Jensen Huang กับเส้นทางสู่การเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก

ถามว่านักธุรกิจคนใดที่น่าจับตามองที่สุดในยุคนี้ ที่จะก้าวขึ้นมาท้าทายตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกที่วนเวียนสลับกันไปกันมาเพียงไม่กี่คนในช่วง 2-3 ปีหลัง เช่น Bernard Arnault เจ้าพ่อ LVMH , Elon Musk สุดยอดซีอีโออินดี้แห่ง Tesla และ SpaceX หรือ Jeff Bezon พ่อค้าจอมผูกขาดแห่ง Amazon

ส่วนตัวผมเองมองว่า Jensen Huang น่าจะเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสขึ้นมาท้าทายตำแหน่งนี้

ต้องบอกว่าด้วยกระแสเทคโนโลยี AI ที่สูบพลังการประมวลผลอย่างบ้าคลั่งในตอนนี้ แน่นอนว่าในมุมหนึ่งมันทำให้งานบางงานตกอยู่ในความเสี่ยง

แต่อีกมุมหนึ่งมันก็ช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่างมหาศาลเช่นเดียวกันโดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตชิป AI ของ Nvidia

มันเป็นการพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดของ Forbes (The richest list in the world) จากอันดับที่ 76 ในปี 2023 พุ่งขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 24 ในปี 2024 และแปรเปลี่ยนสภาพความมั่งคั่งที่พุ่งขึ้นจาก 21.1 พันล้านดอลลาร์ สู่ 55.6 พันล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี Huang ซึ่งเป็นเจ้าของหุ้น Nvidia 86.9 ล้านหุ้น หรือประมาณ 3.5% กำลังก้าวขึ้นมาท้าทายอันดับมหาเศรษฐีโลกได้อย่างรวดเร็วเหมือนเสือติดปีก

Jensen Huang เดิมชื่อ Jen-hsun Huang เกิดในเมืองไทเปเมืองหลวงของไต้หวันเมื่อปี 1963 ซึ่งเขาได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งในวัยเด็กในไต้หวันและประเทศไทยซึ่งพ่อแม่ของเขาได้ไปทำงานอยู่ที่นั่น

ในปี 1973 พ่อแม่ของ Huang ได้ส่งลูกๆ ไปให้ญาติ ๆ ในสหรัฐอเมริกาคอยดูแลเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากสงครามในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ป้าและลุงของ Huang ซึ่งอพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกาก่อนหน้านั้น ได้รับเลี้ยงดู Huang และส่งเขาและพี่ชายเข้าเรียนโรงเรียนประจำที่ Oneida Baptist Institute ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาทางตะวันออกของในรัฐเคนตักกี้

Oneida Baptist Institute ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาทางตะวันออกของในรัฐเคนตักกี้ (CR:oneidasschool.org)
Oneida Baptist Institute ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาทางตะวันออกของในรัฐเคนตักกี้ (CR:oneidasschool.org)

ที่นั่นเหมือนฝันร้ายของเด็กชาย Huang และพี่ชายของเขา ในวัย 9 และ 10 ขวบ เพราะเด็ก ๆ ที่นั่นต่างพกมีดกัน และเมื่อมีการทะเลาะกัน ก็มักจะมีเด็กบางคนที่ได้รับบาดเจ็บ

โรงเรียน Oneida ก่อตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1890 เพื่อหยุดยั้งกลุ่ม clan ทางตะวันออกของรัฐเคนตักกี้ไม่ให้ฆ่าฟันกันเอง

สำหรับเด็กในท้องถิ่นมักจะได้เรียนฟรี แต่เด็กทุคนต้องทำงาน เช่นเดียวกับ Huang ที่ได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดห้องน้ำ แม้มันจะดูเหมือนแย่แต่ Huang ก็กล่าวว่าเขาชอบตอนได้เรียนอยู่ที่นั่น เพราะมันบ่มเพาะนิสัยหลายอย่างให้กับเขา เพราะที่ Oneida ทุกคนต้องทำงานหนัก เรียนหนัก และเด็ก ๆ ที่นั่นล้วนแล้วแต่มีความแข็งแกร่งมาก ๆ

ท้ายที่สุด Huang และน้องชายของเขาก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ Oregon ซึ่งพวกเขาได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวอีกครั้ง

ในช่วงเวลาที่เขายังเป็นนักเรียนมัธยมปลายในบีเวอร์ตัน เขาเป็นแชมป์เทเบิลเทนนิสในระดับประเทศ หลังจากนั้น Huang เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ Oregon State University (OSU)

ที่ OSU นี่เองที่ทำให้ Huang ได้เปิดหูเปิดตาและได้เห็นถึงความมหัศจรรย์ที่อยู่เบื้องหลังคอมพิวเตอร์ เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้เขาหลงรักเทคโนโลยีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

Huang ได้พบกับ Lori Mills ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ในห้องแล็ปของเขา ในช่วงปีแรกของการเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งกลายเป็นภรรยาของเขาในอีกห้าปีต่อมา

โดย Huang จบการศึกษาในปี 1984 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นปีทองของวงการคอมพิวเตอร์ เพราะมันเป็นปีเดียวกับที่เครื่อง Mac ของ Apple ได้ทำการเปิดตัว ซึ่งเป็นการปฏิวัติเข้าสู่ยุคใหม่ของวงการคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง

หลังจบการศึกษาจาก OSU Huang ได้ทำงานในบริษัทชิป LSI Logic และ Advance Micro Devices (AMD) และในช่วงระหว่างทำงานอยู่ Haung ได้เรียนต่อปริญญาโทสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าที่ Stanford จนจบการศึกษาในปี 1992 ก่อนที่จะลาออกมาก่อตั้ง Nvidia ในปี 1993 พร้อมไฟที่เต็มเปี่ยม

Huang สมัยที่เริ่มทำงานใหม่ ๆ (CR:Venturebeat)
Huang สมัยที่เริ่มทำงานใหม่ ๆ (CR:Venturebeat)

เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่ Nvidia ถือกำเนิดขึ้นในร้านอาหาร Denny’s ซึ่งเขาได้พบกับเพื่อนอีกสองคนก็คือ Chris Malachowsky และ Curtis Priem โดยเริ่มต้นสร้างบริษัทในวันเกิดครบ 30 ปีของเขาพอดิบพอดี

ในยุคนั้น Huang ได้เห็นโอกาสใหญ่จากอุตสาหกรรมเกมที่เพิ่งเกิดใหม่ และเขาก็มองว่ามันจะกลายเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา

การประมวลผลและการจำลองวีดีโอที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากซึ่งจำเป็นในการสร้างโลกแห่งเกมในจินตนาการ ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องใช้ทรัพยากรในการประมวลผลอย่างหนักเช่นเดียวกัน

แต่การเริ่มต้นก็ไม่ได้สวยหรูนักเพราะ Nvidia เกือบล้มละลายหลังเปิดบริษัทมาได้ไม่นาน แต่ด้วยความแข็งแกร่งของ Huang ก็ช่วยให้บริษัทฟันฝ่าวิกฤติมาได้สำเร็จ และ Huang เองก็เคยนำพา Nvidia เข้าต่อสู้ทางกฎหมายกับ Intel โดยท้ายที่สุดแล้ว Intel ถูกบังคับให้จ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์

สามทหารเสือผู้ร่วมก่อตั้ง Nvidia (CR:Startup-book)
สามทหารเสือผู้ร่วมก่อตั้ง Nvidia (CR:Startup-book)

และต้องบอกว่าพลังการประมวลผลของชิป GPU ที่ถูกสรรค์สร้างโดย Nvidia นั้นยังได้เปลี่ยนแปลงวงการบันเทิงไปอย่างสิ้นเชิง มันทำให้ภาพยนตร์แอนิเมชั่นไล่ตั้งแต่ Avatar ไปจนถึง Tin-Tin สร้างภาพที่คนในยุคก่อนหน้าไม่มีทางฝันถึงมัน

Nvidia ได้พัฒนาจากผู้ผลิตกราฟฟิกการ์ดสำหรับพีซี ซึ่งเป็นตลาดที่มีคู่แข่งโหดหินเยอะมาก มาเป็นผู้สร้างโปรเซสเซอร์กราฟฟิกอย่าง GPU โดยก้าวสำคัญของบริษัทเกิดขึ้นในปี 2007 เมื่อ Nivida ได้พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อตั้งโปรแกรมให้ GPU ใช้สำหรับการประมวลผลงานทั่วไปได้

จุดเปลี่ยนนี้ได้พลิกสถานการณ์ของบริษัทไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งการเกิดขึ้นของ bitcoin เหล่านักขุดต้องการชิป GPU เหล่านี้ไปใช้ในการประมวลผล ทำให้สถานการณ์ชิปทั่วโลกถึงกับขาดแคลน รวมถึงการถือกำเนิดขึ้นของ Generative AI ที่ทำให้ความต้องการชิปสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

ความต้องการอย่างบ้าคลั่งในวงการชิปแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน จากรายงานล่าสุดที่ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI พยายามที่จะระดมทุนให้ได้สูงถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อส่งเสริมการผลิตชิปที่บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังใช้งานต้องการมันอย่างหนักในช่วงถัดจากนี้

ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงช่องว่างทางโอกาสของ Nvidia ที่ยังมีโอกาสที่จะเติบโตอีกมากมายมหาศาล และแน่นอนว่าความมั่งคั่งของ Jensen Huang มันคงจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้อย่างแน่นอนนั่นเองครับผม

References :
https://en.wikipedia.org/wiki/Jensen_Huang
https://www.businessinsider.com/nvidia-jensen-huang-chipmaker-cofounder-ceo-wealth-net-worth-ai-2023-5#huang-founded-nvidia-on-over-a-meal-at-dennys-4
https://today.oregonstate.edu/story/osu-alum-named-fortune-businessperson-year
https://www.ft.com/content/f7e928dc-d633-4be9-b20f-dcdfc56d3415
https://www.npr.org/sections/alltechconsidered/2012/02/20/147162496/tech-pioneer-channels-hard-lessons-into-silicon-valley-success

บุญมีแต่กรรมบัง เมื่อนักศึกษา MIT ได้รับ Bitcoin ฟรี 100 เหรียญในปี 2014 บางคนรวยแต่บางคนเสียมันไปกับซูชิ

ผมว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่คนสาย tech หลายคนประสบพบเจอกันนะครับ สำหรับการที่ได้รับ bitcoin มาแบบง่าย ๆ ในช่วงเริ่มต้นของมัน และไม่คาดคิดว่ามันจะมีมูลค่ามหาศาลอย่างที่เห็นในปัจจุบัน สุดท้ายอาจจะทำสูญหายไป หรือ นำไปใช้แบบไม่ได้คิดถึงมูลค่าในอนาคตของมันมากนัก

และเรื่องราวนี้ต้องย้อนกลับไปในปี 2014 สิ่งที่เกิดขึ้นกับกลุ่มนักศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมไฟฟ้าของ MIT

Jeremy Rubin เป็นนักเรียนปีสองที่กำลังศึกษาคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ และเขาตัดสินใจทำการทดลองมอบ bitcoin มูลค่า 100 ดอลลาร์ ให้กับนักศึกษาระดับปริญญาตรีทุกคนที่สถาบัน MIT

และเจ็ดเดือนต่อมา ด้วยเงินบริจาคกว่าครึ่งล้านเหรียญจากศิษย์เก่าและผู้ที่ชื่นชอบ bitcoin นักศึกษาระดับปริญญาตรีกว่า 3,108 คนได้รับ bitcoin นี้ไป

ย้อนกลับไปในยุคนั้น ต้องบอกว่า bitcoin ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก ยังไม่มีใครเห็นค่าของมันและมองเห็นอนาคตของมันว่าจะเอาไปทำอะไรกันแน่ มูลค่าตอนนั้นซื้อขายกันที่ประมาณ 336 ดอลลาร์

ซึ่งหากมีการถือมาจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะช่วงพีคสุดของราคา bitcoin ในปี 2021 มูลค่าที่นักเรียนแต่ละคนได้รับไปจะสูงถึงประมาณ 44.1 ล้านดอลลาร์ แต่มีนักเรียนหลายคนในตอนนั้นแทบจะไม่สนใจมันเลย

นักวิจัยที่ติดตามโครงการนี้ รวมถึง Christian Catalini ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ร่วมสร้างโครงการ Diem Stablecoin (ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว) โดย Facebook บอกว่า 1 ใน 10 ของผู้ที่ได้รับไปนั้น ถอนออกไปตั้งแต่สัปดาห์แรก

Christian Catalini ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ร่วมสร้างโครงการ Diem Stablecoin โดย Facebook (CR:Wikipedia)
Christian Catalini ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ร่วมสร้างโครงการ Diem Stablecoin โดย Facebook (CR:Wikipedia)

เมื่อสิ้นสุดการทดลองในปี 2017 มีจำนวนถึง 1 ใน 4 ของนักศึกษาที่ได้รับไปและได้นำออกไปใช้แล้ว หลังจากนั้นเขาก็ได้เลิกติดตามกลุ่มที่ได้รับ bitcoin ไป

Van Phu ซึ่งปัจจุบันเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์และผู้ร่วมก่อตั้งโบรกเกอร์ Crypto Floating Point Group ถึงกับโทษตัวเองอย่างหนักเพราะได้ใช้ bitcoin จำนวนมากไปกับซูชิ

“สิ่งหนึ่งที่แย่ที่สุดและหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่ MIT คือร้านอาหารที่เรียกว่า Thelonious Monkfish” Phu กล่าว “ผมใช้เงินจำนวนมากในการซื้อซูชิด้วย bitcoin”

แน่นอนว่า Phu ไม่ใช่คนเดียวที่ต้องเสียเงินในอนาคตจำนวนมหาศาลไปกับปลาดิบ

Sam Trabucco ที่เข้าร่วมในการทดลองนี้ด้วยนั้น ได้กล่าวว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของคนที่เขารู้จักใช้ bitcoin ไปกับปลาดิบ

“มันเป็นร้านอาหารแห่งเดียวในเคมบริดจ์ที่ยอมรับ bitcoin ในขณะนั้น ซึ่งเป็นร้านที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วย” Sam กล่าว

ประเด็นสำคัญที่ Catalini พบจากการทดลองนี้ก็คือ ความจริงที่ว่า bitcoin ในตอนนั้นไม่ได้ถูกใช้เป็นวิธีการชำระเงินภายในมหาวิทยาลัย

“ในขณะนั้นเทคโนโลยียังใหม่และไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับผู้ใช้” เขากล่าว “แม้แต่ในชุมชนที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอย่าง MIT ก็ไม่ได้ยอมรับมันมากนัก”

การทดลองของ MIT

Rubin ต้องผ่านการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนานกับอัยการสูงสุดของรัฐนิวเจอร์ซีย์ เมื่อได้เปิดเผยแนวคิดในการแจก bitcoin เป็นครั้งแรก

Rubin ไม่เหมือนเด็กอายุ 19 ทั่วไป เขาได้เปิดตัวโปรแกรมขุด Bitcoin ชื่อ Tidbit และโครงการก็ได้รับรางวัลนวัตกรรมจากงาน Hackathon ในท้องถิ่นที่รู้จักกันในชื่อ Node Knockout

Rubin ซึ่งปัจจุบันเป็น CEO ของห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา bitcoin judica รู้สึกภาคภูมิใจกับสิ่งที่เขาสร้างขึ้น

“ผมคิดว่า นี่คือ MIT และทุกคนก็มีความคิดก้าวหน้ามาก” Rubin กล่าว ซึ่งหลังจากนั้นการทดลองแจก bitcoin ก็ได้เกิดขึ้น

ปลายเดือนตุลาคม 2014 Rubin และเพื่อนหัวหน้าโครงการ Dan Elitzer ซึ่งเป็นนักศึกษา MBA ที่ Sloan ได้เปิดการลงทะเบียน นักเรียนที่ต้องการ bitcoin มูลค่า 100 ดอลลาร์ต้องเข้ามากรอกแบบสอบถาม

Dan Elitzer และ Jeremy Rubin เปิดตัว “MIT Bitcoin Project” ในปี 2014 (CR:CNBC)
Dan Elitzer และ Jeremy Rubin เปิดตัว “MIT Bitcoin Project” ในปี 2014 (CR:CNBC)

นักเรียนที่ต้องการมีส่วนร่วม ต้องตั้งค่าประเป๋าเงินดิจิทัลของตนเอง ซึ่งในยุคนั้นก็ไม่เป็นเรื่องง่าย แต่ท้ายที่สุด 70% ของนักเรียนก็เข้าร่วมโครงการดังกล่าวนี้

นักเรียนหลายคนคิดง่าย ๆ ด้วยการจ่ายค่าคอมมิชชั่นเป็น bitcoin ให้กับคนที่ช่วยตั้งค่ากระเป๋าเงินดิจิทัลให้พวกเขา หลายคนนำไปใช้เพื่อกินซูชิ อีกหลายคนก็นำไปเล่นโป๊กเกอร์ออนไลน์

ซึ่งก็ต้องบอกว่าในตอนนั้นแม้กระทั่งนักศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ MIT ก็ไม่มีใครคิดว่ามันจะเป็นอนาคตของโลกการเงินจริง ๆ นั่นเองครับผม

References :
https://interestingengineering.com/culture/mit-students-got-100-in-bitcoin-in-2014-heres-what-they-did-with-it
https://www.cnbc.com/2021/08/14/mit-student-gave-away-100-worth-of-bitcoin-to-all-undergrads-in-2014.html
https://cacm.acm.org/careers/254864-a-bunch-of-mit-students-got-100-of-free-bitcoin-in-2014-some-wasted-it-on-sushi/fulltext

ศาสดาแห่ง Bitcoin ความฝัน ศรัทธา กับเรื่องราวบ้า ๆ ของชายชื่อ Michael Saylor

เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก ๆ นะครับว่า ชายคนหนึ่งที่ทำธุรกิจด้านซอฟต์แวร์ และดูเหมือนธุรกิจของเขากำลังไปได้ดีซะด้วย แต่เมื่อได้มาเจอกับสิ่งที่เรียกว่า Bitcoin เขาจะยอมทุ่มเทเดิมพันบริษัทที่สร้างมา 30 กว่าปีกับสิ่ง ๆ นี้

Michael Saylor เรียกได้ว่าเป็นผู้ประกอบการที่บ้าบิ่นคนหนึ่งไม่ต่างจาก Elon Musk

Saylor เกิดในเมืองลินคอร์น รัฐเนบราสกา และใช้ชีวิตช่วงแรก ๆ ในฐานทัพอากาศหลาแห่งทั่วโลกเนื่องจากพ่อของเขาเป็นจ่าสิบเอกในกองทัพอากาศสหรัฐฯ

เมื่ออายุได้ 11 ปี ครอบครัวของ Saylor ก็ได้มาตั้งรกรากในเมืองแฟร์บอร์น รัฐโอไฮโอ ใกล้กับฐานทัพอากาศไรท์-แพตเตอร์สัน

ในปี 1983 Saylor ได้เข้าเรียนที่ MIT ด้วยทุน ROTC ของกองทัพอากาศ ที่นั่นเขาได้มีโอกาสเข้าร่วมกับสมาคม Theta Delta Chi ซึ่งได้ไปพบเจอกับ Sanju Bansal ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง MicroStrategy โดย Saylor ได้จบการศึกษาจาก MIT ในปี 1987 ในสองสาขาวิชาด้านการบินและอวกาศรวมถึงด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี

ด้วยปัญหาสุขภาพทำให้เขาไม่สามารถที่จะเป็นนักบินตามความฝันได้ และได้งานแรกในบริษัทที่ปรึกษา The Federal Group ในปี 1987 ซึ่งเขาทำงานที่เน้นไปที่การสร้างแบบจำลองด้วยคอมพิวเตอร์สำหรับการทำ Software Integration

Saylor ได้มีโอกาสเข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กับ Dupont ยักษ์ใหญ่ด้านเคมีภัณฑ์ของสหรัฐฯ โดยเขาได้พัฒนาโมเดลคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยให้บริษัทคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในตลาดสำคัญ ๆ ของบริษัทได้ ตัวอย่างเช่น โมเดลการทำนายของ Saylor ได้ทำนายว่าจะเกิดภาวะถดถอยในตลาดหลักของ Dupont หลายแห่งในปี 1990 ซึ่งมันได้เกิดขึ้นจริง

เขาได้ร่วมกับ Sanju Bansal ที่พบกันตอนเรียนที่ MIT ก่อตั้ง MicroStrategy ขึ้นมาเพื่อให้บริการซอฟต์แวร์ด้าน Data Mining , Business Intelligence โดยใช้ทักษะที่เขามีความเชี่ยวชาญจากการเรียนที่ MIT นั่นก็คือ nonlinear mathematics

ในปี 1992 MicroStrategy มีลูกค้ารายใหญ่รายแรก เมื่อได้เซ็นสัญญามูลค่า 10 ล้านดอลลาร์กับ McDonald’s เป็นก้าวแรก ๆ ที่สำคัญมาก ๆ ของ Saylor เพราะหลังจากนั้นบริษัทก็เติบโตอย่างบ้าคลั่งทุกปี ปีละเป็น 100% ระหว่างปี 1990-1996

และในวันที่ 11 มิถุนายน ปี 1998 MicroStrategy ก็ได้ทำ IPO กลายเป็นบริษัทมหาชนได้สำเร็จ และแน่นอนว่า Saylor ได้กลายเป็นมหาเศรษฐี

ตัดภาพมาในปี 2020 มูลค่าของบริษัท MicroStrategy อยู่ที่ราว ๆ 1.1 พันล้านดอลลาร์ แต่ด้วยผลการดำเนินงานที่เริ่มหดตัวตั้งแต่ปี 2015 ที่มีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 500 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่ทุกอย่างเกี่ยวกับ Bitcoin มันเริ่มต้นในวันที่ 11 สิงหาคมปี 2020 เมื่อ Saylor ประกาศว่าบริษัทของเขาอย่าง MicroStrategy กำลังลงทุนระยะยาว 250 ล้านดอลลาร์ใน Bitcoin

มันทำให้คนทั้งวงการต่างอึ้งกับสิ่งที่ Saylor ทำ ในตอนนั้นเขาได้อธิบายว่า “Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่การลงทุนที่น่าดึงดูดใจและมีศักยภาพในระยะยาวมากกว่าการถือเงินสด”

ถัดจากนั้นในวันที่ 15 กันยายน Saylor ก็ซื้อ Bitcoin เพิ่มขึ้นอีกสองเท่าโดยจ่าย 425 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อซื้อ Bitcoin จำนวน 38,250 BTC

ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคมถึง 29 พฤศจิกายน 2021 MicroStrategy ได้ซื้อ Bitcoin อีก 7,002 BTC ด้วยเงินสดประมาณ 414.4 ล้านดอลลาร์ โดยมีราคาซื้อเฉลี่ยที่ 59,187 ดอลลาร์ ทำให้บริษัทถือครอง Bitcoin รวมทั้งสิ้น 121.044 BTC

จนถึงเดือนเมษายน 2023 MicroStrategy ซื้อ Bitcoin ไปจำนวนรวมทั้งสิ้น 140,000 BTC ในราคาเฉลี่ย 29,803 ดอลลาร์

ในเดือนสิงหาคม 2022 Saylor ได้ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ MicroStrategy โดยยังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารเพื่อมุ่งเน้นไปที่เรื่องของการลงทุนใน Bitcoin มากขึ้น

ผู้ทรงอิทธิพลตัวจริงของ Bitcoin

และดูเหมือนว่า Saylor จะเป็นศาสดาแห่งวงการ Bitcoin ตัวจริงที่นอกเหนือจาก Satoshi Nakamoto เพราะหลังจากที่ MicroStrategy เข้าลงทุนใน Bitcoin นั้นบริษัทอื่นๆ ก็แห่ตามกันมาเพียบ เหมือนเป็นการเรียกทุกคนให้หันมามอง Bitcoin ใหม่โดยเฉพาะเหล่าองค์กรธุรกิจขนาดยักษ์ในอเมริกา

เพราะไม่ว่าจะเป็น Tesla ของ Elon Musk , Square ของ Jack Dorsey หรือแม้กระทั่งบริษัทประกันภัยอย่าง MassMutal ก็ต่างทุ่มเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์กับ Bitcoin เช่นเดียวกัน

หลังจากนั้นไม่นาน Visa ก็ได้ประกาศแผนที่จะให้ลูกค้าจ่ายสกุลเงินดิจิทัลโดยตรงที่ร้านค้ากว่า 70 ล้านแห่ง และธนาคารไล่มาตั้งแต่ JPMorgan ไปจนถึง Morgan Stanley ได้เริ่มเสนอการลงทุนดิจิทัลให้กับลูกค้าที่ร่ำรวยหรือแม้กระทั่งเหล่านักลงทุนสถาบันที่ไม่เคยเหลียวมอง Bitcoin มาก่อนเลยด้วยซ้ำ

“การตัดสินใจของ Michael Saylor ในการทุบคลังบริษัทเพื่อซื้อ Bitcoin ได้ปูทางให้ผู้นำองค์กรอื่น ๆ หันมาสนใจที่จะเพิ่ม Bitcoin ลงในงบดุลของพวกเขา” Digo Monica ผู้ร่วมก่อตั้งและประธาน Anchorage กล่าวกับ CoinMarketCap

ผ่านมาถึงปี 2023 ราคาหุ้นของ MicroStrategy ได้ทะยานขึ้น 337% ทำให้กลายเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีกำไรมากที่สุดในสหรัฐฯ แซงหน้าแม้กระทั่ง Nvidai ยักษ์ใหญ่ด้านชิป หรือ Meta ของ Mark Zuckerberg

มันมาจากความคลั่งของ Saylor ล้วน ๆ เพราะ MicroStrategy แตกต่างจากคู่แข่งบริษัทด้านเทคโนโลยีรายอื่น ๆ ที่พึ่งพาการเติบโตของรายได้และส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น แต่สำหรับ MicroStragegy นั้นมันขึ้นอยู่กับ Bitcoin แทบจะทั้งหมด

มูลค่าบริษัทของ MicroStrategy อยู่ที่ 8.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่ามูลค่าทั้งหมดแทบจะเชื่อมโยงกับการถือครอง Bitcoin เพราะยามใดที่ Bitcoin ร่วงหล่นหรือพุ่งทะยาน มูลค่าบริษัทของ MicroStrategy ก็จะผันแปรไปตามนั้น ตัวอย่างเช่น ในปี 2022 การดิ่งลงเหวของ Bitcoin ได้ทำให้มูลค่าบริษัท MicroStrategy ลดลงสูงถึง 74%

แล้วถามว่า Saylor เอาเงินจากไหนมาซื้อ Bitcoin ได้มากมายขนาดนี้ ก็ต้องบอกว่ามาจากธุรกิจหลักของพวกเขาอย่างซอฟต์แวร์นั่นเอง เพราะมันคือเครื่องจักรในการสร้างกระแสเงินสดที่ช่วยให้บริษัทสามารถสะสม Bitcoin ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ

สร้างชื่อเสียงเพื่อลบชื่อเสีย?

ผมคิดว่าถ้า Saylor ไม่ได้เข้ามาในวงการ Bitcoin ก็คงจะมีน้อยคนนักที่จะรู้จักเขาจริง ๆ เพราะธุรกิจของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร เรื่องราวชีวิตของเขาก็แสนจะธรรมดา แล้วทำไมเขาต้องมาทำหน้าที่เหมือนศาสดาของ Bitcoin

ในเดือนธันวาคมปี 2000 Saylor และผู้บริหารระดับสูงของ MicroStrategy อีกสองคนได้เจรจาเพื่อยุติคดีความเกี่ยวกับเรื่องปัญหาการฉ้อโกงที่สำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาฟ้องร้องบริษัทของเขา

เรื่องราวมันมาจากการที่ MicroStrategy ปั้นเรื่องราวลวงโลก โดยเฉพาะเกี่ยวกับการรายงานรายได้ของพวกเขา ตัวอย่างเช่น Saylor ได้พุดจาอย่างสวยหรูว่าจะทุ่มเงิน 100 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างมหาวิทยาลัยออนไลน์โดยมีเป้าหมายคือมอบการศึกษาฟรี ๆ ให้กับทุกคนบนโลกตลอดไป แต่มันเป็นเรื่องลวงโลกแทบจะทั้งสิ้น เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง

ซึ่งหลังจากมีการปรับปรุงผลกำไรการดำเนินงานของบริษัทใหม่ในปี 1997-2000 ราคาหุ้นของบริษัทลดลงจาก 333 ดอลลาร์ เหลือเพียง 33 ดอลลาร์ภายในไม่กี่เดือน

ในเดือนธันวาคมปี 2000 Saylor ได้เจรจากับสำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ โดยไม่ยอมรับการกระทำผิด แต่ยอมจ่ายค่าปรับ 350,000 ดอลลาร์ และค่าปรับส่วนตัวอีก 8.3 ล้านดอลลาร์

ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ Saylor เองเรียกได้ว่าได้รับผลกระทบอย่างมาก มูลค่าทรัพย์สินของเขาสูญหายไปกว่า 6 พันล้านดอลลาร์ และหลุดจากทำเนียบมหาเศรษฐีไปเลยทีเดียว

มาถึงตอนนี้ดูเหมือนว่า เวลาและ Bitcoin กำลังเยียวยาทุกบาดแผลของ Saylor ได้สำเร็จ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ MicroStrategy เท่านั้นที่เดิมพันครั้งใหญ่กับ Bitcoin เพราะตัว Saylor เองก็เป็นเจ้าของ Bitcoin แบบส่วนตัวมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์อีกด้วย

และเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมานี่เอง Saylor ได้โพสต์ข้อความลงใน X เพื่อประกาศกร้าวว่า “ยินดีต้อนรับสู่ปี 2024 ปีแห่ง Bitcoin”

References :
https://www.cnbc.com/2023/12/26/microstrategys-bitcoin-bet-produces-300percent-gain-for-investors-in-2023.html
https://en.wikipedia.org/wiki/MicroStrategy
https://en.wikipedia.org/wiki/Michael_J._Saylor
https://coinmarketcap.com/academy/article/michael-saylor-a-history-of-his-relationship-with-btc
https://th.investing.com/news/cryptocurrency-news/article-149891

Cypherpunks Gangster อิทธิพล ความคิด สู่ชะตาลิขิตในการถือกำเนิดขึ้นของ Bitcoin

การถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ตเป็นประโยชน์สำหรับชายที่มีชื่อว่า Hal Finney ซึ่งทำให้เขาสามารถเชื่อมต่อกับคนอื่น ๆ ในสถานที่ห่างไกลที่กำลังมีแนวคิดเกี่ยวกับลัทธิไซเบอร์ยูโทเปียที่มีความคลุมเครือ ซึ่งหากมองในอีกมุมหนึ่งก็ถือว่าเป็นแนวทางของพวกหัวรุนแรงได้เช่นเดียวกัน

Hal เป็นลูกหนึ่งในสี่คนของวิศวกรปิโตรเลียม เขาอ่านหนังสือแคลคูลัสเพื่อความสนุกสนาน เข้าเรียนที่ California Institute of Technology เขามักจะท้าทายสติปัญญาของตัวเองอยู่เสมอ ในช่วงปีแรกเขาได้เข้าเรียนหลักสูตรทฤษฎีสนามโน้มถ่วงซึ่งออกแบบมาสำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา

แต่เขาไม่ใช่เด็กเนิร์ดทั่วไป ชายหนุ่มร่างใหญ่ผู้รักการเล่นสกีในภูเขาแคลิฟอร์เนียเขาเป็นคนที่ชอบเข้าสังคมเหมือนในหมู่นักเรียนส่วนใหญ่ของ Cal Tech 

Hal ได้เข้าร่วมชุมชนออนไลน์ที่เก่าแก่ที่สุดเช่น Cypherpunks และ Extropians ซึ่ง ในชุมชนดังกล่าวได้มีการถกเถียงกันว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ สามารถที่จะกำหนดอนาคตที่พวกเขาฝันไว้ได้อย่างไร

คำถามสำคัญที่ครอบงำความคิดของคนในกลุ่มเหล่านี้ก็คือเรื่องที่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงความสมดุลของอำนาจระหว่างประชาชนคนทั่วไปและรัฐบาลที่มีอำนาจได้อย่างไร

ต้องบอกว่าเทคโนโลยีได้มอบอำนาจใหม่ให้กับผู้คนทั่วไป อินเทอร์เน็ตที่เพิ่งตั้งไข่ทำให้คนเหล่านี้สามารถสื่อสารและเผยแพร่ความคิดของพวกเขาในรูปแบบที่ไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อน

ในยุคก่อนหน้าเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ของรัฐบาลกลางได้เก็บบันทึกเกี่ยวกับพลเมืองของตน ซึ่งมันต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1990 นานก่อนที่หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติจะถูกตรวจสอบว่าแอดสอดแนมโทรศัพท์มือถือของประชาชนทั่วไปและนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Facebook จะกลายเป็นประเด็นถกเถียงในระดับชาติ

Cypherpunks เห็นว่าการเปลี่ยนวิถีชีวิตสู่โลกดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้นของประชาชนคนทั่วไป ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถทำสิ่งเดิม ๆ ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น จึงตั้งคำถามขึ้นมาว่าผู้คนสามารถที่จะปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและรักษาความเป็นส่วนตัวได้อย่างไร

Hal Finney เข้าร่วมกลุ่ม Cypherpunks เพื่อแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี (CR:Bitcoin.fr)
Hal Finney เข้าร่วมกลุ่ม Cypherpunks เพื่อแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี (CR:Bitcoin.fr)

แนวคิดดังกล่าวมันได้เริ่มก่อตัวขึ้นเนื่องจากกลุ่มการเมืองที่มีแนวคิดเสรีนิยมที่เริ่มแพรกระจายไปในแคลิฟอร์เนียช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ความสงสัยเกี่ยวกับรัฐบาลเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจให้กับชายอย่าง Hal ที่ทำงานเพื่อสร้างโลกใบใหม่ผ่านการเขียนโค้ดโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่น

Hal ได้ซึมซับความคิดเหล่านี้ที่ Cal Tech และในการอ่านนวนิยายของ Ayn Rand ซึ่งในขณะนั้นประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวในยุคอินเทอร์เน็ตนั้นเริ่มได้แพร่กระจายไปไกลนอกเหนือจากกลุ่มการเมืองที่มีแนวคิดเสรีนิยมหรือในหมู่นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน

Cypherpunks ยังมองไม่เห็นวิธีแก้ปัญหา แต่ Hal และคนอื่น ๆ มุ่งค้นหาคำตอบทางเทคโนโลยีและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาสตร์แห่งการเข้ารหัสข้อมูล 

ในอดีตเทคโนโลยีการเข้ารหัสเป็นสิทธิพิเศษที่สงวนไว้สำหรับสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดเท่านั้น เอกชนสามารถพยายามเข้ารหัสการสื่อสารของตนได้ แต่รัฐบาลและกองกำลังติดอาวุธมักมีอำนาจในการถอดรหัสรหัสดังกล่าว 

ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 นักคณิตศาสตร์จาก Stanford และ MIT ได้สร้างชุดของนวัตกรรมที่ทำให้เป็นไปได้เป็นครั้งแรกสำหรับคนธรรมดาในการเข้ารหัสด้วยวิธีที่สามารถถอดรหัสได้โดยผู้รับที่ตั้งใจไว้เท่านั้น และไม่สามารถที่จะถอดรหัสมันได้แม้กระทั่งโดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สุด

The Extropians และ Cypherpunks ทำการทดลองต่างๆ มากมายที่สามารถช่วยเสริมพลังอำนาจให้กับคนธรรมดาทั่วไปที่จะสามารถต่อต้านแหล่งอำนาจดั้งเดิม ซึ่งเรื่องของเงินเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามที่จะจินตนาการอนาคตใหม่ตั้งแต่ต้นของกลุ่มดังกล่าว

เงินเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงระบบนิเวศของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับทุกอย่าง ซึ่งสำหรับเหล่าโปรแกรมเมอร์สกุลเงินที่มีอยู่ซึ่งใช้ได้เฉพาะในเขตแดนของประเทศใดประเทศหนึ่งและขึ้นอยู่กับธนาคารที่ไร้ความสามารถทางเทคโนโลยีดูเหมือนจะเป็นการถูกจำกัดโดยไม่จำเป็น

นอกเหนือจากความทะเยอทะยานเหล่านี้แล้ว Cypherpunks มองว่าระบบการเงินที่มีอยู่เป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคลซึ่งเป็นข้อมูลไม่กี่ประเภทที่มักจะมีการเปิดเผยเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างง่ายดาย

รูปแบบของเงินสดต้องบอกว่าเป็นวิธีการชำระเงินแบบไม่เปิดเผยตัวตนมานานแล้ว แต่เงินสดไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเข้าสู่อาณาจักรดิจิทัลได้ ทันทีที่เงินกลายเป็นดิจิทัล กลุ่มบุคคลที่สามบางราย เช่น ธนาคารก็มักจะมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถที่จะติดตามธุรกรรมต่าง ๆ ของคนทั่วไปได้

สิ่งที่ Hal และ Cypherpunks ต้องการคือเงินสดสำหรับยุคดิจิทัลที่สามารถรักษาความปลอดภัยและไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องสละความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

และแล้ววันหนึ่งในปี 2008 สิ่งที่เขาตามหามานานก็โผล่มากับชายที่ไร้ตัวตน เขาได้คลิกที่เว็บไซต์ที่เขาได้รับทางอีเมล : www.bitcoin.org

ต้องบอกว่า Hal เองก็ได้เห็น Bitcoin ผ่านตาครั้งแรกเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า ในข้อความที่ส่งไปยังหนึ่งในรายชื่ออีเมลที่เขาสมัครเป็นสมาชิก ซึ่งเมลที่โต้ตอบไปมานั้นส่วนใหญ่จะมาจากคนคุ้นเคยที่เขาคุยด้วยมานานหลายปีที่ค่อนข้างเชี่ยวชาญในการเขียนโค้ดและส่วนใหญ่ก็ทำงานที่เดียวกับเขา

แต่อีเมลฉบับนี้มาจากชื่อที่ไม่คุ้นเคย – Satoshi Nakamoto – และอธิบายถึงสิ่งที่เรียกว่า “e-cash” ด้วยชื่อที่ติดปากว่า Bitcoin เงินดิจิทัลซึ่งเป็นสิ่งที่ Hal ทดลองมาเป็นเวลานานมากพอที่จะทำให้เขาสงสัยว่ามันจะใช้งานได้หรือไม่

แต่มีบางอย่างปรากฏขึ้นในอีเมลฉบับนี้ Satoshi ได้กล่าวถึงรูปแบบเงินดิจิทัลชนิดหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องให้ธนาคารหรือบุคคลที่สามจัดการ มันเป็นระบบที่สามารถอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์รวมของผู้คนที่ใช้มันได้ทั้งหมด

Hal ถูกดึงดูดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคำกล่าวอ้างของ Satoshi ที่ว่าผู้ใช้สามารถเป็นเจ้าของและซื้อขาย Bitcoins ได้โดยไม่ต้องให้ข้อมูลระบุตัวตนกับหน่วยงานกลาง ซึ่งตัว Hal เองก็ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการทำงานกับโปรแกรมที่ทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถหลบเลี่ยงการจ้องมองของรัฐบาลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

หลังจากอ่านคำอธิบายเก้าหน้าซึ่งมีอยู่ใน paper แล้ว Hal ก็ได้ตอบกลับไปอย่างกระตือรือร้น:

“ตอนที่วิกิพีเดียเริ่มต้นขึ้นมาใหม่ ๆ ผมไม่เคยคิดว่ามันจะได้ผล แต่มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยเหตุผลเดียวกันนี้” เขาเขียน

เมื่อเผชิญกับความสงสัยจากผู้อื่นในรายชื่อ mailing list โดย Hal ได้เรียกร้องให้ Satoshi เขียนโค้ดจริงสำหรับระบบที่เขาได้อธิบายไว้ ไม่กี่เดือนต่อมาในวันเสาร์ของเดือนมกราคม Hal ดาวน์โหลดโปรแกรมของ Satoshi จากเว็บไซต์ Bitcoin ไฟล์ simple.exe ติดตั้งโปรแกรม Bitcoin และเปิดหน้าต่างบนเดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ของเขาโดยอัตโนมัติ

เมื่อโปรแกรมเปิดขึ้นเป็นครั้งแรกโปรแกรมจะสร้างรายการ address ของ Bitcoin โดยอัตโนมัติซึ่งจะเป็นหมายเลขบัญชีของ Hal ในระบบและรหัสผ่านหรือคีย์ส่วนตัวซึ่งทำให้เขาสามารถเข้าถึงได้

โปรแกรม Bitcoin ในยุคแรก (CR:Bitcoin.com)
โปรแกรม Bitcoin ในยุคแรก (CR:Bitcoin.com)

นอกเหนือจากนั้นโปรแกรมยังมีฟังก์ชันเพียงไม่กี่ฟังก์ชัน เมนูหลัก “Send Coins” ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นตัวเลือกสำหรับ Hal ที่จะทดลองใช้งานเนื่องจากเขาไม่มีเหรียญให้ส่ง แต่ก่อนที่เขาจะกดไปยังส่วนต่าง ๆ ของโปรแกรม โปรแกรมก็ error

แต่มันไม่ได้ขัดขวางความกระตือรือร้นของ Hal หลังจากดู log ในคอมพิวเตอร์ของเขา เขาเขียนถึง Satoshi เพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคอมพิวเตอร์ของเขาพยายามเชื่อมโยงกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในเครือข่าย

นอกเหนือจาก Hal แล้ว ใน log ยังแสดงให้เห็นว่ามีคอมพิวเตอร์อีกเพียงสองเครื่องในเครือข่ายและทั้งสองเครื่องมาจากที่อยู่ IP address เดียวซึ่งน่าจะเป็นของ Satoshi ซึ่งเชื่อมโยงกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในแคลิฟอร์เนีย

ภายในหนึ่งชั่วโมง Satoshi ก็เขียนตอบกลับโดยแสดงความผิดหวังกับความล้มเหลว เขาบอกว่าเขากำลังทดสอบอย่างหนักและไม่เคยพบปัญหาใด ๆ แต่เขาบอก Hal ว่าเขาได้ตัดทอนโปรแกรมเพื่อให้ดาวน์โหลดได้ง่ายขึ้น

Satoshi ส่งโปรแกรมเวอร์ชันใหม่ให้ Hal พร้อมกับคืนค่าเก่าบางส่วนและขอบคุณ Hal สำหรับความช่วยเหลือ

ในที่สุด Hal ก็ได้ใช้งานมันอีกครั้ง แล้วเขาก็คลิกที่ฟังก์ชั่นที่ทำให้เกิดเสียงที่น่าตื่นเต้นที่สุดในเมนู : “สร้างเหรียญ” เมื่อเขาทำการคลิกที่เมนูดังกล่าวหน่วยประมวลผลในคอมพิวเตอร์ของเขาก็ส่งเสียงดัง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการประมวลผลอย่างหนักแบบเห็นได้ชัด

คำแนะนำที่ Satoshi อธิบายไว้ในในซอฟต์แวร์ กล่าวว่าจริงๆ แล้ว การสร้างเหรียญอาจใช้เวลา “เป็นวันหรือเดือนขึ้นอยู่กับความเร็วของคอมพิวเตอร์ของคุณ และการแข่งขันบนเครือข่าย”

Hal ปิดท้ายข้อความสั้น ๆ เพื่อบอก Satoshi ว่าทุกอย่างได้ผล: “ผมต้องออกไปข้างนอก แต่ผมจะปล่อยให้เวอร์ชันนี้ทำงานต่อไปสักพัก”

Hal ได้อ่านมากพอที่จะเข้าใจงานพื้นฐานที่คอมพิวเตอร์ของเขากำลังทำอยู่ เมื่อโปรแกรม Bitcoin ทำงานแล้วโปรแกรมจะเข้าสู่ช่องแชทที่กำหนดเพื่อค้นหาคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่ใช้งานซอฟต์แวร์ซึ่งในขณะนั้นจะเป็นเพียงแค่เครื่องคอมพิวเตอร์ของ Satoshi เท่านั้น

ระบบเครือข่ายของ Bitcoin จะทำการเก็บข้อมูลธุรกรรมการส่ง Bitcoin ที่ส่งหากันในช่วงระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง โดยข้อมูลนี้จะถูกว่า “บล็อก” โดยบล็อกใหม่ของ Bitcoin แต่ละบล็อกจะถูกกำหนดให้กับ address ของผู้ใช้ที่เชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายและชนะการแข่งขันเพื่อไขปริศนาการคำนวณ 

เมื่อคอมพิวเตอร์ชนะการแข่งขันรอบหนึ่งและได้รับเหรียญใหม่ เครื่องอื่น ๆ ทั้งหมดในเครือข่ายจะอัปเดตบันทึกที่ใช้ร่วมกันของจำนวน Bitcoins ที่เป็น address Bitcoin ของคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น จากนั้นคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะเริ่มแข่งโดยอัตโนมัติเพื่อแก้ปัญหาใหม่เพื่อปลดล็อกชุดเหรียญถัดไป

เมื่อ Hal กลับไปที่คอมพิวเตอร์ของเขาในตอนเย็นเขาก็เห็นทันทีว่า คอมพิวเตอร์ของเขาได้สร้าง 50 Bitcoins ซึ่งถูกบันทึกไว้ที่ address Bitcoin ของเขาและยังบันทึกไว้ใน Public Ledger ที่คอยติดตาม Bitcoins ทั้งหมด บล็อกเหรียญที่สร้างขึ้นเหล่านี้เป็นหนึ่งใน 4,000 Bitcoins แรกที่นำมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนไม่มีค่าอะไรเลยจาก Bitcoins ที่เขาได้รับ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นของ Hal ลดลง ในอีเมลแสดงความยินดีถึง Satoshi ที่เขาส่งไปยังรายชื่อ mailing list ทั้งหมด ทำให้เขารู้สึกมีความหวังกับสิ่งประดิษฐ์สิ่งใหม่นี้

“ลองนึกภาพว่า Bitcoin ประสบความสำเร็จและกลายเป็นระบบการชำระเงินที่โดดเด่นในการใช้งานทั่วโลก” เขาเขียน “ถ้าอย่างนั้นมูลค่ารวมของสกุลเงินควรเท่ากับมูลค่ารวมของความมั่งคั่งทั้งหมดในโลก”

จากการคำนวณของเขาเองนั่นจะทำให้ Bitcoin แต่ละเหรียญจะมีมูลค่าประมาณ 10 ล้านดอลลาร์

“แม้ว่าอัตราต่อรองของ Bitcoin ที่จะประสบความสำเร็จในระดับนี้จะมีน้อย อาจจะเป็นโอกาสเพียงแค่ 100 ล้านต่อ 1 แต่มันไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว” เขาเขียนก่อนที่จะออกจากระบบ

คำเตือนครั้งสุดท้ายของ Satoshi Nakamoto

Bitcoin มีความโชคดีในการเข้ามาสู่โลกในช่วงเวลาที่เป็นยุคยูโทเปียหลังจากเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ที่ทำให้เกิดข้อบกพร่องหลายประการของระบบการเงินและการเมืองที่มีอยู่ของเรา นั่นทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เกิดความปรารถนาในทางเลือกอื่น

กลุ่ม Tea Party ครอบครองวอลล์สตรีท และฝั่งของ WikiLeaks ก็มีเป้าหมายที่แตกต่างออกไป แต่พวกเขาก็พร้อมใจกันที่จะยึดอำนาจคืนจากชนชั้นสูงที่ได้รับสิทธิพิเศษและมอบให้กับแต่ละบุคคล

Bitcoin เป็นโซลูชันทางเทคโนโลยีที่ชัดเจนสำหรับความต้องการเหล่านี้ เห็นได้ชัดจากผู้คนมากมายที่ทิ้งชีวิตเก่า ๆ ไว้เบื้องหลังเพื่อไล่ตามสัญญาของเทคโนโลยีนี้

สำหรับโครงการที่โดดเด่นที่สุดที่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยน Bicoin ให้กลายเป็นเงินจริง ๆ โครงการแรก คือ Bitcoin faucet ซึ่งเป็นเว๊บไซต์ที่แจก Bitcoins ฟรี 5 เหรียญสำหรับทุกคนที่ลงทะเบียน

ผู้สร้างโครงการคือ Gavin Andresen โปรแกรมเมอร์ในแมสซาชูเซตส์ซึ่งยินดีจ่ายเงิน 50 เหรียญเพื่อแลกกับ 10,000 Bitcoins

เขาได้ยินเกี่ยวกับเทคโนโลยีครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมจากรายการเล็ก ๆ บนเว็บไซต์ของ InfoWorld  โดย Gavin เขียนไว้ในฟอรัมว่า “ผมต้องการให้โครงการ Bitcoin ประสบความสำเร็จและผมคิดว่ามันมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นหากผู้คนสามารถหาเหรียญจำนวนหนึ่งมาทดลองใช้ 

แน่นอนว่าอาจเป็นเรื่องน่าผิดหวังที่ต้องรอจนกว่าโหนดของคุณจะสร้างเหรียญขึ้นมา (ซึ่งจะทำให้คุณหงุดหงิดมากขึ้นในอนาคต) และการซื้อ Bitcoins นั้นก็ยังค่อนข้างยุ่งยาก”

ในการเริ่มเข้าร่วมโครงการ Bitcoin Gavin ได้เริ่มส่งอีเมลถึง Satoshi Nakamoto ชายลึกลับผู้เริ่มต้นโปรเจกต์ Bitcoin อย่างรวดเร็วเพื่อแนะนำการปรับปรุงโค้ดของตัวเองและในเวลาไม่นานก็กลายเป็นบุคคลแรกนอกเหนือจาก Satoshi ที่ทำการเปลี่ยนแปลง Source Code ของ Bitcoin อย่างเป็นทางการ

Gavin Andresen หนึ่งในทีมงานยุคก่อตั้งของ Bitcoin Project (CR:Cointurk)
Gavin Andresen หนึ่งในทีมงานยุคก่อตั้งของ Bitcoin Project (CR:Cointurk)

สิ่งที่มีค่ามากกว่าการเขียนโปรแกรมของ Gavin คือความปรารถนาดีและความซื่อสัตย์ของเขาซึ่งทั้งสองอย่างนี้ Bitcoin จำเป็นอย่างยิ่งในการได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้รายใหม่

เนื่องจาก Satoshi ยังคงเป็นเพียงเงา แน่นอนว่า Satoshi ได้ออกแบบซอฟต์แวร์ของเขาให้เป็นโอเพ่นซอร์สเพื่อให้ผู้ใช้ไม่ต้องเชื่อใจเขา แต่ผู้คนไม่ได้แสดงความเต็มใจที่จะมอบเงินจริงให้กับเครือข่ายที่ดำเนินการโดยกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ออกนามจำนวนมาก

จุดเปลี่ยนของครั้งสำคัญที่สุด

สถานการณ์ของ Project Bitcoin ได้มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญจริง ๆ เมื่อเว๊บไซต์ชื่อดังอย่าง Slashdot ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวสำหรับนักคอมพิวเตอร์ทั่วโลกกำลังจะโพสต์บทความเกี่ยวกับโครงการ Bitcoin ซึ่งจะทำให้ Bitcoin ได้รับความสนใจจากทั่วโลก

“Slashdot ที่มีผู้อ่านที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลายล้านคน น่าจะยอดเยี่ยม บางทีอาจจะดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!” Martti Malmi ซึ่งเป็นหนึ่งนักพัฒนาในกลุ่ม Bitcoins เขียนในฟอรัม “ผมแค่หวังว่าเซิร์ฟเวอร์จะสามารถยืนหยัดเพื่อรับกลุ่มผู้คนที่จะแห่กันเข้ามาจาก ‘slashdotted’ ได้”

หลังจากที่ Martti ได้แก้ไขบทความเวอร์ชันสุดท้าย โดยเป็นการกล่าวอย่างถ่อมตัวมากขึ้นว่า “ชุมชนมีความหวังว่าสกุลเงินใหม่นี้จะอยู่นอกเหนือการเข้าถึงของรัฐบาลใด ๆ ”

เมื่อบทความออนไลน์ได้ไม่นานหลังเที่ยงคืนในเฮลซิงกิไม่มีอะไรมากไปกว่าย่อหน้าเดียวของบทความที่พาดหัวไว้ว่า

“Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลบนเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ที่ไม่มีธนาคารเป็นตัวกลางและไม่มีค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรม”

Martti ได้มองไปที่ตัวนับ ซึ่งใช้ติดตามจำนวนผู้ใช้ในฟอรัมและช่องแชท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งหลังจากบทความได้ถูกปล่อยออกไป มีคำถามเกิดขึ้นมากมายรวมถึงการถกเถียงที่เกิดขึ้นในกระดานสนทนาของพวกเขา

และเว็บไซต์ Bitcoin ซึ่งทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่สามารถรองรับผู้ชมได้มากกว่าหนึ่งร้อยคนในแต่ละครั้งก็เริ่มสะดุด ภายในหนึ่งชั่วโมงก็ถึงขีดจำกัด และไซต์ทั้งหมดก็ล่มไปในที่สุด 

Martti พยายามขยายขีดความสามารถของไซต์กับ บริษัท hosting แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในกระดานสนทนา ทั้งความคิดเห็นเชิงบวกและเชิงลบที่ปรากฏขึ้นอย่างบ้าคลั่ง หลังจากบทความของ Slashdot ออนไลน์นั้น ไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นของเขาลดลงไปเลย เพราะนี่คือสิ่งที่เขาและทีมงาน Bitcoin รอคอยมาหลายเดือนแล้วนั่นเอง

หลังจากที่โพสต์ที่ Slashdot ออนไลน์ Martti เห็นว่าผู้คนไม่เพียงแค่เข้ามาดูข้อมูลที่ไซต์ของ Bitcoin เพียงเท่านั้น พวกเขายังดาวน์โหลดและใช้งานซอฟต์แวร์ Bitcoin จำนวนการดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นจากประมาณสามพันครั้งในเดือนมิถุนายนเป็นมากกว่าสองหมื่นครั้งในเดือนกรกฎาคม ปี 2010

Martti Malmi ผู้เฝ้ามองการเติบโตของ Bitcoin อย่างก้าวกระโดด (CR:Business Insider)
Martti Malmi ผู้เฝ้ามองการเติบโตของ Bitcoin อย่างก้าวกระโดด (CR:Business Insider)

แต่ในขณะที่ซอฟต์แวร์ Bitcoin นั้นใช้งานได้ดีผู้ใช้ใหม่ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้านข้อ จำกัดจากระบบของ Bitcoin ผู้ที่ต้องการรับ Bitcoins เพิ่มเติม ก็มักจะพุ่งตรงไปที่ faucet ของ Gavin มันเป็นเพียงไม่กี่ตัวเลือกที่ผู้คนหน้าใหม่จะได้ครอบครอง Bitcoin

การถือกำเนิดของ Exchange Platform แห่งแรก

Jed McCaleb เป็นหนึ่งในคนที่พบจุดอ่อนนี้ Jed ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในอาร์คันซอได้รับการเลี้ยงดูจากแม่เลี้ยงเดี่ยวซึ่งหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักข่าว ตั้งแต่ยังเด็ก Jed เป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์และสิ่งนี้ทำให้เขาได้เรียนมหาวิทยาลัยที่เบิร์กลีย์ 

และในไม่ช้าเขาก็ลาออกจากเบิร์กลีย์และย้ายไปนิวยอร์ก ที่นั่นเขาและหุ้นส่วนได้สร้างสิ่งที่กลายเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดหลักของ Napster ซอฟต์แวร์ของเขาอย่าง eDonkey ทำให้บุคคลทั่วไปสามารถแลกเปลี่ยนไฟล์ขนาดใหญ่เช่นภาพยนตร์ได้และพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างมากจนสมาคมอุตสาหกรรมแผ่นเสียงแห่งอเมริกาฟ้อง

Jed และหุ้นส่วนทางธุรกิจของเขาต้องจ่ายเงิน 30 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดีและปิด eDonkey ลง แต่พวกเขาก็มีรายได้อีกหลายล้านไปพร้อมกันหลังจากคดียุติ

เมื่อ Jed เจอโพสต์ Slashdot เกี่ยวกับ Bitcoin เขาก็รู้สึกทึ่งในทันที ดูเหมือนจะตอบสนองอุดมคติหลายประการอยู่เบื้องหลัง Napster และ eDonkey – การยึดอำนาจจากหน่วยงานและมอบให้กับแต่ละบุคคล แต่เมื่อ Jed พยายามซื้อ Bitcoins จริงเขาก็พบข้อ จำกัด ของเว็บไซต์ที่มีอยู่ไม่กี่แห่งที่ขายได้

Jed กล่าวว่าเขาต้องการสร้างเว็บไซต์ด้วยตัวเองซึ่งเขาสามารถซื้อเหรียญได้ตลอดเวลา ด้วยประสบการณ์ในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศแบบสมัครเล่น Jed จึงรู้พื้นฐานของการแลกเปลี่ยน แต่เขาไม่เคยสร้างเว็บไซต์มาก่อนโดยก่อนหน้านี้ได้ทำงานกับซอฟต์แวร์แบ็คเอนด์เท่านั้น เว๊บไซต์การแลกเปลี่ยน Bitcoin ใหม่ของเขาเป็นการทดลองที่สนุกสนาน

เขาคิดถึงชื่อที่เป็นไปได้ของไซต์ เขาเคยมีโดเมนเก่าที่เขาเป็นเจ้าของและไม่ได้ใช้งาน –mtgox.com

Jed ได้ซื้อเว็บไซต์ในปี 2007 เพื่อใช้เป็นแลกเปลี่ยนออนไลน์เพื่อซื้อและขายบัตรที่ใช้ในการเล่นเกมเวทมนตร์ กลุ่มออนไลน์แลกเปลี่ยนได้เปิดดำเนินการเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่ Jed จะปิดตัวลงและไซต์ก็ว่างลงตั้งแต่นั้นมา

เจ็ดวันหลังจากโพสต์ Slashdot Jed ได้โฆษณาเว็บไซต์ใหม่ของเขาบนฟอรัม Bitcoin โดยไม่เป็นทางการ:

สวัสดีทุกคน,

ผมเพิ่งทำเว๊บไซต์การแลกเปลี่ยน Bitcoin ใหม่

โปรดแจ้งให้เราทราบว่าคุณคิดอย่างไร

Mt. Gox เป็นการปฏิวัติจากการแลกเปลี่ยนที่มีอยู่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก Jed เสนอให้นำเงินจากลูกค้าเข้าสู่บัญชี PayPal ของเขา และด้วยเหตุนี้จึงเสี่ยงต่อการละเมิดข้อห้ามของ PayPal ในการซื้อและขายสกุลเงิน นั่นหมายความว่า Jed สามารถรับเงินได้จากเกือบทุกแห่งในโลก

ยิ่งไปกว่านั้นลูกค้าไม่ต้องส่งเงินให้ Jed ทุกครั้งที่ต้องการทำการขาย แต่พวกเขาสามารถถือเงินได้ทั้งดอลลาร์และ Bitcoins ในบัญชีของ Jed จากนั้นเทรดในทิศทางใดก็ได้ตราบเท่าที่พวกเขามีเงินเพียงพอเช่นเดียวกับในบัญชีนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม

ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้การซื้อและขาย Bitcoins สะดวกขึ้นอย่างมาก แต่ยังนำมาซึ่งอันตรายใหม่ ๆ ที่ดูเหมือนจะขัดหลักการพื้นฐานของสกุลเงินที่ Satoshi ได้ออกแบบ Bitcoin เพื่อขจัดความต้องการหน่วยงานกลางที่เชื่อถือได้

มันควรจะเป็นเงินใหม่ที่ผู้คนสามารถถือครองได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีธนาคารที่ปลอดภัยด้วยคีย์ส่วนตัวที่มีเพียงผู้ใช้เท่านั้นที่รู้ Mt.Gox ได้เปลี่ยนแนวคิดกลับไปใช้โมเดลแบบเดิม ๆ ที่มีสถาบันเป็นตัวกลาง

บริษัท ของ Jed เป็นผู้ดูแลเงินของทุกคน หาก Jed เสนอมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดีสิ่งนี้อาจพิสูจน์ได้ว่าปลอดภัยกว่าการถือเหรียญเก็บไว้กับคอมพิวเตอร์ที่บ้าน

แต่ Jed ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและถ้าเขาทำคีย์ส่วนตัวในกระเป๋าเงินดิจิทัลของ Exchange หายไปลูกค้าของเขาก็แทบจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ ไม่เหมือนธนาคารที่ยังมีความรับผิดชอบอยู่บ้าง

Mt. Gox ไม่มีการประกันเงินฝากและไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลดูแลความปลอดภัย และวิธีการของ Jed ต้องเลือกระหว่างความปลอดภัย , หลักการของ Bitcoin และความสะดวกสบายในอีกด้านหนึ่ง

เมื่อสมาชิกฟอรัมถามว่าทำไมจึงควรเลือก Mt. Gox เหนือทางเลือกอื่น Jed ตอบสนองด้วยวิธีที่สุภาพเรียบร้อย แต่มั่นใจ

“มันออนไลน์อยู่เสมอโดยอัตโนมัติไซต์เร็วขึ้นและบนโฮสติ้งเฉพาะและผมคิดว่าอินเทอร์เฟซนั้นดีเลิศ”

แม้กระทั่ง Jed เองก็ยังประหลาดใจที่ผู้คนเชื่อถือคำกล่าวของเขา และส่งเงินไปยังบัญชี PayPal ของเขาได้อย่างง่ายดายมาก ๆ  ในวันแรกของการทำธุรกิจวันที่ 18 กรกฎาคมปี 2010 มีการซื้อขาย Bitcoins ยี่สิบเหรียญในราคาห้าเซ็นต์บน Mt. Gox

แต่ภายในสัปดาห์แรกมีบางวันที่มีการซื้อขายหลักร้อยดอลลาร์ และสิ้นเดือน Mt. Gox แซงหน้าบริการของ Martti และการแลกเปลี่ยนอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปริมาณการซื้อขายจนกลายเป็นธุรกิจ Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ความกังวลใหญ่ที่ก่อให้เกิดปัญหาในฟอรัม Bitcoin คือวิธีดึงดูดผู้ใช้ใหม่ แต่ปัญหาใหม่ก็คือวิธีจัดการกับการไหลเข้าของผู้ใช้ใหม่กับพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายได้

ปัญหาเหล่านี้เริ่มเด่นชัดโดยเฉพาะหลังจาก Bitcoin พุ่งเข้าสู่สปอตไลท์ครั้งใหญ่ครั้งต่อไป ในเดือนพฤศจิกายน WikiLeaks ซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งโดยผู้มีส่วนร่วมในขบวนการ Cypherpunk เก่าอย่าง Julian Assange ได้เปิดเผยความลับมากมายเอกสารทางการทูตอเมริกันที่เปิดเผยก่อนหน้านี้ที่มีปฏิบัติการลับทั่วโลก

บริษัท บัตรเครดิตขนาดใหญ่และ PayPal ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางการเมืองในทันทีให้ตัดการบริจาคให้กับ WikiLeaks ซึ่งพวกเขาทำในช่วงต้นเดือนธันวาคม ในสิ่งที่เรียกว่าการปิดล้อม WikiLeaks

ความเคลื่อนไหวนี้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่อาจเป็นปัญหาระหว่างอุตสาหกรรมการเงินและรัฐบาล หากนักการเมืองไม่ชอบแนวคิดของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจขอให้ธนาคารและเครือข่ายบัตรเครดิตปฏิเสธการเข้าถึงระบบการเงินของกลุ่มที่ไม่เป็นที่นิยม โดยมักไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากศาล อุตสาหกรรมการเงินดูเหมือนจะให้วิธีการนอกกฎหมายแก่นักการเมืองในการปราบปรามผู้ไม่เห็นด้วย

การปิดล้อม WikiLeaks เป็นหัวใจหลักของข้อกังวลบางประการที่กระตุ้นให้เกิด Cypherpunks ดั้งเดิม ในทางกลับกัน Bitcoin ดูเหมือนจะมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหา แต่ละคนในเครือข่ายควบคุมเหรียญของตนด้วยคีย์ส่วนตัว ไม่มีองค์กรกลางที่สามารถตรึงที่อยู่ Bitcoin ของบุคคลหรือหยุดการส่งเหรียญจากที่อยู่ใดที่หนึ่งได้

Julian Assange ผู้ก่อตั้ง Wikileaks ที่ต้องการใช้ประโยชน์จาก Bitcoin (CR:Yahoo)
Julian Assange ผู้ก่อตั้ง Wikileaks ที่ต้องการใช้ประโยชน์จาก Bitcoin (CR:Yahoo)

ไม่กี่วันหลังจากการปิดล้อม WikiLeaks เริ่มขึ้น PCWorld ได้เขียนเรื่องราวที่แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางซึ่งระบุถึงประโยชน์ที่ชัดเจนของ Bitcoin ในสถานการณ์:“ ไม่มีใครสามารถหยุดระบบ Bitcoin หรือเซ็นเซอร์ได้เนื่องจากไม่ได้มีการปิดกั้นอินเทอร์เน็ตทั้งหมด หาก WikiLeaks ร้องขอ Bitcoins พวกเขาก็จะได้รับเงินบริจาคโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย”

ยังไม่ชัดเจนว่า Bitcoin สามารถใช้ในกรณีนี้ได้จริงหรือไม่ แต่สิ่งที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติการปิดล้อมช่วยยกระดับการถกเถียงเกี่ยวกับ Bitcoin นอกเหนือจากประเด็นที่ค่อนข้างแคบในเรื่องความเป็นส่วนตัวและการพิมพ์เงินของรัฐบาลที่มีบทบาทสำคัญในช่วงแรก และนี่คือประเด็นทางปรัชญาที่ลึกซึ้งขึ้นซึ่งสามารถดึงดูดผู้ชมได้กว้างขึ้น และฟอรัมก็เต็มไปด้วยสมาชิกใหม่ที่ได้รับความสนใจ

หนึ่งผู้ใช้ใหม่ชายหนุ่มในอังกฤษชื่อ Amir Taaki เสนอให้บริจาค Bitcoin ให้กับ WikiLeaks Amir โต้แย้งว่าสิ่งนี้สามารถเพิ่มโปรไฟล์ของ Bitcoin ได้ในเวลาเดียวกันกับที่สามารถช่วย WikiLeaks หาเงินได้

สิ่งนี้ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างรุนแรงในฟอรัม โปรแกรมเมอร์จำนวนมากกังวลว่าเครือข่าย Bitcoin ไม่พร้อมสำหรับการรับส่งข้อมูลทั้งหมดและการตรวจสอบข้อเท็จจริงของรัฐบาลซึ่งอาจเกิดขึ้นหากเริ่มใช้เพื่อการบริจาคให้กับ WikiLeaks

ในที่สุด Satoshi ก็เข้ามายุติการถกเถียง เมื่อมีคนในฟอรัมเขียนว่าให้ Satoshi เข้ามาตอบอย่างจริงจัง:

“ไม่!!! อย่าเปิดรับการบริจาคให้ WikiLeaks”

โครงการต้องค่อยๆเติบโตเพื่อให้ซอฟต์แวร์มีความเข้มแข็งไปพร้อมกัน

แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะโน้มน้าว Amir

นี่เป็นหนึ่งในจำนวนการสื่อสารที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ จาก Satoshi ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2010 ข้อความจากทั้ง Satoshi หายากขึ้นเรื่อย ๆ 

Final Messages

การค่อยๆหายตัวไปของ Satoshi นั้นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ  แม้ว่าเขายังคงโพสต์ในฟอรัมเป็นครั้งคราวเมื่อมีคำถามเฉพาะ แต่เขาไม่เคยปรากฏตัวในช่องแชทและเปลี่ยนไปใช้การสื่อสารส่วนตัวที่ไม่บ่อยนักกับ Gavin และนักพัฒนาอื่น ๆ เพียงไม่กี่คน

ในเดือนธันวาคม Satoshi ถาม Gavin ว่าเขาต้องการให้ที่อยู่อีเมลของเขาโพสต์บนเว็บไซต์ Bitcoin สำหรับใช้ในการติดต่อหรือไม่  Gavin ก็สังเกตว่าอีเมลของ Satoshi ได้หายไป

และโพสต์ในฟอรัมสาธารณะสุดท้ายที่เป็น Final Message ที่มาจาก Satoshi ในวันที่ 12 ธันวาคม 2010 เป็นการประกาศซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุดเวอร์ชัน 0.3.19

โพสต์ดังกล่าวมีน้ำเสียงที่แตกต่างจากข้อความแรก ๆ อย่างเห็นได้ชัดที่เดิมนั้นเน้นขายศักยภาพของ Bitcoin ในระดับโลก ความเชื่อมั่นหลักในโพสต์สุดท้ายของ Satoshi คือคำเตือนว่า Bitcoin ยังคงมีความอ่อนไหวอย่างมากต่อการโจมตี

“ ยังมีอีกหลายวิธีในการโจมตี Bitcoin มากกว่าที่ผมจะนับได้” Satoshi เขียนในบันทึกย่อ

หลังจากนั้นก็เริ่มมีการตามล่า Satoshi ที่ดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปี ผู้คนในช่องแชทเริ่มถกเถียงกันถึงรายละเอียดที่มีอยู่เกี่ยวกับ Satoshi และความสำคัญของพวกเขา

มีข้อสังเกตว่าบางครั้ง Satoshi ใช้การสะกดและคำภาษาอังกฤษเช่น “bloody” นอกจากนี้ยังมีงานเขียนจากข่าวของอังกฤษที่เขียนลงในบล็อกแรกของ Bitcoins ที่ถูกสร้างขึ้นโดยคอมพิวเตอร์ของ Satoshi

ผู้ใช้ Bitcoin ในญี่ปุ่นตั้งข้อสังเกตว่า Satoshi เป็นชื่อสามัญในญี่ปุ่น แต่เขาแย้งว่า Satoshi ไม่น่าจะเป็นคนญี่ปุ่นเนื่องจาก Satoshi ไม่เคยใช้คำภาษาญี่ปุ่นและมักจะเขียนชื่อของเขาด้วยนามสกุลซึ่งขัดกับประเพณีของญี่ปุ่น

นั่นทำให้ Gavin ได้กลายเป็นบุคคลสำคัญที่สุดใน Bitcoin เพราะเขาและ Satoshi ยังคงเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถลงนามในการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ใน Bitcoin ได้

สาเหตุหลักของความไม่ไว้วางใจ Bitcoin จากคนส่วนใหญ่ในยุคนั้น ไม่ใช่เรื่องความลึกลับของ Satoshi แต่การไม่เปิดเผยตัวตนได้ชี้ให้เห็นว่า Bitcoin ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลที่แสวงหาชื่อเสียงหรือความสำเร็จส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้นการไม่มีอยู่ของ Satoshi ทำให้ผู้คนสามารถแสดงวิสัยทัศน์ของตนเองบน Bitcoin ได้

เมื่อตัดภาพมาในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายทั้งการฉ้อโกง การหลอกลวง หรืออีกมากมายซึ่งมันแทบจะไม่ได้เกี่ยวกับ Bitcoin แต่อย่างใดแต่มักจะถูกเหมารวมไปด้วย

ซึ่งมันได้กลายเป็นว่าเหล่าผู้คนในกลุ่มที่เติบโตขึ้นมาในยุคหลังที่อาศัยความโลภของมนนุษย์ ผลักดันตัวเองให้กลายเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อ Bitcoin แทน ซึ่งมันค่อนข้างที่จะคล้ายกับคำเตือนสุดท้ายที่ Satoshi Nakamoto ได้กล่าวไว้นั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Bitcoin Millionaires โดย Ben Mezrich
หนังสือ Digital Gold โดย Nathaniel Popper
https://www.pexels.com/photo/a-close-up-shot-of-a-bitcoin-commemorative-coin-11070638/