COVID-19 กับการสูญเสียความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมของอเมริกา

รัฐบาลสหรัฐใช้จ่ายหลายพันล้านดอลลาร์ทุก ๆ ปีมากกว่ารัฐบาลอื่น ๆ ในโลก เพื่อพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย และหวังจะใช้มันเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ที่คาดเดาไม่ได้อย่างเช่นที่กำลังเกิดขึ้นกับการแพร่ระบาดของ COVID-19

ต้องบอกว่านี่คือความล้มเหลวของนโยบายวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาสมัยใหม่ นโยบายที่ย้อนกลับไปถึงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังสงครามผู้กำหนดนโยบายเรียกร้องให้รัฐสภามีส่วนร่วมในการเสริมสร้างศักยภาพและความคิดทางวิทยาศาสตร์ของประเทศ 

ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือยุคทองของประเทศ การขยายตัวอย่างรวดเร็วของการสนับสนุนจากรัฐบาลสำหรับการวิจัยขั้นพื้นฐานและการศึกษาเพื่อเติมเต็ม ห้องปฏิบัติการวิจัยเชิงลึกที่ใช้ในอุตสาหกรรม ด้วยจุดแข็งที่รวมกันเหล่านี้ทำให้ประเทศมีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อย่างรวดเร็วและวางรากฐานทางเทคโนโลยีสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่ของประเทศทั้งในด้านโทรคมนาคม ด้านการทหารและสุขภาพ  

โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง แต่สหรัฐฯยังคงทำงานอย่างหนักกับ นโยบายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบเดิม ๆ  แม้อเมริกาจะประสบความสำเร็จในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการวิจัยเชิงวิชาการในโลก

แต่ในขณะเดียวกันความสามารถของประเทศในการเปลี่ยนความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นโซลูชั่นที่ใช้งานได้จริงนั้นดูเหมือนจะล้มเหลวไม่เป็นท่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการแพร่ระบาดของ COVID-19 

สหรัฐฯ ใช้เวลาในการวิจัยด้านสุขภาพของมนุษย์มากกว่าเรื่องของเกษตรกรรมและพลังงานรวมกัน แต่ดูเหมือนว่ามันยังไม่เพียงพอในการเตรียมตัวไว้สำหรับ COVID-19 ไม่ใช่เพราะเรื่องงบประมาณที่น้อยเกินไปอย่างแน่นอน แต่เพราะมันไม่ได้ถูกใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ  มี 3 บทเรียนที่น่าสนใจที่จะกล่าวถึงในบทความนี้

1. ไม่เพียงแค่ให้ทุนวิจัยอย่างเดียว

ต้องบอกว่าจำนวนเงินที่สหรัฐอเมริกาใช้จ่ายในงานวิจัยโดยเฉพาะเรื่องของวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ที่อยู่นอกระบบงานวิจัยทางด้านการทหารแล้วนั้น ระบบของอเมริกาถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อให้ทุนสนับสนุนการวิจัย แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหา 

มหาวิทยาลัยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยระดับชาติมากที่สุดพร้อมกับหน่วยงานภาครัฐและห้องปฏิบัติการที่ไม่แสวงหากำไรอื่น ๆ สถาบันเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ด้วยแรงจูงใจที่ส่งเสริมการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ และผลงานที่ตีพิมพ์ออกมา 

ดังนั้นในขณะที่สหรัฐฯให้เงินสนับสนุนงานวิจัยจำนวนมากในด้านต่าง ๆ เช่น ภูมิคุ้มกันวิทยาและโรคติดเชื้อ แต่ใช้เวลาน้อยมากในการแปลการค้นพบเหล่านั้นเป็นการเตรียมการสำหรับการแพร่ระบาด ซึ่งความจริงแล้วนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นทั้งคู่

ด้วยการตระหนักถึงความต้องการในการแก้ปัญหาสหรัฐอเมริกาจึงเริ่มให้การสนับสนุนความท้าทายที่ยิ่งใหญ่และศูนย์วิจัยที่มุ่งเน้นปัญหาเฉพาะด้าน เช่น การพัฒนาในด้านพลังงานแสงอาทิตย์ที่ถูกกว่า หรือแบตเตอรี่รุ่นต่อไป 

ซึ่งความคิดริเริ่มเหล่านี้เป็นขั้นตอนในทิศทางที่ถูกต้องสำหรับนวัตกรรมของประเทศโดยเฉพาะนวัตกรรมที่ส่งผลด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเงินทุนของรัฐบาลส่วนใหญ่มักจะไหลไปที่นักวิชาการ และนักวิจัยภาครัฐไม่กี่กลุ่ม ซึ่งแน่นอนว่าผลงานของพวกเขาเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการค้นพบและเผยแพร่ในวารสารและการนำเสนอในที่ประชุมทางวิชาการเพียงเท่านั้น

2. หลีกเลี่ยงการระดมทุนเพื่อการวิจัยในระดับอุตสาหกรรม

บริษัท ขนาดใหญ่ไม่ได้สนใจในการระดมทุนในนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์ในขั้นต้น รัฐบาลสหรัฐล้มเหลวในการตอบสนอง การสนับสนุนจากรัฐบาลสำหรับการวิจัยภาคเอกชนนั้นลดลงไปจากยุครุ่งเรืองในช่วง 50 ปีก่อนเป็นอย่างมาก

ซึ่งผลที่ได้คือผู้คนในอุตสาหกรรมที่รู้วิธีการใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงกับการวิจัยที่ล้ำสมัยและการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลน้อยกว่าที่เคยเป็นมา และเนื่องจากองค์กรวิจัยของรัฐได้แยกตัวออกจากภาคอุตสาหกรรมจึงมีวิธีการตรวจสอบและปรับขนาดเทคโนโลยีที่สำคัญน้อยมาก เช่น การพัฒนาวัคซีนในโรคระบาด

ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลยังไม่พร้อมที่จะสนับสนุนรูปแบบการวิจัยในอุตสาหกรรมที่สดใสที่สุดในวันนี้ นั่นก็คือ Startup บริษัทเอกชนจะถูกแยกออกจากการเข้ารับเงินทุนวิจัยส่วนใหญ่อย่างเด็ดขาด ส่วนใหญ่จะเป็นการระดมทุนในภาคเอกชนด้วยกันเอง

ทำให้บริษัท Startup ที่เพิ่งเริ่มต้นจะมีความเสียเปรียบเพราะกฎการระดมทุนถูกสร้างขึ้นสำหรับบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้นที่สามารถทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง 

โครงการวิจัยขั้นสูงของหน่วยงานทางด้านกลาโหมอย่าง DARPA เป็นหนึ่งในไม่กี่หน่วยงานของรัฐที่มีความยืดหยุ่นในการระดมทุนการวิจัยที่ดีที่สุด  

ตัวอย่าง บริษัทอย่าง Moderna Therapeutics เป็นหนึ่งในหลาย ๆ บริษัท ที่พัฒนาวัคซีนที่เกิดจากงานวิจัยที่ได้รับทุนจาก DARPA ในระยะเริ่มต้น แต่ถึงกระนั้น DARPA ก็ยังต้องการการเชื่อมต่อที่ดีกว่ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม 

Darpa ที่มีงานวิจัยสุดล้ำออกมามากมาย แต่สำหรับวงการทหารเพียงเท่านั้น
Darpa ที่มีงานวิจัยสุดล้ำออกมามากมาย แต่สำหรับวงการทหารเพียงเท่านั้น

โดยทาง DARPA กำลังพัฒนาวิธีการสำหรับผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์เพื่อทำงานร่วมกับนักวิจัยของ DARPA และเชื่อมโยงการวิจัยในภาคอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่เทคโนโลยีชีวภาพไปจนถึงเทคโนโลยีทางด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์

3. มุ่งเน้นไปสู่สิ่งที่สำคัญสำหรับอนาคต

การที่ระบบยังคงยึดติดอยู่กับลำดับความสำคัญและแนวทางการวิจัยของศตวรรษที่ผ่านมา มันไม่สามารถปรับโฟกัสได้เร็วพอสำหรับปัญหาที่มีความสำคัญสำหรับอนาคตของประเทศ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความปลอดภัยของข้อมูล และโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย หรือ การแพร่ระบาดของโรค

ตัวอย่างผลงานการวิจัยของสหรัฐในปัจจุบันมันแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยเงินทุกดอลลาร์สหรัฐฯ จะใช้ไปกับการวิจัยทางชีววิทยาและการแพทย์เพียงแค่ 15 เซ็นต์เพียงเท่านั้น

ในการวิจัยทางเคมีและฟิสิกส์แม้จะมีศักยภาพมหาศาลสำหรับการคิดค้นในการดักจับคาร์บอนการเก็บพลังงานหรือพลังงานฟิวชั่น ซึ่งได้ทำการวิจัย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ต้องการโซลูชั่นเหล่านี้ทันที เช่นเดียวกับ งานวิจัยทาด้านชีววิทยาและการแพทย์ ที่ต้องการสิ่งที่เป็นโซลูชั่นที่สามารถใช้งานได้ทันที เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นนั่นเอง

ต้องบอกว่า Covid-19 เป็นวิกฤตที่น่ากลัว นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่ในการทบทวนอีกครั้งว่าการวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจะสามารถช่วยเหลือสังคมได้อย่างไรในอนาคต

สำหรับการทุ่มเทงบประมาณไปจำนวนมหาศาลขนาดนี้ของอเมริกา แต่เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นจริงกลับไม่สามารถจะช่วยเหลือประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อสถานการณ์ทางด้าน COVID-19 ของอเมริกานั้น ยังวิกฤติอยู่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ณ ปัจจุบัน อย่างที่เราได้เห็นกันนั่นเองครับ

References : https://www.technologyreview.com/2020/06/17/1003322/how-the-us-lost-its-way-on-innovation

นักประสาทวิทยาเตือนผู้รอดชีวิตจาก COVID กำลังทุกข์ทรมานกับความผิดปกติของสมอง

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าผู้ป่วยอาจเกิดความผิดปกติของสมองอย่างรุนแรงที่เกิดจากเชื้อ coronavirus ซึ่งเป็นสาเหตุของ COVID-19 ซึ่งอาจส่งผลกระทบแม้กระทั่งผู้ที่มีอาการไม่รุนแรง และในบางกรณีพวกผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าปัญหาทางระบบประสาทเหล่านี้อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

รายงานวิจัยฉบับใหม่โดยทีมนักวิจัยจากสถาบันประสาทวิทยามหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (UCL) และตีพิมพ์ออกมา ในวันนี้ ซึ่งมีการตรวจสอบผู้ป่วย COVID-19 จำนวน 43 คนที่พบความผิดปกติของสมองในหลากหลายรูปแบบ ที่ดูเหมือนว่าเป็นผลมาจาก coronavirus.

เหล่านี้รวมถึงปรากฏการณ์ที่สูงอย่างน่าทึ่งของโรคสมองอักเสบเฉียบพลัน (ADEM), ความผิดปกติทางระบบประสาทที่หายากด้วยการอักเสบในสมองอย่างแพร่หลายในผู้ป่วยที่มีอาการติดเชื้อ coronavirus

ผู้ป่วยแปดรายอาการข้างต้น ในขณะที่อีกแปดคนได้รับความเสียหายเส้นประสาทส่วนปลายได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค Guillian-Barre ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีไปที่เส้นประสาทของสมอง

งานวิจัยใหม่เน้นว่าเรามีความรู้เพียงเล็กน้อยเพียงใดเกี่ยวกับผลกระทบจากไวรัสร้ายแรงที่มีต่อร่างกายของมนุษย์เรา COVID-19 นอกจากนี้ยังได้รับการแสดงที่จะมีผลกระทบในปอด , หลอดเลือดและแม้กระทั่งหัวใจ

“เราเห็นสิ่งที่ COVID-19 มีผลกระทบต่อสมองที่เราไม่ได้เห็นมาก่อนด้วยไวรัสชนิดอื่น ๆ” Michael Zandi นักเขียนอาวุโสในการศึกษาเรื่องนี้และเป็นผู้ให้คำปรึกษานักประสาทวิทยาที่ UCL กล่าว

“ สิ่งที่เราได้เห็นจากผู้ป่วย ADEM เหล่านี้และในผู้ป่วยรายอื่นคือคุณมีอาการทางประสาทที่รุนแรง แต่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ coronavirus นั้นมีอาการทางโรคปอดเพียงเล็กน้อย” เขากล่าวและเสริมว่า ADEM อาจทำให้ผู้ป่วยบางราย เจอกับความพิการระยะยาวได้ในอนาคต

บทความอธิบายถึงกรณีของหญิงวัย 55 ปีที่มีอาการประสาทหลอนรุนแรงรวมถึงการเห็นลิงและสิงโตในบ้านของเธอหลังจากถูกนำออกจากโรงพยาบาล 

“เราต้องการให้แพทย์ทั่วโลกที่จะมีการแจ้งเตือนไปสู่ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ของ coronavirus” Zandi กล่าว “อาการทางสมองดูเหมือนจะมีส่วนในระยะยาวของความเจ็บป่วยจากเชื้อไวรัสตัวนี้”

Zandi ยังเตือนถึง“ โรคระบาดที่ซ่อนเร้น” ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในวิกฤตการณ์ในปัจจุบันด้วยผู้ป่วยที่มีปัญหาทางสมองที่คล้ายคลึงกัน แต่มีข้อสังเกตว่า“มันเร็วเกินไปที่จะสรุปในเรื่องนี้”

นักวิทยาศาสตร์หวังว่างานวิจัยของพวกเขาจะแจ้งแผนการฟื้นฟูในอนาคตสำหรับผู้ป่วย COVID-19 ที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นตัว

“แพทย์จะต้องตระหนักถึงผลกระทบทางระบบประสาทที่เป็นไปได้ เช่น การวินิจฉัยสามารถปรับปรุงการรักษาผู้ป่วย”  Ross Paterson จากสถาบันประสาทวิทยาของ UCL กล่าว

ต้องบอกว่าเรื่องนี้ เป็นข้อมูลที่น่าสนใจมาก เพราะว่า หลายคนอาจจะคิดว่าร่างกายสมบูรณ์ดี แล้วไม่ค่อยเป็นห่วงว่าจะติดโรคดังกล่าว เพราะดูเหมือนอัตราของผู้เสียชีวิตจากโรคนี้จะยังต่ำอยู่ จากการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ครั้งนี้

แต่ดูเหมือน สิ่งที่ Michael Zandi ได้นำเสนอออกมานั้น เป็นข้อมูลที่น่าสนใจมาก ๆ ว่า ผู้ป่วยที่ติด COVID-19 นั้นอาจจะได้รับผลกระทบในระยะยาวได้ และทำให้มีปัญหาสุขภาพเรื่องอื่นๆ ได้ในอนาคต เช่น สมองซึ่งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของมนุษย์ทุกคน และมันอาจจะกลายเป็นภาระทางสุขภาพของผู้ป่วยในอนาคตนั่นเอง

References : https://www.theguardian.com/world/2020/jul/08/warning-of-serious-brain-disorders-in-people-with-mild-covid-symptoms
https://www.courthousenews.com/brain-problems-linked-to-even-mild-virus-infections/
https://academic.oup.com/brain/article/doi/10.1093/brain/awaa240/5868408

Geek Monday EP45 : ความหวังมวลมนุษยชาติ เมื่อ Apple และ Google จับมือสร้างระบบติดตามการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทรงพลังที่สุด

การร่วมมือกันของสองยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีอย่าง Google และ Apple ในครั้งนี้อาจจะสามารถที่จะช่วยเหลือคนทั้งโลกได้เลยด้วย ซ้ำ เพราะมันเป็นการสร้างการแจ้งเตือน Notification มาจาก Platform แบบทันทีทันใด หากมีผู้ป่วยที่มีการยืนยันการติด COVID-19 ซึ่งจะทำให้ ผู้ที่เข้าไปสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ ที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่าน Bluetooh แล้วนั้น

สามารถได้รับการแจ้งเตือนได้แบบทันที ว่ามีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ และให้สามารถไปกักกันตัวได้ทันที แทนที่การคาดเดา หรือการคอยสัมภาษณ์แบบเดิม ๆ ที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะตามตัวทุกคนที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่่ติดเชื้อมาได้นั่นเองครับ ถือเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ๆ ครับสำหรับเทคโนโลยีนี้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน Podbean : https://bit.ly/2wx5fS4

ฟังผ่าน Apple Podcast :https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast :  https://bit.ly/2xnyEi6

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/3eiwmkP

ฟังผ่าน Youtube https://youtu.be/K9vothkXC-g

Image References : https://abcnews.go.com/Health/google-apple-team-contact-tracing-covid-19-app

เมื่อคู่แค้นต้องร่วมมือสร้างระบบติดตาม Covid-19 ใน iOS และ Android

Apple และ Google ได้ประกาศสร้างระบบสำหรับติดตามการแพร่กระจายของ coronavirus ใหม่ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถแบ่งปันข้อมูลผ่านการส่งสัญญาณ Bluetooth Low Energy (BLE)

ระบบใหม่นี้ซึ่งจะใช้การสื่อสารผ่านเทคโนโลยี Bluetooth Low Energy เพื่อสร้างเครือข่ายการติดต่อ ตามความสมัครใจของการเก็บรักษาข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือที่ได้รับในบริเวณใกล้เคียงกับแต่ละอื่น ๆ 

โดยแอปอย่างเป็นทางการจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะสามารถเข้าถึงข้อมูลนี้และผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดแอปไป พวกเขาสามารถรายงานผ่านแอปได้ หากพวกเขาได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ COVID-19 ซึ่งระบบจะทำการแจ้งเตือนผู้ที่ดาวน์โหลดแอปดังกล่าว ว่าพวกเขาอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อหรือไม่

Apple และ Google จะปล่อยแอปทั้งใน iOS และ Android โดยจะทำการเปิด API ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม และทำการตรวจสอบให้แน่ใจว่าแอปของหน่วยงานด้านสุขภาพเหล่านี้สามารถใช้งานได้จริงและไม่มีข้อบกพร่อง โดยในช่วงแรกนี้ผู้ใช้จะยังคงต้องดาวน์โหลดแอปเพื่อเข้าร่วมในการติดตาม ซึ่งอาจจำกัดการนำไปใช้ อยู่ในวงจำกัด

แต่ในอีกไม่กี่เดือนหลังจาก API เสร็จสมบูรณ์ บริษัท จะสร้างฟังก์ชั่นการติดตามในระบบปฏิบัติการที่รองรับ ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ทุกคนสามารถใช้งานได้ทันที ด้วยโทรศัพท์ iOS หรือ Android โดยจะเป็นการฝังอยู่ในระบบปฏิบัติการ

การติดตามการแพร่เชื้อ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการหาว่าใครเป็นผู้ติดเชื้อ และพยายามป้องกันไม่ให้ผู้อื่นติดไวรัส ถือเป็นหนึ่งในวิธีแก้ปัญหาที่มีแนวโน้มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19

ประสิทธิภาพสูงสุดเพราะแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้ผ่านแพลตฟอร์มมือถือได้เลย
ประสิทธิภาพสูงสุดเพราะแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้ผ่านแพลตฟอร์มมือถือได้เลย

แต่การใช้เทคโนโลยีการเฝ้าระวัง ก็มีคำถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของมัน เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน ( American Civil Liberties Union )ได้ตั้งข้อกังวลเกี่ยวกับการติดตามผู้ใช้ด้วยข้อมูลโทรศัพท์โดยยืนยันว่าระบบใด ๆ จะต้องถูกจำกัด ในขอบเขต และหลีกเลี่ยงความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ให้มากที่สุด

ต้องบอกว่าเทคโนโลนี้จะไม่เหมือนกับวิธีอื่น ๆ เช่น การใช้ข้อมูล GPS โดยการใช้ Bluetooth นี้จะไม่มีการติดตามตำแหน่งทางกายภาพของผู้คน โดยทั่วไปจะรับสัญญาณของโทรศัพท์ที่อยู่ใกล้เคียงในช่วงเวลา 5 นาทีและเก็บการเชื่อมต่อระหว่างพวกเขาในฐานข้อมูล 

หากมีคนที่มีผล Positive กับ coronavirus พวกเขาสามารถแจ้งให้คนอื่น ๆ ทราบว่าโทรศัพท์ของคุณเข้าไปใกล้วเคียงกับผู้ที่ติดเชื้อเหล่านี้หรือไม่ในช่วงก่อนหน้านี้

ระบบยังใช้ขั้นตอนหลายขั้นตอนในการป้องกันไม่ให้รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้มากเกินไป แม้ว่าพวกเขาจะแบ่งปันข้อมูลของพวกเขาออกไปก็ตามที

วิธีการยังคงมีจุดอ่อนที่อาจเกิดขึ้น ในพื้นที่ที่มีผู้คนหนาแน่น ที่สามารถตั้งค่าสถานะผู้คนในพื้นที่ใกล้เคียงกันซึ่งไม่ได้มีการแชร์พื้นที่กับผู้ใช้จริงทำให้ผู้คนใกล้ชิดเหล่านี้เกิดความกังวลโดยไม่จำเป็นได้ 

นอกจากนี้ระบบดังกล่าวยังอาจไม่ครอบคลุมถึงความแตกต่างของระยะเวลาที่มีคนสัมผัสใกล้ชิดกัน การทำงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อตลอดทั้งวันจะทำให้คุณมีปริมาณไวรัสมากขึ้นกว่าการเดินไปตามถนนแล้วติดไวรัสผ่านผู้อื่นนั่นเอง

แน่นอนว่ามันเป็นโปรแกรมที่ค่อนข้างใหม่โดย Apple และ Google ยังคงคุยกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ เกี่ยวกับวิธีการใช้งาน ระบบนี้อาจไม่สามารถแทนที่วิธีการติดตามผ่านผู้ติดต่อที่ล้าสมัยแบบเดิม ๆ เช่น การสัมภาษณ์ผู้ติดเชื้อว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนและใช้เวลาไปกับใครบ้าง แต่มันสามารถช่วยเหลือวิธีการเดิม ๆ แบบนี้ได้ด้วยวิธีการที่ไฮเทค โดยใช้อุปกรณ์พื้นฐานที่มีคนใช้งานเป็นพันล้านอย่างมือถือนั่นเองครับ

ต้องบอกว่า เป็นการพัฒนาที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับการร่วมมือกันครั้งนี้ระหว่าง Apple และ Google ซึ่งนำเทคโนโลยี Bluetooth มาใช้ และ คอย tracking ว่าผู้ใช้งานใกล้ชิดกับใครมาบ้าง ผ่านระบบรักษาความปลอดภัยที่ค่อนข้างซับซ้อน

ซึ่งเทคโนโลยี นี้ ต่อไปนั้นอาจจะช่วยเหลือคนทั้งโลกได้เลยด้วย ซ้ำ เพราะมันเป็นการ Notification มาจาก Platform แบบทันทีทันใด หากมีผู้ป่วยที่มีการยืนยันการติด COVID-19 ซึ่งจะทำให้ ผู้ที่เข้าไปสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ ที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่าน Bluetooh แล้วนั้น

สามารถได้รับการแจ้งเตือนได้แบบทันที ว่ามีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ และให้สามารถไปกักกันตัวได้ทันที แทนที่การคาดเดา หรือการคอยสัมภาษณ์แบบเดิม ๆ ที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะตามตัวทุกคนที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่่ติดเชื้อมาได้นั่นเองครับ ถือเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ๆ ครับสำหรับเทคโนโลยีนี้

References : https://www.theverge.com/2020/4/10/21216484/google-apple-coronavirus-contract-tracing-bluetooth-location-tracking-data-app

COVID-19 ได้ทำลายสถิติในการฆ่าคนอเมริกันมากที่สุดอย่างเป็นทางการ

จากข้อมูลล่าสุดจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) พบว่า COVID-19 กลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการโดยมีผู้เสียชีวิตสูงเกือบ 2,000 คนต่อวัน

ภาพกำลังเปลี่ยนไปอย่างมากทุกสัปดาห์เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ไวรัสมฤตยูได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดในการพรากชีวิตชาวอเมริกาไปเสียแล้ว ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์

ในช่วงเวลาของการรายงานมีผู้ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อมากกว่า 466,000 รายในสหรัฐอเมริกาและมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 16,700 ทำให้ด้วยอัตรานี้สหรัฐฯจะแซงหน้าอิตาลีอย่างรวดเร็วประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในปัจจุบันในอีกไม่กี่วัน

โดยสถิติเดิมของการเสียชีวิตของคนอเมริกันนั้น 1,774 รายต่อวันมีสาเหตุมาจากโรคหัวใจ และ 1,641 เป็นมะเร็ง จำนวนผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 ได้บดบังสาเหตุทั่วไปอื่น ๆ ของการเสียชีวิตรวมถึงไข้หวัดใหญ่ปอดบวม การฆ่าตัวตาย และโรคตับ

ทำเนียบขาวประมาณตัวเลขที่จะมีผู้เสียชีวิต ตกอยู่ระหว่าง 100,000 และ 240,000 คน ส่วนสถาบันตัวชี้วัดด้านสุขภาพและการประเมินผลที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันในซีแอตเทิล (Ihme) ประเมินไว้ที่ต่ำกว่า 60,415 คนที่จะเสียชีวิต

Anthony Fauci หนึ่งในผู้นำจากทำเนียบขาวที่ดูแลปัญหาการแพร่ระบาดของ coronavirus กล่าวว่า“ ดูเหมือนว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะมีมากกว่า 60,000 โดยจะอยู่ราว ๆ 100,000 ถึง 200,000 ราย” ในระหว่างการอัดรายการ “ Today Show” ของ NBC News

“จำนวนผู้เสียชีวิตและกรณีที่เราเห็นอยู่ในตอนนี้ กำลังแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เราอาจกล่าวได้ว่านี่จะเป็นสัปดาห์ที่เลวร้ายมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศเรา” Fauci กล่าว

“ในขณะที่คุณเห็นว่ากำลังมีความหวังบางอย่าง แต่เมื่อคุณดูสถานการณ์ในนิวยอร์ก” Fauci กล่าวเสริมว่า “ที่จำนวนผู้ป่วยที่มีความต้องการการดูแลอย่างหนัก และต้องใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มมากขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา พวกเขา[โรงพยาบาล]ในนิวยอร์ก ก็ไม่สามารถที่จะรองรับไหวได้อีกต่อไป”

ภาพเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในเมือง นิวยอร์ก
ภาพเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในเมือง นิวยอร์ก

ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมาก ๆ ที่ประเทศที่มีความพร้อมอันดับหนึ่งในการรองรับการแพร่ระบาด จากที่หลายๆ คนคิดนั้น เมื่อเกิดระบาดอย่างหนักขึ้นมาจริง ๆ ในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก ก็ไม่สามารถที่จะมีทรัพยากรที่รองรับไหว

ซึ่งสุดท้ายเมื่อเกิดขีดจำกัดของความสามารถในการดูแล สถานการณ์ในนิวยอร์ก นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับที่เกิดขึ้นในทางตอนเหนือของอิตาลีก่อนหน้านี้ ที่มีผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ซึ่งไทยเราก็ควรดูสถานการณ์ในประเทศเหล่านี้เป็นตัวอย่าง และไม่ควรประมาท และทำตามคำแนะนำของทางการ และสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพราะขนาดประเทศที่ว่ามีทรัพยากรพร้อมมาก ๆ อย่างเมืองนิวยอร์กของอเมริกา ก็ไม่สามารถรองรับไหวหากมีการระบาดหนักจริง ๆ

ซึ่งก็หวังว่าประเทศเราคงไปไม่ถึงจุดวิกฤติที่พวกเขาได้เจอ และ ยังเป็นบทเรียนที่สำคัญมาก ๆ กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่ไม่ควรประมาทเป็นอย่างยิ่ง ที่จะรับมือกับปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดที่โลกเราไม่เคยเผชิญมาก่อนอย่างการแพร่ระบาดในครั้งนี้นั่นเองครับ

References : https://futurism.com/neoscope/covid-19-officially-killing-more-americans-than-anything-else