Geek Talk EP11 : Arsène Wenger: Invincible การสร้างตำนานเปรียบดั่งราชาสู่การจากลาที่แสนเจ็บปวด

ในเดือนตุลาคม ปี 1996 อาร์แซน เวนเกอร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีม Arsenal อย่างเป็นทางการ สิ่งที่เขาทำในอีกสองทศวรรษข้างหน้าจะกำหนดนิยามใหม่ของทั้งสโมสรและฟุตบอลอังกฤษ โดยแนะนำวิธีการและแนวคิดใหม่ๆ ที่ตอนนี้เป็นเรื่องธรรมดาทั่วประเทศ 

หนึ่งในสี่ของศตวรรษนับจากการแต่งตั้งครั้งนั้น หลังจากก้าวลงจากตำแหน่งในปี 2018 เวนเกอร์ได้ติดตามบันทึกความทรงจำล่าสุดของเขาด้วยสารคดีที่มีชื่อว่า Arsene Wenger: Invincible

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3pfv5kN

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3xH9SEu

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3llO8J6

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3lo6Aky

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/vvKvAcyR2kg

Facebook และ Google ให้ทุนกับฟาร์ม clickbait ที่สร้างข้อมูลเท็จไปทั่วโลกอย่างไร

มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก ๆ ที่โดยพฤตินัยแล้วนั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีระดับโลกไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Google กำลังให้การสนับสนุนฟาร์ม Clickbait การพาดหัวข่าวเพื่อล่อให้คนคลิก หรือ ข้อมูลเท็จที่สามารถสร้างกันได้ง่ายมาก ๆในยุคปัจจุบัน และกระจายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วมาก ๆ

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือในประเทศเมียนมาร์บ้านใกล้เรือนเคียงของเรา เมื่อ ตำรวจและทหารเริ่มปราบปรามชาวมุสลิมโรฮิงญา และมีการผลักดันให้เกิดการโฆษณาชวนเชื่อที่ต่อต้านชาวมุสลิม

แน่นอนว่าพวกเขาอาศัยแพลตฟอร์มชื่อดังเหล่านี้ในการสร้างข่าวปลอม เพื่อผลประโยชน์ให้เกิดกระแสไวรัล ซึ่งมีการอ้างว่าชาวมุสลิมติดอาวุธที่กำลังรวมตัวกันเป็นกลุ่มก่อการร้าย 1,000 คน พวกเขากำลังจะฆ่าคุณ (ประชาชนชาวเมียนมาร์)

ทุกวันนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าข่าวปลอมส่วนใหญ่มาจากผู้มีบทบาททางการเมือง หรือ แรงจูงใจทางด้านการเงินมากกว่ากัน แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ปริมาณข่าวปลอมและ clickbait ส่วนใหญ่เป็นเหมือนเชื้อเพลงที่จุดไฟให้เกิดความตึงเครียดทางเชื้อชาติ การเมือง ศาสนาที่อันตรายเอามาก ๆ อยู่แล้ว

ตัวอย่างที่เมียนมาร์มันชัดเจนมาก ๆ มันเปลี่ยนความคิดเห็นของประชาชนและยกระดับความขัดแย้ง ซึ่งสุดท้ายแล้วนำไปสู่การเสียชีวิตของชาวโรฮิงญา 10,000 คน และมีชาวโรฮิงญาที่ต้องผลัดถิ่นอีกกว่า 700,000 คน

การถือกำเนิดของฟาร์ม Clickbait

Facebook ได้เปิดตัวโปรแกรม Instant Articles ในปี 2015 ที่ทำให้ประสบการณ์การโหลดที่เร็วขึ้นด้วยรูปสายฟ้าบนบทความ ซึ่งก่อนหน้า Instant Articles ถือกำเนิดนั้น บทความที่โพสต์บน Facebook จะต้องวิ่งต่อไปยัง Browser แต่ Instant Articles จะเปิดขึ้นโดยตรงภายในแอปของ Facebook

ซึ่ง Facebook เองจะเป็นเจ้าของโฆษณาทั้งหมด หากผู้เผยแพร่โฆษณาที่เข้าร่วมเลือกที่จะสร้างรายได้ด้วยเครือข่ายโฆษณาของ Facebook ที่เรียกว่า Audience Network ซึ่ง Facebook สามารถแทรกโฆษณาลงในเรื่องราวของผู้จัดพิมพ์และหักรายได้ 30%

ในปี 2018 Facebook รายงานว่า ได้จ่ายเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ ให้กับผู้เผยแพร่และนักพัฒนาแอป แต่ Facebook กลับควบคุมคุณภาพเนื้อหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มีการสร้างบทความซ้ำ ๆ หรือพาดหัวเรียกให้คลิก ที่เรียกกันว่า Clickbait เป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างรายได้อย่างมหาศาล

แน่นอนว่ามันทำให้ ฟาร์ม Clickbait ทั่วโลกมองเห็นช่องโหว่ดังกล่าว ซึ่งพวกเขายังใช้กลยุทธ์จากช่องโหว่เหล่านี้มาจวบจนถึงปัจจุบันเพราะมันยังคงสร้างรายได้ให้กับพวกเขาอย่างเป็นกอบเป็นกำ

ตัวอย่างฟาร์ม Clickbait ในประเทศเมียนมาร์ สามารถสร้างสูตรการผลิตเนื้อหาที่เหมาะสมน่าสนใจ น่าดึงดูดให้คลิก ทำให้พวกเขาสามารถสร้างรายได้จากโฆษณาหลายพันเหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน หรือ เป็น 10 เท่าเมื่อเทียบกับรายได้ขั้นต่ำของประเทศ โดย Facebook จ่ายให้กับพวกเขาโดยตรง

และนั่นเองมันได้ทำให้เกิดฟาร์มต่าง ๆ ทั่วโลก ตัวอย่างที่น่าสนใจอีกเคสคือ ฟาร์ม clickbait ในมาซิโดเนียและโคโซโว ที่เข้าถึงชาวอเมริกันเกือบครึ่งล้านหนึ่งปีก่อนการเลือกตั้งในปี 2020

ฟาร์มต่าง ๆ ได้ทำทั้ง Instant Articles และ Ad Breaks ซึ่งเป็นโปรแกรมสร้างรายได้ที่คล้ายกันสำหรับเนื้อหาประเภทวีดีโอ ซึ่งมีข้อมูลว่าจำนวน 60% ของโดเมนที่ลงทะเบียนใน Instant Articles กำลังใช้กลยุทธ์การเขียนแบบสแปมที่ใช้โดยฟาร์ม clickbait

Google ก็มีความผิดเช่นกัน โปรแกรม Adsense เป็นตัวจุดเชื้อไฟให้กับฟาร์มใน มาซิโดเนียและโคโซโว ที่กำหนดเป้าหมายผู้ชมชาวอเมริกันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเท็จและสร้างเพื่อให้เป็นกระแสไวรัล

ปัจจุบันฟาร์ม Clickbait หลายแห่งสร้างรายได้จากทั้ง Instant Articles และ AdSense โดยได้รับเงินจำนวนมหาศาลจากทั้งสองบริษัท และเนื่องจากอัลกอริธึมของ Facebook , Google และ Youtube ช่วยกระจายข้อมูลทุกสิ่งที่ผู้ใช้ยิ่งมีส่วนร่วมมาก

Instant Articles , Ads Break และ Google Adsense แหล่งทำเงินของ ฟาร์ม Clickbait (CR:Abijita Foundation)
Instant Articles , Ads Break และ Google Adsense แหล่งทำเงินของ ฟาร์ม Clickbait (CR:Abijita Foundation)

นั่นเองที่ทำให้พวกเขาได้สร้างระบบนิเวศข้อมูลซึ่งเนื้อหาที่กระจายบนแพลตฟอร์มหนึ่งมักจะถูกนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อเพิ่มการกระจายและสร้างรายได้สูงสุด ซึ่งฟาร์ม clickbait เหล่านี้คงอยู่ไม่ได้แน่ ถ้าไม่ได้รับเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ได้รับจากแพล็ตฟอร์มทั้งสองนั่นเอง

บทสรุป

แม้ว่า Facebook ได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการกำจัดฟาร์ม clickbait ออกจาก Instant Articles และ Ad Breaks ในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 ตามรายงานภายในของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เริ่มมีการตรวจสอบผู้จัดพิมพ์เพื่อหาต้นฉบบับจริงของเนื้อหาและทำลายล้างผู้ที่โพสต์เนื้อหาส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ต้นฉบับ

แต่การตรวจสอบอัตโนมัติเหล่านี้มีจำกัด โดยเน้นที่การประเมินความสร้างสรรค์ของวิดีโอเป็นหลัก ไม่ใช่ว่าบทความนั้นถูกลอกเลียนแบบหรือไม่ ซึ่งแม้ว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้น AI ก็ตรวจสอบได้ยากอยู่ดี

ระบบดังกล่าวจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาษาที่กำหนดเท่านั้น ประเทศที่มีภาษาที่ไม่ได้จัดลำดับความสำคัญโดยชุมชนการวิจัย AI จะได้รับความสนใจน้อยกว่ามาก ตัวอย่าง ในกรณีของเอธิโอเปีย มีประชากร 100 ล้านคนและหกภาษา Facebook รองรับเพียงสองภาษาเหล่านั้นสำหรับระบบตรวจสอบที่สมบูรณ์

ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นกลยุทธ์ WIN-WIN ที่ได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายแพลตฟอร์มเองที่ได้รายได้จากการชม หรือ คลิกโฆษณา ส่วนเหล่าฟาร์ม clickbait ก็ได้รับผลประโยชน์จากส่วนแบ่งที่เกิดขึ้น

หรือแม้ในประเทศเราเองก็ตามผมก็มองว่า ภาษาไทยอาจจะไม่ได้รับการลำดับความสำคัญไว้สูงสุดเช่นกัน ในการทำงานของระบบเหล่านี้ เมื่อเราได้เห็น ฟาร์ม clickbait เกิดขึ้นมากมาย และสร้างรายได้ให้กับพวกเขาอย่างมหาศาลเฉกเช่นเดียวกัน

ความน่ากลัวของเรื่องราวทั้งหมดนี้ คือหากไม่มีการจัดการอย่างชัดเจนจากแพลตฟอร์มเทคโนโลยีทั้งหลาย ซึ่งตอนนี้มันได้สร้างพฤติกรรมที่แตกแยกและสุดโต่งที่เราเห็นในปัจจุบัน ซึ่งมันอาจจะเป็นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งที่เราเห็นในเมียนมาร์และตอนนี้กำลังเห็นในเอธิโอเปียเป็นเพียงบทเริ่มต้นของเรื่องเท่านั้น แล้วตอนจบของมันจะเป็นอย่างไร คงไม่มีใครอาจคาดเดาได้นั่นเองครับผม

References : https://screenrant.com/google-facebook-battling-funding-misinformation-report/
https://bit.ly/3E3Vp7D
https://www.wsj.com/articles/facebook-opens-up-instant-articles-to-all-publishers-1455732001

หนึ่งวันในชีวิตของ CEO Grab ยักษ์ใหญ่ด้านบริการเรียกรถที่สามารถเอาชนะ Uber ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Anthony Tan จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและเป็นลูกชายของเจ้าของกลุ่มบริษัทรถยนต์สัญชาติมาเลเซีย เริ่มต้นบริการ Grab เพื่อเป็นทางเลือกแทนแท็กซี่สาธารณะในประเทศมาเลเซีย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับการจัดอันดับว่าเป็นบริการรถแท็กซี่ที่แย่ที่สุดในโลก 

แอปเรียกรถเติบโตเพื่อแข่งขันกับ Uber ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในที่สุดก็สามารถเอาชนะและผลักดัน Uber ออกจากภูมิภาคไปได้สำเร็จในปี 2018

ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่อยู่ในสิงคโปร์ Grab ตั้งเป้าที่จะเป็นซูเปอร์แอปที่นำเสนอทุกอย่างตั้งแต่การประกันภัย การส่งของชำ ไปจนถึงบริการจัดส่งอาหาร บริษัท Grab มีผู้ใช้ที่ทำธุรกรรมเกือบ 25 ล้านคนต่อเดือนและมีพนักงานประมาณ 7,000 คน ตามตัวเลขที่เปิดเผย

Tan ในวัย 39 ปีเป็นผู้นำของ Grab ก็ตั้งเป้าที่จะนำบริษัทเข้าทำ IPO ในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยมูลค่า 4 หมื่นล้านเหรียญ

ซีอีโอด้านเทคโนโลยีมีชื่อเสียงในด้านการปรับตารางเวลาของเขาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น รับสายโทรศัพท์บนลู่วิ่ง และมีคนอ้างว่า Tan แทบจะไม่มีเวลาดูหนังเลยด้วยซ้ำ

มาดูกันว่า Tan ทำทุกอย่างได้อย่างไรในหนึ่งวัน

6 ถึง 8 โมงเช้า: Tan เริ่มต้นวันใหม่ด้วยเวลาที่เงียบสงบ เขาเล่นกับลูกๆ ก่อนไปออกกำลังกายที่ยิมเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง

เล่นกับลูก ๆ ตั้งแต่ยามเช้า
เล่นกับลูก ๆ ตั้งแต่ยามเช้า

Tan ยึดมั่นในกิจวัตรยามเช้าของการยืดกล้ามเนื้อ อ่านพระคัมภีร์ สวดมนต์ และอ่านอีเมลตั้งแต่เมื่อคืนก่อน

จากนั้นเขาก็ใช้เวลาเล่นและกอดกับลูกทั้งสี่ของเขา “พวกเขายังอยู่ในช่วงที่พ่อแม่ของพวกเขาเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ ซึ่งผมขอลิ้มรสทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้” Tan กล่าว

ตอน 7 โมงเช้า เขาไปยิม บางครั้งก็ไปกับ Chloe ภรรยาของเขา

8 ถึง 9 โมงเช้า: Tan เริ่มทำงานที่บ้านด้วยนมข้าวโอ๊ตมานูก้าลาเต้ที่ภรรยาของเขาทำให้

นมข้าวโอ๊ตมานูก้าลาเต้ที่ภรรยาของเขาทำ
นมข้าวโอ๊ตมานูก้าลาเต้ที่ภรรยาของเขาทำ

“ในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ผมจะเดินทางวันเว้นวันไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซียหรือไทย” Tan กล่าว

เขาอาศัยอยู่ในสิงคโปร์ ที่ซึ่งการแพร่ระบาดค่อยๆ ผ่อนคลายลง การอยู่บ้านเพราะโควิด-19 ทำให้ Tan มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น เขากล่าว แต่ก็หมายความว่าตารางงานของก็เขาแน่นมากขึ้นเช่นกันโดยเป็นการประชุมผ่าน Zoom แทน

Tan ทำงานที่บ้านจากโต๊ะยืนข้างห้องเด็กเล่น นอกจากนี้ยังหันไปทางห้องนั่งเล่นซึ่งมียิมสำหรับเด็กขนาดเล็ก การจัดพื้นที่ทำงานของเขาเป็นความตั้งใจเพราะเขาต้องการเห็นลูกๆ ของเขาในขณะที่ทำงาน 

และเขาไม่หวั่นเกรงว่าลูกๆ ของเขาจะส่งเสียงดังระหว่างการประชุม “เพื่อนร่วมงานของผมคุ้นเคยกับสิ่งนี้” เขากล่าว

9 ถึง 10 โมงเช้า: Tan เข้าร่วมการฝึกอบรมออนไลน์สำหรับทีมผู้นำเกี่ยวกับการทดลองโปรเจ็คต่าง ๆ ในที่ทำงาน

ฝึกอบรมออนไลน์
ฝึกอบรมออนไลน์

11.00 น. ถึงเที่ยงวัน: Tan โทรหาฝ่ายปฏิบัติการและฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Grab เพื่อหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาด

Tan และทีมของเขาพูดคุยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินงานของ Grab ในขณะที่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเปลี่ยนแปลงข้อจำกัดการคลายล็อคมาตรการต่าง ๆ ท่ามกลางการแพร่ระบาดในภูมิภาค

“เรามักจะโทรหากันในระหว่างการประชุมทบทวนธุรกิจประจำเดือน แต่ด้วยโควิดสายพันธุ์เดลต้า เราจึงต้องมีการพูดคุยกันเป็นประจำมากขึ้นในตอนนี้ ในขณะที่เราตอบสนองต่อจำนวนเคสที่เพิ่มขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค” Tan กล่าว

เที่ยงวันถึง 13:30 น.: Tan รับประทานอาหารกลางวันกับ Teng Wen Wee ผู้ก่อตั้ง Lo and Behold Group ซึ่งเป็นกลุ่มร้านอาหารที่ใช้บริการด้านอาหารของบริษัท

รับประทานอาหารกลางวัน
รับประทานอาหารกลางวัน

ตันมีนาซิเลอมัก — ข้าวที่ปรุงด้วยกะทิและใบเตย และโดยทั่วไปจะเสิร์ฟพร้อมกับถั่วลิสง แตงกวาสไลซ์ พริกซัมบัล และส่วนผสมอื่นๆ

เขาใช้การประชุมอาหารกลางวันเพื่อรับข้อเสนอแนะจาก Wee เกี่ยวกับบริการส่งอาหารของ Grab ขณะที่บริษัทของพวกเขาทำงานผ่านมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมของสิงคโปร์  โดย สิงคโปร์ ประเทศที่มีประชากรประมาณ 5.45 ล้านคน ได้เปลี่ยนมาตรการโดยเพิ่มจำนวนคนที่ได้รับอนุญาตในการชุมนุมทางสังคมจากสองเป็นห้าคนแต่ร้านอาหารจำนวนมากยังคงต้องต่อสู้กับวิกฤติอย่างหนัก

เขาชอบทานอาหารกลางวันที่ทำงาน ไม่ว่าจะกับคู่ค้าทางธุรกิจหรือระหว่างพูดคุยกับพนักงานแบบตัวต่อตัว เพราะ “ไม่มีอะไรที่เหมือนกับการผูกสัมพันธ์ผ่านอาหาร”

13:30 ถึง 14:30 น.: Tan โทรหาเพื่อนที่จบจาก Harvard Business School ซึ่งทำงานในอุตสาหกรรมอื่นและขอคำแนะนำจากเขา

ขอคำแนะนำจากเพื่อน
ขอคำแนะนำจากเพื่อน

“การเดินทางของผมถูกปูทางโดยผู้นำหลายคนที่ผมมองหาและคอยให้คำแนะนำที่ดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา และในทางกลับกัน ผมก็เชื่อในการแบ่งปันความรู้เพื่อช่วยให้ผู้อื่นเติบโตและประสบความสำเร็จ” Tan กล่าว

14:30 ถึง 15:30 น.: Tan มีการประชุม Zoom กับสมาชิกคณะกรรมการของกลุ่มบริษัทระหว่าง Grab และหน่วยงานด้านโทรคมนาคมในพื้นที่

ประชุม Zoom กับสมาชิกคณะกรรมการ
ประชุม Zoom กับสมาชิกคณะกรรมการ

Grab ได้ร่วมมือกับ Singtel บริษัทด้านโทรคมนาคมของสิงคโปร์ในการพัฒนาธนาคารดิจิทัล และคณะกรรมการได้หารือถึงแผนการที่จะทำโครงการให้สอดคล้องกับระเบียบข้อบังคับของรัฐบาล Tan กล่าว

ที่โทรหาเขาคือ Hsieh Fu Hua ผู้อำนวยการ GIC กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสิงคโปร์

“การประชุมคณะกรรมการไม่ใช่งานที่น่าเบื่อหน่าย ไม่เหมือนที่เห็นในทีวี โดยปกติแล้วจะมีพลังงานที่ดี และพูดคุยครอบคลุมหลายส่วนในแต่ละเซสชั่น เช่น กลยุทธ์ ธรรมาภิบาล งบประมาณ ความสามารถ และการตลาด” Tan กล่าว

15:30 ถึง 15:45 น.: Tan สั่งอาหารว่างระหว่างการประชุมและพูดคุยกับพนักงานส่งของ

สั่งอาหารว่าง
สั่งอาหารว่าง

Tan ซื้อกาแฟและขนมอบสำหรับช่วงพัก เขายังสั่งข้าวสำหรับครอบครัวของเขาด้วย – และแน่นอนว่ามาจาก Grab

เขากล่าวว่าเขามาจากครอบครัวชาวจีนดั้งเดิมและชอบ “ซุปที่ร้อนและแสนอร่อย” แต่กำลังทดลองทำอาหารประเภทต่างๆ

16.00 น. ถึง 18.00 น.: Tan เสร็จสิ้นการประชุมและเยี่ยมชมหนึ่งในครัวระบบคลาวด์ของ Grab — ห้องครัวเชิงพาณิชย์สำหรับบริการสั่งกลับบ้านหรือจัดส่งเท่านั้น

เยี่ยมชมหนึ่งในครัวระบบคลาวด์ของ Grab
เยี่ยมชมหนึ่งในครัวระบบคลาวด์ของ Grab

ครัวระบบคลาวด์ของ Grab ที่ Aljunied ทางตะวันออกของสิงคโปร์ตอนกลางมีอาหารอย่างเช่น มากิญี่ปุ่น และนาซิเลอมักที่ Tan ทานก่อนหน้านี้สำหรับมื้อกลางวัน

Tan พูดคุยเกี่ยวกับการลงทุนทางธุรกิจหลายอย่างกับทีมของเขา เช่น บริการ Food Priority Delivery ซึ่งผู้ใช้สามารถจ่ายเงินเพิ่มเพื่อรับอาหารได้เร็วยิ่งขึ้น หากอาหารมาช้าจะได้รับบัตรกำนัล Tan บอกว่ามันเหมือนกับการรับประกันบริการส่งอาหารของ Grab

18.00 ถึง 19.00 น.: Tan ต้องหยุดประชุม เพราะในช่วง 6 โมง เขาและครอบครัวกันเวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อทานอาหารเย็นด้วยกัน

อาหารเย็นกับครอบครัว
อาหารเย็นกับครอบครัว

“การกินตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นนิสัย เป็นที่ทราบกันดีว่าผมกับภรรยาจะจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำมื้อแรกเสมอ” Tan กล่าว

จากนั้น Tan และ Chloe ภรรยาของเขาได้อ่านคำแนะนำบางอย่างที่เขาได้เรียนรู้จากการสัมมนาความเป็นผู้นำก่อนหน้านี้ 

19 ถึง 20:30 น. Tan เตรียมลูกๆ ให้พร้อมสำหรับเข้านอนและอ่านนิทานก่อนนอนให้เด็กๆ ฟัง

อ่านนิทานก่อนนอนให้ลูกๆ ฟัง
อ่านนิทานก่อนนอนให้ลูกๆ ฟัง

“ไม่ว่าวันนั้นจะทำงานหนักแค่ไหน ผมจะเจอกับการตัดสินใจและการสนทนาที่ยากลำบากกี่ครั้งในวันนั้น ผมแค่ต้องนั่งกับเด็กๆ เป็นเวลาห้านาทีและฟังเรื่องราวที่ตลกขบขันของพวกเขาเพื่อรีเซ็ตตัวเองอีกครั้ง” Tan กล่าว

ชีวิตในฐานะซีอีโอหมายความว่า Tan จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวน้อยกว่าที่เขาต้องการ ข้อจำกัดด้านการเดินทางในช่วงสองปีที่ผ่านมาทำให้เขาอยู่บ้านมากขึ้น เขากล่าว

20:30 ถึง 23:30 น.: Tan โทรหาหุ้นส่วนธุรกิจสองสามรายในสหรัฐอเมริกาและเคลียร์อีเมลจากโต๊ะทำงานที่สองจากที่บ้านในห้องนอนของเขา

โทรหาหุ้นส่วนในอเมริกา
โทรหาหุ้นส่วนในอเมริกา

หลังอาหารเย็น Tan กลับไปทำงานและรับสายจากผู้คนจากเขตเวลาที่แตกต่างกัน หนึ่งในนั้นคือการโทรหา CEO ของบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับ Grab และที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการของ Tan และบริษัทของเขา

“ผมดำเนินการตามแผนในสองสามชั่วโมงข้างหน้า ความเงียบที่มากเป็นพิเศษทำให้ผมมีสมาธิและทำงานอย่างละเอียดเพิ่มมากขึ้น” Tan กล่าว

23:30 น.: Tan มีเวลาว่างช่วงท้ายของวัน อ่านหนังสือ แล้วก็เข้านอน

อ่านหนังสือ
อ่านหนังสือ

เขากำลังอ่าน “Principles” ของ Ray Dalio ซึ่ง Tan กล่าวว่าเป็นหนึ่งในหนังสือเล่มล่าสุดที่เขาโปรดปราน

“การทำให้วัฒนธรรมถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ” Tan กล่าว ” Dalio พูดถึงวิธีที่เราควรสร้างวัฒนธรรมที่สามารถทำผิดพลาดได้ แต่เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้จากมัน”

ถึงตอนนี้บ้านเงียบ Tan ใช้เวลาสองสามนาทีอ่านหนังสือเสร็จแล้วจบวันด้วยการพักผ่อนในคืนนี้

References :
https://www.thestar.com.my/news/nation/2015/07/02/kl-cabbies-worst-among-ten-cities-globally
https://www.grab.com/sg/press/others/grab-reports-second-quarter-2021-results/
https://www.channelnewsasia.com/commentary/grab-ceo-anthony-tan-ipo-spac-stock-market-ride-food-app-gojek-213096
https://bit.ly/316sdi8
https://www.straitstimes.com/singapore/health/up-to-5-fully-vaccinated-people-can-dine-out-from-nov-22-social-gathering-size-also

Geek Monday EP112 : การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจ Fast Fasion ด้วยการดำเนินงานแบบลีนของ Zara

Zara ยักษ์ใหญ่ด้านแฟชั่น เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มค้าปลีก ‘Group Inditex’ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกเสื้อผ้าที่ ใหญ่ที่สุด เติบโตเร็วที่สุด และประสบความสำเร็จทั่วยุโรป พวกเขาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจ Fast Fasion ด้วยการดำเนินงานแบบลีนที่มีความน่าสนใจอย่างยิ่งในทุกกระบวนการ

เรื่องราวความสำเร็จของ Zara เริ่มต้นด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สามารถให้บริการสำหรับบุรุษและสตรี และเด็ก ๆ โดยจัดหาเสื้อผ้าราคาไม่แพงและมีสไตล์ไม่ว่าฤดูกาลใด ควบคู่ไปกับสิ่งนี้ พวกเขาต้องการค้นหาเทรนด์แฟชั่นใหม่ๆ และแปลเทรนด์เหล่านี้ตั้งแต่แคทวอล์คไปจนถึงไฮสตรีท ทั้งรวดเร็วและราคาไม่แพง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3rikqZy

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3lfG2BW

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3p7Q359

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3D2TUoW

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/T1EsYecrfno

Pegasus Spyware คืออะไรและมันเข้ามาแฮ็คโทรศัพท์ของคุณได้อย่างไร

ต้องบอกว่ากลายเป็นข่าวร้อนในบ้านเรากับการที่บริษัท Apple ได้ส่งการแจ้งเตือนภัยคุกคามที่จะตกเป็นเหยื่อของแฮกเกอร์ในประเทศไทย เอลซัลวาดอร์ และยูกันดา เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ทาง Apple ได้ยื่นฟ้องบริษัทสัญชาติอิสราเอลอย่าง NSO Group

นักเคลื่อนไหวและนักวิจัยชาวไทยอย่างน้อย 6 คนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้รับการแจ้งเตือน ซึ่งรวมถึงอาจารย์ประจักษ์ คงกีรติ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิจัย สริณี อาชวานันทกุล และนักเคลื่อนไหวชาวไทย ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ของกลุ่ม iLaw Citizen Lab ซึ่งติดตามการแฮ็กและการเฝ้าระวังที่ผิดกฎหมาย ระบุในปี 2018 ว่าเป็นผู้ดำเนินการสปายแวร์ Pegasus ที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย

ซึ่งต้องบอกว่า Pegasus มันคือชื่อของ Spyware ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา เมื่อมันเข้าสู่โทรศัพท์ของคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว มันสามารถเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์เฝ้าระวัง 24 ชั่วโมงได้ทันที 

มันสามารถคัดลอกข้อความที่คุณส่งหรือรับ เก็บเกี่ยวภาพถ่ายของคุณ และบันทึกการโทรของคุณ มันอาจแอบถ่ายคุณผ่านกล้องของโทรศัพท์ หรือเปิดใช้งานไมโครโฟนเพื่อบันทึกการสนทนาของคุณ มันสามารถระบุได้ว่าคุณอยู่ที่ไหน ไปที่ไหนมา และใครที่คุณพบ

Pegasus เป็นซอฟต์แวร์สำหรับแฮ็ก หรือ Spyware ที่พัฒนา ทำการตลาด และให้สิทธิ์อนุญาตแก่รัฐบาลทั่วโลกโดย NSO Group บริษัทสัญชาติอิสราเอล มีความสามารถในการแพร่ระบาดไปในโทรศัพท์หลายพันล้านเครื่องที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS หรือ Android

Pegasus เวอร์ชันแรกสุดที่ค้นพบโดยนักวิจัยในปี 2016 โทรศัพท์จะถูกสิ่งที่เรียกว่า spear-phishing ซึ่งเป็นข้อความหรืออีเมลที่หลอกล่อให้เป้าหมายคลิกลิงก์ที่เป็นอันตราย

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่นั้นมา ความสามารถในการโจมตีของ NSO ก็ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ  Pegasus สามารถทำได้ผ่านการโจมตีที่เรียกว่า “zero-click” ซึ่งไม่ต้องการการโต้ตอบใด ๆ จากเจ้าของโทรศัพท์เพื่อบรรลุเป้าหมายในการโจมตี 

ซึ่งพวกมันมักจะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ “zero-day” ซึ่งเป็นข้อบกพร่องในระบบปฏิบัติการที่ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือยังไม่ทราบและไม่สามารถแก้ไขได้

ในปี 2019 WhatsApp เปิดเผยว่าซอฟต์แวร์ของ NSO ถูกใช้เพื่อส่งมัลแวร์ไปยังโทรศัพท์มากกว่า 1,400 เครื่องโดยใช้ช่องโหว่ “zero-day”  เพียงแค่โทร WhatsApp ไปยังอุปกรณ์เป้าหมาย โค้ด Pegasus ที่เป็นอันตรายก็สามารถติดตั้งบนโทรศัพท์ได้ แม้ว่าเป้าหมายจะไม่รับสายก็ตาม 

ซึ่งไม่นานมานี้ NSO ได้เริ่มใช้ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ iMessage ของ Apple ทำให้สามารถเข้าถึง iPhone หลายร้อยล้านเครื่องทางลับๆ Apple กล่าวว่ากำลังอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการโจมตีดังกล่าว

ความเข้าใจทางเทคนิคของ Pegasus และวิธีค้นหา breadcrumbs ที่เป็นหลักฐานในโทรศัพท์หลังจากติดไวรัสสำเร็จ ได้รับการปรับปรุงโดยการวิจัยที่ดำเนินการโดย Claudio Guarnieri ผู้บริหาร Security Lab ของ Amnesty International ในเบอร์ลิน

Claudio Guarnieri ผู้บริหาร Security Lab ของ Amnesty International ที่ออกมาอธิบายในเรื่องนี้ (CR:news.hitb.org)
Claudio Guarnieri ผู้บริหาร Security Lab ของ Amnesty International ที่ออกมาอธิบายในเรื่องนี้ (CR:news.hitb.org)

Guarnieri อธิบายว่าลูกค้าของ NSO ได้ทิ้งข้อความ SMS ที่น่าสงสัยสำหรับการโจมตีแบบ Zero-click ที่ละเอียดอ่อนมากขึ้น “สิ่งต่างๆ ซับซ้อนขึ้นมากสำหรับเป้าหมายที่จะสังเกตเห็นได้”

สำหรับบริษัทเช่น NSO การใช้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งบนอุปกรณ์โดยค่าเริ่มต้น เช่น iMessage หรือใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น WhatsApp เนื่องจากสามารถเพิ่มจำนวนโทรศัพท์มือถือที่ Pegasus สามารถโจมตีได้สำเร็จเป็นจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว

ในฐานะพันธมิตรด้านเทคนิคของโครงการ Pegasus ซึ่งเป็นกลุ่มองค์กรสื่อระดับนานาชาติรวมถึง Guardian ห้องปฏิบัติการของ Amnesty ได้ค้นพบร่องรอยของการโจมตีที่ประสบความสำเร็จโดยลูกค้า Pegasus บน iPhone ที่ใช้ iOS เวอร์ชันล่าสุดของ Apple การโจมตีเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ในเดือนกรกฎาคม 2021

การวิเคราะห์ทางเทคนิคของโทรศัพท์ของเหยื่อยังระบุหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการค้นหาจุดอ่อนของ NSO อย่างต่อเนื่องอาจขยายไปสู่แอปทั่วไปอื่นๆ ในบางกรณีที่ Guarnieri และทีมวิเคราะห์ การรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับแอพ Photos และ Music ของ Apple สามารถเห็นได้ในช่วงเวลาของการโจมตี ซึ่งบ่งชี้ว่า NSO อาจเริ่มใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ใหม่ๆ เหล่านี้

ในกรณีที่การโจมตีแบบ spear-phishing หรือ zero-click ล้มเหลว Pegasus สามารถติดตั้งบนตัวรับส่งสัญญาณไร้สายที่อยู่ใกล้เป้าหมาย ซึ่ง NSO จะติดตั้งด้วยตนเองหากพวกเขาสามารถขโมยโทรศัพท์ของเป้าหมายได้

เมื่อติดตั้งบนโทรศัพท์แล้ว Pegasus สามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลหรือแยกไฟล์ได้ ทั้งข้อความ SMS, สมุดที่อยู่, ประวัติการโทร, ปฏิทิน, อีเมลและประวัติการท่องอินเทอร์เน็ตทั้งหมดสามารถถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้

“เมื่อ iPhone ถูกบุกรุก มันจะทำให้ผู้โจมตีได้รับสิทธิ์ที่เรียกว่ารูทหรือสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบบนอุปกรณ์” Guarnieri กล่าว “ Pegasus สามารถทำได้มากกว่าสิ่งที่เจ้าของอุปกรณ์ตัวจริงสามารถทำได้เสียอีก”

ทนายความของ NSO อ้างว่ารายงานทางเทคนิคของ Amnesty International เป็นการคาดเดา โดยอธิบายว่าเป็น “การรวบรวมสมมติฐานแบบไม่มีมูล” อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้โต้แย้งข้อค้นพบหรือข้อสรุปเฉพาะใดๆ ออกมา

NSO ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างมากในการทำให้ซอฟต์แวร์ตรวจจับได้ยาก และขณะนี้การติดไวรัส Pegasus นั้นทำให้ระบุได้ยาก นักวิจัยด้านความปลอดภัยสงสัยว่า Pegasus เวอร์ชันล่าสุดจะอยู่ในหน่วยความจำชั่วคราวของโทรศัพท์เท่านั้น แทนที่จะเป็นฮาร์ดไดรฟ์ ซึ่งหมายความว่าเมื่อปิดเครื่องแล้ว ร่องรอยของซอฟต์แวร์ทั้งหมดจะหายไป

หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดที่ Pegasus นำเสนอต่อนักข่าวและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนคือความจริงที่ว่าซอฟต์แวร์ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ที่ยังไม่ได้ค้นพบ ซึ่งหมายความว่าแม้แต่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยมากที่สุดก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้

“นี่เป็นคำถามที่ถามผมเกือบทุกครั้งที่เราทำการตรวจสอบเรื่องการโจมตีกับใครสักคน: ‘ผมจะทำอย่างไรเพื่อหยุดสิ่งนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก’” Guarnieri กล่าว “คำตอบที่แท้จริงคือไม่มีทางเป็นไปได้”

บทสรุป

ต้องบอกว่า Pegasus เป็นตัวอย่างล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่าเราทุกคนมีความเสี่ยงต่อการสอดรู้สอดเห็นข้อมูลทางดิจิทัลของเราได้อย่างไร โทรศัพท์ของเราจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลส่วนใหญ่ของเรา ทั้งรูปภาพ ข้อความ และอีเมล  Spyware สามารถเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราได้โดยตรง โดยผ่านการเข้ารหัสที่ปกป้องข้อมูลที่ส่งผ่านอินเทอร์เน็ตของเรา

เรื่องนี้น่าสนใจนะครับ เพราะตอนนี้เราทำธุรกรรมต่าง ๆ มากมายบนโลกออนไลน์ ผ่านทั้งมือถือ หรือ อุปกรณ์ส่วนตัวต่าง ๆ ที่เข้าสู่ อินเทอร์เน็ตได้ รวมถึงธุรกรรมในการลงทุนต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น การเทรด cryptocurrency ที่ตอนนี้สามารถทำได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว

เราจะเห็นข่าวมากมายที่เกิดขึ้น ว่าหลาย ๆ คนโดนโจมตี สามารถขโมยเงินดิจิทัลออกไปจากกระเป๋าส่วนตัวของเราได้แบบเหลือเชื่อมาก ๆ ซึ่งหลายคนก็ทำทุกวิถีทางตามที่มีการแนะนำให้ทำแทบจะหมดแล้วก็ตาม ก็ยังโดนขโมยออกไปได้

นี่เป็นตัวอย่างของภัย Cyber ที่ถูกเปิดเผยออกมา แต่อย่าลืมว่า ยังมีภัยเงียบอีกมากมายที่พวกเขาไม่ได้ถูกเปิดเผยตัวตนออกมา และแม้กระทั่งบริษัทมูลค่าระดับล้านล้าน อย่าง Apple ก็ยังไม่การันตีในความปลอดภัยได้เลย เพราะแน่นอนว่า ช่องโหว่ หรือ Bug นั้นเป็นของคู่กันอยู่แล้วกับการพัฒนานวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งยิ่งการทำให้อะไร ๆ มันใช้ง่ายมากขึ้นเท่าไหร่ ความเสี่ยงมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นนั่นเองครับผม

References : https://theconversation.com/what-is-pegasus-a-cybersecurity-expert-explains-how-the-spyware-invades-phones-and-what-it-does-when-it-gets-in-165382
https://www.cnet.com/tech/mobile/apple-sues-pegasus-spyware-developer-what-you-need-to-know/
https://www.theguardian.com/news/2021/jul/18/what-is-pegasus-spyware-and-how-does-it-hack-phones
https://techcrunch.com/2021/11/24/apple-nso-hacking-notify/