เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนสนามรบ เมื่อยุคใหม่ของสงครามไฮเทคได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ต้องบอกว่าสงครามนั้นเป็นโศกนาฏกรรมสำหรับผู้คนและประเทศที่ต้องเสียสละอะไรหลายๆ อย่าง และโลกเราก็ได้ผ่านสงครามครั้งใหญ่เหล่านี้มามากมาย และดูเหมือนคำว่าสันติภาพยังห่างไกลจากความเป็นจริง

อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนีได้ส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังสงครามกลางเมืองในอเมริกาเพื่อศึกษาการสู้รบในเกตตีสเบิร์ก การดวลรถถังในสงครามยมคิปปูร์ในปี 1973 เร่งให้กองทัพอเมริกาเปลี่ยนจากกองกำลังที่พ่ายแพ้ในเวียดนามเป็นกองทัพที่ถล่มอิรักให้ราบเป็นหน้ากลองในปี 1991 โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน

สงครามในยูเครนถือเป็นสงครามใหญ่ที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่ปี 1945 สงครามครั้งนี้ได้เปลี่ยนมุมมองใหม่เกี่ยวกับการสู้รบในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

มันชี้ให้เห็นถึงสงครามที่มีความเข้มข้นสูงรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานเทคโนโลยีสุดล้ำเข้ากับการสังหารหมู่และการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ชั้นยอด

ทุ่งสังหารในนยูเครนนั้นนีบทเรียน 3 ประการ อย่างแรกคือสนามรบเริ่มที่จะสามารถมองเห็นได้แบบทะลุปรุโปร่งแบบไม่เคยปรากฎมาก่อน เซ็นเซอร์ชั้นยอดที่มองเห็นได้แทบจะทั้งหมด ดาวเทียม และฝูงโดรนราคาถูก พวกมันให้ข้อมูลสำหรับการประมวลผลโดยอัลกอริธึม AI ชั้นยอดที่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ

ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณมือถือของนายพลรัสเซีย หรือเค้าโครงของรถถังที่กำลังพรางตัว ข้อมูลเหล่านี้สามารถส่งผ่านดาวเทียมไปยังพลทหารในแนวหน้า หรือใช้เพื่อเล็งปืนใหญ่และจรวดด้วยความแม่นยำและระยะยิงที่ไม่เคยมีมาก่อน

นั่นหมายความว่าสงครามในอนาคตจะขึ้นอยู่กับศึกชิงข้อมูลของข้าศึก ลำดับความสำคัญคือการตรวจจับศัตรูให้ได้ก่อน ก่อนที่พวกเขาจะพบคุณ เพื่อทำให้เซ็นเซอร์ของข้าศึกนั้นมืดบอด

ต้องทำทุกวิถีทางในการขัดขวางวิธีการส่งข้อมูลข้ามสนามรบ ไม่ว่าจะผ่านการโจมตีทางไซเบอร์ สงครามอิเล็กทรอนิกส์ หรือวัตถุระเบิดแบบยุคโบราณ

กองกำลังรบต้องพัฒนาวิธีการต่อสู้ใหม่ โดยอาศัยความคล่องตัว การกระจายตัว การพรางตัว และการหลอกลวงข้าศึก กองทัพขนาดใหญ่ที่ไม่ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่จะถูกบดบี้โดยกองทัพขนาดเล็กที่ทำสิ่งเหล่านี้ก่อน สงครามจะไม่ได้วัดกันที่จำนวนทหารอีกต่อไปดั่งที่ได้ปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจนในสงครามยูเครน

แม้ในยุคของปัญญาประดิษฐ์ บทเรียนที่สองคือ สงครามยังคงเกี่ยวกับกำลังทหารของมนุษย์ รวมถึงเครื่องจักรและยุทโธปกรณ์นับล้าน การบาดเจ็บล้มตายในยูเครนนั้นมีความรุนแรงมาก ๆ

ความสามารถในการมองเห็นเป้าหมายและโจมตีเป้าหมายอย่างแม่นยำทำให้จำนวนศพทหารเพิ่มสูงขึ้น การใช้อาวุธยุทโธปกรณ์นั้นมหาศาล รัสเซียยิงกระสุน 10 ล้านลูกในหนึ่งปี ยูเครนสูญเสียโดรน 10,000 ลำต่อเดือน

ยูเครนสูญเสียโดรน 10,000 ลำต่อเดือน (CR:Radio Free Europe)
ยูเครนสูญเสียโดรน 10,000 ลำต่อเดือน (CR:Radio Free Europe)

ในที่สุดเทคโนโลยีจะเปลี่ยนรูปแบบสงครามทางกายภาพโดยเฉพาะกับทหารที่เป็นมนุษย์ นายพล มาร์ค มิลลีย์ ทหารอาวุโสของอเมริกา ทำนายว่า หนึ่งในสามของกองกำลังขั้นสูงจะเป็นหุ่นยนต์ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า

ลองนึกถึงกองทัพอากาศไร้นักบินและรถถังไร้คนขับ แต่อย่างไรก็ตามกองทัพแบบดั้งเดิมยังจำเป็นต้องต่อสู้ในทศวรรษนี้และในทศวรรษหน้า นั่นหมายถึงต้องสร้างขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมในการผลิตฮาร์ดแวร์ทางด้านการทหารในระดับที่มากขึ้น

บทเรียนที่สาม ซึ่งเป็นบทเรียนที่ใช้กับพื้นที่ส่วนใหญ่ของศตวรรษที่ 20 เช่นกัน นั่นคือ ขอบเขตของสงครามครั้งใหญ่นั้นกว้างขวางและไม่ชัดเจนเหมือนเดิมอีกต่อไป ความขัดแย้งของฝ่ายตะวันตกในอัฟกานิสถานและอิรักนั้นต่อสู้โดยกองทัพมืออาชีพขนาดเล็ก พลเรือนมีส่วนร่วมน้อยมาก ๆ

แต่ในสงครามยูเครน พลเรือนถูกดึงเข้ามาสู่สงคราม แม้กระทั่งคนเฒ่าคนแก่ในเมืองชนบทของยูเครนก็สามารถช่วยชี้เป้าในการยิงปืนใหญ่ผ่านแอปบนสมาร์ทโฟนได้

สมาร์ทโฟนที่เข้ามามีบทบาทมาก ๆ ในสงครามยูเครน (CR:CBC)
สมาร์ทโฟนที่เข้ามามีบทบาทมาก ๆ ในสงครามยูเครน (CR:CBC)

และนอกเหนือจากอุตสาหกรรมด้านกลาโหมแบบเก่า กลุ่มบริษัทเอกชนด้านเทคโนโลยีกลุ่มใหม่ก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามีความสำคัญเช่นกัน

ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในสนามรบของยูเครนอยู่บนเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในต่างประเทศ บริษัทในฟินแลนด์ให้ข้อมูลการกำหนดเป้าหมายและการสื่อสารผ่านดาวเทียมของอเมริกา

ต้องบอกว่าไม่มีสงครามครั้งใดที่เหมือนกัน การต่อสู้ระหว่างอินเดียและจีนอาจเกิดขึ้นบนดินแดนหลังคาโลก การปะทะกันระหว่างจีน-อเมริกันเหนือเกาะไต้หวันจะมีกำลังทางอากาศและทางเรือมากขึ้น

ในการสู้รบเพื่อแย่งชิงไต้หวัน อเมริกาและจีนจะถูกล่อลวงให้โจมตีกันในอวกาศ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอาวุธนิวเคลียร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการเตือนภัยล่วงหน้าและดาวเทียมที่ใช้ในการควบคุมถูกปิดการใช้งาน

รัสเซียที่อาจดูเหมือนเผด็จการอาจเป็นภัยคุกคามต่อตะวันตกเป็นเวลาหลายทศวรรษข้างหน้า อิทธิพลทางการทหารที่เพิ่มขึ้นของจีนเป็นปัจจัยที่บั่นทอนเสถียรภาพในเอเชีย

เพราะฉะนั้นกองทัพใดที่ไม่ได้เรียนรู้บทเรียนของสงครามรูปแบบใหม่ที่ได้จัดแสดงให้โลกเห็นกับสงครามในยูเครน มีความเสี่ยงที่จะเพลี่ยงพล้ำให้กับกองทัพที่สามารถเรียนรู้จากบทเรียนในครั้งนี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/leaders/2023/07/06/a-new-era-of-high-tech-war-has-begun
https://sputniknews.com/military/201811231070067598-royal-navy-ships-artificial-intelligece/
https://www.aidaily.co.uk
https://www.forbes.com/sites/davidaxe/2023/07/04/what-and-where-is-ukraines-high-tech-swedish-brigade/

Military AI Era เหตุใดธุรกิจสตาร์ทอัพ AI ทางการทหารกำลังอยู่ในยุคเฟื่องฟูสุดขีด

สองสัปดาห์หลังจากที่รัสเซียบุกยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ Alexander Karp ซีอีโอของบริษัทวิเคราะห์ข้อมูล Palantir ได้นำเสนอต่อผู้นำยุโรป เมื่อสงครามใกล้เข้ามา ชาวยุโรปควรปรับปรุงคลังอาวุธของตนให้ทันสมัยด้วยความช่วยเหลือ จาก Silicon Valley

จดหมายเปิดผนึกเพื่อให้ยุโรปยังคงแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะภัยคุกคามจากการยึดครองของต่างชาติ Karp กล่าวว่า ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับรัฐ โดยเฉพาะด้านการทหาร

ยุโรปตอบสนองต่อเรื่องดังกล่าวทันที NATO ประกาศเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนว่ากำลังสร้างกองทุนนวัตกรรมมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะลงทุนในสตาร์ทอัพระยะเริ่มต้นและกองทุนร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ การประมวลผลบิ๊กดาต้า และระบบอัตโนมัติ

Alexander Karp ซีอีโอของบริษัทวิเคราะห์ข้อมูล Palantir (CR:LA Times)
Alexander Karp ซีอีโอของบริษัทวิเคราะห์ข้อมูล Palantir (CR:LA Times)

นับตั้งแต่สงครามเริ่มต้น สหราชอาณาจักรได้เปิดตัวกลยุทธ์ AI แบบใหม่สำหรับการป้องกันประเทศโดยเฉพาะ และชาวเยอรมันได้ทุ่มงบประมาณให้กับการวิจัยและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ในวงเงิน 100,000 ล้านดอลลาร์แก่กองทัพของพวกเขา 

“สงครามเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง” Kenneth Payne ซึ่งเป็นผู้นำการวิจัยการศึกษาด้านการป้องกันประเทศที่คิงส์คอลเลจลอนดอน และเป็นผู้เขียนหนังสือ I, Warbot: The Dawn of Artificially Intelligent Conflict กล่าว 

สงครามในยูเครนได้เพิ่มความเร่งด่วนในการผลักดันเครื่องมือ AI ให้มากขึ้นในสนามรบ ผู้ที่ทำกำไรได้มากที่สุดคือสตาร์ทอัพอย่าง Palantir ซึ่งหวังว่าจะได้เงินจากการที่กองทัพแข่งขันกันเพื่อปรับปรุงคลังแสงของตนด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด

แต่ความกังวลด้านจริยธรรมที่มีมายาวนานเกี่ยวกับการใช้ AI ในการทำสงครามได้กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความคาดหวังของข้อจำกัดและข้อบังคับในการควบคุมการใช้งานนั้นดูห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ

ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับการทหารนั้นไม่เป็นมิตรเสมอไป ในปี 2018 หลังจากการประท้วงและความไม่พอใจของพนักงาน Google ที่ทำให้ต้องถอนตัวจาก Project Maven ของเพนตากอน

การประท้วงและความไม่พอใจของพนักงาน Google (CR:GettyImage)
การประท้วงและความไม่พอใจของพนักงาน Google (CR:GettyImage)

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างดุเดือดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและศีลธรรมในการพัฒนา AI สำหรับเรื่องอาวุธที่จะมาทำลายล้างมนุษย์ 

นอกจากนี้ยังมีการนำนักวิจัย AI ที่มีชื่อเสียงเช่น Yoshua Bengio ผู้ชนะรางวัล Turing Prize และ Demis Hassabis, Shane Legg และ Mustafa Suleyman ผู้ก่อตั้ง DeepMind ห้องปฏิบัติการ AI ชั้นนำ ที่ได้ให้สัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวเกี่ยวกับ AI ที่สร้างความรุนแรง 

แต่สี่ปีต่อมา ซิลิคอนแวลลีย์ใกล้ชิดกับกองทัพบกมากกว่าที่เคย Yll Bajraktari ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นกรรมการบริหารของคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติด้าน AI (NSCAI) ของสหรัฐฯ กล่าว

ในทุกวันนี้ไม่ใช่แค่บริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น บริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็กกำลังเริ่มเข้ามาในวงการนี้มากยิ่งขึ้น

Yll Bajraktari ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นกลุ่มที่ล็อบบี้สำหรับการนำ AI มาใช้มากขึ้นทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา 

ทำไมต้อง AI

บริษัทที่ขายเทคโนโลยี AI ทางการทหารต่างโฆษณาโอ้อวดในสิ่งที่เทคโนโลยีสามารถทำได้ พวกเขาบอกว่าสามารถช่วยได้ทุกอย่างตั้งแต่เรื่องธรรมดาไปจนถึงเรื่องที่ร้ายแรงมาก ๆ

ไล่มาตั้งแต่การคัดกรองประวัติไปจนถึงการประมวลผลข้อมูลจากดาวเทียม หรือการจดจำรูปแบบในข้อมูล เพื่อช่วยให้ทหารตัดสินใจได้เร็วขึ้นในสนามรบ 

ซอฟต์แวร์จดจำภาพสามารถช่วยระบุเป้าหมายได้ โดรนไร้คนขับสามารถใช้สำหรับการเฝ้าระวังหรือโจมตีบนบก ทางอากาศ หรือในน้ำ หรือเพื่อช่วยให้ทหารส่งมอบเสบียงได้อย่างปลอดภัยมากกว่าเดิม

เทคโนโลยีเหล่านี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นในสนามรบ และกองทัพกำลังอยู่ในช่วงของการทดลอง Payne กล่าว ซึ่งบางครั้งก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก มีตัวอย่างมากมายเกี่ยวกับแนวโน้มของบริษัท AI ที่โฆษณาเว่อร์เกินจริง

และที่สำคัญเขตการต่อสู้อาจเป็นพื้นที่ที่ท้าทายทางเทคนิคมากที่สุดในการปรับใช้ AI เนื่องจากมีข้อมูลการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้ระบบอัตโนมัติที่คุ้ยโม้โอ้อวดไว้นั้นเกิดความล้มเหลวได้ เพราะพื้นที่เหล่านี้นี้มีลักษณะที่ซับซ้อนและคาดเดาไม่ได้

ตามรายงาน ของ Georgetown Center for Security and Emerging Technologies รายงานว่ากองทัพจีนใช้จ่ายเงินอย่างน้อย 1.6 พันล้านดอลลาร์ต่อปีและในสหรัฐฯ มีการผลักดันอย่างมีนัยสำคัญเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในเรื่องงบประมาณดังกล่าว

กองทัพจีนใช้จ่ายเงินอย่างน้อย 1.6 พันล้านดอลลาร์ต่อปีในด้านเทคโนโลยี AI ด้านการทหาร (CR:EurAsian Times)
กองทัพจีนใช้จ่ายเงินอย่างน้อย 1.6 พันล้านดอลลาร์ต่อปีในด้านเทคโนโลยี AI ด้านการทหาร (CR:EurAsian Times)

Lauren Kahn นักวิจัยคนหนึ่งกล่าวที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ร้องของบประมาณ 874 ล้านดอลลาร์สำหรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในปี 2022 แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ได้สะท้อนถึงยอดรวมที่แท้จริงของการลงทุนด้าน AI ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ

ไม่ใช่แค่กองทัพสหรัฐฯ เท่านั้นที่เชื่อมั่นในความต้องการด้านนี้ Heiko Borchert ผู้อำนวยการร่วมของ Defense AI Observatory ที่มหาวิทยาลัย Helmut Schmidt ในเมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี กล่าวว่า ประเทศต่างๆ ในยุโรปซึ่งมีแนวโน้มจะระมัดระวังในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น ก็กำลังใช้จ่ายเงินไปกับ AI มากขึ้นเช่นกัน 

ฝรั่งเศสและอังกฤษระบุว่า AI เป็นเทคโนโลยีการป้องกันที่สำคัญ และคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรป ได้จัดสรรเงิน 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการป้องกันประเทศใหม่ 

บทสรุป

ในที่สุด ยุคใหม่ของ AI ทางการทหารทำให้เกิดคำถามทางจริยธรรมซึ่งเรายังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนนักหากเกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ ในแต่ละประเทศที่มีเทคโนโลยีเหล่านี้จะคำนึงถึงเรื่องจริยธรรมมากน้อยขนาดไหน หนึ่งในคำถามเหล่านั้นคือเราต้องการให้กองกำลังติดอาวุธเป็นระบบอัตโนมัติจริง ๆ หรือไม่

ในอีกด้านหนึ่ง ระบบ AI อาจลดจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยการทำให้สงครามมีเป้าหมายมากขึ้น ไม่กวาดล้างแบบมั่วซั่วเหมือนในอดีตที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก

แต่ในอีกทางหนึ่ง พวกเรากำลังสร้างกองกำลังหุ่นยนต์รับจ้างอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อต่อสู้ในนามของเรา มันทำให้สังคมของพวกเราห่างไกลจากผลของความรุนแรงได้จริง ๆ หรือไม่ สงครามใหญ่ที่เกิดขึ้นในครั้งหน้าจะให้คำตอบเราได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.nato.int/cps/en/natohq/news_197494.htm
https://www.technologyreview.com/2022/07/07/1055526/why-business-is-booming-for-military-ai-startups/
https://www.palantir.com/newsroom/letters/in-defense-of-europe/en/
https://www.ausa.org/news/milley-artificial-intelligence-could-change-warfare

ชาวยูเครนใช้แชทบอท Telegram เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของกองทหารรัสเซียและการโจมตีเป้าหมาย

บทบาทของเทคโนโลยีในสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียนั้น ต้องบอกว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก มันเป็นสงครามครั้งแรก ๆ ที่ เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เราใช้กันประจำวันเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และแน่นอนว่ามันจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการทำสงครามในอนาคต

ข่าวล่าสุด รัฐบาลยูเครนได้สร้างแชทบ็อตในแอพ Telegram เพื่อให้ผู้ใช้ใช้ไอโฟนรายงานการพบเห็นกองทัพรัสเซียที่บุกรุกเข้ามาไปยังกองกำลังป้องกันของประเทศ

การเริ่มต้นรุกรานยูเครนของรัสเซียนั้นถูกพบเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจบน Google Maps และ Apple Maps แต่ตอนนี้เราได้เห็นการนำเทคโนโลยีส่วนบุคคลที่ใช้ประจำวันอย่างแอปแชท มาใช้ประโยชน์ในภาวะสงคราม

Chatbot ต่างๆ ที่รู้จักกันในชื่อ “eVororog” หรือ “eBopor” ซึ่งแปลว่า “e-Enemy” ได้รับการสร้างขึ้นโดยกระทรวงดิจิทัลของยูเครน และมันไม่ใช่แอปแยกต่างหาก ดังนั้นรัสเซียจึงไม่สามารถเรียกร้องให้ลบออกจาก App Store ได้ เช่นเดียวกับแอปที่มีความละเอียดอ่อนทางการเมืองก่อนหน้านี้

แชทบอท @everog_bot ใน Telegram ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี มิคาอิล เฟโดรอฟ ได้เขียนเกี่ยวกับช่องดังกล่าวในช่อง Telegram ของเขาเอง

“ทีมงานของกระทรวงการพัฒนาดิจิทัลได้สร้างแชทบอทใน Telegram” “ด้วยความช่วยเหลือซึ่งชาวยูเครนสามารถรายงานการเคลื่อนไหวของผู้รุกรานได้”

ทั้งนี้ยังมีความพยายามอื่น ๆ ในการรวบรวมข้อมูล แต่อาจมีความเสี่ยงต่อการรายงานข้อมูลที่เป็นเท็จ ดังนั้นจึงได้มีการใช้แอป “Diya” ซึ่งเป็นแอปฟรีจากกระทรวงเดียวกันที่ใช้เพื่อรับรองความถูกต้องของผู้ใช้ในฐานะพลเมืองยูเครนที่แท้จริง

“ความแตกต่างที่สำคัญจากบอทอื่นๆ คือการอนุญาตผ่านแอปพลิเคชัน ‘Diya'” เขากล่าวต่อ “นี่เป็นสิ่งจำเป็นในการรวบรวมข้อมูลที่ดีขึ้นและเพื่อให้ผู้รุกรานไม่สามารถทำการสแปมรูปถ่ายหรือสร้างวิดีโอปลอมได้”

เมื่อผู้ใช้ได้รับอนุญาตให้โพสต์ในแชทบอท พวกเขาจะถูกขอให้ป้อนรายละเอียดที่แน่นอนของสิ่งที่พวกเขาเห็น ซึ่งรวมถึงสิ่งที่พวกเขาได้เห็นไม่ว่าจะเป็นกองทหารหรือยุทโธปกรณ์ เช่น รถถัง และใช้ iPhone เพื่อส่งตำแหน่งที่แน่นอน และใส่รูปถ่ายหรือวิดีโอด้วยหากเป็นไปได้

ข่าวยูเครนยังไม่รายงานรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับประสิทธิภาพของแชทบอทตัวนี้ อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวบน Twitterได้อ้างสถิติที่ไม่ได้รับการยืนยันซึ่งอ้างว่ามีชาวยูเครนกว่า 200,000 คนใช้แอปนี้ และทำให้ทหารรัสเซียเสียชีวิตกว่า 16,000 คน

ยูเครนเป็นแหล่งของนักพัฒนาซอฟต์แวร์จำนวนมาก รวมถึงแอปอย่าง MacPaw ซึ่งเพิ่งเปิดตัวโดยใช้เป็นแอปที่ตรวจสอบการแฮ็กของรัสเซีย

บทสรุป

ในภาวะวิกฤติหรือภาวะสงครามเช่นนี้ เราจะได้เห็นนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ถูกนำมาปรับใช้ในการต่อสู้อีกมากมาย แชทบอท ก็เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีความสำคัญมาก ๆ ในภาวะสงครามเช่นนี้

สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยูเครนนั้น แน่นอนว่ามันจะเปลี่ยนฉากหน้าของสงคราม ไม่เหมือนกับที่เราได้เห็นกันในอดีตอีกต่อไป มันไม่ใช่เพียงแค่ยุทธศาสตร์ทางด้านทหารเท่านั้น ที่จะส่งผลต่อชัยชนะ การมีส่วนร่วมของประชาชน และเทคโนโลยี จะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการสงครามในยุคหน้านั่นเองครับผม

References : https://twitter.com/mhmck/status/1508264579712835584
https://appleinsider.com/articles/22/02/25/google-maps-apple-maps-and-smartphones-are-at-the-forefront-of-modern-war
https://www.cultofmac.com/770989/ukrainians-turn-to-telegram-chatbot-to-track-and-target-russian-troops/
https://indianexpress.com/article/explained/russia-ukraine-war-telegram-app-7847165/
https://www.ft.com/content/9ea0dccf-8983-4740-8e8d-82c0213512d4

การขยายอำนาจ NATO จะเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของนโยบายของอเมริกาในยุคหลังสงครามเย็น

เป็นเรื่องที่ผิดปรกติมาก ๆ นะครับ ที่เครือข่าย Social Media ส่วนใหญ่ ทำการ feed ข่าวจากโลกตะวันตก ไม่ว่าจะเป็น CNN , BBC ฯลฯ เป็นหลักเข้ามาสู่หน้าจอ feed ของเรา ผมเองขนาด set ให้เป็นแบบ Favorite ของสำนักข่าวชื่อดังของรัสเซียอย่าง Russia Today (RT) ที่ปรกติจะตามอ่านประจำ ก็ยังแทบไม่เห็นข่าวในมุมของพวกเขาผ่านหน้า feed ตัวเองเลย

วันนี้จึงอยากนำเสนอมุมมองจากสื่อรัสเซียเจ้าใหญ่อย่าง Russia Today บ้างว่า เค้ามองอย่างไรกับประเด็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นครั้งนี้

จอร์จ เคนแนน นักการทูตของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้สังเกตการณ์ที่ระดับต้น ๆ ของโซเวียตรัสเซียภายใต้การนำของสตาลิน ได้เสนอข้อสังเกตของเขาในภายหลังเกี่ยวกับปัญหาการขยายตัวของ NATO โศกนาฏกรรมที่กำลังเกิดขึ้นจากการที่มุมมองเหล่านั้นถูกละเลย

วินสตัน เชอร์ชิลล์เคยกล่าวอย่างโด่งดังว่า“ชาวอเมริกันมักจะทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่หลังจากที่ความเป็นไปได้อื่นๆ หมดลงไปแล้ว”  ซึ่งหากชาติตะวันตกได้รับคำแนะนำจากเคนแนนเกี่ยวกับการขยายกำลังทหารโดยประมาทไปยังรัสเซีย โลกก็จะเป็นสถานที่ที่สงบสุขและคาดเดาได้ง่ายกว่าในทุกวันนี้

จอร์จ เคนแนน เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะนักการทูตและนักประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1946 เขาได้ส่งโทรเลขยาว 5,400 คำที่ส่งจากสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงมอสโกไปยังกรุงวอชิงตัน ซึ่งให้คำแนะนำเกี่ยวกับการควบคุมอย่างสันติของสหภาพโซเวียต

จอร์จ เคนแนน เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะนักการทูตและนักประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ (CR:Getty Image)
จอร์จ เคนแนน เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะนักการทูตและนักประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ (CR:Getty Image)

ความล้ำลึกดังกล่าวในการวิเคราะห์ซึ่ง เฮนรี่ คิสซินเจอร์ ยกย่องว่าเป็น”หลักคำสอนทางการฑูตในยุคของเขา”เป็นรากฐานทางปัญญาสำหรับการต่อสู้กับสหภาพโซเวียตภายใต้การนำของโจเซฟ สตาลิน

ภายในทางเดินแห่งอำนาจที่เริ่มเน่าเฟะขึ้นเรื่อย ๆ ที่ซึ่ง Dean Acheson ที่ขี้ขลาดมากกว่าได้เข้ามาแทนที่ George Marshall ที่ป่วยหนักในปี 1949 ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศ

เคนแนนและมุมมองเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับคู่แข่งสำคัญของลัทธิทุนนิยมก็ถูกลดบทบาทลง นั่นทำให้เกิดชะตากรรมที่ไม่แน่นอน ที่การมาถึงของนักแสดงหน้าใหม่เพียงคนเดียวบนเวทีโลกสามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล 

ดังนั้น เมื่อสูญเสียอิทธิพลในการบริหารยุคทรูแมน ในที่สุด เคนแนนก็เริ่มลดบทบาทตัวเองและมาสอนหนังสือที่สถาบันเพื่อการศึกษาขั้นสูง ซึ่งเขายังคงสอนอยู่จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 2005

ในปี 1997 หลังจากวอชิงตันทำงานอย่างหนักในการขับเคลื่อนการเป็นสมาชิก NATO สำหรับประเทศยุโรปกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแกนกลางของสนธิสัญญาวอร์ซอในยุคโซเวียต เคนแนนได้เขียนในหน้าหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส เขาเตือนว่าการขยาย NATO อย่างต่อเนื่องไปยังรัสเซีย“จะเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของนโยบายของอเมริกาในยุคหลังสงครามเย็นทั้งหมด”

สิ่งที่น่าประหลาดใจเป็นพิเศษสำหรับอดีตนักการทูตก็คือ สหรัฐฯ และพันธมิตรกำลังขยายกลุ่มทหารในช่วงเวลาที่รัสเซียกำลังประสบกับความเจ็บปวดอย่างร้ายแรงของระบบทุนนิยมบนซากปรักหักพังของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่คุกรุ่นอยู่ พวกเขาแทบจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อใครเลย นอกจากตัวของพวกเขาเอง

“เป็นเรื่องโชคร้ายที่รัสเซียควรเผชิญหน้ากับความท้าทายดังกล่าวในช่วงเวลาที่อำนาจบริหารของตนอยู่ในสถานะที่มีความไม่แน่นอนสูงและเกือบจะเป็นอัมพาต” เคนแนนกล่าว

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากกลุ่มประเทศตะวันตกปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ รัสเซียและตะวันตกจะพบเจตจำนงและแนวทางที่จะอยู่เคียงข้างกันอย่างกลมกลืน ตัวอย่างหนึ่งของความร่วมมือระหว่างกันดังกล่าวเห็นได้ชัดจากท่อส่งพลังงาน Nord Stream 2 ซึ่งเป็นโครงการทวิภาคีระหว่างมอสโกวและเบอร์ลินซึ่งขึ้นอยู่กับความไว้วางใจและความปรารถนาดีเหนือสิ่งอื่นใดระหว่างทั้งสองประเทศ 

ใครบ้างที่ต้องเดินทางไปทั่วโลกเพื่อทำสงครามในเมื่อทุนนิยมเสนอโอกาสที่มากเกินพอ ทว่าสหรัฐอเมริกาซึ่งบ้าอำนาจมาเป็นเวลานาน พวกเขาไม่มีวันพอใจอย่างแน่นอนกับภาพที่รัสเซียและยุโรปที่กำลังเริ่มเข้ากันได้ดี

สำหรับรัสเซีย เคนแนนกล่าวต่อว่า พวกเขาจะถูกบังคับให้ยอมรับแผนการขยายตัวของ NATO ว่าจะกลายเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการขยายอำนาจทางการทหาร ดังนั้นรัสเซียจึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาหลักประกันถึงอนาคตที่ปลอดภัยต่อพวกเขาเอง

คำเตือนของ เคนแนน ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจอีกต่อไป เพราะเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 1999 แมเดลีน อัลไบรท์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ต้อนรับอดีตประเทศในสนธิสัญญาวอร์ซอของโปแลนด์ ฮังการี และสาธารณรัฐเช็กอย่างเป็นทางการ 

แมเดลีน อัลไบรท์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ต้อนรับอดีตประเทศในสนธิสัญญาวอร์ซอ (CR:Getty Image)
แมเดลีน อัลไบรท์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ต้อนรับอดีตประเทศในสนธิสัญญาวอร์ซอ (CR:Getty Image)

ตั้งแต่ปี 1949 NATO ได้เติบโตขึ้นจากสมาชิกเดิม 12 ประเทศกลายเป็น 30 โดยสองสมาชิกในจำนวนนี้มีพรมแดนติดกับรัสเซียในรัฐบอลติกของเอสโตเนียและลัตเวีย ซึ่งเคยเป็นสถานที่ซ้อมรบครั้งใหญ่ของ NATO มาก่อนด้วยซ้ำ

ดังนั้นในขณะที่เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าสิ่งต่าง ๆ ระหว่างรัสเซียและตะวันตกจะแตกต่างกันอย่างไรหากสหรัฐฯ ปฏิบัติตามคำแนะนำของเคนแนน แต่มันเป็นไปได้สูงที่โลกเราจะไม่ติดกับความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดสงครามระดับภูมิภาคเหนือยูเครนซึ่งได้กลายเป็น ศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างมอสโกและ NATO

รัสเซียไม่รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นอย่างแน่นอนเนื่องจากอาวุธยุทโธปกรณ์ของ NATO เคลื่อนตัวไปทางชายแดนอย่างไม่ลดละ วลาดิมีร์ ปูตินเปิดเผยความรู้สึกเหล่านี้เมื่อ 15 ปีที่แล้วในระหว่างการประชุมความมั่นคงมิวนิก เมื่อเขาบอกผู้เข้าร่วมประชุมว่า “ผมคิดว่าเป็นที่แน่ชัดว่าการขยายตัวของ NATO ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับความก้าวหน้าของกลุ่มพันธมิตรเอง หรือกับการรับรองความปลอดภัยในยุโรป ตรงกันข้าม เป็นการยั่วยุที่รุนแรงที่สุดซึ่งลดระดับความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และรัสเซียมีสิทธิ์ที่จะถาม : การขยายตัวนี้มีจุดประสงค์เพื่อใคร”

ในวันนี้ ที่กรุงเคียฟได้มีการติดตามการเป็นสมาชิก NATO ของยูเครนอย่างแข็งขัน และดูเหมือนตะวันตกปฏิเสธที่จะยอมรับ ‘เส้นสีแดง’ ของมอสโก ซึ่งร่างไว้ในสนธิสัญญาสองฉบับที่ส่งไปยังวอชิงตันและ NATO ในเดือนธันวาคม นั่นทำให้สถานการณ์ดูเลวร้ายลง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชาวตะวันตกต้องเข้าใจก็คือรัสเซียมีความสามารถทางการฑูตหรืออย่างอื่นเพื่อจัดการกับภัยคุกคามที่รับรู้ในอาณาเขตของตน ซึ่งการได้รับสัญญาณจากการขยายตัวอย่างไม่ระมัดระวังของ NATO ในยุโรป พวกเขาจึงเริ่มสร้างพันธมิตรทางทหารในอเมริกาใต้และแคริบเบียน

เมื่อเดือนที่แล้ว เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรายงานว่าประธานาธิบดีปูตินได้พูดคุยกับผู้นำของคิวบา เวเนซุเอลา และนิการากัว เพื่อจุดประสงค์ในการยกระดับความร่วมมือในด้านต่างๆ รวมถึงประเด็นทางการทหาร

ในแต่ละวันที่ผ่านไป หากตะวันตกยอมรับแนวคิดของเคนแนนเกี่ยวกับความร่วมมือระดับภูมิภาค โลกของเราจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเฉกเช่นในทุกวันนี้ โชคดีที่ยังมีเวลาที่จะทบทวนคำแนะนำของนักการทูตที่เก่งกาจของอเมริกาอีกครั้ง หากวอชิงตันมีปรารถนาอย่างแท้จริงคือ “สันติภาพ” 

References : https://www.rt.com/news/550215-us-nato-expansion-kennan/
https://www.energyintel.com/0000017e-76e4-dd1c-ab7f-fee7340e0000
https://nsarchive2.gwu.edu/coldwar/documents/episode-1/kennan.htm

สงครามไซเบอร์ของรัสเซียในยูเครนส่งสัญญาณอันตรายไปทั่วโลกอย่างไร

รัสเซียได้ส่งทหารมากกว่า 100,000 นายไปยังชายแดนของประเทศกับยูเครน คุกคามการทำสงครามแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังไม่มีการปะทะกันอย่างจริงจัง แต่ปฏิบัติการทางไซเบอร์กำลังดำเนินการไปอย่างเข้มข้นแล้ว

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แฮ็กเกอร์ทำลายล้างเว็บไซต์ของรัฐบาลหลายสิบแห่งในยูเครน ซึ่งเป็นการกระทำที่ง่ายในทางเทคนิค แต่สามารถดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างมาก พวกเขาได้วางมัลแวร์ทำลายล้างไว้ในหน่วยงานรัฐบาลของยูเครน ซึ่งค้นพบครั้งแรกโดยนักวิจัยที่ Microsoft ยังไม่ชัดเจนว่าใครรับผิดชอบ แต่รัสเซียเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับแรกอย่างแน่นอน

แต่ในขณะที่ยูเครนยังคงรู้สึกถึงความรุนแรงของการโจมตีของรัสเซีย รัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์กังวลว่าการแฮ็กข้อมูลเหล่านี้อาจแพร่กระจายไปทั่วโลก คุกคามยุโรป สหรัฐอเมริกา และอื่นๆ 

เมื่อวันที่ 18 มกราคม สำนักงานความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐอเมริกา (CISA) ได้เตือนผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญให้ดำเนินการขั้นตอนเร่งด่วนในระยะสั้นกับภัยคุกคามทางไซเบอร์

โดยอ้างว่าการโจมตียูเครนครั้งล่าสุดเป็นเหตุให้ต้องตื่นตัวต่อภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ  ซึ่งมันชี้ให้เห็นถึงการโจมตีทางไซเบอร์สองครั้งในปี 2017 ได้แก่ NotPetya และ WannaCry ซึ่งแพร่กระจายอย่างรวดเร็วทั่วอินเทอร์เน็ต

การโจมตีได้ส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลกด้วยความเสียหายมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ความคล้ายคลึงกันนั้นชัดเจน: NotPetya เป็นการโจมตีทางอินเทอร์เน็ตของรัสเซียที่กำหนดเป้าหมายไปยังยูเครนในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดสูง

“ปฏิบัติการทางไซเบอร์เชิงรุกเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ได้ก่อนที่กระสุนและขีปนาวุธจะบินว่อนในสงครามเต็มรูปแบบจริง ๆ ” John Hultquist หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของ Mandiant บริษัท รักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์กล่าว “ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้กับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรได้ในขณะที่สถานการณ์เลวร้ายลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสหรัฐฯ และพันธมิตรมีท่าทีก้าวร้าวต่อรัสเซียมากขึ้น”

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 19 มกราคม ว่าสหรัฐฯ สามารถตอบสนองต่อการโจมตีทางไซเบอร์ของรัสเซียต่อยูเครนในอนาคตด้วยความสามารถทางไซเบอร์ของตนเอง ซึ่งอาจจะทำให้ความขัดแย้งยิ่งทวีความรุ่นแรงมากยิ่งขึ้น

“ผมเดาว่าเขาจะบุกเข้ามา” ไบเดนกล่าวเมื่อถูกถามว่าเขาคิดว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียจะบุกยูเครนหรือไม่

ผลที่ไม่คาดคิด?

ผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ของโลกอาจไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่พื้นที่เล็ก ๆ เหมือนในอดีต สงครามไซเบอร์ไม่เหมือนกับสงครามในสมัยก่อน สงครามไซเบอร์ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยพรมแดนเหมือนในอดีตอีกต่อไป

ยูเครนกำลังอยู่ในจุดสิ้นสุดของการปฏิบัติการทางไซเบอร์ของรัสเซียอย่างดุเดือดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และได้รับความเดือดร้อนจากการบุกรุกและการแทรกแซงทางทหารจากมอสโกตั้งแต่ปี 2014 ในปี 2015 และ 2016 แฮกเกอร์ชาวรัสเซียโจมตีโครงข่ายไฟฟ้าของยูเครนและปิดไฟในเมืองหลวงของ Kyiv ซึ่งส่งผลร้ายแรงต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก

การโจมตีไปที่โครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างเครือข่ายไฟฟ้า (CR:Bankinfosecurity)
การโจมตีไปที่โครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างเครือข่ายไฟฟ้า (CR:Bankinfosecurity)

การโจมตีทางอินเทอร์เน็ต NotPetya ในปี 2017 ซึ่งได้รับคำสั่งจากมอสโกอีกครั้ง โดยเริ่มแรกมุ่งเป้าไปที่บริษัทเอกชนของยูเครน ก่อนที่มันจะเริ่มแพร่กระจายและทำลายระบบต่างๆ ทั่วโลก 

NotPetya ปลอมตัวเป็นแรนซัมแวร์ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นโค้ดที่สร้างความเสียหายอย่างสูง มัลแวร์ทำลายล้างที่พบในยูเครนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ WhisperGate ยังทำตัวเป็นเป็นแรนซัมแวร์ โดยมีเป้าหมายที่จะทำลายข้อมูลสำคัญที่ทำให้เครื่องมือต่าง ๆ ใช้งานไม่ได้ 

ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า WhisperGate นั้น  ชวนให้นึกถึง NotPetya แต่ก็มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจน ประการหนึ่ง WhisperGate นั้นซับซ้อนน้อยกว่าและไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว  ซึ่งทางรัสเซียปฏิเสธการมีส่วนร่วม และไม่มีจุดเชื่อมโยงที่ชัดเจนไปยังมอสโก

NotPetya ทำให้ท่าเรือขนส่งสินค้าแทบเป็นอัมพาต และทำให้บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่หลายแห่งและหน่วยงานภาครัฐไม่สามารถทำงานได้ เกือบทุกคนที่ทำธุรกิจกับยูเครนได้รับผลกระทบเพราะรัสเซียแอบวางไวรัสในซอฟต์แวร์ที่ใช้โดยทุกคนที่จ่ายภาษีหรือทำธุรกิจในประเทศ 

ทำเนียบขาวกล่าวว่าการโจมตีครั้งนี้สร้างความเสียหายทั่วโลกมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ และถือเป็น “การโจมตีทางไซเบอร์ที่ทำลายล้างและมีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์”

ตั้งแต่ปี 2017 มีการถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องว่าเหยื่อจากต่างประเทศเป็นเพียงความเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจหรือว่าการโจมตีมุ่งเป้าไปที่บริษัทที่ทำธุรกิจกับศัตรูของรัสเซียหรือไม่ ที่ชัดเจนก็คือมันสามารถเกิดขึ้นได้อีกอย่างแน่นอนในอนาคต 

Hultquist คาดว่าเราจะได้เห็นการปฏิบัติการทางไซเบอร์จากหน่วยข่าวกรองทางทหารของรัสเซีย GRU องค์กรที่อยู่เบื้องหลังการแฮ็กที่ก้าวร้าวที่สุดตลอดกาลทั้งในและนอกยูเครน กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ GRU ซึ่งได้รับการขนานนามว่าแซนด์เวิร์ม

กลุ่มนี้มีหน้าที่รับผิดชอบสำหรับการแฮ็กระดับใหญ่ รวมถึงแฮ็กกริดไฟฟ้าของยูเครนปี 2015, แฮ็ก NotPetya ในปี 2017, การแทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส และการแฮ็กในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก

การถูกแทรกแซง และภาพการบุกสภาที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของผู้ประท้วงชาวอเมริกัน (CR:Wikipedia)
การถูกแทรกแซง และภาพการบุกสภาที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของผู้ประท้วงชาวอเมริกัน (CR:Wikipedia)

Hultquist กำลังมองไปที่อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้เชี่ยวชาญในชื่อ Berserk Bear ซึ่งมาจากหน่วยงานข่าวกรองรัสเซีย FSB ในปี 2020 เจ้าหน้าที่สหรัฐฯเตือนถึงภัยคุกคามที่กลุ่มก่อขึ้นต่อเครือข่ายรัฐบาล รัฐบาลเยอรมันกล่าวว่ากลุ่มเดียวกันนี้ประสบความสำเร็จในการโจมตีบริษัทต่างๆ เนื่องจากพวกเขามุ่งเป้าไปที่ภาคพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

“กลุ่มคนเหล่านี้ติดตามโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญมาเป็นเวลานาน เกือบทศวรรษแล้ว” Hultquist กล่าว “แม้ว่าเราจะจับพวกมันได้หลายครั้ง แต่ก็พวกเขายังคงเข้าถึงได้ในหลายๆ พื้นที่อยู่ดี”

เครื่องมือโจมตีที่มีความซับซ้อนสูง

มีการถกเถียงกันอย่างจริงจังเกี่ยวกับกลุ่มแฮ็กเกอร์ในรัสเซียและการรุกรานที่มอสโกต้องการทำนอกยูเครน 

“ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่ชาวรัสเซียจะไม่กำหนดเป้าหมายที่ระบบของเรา โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของเรา” Dmitri Alperovitch ผู้เชี่ยวชาญที่รู้จักกันมานานเกี่ยวกับกิจกรรมทางไซเบอร์ของรัสเซียและผู้ก่อตั้ง Silverado Policy Accelerator ในวอชิงตันกล่าว “สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะทำคือเพิ่มความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ท่ามกลางความพยายามในการทำสงครามกับยูเครน”

ไม่มีใครเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าแผนการที่แท้จริงของมอสโกเป็นอย่างไรในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนี้ ผู้นำอเมริกันคาดการณ์ว่ารัสเซียจะบุกยูเครน แต่รัสเซียได้แสดงให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า เมื่อพูดถึงโลกไซเบอร์ พวกเขามีเครื่องมือโจมตีที่มีความซับซ้อนและหลากหลายกว่ามาก

บางครั้งพวกเขาใช้มันเพื่อบางสิ่งที่ค่อนข้างเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพเหมือนกับการทำแคมเปญเพื่อบิดเบือนข้อมูลในเครือข่ายโซเชียลมีเดีย โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำลายเสถียรภาพทางการเมืองหรือแบ่งแยกฝ่ายตรงข้าม พวกเขายังมีความสามารถในการพัฒนาและปรับใช้การดำเนินการทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนและก้าวร้าวที่สุดในโลก

ในปี 2014 ในขณะที่ยูเครนตกอยู่ในวิกฤตอีกครั้งและรัสเซียบุกไครเมีย แฮ็กเกอร์ชาวรัสเซียก็แอบบันทึกการเรียกร้องของนักการทูตสหรัฐฯ ที่ผิดหวังกับการเพิกเฉยของยุโรปซึ่งกล่าวว่า “Fuck the EU” กับเพื่อนร่วมงาน ข้อมูลที่รั่วไหลผ่านการโทรทางออนไลน์เพื่อพยายามสร้างความโกลาหลในพันธมิตรของตะวันตกได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินการด้านข้อมูลที่รุนแรงโดยรัสเซีย 

การรั่วไหลของข้อมูลและการบิดเบือนข้อมูลยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับมอสโก การเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปต้องเผชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากการบิดเบือนข้อมูลทางไซเบอร์ตามทิศทางของรัสเซีย 

ในช่วงเวลาของพันธมิตรที่เปราะบางและสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่ซับซ้อนมากขึ้นในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ปูตินสามารถบรรลุเป้าหมายที่สำคัญได้ด้วยการกำหนดรูปแบบการสนทนาในที่สาธารณะและการรับรู้ว่าสงครามในยุโรปกำลังคืบคลานเข้ามา

“เหตุการณ์ในโลกไซเบอร์เหล่านี้แทบไม่ต้องใช้ความรุนแรง และผลที่ตามมาส่วนใหญ่อยู่ในการรับรู้ของสาธารณชนน” Hultquist กล่าว “พวกเขากัดกร่อนสถาบัน ทำให้เราดูไม่ปลอดภัย ทำให้รัฐบาลดูอ่อนแอ พวกเขามักจะไม่ยกระดับที่จะกระตุ้นการตอบสนองทางการทหารที่นำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ”

บทสรุป

เรื่องของ Propaganda หรือการโฆษณาชวนเชื่อนั้น ต้องบอกว่า มีมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุคสงครามโลก หรือ สงครามเย็น เพราะเป็นอาวุธที่สำคัญอย่างหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจเหล่านี้

แต่ตอนนี้ โลกได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็คือ การเกิดขึ้นของ Social Media ต่าง ๆ มากมาย ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และแน่นอนว่าสื่อใหม่เหล่านี้ ได้สร้างพลัง และอิทธิพลอย่างสูงต่อความเป็นไปของโลกเรา

ถึงขนาดที่ว่า ประเทศยักษ์ใหญ่ ที่มีอำนาจสูงสุดอย่าง สหรัฐอเมริกา ที่เป็นผู้นำโลก ยังโดนสงครามข้อมูลเหล่านี้ เปลี่ยนแปลงสังคม สร้างความเกลียดชัง และความแตกแยกของประชาชนชาวอเมริกันอย่างไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

เราได้เห็นภาพในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศประชาธิปไตยแบบสุดขั้วอย่างสหรัฐอเมริกา การบุกรุกรัฐสภาสหรัฐของผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้

และสิ่งเหล่านี้มันกำลังเกิดขึ้น ทั่วโลก ไล่มาตั้งแต่อาหรับสปริง การปฏิวัติในยูเครน จนมาถึงสิ่งที่ใหญ่ที่สุดอย่างการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของอเมริกา หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังเกิดความแตกแยกในประเทศไทยเราเองก็ตามที

หรือรูปแบบของการโจมตีไซเบอร์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ทำลายโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งทุก ๆ ชาติต้องเตรียมการกับการโจมตีรูปแบบใหม่นี้ เพราะในหากสงครามเต็มรูปแบบมันเกิดขึ้นจริงมันคงเป็นสงครามที่ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปนั่นเองครับผม

อ่าน Blog Series : Cyberwar – How Russian Hackers Steal the 2016 Election

References : https://www.express.co.uk/news/world/719511/Russia-US-brink-cyber-warfare-Putin-accused-rigging-election
https://www.technologyreview.com/2022/01/21/1043980/how-a-russian-cyberwar-in-ukraine-could-ripple-out-globally/?
https://www.politico.eu/article/russia-hacking-victoria-nuland-the-hairs-really-went-up-on-the-back-of-our-necks/
https://www.microsoft.com/security/blog/2022/01/15/destructive-malware-targeting-ukrainian-organizations/
https://www.bignewsnetwork.com/news/253442659/for-the-first-time-ever-putin-concedes-us-election-hacking-may-have-emanated-from-russia-blames-patriotic-hackers-ridicules-probe