Bored Ape Yacht Club เรื่องราวของ Yuga Labs และความฝันแบบดิสนีย์ท่ามกลางฤดูหนาวของ NFT

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับ ของ Yuga Labs ผู้เสกสรรค์ คอลเลกชั่น NFT ชื่อดังอย่าง Bored Ape Yacht Club ขึ้นมา

นับตั้งแต่ก่อตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 Yuga Labs มีกำไร 100 ล้านดอลลาร์ในปีแรก และระดมทุนได้ 450 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัทถูกประเมินมูลค่าไว้ถึง 4 พันล้านดอลลาร์

และเสน่ห์ที่ดึงดูดใจคนดังและบริษัทต่าง ๆ ตั้งแต่ Gwynet Palthrow ไปจนถึง Adidas ให้เชื่อมโยงแแบรนด์ของตนกับ Bored Ape

ความน่าสนใจที่สุดก็คือ ความสำเร็จที่กล่าวมานั้นส่วนใหญ่มาจากคนเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น Wylie Aronow, Greg Solano , Nicole Muniz และโปรดิวเซอร์คนดังอย่าง Guy Oseary

Aronow และ Solano ทั้งคู่อายุ 30 กลาง ๆ เป็นเพื่อนกันมานานนับสิบปีก่อนที่จะตัดสินใจเปิด Yuga Labs เมื่อปีที่แล้ว พวกเขาแทบจะไม่ใช่คนสายพันธุ์เทคโนโลยีแต่อย่างใด

4 ผู้ก่อตั้ง BAYC และ Yuga Labs (CR:Pinterest)
4 ผู้ก่อตั้ง BAYC และ Yuga Labs (CR:Pinterest)

Solano เป็นบรรณาธิการที่แผนกเล็ก ๆ ของ Simon & Schuster ที่เน้นเรื่องวีดีโอเกมและหนังสือไซไฟ และ Aronow เขาแทบไม่เคยทำงานมาก่อน ส่วนใหญ่จะป่วยจากปัญหาในวัยเด็กของเขา แต่ทั้งคู่ก็มาพบเจอกันกลายเป็นเพื่อนกันเพราะหนังสือ Infinite Jest ของ David Foster Wallace

แนวคิดเริ่มต้นของ Aronow และ Solano คือการนำ NFT มาใช้ในงานศิลปะและเพื่อการแสดงออกถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจุดเชื่อมต่อทั้งคู่กับโลกเทคโนโลยีก็คือ Muniz เพื่อนเก่าของ Aronow ซึ่งเขาเคยพบที่ Starbucks ในไมอามี่ตอนที่เขาเรียนมัธยม

Muniz ใช้เวลาสิบปีที่ผ่านมาทำงานเกี่ยวกับกลยุทธ์ให้กับ Facebook , Google และ สตาร์ทอัพเช่น Oscar Health ซึ่งเน้นในการนำความคิดต่าง ๆ แล้วนำมันมาสร้างให้เป็นรายได้

Aronow และ Solano ตัดสินใจสร้างโปรเจ็กต์ Bored Ape ขึ้นมา พวกเขาทั้งสองอยู่กับถึงตี 4 เพื่อเขียนเรื่องราวเบื้องหลังของ BAYC จากนั้น Solano ก็ได้เริ่มปรับแต่งมัน

ในขณะนั้น Muniz ได้เปิดบริษัทที่ปรึกษาชื่อ Something New – “McKinsey,but for startups” ซึ่ง Muniz สนใจงานของนักวาดภาพประกอบที่ชื่อ Seneca ซึ่งได้พัฒนาภาพวาดลายเส้นของลิง จากนั้นก็มีศิลปินอิสระอื่น ๆ อีกสามคน ก็ได้วาดลักษณะอื่น ๆ ที่เหลือ ตั้งแต่สายแขวนสีรุ้งไปจนถึงชิ้นพิซซ่าที่ห้อยลงมาจากปากของลิง

จากนั้นพวกเขาก็นำไป process ในคอมพิวเตอร์ โดยสร้างอวาตาร์ที่สร้างโดยคอมพิวเตอร์ที่มีความแตกต่างกัน 10,000 รูป

The Bored Apes มีความโดดเด่นในโมเดลของ NFT เมื่อใครก็ตามได้เป็นเจ้าของมัน ซึ่งทั้ง Aronow และ Solano เชื่อจริง ๆ ว่าพวกเขากำลังสร้างสโมสร ซึ่งเป็นบ้านสไตล์โซโหรกร้างว่างเปล่าในรูปแบบดิจิทัล

พวกเขาพยายามสร้างมิตรภาพระหว่างผู้ซื้อ Bored Ape ด้วยทุกสิ่งตั้งแต่การล่าขุมทรัพย์เสมือนจริงไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์แชทของ BAYC Discord แพลตฟอร์มการส่งข้อความส่วนตัวชื่อดัง

Aronow ทำงานแทบจะทั้งวัน เฉลี่ย 16 ชั่วโมงต่อวัน และใช้เวลาทุกคืนเป็นเวลาหลายเดือนเพียงเพื่อพูดคุยกับชุมชน Bored Ape

นั่นทำให้ความผูกพันที่พวกเขาสร้างขึ้้น ทำให้เจ้าของคอลเลกชั่นมีเหตุผลที่จะเชื่อใน Bored Ape ซึ่งต้องเรียกได้ว่าเป็น NFT ที่มีโรดแมปอย่างชัดเจน มีคอมมิวนิตี้ที่มีความชัดเจนมาก ๆ

ในการขายคอลเลกชั่น 10,000 ตัวแรก ที่ทำเงินได้ 2 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่สถานการณ์ในช่วงนั้น ผู้ก่อตั้ง crypto หรือ NFT ส่วนใหญ่มักหอบเงินและหนีไป แต่ไม่ใช่สำหรับ Bored Ape

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดของ Bored Ape คือการ Guy Oseary มาร่วมทีม ซึ่งได้มีการติดต่อกับ Aronow โดย Oseary นั้นต้องการหนีจากโควิด-19 และกำลังสำรวจว่าจะช่วยเรื่องแนวคิดสำหรับโครงการ NFT ได้อย่างไร

ทั้งคู่มีการเชื่อมต่อกันผ่านทางโลกของดนตรีซึ่งมีความสนใจคล้าย ๆ กัน ในตอนแรก Aronow นั้นต้องการให้ Oseary มาเป็นผู้จัดการ

แต่ด้วยการที่ Oseary มี Connection กับเหล่าผู้ทรงอิทธิพลมากมาย และมีการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Uber , Airbnb , Affirm และ Lemonade รวมถึงงานศิลปะ NFT ที่เพิ่งเริ่มต้นอย่าง Dapper Labs, Opensea และ SuperRare

เรียกได้ว่า Oseary นั้นเป็นหนึ่งในคนที่หลงใหลใน NFT มาก ๆ ในเดือนเมษายน 2021 ซึ่งเป็นเดือนเดียวกับที่ BAYC ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นมา เขาได้ซื้อรายการทีวี ที่คล้ายกับ Shark Tank ในชื่อ NFTs : The Pitch

Oseary กลายเป็นหุ้นส่วนใน Yuga Labs อย่างรวดเร็ว ในเดือนพฤศจิกายน 2021 ทุกอย่างมันผ่านไปรวดเร็วมาก เพราะ crypto กำลังขึ้นสู่จุดสูงสุด มูลค่าของ crypto ทั่วโลกพุ่งขึ้นเกือบ 3 ล้านล้านดอลลาร์

และการที่เหล่าคนดังเริ่มหันมาสนใจ BAYC เพิ่มมากขึ้น ช่วยผลักดันให้ราคาของ BAYC จาก 150,000 ดอลลาร์เป็น 220,000 ดอลลาร์ ภายในสิ้นปี 2021

ถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรฉุด BAYC อยู่อีกต่อไป เพียงไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็เข้าซื้อกิจการ CryptoPunks และ Meebits แม้ Yuga จะไม่ได้เปิดเผยมูลค่าของข้อตกลง แต่คาดว่าอยู่ในระหว่าง 100 ถึง 500 ล้านดอลลาร์

CryptoPunks ที่ดังจนเตะตา Yuga Labs จนเข้าซื้อในท้ายที่สุด (CR:Coindesk)
CryptoPunks ที่ดังจนเตะตา Yuga Labs จนเข้าซื้อในท้ายที่สุด (CR:Coindesk)

ไม่กี่วันหลังจากข่าวการซื้อกิจการ ก็มีข้อมูลหลุดที่น่าสนใจ ซึ่งระบุว่า Yuga Labs สร้างรายได้ 137.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นกำไร 92.4% บริษัทยังได้ร่างแผนสำหรับสิ่งที่เรียกว่า Othersie ซึ่งจะทำให้ metaverse อื่น ๆ ทั้งหมดดูล้าสมัยไปเลย

ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2022 บริษัทได้ประกาศระดมทุนมูลค่า 450 ล้านดอลลาร์ ซึ่งผลักดันให้บริษัทมีมูลค่ารวม 4 พันล้านดอลลาร์

References :
https://www.fastcompany.com/90796009/bored-ape-yacht-club-tell-all-the-untold-story-of-the-4-billion-crypto-startup
https://coinscreed.com/explaining-bored-ape-yacht-club-nft-and-why-it-is-so-valuable.html

Geek Monday EP153 : Sony กับความทะเยอทะยานในธุรกิจเซ็นเซอร์ภาพที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า

เมื่อ 7 เดือนที่แล้วที่ Sony และ Honda เปิดเผยว่าพวกเขากำลังจะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าร่วมกัน ในญี่ปุ่นก็มีกระแสฮือฮามากมายเกี่ยวกับ การจับมือกันที่นำสองบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศมารวมกัน

แต่กลับกลายเป็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของพวกเขาจะขายทางออนไลน์ในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นในปี 2026 ซึ่งจะเป็นเวลาถึง 18 ปี หลังจากที่ Elon Musk เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของเทสลาในปี 2008

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3DMG91B

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3DL3qRe

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3fhCGP5

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3sLB1EC

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/W-JOT_PTP5k

คันโยก Apple กับกลยุทธ์เพิ่มคันเร่งการเติบโตด้วยธุรกิจบริการแบบสุดโหด

เมื่อธุรกิจด้านฮาร์ดแวร์ใกล้เข้าถึงทางตันเข้าไปทุกที สำหรับ iPhone ที่ยอดขายเริ่มนิ่ง และต้องบอกว่านวัตกรรมใหม่ๆ ที่ดึงดูดผู้บริโภคให้เปลี่ยนเพื่ออัพเกรดเป็นรุ่นใหม่นั้นลดน้อยลงไปทุกวัน

มันมีไม่กี่ทางเลือกสำหรับ Apple ที่จะทำให้อาณาจักรของพวกเขาไม่สั่นคลอน ถ้าเครื่องจักรทำเงินเก่าอย่าง iPhone เริ่มไม่ทำงาน พวกเขาก็ต้องมารีดเค้นรายได้จากบริการอื่นๆ ที่เป็นของตายของพวกเขา

สะท้อนออกมาทางวิสัยทัศน์ของ Tim Cook ยุคใหม่ ที่จะโฟกัสกับธุรกิจบริการมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ Jony Ive ถึงกับต้องลาจาก Apple ไปเนื่องจากบทบาทของเขาเริ่มน้อยลงไปทุกที

และการที่ Apple ควบคุมแพลตฟอร์มได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พวกเขาสามารถเสกเงินขึ้นมาเพิ่มได้อย่างแน่นอน ด้วย ecosystem ขนาดมหึมาของพวกเขา

หนึ่งในนั้นที่กำลังจะส่งผลกระทบไปยังเจ้าของเครือข่ายโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่าง Meta ก็คือ เรื่องการยิงโฆษณาจากภายใน App ซึ่งเราจะเห็นปุ่ม boost post ภายใน App ทั้ง Facebook หรือ Instagram ที่เป็นปุ่มง่ายๆ สำหรับผู้ใช้งานระดับเริ่มต้น เพื่อการเข้าถึงเนื้อหาที่เพิ่มขึ้นผ่านการโฆษณานั่นเอง

มันเป็นหัวใจหลักของรายได้ของ Meta เลยก็ว่าได้ Apple ได้ดึงคันโยกใหม่ นั่นก็คือ ปรับปรุงกฎของ App Store เพื่อลดรายได้จากโฆษณาในแอปโซเชียลมีเดีย โดยจะต้องมีการจ่ายค่า commission 30% ให้กับ Apple

เป็นอีกหนึ่งคันโยกทางการเงินที่ได้ว่าส่งผลกระทบต่อแอปหลายๆ แอป โดยเฉพาะ Meta เอง ที่ก่อนหน้านี้โดนในเรื่อง App Tracking Transparency ไปก่อนหน้านี้แล้วที่รายได้ของพวกเขาหายไปเป็นหมื่นล้านดอลลาร์ จากแค่นโยบายใหม่ของ Apple

Apple ยังปรับนโยบายในการขาย NFT ด้วยกฎใหม่นี้เช่นเดียวกัน หากแอปมีการขาย NFT จะต้องใช้ระบบการซื้อภายในแอปของ Apple

หรือแม้กระทั่ง เหล่านักพัฒนาที่ต้องการให้ App ของตนเองได้รับการดาวน์โหลดนั้น ตอนนี้มันก็ไม่ง่ายเหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะต้องมีการอัดฉีดเม็ดเงินโฆษณาเข้าไปเช่นเดียวกัน เพื่อให้อยู่อันดับต้น ๆ ในหมวดหมู่ต่าง ๆ ในมหาสมุทรแอป ที่มีให้เลือกสรรค์มากมายบน App Store

การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัว ๆ ของ Apple แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Apple กำลังนำ ecosystem ของพวกเขาซึ่งใหญ่มาก ๆ อยู่แล้ว มารีดค้นประสิทธิภาพในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ ให้กับพวกเขา

ซึ่งแน่นอนว่า พวกเขามีสิทธิ์ 100% ที่จะทำ เพราะเป็นเจ้าของ ecosystem ตัวจริง ซึ่งสะท้อนให้เห็นในสถานการณ์ที่หุ้นเทคโนโลยีตกลงอย่างหนัก แต่ดูเหมือน Apple นั้นจะไม่สะทกสะท้านเท่าที่ควร เพราะพวกเขายังมีคันโยกอีกมากมายที่พร้อมที่จะเป็นเครื่องจักรทำเงินใหม่ให้กับพวกเขาได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.theverge.com/2022/10/27/23426993/apple-app-store-rules-guidelines-ads-changes-flexes-control
https://www.ft.com/content/17ecb0a0-8e60-4d02-b1fc-f497c9e31331
https://www.gsmarena.com/apple_pauses_the_advertisement_of_gambling_apps_on_app_store-news-56312.php

The bird is freed กับนกน้อย Twitter ที่บินเข้าสู่อ้อมกอด Elon Musk เสียที

ในที่สุดก็จบมหากาพย์ดีลการเข้าซื้อกิจการ Twitter เสียทีนะครับ สำหรับการที่ Elon Musk สามารถเข้าควบคุมกิจการของ Twitter ได้สำเร็จ และสิ่งแรกที่เขา Tweet ออกมาก็คือ “The bird is freed”

สิ่งที่ Musk ต้องการคือปลดปล่อย Twitter ให้เป็นอิสระอีกครั้ง เนื่องจากปัญหามากมายที่เกิดขึ้นกับแพลตฟอร์มแห่งนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา

Twitter เป็นบริการ Social Media ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มที่เกิดขึ้นหลัง Facebook ไม่นาน แต่มาถึงทุกวันนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องโมเดลธุรกิจ

แต่ก็ต้องบอกว่า มันเป็น DNA ของผู้ก่อตั้งทั้ง 4 ซึ่งประกอบไปด้วย Evan Williams , Jack Dorsey , Biz Stone และ Noah Glass ที่มารวมตัวกันเพื่อเปลี่ยนโลกของการสื่อสารที่มีมากว่า 100 ปี

Twitter โปรเจคที่ดูเหมือนง่าย มีแนวคิดที่ simple มาก ๆ แต่มัน impact ต่อโลกเราอย่างมหาศาล มันเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ สิ่งในโลกของข้อมูลข่าวสารของมนุษย์เราไปอย่างสิ้นเชิง

แม้ล่าสุดจะอยู่ในมือ Jack Dorsey ก่อนส่งต่อให้กับ Elon Musk แต่สิ่งที่ Twitter นั้นยึดถือมาโดยตลอดนั่นก็คือเรื่อง Free Speech

แทบจะเป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่หลายๆ ครั้งทั้งอาหรับสปริง  การปฏิวัติในยูเครน จนมาถึงสิ่งที่ใหญ่ที่สุดอย่างการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของอเมริกา หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังเกิดความแตกแยกในประเทศไทยเราเองก็ตามที

ซึ่ง Twitter เองก็ไม่ได้แคร์ในเรื่องของรายได้มาตั้งแต่แรก เพราะมีโอกาสมากมายที่พวกเขาสามารถที่จะสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้กับ Twitter แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังคง DNA ของการเป็นแพลตฟอร์ม Free Speech มาจวบจนถึงทุกวันนี้

ซึ่งเมื่อมาอยู่ในมือของ Elon Musk ท่าทีมันก็เริ่มชัดเจนตั้งแต่เข้ามาวันแรกที่ไล่ทั้ง CEO , CFO และผู้บริหารระดับสูงของบริษัทออกไปทันที และเรียกเหล่าวิศวกรเพื่อทบทวนโครงสร้างของ Twitter ใหม่

มันเป็นการปรับโครงสร้างของ Twitter ใหม่แทบจะทั้งหมด นโยบายเดิม ๆ ของ Twitter นั้นอาจจะถึงคราวต้องเปลี่ยนผ่าน

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ bot หรือ รูปแบบโมเดลการปั่น hashtag แบบเดิม ๆ ที่เป็นแพทเทิร์นในการสร้างกระแสกับสังคมในเรื่องต่าง ๆ นั้น คงต้องถูกล้างบางครั้งใหญ่แน่นอน

Musk เองนั้นได้นำเสนอวิสัยทัศน์แห่งอนาคตให้กับ Twitter ตามที่เป็นข่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยการลดการพึ่งพาโมเดลธุรกิจโฆษณาลง และจะผลักดันให้กลายเป็น Super Apps หรือ “X,The Everything App”

เขามองว่า Twitter นั้นมีศักยภาพสูงที่จะกลายเป็น “Super Apps” ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงโดยเฉพาะในประเทศจีนและส่วนอื่น ๆ ของเอเชีย

แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตกนั้น เราไม่ค่อยเห็นแพลตฟอร์มใดที่สามารถผลักดันตัวเองให้กลายเป็น Super Apps อย่างที่ในประเทศจีนทำได้

ซึ่งก่อนหน้านี้ Elon Musk เองก็เคยแสดงความชื่นชม Wechat ว่าเป็น App ที่ยอดเยี่ยม และไม่มี App อย่าง Wechat ที่มีความสามารถเทียบเท่านอกประเทศจีนเลย

เอาจริง ๆ ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับ หาก Elon Musk จะผลักดัน Twitter ไปในแนวทางเดียวกับ Super Apps ของจีน

เรียกได้ว่ายังไม่มี App ไหนของฝั่งตะวันตกสามารถทำได้เทียบเคียงกับสิ่งที่ Wechat ทำได้เลย

หากแผนการของ Elon Musk สำเร็จ ก็น่าสนใจอย่างยิ่งว่าอาจจะทำให้ Twitter จะกลับมาครองความยิ่งใหญ่ในฐานะ Super Apps อันดับหนึ่งของโลก และแน่นอนว่ามันจะส่งผลให้ Elon Musk เองนั้น ไม่ใช่เพียงแค่นักธุรกิจที่รวยที่สุดในโลกแต่จะกลายเป็นนักธุรกิจที่มีอิทธิพลและทรงอำนาจมากที่สุดในโลกนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/business/2022/10/11/will-elon-musk-owned-twitter-end-up-as-a-deal-from-hell
https://www.businesstoday.in/trending/world/story/the-bird-is-freed-elon-musk-on-firing-top-executives-after-taking-over-twitter-351099-2022-10-28

Geek Talk EP28 : The Playlist กับสุดยอดซีรี่ส์สร้างแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ

ย้อนกลับไปที่เมือง Rågsved ประเทศสวีเดนในปี 2004 Daniel Ek เป็นผู้เขียนโค้ดสำหรับเว็บไซต์ประมูลขนาดเล็ก แต่เขามีแนวคิดที่ใหญ่กว่ามาก หลังจากที่เขาได้รับจดหมายปฏิเสธจาก Google เขาตัดสินใจลาออกจากงานและทำงานเพื่อตัวเอง เขาใช้เวลาสองสามเดือนในการพัฒนาเว็บไซต์ที่แปลงคูปองเป็นดิจิทัล เว็บไซต์นี้ดึงดูดสายตาของผู้ประกอบการรายใหญ่ ได้แก่ Martin Lorentzon และได้ซื้อบริษัทของ Ek

เขาฉลองด้วยการไปที่คลับเพื่อดู Bobbie T เพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายของเขาร้องเพลง เธอบ่นกับเขาว่าเพลงของเธอถูกนำไปปล่อยในไซต์ torrent ผิดกฎหมายที่เรียกว่า Pirate Bay มันทำให้ Ek เกิดไอเดีย ซึ่งเขาเสนอ Lorentzon จะสร้างบริการเพื่อเอาชนะ Pirate Bay โดยให้บริการสตรีมเพลงที่รวดเร็ว เพลงฟรีสำหรับผู้ใช้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “Spotify” ที่จะพลิกอุตสาหกรรมเพลงไปตลอดกาล

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3fdcxkq

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3TK072f

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3W7vJR9

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3gIdQbj

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/8IgGtyTVPQo