Alexander Karp ซีอีโอของบริษัทวิเคราะห์ข้อมูล Palantir (CR:LA Times)
นับตั้งแต่สงครามเริ่มต้น สหราชอาณาจักรได้เปิดตัวกลยุทธ์ AI แบบใหม่สำหรับการป้องกันประเทศโดยเฉพาะ และชาวเยอรมันได้ทุ่มงบประมาณให้กับการวิจัยและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ในวงเงิน 100,000 ล้านดอลลาร์แก่กองทัพของพวกเขา
“สงครามเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง” Kenneth Payne ซึ่งเป็นผู้นำการวิจัยการศึกษาด้านการป้องกันประเทศที่คิงส์คอลเลจลอนดอน และเป็นผู้เขียนหนังสือ I, Warbot: The Dawn of Artificially Intelligent Conflict กล่าว
สงครามในยูเครนได้เพิ่มความเร่งด่วนในการผลักดันเครื่องมือ AI ให้มากขึ้นในสนามรบ ผู้ที่ทำกำไรได้มากที่สุดคือสตาร์ทอัพอย่าง Palantir ซึ่งหวังว่าจะได้เงินจากการที่กองทัพแข่งขันกันเพื่อปรับปรุงคลังแสงของตนด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด
แต่ความกังวลด้านจริยธรรมที่มีมายาวนานเกี่ยวกับการใช้ AI ในการทำสงครามได้กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความคาดหวังของข้อจำกัดและข้อบังคับในการควบคุมการใช้งานนั้นดูห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ
ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับการทหารนั้นไม่เป็นมิตรเสมอไป ในปี 2018 หลังจากการประท้วงและความไม่พอใจของพนักงาน Google ที่ทำให้ต้องถอนตัวจาก Project Maven ของเพนตากอน
การประท้วงและความไม่พอใจของพนักงาน Google (CR:GettyImage)
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างดุเดือดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและศีลธรรมในการพัฒนา AI สำหรับเรื่องอาวุธที่จะมาทำลายล้างมนุษย์
นอกจากนี้ยังมีการนำนักวิจัย AI ที่มีชื่อเสียงเช่น Yoshua Bengio ผู้ชนะรางวัล Turing Prize และ Demis Hassabis, Shane Legg และ Mustafa Suleyman ผู้ก่อตั้ง DeepMind ห้องปฏิบัติการ AI ชั้นนำ ที่ได้ให้สัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวเกี่ยวกับ AI ที่สร้างความรุนแรง
แต่สี่ปีต่อมา ซิลิคอนแวลลีย์ใกล้ชิดกับกองทัพบกมากกว่าที่เคย Yll Bajraktari ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นกรรมการบริหารของคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติด้าน AI (NSCAI) ของสหรัฐฯ กล่าว
Yll Bajraktari ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นกลุ่มที่ล็อบบี้สำหรับการนำ AI มาใช้มากขึ้นทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา
ทำไมต้อง AI
บริษัทที่ขายเทคโนโลยี AI ทางการทหารต่างโฆษณาโอ้อวดในสิ่งที่เทคโนโลยีสามารถทำได้ พวกเขาบอกว่าสามารถช่วยได้ทุกอย่างตั้งแต่เรื่องธรรมดาไปจนถึงเรื่องที่ร้ายแรงมาก ๆ
เทคโนโลยีเหล่านี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นในสนามรบ และกองทัพกำลังอยู่ในช่วงของการทดลอง Payne กล่าว ซึ่งบางครั้งก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก มีตัวอย่างมากมายเกี่ยวกับแนวโน้มของบริษัท AI ที่โฆษณาเว่อร์เกินจริง
และที่สำคัญเขตการต่อสู้อาจเป็นพื้นที่ที่ท้าทายทางเทคนิคมากที่สุดในการปรับใช้ AI เนื่องจากมีข้อมูลการฝึกอบรมที่เกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้ระบบอัตโนมัติที่คุ้ยโม้โอ้อวดไว้นั้นเกิดความล้มเหลวได้ เพราะพื้นที่เหล่านี้นี้มีลักษณะที่ซับซ้อนและคาดเดาไม่ได้
ตามรายงาน ของ Georgetown Center for Security and Emerging Technologies รายงานว่ากองทัพจีนใช้จ่ายเงินอย่างน้อย 1.6 พันล้านดอลลาร์ต่อปีและในสหรัฐฯ มีการผลักดันอย่างมีนัยสำคัญเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในเรื่องงบประมาณดังกล่าว
กองทัพจีนใช้จ่ายเงินอย่างน้อย 1.6 พันล้านดอลลาร์ต่อปีในด้านเทคโนโลยี AI ด้านการทหาร (CR:EurAsian Times)
Lauren Kahn นักวิจัยคนหนึ่งกล่าวที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ร้องของบประมาณ 874 ล้านดอลลาร์สำหรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในปี 2022 แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ได้สะท้อนถึงยอดรวมที่แท้จริงของการลงทุนด้าน AI ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ
ไม่ใช่แค่กองทัพสหรัฐฯ เท่านั้นที่เชื่อมั่นในความต้องการด้านนี้ Heiko Borchert ผู้อำนวยการร่วมของ Defense AI Observatory ที่มหาวิทยาลัย Helmut Schmidt ในเมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี กล่าวว่า ประเทศต่างๆ ในยุโรปซึ่งมีแนวโน้มจะระมัดระวังในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น ก็กำลังใช้จ่ายเงินไปกับ AI มากขึ้นเช่นกัน
ฝรั่งเศสและอังกฤษระบุว่า AI เป็นเทคโนโลยีการป้องกันที่สำคัญ และคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรป ได้จัดสรรเงิน 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการป้องกันประเทศใหม่
บทสรุป
ในที่สุด ยุคใหม่ของ AI ทางการทหารทำให้เกิดคำถามทางจริยธรรมซึ่งเรายังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนนักหากเกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ ในแต่ละประเทศที่มีเทคโนโลยีเหล่านี้จะคำนึงถึงเรื่องจริยธรรมมากน้อยขนาดไหน หนึ่งในคำถามเหล่านั้นคือเราต้องการให้กองกำลังติดอาวุธเป็นระบบอัตโนมัติจริง ๆ หรือไม่
ในอีกด้านหนึ่ง ระบบ AI อาจลดจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยการทำให้สงครามมีเป้าหมายมากขึ้น ไม่กวาดล้างแบบมั่วซั่วเหมือนในอดีตที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก
การเริ่มต้นรุกรานยูเครนของรัสเซียนั้นถูกพบเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจบน Google Maps และ Apple Maps แต่ตอนนี้เราได้เห็นการนำเทคโนโลยีส่วนบุคคลที่ใช้ประจำวันอย่างแอปแชท มาใช้ประโยชน์ในภาวะสงคราม
ในปี 1997 หลังจากวอชิงตันทำงานอย่างหนักในการขับเคลื่อนการเป็นสมาชิก NATO สำหรับประเทศยุโรปกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแกนกลางของสนธิสัญญาวอร์ซอในยุคโซเวียต เคนแนนได้เขียนในหน้าหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส เขาเตือนว่าการขยาย NATO อย่างต่อเนื่องไปยังรัสเซีย“จะเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของนโยบายของอเมริกาในยุคหลังสงครามเย็นทั้งหมด”