จากโควิดสู่มะเร็ง กับความหวังครั้งใหม่ของมวลมนุษยชาติที่มีต่อเทคโนโลยี mRNA ของ BioNTech

Uğur Şahin (อูเกอร์ ชาฮิน) ยังคงปั่นจักรยานเข้ามาที่สำนักงานใหญ่ของ BioNTech เหมือนเคย แม้ตอนนี้เขาจะกลายเป็นมหาเศรษฐีคนใหม่ หลังจากช่วยพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ขายดีที่สุดในตอนนี้

แม้ว่าวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA นั้นจะมีการพัฒนาร่วมกับบริษัทยาสัญชาติอเมริกาอย่าง Pfizer แต่ก็เป็นความภาคภูมิใจครั้งสำคัญมาก ๆ ของซาฮิน ที่ได้ช่วยชีวิตคนหลายล้านคนและนำเศรษฐกิจทั่วโลกกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนยุคก่อนโควิด-19 อีกครั้ง

นั่นเองที่ทำให้ BioNTech ของ ซาฮิน และภรรยา อุซเล็ม ทูเรซี่ (Ozlem Tureci) ได้รับเงินจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ซึ่งในขณะนี้บริษัทของเขามีทรัพย์สินประมาณ 19 พันล้านยูโร โดยคาดว่าจะมีรายรับเพิ่มขึ้นอีกเป็นพันล้านยูโร จากวัคซีนที่ยังมีการจำหน่ายแจกจ่ายไปทั่วทุกมุมโลก

ซาฮิน และ ทูเรซี่ เป็นมหาเศรษฐีที่ไม่เหมือนคนอื่น เงินก้อนใหม่ก้อนนี้เป็นทุนก้อนใหญ่ที่สำคัญมาก ๆ ต่อภารกิจของเขาในการเติมงบวิจัยให้กับแผนงานด้านมะเร็งวิทยา ความใฝ่ฝันของทั้้งคู่ ก็คือ การที่จะสามารถปรับแต่งยาให้เหมาะกับมะเร็งของผู้ป่วยแต่ละรายได้

ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้เองบริษัทกำลังดำเนินงานไปในทิศทางที่ถูกต้อง สร้างความหวังใหม่ให้กับผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลก โดยการทดลองในระยะเริ่มต้น 2 ครั้งแสดงข้อมูลที่มีแนวโน้มที่ดีมาก ๆ โดยการทดลองหนึ่งเกี่ยวกับมะเร็งตับอ่อน และอีกการทดลองที่มุ่งเป้าไปที่เนื้องอกที่เป็นก้อน ซึ่งรวมถึงมะเร็งรังไข่และอัณฑะ

ซึ่งหากความใฝ่ฝันของ ซาฮิน และ ทูเรซี่ เป็นจริงได้นั้น มันจะพลิกโฉมอุตสาหกรรมยาทั้งหมดไปตลอดกาล

ซาฮิน และ ทูเรซี่ กับความฝันในการสร้างวัคซีนเพื่อต่อสู้โรคมะเร็ง (CR:NU Online)
ซาฮิน และ ทูเรซี่ กับความฝันในการสร้างวัคซีนเพื่อต่อสู้โรคมะเร็ง (CR:NU Online)

หลังจากได้รับเงินจำนวนมหาศาลจากวัคซีนที่ผลิตร่วมกับบริษัทอย่าง Pfizer ทำให้ในปีนี้งบในการวิจัยและพัฒนาของ BioNTech เพิ่มสูงขึ้นสองเท่ากลายเป็น 1.5 พันล้านยูโร

ซาฮิน และ ทูเรซี่ ยังคงเป็นหนึ่งในทีมนักวิจัย ที่ทำงานกับเครื่องสังเคราะห์แม่แบบ DNA ที่ใช้สร้าง messengerRNA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ BioNTech เป็นผู้บุกเบิก

mRNA ทำหน้าที่เป็นชุดคำสั่งสำหรับเซลล์ โดยบอกให้สร้างโปรตีนบางชนิด ซึ่งการตอบสนองต่อโรคระบาดใหญ่ได้รับการพิสูจน์เป็นครั้งแรกว่าเทคโนโลยีนี้สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงได้

mRNA ถูกนำมาใช้ในวัคซีนเพื่อช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันรับรู้และต่อสู้กับผู้บุกรุก เช่น Coronavirus Sars CoV-2 ซึ่งในอนาคต BioNTech ต้องการทำในสิ่งเดียวกันนี้เพื่อกระตุ้นการป้องกันของร่างกายเพื่อจัดการกับมะเร็ง

BioNTech ต้องการใช้ mRNA เพื่อจัดการกับโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นปัญหาด้านสุขภาพเรื่องใหญ่ของมวลมนุษยชาติในขณะนี้ โดยทำงานร่วมกับการรักษาอื่น ๆ โดย ซาฮิน เชื่อว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือการผสมผสานการรักษาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน รวมถึงการบำบัดด้วยเซลล์ แอนติบอดี และวิธีอื่น ๆ ในการปรับระบบภูมิคุ้มกัน

ต้องบอกว่าก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทอย่าง BioNTech แทบจะไม่ได้เป็นที่รู้จัก ในการทำ IPO เสนอขายหุ้นต่อสาธารณะชนครั้งแรกในปี 2019 BioNTech ระดมทุนได้เพียงแค่ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่สองปีถัดมาได้กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพที่มีอนาคตสดใสมากที่สุดในยุโรป

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา BioNTech ได้เปิดเผยผลการศึกษาที่รวมเอา mRNA กับการบำบัดด้วย CAR-T-Cell เพื่อตั้งโปรแกรมระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยใหม่

CAR-T คือการรักษาที่ซับซ้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับการรวมรวมและปรับเปลี่ยนเซลล์ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเพื่อต่อสู้กับมะเร็ง ซึ่งจนถึงตอนนี้มันได้ผลเฉพาะในมะเร็งเม็ดเลือดเท่านั้น

แต่นักวิทยาศาสตร์ของ BioNTech ได้สร้างตัวกระุต้น mRNA ซึ่งขยายจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกันและปรับปรุงความสามารถในการฆ่าเซลล์มะเร็งอื่นๆ ที่ทำให้มีประโยชน์ต่อการรักษามะเร็งส่วนอื่น ๆ ได้กว้างมาก

กลยุทธ์ของ BioNTech คือการลงทุนในเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมายในคราวเดียวกัน ซาฮิน ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟน ซึ่งจะมีประโยชน์มากขึ้นเมื่อเราค้นพบกับฟังก์ชันมากมายที่มันสามารททำได้มากกว่าเป็นแค่โทรศัพท์

“คุณเข้าใจดีว่ามันไม่ใช่แค่สมาร์ทโฟน แต่มันเป็นเครื่องคิดเลข มันช่วยให้คุณทำอะไรก็ได้” เขากล่าว “ซึ่งจากแพลตฟอร์มอันทรงพลังที่เรากำลังพัฒนา เราเชื่อว่าเราจะสามารถให้บริการโซลูชั่นที่แตกต่างกันมากมายสำหรับโรคต่าง ๆ ได้”

BioNTech มองว่าบริษัทของพวกเขาเปรียบดั่งวิศวกรของระบบภูมิคุ้มกัน นอกเหนือจากโรคมะเร็งและโรคติดเชื้อ ซึ่งบริษัทยังร่วมมือกับ Pfizer ในด้านวัคซีนอย่างต่อเนื่อง

บริษัทยังร่วมมือกับ Pfizer ในด้านวัคซีนอย่างต่อเนื่อง หลังประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ COVID-19 (CR:News-Medical)
บริษัทยังร่วมมือกับ Pfizer ในด้านวัคซีนอย่างต่อเนื่อง หลังประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ COVID-19 (CR:News-Medical)

พวกเขายังวางแผนที่จะจัดการกับภาวะภูมิต้านทานตนเองและเวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสียหายหรือเป็นโรค โดยรวมแล้ว บริษัทได้ดำเนินการทดสอบระยะเริ่มต้น 19 รายการและโปรแกรมพรีคลินิก 12 โปรแกรม

สำหรับโครงการด้านมะเร็งวิทยาทางคลินิกชั้นสูงสุดของ BioNTech สำหรับวัคซีนมะเร็ง โดยวัคซีนเหล่านี้ไม่ได้ป้องกันผู้รับจากการเป็นมะเร็ง ซึ่งต่างจากวัคซีนทั่วไป แต่ใช้เป็นการรักษาเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำลายเซลล์ที่กลายพันธุ์

แต่ก็ต้องบอกว่า BioNTech ไม่ได้เป็นบริษัทเดียวที่คิดการณ์ใหญ่ในเรื่องโรคมะเร็ง มีความพยายามในการสร้างวัคซีนหลายครั้งและประสบความล้มเหลวไปก่อนหน้านี้แล้ว

ปัญหาหนึ่งเกิดจากการที่การรักษาถูกนำมาใช้สายเกินไป การรักษาแบบใหม่จะถูกทดลองก่อนในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยาตัวก่อน ๆ และมักจะเป็นมะเร็งระในยะท้าย ๆ ซึ่งมันมีโอกาสมากกว่าในการรักษาในมะเร็งระยะแรก ๆ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยแข็งแกร่งขึ้น

ซาฮิน มองว่าบริษัทของเขาสามารถเอาชนะอุปสรรคสำคัญบางอย่างแล้ว และข้อมูลเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าวัคซีนมะเร็ง mRNA สามารถกระตุ้นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งกว่าที่เคยรายงานไว้สำหรับวัคซีนมะเร็งทั่วไปหลายร้อยเท่า

แต่เช่นเดียวกับความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ BioNTech จะเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นก็คือนวัตกรรมใหม่ของพวกเขากำลังเข้าไปขวางทางธุรกิจยาที่มีมูลค่าและผลประโยชน์จำนวนมหาศาล โดยเฉพาะยาที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคมะเร็ง

และที่สำคัญมันไม่เหมือนกับเคสของวัคซีนโควิด-19 ที่เป็นวาระเร่งด่วนฉุกเฉินของโลกทำให้ลดระยะเวลาในการพัฒนาไปมาก ซึ่งปรกตินั้นจะต้องฝ่าด่านหน่วยงานกำกับดูแลที่มีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม ซึ่งต้องมีการใช้เวลาทดลองหลายปี ถึงจะนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุมัติให้ขายหรือใช้งานจริง ซึ่งเมื่อนำมันออกสู่ตลาดจริง เทคโนโลยีนั้นก็จะล้าสมัยไปแล้วนั่นเองครับผม

References :
https://www.ft.com/content/12ef99d4-063a-4a45-ae4d-e8115a9c3bb1
https://www.forbes.com/sites/roberthart/2022/04/11/mrna-cancer-treatment-covid-vaccine-giant-biontech-touts-promising-early-data
https://www.fiercebiotech.com/clinical-data/biontech-touts-early-data-roche-partnered-cancer-combo-hinting-it-could-dent-prostate
https://www.theatlantic.com/ideas/archive/2021/10/mrna-vaccines-cure-cancer-biontech/620383/

ประสบการณ์ติดโควิด กักตัว Home Isolation ผ่านเทคโนโลยีของ Good Doctor

ต้องบอกว่าโควิดสายพันธ์โอไมครอน ติดง่ายอย่างเหลือเชื่อนะครับ ส่วนตัวผมเองก็เป็นคนระแวดระวังมาโดยตลอด แทบไม่ได้ออกไปไหน Work From Home มาตลอด 2 ปี ตั้งแต่โควิดระบาดในวันแรก แต่สุดท้ายก็ติดโควิดจนได้

ส่วนตัวก็เลยอยากจะมาบันทึกประสบการณ์ในการติดโควิดครั้งนี้ และแง่มุมที่น่าสนใจโดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี ที่ตอนนี้มีการจัดการระบบค่อนข้างดีเลยจากทางการ ที่ทำให้สามมารถจัดการผู้ติดเชื้อโควิดจำนวนมาก ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ติดโควิดได้อย่างไร?

ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุได้อย่างชัดเจนว่าไปติดมากจากไหน เพราะส่วนตัวออกข้างนอกก็สวมแมสก์ตลอดเวลา มีเพียงแค่ตอนรับประทานอาหารและดื่มกาแฟเท่านั้น ที่มีการถอดแมสก์ออก

ซึ่งจากข่าวที่ออกมาสายพันธ์ุโอไมครอน ติดง่ายมาก ส่วนอาการเริ่มต้นที่เริ่มเอะใจว่าน่าจะติดโควิด ก็คือ มีอาการเดียวกับหลังฉีดวัคซีน AZ คือ มีไข้ ไอ เจ็บคอ ซึ่งอาการมาอย่างรวดเร็วมากภายใน 1-2 วัน ที่รู้ตัวเพราะมันเป็นอาการป่วยที่ไม่เคยเจอมาก่อนคล้ายกับหลังฉีดวัคซีน

ส่วนตัวเองก็ไม่เคยตรวจ ATK เลยซักครั้งตั้งแต่โควิดระบาด แต่หลังจากอาการดังกล่าว 2 วัน จึงได้ลองตรวจดูทั้งแบบน้ำลายและแบบสอดจมูก ซึ่งให้ผลเหมือนกันคือ ติดโควิด

เริ่มกระบวนการ Home Isolation

หลังจากรู้ว่าติดเชื้อ ก็ได้ดำเนินการตามกระบวนการปรกติ โทรไป 1330 ของสปสช. ซึ่งสถานการณ์การระบาดยังไม่พีค ทำให้สายค่อนข้างว่างอยู่เยอะ มีการโทรสอบถามอาการอัพเดทอยู่ตลอดในช่วงแรก ว่าเราได้รับความช่วยเหลือแล้วหรือยัง

ถัดไปอีกวันก็มีเจ้าหน้าที่จาก จีดีทีคลินิกเวชกรรมโทรเข้ามา เพื่อไล่สอบถามและประเมินอาการว่าเราสามารถที่จะทำ Home Isolation ได้หรือไม่ หรือ ควรไปที่ hospitel ที่รัฐจัดไว้ให้

เนื่องจากผ่านอาการช่วงหนักมาแล้ว (1-2 วันแรก) มีอาการที่เหลือคือ ไอและเจ็บคอ ทำให้สามารถที่จะเข้า Home Isolation ได้ จากนั้น จีดีทีคลินิก ก็ให้ร่วมโครงการ โดยลงทะเบียนผ่าน Line และ App ของ Good Doctor ซึ่งสามารถโหลดได้ใน App Store และ Play Store

เริ่มกระบวนการรักษาผ่าน Good Doctor

ส่วนนี้อยากมาเล่าประสบการณ์ที่น่าสนใจ เพราะ มันเป็นการใช้เทคโนโลยี Telemedicine ที่น่าสนใจมากในภาวะวิกฤติโรคระบาดอย่างนี้ ซึ่งมีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่ต้องใช้เทคโนโลยีมาจัดการกับคนหมู่มาก

ผมว่าส่วนนึงที่การกระจายของโอไมครอนต่ำกว่าที่คาดการณ์ก็น่าจะมาจากระบบเบื้องหลังที่มีการปรับมาระดับนึงแล้ว แตกต่างจากช่วงปีที่แล้วที่โควิดเดลต้าระบาดหนัก และภาวะเตียงล้น หาเตียงไม่ได้ ซึ่งผมคิดว่าทางรัฐก็คงหาวิธีจัดการจนมาสู่กระบวนการที่ใช้เทคโนโลยีอย่าง Good Doctor ที่เห็นในตอนนี้

สำหรับข่าวล่าสุดที่ออกมาว่า ทารัฐจะกลับไปให้สิทธิ์ตามของแต่ละคน ก็น่าเสียดายนะครับ แต่ก็พอเข้าใจเหตุผลเพราะต้องใช้เงินที่สูงมากกับผู้ป่วยแต่ละคน ยิ่งตอนนี้โอไมครอน กำลังขึ้นสู่จุดพีค จำนวนผู้ป่วยน่าจะแตะหลักหลายหมื่นได้เลย

สำหรับกระบวนการรักษาผ่านแอปอย่าง Good Doctor เราก็สามารถปรึกษาแพทย์ผ่านแอปได้เลย ตั้งแต่วันแรก ๆ ซึ่งหลังจากคุยปรึกษากัน (ผ่าน chat) แจ้งอาการที่ยังคงมีอยู่ไป กระบวนการต่าง ๆ ก็เริ่มต้นขึ้นทันที

น่าสนใจคือ Good Doctor มีการร่วมมือกับบริการ Delivery อย่าง Grab เมื่อคุณหมอทำการสั่งยาเสร็จ ก็จะทำการส่งผ่าน Grab มาให้ภายในระยะเวลาเพียงแค่ไม่เกิน 1 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าสุดยอดมาก

ปรึกษาผ่านแอป จ่ายยาผ่าน Grab ภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง
ปรึกษาผ่านแอป จ่ายยาผ่าน Grab ภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง

สำหรับส่วนตัวผม ที่ยังพอมีอาการอยู่บ้างแต่ไม่หนัก ก็ได้ทั้งที่ตรวจไข้ ที่วัดระดับออกซิเจนในเลือด รวมถึงยาอีกชุดใหญ่ ตามอาการรวมถึงยาฟาวิพิราเวียร์ตัวหลักที่มีการจ่ายให้ทันทีตั้งแต่วันแรก

โดยจะมีการกักตัวเป็นเวลา 10 วัน ไม่ออกไปไหน ส่วนอาหารก็จะมีคูปองของ Food Panda และ Grab มาให้จำนวนเงินวันละ 300 บาท โดยต้องมีการสั่งแบบครั้งเดียวใช้คูปองได้ครั้งเดียวในแต่ละวัน ก็จะทำการสั่งแบบเผื่อมาเลยทั้ง มื้อกลางวันและมื้อเย็น

ส่วนการอัพเดทอาการนั้น ก็จะมีระบบบันทึก ในส่วนของอุณภูมิร่างกาย รวมถึงระดับออกซิเจนในเลือก ในช่วง 10 โมงเช้า และ 4 โมงเย็นของทุก ๆ วันเพื่อแจ้งให้ระบบทราบ ซึ่งก็คงเป็นรูปแบบเดียวกับการกักตัวที่ hospitel

การบันทึกข้อมูลประจำวันเพื่อแจ้งผ่านระบบ
การบันทึกข้อมูลประจำวันเพื่อแจ้งผ่านระบบ

ซึ่งในแต่ละวัน เราก็สามารถเข้าไปปรึกษาแพทย์ได้ ว่าอาการเป็นอย่างไร รวมถึงหากเกิดเหตุฉุกเฉินอาการรุนแรงก็จะมีช่องทางในการติดต่อแบบเร่งด่วนได้

ส่วนตัวผมเอง อาการก็เริ่มหายไปตั้งแต่วันที่ 4-5 เริ่มดีขึ้น เหลือแค่ไอเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็มีการจ่ายยาเพิ่มในส่วนของอาการที่ยังไม่หายจากคุณหมอ ซึ่งถือว่าดูแลได้ดีมาก ๆ จนหายสนิท ใช้เวลาราว ๆ 1 อาทิตย์

บทสรุป

ผมมองว่าเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับ Telemedicine ที่ อาจจะถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเทคโนโลยีนี้ หลังการแพร่ระบาดของ COVID ซึ่งอาจจะกลายเป็น New Normal ใหม่ในการรักษาผู้ป่วยได้ในอนาคต

เอาจริง ๆ หลังจากได้ลองใช้แล้วติดใจ ผมก็คิดว่า คงจะใช้บริการของ Good Doctor ต่อไปในอนาคต ซึ่งผมว่าเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีศักยภาพมาช่วยผู้ป่วยได้ ไม่ต้องไปแออัดรอคิวอยู่ที่ โรงพยาบาล หากเป็นอาการป่วยทั่วไป เราก็ปรึกษาหมอแบบออนไลน์ได้เลย และใช้งานได้จริง

ผมมองว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ทั้งความพร้อมเรื่องเทคโนโลยี 4G , 5G ที่ครอบคลุมทั้งประเทศเราในปัจจุบัน รวมถึงการปรับพฤติกรรมครั้งสำคัญ ทำให้ Delivery แพลตฟอร์มกระจายไปทั่วประเทศ อยู่ส่วนไหนของประเทศก็มีอาหารมาส่งถึงที่บ้านเราได้ ซึ่งยาและเวชภัณฑ์ก็คงสามารถทำได้เช่นเดียวกัน

สิ่งที่ผมเสียดายอย่างเดียวของเทคโนโลยีนี้ ก็คือ หลังจากไปลองค้นหาข้อมูลมามันไม่ใช่ของคนไทยแต่อย่างใด เป็นเทคโนโลยีที่เกิดจากบริษัทยักษ์ใหญ่ 3 ราย ได้แก่ Ping An Good Doctor จากประเทศจีน , Grab จากสิงคโปร์ และ ได้ทุนใหญ่จากบริษัทลงทุนชื่อดังอย่าง Softbank ซึ่งตอนนี้กำลังลุยตลาดเต็มตัวในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ซึ่งเท่าที่หาข้อมูล มันก็มีบริการของไทยอยู่นะครับ แต่คงไม่สามารถ scale ขึ้นเทียบเท่าระดับที่ Ping An Good Doctor ทำได้ และหากแจ้งเกิดได้สำเร็จโดยเฉพาะหลังจากการระบาดของโควิด แถมยังได้ข้อมูลที่สำคัญจากการเรียนรู้ผ่านฐานข้อมูลขนาดใหญ่จากการแพร่ระบาดของโควิด ผมว่าตลาดนี้เป็นตลาดที่ใหญ่มหาศาล และ พฤติกรรมคนก็อาจจะเปลี่ยนในเรื่อง Telemedicine คล้ายกับพฤติกรรมการสั่งอาหารที่ตอนนี้ มันได้กลายเป็นเรื่องปรกติ New Normal ไปแล้วนั่นเองครับผม

Credit Image : https://www.bangkokpost.com/life/social-and-lifestyle/2168287/virtual-consultations-available-on-the-good-doctor-app

อัจฉริยะ x โรคระบาด เมื่อตลอดประวัติศาสตร์ของโรคระบาดทำให้โลกเราเจริญรุ่งเรืองขึ้น

ต้องบอกว่าผ่านพ้นเข้าสู่ปีที่สามที่โลกของเราเต็มไปด้วยการระบาดใหญ่ของ COVID-19  และแน่นอนว่ามันได้สร้างความหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้น ความสูญเสียและความเจ็บปวดมากมายได้เกิดขึ้นและยังคงเกิดขึ้นอยู่จนถึงทุกวันนี้ และเราก็ยังไม่รู้ว่ามันจะจบสิ้นเมื่อใด

ตอนนี้เรามีวัคซีนอยู่แล้ว และรู้ดีว่ามาส์กสามารถปกป้องคนรอบข้างจากการแพร่ระบาดของโรคได้ แต่โลกเรานั้นมีความซับซ้อน และการผสมผสานของความไร้อำนาจ ความโกรธ การแบ่งขั้วทางการเมือง และการปล่อยข้อมูล fake news ทำให้วิกฤตินั้นยังแสนสาหัสอยู่

ด้วยความหนักหน่วงของทุกสิ่ง บางทีมันอาจจะเป็นการดีที่เราจะมองดูโรคระบาดอื่นๆ จากในอดีต เพื่อสำรวจสิ่งที่พวกมันให้มา ความเจ็บปวด การสูญเสีย และความโดดเดี่ยวที่ถูกบีบบังคับซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการระบาดใหญ่ได้หล่อเลี้ยงผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบางส่วนของโลกตะวันตก ทั้งด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์

มรณะสีดำแห่งศตวรรษที่ 14

Francesco Petrarch กวีและนักวิชาการชาวอิตาลี ใช้ชีวิตผ่านโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ นั่นคือกาฬโรค ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปประมาณ 200 ล้านคนทั่วยุโรป เอเชีย และแอฟริกาเหนือระหว่างปี 1346 ถึง 1353

หลังจากนั้นได้กลับมาระบาดเป็นระยะในหลายทศวรรษ ซึ่งเป็นตอนที่ Giovanni Boccaccio เพื่อนของ Petrarch เขียน Decameron ของเขาที่ร้อยเรื่องราวเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับชาวเมือง Florentines ที่สิ้นหวัง ซึ่งหนีไปยังชนบทเพื่อปกป้องตัวเอง

ในไม่ช้า ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาก็ปะทุขึ้นในอิตาลี และค้นพบสิ่งแรกผ่านความทุกข์ทรมานของโรคระบาดที่เกี่ยวข้องกับ Petrarch “ปี 1348 ของเราที่เหลืออยู่คนเดียวและทำอะไรแทบจะไม่ถูก” เขาเขียนไว้ในหนังสือของเขา 

“เราลืมไปว่าการใช้อุปกรณ์ของเราเพื่อสื่อสารกับครอบครัวและเพื่อนฝูงในระยะทางไกลนั้นง่ายเพียงใด” 

ซึ่งสำหรับ Petrarch และ Boccaccio ทั้งหมดต้องทำด้วยตนเองหรือทำเป็นลายลักษณ์อักษรโดยมีการขนส่งที่ไม่มีความแน่นอนจากการแพร่ระบาดของโรค บังคับให้พวกเขาทั้งสองรู้สึกถึงความสันโดษ

จดหมายที่ไม่ตอบกลับในยุคนั้นอาจหมายถึงการเสียชีวิตของผู้รับ ถึงกระนั้น Petrarch ก็รู้สึกสบายใจในการเขียนจดหมายถึงเพื่อนฝูงและนำพานักคิดผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณของกรีกและโรมันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะอมตะผ่านกวีนิพนธ์และร้อยแก้วของเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจและหล่อเลี้ยงผู้อ่านของเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ยากลำบากของการใช้ชีวิตและการตายในยุคนั้นมาได้นั่นเอง

กาลิเลโอกับการปฏิวัติโคเปอร์นิกัน ในศตวรรษที่ 17

ในตอนท้ายของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเป็นเวลาเกือบ 300 ปีหลังจากยุคของ Petrarch โรคระบาดกลับมาอีกครั้งในอิตาลีโดยได้รับผลกระทบมาจากสงครามสามสิบปีที่ทำลายล้างยุโรปตอนกลาง 

นี่คือเวลาของการเผชิญหน้าของกาลิเลโอกับ Roman ในขณะที่เขายืนกรานที่จะผลักดันโลกทัศน์ของเขาในการปฏิวัติโคเปอร์นิกันที่มองว่าดวงอาทิตย์ ไม่ใช่โลกที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ 

หนังสือของเขา Dialogue Concerning the Two Chief World Systems ได้เสนอการอภิปรายที่มีอคติอย่างมากเกี่ยวกับการจัดเรียงของดาวเคราะห์ เห็นได้ชัดว่าเป็นการสนับสนุนจักรวาลที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง

ในปี ค.ศ. 1630 นักบวชชาวโดมินิกันที่สนับสนุนมุมมองของกาลิเลโอได้อนุมัติหนังสือต้นฉบับดังกล่าว ภายหลังการแก้ไขบางส่วน ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดโรคระบาดในอิตาลีอีกครั้ง ทำให้ผู้คนต้องจำกัดการเดินทางและแยกตัวออกจากที่อยู่อาศัย

กาลิเลโอมองเห็นโอกาส เขาจัดการส่งต้นฉบับจากโรมไปที่บ้านของเขาในฟลอเรนซ์ เมื่อผ่านการอนุมัติจากการถูกเซ็นเซอร์ในกรุงโรม หนังสือเล่มนี้ก็ได้ถูกจัดตีพิมพ์

เมื่อพระสันตะปาปาเห็นหนังสือเล่มดังกล่าวก็โกรธจัด กาลิเลโอได้ทำแก้ไขเพิ่มจากการร้องขอจากศาสนจักรโดยให้ยอมรับว่าพระเจ้าทรงทำให้ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากตะวันออกไปตะวันตกทุกวันผ่านปาฏิหาริย์ (ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ดวงอาทิตย์ที่เคลื่อน แต่โลกที่กำลังหมุนต่างหาก)

แต่เขากลับทำในลักษณะเยาะเย้ย โดยพระสันตะปาปาไม่พร้อมที่จะปรับตัวในช่วงเวลาของการเผชิญหน้าระหว่างคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ หนังสือเล่มนี้ถูกเซ็นเซอร์และกาลิเลโอถูกบังคับให้ละทิ้งมุมมองของจักรวาลแบบ heliocentric ของเขา ถึงกระนั้น หนังสือเล่มนี้ก็ยังรั่วไหลออกจากอิตาลี และการปฏิวัติของโคเปอร์นิกันก็เริ่มต้นขึ้น

ขอบคุณโรคระบาดที่ทำให้เรามีแคลคูลัสและฟิสิกส์

จากนั้นในปี ค.ศ. 1665 ที่ประเทศอังกฤษ โรคระบาดทำให้ Isaac Newton ที่ยังอายุน้อยต้องหนีจากการศึกษาของเขาที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ไปยังฟาร์มของมารดาในวูลสธอร์ป ซึ่งเขาอาศัยอยู่เป็นเวลาสองปี และแน่นอนว่า มีต้นแอปเปิลอยู่ในฟาร์มแห่งนี้ 

ในช่วงสองปีนั้น ความอัจฉริยะของ Newton ระเบิดพลังออกมา มันเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ เขาใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์อย่างเต็มที่ซึ่งไม่มีใครเทียบได้ในยุโรปในขณะนั้น เพื่อสร้างผลงานที่สร้างสรรค์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ ซึ่งนักชีวประวัติในยุคแรกเรียกว่า anni mirabilis (“ปีอันมหัศจรรย์”) 

ในต้นปี ค.ศ. 1665 Newton ได้ค้นพบสิ่งที่เราเรียกว่าดิฟเฟอเรนเชียลแคลคูลัส ในวันนี้ และปีถัดมาในเดือนมกราคมก็มีทฤษฎีของสี และในเดือนพฤษภาคมต่อมาก็ได้สร้างแนวคิดของแคลคูลัสเชิงปริพันธ์ (Integral Calculus)] 

และในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็ได้ค้นพบเรื่องของแรงโน้มถ่วงที่ขยายไปถึงลูกทรงกลมของดวงจันทร์ และจากกฎของเคปเลอร์เกี่ยวกับช่วงเวลาของดาวเคราะห์ที่อยู่ในสัดส่วนที่แยกจากกันของระยะห่างจากจุดศูนย์กลางของลูกทรงกลม 

ทำให้มนุษย์เราได้เรียนรู้ว่าแรงที่ยึดดาวเคราะห์ไว้ในลูกกลมของพวกมันจะต้องเป็นกำลังสองของระยะห่างจากจุดศูนย์กลางที่พวกมันโคจรอยู่ 

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงโรคระบาดในปี ค.ศ. 1665-1666 เพราะในสมัยนั้น Newton อยู่ในวัยที่พร้อมสำหรับการประดิษฐ์คิดค้น ทั้งทางด้านคณิตศาสตร์และปรัชญาที่มีใจจดจ่อมากกว่าครั้งไหนๆ

โดยสรุป ในช่วงสองปีที่เกิดโรคระบาดนี้ Newton ได้วางรากฐานของแคลคูลัสเชิงอนุพันธ์และปริพันธ์ ทฤษฎีแสงและสี กฎการเคลื่อนที่ และทฤษฎีแรงโน้มถ่วง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องอัจฉริยะมาก ๆ สำหรับนักเรียนอายุ 23 ปี

จาก Petrarch ถึง Newton เราได้เรียนรู้ที่ถึงช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดผ่านการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ ผู้คนต่างมุ่งสู่สถานที่ปลีกวิเวก เพื่อการสร้างสรรค์อย่างปลอดภัยเหนือการต่อสู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างชีวิตและความตายจากการแพร่ระบาดครั้งใหญ่นั่นเองครับผม

References : https://bigthink.com/health/omicron-covid/
https://publicdomainreview.org/essay/petrarchs-plague
https://www.jstor.org/stable/230315?seq=1#metadata_info_tab_contents
https://bigthink.com/13-8/plague-genius/

สรุปการแบน Marjorie Greene อย่างถาวรของ Twitter ฐานให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับ Covid-19

เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับการแบน Marjorie Taylor Greene ของ Twitter ที่เป็นการแบนแบบถาวร เนื่องจากมีการละเมิดนโยบายในการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับ COVID-19 ภายในแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่องของเธอ

ต้องบอกว่า ส.ส. Greene (@mtgreenee) เป็นคนหนึ่งที่ออกมาให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับเรื่องของ COVID-19 มีการพูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ และเรื่องหลอกลวงของเธอเกี่ยวกับการระบาดใหญ่ รวมถึงประเด็นสำคัญในเรื่องวัคซีน

แน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับ Greene เพราะตอนนี้ข้อมูลในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มอย่าง Twitter ที่เน้นข่าวเร็ว ข่าวด่วนเป็นหลัก นั้นเกิดประเด็นปัญหาในเรื่อง Fake News เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของ COVID-19 เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

แต่การกระทำซ้ำ ๆ ของเธอ นี่เองที่ทำให้ Twitter ได้ทำการลงโทษสถานหนัก โดยเป็นการแบนแบบถาวร โดยเธอโดนเตือนถึง 5 ครั้งก่อนหน้านี้ หลังจากมีการละเมิดนโยบาย ซึ่งเธอได้ยื่นอุทรณ์ทุกครั้ง และในครั้งที่ 5 ของเธอ ทำให้เธอถูกระงับบัญชีแบบถาวร

ซึ่ง Greene นั้นได้ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง สำหรับโพสต์ที่อ้างว่าวัคซีนป้องกัน COVID-19 นั้นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง รวมถึงเรื่องที่เธอกล่าวว่า COVID-19 เป็นอันตรายต่อคนอ้วนและผู้สูงอายุ

เธอยังอ้างว่าเธอถูกระงับเนื่องจากทวีตข้อมูลจาก Vaccine Adverse Event Reporting System (VAERS) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นกับวัคซีน รวมถึงวัคซีน COVID-19

Vaccine Adverse Event Reporting System (VAERS) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นกับวัคซีน (CR:The Communication Initiative Network)
Vaccine Adverse Event Reporting System (VAERS) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นกับวัคซีน (CR:The Communication Initiative Network)

โดย Greene ได้ทวีตข้อความเกี่ยวกับมาตรการด้านสาธารณสุขที่บังคับใช้ระหว่างการระบาดใหญ่ โดยวิพากษ์วิจารณ์ความพยายามหลายอย่างที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าวว่ามีความสำคัญในการป้องกันการเสียชีวิตจากไวรัสและทำให้การแพร่กระจายของ COVID-19 ในสหรัฐฯ ช้าลง

ซึ่งในปีที่แล้ว Greene ถูกระงับจาก Twitter หลายครั้งเนื่องจากละเมิดนโยบายของแพลตฟอร์ม ซึ่งก่อนหน้านี้บัญชีของเธอก็ถูกแบนชั่วคราวเนื่องจากละเมิดนโยบายของ Twitter และต่อมาถูกระงับสองครั้งหลังจากทวีตข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับ COVID-19

เธอได้ออกมาโต้แย้งผ่านแพลตฟอร์มการส่งข้อความ Telegram โดย Greene ได้ประณามสิ่งที่ Twitter ทำว่าเป็นการกระทำแบบสองมาตรฐานที่มาประเมินเนื้อหาของเธอ ตลอดจนของนักการเมืองอื่น ๆ และบุคคลอื่น ๆ บน Twitter และได้กล่าวว่า Twitter เป็นศัตรูต่ออเมริกาและไม่สามารถจัดการกับความจริงได้

เธอได้กล่าวปิดท้ายอีกว่า “ไม่เป็นไร ฉันจะแสดงให้อเมริกาเห็นว่าเราไม่ต้องการพวกเขา (Twitter) และมันถึงเวลาในการกำจัดศัตรูของเราแล้ว”

บทสรุป

ตลอดช่วงเวลาของการระบาดของ COVID-19 ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นมากมายก็คือเรื่องของข้อมูลเท็จ ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสื่อโซเชียลมีเดียวส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Twitter หรือ Facebook

แต่ดูเหมือน Twitter จะเป็นสื่อที่มีปัญหานี้ร้ายแรงที่สุด เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มเดียวที่แทบจะไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ เราได้เห็น account หลุม หรือ avatar มากมายในโลก Twitter ที่แทบจะไม่มีการตรวจสอบข้อมูลใด ๆ แล้วทำการปล่อยข่าวเท็จออกมามากมาย

รวมถึงเรื่องความเร็วในการแพร่กระจายที่ Twitter เป็นช่องทางที่แพร่กระจายข่าวได้รวดเร็วที่สุดอีกด้วย หากย้อนกลับไปที่จุดตั้งต้นของการกำเนิดขึ้นของ Twitter นั้นมันต่างจาก Facebook เพราะ Twitter ให้สิทธิเสรีภาพแบบเต็มที่ และเน้นในเรื่อง Free Speech มากกว่าแพลตฟอร์มอื่น ๆ

ซึ่งจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเราได้เห็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย ทั้งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การประท้วงรัฐบาลเผด็จการ หรือ เหตุการณ์อาหรับสปริงที่ใช้เครื่องมือ Twitter ในการดำเนินการ เพราะมีเสรีภาพแบบเต็มเปี่ยม ซึ่งนั่นเป็นจุดเด่นของพวกเขามาตั้งแต่แรกตั้งแต่ก่อตั้งแพลตฟอร์มนี้ขึ้นมา

แต่กลับกัน มันก็ได้สร้างปัญหามากมายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง Fake News ที่เกิดขึ้น แม้เจ้าของแพลตฟอร์มต่าง ๆ เหล่านี้จะรับรู้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้น และพยายามหาทางแก้ไข อย่างในตัวอย่างข่าวนี้ก็คือการลงโทษขั้นสูงสุดด้วยการแบนถาวร เหมือนในกรณีของ Donald Trump ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว

Donald Trump ที่โดน Twitter แบนมาก่อนหน้านี้แล้ว (CR:CNN)
Donald Trump ที่โดน Twitter แบนมาก่อนหน้านี้แล้ว (CR:CNN)

แต่หากใช้มาตรฐานเดียวกัน มันก็มี account อีกมากมายในแพลตฟอร์ม ที่มีการเผยแพร่ fake news เหล่านี้เฉกเช่นเดียวกัน ซึ่งก็ควรที่จะจัดการทั้งหมดด้วยมาตรฐานเดียวกัน ไม่อย่างงั้นมันก็จะกลายเป็นเรื่องสองมาตรฐานอย่างที่ ส.ส. Greene ได้ทำการกล่าวหา Twitter ไว้นั่นเองครับผม

References : https://www.forbes.com/sites/roberthart/2022/01/02/twitter-permanently-bans-marjorie-taylor-greene-for-repeated-covid-19-misinformation
https://www.theverge.com/2022/1/2/22863583/twitter-marjorie-taylor-greene-banned-covid-19-misinformation
https://www.npr.org/2022/01/02/1069753102/twitter-bans-marjorie-taylor-greenes-personal-account-over-covid-misinformation
https://vaers.hhs.gov/about.html
https://sanfrancisco.cbslocal.com/2022/01/02/sf-based-twitter-bans-marjorie-taylor-greenes-personal-account/

วัคซีน mRNA เกี่ยวข้องกับปัญหาหัวใจของนักฟุตบอลอาชีพในยุโรปหรือไม่

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องราวน่าสนใจมากทีเดียวกับปัญหาเรื่องหัวใจกับนักฟุตบอลชื่อดังสองคนทั้ง เซร์คิโอ อเกวโร่ และ คริสเตียน อีริคเซ่น ที่หนังสือพิมพ์เยอรมันอย่าง Berliner Zeitung ได้บอกเป็นนัยว่าปัญหาที่เกี่ยวกับหัวใจในนักกีฬาอาชีพทั่วโลก อาจเป็นผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตรายของวัคซีนที่ใช้ mRNA

ผู้ชายอายุต่ำกว่า 30 ปีมีความเสี่ยงสูง:

ที่น่าสนใจคือ ผลการวิจัยพบว่าวัคซีนจากทั้งไฟเซอร์และโมเดอร์นาเพิ่มความเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยเหล่านี้ภายในเจ็ดวันหลังจากฉีดวัคซีน ความเสี่ยงสูงขึ้นเล็กน้อยในผู้ชายอายุต่ำกว่า 30 ปี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากฉีดวัคซีนโมเดอร์นาเข็มที่สอง ซึ่งการศึกษาพบว่าอาจเป็นสาเหตุของโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ที่มีโอกาสการเกิดอยู่ที่ 132 รายต่อหนึ่งล้านโดสที่ได้รับ

ส่วนวัคซีนไฟเซอร์ดีกว่าเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนทั้งสองชนิด แต่ฝั่งล็อบบี้ยิสต์ของ ไฟเซอร์-โมเดอร์นา ก็ได้พยายามยกตัวอย่างกรณีการแข็งตัวของเลือดจำนวนหนึ่งจากผู้ที่ได้รับวัคซีน AstraZeneca เช่นเดียวกัน

Sergio Aguero, Christian Eriksen และนักกีฬาคนอื่นๆ ที่กำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ:

เนื่องจากนักกีฬาที่ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพ หนังสือพิมพ์เยอรมันยกตัวอย่างปัญหาสุขภาพหัวใจที่ต้องเผชิญหลังจากการเซ็นสัญญาย้ายมาสู่สโมสรบาร์เซโลน่าของ เซร์คิโอ อเกวโร่ นักเตะชาวอาร์เจนตินาที่ถูกบังคับให้ออกจากสนาม หลังจากที่เขารู้สึกไม่สบายในเกมที่เขาได้ลงสนามพบกับ Deportivo Alavés 

อเกวโร่ถูกถอดออกจากสนาม ในขณะที่เขาพยายามจับหน้าอกตัวเองและได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที เขาถูกพักการเล่นออกไปอย่างน้อยสามเดือน และอยู่ระหว่างการประเมินทางการแพทย์อื่นๆ และมีข่าวล่าสุดว่าเขาอาจจะต้องแขวนสตั๊ดจากปัญหานี้เลยทีเดียว

ในทำนองเดียวกัน คริสเตียน อีริคเซ่น ในช่วงระหว่างการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 ที่เพิ่งจบลงไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเกือบจะเสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย หากไม่ใช่เพราะการคิดอย่างรวดเร็วของผู้เล่น ผู้ตัดสิน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่อยู่ในสนาม

ภาพสุดช็อคของ คริสเตียน อีริคเซ่น ในศึกฟุตบอลยูโร 2020 (CR:siamrath)
ภาพสุดช็อคของ คริสเตียน อีริคเซ่น ในศึกฟุตบอลยูโร 2020 (CR:siamrath)

อาชีพนักฟุตบอลของ อีริคเซ่น สิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากไม่มีสโมสรฟุตบอลใดที่ต้องการผู้เล่นที่มีปัญหาเรื่องหัวใจในทีม อีริคเซ่นไม่เคยมีปัญหาเรื่องหัวใจมาก่อน แต่เขามีกลับมีประสบการณ์เฉียดตายบนสนามหญ้า

แม้ว่าหนังสือพิมพ์ไม่ได้เชื่อมโยงปัญหาสุขภาพหัวใจที่ผู้เล่นต้องเผชิญโดยตรงกับวัคซีนที่พวกเขาได้รับ แต่ก็พยายามค้นหาคำตอบโดยเปิดเผยรายชื่อนักกีฬาจำนวนมาก ที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหลังการฉีดวัคซีน

ประสิทธิภาพที่ไม่ชัดเจนของไฟเซอร์และวัคซีนอื่นๆ:

ตามรายงานในมาเลเซียจากจำนวนผู้เสียชีวิต 2,159 รายที่ได้รับวัคซีนครบสมบูรณ์ ซึ่ง 1,573 รายหรือ 72.8% ได้รับวัคซีนจาก Chinese Sinovac ที่น่าสนใจคือ มีผู้เสียชีวิตจำนวน 550 ราย หรือสูงถึง 25.5% ของผู้เสียชีวิตได้รับวัคซีนไฟเซอร์

ตามที่รายงานในเดือนมีนาคมอิสราเอล คิดว่าการระดมฉีดวัคซีน mRNA จะทำให้เส้นโค้งของจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 แบนราบลง เนื่องจากมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากร 9.3 ล้านคนในประเทศได้รับวัคซีนไฟเซอร์ครบสองโดสไปแล้ว 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ต่าง ๆ เลวร้ายลงอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น เนื่องจากมีการติดเชื้อจำนวนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ประเทศต่างๆ จึงเริ่มประกาศว่าอิสราเอลว่าเป็นจุดหมายปลายทางที่มีความเสี่ยงสูงสำหรับนักเดินทาง

ผลการศึกษาที่คล้ายกันในอิสราเอลกับของฝรั่งเศส:

ด้วยเหตุนี้ ในเดือนเมษายน กระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอลจึงเริ่มตรวจสอบกรณีของหัวใจอักเสบในผู้ที่ได้รับวัคซีนครบสองโดสจากไฟเซอร์ ในการศึกษาหนึ่งของผู้ป่วยมากกว่า 5 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์นั้น มีจำนวน 136 คนได้พบปัญหากล้ามเนื้อหัวใจตาย

ในขณะเดียวกัน ในการศึกษาอื่นจาก 2.5 ล้านคนที่ได้รับการฉีดวัคซีน พบผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 54 ราย โดยเด็กชายวัยรุ่นและชายหนุ่มมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มากที่สุด

เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสังเกตว่านักกีฬาส่วนใหญ่ที่ประสบปัญหา “การอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ” ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้อยู่ในกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะตามที่กล่าวไว้ในการศึกษาสองครั้งดังกล่าวในอิสราเอลและการศึกษาที่ดำเนินการในฝรั่งเศส

ไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนโควิด-19 เชื่อมโยงกับนักกีฬาที่เป็นประเด็นในโลกออนไลน์

สำนักข่าวรอยเตอร์นำเสนอโพสต์ต่อหน่วยงานกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (MHRA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและวัคซีนของอังกฤษ ซึ่งระบุว่าขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนที่จะสนับสนุนคำกล่าวอ้างดังกล่าวบนโลกออนไลน์

ดร.จูน เรน หัวหน้าผู้บริหารของ MHRA กล่าวว่า “MHRA ติดตามความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 อย่างใกล้ชิด รวมถึงรายงานที่น่าสงสัยเกี่ยวกับการอักเสบของหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

“โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบยังคงเป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้น้อยมากสำหรับวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา และเหตุการณ์ที่รายงานมักไม่รุนแรง โดยที่ผู้ป่วยมักจะฟื้นตัวภายในระยะเวลาอันสั้นด้วยการรักษาแบบมาตรฐานและการพักผ่อนเป็นหลัก หลักฐานในปัจจุบันไม่ได้บ่งชี้ว่าการเล่นกีฬาเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากเหล่านี้”

สำนักข่าวรอยเตอร์ยังได้นำเสนอวิดีโอต่อ FIFA ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลเรื่องการแข่งขันฟุตบอลทั่วโลกซึ่งกล่าวว่า: “FIFA ไม่ทราบว่ามีภาวะหัวใจหยุดเต้นตามที่ระบุไว้ และยังไม่มีกรณีใดที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับนักกีฬาที่ได้รับวัคซีน COVID”

“โดยทั่วไปแล้ว ฟีฟ่าติดต่อกับศูนย์วิจัยชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญเป็นประจำเพื่อทำวิจัยเกี่ยวกับหัวข้อทางการแพทย์ที่มีความหลากหลาย”

และที่สำคัญผู้อำนวยการของอินเตอร์ มิลาน กล่าวว่า คริสเตียน อีริคเซ่น ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 และนี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขาล้มลงระหว่างการแข่งขันยูโร 2020 ของเดนมาร์ก อย่างแน่นอน

บทสรุป

ต้องบอกว่าถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักฟุตบอลในเรื่องหัวใจ ที่มีปัญหาต่อเนื่องกันในระยะเวลาเพียงไม่นาน ทั้งรายของ อีริคเซ่น ที่กลายเป็นภาพข่าวโด่งดังในช่วงฟุตบอลยูโร 2020 รวมถึง อเกวโร่ ที่เหลือเชื่อมาก ๆ ที่มีข่าวว่าอาจจะต้องแขวนสตั๊ดจากปัญหานี้เลยทีเดียว

แม้เคสทั้งสองจะไม่ใช่เคสแรกที่นักฟุตบอลอาชีพต้องมามีปัญหาหรือจบชีวิตด้วยโรคหัวใจ ตัวอย่างของ มาร์ค-วิเวียน โฟเอ้ อดีตกองกลาง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ในทีมชาติแคเมอรูน ชุดทำศึกคอนเฟดเดอเรชันส์ คัพ 2003 ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งโฟเอ้ ล้มหมดสติในเกมพบ โคลอมเบีย โดยเจ้าตัวยังมีชีวิตระหว่างนำตัวไปโรงพยาบาล ก่อนทำการรักษาเป็นเวลา 45 นาทีถึงค่อยมีการประกาศเรื่องเสียชีวิตของดาวเตะวัย 28 ปี

มาร์ค-วิเวียน โฟเอ้ ที่เสียชีวิตจากปัญหาหัวใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับนักกีฬาทุกคน (CR:CNN)
มาร์ค-วิเวียน โฟเอ้ ที่เสียชีวิตจากปัญหาหัวใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับนักกีฬาทุกคน (CR:CNN)

หรือ ชีค ติโอเต้ อดีตกองกลาง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เสียชีวิตคาสนามด้วยวัยเพียง 30 ปีเท่านั้น หลังมีอาการหัวใจวายระหว่างฝึกซ้อมกับ ปักกิ่ง เอ็นเตอร์ไพรส์ กรุ๊ป ต้นสังกัดในลีกสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา แม้จะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ทว่าก็ยื้อชีวิตของเขาไว้ไม่สำเร็จ

แต่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสังเกตว่านักกีฬาส่วนใหญ่ที่ประสบปัญหา “การอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ” ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้อยู่ในกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงจากวัคซีน โดยเฉพาะตามที่กล่าวไว้ในการศึกษาทั้งจากประเทศอิสราเอลและฝรั่งเศส

เพราะฉะนั้นด้วยการที่ยังสรุปผลไม่ได้ชัดเจนนักว่าปัญหาเรื่องหัวใจนั้นเกิดจากวัคซีนโดยตรงจริงหรือไม่ ความกลัวก็อาจจะเกิดขึ้นกับนักฟุตบอลหลาย ๆ คน

ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ บิลด์ สื่อชั้นนำของประเทศเยอรมนี ที่ได้มี่การรายงานว่า บาเยิร์น มิวนิก ลงโทษขั้นเด็ดขาดกับผู้เล่น 5 รายที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีนโควิด-19 ประกอบด้วย แซร์จ กนาบรี, โยชัว คิมมิช, จามาล มูเซียลา, เอริก มักซิม ชูโป-โมติง และ มิคาเอล กุยซองซ์ ด้วยการไม่จ่ายค่าเหนื่อยทุกวันที่มีเกมการแข่งขันและมีการฝึกซ้อม

แต่ก็เป็นเรื่องน่าคิดนะครับ สำหรับนักฟุตบอลที่ไม่ต้องการรับวัคซีน พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะทำได้เพราะมันอาจจะส่งผลกระทบต่ออาชีพของพวกเขา รายได้หลักของพวกเขาได้เลย หากสุดท้ายแล้วมีการพิสูจน์ว่ามันมีผลจริง ๆ ซึ่งพวกเขาก็คงไม่อยากจะเสี่ยงอยู่แล้ว

และที่สำคัญตอนนี้ ข้อมูลต่างๆ บนโลกออนไลน์ มันทำให้เราที่เป็นคนทั่วไปแทบจะแยกไม่แล้วว่าเรื่องไหน เป็นเรื่องจริง หรือถูกปั่นแต่งเติมขึ้นมาโดยเฉพาะเรื่องวัคซีน ที่ทุกเว็บไซต์ทั้งใหญ่ทั้งเล็กต่างอ้างคำว่า Factcheck กันทั้งหมด

สุดท้ายเหล่านักกีฬาที่ต้องพึ่งพารายได้หลักจากการเล่นกีฬา ผมว่าคงไม่แปลกหากพวกเขาเลือกที่จะไม่ฉีดวัคซีนก่อน ในขณะที่ข้อมูลต่าง ๆ มันยังคลุมเครือไม่ชัดเจนอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.nature.com/articles/d41586-021-02740-y
https://tfiglobalnews.com/2021/11/10/pfizer-and-moderna-vaccines-are-probably-behind-heart-failures-of-professional-athletes-in-europe
https://www.berliner-zeitung.de/news/raetselhafte-herzerkrankungen-im-fussball-li.193554
https://www.thairath.co.th/sport/eurofootball/bundesliga/2248997
https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/french-health-authority-advises-against-moderna-covid-19-vaccine-under-30s-2021-11-09/
https://www.bmj.com/content/bmj/375/bmj.n2635.full.pdf
https://www.reuters.com/article/factcheck-soccer-denmark-idUSL2N2NW1BX