เมื่อโลกของ Metaverse กำลังล่มสลายโดยสิ้นเชิง

ยังคงจำกันได้ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาเหมือนว่าบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย ต่างมุ่งหน้าพาตัวเองเข้าสู่โลกของ Metaverse กันเป็นทิวแถว หลังจากที่ Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook ที่ประกาศรีแบรนด์บริษัทใหม่เป็น Meta

เป็นบทความที่น่าสนใจจาก The Wall Street Journal สื่อยักษ์ใหญ่ที่ได้รายงานว่า ทั้ง Disney และ Microsoft สองบริษัทชื่อดังได้ทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เพื่อยุติการดำเนินงาน metaverse โดย Disney โละทิ้งแผนกที่เกี่ยวข้องกับ metaverse ทั้งหมดและ Microsoft ปิดหน่วยธุรกิจด้าน VR ที่พวกเขาได้ซื้อกิจการมาในปี 2017

“บริษัทและธุรกิจจำนวนมากเข้าใจดีว่าพวกเขาจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานหรือค่าใช้จ่ายโดยรวม ซึ่งหมวดหมู่ประเภทนี้ (metaverse) ดูเหมือนจะเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างง่ายที่จะโละทิ้ง” Scott Kessler นักวิเคราะห์ภาคเทคโนโลยีของบริษัทวิจัย Third Bridge Group กล่าว

“สิ่งที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง AI ดูเหมือนจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในขณะนี้”  แต่เมื่อพูดถึง metaverse “มันแทบไร้ประโยชน์” Kessler กล่าวเสริม

กล่าวอีกนัยหนึ่ง AI ดูเหมือนจะเป็นเทคโนโลยีของจริงในยุคนี้ ในขณะที่ metaverse ดูเหมือนสิ่งเพ้อฝันเสียมากกว่า

เป็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมที่ชัดเจนมาก ๆ เพราะเมื่อย้อนกลับไปในเดือนตุลาคมของปีที่ผ่านมา Zuckerberg ยังมองว่า metaverse ยังคงอยู่ในวิสัยทัศน์ของเขา 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีพันธมิตรองค์กรที่มีชื่อเสียงจำนวนมากที่เข้ามาร่วมในงาน Meta’s Connect 2022

งาน Meta's Connect 2022 ที่ Meta และ Microsoft ร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน (CR:AI Business)
งาน Meta’s Connect 2022 ที่ Meta และ Microsoft ร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน (CR:AI Business)

Microsoft ก็เป็นหนึ่งในพันธมิตรรายใหญ่ที่โดดเด่นเหล่านั้น Zuckerberg ใช้งานดังกล่าวเพื่อวาง metaverse เป็นอนาคตของการทำงาน และ Microsoft ซึ่งมีโซลูชั่นด้านธุรกิจจำนวนมากก็พยายามที่จะยัดเยียด metaverse เข้าไปในส่วนต่าง ๆ ของ software ของพวกเขาเช่นเดียวกัน

ในส่วนของ Disney ได้ดำเนินโครงการ metaverse มาตั้งแต่ปี 2021 ในช่วงที่ Zuckerberg ได้แสดงรายละเอียดวิสัยทัศน์ AR ของเขา

ในตอนนั้น Satya Nadella CEO ของ Microsoft อยู่บนเวทีพร้อมกับ Zuckerberg พร้อมยกย่องโลก metaverse ของผู้ก่อตั้ง Facebook แต่เวลาผ่านไปเพียงแค่สามเดือน Microsoft ได้หันเหทิศทางของบริษัทไปอย่างสิ้นเชิง และได้ประกาศลงทุน 10,000 ล้านดอลลาร์ใน OpenAI

Microsoft ได้หันเหทิศทางของบริษัทไปอย่างสิ้นเชิง และได้ประกาศลงทุน 10,000 ล้านดอลลาร์ใน OpenAI  (CR:GeekWire)
Microsoft ได้หันเหทิศทางของบริษัทไปอย่างสิ้นเชิง และได้ประกาศลงทุน 10,000 ล้านดอลลาร์ใน OpenAI (CR:GeekWire)

Nadella กำลังเปลี่ยนทิศทางของบริษัทมุ่งเน้นไปที่ AI  ตามรายงานของ WSJ  เขาใช้คำว่า “AI” ถึง 28 ครั้ง ในขณะที่คำว่า “metaverse” ถูกพูดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัดในการประกาศวิสัยทัศน์ของบริษัทล่าสุด

การเปลี่ยนแปลงที่คล้ายคลึงกันนี้พบได้ในข้อความอธิบายคำขอโทษล่าสุดของ Zuckerberg ต่อพนักงานที่เพิ่งถูกเลิกจ้าง ซึ่ง Zuckerberg เองได้กล่าวถึง AI สี่ครั้ง ในขณะเดียวกันแทบจะไม่กล่าวถึง metaverse อีกเลย

สอดรับกับยอดขายชุดหูฟัง Quest 2 ของ Meta ที่ลดลงอย่างมากในไตรมาสที่แล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับจำนวนผู้คนที่อยู่ใน Horizon Worlds ซึ่งดูเหมือนจะเป็นดินแดนป่าช้าไปแล้วในตอนนี้

ในขณะที่บริษัทขนาดเล็กอย่าง Decentraland และ Sandbox ที่ผู้ใช้สามารถซื้อที่ดินเสมือนจริงและสร้างโลกของตัวเองได้ ยอดขายที่ดินก็ลดลง ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรใน Decentraland ลดลงจากประมาณ 45 ดอลลาร์ในปีที่แล้วเหลือ 5 ดอลลาร์ รวมถึงจำนวนผู้ใช้งานก็ลดลงสูงถึง 25%

แน่นอนว่า Meta ได้ลงทุนใน Metaverse มากกว่าใคร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่าอุตสาหกรรมนี้จะก้าวต่อไปในทิศทางใด แต่การเปลี่ยนแปลงคงไม่ได้รวดเร็วมากขนาดนั้น 

สำหรับ Microsoft  ทุกคนรู้ว่าพวกเขาไม่เคยพลาดในการแข่งขันในทุก ๆ พรมแดนของโลกเทคโนโลยี ซึ่งเราคงไม่แปลกใจที่จะได้เห็น Microsoft ออกมาลุยกับ AI แบบเต็มที่เพื่อสร้างพรมแดนใหม่ทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมนั่นเองครับผม 

References :
https://www.wsj.com/articles/the-metaverse-is-quickly-turning-into-the-meh-taverse-1a8dc3d0
https://www.theverge.com/2023/3/28/23659691/disney-metaverse-job-cuts-eliminated
https://futurism.com/metaverse-completely-falling-apart

Cyprus Moment x Silicon Valley Bank ประวัติศาสตร์ไม่ได้ซ้ำรอยเสมอไป  แต่มันจะเกิดขึ้นในลักษณะที่คล้ายๆกัน

Bitcoin ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากวิกฤตการธนาคารในไซปรัสในเดือนมีนาคม 2013 โดยพุ่งขึ้นถึง 178% เป็น 93 ดอลลาร์ในเดือนนั้น และแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 265 ดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม 2013 ย้อนกลับไปในตอนนั้น มีรายงานของผู้ที่ถือครองเงินยูโรและรูเบิลรัสเซียที่เริ่มกระจายการลงทุนไปยัง bitcoin หลังจากเห็นการปิดตัวของธนาคารในไซปรัส

“เมื่อสิบปีที่แล้ว มีธนาคารแห่งหนึ่งในไซปรัสเต็มไปด้วยตู้เอทีเอ็มที่ว่างเปล่า เหตุการณ์นี้กระตุ้นราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้นครั้งใหญ่ที่สุด (ในแง่เปอร์เซ็นต์) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 45 ดอลลาร์ เป็น 260 ดอลลาร์ ในหนึ่งเดือน Cumberland ยักษ์ใหญ่ด้านการซื้อขาย crypto ทวีตเมื่อต้นวันจันทร์ที่ผ่านมา

ความน่าสนใจก็คือการล่มสลายของ Silicon Valley Bank (SVB) อาจเป็นข่าวดีสำหรับ bitcoin (BTC) เฉกเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับวิกฤติไซปรัส

วิกฤตไซปรัส ในปี 2013 ที่ตอกย้ำข้อบกพร่องในระบบธนาคารแบบดั้งเดิม และทำให้เหล่าผู้คนเริ่มหันมามองไปที่ BTC ที่ต่อต้านการเข้ามาควบคุมสิ่งต่าง ๆ ของธนาคารกลาง

วิกฤตการณ์ที่ SVB เริ่มขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่รุนแรงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน จาก 0.25% ไปที่ 4.75% ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีที่ผ่านมา เพื่อปราบเงินเฟ้อ และขณะเดียวกันก็เพิ่มต้นทุนทางการเงินด้วย

การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่รุนแรงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน (CR:9News)
การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่รุนแรงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน (CR:9News)

สิ่งนี้ส่งผลให้บริษัทที่ต้องใช้เงินลงทุนที่มาก และต้องเร่งขยายตลาด อย่าง Startup และธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) ซึ่งเป็น “ลูกค้าหลัก” ธนาคาร Silicon Valley หรือธนาคาร SVB ประสบปัญหาทางการเงิน ระดมทุนลำบาก จึงเลือกถอนเงินฝากจากธนาคาร SVB จำนวนมาก

การเข้าถอนเงินของบริษัท Startup จำนวนมาก ทำให้ธนาคาร SVB ขาดสภาพคล่อง เพราะเงินสำรองของธนาคารจำนวนมากอยู่ใน “พันธบัตรระยะยาว” 

ดังนั้น “เพื่อไม่ให้ผิดนัดชำระเงินฝากลูกค้า” ธนาคารจึงจำเป็นต้องขายขาดทุนพอร์ตพันธบัตรระยะยาวออกไป 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ รับรู้ขาดทุนจริงทันที 1.8 พันล้านดอลลาร์ และทำให้ขาดสภาพคล่อง

สิ่งที่ตามมาคือ Bank Run (การที่ผู้ฝากเงินเชื่อว่าธนาคารจะล้มละลาย เลยทำการถอนและปิดบัญชีเงินฝากเป็นจำนวนมาก) ผู้ฝาก SVB ต่างแเพื่อมาถอนเงิน โดยมีการถอนเงินฝากทั้งหมดถึง 42 พันล้านดอลลาร์ในวันพุธ ซึ่งเกือบ 25% ของฐานเงินฝากทั้งหมด 173 พันล้านดอลลาร์

Bank Run เกิดขึ้นเนื่องจากรูปแบบของ Fractional Banking ธนาคารต้องกันเงินที่ฝากไว้เป็นทุนสำรองเพียงบางส่วน ธนาคารใช้เงินฝากของลูกค้าเพื่อปล่อยสินเชื่อเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และให้ดอกเบี้ยเงินฝากของลูกค้า ซึ่งโดยปรกติระบบจะถือว่า ณ จุดใดก็ตาม จะไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง

อย่างไรก็ตาม สมมติฐานดังกล่าวถูกทำลายเมื่อความเชื่อมั่นของลูกค้าหมดไป เช่นเดียวกับในกรณีของ SVB ซึ่งนำไปสู่การถอนเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการขาดแคลนสภาพคล่องของธนาคาร

หน่วยงานกำกับดูแลมักจะเข้ามาหลังจากเกิดเหตุการณ์ Bank Run ทำการยึดหรือควบคุมเงินฝาก ทางออกของวิกฤตการธนาคารในไซปรัสในปี 2013 หน่วยงานกำกับดูแลได้เข้ามาจัดเก็บภาษี 15.6% กับผู้ฝากเงินที่มีฐานะร่ำรวย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเก็บภาษีจากบัญชีเงินฝากขนาดเล็ก

ในกรณีของ SVB หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐเข้าควบคุมเงินฝากและปิดธนาคารในวันศุกร์ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารของ Biden ประกาศว่าผู้ฝาก SVB ทุกคนสามารถเข้าถึงเงินของตนได้ตั้งแต่วันจันทร์ 

การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ Signature Bank (SBNY) ก็ถูกปิดไปเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสัญญาณของความตื่นตระหนกที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในภาคการธนาคาร

Signature Bank ที่ถูกปิดตามกันไป (CR:Reeuters)
Signature Bank ที่ถูกปิดตามกันไป (CR:Reuters)

แม้ว่ามาตรการที่ใช้เพื่อจัดการกับวิกฤต SVB จะไม่เข้มงวดเท่ากับมาตรการที่ใช้กับไซปรัส แต่มันได้ตอกย้ำประเด็นที่ว่าเงินของลูกค้าไม่ปลอดภัยในธนาคารที่มีการควบคุมอย่างที่เราเชื่อกัน 

ประเด็นนี้แตกต่างจาก bitcoin ในฐานะเครือข่ายแบบ peer-to-peer ที่กระจายอำนาจและสกุลเงินดิจิทัลที่มีการป้องกันการเข้ามายึดครองจากหน่วยงานใด ๆ ซึ่งเครือข่ายจะอำนวยความสะดวกในการดูแลเงินด้วยตนเอง

“Not your keys, not your coins” เป็นบทเรียนที่ต้องเรียนรู้เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” Mike Fay ผู้เขียน Blockchain Reaction กล่าวถึงนักลงทุน การล่มสลายของ SVB และ Silvergate Capital และวิกฤตการธนาคารในไซปรัสในปี 2013

“มันง่ายมากที่ผู้ฝากเงินจะรู้สึกสบายใจ แล้วมองอย่างโลกสวยว่าเหล่าสถาบันการเงินมีความปลอดภัยและได้รับการควบคุมอย่างดี แต่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าธนาคารสามารถทำการเดิมพันในสิ่งที่แย่ได้เช่นเดียวกัน” Fay กล่าวเสริม

และดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญเมื่อ Bitcoin มีราคาเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 15% ตั้งแต่วันศุกร์ โดยเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบสองเดือนใกล้ 22,500 ดอลลาร์

“ประวัติศาสตร์ไม่ได้ซ้ำรอยเสมอไป  แต่มันจะเกิดขึ้นในลักษณะที่คล้ายๆกัน” Cumberland กล่าวเสริม

References :
https://corporatefinanceinstitute.com/resources/economics/fractional-banking/
https://www.coindesk.com/markets/2023/03/13/silicon-valley-bank-crisis-a-cyprus-moment-for-bitcoin-crypto-observers/
https://www.bangkokbiznews.com/finance/1057560
https://www.siamturakij.com/news/315-วิกฤติ-ไซปรัส-สะเทือนโลก-แผนสหภาพธนาคารยูโรสะดุด

การปราบปราม Crypto ของสหรัฐฯ สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมได้อย่างไร

ชุมชน crypto ของสหรัฐมองว่า Gary Gensler เป็นหนึ่งในศัตรูตัวฉกาจมาช้านาน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้พูดถึงอันตรายของสกุลเงินดิจิทัลและความจำเป็นในการควบคุมอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวดและตั้งแต่ FTX ล่มสลายในเดือนพฤศจิกายน Gensler ได้เพิ่มระดับความโหดเหี้ยมต่อวงการ crypto มากยิ่งขึ้น

ในขณะที่สภาคองเกรสมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยในการผ่านกรอบกฎหมายในการกำกับดูแลอุตสาหกรรม crypto แต่ Gensler ก็ใช้อำนาจของเขาเองในการปราบปรามอุตสาหกรรม ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ตั้งข้อหา บริษัท crypto รายใหญ่หลายแห่ง ที่ละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์

คนวงในเกี่ยวกับ crypto หลายคนกำลังบ่นว่าการกระทำของ Gensler กำลังขัดขวางนวัตกรรมและขับไล่ธุรกิจ crypto ไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตามคนอื่นๆ ก็โต้แย้งว่าแนวทางของ Gensler จะกำจัดเหล่าโจรชั่วร้ายและช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับอุตสาหกรรมที่ถูกตราหน้าอย่างหนักและมีความเสี่ยงกับประชาชนสูง ซึ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป การกระทำของ Gensler เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรม crypto

“แน่นอนว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ปูพรมทิ้งระเบิดวงการ crypto” Kristin Smith ซีอีโอของ Blockchain Association ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ในวงการ crypto กล่าว

“ในขณะที่นักกฎหมายกำลังวิเคราะห์อุตสาหกรรมนี้ พวกเขากำลังคิดอย่างหนักว่าสหรัฐอเมริกาเป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการตั้งฐานที่มั่นทางธุรกิจของอุตสาหกรรม crypto หรือไม่”

ความไม่พอใจของรัฐบาลกลาง

หัวใจสำคัญของการต่อสู้ครั้งนี้คือการถกเถียงกันว่า cryptocurrencies ควรถือเป็นหลักทรัพย์หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งหากเป็นหลักทรัพย์จะได้รับการควบคุมโดย SEC ของ Gensler ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่า Commodities Futures Trading Commission (CFTC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลสินค้าโภคภัณฑ์ 

ผู้นำในวงการ crypto หลายคนรวมถึง Sam Bankman-Fried จาก FTX ในวันที่เขายังคงมีอำนาจ ได้ออกมาโต้แย้งว่า cryptocurrencies ส่วนใหญ่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ และผลักดันให้ CFTC เป็นหน่วยงานในการกำกับดูแลอุตสาหกรรมทำเงินของพวกเขา

ในทางกลับกัน Gensler มองผลิตภัณฑ์ crypto ส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ ตั้งแต่เดือนมกราคม เขาใช้กรอบการทำงานนี้เพื่อเรียกเก็บเงินจากแพลตฟอร์มด้าน crypto รายใหญ่หลายแห่ง รวมถึง Gemini, Genesis และ Kraken ที่ไม่ลงทะเบียนผลิตภัณฑ์ทางการเงินกับ SEC บริษัททั้งสามแห่งเสนอโปรแกรมให้ผลตอบแทน ซึ่งนักลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยจากเงินที่พวกเขาฝาก 

ในขณะที่บริษัทต่าง ๆ ตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ต่างกัน Gensler ให้เหตุผลว่าพวกเขาทั้งหมดมีกลไกที่คล้ายคลึงกันซึ่งควรอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของสำนักงาน ก.ล.ต. Gensler ส่งคำเตือนไปยังโปรแกรมที่คล้ายกันทั้งหมดที่พยายามเลี่ยงบาลี ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าทำสิ่งใดอยู่

“ไม่ว่าคุณจะเรียกมันว่า Lending, Earn, Yield, APY นั้นไม่สำคัญ… พวกเขาควรพยายามที่จะปฏิบัติตามกฎของเรา”

เหตุการณ์ที่ Genesis ล่มสลายหลังจากความผิดพลาดของ FTX และยังคงเป็นหนี้ 900 ล้านดอลลาร์ กับเหล่านักลงทุนที่ลงเงินใน Gemini Earn 

การกำหนดเป้าหมายไปยังเหล่าโปรแกรมที่ให้ผลตอบแทนของ Gensler เกิดขึ้นหนึ่งปีหลังจากหนึ่งในผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการล่มสลายของตลาด crypto ทั้งหมด 

ปีที่แล้ว Anchor สัญญากับนักลงทุนว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงถึง 20% หากพวกเขานำเงินของพวกเขาไปไว้ในระบบนิเวศของ Terra-Luna 

นักวิจารณ์หลายคน แม้กระทั่งผู้ที่อยู่ในวงการนี้ กล่าวว่า โมเดลของ Terra-Luna นั้นไม่ยั่งยืน และแน่นอนว่ามันพังทลายลงอย่างรวดเร็วเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน Gensler ได้ตั้งข้อหา Terraform Labs และผู้ก่อตั้ง Do Kwon ด้วยข้อหาฉ้อโกงหลักทรัพย์ โดยกล่าวหาว่าพวกเขาหลอกลวงนักลงทุน 

 Do Kwon หนุ่มน้อยยอดอัจฉริยะจุดเริ่มต้นแห่งหายนะวงการ crypto (CR:MoneyWeek)
Do Kwon หนุ่มน้อยยอดอัจฉริยะจุดเริ่มต้นแห่งหายนะวงการ crypto (CR:MoneyWeek)

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด

ในขณะที่ ก.ล.ต. เป็นผู้นำในการฟ้องร้อง crypto หน่วยงานของรัฐอื่น ๆ ก็หันหลังให้กับอุตสาหกรรมเช่นกัน Federal Reserve, Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) และ Office of the Comptroller of the Currency (OCC) ออกแถลงการณ์ร่วมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เตือนธนาคารเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของเหรียญ Stablecoin 

ทำเนียบขาวออก แถลงการณ์เตือนถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ crypto เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ และกรมบริการทางการเงินของนิวยอร์กประกาศว่าได้สั่งให้ Paxos ซึ่งเป็นผู้ออกเหรียญ Stablecoin ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกอย่าง Binance USD (BUSD) หยุดสร้างโทเค็นใหม่ทั้งหมด

หมายความว่าเหล่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแวงวง crypto ในทุกช่องทาง ไล่ตั้งแต่นักขุด แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน ไปจนถึงผู้ให้กู้ มีแนวโน้มที่จะมีความระแวงมากขึ้นเกี่ยวกับการทำธุรกิจในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเกรงว่าพวกเขาจะเสี่ยงต่อการดำเนินการทางกฎหมายในภายหลัง

แพลตฟอร์ม DeFi หลายแห่งได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับนักลงทุนในต่างประเทศอยู่แล้ว ในขณะที่จำกัดผู้ใช้ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่อาจลุกลามบานปลาย

“โดยรวมแล้ว ความสนใจของนักลงทุนที่ต้องการพัฒนาเงินทุนในสหรัฐฯ ลดลงอย่างแน่นอน” Smith จากสมาคม Blockchain กล่าว 

Kristin Smith ซีอีโอของ Blockchain Association ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ในวงการ crypto (CR:Coindesk)
Kristin Smith ซีอีโอของ Blockchain Association ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ในวงการ crypto (CR:Coindesk)

“นักพัฒนาต้องคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเริ่มต้นบางอย่างที่นี่ในสหรัฐอเมริกา” Smith กล่าวว่า ก.ล.ต. กำลังใช้แนวทางที่จะส่งผลกระทบต่อบริษัท crypto รวมถึง ผู้ให้บริการ stake แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน ตลอดจนถึงเหล่าผู้ร่วมทุนทั้งหลาย 

ในขณะเดียวกัน Smith และสมาคม Blockchain กำลังชั่งน้ำหนักในทางเลือกของพวกเขากับการดำเนินการด้านกฎระเบียบล่าสุดของ Gensler 

บริษัท crypto บางแห่งแทบจะเหมือนถูกแช่แข็งอยู่ในการต่อสู้ทางกฎหมายกับ ก.ล.ต. เป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปีเนื่องจากความผิดที่คล้ายคลึงกัน รวมถึง Ripple และ Grayscale

“เรากำลังทำงานร่วมกับทีมกฎหมายของเราและนักกฎหมายจากภายนอกเพื่อพยายามหาว่ามีการตอบโต้เชิงรุกที่เราควรทำในศาลหรือไม่” Smith กล่าว “เราคิดว่านี่เป็นการต่อสู้ที่คุ้มค่าที่จะสู้”

บทสรุป

ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องราวที่สอดรับกับแวดวง VC ที่เริ่มเข็ดขยาดกับแวดวง crypto อย่างที่ผมได้เคยเขียนไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้อุตสาหกรรมกำลังเจอจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ และเจอตอใหญ่อย่างหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งคงจะเป็นรูปแบบเดียวกันทั่วทั้งโลก แม้กระทั่งประเทศไทยเองก็ตามที

ผมเองยังจำได้ว่าช่วงแรก ๆ ที่นวัตกรรมเหล่านี้ออกมา ไปส่องตามช่อง Youtube ดัง ๆ เมื่อมีคนจากหน่วยงานกำกับดูแลมาอธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้ฟัง ก็จะเจอคอมเม้นต์ แทบจะดูถูกเหยียดหยาม หรือ หาว่าเป็นคนหัวโบราณ ไม่ทันต่อนวัตกรรม ซึ่งกลายเป็นว่าเมื่อเวลาผ่านพ้นไปแล้วเกิดความเสียหายขึ้นกับนักลงทุนชาวไทยสิ่งที่พวกเขาพูดไว้มันโครตถูกต้องมาก ๆ (สามารถลองไปหาช่อง youtube ดัง ๆ ที่ให้หน่วยงานกำกับดูแลมาออกรายการได้เลย)

เอาจริง ๆ ตอนนี้ หากทุนจาก VC ยักษ์ใหญ่เริ่มตีจาก เหล่ายอดอัจฉริยะ ทั้งหลายคงเริ่มขยับตัวลำบาก แถมกระแสโลกเทคโนโลยีกำลังขับเคลื่อนไปทาง AI ไม่ใช่ Crypto อีกต่อไป คงพอจะเดาอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ได้ไม่ยากว่ามันคงจะไม่ใช่เทคโนโลยีที่ Cool หรือ กลายเป็น Buzzword ที่ทุกคนต้องหันมาสนใจมันอีกต่อไปนั่นเองครับผม

References :
https://www.sec.gov/news/press-release/2023-25
https://www.coindesk.com/policy/2023/03/02/sec-chair-gensler-says-crypto-exchanges-may-not-be-qualified-custodians/
https://www.reuters.com/article/fintech-crypto-ftx-genesis-idTRNIKBN2SN07K
https://www.coindesk.com/business/2023/02/02/crypto-winter-led-to-91-plunge-in-vc-and-other-investments-for-january/
https://cryptoslate.com/gensler-says-crypto-trading-lending-platforms-not-fit-for-custody-suggests-adoption-of-new-safeguarding-rule/

Who is Monkey? Crypto Scammer ผู้ฉาวโฉ่ที่สูบเงินไปกว่า 24 ล้านดอลลาร์และเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักต้มตุ๋นทั่วโลก

Mac ชายหนุ่มผู้คลั่งไคล้ crypto ในสกอตแลนด์ กำลังไถฟีดใน Twitter เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาพบข้อเสนอที่น่าดึงดูดใจ บัญชีข่าวที่เขาติดตาม account ที่ชื่อ Briefly Crypto กำลังโปรโมตบัตรของขวัญลดราคาซึ่งซื้อได้ด้วยสกุลเงินดิจิทัลสำหรับเทศกาล Black Friday 

Mac ตัดสินใจซื้อบัตรกำนัลโรงแรมสำหรับคริสต์มาสให้พ่อแม่ของเขา ลิงก์นี้ใช้สำหรับ Bitrefill ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ Mac คุ้นเคยซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้ซื้อบัตรของขวัญด้วย crypto เขารู้จักบัญชี Twitter ที่โปรโมท Deal นี้ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าปลอดภัยและคลิกลิงก์ หลังจากเลือกบัตรกำนัลแล้ว เขาก็เชื่อมต่อกระเป๋าเงินดิจิทัลและลงนามในการทำธุรกรรมครั้งแรก  

จากนั้น เขาก็ได้รับป๊อปอัพแปลกๆ ขึ้นมา เว็บไซต์กำลังขออนุญาตจากเขาในการส่งเงินไปยังแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนซื้อขายแบบกระจายอำนาจที่ชื่อว่า dYdX 

ด้วยความสงสัย เขาจึงเปิดเครื่องมือป้องกันการฉ้อโกงที่จะยกเลิกการทำธุรกรรมครั้งแรกที่เขาลงชื่อเข้าใช้ แต่มันก็สายเกินไป เว็บไซต์ดังกล่าวได้ขโมย crypto มูลค่าประมาณ 1,200 ดอลลาร์จากกระเป๋าเงินของเขา

Mac กล่าวว่าเขามีเงินประมาณ 25,000 ดอลลาร์ในกระเป๋าเงินของเขาในเวลานั้น Mac ถูกหลอกลวงผ่านรูปแบบการฉ้อโกงออนไลน์ซึ่งพบได้ทั่วไปในการวงการ crypto

อย่างแรกเขาถูกฟิชชิ่งหรือหลอกให้คลิกลิงก์ที่เป็นอันตราย จากนั้นเขาก็ตกเป็นเหยื่อของสิ่งที่เรียกว่า “drainer script” ซึ่งเป็นโค้ดที่ทำงานอยู่เบื้องหลังเว็บไซต์ที่ดูดเงินจากกระเป๋าเงินของเขา

เนื่องจากสกุล เงินดิจิตอลกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น กระเป๋าเงินทั่วไปสามารถเก็บอะไรก็ได้ตั้งแต่ Bitcoin และ Ether ไปจนถึง NFT และ memecoins 

การโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ประสบความสำเร็จร่วมกับ drainer script สามารถปล้นกระเป๋าเงินได้ภายในไม่กี่วินาที Nick Bax หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ Convex Labs ประเมินว่า drainer script ส่งผลให้เกิดการสูญเสียทรัพย์สินไล่ตั้งตั้งแต่ 50 ล้านไปจนถึง 100 ล้านดอลลาร์ได้เลยทีเดียว

ในปีที่แล้ว scammer ระดับตำนานรายหนึ่ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าได้ปฏิวัติวงการ drainer เป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่สำคัญกับการโจรกรรมหลายครั้ง 

อาชญากรไซเบอร์ผู้นี้ทำงานภายใต้การจัดการของ Monkey ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกแนวทางใหม่ในการแสวงหาประโยชน์จากแวดวง Crypto ซึ่งมาจาก ransomware ซึ่งเขาได้ขายโค้ดของเขาให้กับนักต้มตุ๋นรายอื่น โดยคิดค่า commission ในการโจรกรรม 30% ซึ่งเป็น Business Model ใหม่ในแวดวงโจรที่น่าสนใจมาก

ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา Monkey อ้างว่า drainer script ของเขาขโมยเงินไปกว่า 24 ล้านดอลลาร์ และที่สำคัญ Monkey ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่ากองโจรที่คิดจะเลียนแบบจำนวนมากเช่นเดียวกัน 

Monkey มีส่วนรับผิดชอบต่อการหลอกลวงที่ประสบความสำเร็จหลายล้านรายการในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน ตั้งแต่ Mac และบัตรของขวัญของเขาไปจนถึง Kevin Rose ผู้ประกอบการ NFT ที่สูญเสียเงินหลายล้านดอลลาร์ใน NFT

Kevin Rose ผู้ประกอบการ NFT ที่สูญเสียเงินหลายล้านดอลลาร์ใน NFT (CR:Decrypt)
Kevin Rose ผู้ประกอบการ NFT ที่สูญเสียเงินหลายล้านดอลลาร์ใน NFT (CR:Decrypt)

แต่ข่าวที่ทำให้ทุกคนตกใจก็คือ Monkey ได้ประกาศที่จะออกจาก Telegram อย่างกะทันหัน แต่เขาได้ทิ้งมรดกอันล้ำค่าไว้เบื้องหลัง

การหลอกลวงแบบ Full Stack

Monkey ปรากฏตัวบน Telegram ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2022 เมื่อวันที่ 7 กันยายน เขาสร้างช่อง “Monkey Drainer” โดยประกาศก่อตั้งโดยใช้ profile รูป GIF ลิงเคลื่อนไหวสวมแว่นตาเล่นสกีและถูผ้าขนหนูผ่านเป้าของมัน

ในดินแดนแห่งนักต้มตุ๋น crypto นั้น Monkey กลายเป็นราชาในเวลาไม่กี่เดือน  “ไม่มีใครเทียบได้กับ Monkey” สาวกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักต้มตุ๋นในแวดวง crypto กล่าว

โดยทั่วไปวิธีนี้ทำได้โดยใช้สิ่งที่เรียกว่า “social engineering” ซึ่งนักต้มตุ๋นโน้มน้าวผู้ใช้ว่าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันปลอมเป็นของจริง การโน้มน้าวให้เหยื่อคลิกลิงก์ที่เป็นอันตรายเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง และสามารถทำได้หลายวิธี 

ตัวอย่างเช่น Mac ที่คลิกผ่านลิงก์จากบัญชี Twitter ที่เขาเชื่อถือ ทำให้ในฟอรัมออนไลน์ชื่อดังอย่าง Reddit ในช่วง Black Friday ทาง scammer ได้สร้างกลอุบายโดยเปิดให้เล่นเกมบนแพลตฟอร์มเพื่อโหวตลิงก์ที่เป็นอันตรายเพื่อให้มันไปอยู่ด้านบนสุดของฟอรัมยอดนิยม จากนั้นเหล่า scammer ก็จะได้ข้อมูล Twitter ของผู้ที่สนใจเหล่านี้มาเป็นเหยื่อ  

อีกเทคนิคหนึ่งคือการใช้ Discord ตัวอย่างเช่น ในช่วงปลายเดือนมกราคม มีคนแฮ็กบัญชี Twitter สำหรับโปรเจกต์ NFT อย่าง Azuki โดยโพสต์ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่ติด drainer script นั่นทำให้สินทรัพย์มูลค่า 750,000 ดอลลาร์ ถูกขโมยจากผู้ใช้ในเวลาเพียง 30 นาที

วิธีที่สามคือการเลียนแบบแบรนด์กระแสหลักยอดนิยมและโครงการ NFT ปลอม นักวิจัยที่อยู่เบื้องหลังเครื่องมือรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ TrustCheck ระบุตัว scammer เหล่านี้หลายราย โดยแฮ็กเกอร์สร้างเว็บไซต์เลียนแบบวิดีโอเกมยอดนิยม เช่น Hades และ Horizon Zero Daw และแบรนด์รองเท้าผ้าใบ เช่น Nike

เมื่อมีการประกาศโครงการใหม่ ผู้ใช้ต่างต้องการ NFT ที่มีอยู่จำนวนจำกัด ซึ่งหวังว่าจะมีราคาเพิ่มขึ้น “วิธีการสำหรับการฟิชชิงแบบนี้คือการพยายามให้ผู้คนเกิดสิ่งที่เรียกว่า FOMO (fear of missing out) และคลิกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ต้องคิด” Bax จาก Convex Labs กล่าว

ในกรณีของวิดีโอเกมและอุตสาหกรรมแฟชั่น แฮ็กเกอร์ใช้ประโยชน์จากการจดจำแบรนด์เพื่อโน้มน้าวให้ผู้ใช้คลิกลิงก์ที่เป็นอันตรายซึ่งนำไปสู่ drainer script ซึ่งองค์ประกอบฟิชชิ่งของการหลอกลวงที่เป็น frontend นั้นยังคงต้องการส่วน backend หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ซ่อนอยู่เช่นกัน และแน่นอนว่าไม่ใช่นักต้มตุ๋นทุกคนจะเป็นนักพัฒนาแบบ Full Stack ได้

The rise of Monkey

Monkey เป็นแบบอย่างของนักพัฒนา backend ที่เป็นที่ต้องการ อันดับแรก scammer เริ่มมีชื่อเสียงด้วยเครื่องมือ drain ที่ใช้ประโยชน์จากโปรโตคอลบน OpenSea ซึ่งเป็นตลาด NFT ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ซึ่งทำให้สคริปต์สามารถกำหนดเป้าหมายไปยัง NFT ที่ต้องการได้ 

จากนั้น Monkey ก็เริ่มรวมสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เข้ากับสคริปต์ของเขา ไล่ตั้งแต่โทเค็นในบล็อกเชนต่างๆ ไปจนถึง CryptoPunks ซึ่งเป็นหนึ่งในคอลเลกชัน NFT ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด  

จากข้อมูลของ Bax กล่าวว่า drainer script ของ Monkey สามารถแยกแยะได้โดยการล้วงกระเป๋าเงินของสินทรัพย์ที่มูลค่าสูงที่สุดก่อน โดยไม่คำนึงถึงประเภทของโทเค็น หรือแม้กระทั่งการตรวจสอบราคาและรายการทรัพย์สินที่ถูกขโมยโดยอัตโนมัติ คือ พูดง่าย ๆ ก็คือ ปล้นของแพงก่อนนั่นเอง

ในอดีต scammer ที่มี drainer script อาจเสนอแพ็คเกจบน Telegram หรือ Github ซึ่งเป็นที่เก็บโค้ดออนไลน์ยอดนิยม ขายโค้ดพร้อมกับ JPEG ที่ดาวน์โหลดได้เพื่อสร้างเว็บไซต์ปลอมทั้งหมดนี้ในราคาแบบขายขาด

วิธีการแบบ plug-and-play นี้ไม่ได้ทำเงินมากนักและมีเป้าหมายที่เหล่า scammer หน้าใหม่ แต่ Monkey คัดลอกโมเดลธุรกิจที่ได้รับความนิยมในโลกของ ransomware แทน แทนที่จะขายสคริปต์ของเขาเพียงครั้งเดียว เขาจะให้บริการส่วนของ backend และปล่อยให้นักต้มตุ๋นรายอื่นจัดการฟิชชิง ในขณะที่เขาจะคิดค่า commission 30% ของการปล้นแต่ละครั้ง

Bax อธิบายว่า Monkey เป็น “ผู้รวบรวมอาชญากรรม”นอกจากนี้ Monkey ยังต้องเป็นพนักงานขาย ช่อง Telegram ที่เหล่า scammer เข้ามาอ่านเปรียบเสมือนสถานที่ที่ไว้นำเสนอแคมเปญทางด้านการตลาด ซึ่งเขาจะขายไปยังผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้า

การเติบโตแบบก้าวกระโดดแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย   

เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน Monkey’s Drainer ได้รับความนิยมอย่างมากจนเขาไม่เพียงหักเงินค่า commission ที่ได้จากการหลอกลวงลง 30% เท่านั้น แต่ยังคิดค่าธรรมเนียม 1,000 ดอลลาร์ในการเริ่มต้นอีกด้วย

การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ Monkey อย่างน้อยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโพสต์ Twitter ในเดือนตุลาคมโดย ZachXBT ซึ่งเป็นบัญชียอดนิยมบน Twitter ที่ใช้ข้อมูลบล็อกเชนเพื่อเปิดเผยการหลอกลวงในแวดวง crypto 

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ZachXBT ได้เผยแพร่การสืบสวนเกี่ยวกับ Monkey โดยเขียนว่า Monkey ได้ขโมย ETH ประมาณ 700 ETH ซึ่งเทียบเท่ากับประมาณ 1 ล้านดอลลาร์ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

มันเป็นเรื่องแปลกของ Twitter ที่หนึ่งในนักสืบวงการบล็อกเชนที่มีทักษะระดับเทพมากที่สุดกลับช่วยขับเคลื่อนนักต้มตุ๋นให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น 

ถึงกระนั้นแผนธุรกิจของ Monkey ทำงานโดยการโน้มน้าวให้นักต้มตุ๋นรายอื่นใช้โปรแกรมดูดข้อมูลของเขา และการนำเสนอโดย ZachXBT ก็ไม่ต่างจากการโฆษณา Super Bowl ให้กับ Monkey ไปแบบฟรี ๆ นั่นเอง

การเผยแพร่ของ ZachXBT ก็ไม่ต่างจากการโฆษณา Super Bowl ให้กับ Monkey ไปแบบฟรี ๆ (CR:omniatech.io)
การเผยแพร่ของ ZachXBT ก็ไม่ต่างจากการโฆษณา Super Bowl ให้กับ Monkey ไปแบบฟรี ๆ (CR:omniatech.io)

ที่สำคัญมันยังกระตุ้นให้เกิดการลอกเลียนแบบที่เสนอ drainer script โดยลดราคา 30% รวมถึงการพยายามเลียนแบบสคริปต์ด้วย Bax กล่าวว่าการเติบโตของ Monkey นำไปสู่การหลอกลวงรูปแบบดังกล่าวนี้ที่พุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก 

Monkey โน้มน้าวว่า Drainer ของเขาประสบความสำเร็จมากกว่า 25,000 ครั้งตลอดเดือนมกราคม โดยขโมยมากกว่า 15,000 ETH หรือประมาณ 24 ล้านดอลลาร์  

ในเดือนกุมภาพันธ์ ZachXBT เผยแพร่การสืบสวนใหม่ซึ่งมีรายละเอียดว่านักต้มตุ๋นที่รู้จักกันในชื่อ Loyalist ขโมยเงิน 4 ล้านดอลลาร์จากเหยื่อกว่า 400 รายโดยใช้ Monkey drainer โดย Monkey น่าจะได้ส่วนแบ่ง 30% จากมูลค่าความเสียหายทั้งหมด

มีผู้ลอกเลียนแบบเพิ่มขึ้นเช่นกัน หนึ่งในความนิยมมากที่สุดในช่วงสามเดือนที่ผ่านมามาจากนักต้มตุ๋นที่รู้จักกันในชื่อ Zentoh ซึ่งสร้าง drainer script ซึ่งจำลองมาจาก Monkey’s และคิดค่า commission ที่ 30%

scammer อีกคนที่รู้จักกันในชื่อ Kai ใช้ drainer เพื่อขโมยเงิน 4.3 ล้านเหรียญ ตามรายละเอียดของบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ Certik นั้น Kai ได้หลบหนีไปพร้อมกับเงินดังกล่าว โดยไม่ได้จ่ายเงินให้ Zentoh 30% ตามที่สัญญาไว้ Zentoh ที่สิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ ร้องขอเงินกับ Kai ผ่านชุดข้อความที่ส่งไปยัง Ethereum blockchain

“ฉันแค่ต้องการให้คุณภักดีเหมือนที่ฉันเคยปฏิบัติต่อคุณ” Zentoh กล่าว

จากนั้น Monkey ก็ลบบัญชี Telegram ของเขา” เขาเขียนข้อความอำลาในช่องโดยอ้างว่ากำลังจะก้าวไปสู่ ​​“สิ่งที่ดีกว่าที่เคยเป็นมา”

เขาไม่ได้ระบุเหตุผลในการอำลาครั้งนี้ แต่เขาแนะนำให้ลูกค้าหันมาใช้บริการคู่แข่งที่รู้จักกันในชื่อ Venom drainer ซึ่งช่อง Telegram นั้นเริ่มต้นในวันเดียวกับที่ Monkey ปิด Telegram ของตัวเอง  

นักต้มตุ๋นนิรนามมองว่า Monkey อาจออกจากวงการจริง ๆ หรือเพียงแค่เปลี่ยนแบรนด์เนื่องจากความร้อนแรงที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนของ ZachXBT ล่าสุด แม้ว่า ZachXBT จะบอกว่าไม่น่าเป็นไปได้ก็ตาม 

Bax ซึ่งทำงานร่วมกับ ZachXBT ในการสืบสวนกล่าวว่าการรักษาความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของ Monkey มีช่องโหว่มากมาย“บางทีความนิยมของมันอาจมากเกินไปจนเขารับมือไม่ไหว” Joe Green นักวิจัยจาก Certik กล่าว 

“ด้วยสายตาที่จับจ้องไปที่ drainer เหล่านี้มากกว่าที่เคย ความผิดพลาดใดๆ ในวิธีการตั้งค่าอาจเปิดโปงเงื่อนงำในการระบุตัวตนของ scammer ได้”

บทสรุป

ก็ต้องบอกว่าตอนนี้เหล่า scammer นั้นได้พัฒนารูปแบบโมเดลธุรกิจของพวกเขาไปอีกขั้น จากเดิมที่เรียกได้ว่าความปลอดภัยในแวดวง crypto ที่คนทั่ว ๆ ไปก็อาจจะยากในการรับมือเหล่านักต้มตุ๋นเหล่านี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

เรียกได้ว่าตอนนี้เหยื่อที่ต้องประสบพบเจอกับเหล่าโจรในวงการนี้นั้น ไม่เพียงแต่ต้องแวดระวังกับเหล่า scammer ในเงามืดพวกนี้เพียงเท่านั้น แต่ยังต้องประสบพบเจอกับจอมโจรในคราบยอดอัจฉริยะแห่งวงกรอย่างที่เกิดขึ้นกับหลายๆ เคสในปีที่แล้ว ทั้ง do kwan ทั้ง sam bankman-fried หรือแม้กระทั่งหลายๆ เคสที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเราเอง

กลายเป็นว่าแม้ผลตอบแทนจากวงการนี้จะสูงขนาดไหนก็ตาม แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องระแวดระวังตัวเพิ่มมากขึ้นไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของแวดวง scammer ที่กำลังเติบโตไปพร้อมกับวงการ crypto ในตอนนี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.cryptotimes.io/monkey-drainer-stole-800k-worth-cryptopunks-and-otherside-nfts/
https://fortune.com/crypto/2023/03/01/crypto-scammer-monkey-created-multimillion-dollar-empire-copycats-disappeared/
https://finance.yahoo.com/news/monkey-notorious-crypto-scammer-drained-145922801.html
https://beincrypto.com/scam-service-provider-monkey-drainer-shuts-shop/

เมื่อ VC เข็ดขยาดวงการ Crypto ทำให้เม็ดเงินอัดฉีดเข้าลงทุนในวงการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

Founder Fund ของ Peter Thiel , Vision Fund ของ Softbank เรียกได้ว่าคงเข็ดกับการลงทุนใน crypto ไปไม่ใช่น้อยนะครับ เมื่อสถานการณ์ในตอนนี้พวกเขาเริ่มที่จะดึงเงินกลับจากการลงทุนในวงการ crypto จากที่มันเคยเป็นกระแส Buzzword ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

ย้อนไปเมื่อ 9 เดือนที่แล้ว Peter Thiel ปรากฎตัวที่งาน Bicoin 2022 ในไมอามีบีช เขาเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยความรวดเร็ว ด้วยความศรัทธาปลอม ๆ ใน Bitcoin เขาได้หยิบธนบัตรมูลค่า 100 ดอลลาร์ ออกมาปึกหนึ่ง

“มันแปลกจริง ๆ นี่คืออะไร?” Thiel ถามกับฝูงชนพลางโบกมือไปมา

“มันแทบจะไร้ค่ามากกว่ากระดาษชำระ เพราะมันเป็นเงินเฟียตที่เส็งเคร็ง”

จากนั้นเขาก็ขยำธนบัตรเป็นก้อนกลม ๆ โยนเข้าไปในฝูงชน และเยอะเย้ยใครก็ตามที่หยิบมันขึ้นมา “ผมคิดว่าพวกคุณควรจะเป็น Bitcoin Maximalists (คนที่มีความเชื่อมั่นเหนือ Bitcoin และไม่ยอมรับสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ)”

มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่ Thiel จะมีทัศนคติเช่นนั้น เพราะก่อนหน้านั้นในเดือนตุลาคม 2021 ตัวเขาเองได้ทุ่มเงินอย่างบ้าคลั่งในแวดวงของ crypto

Founders Fund ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ Thiel ได้ทำการเทขายก่อนที่ตลาด crypto จะพัง Founders Fund ได้ดึงเงินออกจากพอร์ดโฟลิโอ crypto ทั้งหมดภายในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม 2022

ฝั่ง Masayoshi Son แห่ง Softbank ก็รู้สึกสยดสยองไม่แพ้กันกับการลงทุนในวงการ crypto รายงาน ผลประกอบการรายไตรมาสที่น่าสยอง ซึ่งรวมถึงการขาดทุน 5.9 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 3 ของบริษัท และการลงทุนใน startup ที่ลดลงกว่า 90% เมื่อรวมกับมูลค่าตลาด crypto ที่ลดลงได้ทำลายความคาดหวังของผลตอบแทนที่สูงในวงการนี้อย่างหมดสิ้น

บริษัทไม่ได้ลงทุนสาธารณะในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ crypto เลยตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2022 เมื่อ Vision Fund 2 ของบริษัทร่วมเป็นผู้นำในการระดมทุน 66 ล้านดอลลาร์สำหรับ InfStones ซึ่งเป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน 

Vision Fund 2 ซึ่งเป็นบริษัทที่มีพอร์ตโฟลิโอในวงการ crypto และบล็อกเชนส่วนใหญ่ของ SoftBank ได้สูญเสียไปราวๆ 16.7 พันล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ก่อตั้งในเดือน มิถุนายน 2019 ด้วยเงินลงทุน 49.9 พันล้านดอลลาร์ บริษัทได้สูญเสียเงิน 34.5 พันล้านดอลลาร์จาก Vision Funds

ธุรกิจบางแห่งที่เคยระดมทุนจาก SoftBank ได้หันไปหาแหล่งอื่น Candy Digital ซึ่งเป็นเจ้าของคอลเลกชัน NFT อย่างเป็นทางการของเมเจอร์ลีกเบสบอล ระดมทุนได้ 100 ล้านดอลลาร์จาก SoftBank ในรอบการระดมทุนซีรีส์ A ในเดือนตุลาคม 2021 ซึ่งบริษัทระบุว่าประเมินมูลค่าไว้ที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์ 

แต่รอบการลงทุนใหม่ในเดือนมกราคมสามารถระดมทุนได้เพียง 38.4 ล้านดอลลาร์จากบริษัทร่วมทุนสามแห่ง ได้แก่ Galaxy Digital, 10T Holdings และ ConsenSys และ Softbank ก็ไม่ได้เข้าร่วมลงทุนเพิ่มในรอบนี้แต่อย่างใด

เมื่อมองถึงสถานการณ์ในบริษัทร่วมทุนอื่น ๆ กับสตาร์ทอัพด้าน crypto ซึ่งมีมูลค่าลดลงเหลือเพียง 548 ล้านดอลลาร์ในเดือนที่แล้ว ลดลงอย่างมากจาก 6 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2022 ซึ่งจำนวนธุรกรรมลดลงเหลือ 62 จาก 166 รายการ และข้อตกลงส่วนใหญ่ในปี 2023 เป็นของบริษัทขนาดเล็กที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นเพียงเท่านั้น

ก็ต้องบอกว่ามันมองเห็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนเมื่อ VC เริ่มเข็ดขยาดกับการลงทุนในแวดวงนี้ คงส่งผลกระทบกับวงการไม่ใช่น้อย ซึ่งสาเหตุสำคัญก็คงมาจากการล่มสลายของ FTX ซึ่งสถานการณ์คงยังไม่ดีขึ้นหากไม่หาวิธีกำจัด หรือกำกับดูแลเหล่ายอดอัจฉริยะในคราบของโจรให้หมดสิ้นไปนั่นเองครับผม

References :
https://www.forbes.com/sites/digital-assets/2023/02/23/softbank-puts-blockchain-investments-on-ice-as-part-of-startup-pullback
https://www.coindesk.com/business/2023/02/02/crypto-winter-led-to-91-plunge-in-vc-and-other-investments-for-january/
https://www.bloomberg.com/news/newsletters/2023-01-24/peter-thiel-is-not-a-crypto-true-believer