือในการติดตามประสิทธิภาพการนอนหลับ เขาชอบห้องที่เย็น มืด และเงียบสงบ พร้อมที่นอนดี ๆ

โดยหากอากาศไม่เย็นพอ เขาจะใช้แผ่นทำความเย็นและมักจะรับประทานยานอนหลับหรือกัญชาในปริมาณเล็กน้อยเพื่อช่วยให้เขานอนหลับ

เรื่องน่าสนใจอื่น ๆ เกี่ยวกับ Sam Altman

Altman ลงทุนในการวิจัยเรื่องการต่อต้านวัยอย่างจริงจัง และใช้ Metformin ซึ่งเชื่อกันว่าช่วยในการชะลอวัย

Altman มีความสามารถพิเศษในการมองเห็นสตาร์ทอัพที่มีอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่เจอปัญหาหนัก ๆ เขาได้ลงทุนในบริษัทมากกว่า 100 แห่ง ซึ่งรวมถึง Airbnb , Reddit , Dropbox , Stripe , Asana , Instacart , Coinbase และอีกมากมาย

Altman ไม่เพียงแต่ชื่นชอบเทคโนโลยีเพียงเท่านั้น แต่เขายังมีความหลงใหลในการแข่งรถและเครื่องบิน ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่เขาชอบทำทุกครั้งที่มีเวลาว่าง เขาชอบเช่าเครื่องบินและบินไปทั่วแคลิฟอร์เนีย และเขามีใบอนุญาตของนักบินตั้งแต่อายุ 17 ปี

Altman ยังมีความหลงใหลในการแข่งรถและเครื่องบิน (CR:Car Blog India)
Altman ยังมีความหลงใหลในการแข่งรถและเครื่องบิน (CR:Car Blog India)

Altman อาจมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของมนุษยชาติและเทคโนโลยี แต่เขาก็เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดด้วยเช่นกัน โดยครั้งหนึ่งเขาเคยบอกกับผู้ก่อตั้ง Shypmate ว่า เขาเตรียมตัวสำหรับวันโลกาวินาศไว้แล้ว เขามีทั้งปืน ทองคำ ยาฆ่าเชื้อ แบตเตอรี่ น้ำ หน้ากากป้องกันแก๊สพิษ และบังเกอร์ขนาดใหญ่ที่สามารถบินไปอาศัยอยู่ได้ในวันโลกแตก

References :
https://www.businessinsider.com/open-ai-sam-altman-daily-routine-schedule-for-productivity-2024-1
https://www.entrepreneur.com/business-news/openai-ceo-sam-altmans-day-morning-led-afternoon-espresso/467807
https://hurwitz.tv/the-daily-routines-of-sam-altman-open-ais-brilliant-ceo/
https://indianexpress.com/article/technology/artificial-intelligence/9-unknown-facts-sam-altman-openai-chatgpt-8973470/
https://www.newyorker.com/magazine/2016/10/10/sam-altmans-manifest-destiny

Failed Startup Stories : Napster The digital music revolution

ต้องบอกว่าเป็น startup รุ่นปู่เลยทีเกียวสำหรับ Napster ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า ipod เป็นจุดเริ่มต้นของ digital music แต่ถ้าถามถึงต้นตอจริง ๆ ของการปฏวัติอุตสาหกรรมดนตรี จาก analog ไปสู่ digital นั้น ต้องบอกว่า Napster ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งที่สำคัญต่อการปฏิวัติวงการดนตรีเลยก็ว่าได้

ประวัติ Napster

Napster นั้นถูกสร้างโดย Shawn Fanning , John Fanning  และ Sean Parker  ผู้โด่งดัง โดยใช้รูปแบบการ share แบบ peer-to-peer file sharing ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ใหม่มากและคนค่อนข้างตื่นตะลึงกับการเกิดขึ้นของระบบ peer-to-peer อย่างสูง 

โดย Napster นั้นเปิดให้บริการในช่วงปี 1999 ถึง ปี 2001  โดยรูปแบบการบริการคือให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถ share เพลงในรูปแบบ mp3 ของตัวเองกับคนอื่นได้ผ่าน internet ซึ่งถ้ามองในยุคนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้ว แต่ในยุคปี 1999 นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ใหม่มาก

ย้อนกลับไปในยุคนั้น IRC ถือว่าดังมาก ๆ
ย้อนกลับไปในยุคนั้น IRC ถือว่าดังมาก ๆ

ถึงแม้ว่าในยุคนั้นจะเริ่มรูปแบบการ share file ผ่าน internet เช่น IRC , Hotline หรือ Usenet แล้วนั้น แต่ความพิเศษของ Napster คือ พวกเค้า focus ที่ไฟล์ mp3 และทำให้ user interface ใช้งานง่ายมาก ๆ คนทั่วไปสามารถค้นหา หรือ download file มาใช้งานได้อย่างง่ายดาย ทำให้ Napster ดังเป็นพลุแตกในยุคนั้น  โดยในช่วงที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดนั้น มีผู้ใช้งานที่เป็น registered user ถึง 80 ล้านคน ซึ่งถือว่าสูงมากในยุคนั้น

ความดังของ Napster ถึงกับทำให้เหล่าบรรดา network ในมหาลัยต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา นั้นกว่า 60% ของ traffic มาจากการ share file mp3 ทำให้หลาย ๆ มหาลัยทำการ block service ของ Napster เพราะกังวลเกี่ยวกับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้น  ซึ่งทำให้กล่าวได้ว่าศิลปินในขณะนั้นได้เริ่มเลิกการออกอัลบั้มเต็ม เปลี่ยนมาเป็นออก single แทนเลยทีเดียว

Macintosh Version

เริ่มต้นนั้น Napster สร้างโดยใช้งานได้เพียงระบบปฏิบัติการ windows เป็นหลัก อย่างไรก็ดีในปี 2000 ได้มีการสร้างบริการเลียนแบบ ชื่อ Macster บนระบบปฏิบัติการ Macintosh ด้วยความดังทำให้ Napster ตัดสินใจเข้า takeover  Macster และรวมเป็นบริการ “Napster for Mac”  และในภายหลังได้มีการปล่อย source ของ Macster เพื่อให้บริการที่เป็น 3rd-party นั้นสามารถเรียกใช้ได้จากทุกระบบปฏิบัติการ โดยใช้รูปแบบของการโฆษณาเพื่อหารายได้แทน

ความท้าทายทางด้านกฏหมาย

อย่างที่รู้กันว่าบริการลักษณะนี้เริ่มเกิดขึ้นมากมายในช่วงนั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการ share file ที่ผิดกฏหมายทั้งสิ้น  ซึ่งในตอนนั้นวง Metallica ได้ออก demo single ในเพลง “I Disappear”  แต่ก็ถูกทำการนำไปปล่อย share อย่างผิดกฏหมาย ก่อนที่จะทำการออก Release อย่างเป็นทางการ

ทำให้หลาย ๆ คลื่นวิทยุ สามารถนำเพลงมาออกอากาศก่อนที่วงจะปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการ ทำให้ในปี 2000 ทางวงเริ่มมีการตั้งทนายเพื่อทำการฟ้องร้อง Napster และหลังจากนั้นไม่นาน rapper ชื่อดังอย่าง Dr.Dre ก็เข้าร่วมในการฟ้องร้องครั้งนี้ด้วย หลังจาก Napster ปฏิเสธที่จะนำงานเพลงของพวกเขาออกจากบริการ Napster

วงชื่อดังอย่าง Metallica ใช้การฟ้องศาลเพื่อหยุดการเผยแพร่
วงชื่อดังอย่าง Metallica ใช้การฟ้องศาลเพื่อหยุดการเผยแพร่

ซึ่งหลายๆ  ศิลปินก็โดนผลกระทบในรูปแบบเดียวกัน single “Music” ของ Madonna ก็ถูกปล่อยออกมาผ่านทาง Napster ก่อนวันที่จะ Release อย่างเป็นทางการ ซึ่งส่งผลเสียหายต่อรายได้ ของศิลปินในขณะนั้นอยู่มาก

การต่อสู้บนชั้นศาลก็เริ่มขึ้น โดยในปี 2000 ค่ายเพลงต่าง  ๆ ได้รวมตัวกันเพื่อทำการฟ้องร้อง Napster ในข้อหาการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่ง Napster ก็ได้ต่อสู้ แม้จะแพ้ในศาลชั้นตั้น ก็ทำการอุทรณ์เพื่อสู้ต่อไปให้ถึงที่สุด

พลังแห่งการโปรโมต

รูปแบบ peer to peer ทำให้ traffic โตขึ้นอย่างรวดเร็ว
รูปแบบ peer to peer ทำให้ traffic โตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ว่าพลังของ Napster ที่ให้บริการ free นั้นจะได้ทำลายอุตสาหกรรมดนตรี รวมถึงทำให้ยอดขาย album นั้นตกลงไปเป็นอย่างมาก แต่ก็เกิดปรากฏการณ์บางอย่างในทางตรงกันข้ามขึ้นกับวง Rock Radiohead’s จากอังกฤษ  ในปี 2000 พวกเขาได้ออกอัลบั้ม Kid A ซึ่งก็เหมือนเคย อัลบั้มถูกปล่อยออกไปทาง Napster ก่อนที่จะ Release อย่างเป็นทางการถึง 3 เดือน 

แต่ผลของ Radiohead’s นั้นแตกต่างจาก Madonna  , Dr. Dre หรือ Metallica วง Radiohead นั้นไม่เคยแม้จะติด top 20 ของ chart ในสหรัฐอเมริกา พวกเค้าถูกเผยแพร่ผ่าน Napster รวมถึงคลื่นวิทยุเล็ก ๆ อย่าง radio airplay

Radiohead ใช้ Napster เป็นสื่อโปรโมตให้เค้าดังอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน
Radiohead ใช้ Napster เป็นสื่อโปรโมตให้เค้าดังอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน

ในช่วงที่ออก Release อัลบั้มอย่างเป็นทางการนั้น เพลงของพวกเค้า ได้ถูก download ผ่านบริการ share ไฟล์ ไปกว่า 1 ล้านครั้ง ทั่วโลก  ทำให้ในเดือนตุลาคม ปี 2000 นั้น อัลบั้ม Kid A ของพวกเค้าเข้าไปติดใน Billboard200 sales chart ได้เป็นครั้งแรก

ซึ่งมาจาก effect ของการโปรโมตผ่านบริการอย่าง Napster ทำให้สามารถเพิ่มยอดขายจากวงที่ตอนนั้นไม่ดังมาก และไม่ถูกคาดหวัง แต่สามารถประสบความสำเร็จได้ ผ่านการ promote จากบริการของ Napster นั่นเอง

ซึ่งตั้งแต่ปี 2000 ศิลปินหลาย ๆ คนก็เริ่มที่จะไม่เซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหญ่ ๆ และไม่จำเป็นต้องทำการ promote ผ่าน mass media อย่างรายการทีวีหรือวิทยุชื่อดัง แต่หันมาใช้ Napster ในการ promote แทน ด้วยกระแสปากต่อปาก

ทำให้สุดท้ายแล้วนั้นสามารถเพิ่มยอดขายอัลบั้มในระยะยาวได้ ซึ่งหนึ่งในศิลปินที่ช่วยปกป้อง Napster ในยุคนั้นคือ Dj xealot รวมถึง Chuck D และ Public Enemy ก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าพวกเค้า support Napster

สุดท้ายก็ต้องปิดบริการ

แต่ด้วยปัญหากับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2001 ต้องให้หยุดให้บริการของพวกเค้าชั่วคราว และต้องจ่ายค่าปรับจากการฟ้องร้องของค่ายเพลงกว่า 26 ล้านเหรียญรวมถึงต้องจ่ายค่า licensing ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกกว่า 10 ล้านเหรียญหากดื้อด้านที่จะเปิดให้บริการต่อไป ทางทีมงานจึงพยายามปรับตัวเองจากบริการใช้ฟรี เป็นแบบ subscription model เพื่อหารายได้ เพื่อมาจ่ายค่า license เหล่านี้

อย่างไรก็ดีหลังจากนั้น traffic ของ Napster ก็ตกลงอย่างมหาศาล ซึ่ง Prototype ของบริการแบบใหม่ subscription model นั้นได้ถูกนำมาทดสอบเริ่มใช้ในปี 2002 ในชื่อ “Napster 3.0 Alpha” ซึ่งจะเปลี่ยน file ไปเป็น .nap  ซึ่งเป็นการเข้ารหัสเพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์

แต่เมื่อจะเปิดใช้บริการจริง ก็ต้องพบกับปัญหาในเรื่องค่า license สำหรับศิลปินชื่อดังต่าง ๆ ทำให้ในเดือน พฤษภาคมปี 2002 นั้น Napster ได้ประกาศขายกิจการให้กับ Bertelsmann บริษัททางด้าน media จากประเทศเยอรมัน ในมูลค่ากว่า 85 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีเป้าหมายในการปรับรูปแบบของ Napster ให้เป้น online music subscription service

แต่อย่างไรก็ดี สุดท้ายการซื้อขายก็ไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อ Napster ถูกศาลล้มละลายกลางสหรัฐ blocked ไม่ให้ขายให้กับ Bertelsmann และทำการบังคับเพื่อยึดทรัพย์สินทั้งหมดของ Napster และเข้าสู่กระบวนการล้มละลายเป็นอันสิ้นสุดยุคของ Napster อย่างเป็นทางการ

สรุป

สำหรับ Napster นั้นได้ทำการแจ้งเกิดได้ถูกที่ ถูกเวลา ในช่วงที่ internet กำลังพัฒนาเรื่อง speed จนสามารถเกิดบริการในรูปแบบ file sharing ขึ้นมาได้ idea ของ Napster นั้นต้องบอกว่าเจ๋งมากในขณะนั้น

ผู้ใช้งานต่างยกย่องบริการอย่าง Napster เพื่อมาช่วยเหลือในเรื่องการฟังดนตรี ที่สามารถเข้าถึง single หรือ album ดัง ๆ ได้อย่างง่ายดายขึ้น ผู้คนไม่ต้องไปซื้อ CD ตามร้านอีกต่อไป แต่ ปัญหาหลักใหญ่ของ ระบบแบบนี้คือ ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์

ซึ่งกลุ่มที่เสียหายคือ ค่ายเพลงรายใหญ่จำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่น่าไปสู้ด้วยแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าบริการนี้จะถูกใจผู้ใช้งานเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นสิ่งกฏหมาย

ซึ่งการที่เราสร้าง startup ที่เสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้องในภายหลังนั้น ก็ไม่น่าจะควรทำมาตั้งแต่แรกดังตัวอย่างของ Napster ที่ถึงกับล้มละลาย เพราะไม่มีเงินไปเสียค่าปรับต่างๆ  จากการฟ้องร้องแม้จะพยายามที่จะปรับตัว แต่ user นั้นชินกับการบริการแบบฟรีไปแล้วหากมาเปลี่ยนรูปแบบก็ทำให้ user หนีไปยังบริการชนิดอื่นได้อย่างง่ายดายเช่นกันซึ่งสุดท้ายธุรกิจก็ไปไม่รอดอยู่ดี

Reference : en.wikipedia.org,godisageek.com

หนึ่งวันในชีวิตของ Oprah Winfrey พิธีกรสาวใจป้ำที่ได้รับฉายาราชินีแห่งสื่อทั้งปวง

รายการทอล์คโชว์ของ Oprah Winfrey อย่าง The Oprah Winfrey Show ซึ่งออกอากาศจากชิคาโก โดยเป็นการออกอากาศทั่วประเทศเป็นเวลา 25 ปี ตั้งแต่ปี 1986 ถึง 2011 เป็นหนึ่งในรายการทอล์คโชว์ทางทีวีที่มีเรตติ้งสูงสุดตลอดกาล

เธอได้รับการประกาศเกียรติคุณให้เป็น “Queen of All Media (ราชินีแห่งสื่อทั้งปวง)” ชาวแอฟริกันอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุดในศตวรรษที่ 20 ครั้งหนึ่งเคยเป็นมหาเศรษฐีผิวสีเพียงคนเดียวในโลก  เธอได้รับการยกย่องให้เป็น 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดของนิตยสาร Time ถึง 10 ครั้ง ความสำเร็จของเธอไม่มีวันสิ้นสุด เนื่องจาก Oprah มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จให้มากขึ้นอยู่เสมอ

เธอยังได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหญิงผู้ใจบุญผิวสีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา แม้ว่าเธอจะเกิดมาในความยากจนก็ตาม

ตอนที่เธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย Oprah ทำรายการวิทยุ และเมื่ออายุได้ 19 ปี เธอก็ได้เป็นผู้ประกาศร่วมของสถานีข่าวภาคค่ำในท้องถิ่น แล้วก็ย้ายไปที่รายการทอล์คโชว์ที่ออกอากาศในท้องถิ่นในชิคาโก จากนั้นจึงเปิดบริษัทโปรดักชันของตัวเองในชื่อ Harpo (Oprah สะกดแบบย้อนกลับ) ตอนนั้นเองที่เธอเริ่มรายการทอล์คโชว์ของตัวเอง ส่วนที่เหลือก็คือประวัติศาสตร์ล้วน ๆ

เธอประสบความสำเร็จมากมาย แน่นอนว่าทุกคนต่างอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอทำทั้งหมดนี้ได้อย่างไร และนี่คือภาพรวมกิจวัตรประจำวันของเธอในแต่ละวัน

ตอนเช้า

Oprah Winfrey ตื่นประมาณ 07.10 น. เธอบอกว่าสถานที่โปรดของเธอในการตื่นนอนแล้วล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติในคฤหาสน์มอนเตซิโต ที่รัฐแคลิฟอร์เนียของเธอเอง ซึ่งเธอเรียกว่า “Promised Land (ดินแดนแห่งพันธสัญญา)”

เวลา 8 โมงเช้าเธอจะลุกขึ้น แปรงฟัน และพาสุนัขทั้ง 5 ตัวออกไปเดินเล่นในสวน หลังจากนั้นเธอจะกลับมาทำเอสเปรสโซแก้วโปรดของเธอ

Promised Land (ดินแดนแห่งพันธสัญญา) คฤหาสน์ของ Oprah (CR:iDesignArch)
Promised Land (ดินแดนแห่งพันธสัญญา) คฤหาสน์ของ Oprah (CR:iDesignArch)

ขณะที่เธอกำลังรอเอสเปรสโซชงอยู่ Oprah จะอ่านการ์ด 5 ใบจากกล่อง 365 Gathered Truths ( กล่องนี้เป็นที่เก็บคำคมเตือนสติดี ๆ ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ)

และในเวลา 08.30 น. เธอนั่งสมาธิประมาณ 20 นาที ถ้าอากาศข้างนอกดี เธอจะนอนบนเก้าอี้สนามหญ้าโดยหลับตา จินตนาการถึงเป้าหมายของเธอสำหรับวันนี้ Oprah สังเกตว่าการเริ่มต้นวันใหม่อย่างช้าๆ ช่วยให้จิตใจของเธอดีขึ้นและมีสมาธิเต็มที่กับวันนั้น ๆ

เวลา 9.00 น. หลังจากทำสมาธิ เธอออกกำลังกายเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง รูทีนการออกกำลังกายของเธอเกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายเบา ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และการวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นบนลู่วิ่ง หรืออาจะออกไปวิ่งระยะทาง 2 ไมล์ โดยไม่ต้องออกจากที่พัก เพราะเธออาศัยอยู่บนพื้นที่ 65 เอเคอร์

ช่วงบ่าย

เมื่อถึงเวลาประมาณ 12:30 น. Oprah และ Stedman Graham หุ้นส่วนที่รู้จักกันมานานของเธอ รับประทานอาหารกลางวันที่ทำจากผลผลิตจากสวนของเธอ Oprah บอกว่ามื้อกลางวันเป็นมื้อโปรดของเธอ เธอจึงพยายามเต็มที่กับมัน บ่อยครั้งที่เธอจะชวนเพื่อนๆ เช่น Chrissy Metz และ Jennifer Lawrence มาหาถ้า Stedman ไม่อยู่

Oprah และ Stedman Graham หุ้นส่วนที่รู้จักกันมานานของเธอ (CR:NBC News)
Oprah และ Stedman Graham หุ้นส่วนที่รู้จักกันมานานของเธอ (CR:NBC News)

หลังอาหารกลางวัน เธอดูแลธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการจัดการเรื่องการเงิน การตอบอีเมล โทรศัพท์ และพูดคุยกับ Gayle King เพื่อนสนิทของเธอ ซึ่งเป็นบรรณาธิการใหญ่ของนิตยสาร O , Oprah’s

ต่อมาในช่วงบ่าย เธอออกกำลังกายเบาๆ อีกครั้ง จากนั้นจะไปที่โรงน้ำชาของเธอ ซึ่งเธอชอบดื่มชาที่ไม่มีคาเฟอีน

ตอนเย็น

เวลา 18.00 น. Oprah รับประทานอาหารเย็น ถ้า Stedman อยู่ที่นั่น เธอจะทานอาหารเย็นอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าเธออยู่คนเดียว เธอมักจะหยิบชามซุปหรือโปรตีนเชคขึ้นมาดื่ม

สำหรับ Oprah ตอนเย็นคือเวลาพบปะกับครอบครัวและผ่อนคลาย ซึ่งจะเน้นไปที่การพักผ่อน มักจะคุยกับครอบครัว ดูหนังดีๆ หรืออ่านหนังสือ เธอสังเกตว่านี่คือช่วงเวลาที่เธอชอบมากที่สุดในแต่ละวัน เพราะมันทำให้เธอมีโอกาสผ่อนคลายและใช้เวลาร่วมกับคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ

หลังจากทานอาหารเสร็จ เธอพาสุนัขไปเดินเล่นและจบวันรอบกองไฟกับคนที่เธอรัก และจิบชาสมุนไพรเล็กน้อย

เมื่อถึงเวลา 21:30 น. เธออาบน้ำก่อนที่จะเข้านอน

เรื่องน่าสนใจอื่น ๆ เกี่ยวกับ Oprah Winfrey

เหตุการณ์ในหน้าประวัติศาสตร์วงการโทรทัศน์คือ Oprah ได้ทำการแจกรถสปอร์ตหรูยี่ห้อ Pontiac รุ่น G6 มูลค่าคันละประมาณ 28,500 เหรียญสหรัฐฯ ให้กับผู้เข้าร่วมรายการ 276 คน ได้รับคนละคัน เป็นการฉลองความสำเร็จในการจัดรายการก้าวขึ้นสู่ปีที่ 19

Oprah ได้ทำการแจกรถสปอร์ตหรูยี่ห้อ Pontiac รุ่น G6 ให้ผู้ร่วมรายการ (CR: USA Today)
Oprah ได้ทำการแจกรถสปอร์ตหรูยี่ห้อ Pontiac รุ่น G6 ให้ผู้ร่วมรายการ (CR: USA Today)

Oprah ใช้เวลามากมายในการดูแลจัดการ “Oprah Book Club” ของเธอ เพื่อช่วยให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมกับหนังสือมากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ  USA Today รายงานว่ายอดขายหนังสือ “Oprah editions” จาก 70 รายชื่อในกลุ่มหนังสือของเธอขายรวมกันได้ประมาณ 55 ล้านเล่ม

คนส่วนใหญ่คิดว่าการอาบน้ำเป็นเรื่องสุขอนามัย ไม่ใช่งานอดิเรก แต่ไม่ใช่กับ Oprah “ฉันชอบสร้างประสบการณ์การอาบน้ำ เจลอาบน้ำ ฟองสบู่ คริสตัล เกลือ นมลาเวนเดอร์” เธอกล่าวกับ Harper’s Bazaar ในปี 2012 และในรายการ The Late Late Show เธอได้เปิดเผยกับพิธีกรรายการ James Corden ว่าเธอจริงจังกับการอาบน้ำมากจนมีอ่างอาบน้ำที่แกะสลักตามรูปร่างของเธอ

Oprah เป็นคนเข้มแข็ง ตรงไปตรงมา และมีความสามารถโน้มน้าวผู้อื่นได้ เธอรับผิดชอบ มุ่งมั่น และเอาแต่ใจ จัดรายการทอล์คโชว์ที่เปิดมาอย่างยาวนาน เปิดตัวเครือข่ายโทรทัศน์ของเธอเอง และเป็นผู้นำในความพยายามเพื่อการกุศลหลายอย่าง

References :
https://finty.com/us/daily-routines/oprah-winfrey/
https://www.wework.com/ideas/professional-development/management-leadership/the-morning-routines-of-successful-people
https://owaves.com/day-plan/day-life-oprah-winfrey-2/
https://grafixfather.com/blog/what-are-oprahs-hobbies/
https://www.yahoo.com/lifestyle/oprah-says-hobby-makes-her-130000979.html
https://stylecaster.com/beauty/beauty/347955/successful-women-hobbies/
https://www.groupworks.com/general/10-famous-people-and-the-hobbies-that-fire-them-up/

หนึ่งวันในชีวิตของ Steve Jobs  ผู้ที่กินวีแกน และฝึกสมาธิตามแนวทางของนิกายเซน

Steve Jobs ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple และ Pixar Animation Studios เป็นที่รู้จักจากบุคลิกที่สร้างสรรค์ ความเป็นผู้นำและความหลงใหลในเทคโนโลยีของเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และเขายังสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนรอบตัวเขาในทุกๆ วัน เขาเป็นผู้ประกอบการที่มีหัวธุรกิจชั้นยอดและมีความสามารถที่แปลกประหลาดที่จะรู้ล่วงหน้าว่าผู้คนต้องการอะไร

กิจวัตรประจำวันของเขามีบทบาทสำคัญในความสำเร็จ ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ตั้งแต่กิจวัตรตอนเช้าไปจนถึงการทำสมาธิตอนเย็นและการฝึกฝนทางจิตวิญญาณ กิจวัตรประจำวันของ Jobs ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคิดสร้างสรรค์ของเขา

ตอนเช้า

Jobs จะตื่นนอนในช่วง 6 โมงช้า เขาใส่ชุดเดิมๆ ทุกวัน เสื้อคอเต่าสีดำของอิซเซย์ มิยากิ และกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน เขาจึงไม่ต้องเสียเวลาเลือกว่าจะใส่อะไรในทุกเช้า

โดย Jobs จะเริ่มทำงานที่บ้านก่อนในช่วง 6.30 น. เรียกว่าโลกทั้งใบของ Jobs คืองาน ไม่ว่าจะที่สำนักงานหรือที่บ้าน เขามักใช้เวลาช่วงเช้า เช็คอีเมลก่อนที่ลูก ๆ ของเขาจะตื่น

โลกทั้งใบของ Jobs คืองาน ไม่ว่าจะที่สำนักงานหรือที่บ้าน  (CR:Cult of Mac)
โลกทั้งใบของ Jobs คืองาน ไม่ว่าจะที่สำนักงานหรือที่บ้าน (CR:Cult of Mac)

เมื่อเวลาประมาณ 7.30 น. Jobs จะมารับประทานอาหารเช้ากับครอบครัว และมักจะทานของว่างเช่น ผลไม้ น้ำผลไม้ ซึ่งผักและผลไม้ของครอบครัวจำนวนมากมักจะนำมาจากสวนภายในบ้านของเขาเอง

Jobs จะถึงสำนักงานใหญ่ของ Apple ประมาณ 9.00 น. และเริ่มประชุมนัดแรกของวันเวลาประมาณ 9.30 น. สิ่งที่จะทำในทุกวันจันทร์คือการตรวจสอบธุรกิจทั้งหมด ดูยอดขายจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำการตรวจสอบทุกสิ่ง ทั้งผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในช่วงพัฒนา ผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหา หรือ ในเคสที่สินค้ามีความต้องการเกินกว่าที่จะผลิตได้

Jobs จะวางกำหนดการดังกล่าวนี้ไว้ในทุก ๆ สัปดาห์ ซึ่ง 80% ของเวลาส่วนใหญ่ก็จะทำเหมือน ๆ กันกับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดย Apple จะมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก แต่นั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่ทำให้ทุกคนบริษัทเข้าใจวิสัยทัศน์ตรงกัน

การประชุมในวันจันทร์ จะสงวนไว้สำหรับผู้บริหาร 10 ลำดับแรกของ Apple ส่วนวันพุธ Jobs มักจะพบกับทีมการตลาด

Jobs จะมุ่งเน้นไปที่การประชุมแบบตัวต่อตัวเป็นหลัก เขามองว่ามันสำคัญมากที่จะต้องเจอผู้คนแบบเห็นหน้ากัน พูดคุย สบตาพวกเขา ตะโกนใส่พวกเขา หรือโอบกอดพวกเขา และรับรู้อารมณ์ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่

สำหรับมือเที่ยง Jobs นั้นขึ้นชื่อได้ว่าเป็นนักมังสวิรัติ บางครั้งเขาจะกินอาหารเพียงหนึ่งหรือสองอย่าง เช่น แอปเปิ้ลหรือแครอท

ช่วงบ่าย

เริ่มต้นช่วงบ่าย Jobs จะไปเยี่ยมชมห้องทดลองของทีม Industrial Design ซึ่ง Jony Ive และทีมนักออกแบบของเขาทำงานเกี่ยวกับต้นแบบผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ในอนาคต

Jobs มักจะไปขลุกอยู่กับ Ive ในช่วงบ่ายเสมอ (CR: AppleInsider)
Jobs มักจะไปขลุกอยู่กับ Ive ในช่วงบ่ายเสมอ (CR: AppleInsider)

ถ้าทีมของ Ive กำลังทำงานกับ iPhone รุ่นใหม่ Jobs จะใช้เวลาขลุกกับมันอย่างเข้มข้น เรียกได้ว่า Jobs เองเป็นคนตรวจสอบผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายด้วยตัวเองทุกครั้ง และมักจะมี sense ความเข้าใจผู้บริโภคว่าต้องการอะไรกันแน่ และ Jobs เองก็ค่อนข้างเชื่อมันในสัญชาตญาณของตนเองในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ

ในช่วงเวลา 15.00 น. เป็นช่วงเวลาของการตอบอีเมล การประชุมย่อย และการรับโทรศัพท์ ซึ่ง Jobs เองเป็นคนเปิดเผยที่อยู่อีเมลของเขาต่อสาธารณะ เขามักจะตอบกลับอีเมลโดยเฉลี่ยมากกว่า 100 ฉบับต่อวัน และคอยรับโทรศัพท์ 10 ครั้งต่อวัน

ในช่วงที่อยู่ที่ Pixar และ Apple นั้น กิจกรรมอื่น ๆ ในช่วงบ่าย อาจจะรวมถึงการซ้อมสำหรับการนำเสนอประเด็นสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น

ตอนเย็น

Jobs มักจะเลิกงานในช่วงเวลา 17.30 น. และกลับไปรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพาสต้ากับมะเขือเทศดิบ ข้าวโพดสดจากสวน ดอกกะหล่ำนึ่ง และสลัดแครอทขูดฝอย

ครอบครัวของ Jobs มักจะมีการดื่มชาหลังอาหารเย็น ซึ่งมักทำจากสมุนไพรสด เช่น เลมอนเวอร์บีน่าจากสวนของพวกเขา ซึ่งการดื่มชา ช่วยในการย่อยอาหาร เพิ่มความสงบและผ่อนคลาย และขจัดสารพิษออกจากร่างกาย

Jobs เป็นคนไม่ดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากจิบไวน์เป็นครั้งคราวเพียงเท่านั้น

ในเวลา 18.30 Jobs มักจะออกไปเดินเล่นกับ Laurene ภรรยาของเขา ทั้งสองมักออกไปเดินเล่นรอบ ๆ พาโลอัลโต

Jobs มักจะออกไปเดินเล่นกับ Laurene ภรรยาของเขาในช่วงเย็นเสมอ (CR:Business Insider)
Jobs มักจะออกไปเดินเล่นกับ Laurene ภรรยาของเขาในช่วงเย็นเสมอ (CR:Business Insider)

ในช่วงเวลา 22.00 น. เป็นต้นไป จะเป็นช่วงเวลาส่วนตัวที่ Jobs มักทำในกิจกรรมที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็น การฟังเพลง การทำสมาธิ และฝึกฝนจิตวิญญาณ

ศิลปินที่ Jobs ชื่นชอบมีตั้งแต่ Bob Dylan ไปจนถึง Bach ดนตรีช่วยให้ Jobs สามารถที่จะพาตัวเองเข้าถึงศูนย์กลางทางอารมณ์และจิตวิญญาณได้อีกครั้งในรอบวัน เขามักจะนั่งทำสมาธิ โดย Jobs ฝึกฝนตามแนวทางของพุทธศาสนานิกายเซน

หลังจากนั้น Jobs จะเข้านอน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันใหม่

เรื่องน่าสนใจอื่น ๆ เกี่ยวกับ Steve Jobs

  • เขาชอบฟังเพลงของ The Beatles และ Bob Dylan เป็นอย่างมาก และใช้เงินมากถึง 100,000 ดอลลาร์ไปกับระบบสเตอริโอสำหรับบ้านของเขาเมื่อเขาสร้างมันขึ้นมา
  • หนังสือที่เขาอ่านบ่อยคือ – อัตชีวประวัติของโยคี
  • มีคนไม่กี่คนที่ Steve Jobs ยกย่องให้เป็นฮีโร่ แต่บุคคลหนึ่งที่เขารักมากที่สุดตลอดชีวิตคือมหาตมา คานธี
  • Jobs เป็นวีแกน โดยเขาเริ่มกินวีแกนตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 19 ปี
  • Steve รักธุรกิจและวิศวกรรมของชาวเยอรมัน และเป็นผู้สนับสนุน Mercedes เขายังเป็นเจ้าของเครื่องบิน Gulfstream Jet เพราะต้องการที่จะเดินทางรอบโลกอย่างมีสไตล์

References :
https://www.quora.com/What-did-Steve-Jobs-do-for-fun-Did-he-have-a-hobby
https://www.cravingtech.com/5-things-you-didn%E2%80%99t-know-about-steve-jobs.html
https://owaves.com/day-plan/day-life-steve-jobs/
https://finty.com/us/daily-routines/steve-jobs/
https://www.forbes.com/sites/connieguglielmo/2012/05/07/a-day-in-the-life-of-steve-jobs/?sh=63ac2fdb7d6a

หนึ่งวันในชีวิตของ Bob Iger เจ้าพ่อแห่ง Disney ผู้ที่ชอบหลีกหนีจากโลกออนไลน์

ในฐานะ CEO ของ Disney ตั้งแต่ปี 2005 จนกระทั่งก้าวลงจากตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 (ก่อนที่จะมารับตำแหน่งอีกครั้งในช่วงปลายปี 2022)

Bob Iger เป็นแรงผลักดันเบื้องหลังที่สำคัญของการฟื้นตัวของบริษัท เป็นหัวหอกในการเข้าซื้อกิจการหลักหลายรายการ รวมถึง Pixar ในปี 2006 Marvel Entertainment ในปี 2009 Lucasfilm ในปี 2012 ด้วยมูลค่า 4.06 พันล้านดอลลาร์ และ 21st Century Fox ในปี 2019

ภายใต้การดำรงตำแหน่งของ Iger มูลค่าตลาดของ Disney เพิ่มขึ้นจาก 48.4 พันล้านดอลลาร์เป็น 257 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 13 ปี

ในวัยเจ็ดสิบปี เขาสามารถเข้าสู่วัยเกษียณที่เงียบสงบและผ่อนคลายได้อย่างง่ายดาย แต่ในทุกวันนี้เขาก็ยังทำงานที่มีความท้าทายอยู่ทุกวัน และนี่คือกิจวัตรที่น่าสนใจของ Bob Iger ในแต่ละวัน

ตอนเช้า

Bob Iger ตื่นนอนเวลา 4:15 น. โดยในเวลา 04.25 น. เขาเริ่มออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอด้วย VersaClimber โดยใช้เวลาถึง 45 นาทีบนเครื่อง โดยจะมีเทรนเนอร์ส่วนตัวมาช่วยเหลือสัปดาห์ละสองครั้ง เขาจะออกกำลังกาย 6 วันต่อสัปดาห์ และหลีกเลี่ยงการดูโทรศัพท์จนกว่าจะออกกำลังกายเสร็จ

กฎสำคัญข้อหนึ่งของเขาคือจะไม่เช็คอีเมลก่อนออกกำลังกาย เพราะนั่นอาจทำให้อารมณ์แปรปรวนได้ และเขาต้องการเวลานี้ให้เป็นเหมือนช่วงเวลาที่สงบ และสามารถอยู่กับความคิดที่ชัดเจนได้

Igner จะออกกำลังกาย 6 วันต่อสัปดาห์ และดูแลสุขภาพดีมาก ๆ (CR:Daily Mail)

หลังจากออกกำลังกาย Iger จะดื่มกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ และมักจะมาถึงออฟฟิศระหว่างเวลา 6.30-6.45 น

เขาสามารถผ่อนคลายในแต่ละวันและหลีกเลี่ยงการถูกรบกวน คำพูดที่ว่า “นกที่ตื่นเช้าย่อมจับหนอนได้” เป็นหนึ่งในถ้อยคำที่ซ้ำซากจำเจที่เก่าแก่ที่สุดในหนังสือ แต่มันก็เป็นเรื่องจริงสำหรับเขาเช่นกัน การมาทำงานเช้า ทำให้เขามีความสันโดษมากขึ้น เขาสามารถไปที่โต๊ะทำงานและจัดระเบียบความคิดและสร้างวาระการประชุมได้ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่จะเตรียมพร้อมสิ่งต่างๆ สำหรับวันนั้น ๆ

ช่วงบ่าย

เขาเดินทางบ่อย ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาในที่ทำงานน้อยมาก  Iger บริหารบริษัทที่มีพนักงาน 180,000 คนต้องใช้เวลาอยู่ในอากาศเยอะมาก เจ้าหน้าที่ของเขาคำนวณว่าเขาใช้เวลาราวเทียบเท่ากับ 1 ปีบนเครื่องบินของบริษัท Disney

เมื่อเขาอยู่ในเมือง ลอสแอนเจลิส เขาจัดตารางวันทำงานในสำนักงานให้เหมาะสม โดยจะมีการตรวจสอบอีเมลและข้อความเกี่ยวกับเรื่องงานที่เข้ามาทั้งวัน

เมื่อ Iger อยู่ในเมือง ลอสแอนเจลิส เขาจัดตารางวันทำงานในสำนักงานให้เหมาะสม (CR:arkhavencomics)
เมื่อ Iger อยู่ในเมือง ลอสแอนเจลิส เขาจัดตารางวันทำงานในสำนักงานให้เหมาะสม (CR:arkhavencomics)

ในบางครั้ง Igner ชอบที่จะจดบันทึกสิ่งที่ต้องทำลงในกระดาษ ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีเพียงสองหรือสามอย่างเท่านั้น

นิสัยอย่างนึงของ Iger คือ การควบคุมอาหารของเขาอย่างใกล้ชิด งดทานคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษจริง ๆ

ตอนเย็น

การไปทำงานแต่เช้าช่วยให้เขามีโอกาสกลับบ้านในเวลาที่เหมาะสม เขาแยกเวลางานและเวลาส่วนตัวอย่างชัดเจน เขามองว่าครอบครัวก็เป็นส่วนสำคัญในชีวิตเขา เขามีลูกชายอยู่ที่บ้านและเลี้ยงลูกสี่คนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาชอบที่จะอยู่บ้านเพื่อทานอาหารเย็นและนั่งคุยกับครอบครัวของเขา 

Iger มองว่าครอบครัวก็เป็นส่วนสำคัญในชีวิตเขา (CR:Daily Mail)
Iger มองว่าครอบครัวก็เป็นส่วนสำคัญในชีวิตเขา (CR:Daily Mail)

หลังอาหารเย็นและกิจวัตรตอนเย็นกับครอบครัวของเขา ลูกๆ ของเขาเข้านอนหรือทำการบ้าน เขาอาจจะใช้เวลาทำงานต่ออีกสองสามชั่วโมง

จากนั้นหากมีเวลาเขามักจะอ่านหนังสือหรือดูรายการทีวี ก่อนที่จะเข้านอน

เรื่องน่าสนใจอื่น ๆ เกี่ยวกับ Bob Iger

Iger กล่าวถึงประโยชน์หลักประการแรกของการหลีกเลี่ยงโลกออนไลน์ ว่า

“ผมเชื่อว่าในทุกๆ วัน คุณต้องมีเวลาเงียบๆ เพื่อคิด โดยที่คุณจะไม่ถูกรบกวนจากภายนอกจริงๆ … ในบางกรณี คุณไม่ได้อ่านอีเมล คุณไม่ได้ดูโทรศัพท์ คุณไม่ได้ทำอะไรจริง ๆ แต่ให้ตัวเองมีสมาธิกับสิ่งที่คุณคาดหวังหรือสิ่งที่คุณวางแผนจะทำ นั่นเป็นสิ่งสำคัญ”

พ่อแม่ของ Iger ทั้งคู่มีอาการหัวใจวายเมื่ออายุ 40 ปี ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีสามารถช่วยชีวิตเขาได้ เขาเปลี่ยนกิจวัตรการรับประทานอาหารและออกกำลังกายเมื่ออายุ 20 ต้นๆ เพื่อให้มีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีขึ้น 

Iger มักเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันแบบตัวต่อตัวหลังเหตุการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19

“ขณะที่ผมประชุมกับทีมงานทั่วทั้งบริษัทในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ผมได้รับการเตือนถึงคุณค่ามหาศาลในการอยู่ร่วมกับผู้คนที่คุณทำงานด้วย”

“อย่างที่คุณเคยได้ยินผมพูดมาหลายครั้ง ความคิดสร้างสรรค์คือหัวใจและจิตวิญญาณของสิ่งที่เรา (Disney) เป็น และสิ่งที่เราทำที่ Disney และในธุรกิจที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีสิ่งใดสามารถแทนที่ความสามารถในการสังเกต เชื่อมโยง หรือสร้างสรรค์ร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้จากการอยู่ร่วมกัน หรือแม้กระทั่งโอกาสที่จะเติบโตอย่างมืออาชีพโดยการเรียนรู้จากผู้นำอย่างใกล้ชิด”

References :
https://docplayer.net/228371875-Bob-iger-daily-routine-facts-and-lifestyle-in-2022.html
https://allthemoments.co/calendar-archetypes-bob-iger/
https://balancethegrind.co/daily-routines/bob-iger-daily-routine/#:~:text=After%20his%20exercise%2C%20Iger%20will,be%20the%20first%20one%20there.
https://www.masterclass.com/classes/bob-iger-teaches-business-strategy-and-leadership/chapters/using-your-time-effectively
https://whatgotyouthere.com/the-distillation-of-bob-iger/
https://medium.com/mind-cafe/try-this-simple-habit-from-a-former-disney-ceo-to-increase-your-focus-f04ce79cc4a1