ตัวเร่งวิกฤตสุขภาพจิตเด็ก เมื่อโรงเรียนรัฐในอเมริกาเตรียมล่ารายชื่อฟ้อง Meta,Google และ TikTok

มันได้กลายเป็นปัญหาไปทั่วโลกเสียแล้วนะครับ สำหรับวิกฤตสุขภาพจิตของเด็กวัยรุ่น ที่กำลังหลงอยู่ในโลกเครือข่ายโซเชียลมีเดีย โดยมีรายงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมากมายที่พบว่าสิ่งเหล่านี้กำลังสร้างหายนะให้เกิดขึ้นกับเด็ก

ในขณะนี้เหล่าโรงเรียนในระบบรัฐของสหรัฐอเมริกา ที่นำโดยเขตการศึกษาของรัฐแมรี่แลนด์ กำลังเตรียมฟ้องร้อง Meta ,Google , Snap และ TikTok เนื่องจากมีส่วนทำให้เกิด “วิกฤตสุขภาพจิต” ในหมู่นักเรียน

โดยคดีที่ฟ้องร้องโดย Howard County Public School System อ้างว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ดำเนินการโดยบริษัทเหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ “เสพติดและอันตราย” ซึ่งได้ “ให้รางวัล” กับวิธีที่เด็ก ๆ “คิด รู้สึก และประพฤติ”

คดีดังกล่าวได้อ้างถึงปัญหาใน Instagram , Facebook , Youtube, Snapchat และ TikTok ที่กำลังทำร้ายเด็กซึ่งเป็นอนาคตของชาติ และยังถูกกล่าวหาว่า ในแต่ละแอปมีการกระตุ้นโดพามีน โดยเสนอรางวัลเป็นเหยื่อล่อ

ตัวอย่างเช่น หน้า For You ของ TikTok ซึ่งใช้ประโยชน์จากข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของผู้ใช้เพื่อนำเสนอเนื้อหาแนะนำที่ไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนี้ยังกล่าวถึงอัลกอริธึม recommendation ของ Facebook และ Instagram เป็นคุณสมบัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างรูปแบบที่อันตรายของการใช้ผลิตภัณฑ์ซ้ำ ๆ และมากเกินไป

แพลตฟอร์ม Social Media ส่วนใหญ่ที่ออกแบบมาหลอกล่อกลุ่มเด็ก ๆ (CR:Theinvestor)
แพลตฟอร์ม Social Media ส่วนใหญ่ที่ออกแบบมาหลอกล่อกลุ่มเด็ก ๆ (CR:Theinvestor)

นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่าแต่ละแพลตฟอร์มส่งเสริม การเปรียบเทียบทางสังคมที่ไม่ดีต่อสุขภาพจิตของเด็กเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของร่างกายและความผิดปรกติทางร่างกายและจิตใจที่เกี่ยวข้องกับเด็ก

รวมถึงส่วนอื่น ๆ ที่คดีได้กล่าวถึงส่วนของการควบคุมโดยผู้ปกครองที่มีความบกพร่องของแต่ละแอป รวมถึงปัญหาเรื่องความปลอดภัยที่อ้างว่าส่งเสริมการแสวงหาประโยชน์ในเรื่องทางเพศกับเด็ก

“ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จำเลยได้ดำเนินกลยุทธ์การเติบโตโดยไม่ลดละค่าใช้จ่ายใด ๆ โดยไม่สนใจผลกระทบของผลิตภัณฑ์ที่มีต่อสุขภาพจิตและร่างกายของเด็ก” คำฟ้องระบุ “ในการแข่งขันเพื่อแย่งชิงตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล แต่ไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ กับผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่น จำเลยแต่ละคนได้ออกแบบคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์เพื่อส่งเสริมการใช้งานซ้ำ ๆ และควบคุมไม่ได้โดยเด็ก”

การตอบโต้จากจำเลย

“เราได้ลงทุนในเทคโนโลยีค้นหาและลบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตาย การทำร้ายตัวเอง หรือผิดปรกติของการกิน ก่อนที่จะมีการรายงานจากผู้ใช้เสียด้วยซ้ำ” Antigone Davis หัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยของ Meta กล่าวในแถลงการณ์

“สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่ซับซ้อน แต่เราจะทำงานร่วมกับผู้ปกครอง ผู้เชี่ยวชาญ และหน่วยงานกำกับดูแลต่อไป เช่น อัยการสูงสุดของรัฐ เพื่อพัฒนาเครื่องมือ ฟีเจอร์ และนโยบายการใช้งานใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของวัยรุ่นและครอบครัวของพวกเขา”

Google ได้ออกมาปฏิเสธข้อหาดังกล่าวที่ระบุไว้ในคดี โดย Jose Castaneda โฆษกของบริษัทที่ได้ออกมาแถลงการณ์ว่า “ด้วยความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก เราได้สร้างประสบการณ์ที่เหมาะสมกับวัยสำหรับเด็กและครอบครัวบน Youtube และให้เครื่องมือในการควบคุมที่มีประสิทธิภาพแก่ผู้ปกครอง”

ในขณะเดียวกับ Peter Boogaard โฆษกของ Snap กล่าวว่า “บริษัทได้ตรวจสอบเนื้อหาทั้งหมดก่อนที่จะเข้าถึงผู้ชมจำนวนมาก ซึ่งช่วยป้องกันการโปรโมตและการค้นพบเนื้อหาที่อาจเป็นอันตราย”

ในขณะที่ ByteDance เจ้าของ TikTok ยังไม่ตอบสนองต่อเรื่องการฟ้องร้องดังกล่าว

ทางออกคือกฎหมาย

เหล่านักวิจารณ์ให้ความสนใจกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสื่อสังคมออนไลน์ต่อเด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ Frances Haugen อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ Facebook ได้ออกมาแฉผ่านสื่อ

ซึ่งทาง Haugen ระบุว่า Facebook รู้อยู่เต็มออกว่าแพลตฟอร์มสร้างปัญหาในสังคม ทั้งข้อความแสดงความเกลียดชัง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตในเด็ก แต่ Facebook ไม่ยอมจัดการเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพราะเกรงว่ายอด Engagement จะลดลง หรือเลือกผลประโยชน์มากกว่าความปลอดภัยในการใช้งาน

ซึ่ง Haugen บอกว่าต้นตอของปัญหาเริ่มในปี 2018 ที่ Facebook เริ่มใช้อัลกอริธึมแบบใหม่ เริ่มที่จะควบคุมการมองเห็เนื้อหาในแพลตฟอร์ม เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมหรือ Engagement ซึ่งบริษัทพบว่าการมีส่วนร่วมที่ดีที่สุดคือการปลูกฝังความกลัวและความเกลียดชังในหมู่ผู้ใช้งาน

Frances Haugen อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ Facebook ได้ออกมาแฉผ่านสื่อ (CR:Rolling Stone)
Frances Haugen อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ Facebook ได้ออกมาแฉผ่านสื่อ (CR:Rolling Stone)

 Dr. Vivek Murthy ศัลยแพทย์ทั่วไปของสหรัฐฯ ได้ออกคำแนะนำว่า “สื่อสังคมออนไลน์มีความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กและวัยรุ่น”

บางรัฐของอเมริกาได้ตอบสนองต่อปัญหาด้านความปลอดภัยที่เกิดจากสื่อสังคมออนไลน์โดยการออกกฎหมายที่ปกป้องไม่ให้เด็ก ๆ ลงชื่อเพื่อสมัครใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ รัฐยูทาห์จะห้ามไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีใช้โซเชียลมีเดียโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง

ในปีหน้ารัฐอาร์คันซอได้ออกกฎหมายที่คล้ายคลึงกันเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะลงชื่อสมัครใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ ในขณะเดียวกันกฎหมายความปลอดภัยทางออนไลน์ระดับประเทศบางฉบับอาจใช้ระบบตรวจสอบที่รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเด็ก แม้จะมีคำเตือนจากกลุ่มผู้ปกป้องสิทธิเสรีภาพและความเป็นส่วนตัวก็ตาม

บทสรุป

เรียกได้ว่าแทบจะเป็นครั้งแรกที่สถาบันการศึกษาเริ่มออกมาหาวิธีปกป้องเยาวชนจากปัญหาเรื่องสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ทั้งหลาย ซึ่งแสดงว่าพวกเขาได้มองเห็นผลกระทบของปัญหานี้จริง ๆ ภายในสถานศึกษาที่เกิดขึ้นบ่อยจนต้องออกมาฟ้อง

เมื่ออินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายสังคมออนไลน์เหล่านี้ ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ใหญ่ ทำให้นโยบายของรัฐ กฎหมาย และกลไกที่ใช้กำกับดูแลของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้นยังไม่ปกป้องเด็กมากเพียงพอ หรืออาจะถูกมองข้ามไป

แพลตฟอร์มที่เป็น Global แทบจะทั้งหมดที่ถูกกล่าวหานั้น แน่นอนว่าพวกเขาต้องรีดศักยภาพทุกอย่างเพื่อสร้างรายได้สูงสุดให้กับพวกเขา และเน้นไปที่การเติบโตเพื่อให้เหล่านักลงทุนพอใจ

แต่การเติบโตนั้นสวนทางกับปัญหาสังคม ที่เต็มไปด้วยสิ่ง Toxic โดยเฉพาะกับเด็ก มันมีทางเลือกไม่มากสำหรับรัฐบาลทั่วโลก หรือแม้กระทั่งรัฐบาลในประเทศไทยเอง ที่ต้องมีความจริงจังในการออกกฎหมายเพื่อมาจัดการสิ่งเหล่านี้ เพราะเด็กคือผู้ใหญ่ในวันหน้า และเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศในยุคหน้า ซึ่งหากไม่แก้อย่างจริงจัง จะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาวได้อย่างแน่นอนครับผม

References :
https://www.theverge.com/2023/6/2/23746904/maryland-school-meta-google-tiktok-snap-lawsuit
https://www.theverge.com/22740969/facebook-files-papers-frances-haugen-whistleblower-civic-integrity
https://www.blognone.com/node/125084
https://blogs.lse.ac.uk/medialse/2017/06/28/digital-media-challenge-childrens-rights-around-the-world-the-case-for-a-general-comment-on-the-un-convention-on-the-rights-of-the-child/
https://vator.tv/news/2022-11-09-the-impact-of-social-media-on-children-who-is-responsible-for-making-sure-theyre-safe

แพลตฟอร์ม Diia กับการปฏิวัติระบบราชการของยูเครนเพื่อการเป็น GovTech ต้นแบบของโลก

ผู้คนหลายพันคนรวมตัวกันที่ Warner Theatre ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อร่วมงานพิเศษที่อุทิศให้กับ Diia แพลตฟอร์มรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับรางวัลของยูเครน

“ชาวยูเครนไม่เพียงแต่ต้องต่อสู้กับสงครามเพียงเท่านั้น ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้สร้างอนาคตของประชาธิปไตย” Samantha Power ผู้บริหารของ USAID (องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา) กล่าวในงานประกาศรางวัล

เมื่อ 3 ปีที่แล้ว กระทรวงดิจิทัลของยูเครนที่นำโดย Mykhailo Fedorov ได้เปิดตัวแอปเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของภาคเอกชนและรัฐบาลได้ผ่านมือถือ

ต้องบอกว่าเป็นเคสการปฏิวัติทางดิจิทัลของรัฐบาลยูเครนที่น่าสนใจมาก ๆ ด้วยแพลตฟอร์ม Diia ทำให้ประชาชนชาวยูเครนสามารถเข้าถึงบริการรัฐในรูปแบบดิจิทัลที่พลเมืองสหรัฐฯ ทำได้เพียงแค่ฝันถึงได้

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการข้ามพรมแดน การขอใบอนุญาตก่อสร้าง และการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ แพลตฟอร์มดังกล่าวยังลดโอกาสในการเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นด้วยการขจัดระบบราชการที่ซ้ำซ้อน ที่ต้องมีการจ่ายส่วย ยัดเงินใต้โต๊ะให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ และยังช่วยให้รัฐบาลยูเครนตอบสนองต่อวิกฤติต่าง ๆ เช่น การระบาดใหญ่ของโควิดและการรุกรานของรัสเซีย

“มรดกของสหภาพโซเวียตคือการคอรัปชั่น ถ้าคุณต้องการขอใบอนุญาตก่อสร้างหรือเปลี่ยนทะเบียนรถ คุณต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ แต่ Diia กำจัดสิ่งนั้นออกไป” Fedorov กล่าว

“เราทำตัวเหมือนสตาร์ทอัพมากกว่า ไม่ใช่บริษัทภาครัฐ” Federov กล่าวโดยสนับสนุนวัฒนธรรมการจัดการที่คล่องตัว ซึ่งนำโดยนักพัฒนาเพียง 25 คนเท่านั้น

“เรามองไปที่ Uber, Airbnb, Booking.com, ธนาคารบนมือถือ คุณสามารถพูดคุยเกี่ยวกับการศึกษาด้านดิจิทัล แต่ต้องดูว่าผู้สูงอายุคุ้นเคยกับเทคโนโลยีอย่างไร พวกเขาอาจบอกว่าไม่ต้องการทำธุรกรรมกับธนาคารทางออนไลน์ แต่พวกเขาใช้ WhatsApp เพื่อส่งโปสการ์ดตลกๆ ให้ลูกหลานได้อย่างรวดเร็ว” เขากล่าว

Mykhailo Fedorov รัฐมนตรีดิจิทัลและรองนายกของยูเครน (CR:ukranews)
Mykhailo Fedorov รัฐมนตรีดิจิทัลและรองนายกของยูเครน (CR:ukranews)

ตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ 2022 แพลตฟอร์ม Diia มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการตอบสนองของยูเครนต่อการรุกรานอย่างเต็มรูปแบบของรัสเซีย

ในวันแรกของการโจมตี แพลตฟอร์มดังกล่าวทำให้สามารถจัดเตรียมเอกสารการอพยพพร้อมกับความสามารถในการรายงานความเสียหายต่อทรัพย์สิน

มีการพัฒนาฟีเจอร์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ฟังก์ชั่น e-enemy ช่วยให้ผู้อาศัยในยูเครนสามารถรายงานตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของกองทัพรัสเซียได้

ฟังก์ชั่นวิทยุและโทรทัศน์ช่วยแจ้งให้ผู้ที่ถูกตัดขาดจากโครงสร้างพื้นฐานของสื่อดั้งเดิม (วิทยุ/โทรทัศน์) หรือในพื้นที่ที่โครงสร้างพื้นฐานการออกอากาศได้รับความเสียหายหรือถูกทำลายสามารถรับรู้ข้อมูลจากภาครัฐได้

ต้นแบบ GovTech

ปัจจุบันต้องบอกว่า Diia พัฒนาไปไกลยิ่งกว่าแนวคิดของ e-government ที่มีการใช้งานในหลายประเทศ

Diia นำเสนอหนังสือเดินทางดิจิทัลเล่มแรกของโลก และ สามารถเข้าถึงเอกสารดิจิทัลอื่น ๆ อีก 14 ฉบับ พร้อมบริการสาธารณะ 25 รายการ

แอปนี้ได้รับการติดตั้งบนโทรศัพท์มือถือของชาวยูเครนประมาณ 70% และพลเมือง 19 ล้านคน หรือ ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด เข้าถึงบริการต่าง ๆ ของรัฐและเอกชนได้กว่า 100 รายการ

นอกจากฟังก์ชั่นที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มประชากรทั่วไปแล้ว ระบบยังรวบรวมข้อมูลสำหรับสำนักงานสถิติแห่งชาติและทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับเจ้าหน้าที่

Diia ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นแพลตฟอร์มรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ยุคหน้าแห่งแรกของโลก และได้รับการยกย่องจากการนำสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นรูปแบบการบริการของรัฐบาลที่มีลักษณะแบบ human-centric มากยิ่งขึ้น

เรียกได้ว่าเป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสอย่างแท้จริงของรัฐบาลยูเครน เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน

แต่เดิมนั้นรัฐบาลพบว่ามีระบบที่แยกจากกันจำนวนมาก โดยแต่ละระบบจะอิงตามฐานข้อมูลของตนเอง ทำให้ผู้คนประสบปัญหาจากระบบราชการ และจำเป็นต้องติดต่อประสานงานกับองค์กรทางราชการต่าง ๆ ซ้ำ ๆ และบางครั้งต้องยัดเงินใต้โต๊ะเพื่อให้กระบวนการต่างๆ รวดเร็วขึ้น

โครงการริเริ่มรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาเดียวกันทั่วโลก เช่น ความเหลื่อมล้ำทางด้านเทคนิคของระบบรัฐ ความปลอดภัยของข้อมูลและระบบป้องกันข้อมูลที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

การประสานงานที่ไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการต่าง ๆ ทำให้ยูเครนเป็นประเทศแรก ๆ ที่บุกเบิกแนวทางแก้ไขปัญหาที่มีลักษณะแบบ human-centric มากขึ้นสำหรับปัญหาทั่วไปเหล่านี้

ต้องบอกว่าหนึ่งในความท้าทายหลักบนเส้นทางสู่การสร้างรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่ยั่งยืนคือ การผสานรวมระหว่างความเป็นมิตรต่อผู้ใช้เข้ากับความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับสูง

หากมองถึงดัชนีที่เกี่ยวข้อง เช่น ดัชนีบริการออนไลน์และดัชนีความปลอดภัยทางไซเบอร์พื้นฐาน มีเพียงไม่กี่ประเทศในยุโรปเท่านั้นที่สามารถบรรลุความสมดุลที่เหมาะสมได้ เช่น เอสโตเนีย เดนมาร์ก ฝรั่งเศส สเปน และลิทัวเนีย นอกเหนือจากยุโรปแล้ว ปัจจุบันมีเพียงสิงคโปร์และมาเลเซียเท่านั้นที่เป็นไปได้

ยูเครนเองมีสถิติที่แข็งแกร่งในด้านความปลอดภัย นับตั้งแต่การรุกรานของรัสเซียเริ่มขึ้น ระบบ Diia ถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยกองกำลังไซเบอร์รัสเซีย และพวกเขาสามารถต้านทานการโจมตีเหล่านี้ได้สำเร็จ

Diia ถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยกองกำลังไซเบอร์รัสเซีย (CR:news.northeastern.edu)
Diia ถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยกองกำลังไซเบอร์รัสเซีย (CR:news.northeastern.edu)

มันเป็นข้อบ่งชี้ว่าแพลตฟอร์มของยูเครนมีระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีความพร้อมสูงรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่งและปลอดภัย

ความสำเร็จของอุตสาหกรรมไอทีของยูครนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้เปลี่ยนมุมมองที่ต่างชาติมองมายังยูเครนใหม่ ซึ่งแทนที่จะถูกมองว่าเป็นผู้ส่งออกโลหะและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเป็นหลัก ปัจจุบันยูเครนถูกมองว่าเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นทางด้านเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้มากขึ้นเรื่อย ๆ

ขณะนี้กระทรวงการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลกำลังทำงานเพื่อทำให้ Diia เป็นแบบอย่างระดับโลกสำหรับ GovTech

ซึ่งจากข้อมูลของ Samantha Power หน่วยงานของยูเครนสนใจที่จะแบ่งปันประสบการณ์กับชุมชนระหว่างประเทศเพื่อให้ผู้อื่นสามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับพลเมืองของตนบนหลักการเดียวกัน

โอกาสของประเทศอื่น ๆ (รวมถึงประเทศไทย)

USAID ได้ประกาศโครงการพิเศษเพื่อสนับสนุนประเทศที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Diia เพื่อช่วยในการพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของตนเอง

โครงการริเริ่มดังกล่าวนี้จะเปิดตัวครั้งแรกในประเทศโคลอมเบีย โคโซโว และแซมเบีย ระบบ Diia ของยูเครนอาจใช้เป็นแบบอย่างทั่วโลกสำหรับการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในอนาคตอันใกล้นี้

มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับประเทศไทยเราเอง ที่จะเข้าร่วมขบวนการเปลี่ยนแปลง โดยดูโมเดลที่ประสบความสำเร็จจากยูเครนมาแล้ว

เพราะรัฐบาลที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวนี้จะสามารถลดการทุจริตที่เชื่อมโยงกับอุปสรรคของระบบราชการได้อย่างมาก ตัวอย่างระบบส่วยที่เป็นข่าวดังในประเทศไทยขณะนี้มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนมาก ๆ ว่าประเทศเรายังมีปัญหานี้ซึมลึกอยู่ในโครงสร้างของประเทศ และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศมาก ๆ และ GovTech ก็เป็นอีกวิธีแก้ไขหนึ่งที่น่าสนใจที่มีเคสของยูเครนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วเป็นตัวอย่างให้เราได้เห็นนั่นเองครับผม

References :
https://www.atlanticcouncil.org/blogs/ukrainealert/ukraines-diia-platform-sets-the-global-gold-standard-for-e-government/
https://www.theguardian.com/world/2023/may/26/meet-diia-the-ukrainian-app-used-to-do-taxes-and-report-russian-soldiers
https://www.ft.com/content/2c73dfbc-a25f-420b-bf2b-41fbb17e5ddb
https://www.kyivpost.com/post/7769
https://www.ukrweekly.com/uwwp/zelenskyy-administration-launches-state-in-a-smartphone-app/

เราจะปกป้องเด็ก ๆ จากภัยคุกคามความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างไร?

อายุเฉลี่ยของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์มือถือมีอายุน้อยลงไปเรื่อย ๆ ข้อมูลงานวิจัยที่ถูกเปิดเผยออกมาพบว่า 33% ของเด็กอายุ 12 ปีในสหรัฐอเมริกามีโทรศัพท์ใช้งานกันอยู่แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น 12% ของเด็กวัยหัดเดิน ซึ่งมีอายุเพียงแค่ 1-2 ขวบนั้น ก็ยังมีโทรศัพท์ใช้งานแล้ว มันได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของการดำรงชีวิตมนุษย์ไปเสียแล้ว และมันได้ถูกนำมาเป็นเครื่องมือที่เปรียบเสมือน “พี่เลี้ยงเด็ก” ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับเหล่าผู้ปกครองที่มีงานยุ่งมากมายในทุกวันนี้

กฎหมายของรัฐบาลเพื่อปกป้องเด็กออนไลน์

เพื่อต่อสู้กับปัญหาที่กำลังกลายเป็นประเด็นทางสังคมที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัยทางด้านออนไลน์ การกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ต (Cyberbullying)

หน่วยงานรัฐจากทั่วโลกจำนวนมากกำลังควบคุมเว็บไซต์และแอปที่อาจก่อให้เกิดอันตรายเหล่านี้ มีแอปมากมายที่ พ่อแม่ นักการศึกษา และสมาชิกสภานิติบัญญัติโดยเฉพาะของสหรัฐอเมริกา ทำการแบนอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ดี การแบนนั้นอาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะเราจำเป็นต้องทำให้สิ่งที่มีอยู่นั้นปลอดภัยต่อการใช้งาน

ในสหรัฐอเมริกามีตัวอย่างที่น่าสนใจ Gavin Newsom ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ลงนามในร่างกฎหมายฉบับแรกในประเทศเพื่อคุ้มครองข้อมูลออนไลน์ของเด็ก

หน่วยงานรัฐกำลังพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ในกรณีที่ Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook ได้ซ่อนงานวิจัยที่พิสูจน์ถึงอันตรายทางจิตใจและอารมณ์ที่ Instagram มีต่อเด็ก ๆ

Gavin Newsom ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ลงนามในร่างกฎหมายฉบับแรกในประเทศเพื่อคุ้มครองข้อมูลออนไลน์ของเด็ก (CR:Los Angeles Times)
Gavin Newsom ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ลงนามในร่างกฎหมายฉบับแรกในประเทศเพื่อคุ้มครองข้อมูลออนไลน์ของเด็ก (CR:Los Angeles Times)

ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเริ่มออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองเด็กออนไลน์ และกำหนดให้บริษัทสื่อสังคมออนไลน์รับผิดชอบต่อเนื้อหาบนแพลตฟอร์มของพวกเขา

แต่ดูเหมือนมันจะยังไม่เพียงพอ เพราะตอนนี้ยังมีข่าวพาดหัวรายวัน เกี่ยวกับการกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ต การฆ่าตัวตาย และแนวโน้มอันตรายที่เกิดขึ้นต่อเด็ก แม้กระทั่งในประเทศไทย เด็ก ๆ ก็เป็นเหยื่อของสิ่งเหล่านี้มากเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการเมือง

การศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยออนไลน์

กลุ่มคนรุ่นใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่งในทุก ๆ ช่วงวัยก็ตาม ต้องมีการศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ต และ การใช้งานที่เหมาะสมก่อนที่จะเริ่มใช้งาน

ต้องมีการตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เป็นอัตรายใด ๆ เช่น เหล่าคนแปลกหน้าหรืออาชญากรที่เข้ามาหลอกลวงเด็กผ่านเครื่องมือออนไล์ การกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะเรื่องภาพลักษณ์อันสวยหรูของร่างกายที่มาจากสื่อสังคมออนไลน์

ในบางบริษัทและองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรได้เริ่มใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยให้เด็ก ๆ เข้าใจถึงความเสี่ยงเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น โปรแกรม Be Internet Awesome ของ Google หรือ NPO ของ Cyber Angels เป็นตัวอย่างที่ดีของสิ่งเหล่านี้

มันแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีการควบคุมโดยผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นในเดสก์ท็อปหรืออุปกรณ์พกพา กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมาก

นอกจากนี้ บริษัทที่ผลิตแอปบางแห่งยังได้จัดการด้วยตัวเอง TikTok ประกาศว่า กำลังสร้างเครื่องมือเพื่อให้ผู้ปกครองสามารถบล็อกบุตรหลานไม่ให้เข้าถึงเนื้อหาด้วยแฮชเแท็กหรือคีย์เวิร์ดเฉพาะ ในขณะที่ Instagram ได้เพิ่มฟีเจอร์การควบคุมโดยผู้ปกครอง เช่น “Quiet Mode” เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้หยุดพักจากหน้าจอไปทำอย่างอื่น

TikTok ที่เพิ่มเครื่องมือการควบคุมของผู้ปกครอง (CR:Lifewire)
TikTok ที่เพิ่มเครื่องมือการควบคุมของผู้ปกครอง (CR:Lifewire)

แอปที่ควบคุมโดยผู้ปกครอง

แอปที่ควบคุมโดยผู้ปกครองโดยตรงนั้น เป็นหนึ่งในเครื่องมือความปลอดภัยทางออนไลน์ที่ดีที่สุดสำหรับเยาวชน ซึ่งส่วนใหญ่นั้นอนุญาตให้มีการบล็อกผู้ติดต่อที่ไม่รู้จักไม่ให้เข้าถึงบุตรหลานของคุณได้

แอปสามารถที่จะตรวจสอบได้ว่ามีการใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ เช่น แอปควบคุมโดยผู้ปกครองของ FamilyKeeper ที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้เช่นกัน

แนวคิดเบื้องหลังของแอปเหล่านี้คือมอบเครื่องมือแก่ผู้ปกครองเพื่อให้เด็ก ๆ ได้สำรวจโลกดิจิทัลอย่างปลอดภัย หลัก ๆ คือการให้ลูก ๆ ของคุณสามารถเรียนรู้สิ่งที่ยอมรับได้ทางออนไลน์ ไม่ว่าจะในแง่ของคำพูด พฤติกรรม มารยาท และกิจกรรมต่างๆ จนกว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์มากพอที่จะจัดการได้โดยไม่ต้องมีเครื่องมือเหล่านี้

ความต้องการของเด็กแต่ละช่วงวัยนั้นมีความแตกต่างกัน เด็กในช่วงหัดเดินก็ไม่เหมือนกับกลุ่มเด็กวัยรุ่น การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว การตรวจสอบเวลาที่อยู่กับหน้าจอ การแจ้งเตือนถึงตำแหน่งผู้ใช้ และการบล็อกแอป ทั้งหมดนี้สามารถปรับให้เข้ากับอายุของบตรหลานและความต้องการของบุตรหลานในแต่ละช่วงวัยได้

บทสรุป

เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก ๆ ของรัฐบาลทั่วโลก แม้กระทั่งรัฐบาลไทยเอง หน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่่น ๆ ควรที่จะมีปฏิรูปในเรื่องนี้อย่างจริงจัง

มันน่าสนใจนะครบ ประเด็นที่สำคัญมาก ๆ เช่นนี้ กลับมีการยกขึ้นมาถกเถียงหรือมีการพูดถึงในนโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ น้อยมาก ทั้งที่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ กับเยาวชนในประเทศ และอนาคตของประเทศเรา

มันกลายเป็นเรื่องราวดังกล่าวถูกผลักภาระไปให้กับผู้ปกครอง ซึ่ง แน่นอนว่ามีความหลากหลาย มีความแตกต่างกันตามกำลังทรัพย์ หรือ วิธีการเลี้ยงดูของแต่ละคนที่มีความแตกต่างกันไป

ซึ่งผมมองว่า มันควรถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐาน หรือผลักดันให้เป็นกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเสียด้วยซ้ำ ที่แทบไม่ต่างจากนโยบายในการยกระดับมาตรฐานการศึกษาของประเทศ เพราะเรื่องราวเหล่านี้ มีผลอย่างยิ่งต่ออนาคตของประเทศเราโดยเฉพาะกับบุตรหลานของพวกเราในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
https://www.pexels.com/photo/kids-sitting-back-to-back-using-smartphone-9785008/
https://www.commonsensemedia.org/articles/how-do-i-protect-my-young-child-from-cyberbullying
https://www.fastcompany.com/90898191/how-do-we-protect-kids-from-cybersecurity-threats
https://www.chubb.com/us-en/individuals-families/resources/how-to-protect-your-family-from-cyberbullies.html
https://www.gov.ca.gov/2022/09/15/governor-newsom-signs-first-in-nation-bill-protecting-childrens-online-data-and-privacy/
https://research.com/education/what-age-should-a-child-get-a-smartphone

CHIP WAR ศัตรูของศัตรูคือมิตรกับเส้นทางการเติบโตในอุตสาหกรรมชิปของเกาหลีใต้

หลังสงครามโลกครั้งที่สองสหรัฐอเมริกาได้สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงหลังสงครามของญี่ปุ่นให้กลายเป็นประเทศเจ้าตลาดของอุปกรณ์ทรานซิสเตอร์ 

องค์กรธุรกิจของสหรัฐฯ ได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ให้กับนักฟิสิกส์ชาวญี่ปุ่น ในขณะที่ผู้กำหนดนโยบายในวอชิงตันได้ทำการรับรองว่าบริษัทญี่ปุ่นอย่าง Sony สามารถที่จะเข้ามาค้าขายในตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างเสรี

จุดมุ่งหมายในการเปลี่ยนประเทศญี่ปุ่นให้เป็นประเทศแห่งนายทุนประชาธิปไตยเริ่มทำงาน แต่ชาวอเมริกันบางคนถามว่ามันทำงานได้ดีเกินไปหรือไม่ กลยุทธ์การเพิ่มศักยภาพธุรกิจของญี่ปุ่นดูเหมือนจะบ่อนทำลายความได้เปรียบทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของอเมริกาในท้ายที่สุด

นั่นเองที่ทำให้อเมริกาต้องมองหาทางเลือกใหม่โดยเล็งไปที่ประเทศอย่างเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเทศที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่ได้รับผลกระทบในเชิงบวกจากการไปตั้งฐานการผลิตชิปของอเมริกา

หากย้อนกลับไปยุคหลังสงครามโลก มันแทบจินตนาการไม่ออกเลยว่าเกาหลีใต้ในยุคนั้นสภาพแย่ขนาดไหน บ้านเมืองเต็มไปด้วยซากปรักหักพังจากสงคราม ผู้คนก็ไร้ซึงการศึกษา พวกเขาต้องเจอกับการยึดครองแบบกดขี่มาอย่างยาวนาน ไม่สามารถที่จะปลดแอกตัวเองออกมาได้

แต่ทว่าจุดเปลี่ยนก็คือหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่สหรัฐอเมริกาเริ่มเข้าไปมีบทบาท ซึ่งเมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าไปช่วยเหลือประเทศไหนก็มีส่วนในการเข้าไปพัฒนาประเทศนั้นๆ ตามไปด้วย

Lee Byung-Chul ผู้ก่อตั้งซัมซุงซึ่งแต่เดิมทีทำธุรกิจเล็กๆ เป็นธุรกิจค้าของชำ ปลาแห้ง หรือแม้กระทั่งขายผักโดยเป็นการนำผลผลิตจากเกาหลีและส่งไปยังจีนตอนเหนือเพื่อป้อนให้กับเหล่าทหารญี่ปุ่นในช่วงยุคสงครามเกาหลี

เกาหลีเป็นประเทศที่ยากจนไม่มีอุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยีอะไรเลย แต่ Lee เองมีความฝันที่จะสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศของพวกเขา

Lee ได้เริ่มขยายธุรกิจหลังสงครามโดยที่ทำสิ่งต่างๆเพื่อผลประโยชน์ของประเทศทำให้เหล่านักการเมืองก็หันมาสนับสนุน Lee ในการผลักดันให้กิจการของเขาเติบโตขึ้น ขยายธุรกิจไปตั้งแต่การแปรรูปหนัง สิ่งทอ ปุ๋ย การก่อสร้าง การธนาคาร รวมถึงธุรกิจด้านประกันภัย

ซึ่งตอนนั้นเศรษฐกิจของเกาหลีก็เริ่มเฟื่องฟูในช่วงปี 1960 และปี 1970 แต่ Lee มีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นต้องการที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยเขาได้เฝ้าดูบริษัทยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นโตชิบาและฟูจิตสึซึ่งครองตลาดชิป DRAM ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 และต้นทศวรรษที่ 1980

สถานการณ์ในเกาหลีใต้เองก็คล้ายๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นยุคสร้างชาติขึ้นมาใหม่ นั่นก็คือทางสหรัฐอเมริกาก็ได้ให้ทุนสนับสนุนในการสร้างสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเกาหลี ชาวเกาหลีจำนวนมากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐหรือได้รับการฝึกอบรมในเกาหลีโดยอาจารย์ที่มีการศึกษาในสหรัฐฯ

แม้ว่าการที่จะก้าวข้ามจากประเทศยากจนไปเป็นประเทศที่ใช้แรงงานทักษะสูงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าการผลิตชิปเป็นเรื่องที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเป็นอย่างมาก แต่ว่า Lee เองก็ไม่เคยย่อท้อ

ในปี 1982 เขาได้ไปเยี่ยมชมโรงงานของ Hewlett Packard (HP) แล้วก็ประหลาดใจมากกับเทคโนโลยีของบริษัทซึ่งหาก HP สามารถเติบโตจากอู่ซ่อมรถไปสู่ยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีได้ แน่นอนว่าร้านขายปลาและผักอย่างซัมซุงก็ สามารถทำได้เช่นกันเพราะว่าหากเข้าไปสู่อุตสาหกรรมชั้นสูงอย่างเซมิคอนดักเตอร์พวกเขาก็สามารถเปลี่ยนสภาพกลายมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงได้ เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น

Bill Hewlett and Dave Packard สร้าง HP ขึ้นมาจากโรงรถ (CR : Kid News)
Bill Hewlett and Dave Packard สร้าง HP ขึ้นมาจากโรงรถ (CR : Kid News)

การที่ฝันของ Lee จะเป็นจริงก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลแน่นอนว่าเงินทุนเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ด้วยความที่มีคอนเนคชั่นที่ดีมากๆ กับหน่วยงานรัฐบาลอยู่แล้วทางรัฐบาลก็ยืนยันที่จะสนับสนุน Lee ในการเดิมพันในการผลิตชิปของซัมซุง และถือเป็นการเดิมพันในการสร้างชาติใหม่สู่ยุคความรุ่งเรืองอีกด้วย

สถานการณ์ของการแข่งขันธุรกิจชิปกับญี่ปุ่นทำให้อเมริกามองว่าเกาหลีน่าจะเป็นพันธมิตรที่มีศักยภาพมากๆ เพราะว่าพวกเขามีแรงงานที่ต้นทุนต่ำกว่าทางญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ซึ่งในท้ายที่สุดเกาหลีก็อาจจะตัดราคาเหล่าผู้ผลิตชาวญี่ปุ่น

Intel เองก็เริ่มที่จะสนับสนุนให้ผู้ผลิต DRAM ของเกาหลีลุกขึ้นมาต่อสู้ซึ่งเป็นการนำโดยซัมซุงนั่นเอง โดยมีการสร้างกิจการร่วมค้ากับทางซัมซุงขายชิปที่ซัมซุงผลิตภายใต้แบรนด์ของ Intel และยังช่วยเหลืออุตสาหกรรมชิปของเกาหลีรวมถึงลดภัยคุกคามของญี่ปุ่นต่อซิลิคอนวัลเลย์

ในเรื่องต้นทุนที่เกาหลีได้เปรียบญี่ปุ่นอยู่แล้ว ดังนั้นบริษัทเกาหลีอย่างซัมซุงก็มีโอกาสที่จะชนะในการแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดได้

ฝั่งสหรัฐอเมริกาไม่ได้เป็นเพียงแค่ตลาดสำหรับชิป DRAM ของเกาหลีใต้เท่านั้นเพราะว่าผู้ผลิตในซิลิคอนวัลเลย์เองก็มีการส่งต่อเทคโนโลยีให้กับซัมซุงด้วย เพราะว่าตอนนั้นมีการแข่งขันจากญี่ปุ่นเอง ทำให้บริษัทอเมริกันส่วนใหญ่ใกล้จะล่มสลายเต็มทีจึงได้ถ่ายโอนเทคโนโลยีชั้นสูงไปยังเกาหลี

Lee จึงได้ออกใบอนุญาตการออกแบบสำหรับชิป 64K DRAM ของ Micron ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพหน่วยความจำซึ่งตอนนั้นขาดเงินทุนเป็นอย่างมาก  ซึ่งมันเป็นทางลัดที่สำคัญมากๆของซัมซุงในการก้าวขึ้นมากลายเป็นมหาอำนาจทางด้านเซมิคอนดักเตอร์ แถมมันเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวของทางสหรัฐอเมริการวมถึงบริษัทในซิลิคอนวัลเลย์

Micron ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพหน่วยความจำซึ่งตอนนั้นขาดเงินทุนเป็นอย่างมาก (CR: MarketWatch)
Micron ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพหน่วยความจำซึ่งตอนนั้นขาดเงินทุนเป็นอย่างมาก (CR: MarketWatch)

พวกเขายินดีที่จะร่วมงานกับบริษัทเกาหลีเพื่อช่วยตัดราคาคู่แข่งจากญี่ปุ่นและช่วยทำให้เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตชิปหน่วยความจำชั้นนำของโลก รวมถึงความตึงเครียดทางด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯกับญี่ปุ่นทำให้เกาหลีใต้ได้รับผลประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ไปเต็ม ๆ

ทางวอชิงตันเองก็ขู่จะเก็บภาษีเพิ่มเติมจากบริษัทของญี่ปุ่น เว้นแต่ทางญี่ปุ่นจะยุติการทุ่มตลาดนั่นก็คือการขายชิป DRAM ราคาถูกในตลาดสหรัฐอเมริกา

ในปี 1986 ทางญี่ปุ่นก็ตกลงที่จะจำกัดการขายชิปไปยังสหรัฐฯ แล้วก็สัญญาว่าจะไม่ขายในราคาที่ต่ำซึ่งเป็นการเปิดช่องให้บริษัทเกาหลีขายชิป DRAM ได้มากขึ้นในราคาที่สูงขึ้น พร้อมการเติบโตแบบก้าวกระโดดของเกาหลี

แม้ชาวอเมริกันจะไม่ได้ตั้งใจให้ข้อตกลงดังกล่าวเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเกาหลีแต่ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็รู้สึกดีมากกว่าที่ได้เห็นใครก็ตามที่ไม่ใช่ญี่ปุ่นผลิตชิปที่พวกเขาต้องการ

ซึ่งตรรกะทั้งหมดทั้งมวลมันเป็นที่เข้าใจได้ง่ายมากๆ ดังที่ Jerry Sanders ผู้ก่อตั้ง AMD บริษัทชิปชั้นนำของโลกในปัจจุบัน ได้อธิบายปรากฏการณ์เรื่องนี้ไว้ว่า “ศัตรูของศัตรูก็คือมิตรของฉัน” นั่นเองครับผม

References :
เรียบเรียงจากหนังสือ Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology โดย Chris Miller
https://knowledgegeekss.wordpress.com/2013/07/23/lee-byung-chul-founder-of-samsung-group/

Russia x Tech Industry รัสเซียทำลายล้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของประเทศตัวเองอย่างไร

เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่การรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบเริ่มต้นขึ้น มีพลเรือนเสียชีวิตมากกว่า 8,300 รายและจำนวนยังเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เหล่าพนักงานด้านเทคโนโลยีก็ได้ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังเพื่อหนีออกจากรัสเซีย

ตามตัวเลขของรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีประมาณ 100,000 คนหนีออกจากรัสเซียในปี 2022 หรือประมาณ 10% ของพนักงานด้านเทคโนโลยีทั้งหมด

รัสเซียได้ตัดขาดจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก การวิจัย เงินทุน การแลกเปลี่ยนทางวิทยาศาสตร์ ในขณะเดียวกัน Yandex หนึ่งในความสำเร็จด้านเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทได้เริ่มแยกส่วนบริษัทและขายธุรกิจให้กับ VKontakte (VK) ซึ่งเป็นคู่แข่งที่ควบคุมโดยบริษัทของรัฐ

ในรัสเซีย เทคโนโลยีเป็นหนึ่งในไม่กี่ภาคส่วนที่ผู้คนรู้สึกว่าสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยความสามารถของตัวเองอย่างแท้จริงโดยไม่ใช้เส้นสาย

ผู้ประกอบการชาวรัสเซียได้รับเงินทุนระหว่างประเทศและทำข้อตกลงไปทั่วโลก ในช่วงเวลาหนึ่ง ดูเหมือนว่าเครมลินจะยอมรับการเปิดกว้างนี้เช่นกัน โดยเชิญชวนให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในรัสเซียเพิ่มมากขึ้นผ่านนโยบายของพวกเขา

แต่รอยร้าวในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของรัสเซียเริ่มปรากฏขึ้นก่อนสงคราม เป็นเวลากว่าทศวรรษแล้วที่รัฐบาลพยายามทำให้อินเทอร์เน็ตของรัสเซียและบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของรัสเซียตกอยู่ในภาวะความเสี่ยง โดยเริ่มคุกคามอุตสาหกรรมที่เคยมองว่าจะนำประเทศไปสู่อนาคต

“ผู้นำรัสเซียเลือกแนวทางการพัฒนาประเทศที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง” Ruben Enikolopov ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่ง Barcelona School of Economics และอดีตอธิการบดี Russia’s New Economic School กล่าว 

Ruben Enikolopov ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่ง Barcelona School of Economics และอดีตอธิการบดี Russia’s New Economic School  (CR:Econs.online)
Ruben Enikolopov ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่ง Barcelona School of Economics และอดีตอธิการบดี Russia’s New Economic School (CR:Econs.online)

การแยกธุรกิจได้กลายเป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์ เขากล่าวว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไม่ได้ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย แต่เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ

Enikolopov กล่าวว่าระหว่างปี 2015 ถึง 2021 ภาคส่วนไอทีในรัสเซียคิดเป็นหนึ่งในสามของการเติบโตของ GDP ของประเทศ โดยสูงถึง 3.7  ล้านล้านรูเบิล (47.8 พันล้านดอลลาร์)

ในปี 2021 แม้ว่าจะคิดเป็นเพียง 3.2% ของ GDP ทั้งหมด แต่ Enikolopov กล่าวว่า ในขณะที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังถอยหลังซึ่งจะส่งให้เศรษฐกิจของรัสเซียอย่างแน่นอน “ผมคิดว่านี่อาจเป็นหนึ่งในผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตของรัสเซีย” เขากล่าว 

เมื่อคลังสมองด้านไอทีเริ่มไหลออก

บรรยากาศตึงเครียดในสำนักงาน Yandex ที่สร้างด้วยอิฐสีแดงและผนังกระจกทางตอนใต้ของกรุงมอสโกเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งเป็นวันที่รัสเซียรุกรานยูเครนเริ่มต้นขึ้น

Anastasiia Diuzharden ซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดเนื้อหาของ Yandex Business ก็อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่เธอบอกว่าเธอเห็นคนไม่กี่คนที่ทำงานอยู่ พื้นที่สูบบุหรี่ของอาคารมีคนมากกว่าปกติถึงห้าเท่า พนักงานบางคนเดินทางออกนอกประเทศในวันเดียวกันเมื่อข่าวการบุกรุกแพร่สะพัดไปทั่วสำนักงาน

Diuzharden และเพื่อนร่วมงานของเธอก็ถูกเรียกตัวไปประชุมประจำสัปดาห์ที่ “khural,” ที่นั่น Tigran Khudaverdyan กรรมการบริหารและรอง CEO ของ Yandex ให้ความมั่นใจกับพวกเขาว่าบริษัทจะดำเนินธุรกิจต่อไป

Tigran Khudaverdyan กรรมการบริหารและรอง CEO ของ Yandex (CR:Banks.am)
Tigran Khudaverdyan กรรมการบริหารและรอง CEO ของ Yandex (CR:Banks.am)

Yandex เป็นบริษัทที่สร้างความภาคภูมิใจในรัสเซีย ดำเนินการทั่วโลก โดยส่วนหนึ่งของบริษัทจดทะเบียนในประเทศเนเธอร์แลนด์ วิศวกรของบริษัทประสบความสำเร็จในการแข่งขันกับบริษัทอเมริกัน

Yandex มีส่วนแบ่งในตลาดการค้นหาของรัสเซียมากกว่า Google และมีบริการกว่า 90 รายการที่ครอบงำโลกดิจิทัลของรัสเซีย หนึ่งในนั้นคือ Zen แพลตฟอร์มเนื้อหา และแพลตฟอร์มรวมข่าว Yandex News ซึ่งชาวรัสเซียจำนวนมากใช้ในการเริ่มต้นวันใหม่ทางออนไลน์ 

ในช่วงหลายสัปดาห์หลังจากรัสเซียบุกยูเครน มีผู้คนมากถึง14 ล้านคนต่อวันเข้าไปที่ Yandex News แต่แทนที่จะอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการเสียชีวิตและการทำลายล้างพลเรือนของยูเครน แต่เนื้อหาข่าวส่วนใหญ่กลับบอกว่าผู้ปลดปล่อยชาวรัสเซียกำลังทำลายล้างยูเครน 

ข้อมูล ประมาณ 70% ใน Yandex News มาจากแหล่งที่มาของสื่อที่ควบคุมโดยรัฐซึ่งผลักดันการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐปราบปรามสื่ออิสระของรัสเซียเป็นเวลานานนับทศวรรษ

แต่การปฏิบัติตามทางการรัฐของ Yandex ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย สามสัปดาห์หลังการรุกราน Khudaverdyan ถูกสหภาพยุโรปลงโทษฐานปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสงครามจากสาธารณะจนเขาต้องก้าวลงจากตำแหน่ง สี่วันต่อมา หุ้น Yandex ถูกหยุดไม่ให้ซื้อขายบน Nasdaq 

มีการประเมินว่ามีพนักงานมากถึงหนึ่งในสามของจำนวนพนักงานทั้งหมดได้หนีออกจากประเทศภายในเวลาเพียงสองเดือนแรกหลังการบุกรุก

หลังจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ Yandex ได้วางแผนที่จะทิ้งแพลตฟอร์มข่าวและเนื้อหา โดยขายให้กับ VK ในทางกลับกัน Yandex ได้ซื้อบริการส่งอาหารของ VK ซึ่งข้อตกลงเสร็จสิ้นในเดือนกันยายน

จากนั้น เก้าเดือนหลังจากการรุกรานเริ่มขึ้น Yandex ประกาศว่าจะยุติรูปแบบของธุรกิจเดิม บริษัทจะแบ่งออกเป็นสองส่วน: ส่วนที่เป็นของรัสเซียและอีกส่วนที่เป็นของบริษัทแม่เดิม ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ 

ส่วนของรัสเซียซึ่งยังคงควบคุมธุรกิจหลักของบริษัท ถูกกำหนดให้เป็นหุ้นส่วนการจัดการพิเศษซึ่งประกอบด้วยผู้นำ Yandex 3 คน และ Alexei Kudrin ที่เป็นพันธมิตรของประธานาธิบดีปูติน

เมื่อเครมลินเข้าครอบงำ 

Yandex เป็นเพียงตัวอย่างล่าสุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเครมลินในการพยายามเข้าควบคุมบริษัทเทคโนโลยีของรัสเซีย โดยเกรงกลัวในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลทางออนไลน์ของประชากรอย่างอิสระ 

ความพยายามเหล่านี้เกิดขึ้นในปี 2011 เมื่อ Facebook และ Twitter ช่วยจุดประกายการประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 

บางส่วนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเข้าร่วมการประท้วงโดยหวังว่าจะช่วยให้รัสเซียอยู่ในเส้นทางเสรีนิยมและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น

ในปีต่อๆ มา รัสเซียบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดมากขึ้น จับกุมผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์จากการโพสต์ เรียกร้องการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ และแนะนำให้มีการกลั่นกรองเนื้อหา 

สิ่งนี้สร้างแรงกดดันต่อทั้งแพลตฟอร์มโซเชียลตะวันตก เช่น Facebook, Twitter และ LinkedIn (ซึ่งถูกบล็อกในรัสเซียตั้งแต่ปี 2016) หรือแม้กระทั่งแพลตฟอร์มออนไลน์ในประเทศ

หลังจากที่ Pavel Durov ถูกบีบออกจากบริษัทในปี 2014 และผู้มีอำนาจของเครมลินเข้าควบคุม เขาได้ทำการหลบหนีออกจากประเทศ Durov ซึ่งต่อมาได้สร้างแอปส่งข้อความ Telegram อธิบายว่ารัสเซีย “เข้ากันไม่ได้กับธุรกิจอินเทอร์เน็ต” จากการศึกษาของ National Research University Higher School of Economics พบว่าผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ “Unicorn” ​​ได้หนีออกจากรัสเซียมากกว่าประเทศอื่นๆ

The Rise of RuNet

หลังจากที่นานาชาติบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียหลังจากการผนวกไครเมียในปี 2014 รัฐบาลรัสเซียก็เริ่มส่งเสริมแนวคิดเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตอธิปไตยของตนเอง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เรียกว่า RuNet 

สงครามกับยูเครนและการคว่ำบาตรทำให้มีการผลักดันแนวคิดนี้เพิ่มมากขึ้น ในเดือนมีนาคม 2022 เครมลินปิดกั้นการเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างประเทศ เช่น Instagram Facebook และ Twitter

มีการสร้างบริการเพื่อแทนที่แพลตฟอร์มต่างประเทศยอดนิยมดังกล่าวด้วยเวอร์ชันในประเทศ เพื่อแทนที่ Google Play และ Apple AppStore VK ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาดิจิทัลเปิดตัว App Store ในประเทศชื่อ RuStore ส่วนบริการอย่าง TikTok, Instagram และ YouTube มีการสร้างเลียนแบบขึ้นมา เช่น Yappy, Rossgram และ RuTube 

RuTube บริการเลียนแบบ Youtube จากรัสเซีย (CR:MediaSapiens)
RuTube บริการเลียนแบบ Youtube จากรัสเซีย (CR:MediaSapiens)

Yandex News จะมีส่วนร่วมในการรวมการควบคุมของรัฐเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้ภาษารัสเซียสามารถที่จะอ่านได้ ในที่สุดก็รวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ข่าวอื่น ๆ ของ VK

การควบคุมเนื้อหาออนไลน์ไม่ใช่วิธีเดียวที่รัสเซียต้องการใช้อำนาจอธิปไตยทางด้านดิจิทัล หลังจากมีมาตรการคว่ำบาตรเมื่อปีที่แล้ว รัฐได้เริ่มส่งเสริมเป้าหมายอย่างเร่งด่วนในการสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีแบบควบคุมตัวเองทั้งหมด ซึ่งครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่บริการทางการเงินไปจนถึงฮาร์ดแวร์และซัพพลายเชน 

รัฐบาลรัสเซียให้คำมั่นว่าจะจัดหาเงินทุนอย่างจำนวนมหาศาล สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของตน ซึ่งอาจมีมูลค่ามากกว่า 3.19 ล้านล้านรูเบิล (41.2 พันล้านดอลลาร์) ภายในปี 2030

แต่การสร้างภาคส่วนดังกล่าวของประเทศมันไม่ใช่เรื่องที่จะเสกขึ้นมาได้ง่าย ๆ เพราะลำพังอุตสาหกรรมชิปของรัสเซียก็ยังล้าหลังกว่าประเทศอื่นๆ ในโลกอยู่ราว ๆ 10 ถึง 15 ปี 

ก่อนการคว่ำบาตร รัสเซียนำเข้าสินค้าไฮเทคมูลค่า 19,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยการนำเข้าส่วนใหญ่ (66%) มาจากสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ตามรายงานของ Bruegel Think Tank ที่มีฐานอยู่ในบรัสเซลส์ ผู้เชี่ยวชาญเช่น Heli Simola นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารแห่งชาติฟินแลนด์ ประมาณการว่าการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีลดลง 30% ตั้งแต่ปีที่แล้ว

เนื่องจากข้อจำกัดทางการค้า รัสเซียจึงสูญเสียการเข้าถึงผลิตภัณฑ์จากบริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น Cisco, SAP, Oracle, IBM, TSMC, Nokia, Ericsson และ Samsung

การเปลี่ยนท่าทีของรัสเซียเพื่อสร้างธุรกิจเทคโนโลยีใหม่โดยไม่มีการพึ่งพาต่างประเทศ มันเหมือนการย้อนกลับไปสู่ยุคของสหภาพโซเวียต แต่ปัจจุบันรัสเซียมีแนวโน้มที่จะพึ่งพาผู้ลักลอบนำเข้าชิปและคู่ค้าเช่นจีนมากกว่าที่จะดำเนินการตามลำพังอย่างแท้จริง 

การล่มสลายของ Skolkovo

ก่อนการรุกรานของยูเครน รัฐบาลรัสเซียได้พยายามเสริมสร้างระบบนิเวศทางเทคโนโลยี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ Skolkovo ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูงที่รัสเซียพยายามเลียนแบบ Silicon Valley ขึ้นมา

Skolkovo ซึ่งเปิดตัวในปี 2010 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนำพาประเทศสู่ยุคใหม่ซึ่งริเริ่มโดยประธานาธิบดี Dmitry Medvedev ในขณะนั้น  

Skolkovo ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงมอสโก ใช้เวลาขับรถไม่ถึง 30 นาทีจากเครมลิน Skolkovo ดูเหมือนอุทยานเทคโนโลยีที่ดูล้ำหน้าไม่ต่างจาก Silicon Valley ความฝันคือมันจะกลายเป็นฐานสำหรับผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีของรัสเซีย โดยมอบทุนการศึกษา และพื้นที่สำนักงานจำนวนมากให้กับเหล่าผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี 

Skolkovo ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูงที่รัสเซียพยายามเลียนแบบ Silicon Valley (CR:Fondapol)
Skolkovo ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูงที่รัสเซียพยายามเลียนแบบ Silicon Valley (CR:Fondapol)

ในช่วงต้นเหล่าผู้บริหารด้านเทคโนโลยีของตะวันตกและบริษัทร่วมทุน เช่น Google, Intel, Nokia และ Siemens เข้าร่วมสภาและคณะกรรมการของ Skolkovo เพื่อช่วยผลักดันวิสัยทัศน์ดังกล่าวของ Medvedev

Skolkovo สามารถสร้างสตาร์ทอัพรัสเซียที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังจากสงครามเริ่มขึ้น เหล่าวิศวกร นักวิจัย จากนานาชาติจำนวนมากละทิ้ง Skolkovo และหนีออกจากรัสเซียแทบจะทันที 

ที่สำคัญกว่านั้น การร่วมทุนจากต่างชาติก็เริ่มที่จะถอยห่าง ในปี 2022 การลงทุนร่วมทุนในบริษัทรัสเซียลดลง 57%  เหลือ 1.1 พันล้านดอลลาร์

Medvedev ประกาศในเดือนธันวาคมว่า Skolkovo จะดำเนินการในรูปแบบใหม่หลังเกิดการคว่ำบาตร โดยจะนำเงินจากรัฐบาลบางส่วนมาอุดหนุนโดยมุ่งผลักดันภาคเทคโนโลยีของรัสเซียไปสู่การพึ่งพาตนเอง 

ในเดือนกุมภาพันธ์ Skolkovo ถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ  ผู้นำคนสำคัญ ๆ ในกลุ่มเทคโนโลยีของรัสเซีย เช่น Irina Travina ประธานคณะกรรมการสมาคมไอที SibAcademSoft ใน Novosibirsk เชื่อว่าบริษัทรัสเซียจะยังคงเติบโตต่อไปในรัสเซียโดยร่วมมือกับตลาดอื่นๆ นอกขอบเขตของ NATO เช่น ตลาดในรัสเซีย เอเชีย ละตินอเมริกา และตะวันออกกลาง 

ผลตอบแทนที่ไม่มีความแน่นอน

นับตั้งแต่เริ่มสงคราม ประเทศได้เห็นคลื่นของการควบรวมและซื้อกิจการ เนื่องจากบริษัทต่างชาติรีบหนีออกจากตลาด โดยมักจะขายสินทรัพย์ของตนให้กับคู่แข่งรัสเซียในราคาต่ำ หนึ่งในสินทรัพย์ดังกล่าวคือ Avito ซึ่งเป็นเว็บไซต์โฆษณาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในรัสเซียและใหญ่ที่สุดในโลก

ในเดือนตุลาคม บริษัทในเครือของ Naspers บริษัทในแอฟริกาใต้ได้ขายมันในราคา 2.46 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเศษเสี้ยวของมูลค่าประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อชิ่งหนีออกจากรัสเซีย บริษัทย่อยเดียวกันได้ขายหุ้นใน VKontakte ด้วย การทิ้งบริษัทเหล่านี้อาจทำให้เครมลินสามารถควบคุมภาคเทคโนโลยีได้มากขึ้น 

แต่สิ่งที่น่ากังวลคืออาจมีผู้ใช้ชาวรัสเซียไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมดิจิทัลในปัจจุบันของประเทศ รวมถึงเหล่าพนักงานด้านเทคโนโลยีจำนวนมากได้เดินทางหนีไปประเทศอื่น ๆ เช่น คาซัคสถาน จอร์เจีย อาร์เมเนีย และตุรกี

รัสเซียหวังว่าจะเกลี้ยกล่อมให้แรงงานเหล่านี้กลับมา ในเดือนพฤศจิกายน ป้ายโฆษณาบนไทม์สแควร์ของนิวยอร์กแสดงให้เห็นเครื่องบินลำหนึ่งบินผ่านท้องฟ้าสีครามสดใสและแสดงข้อความเป็นภาษารัสเซียว่า “ได้เวลากลับบ้านแล้ว!” โฆษณาได้เชิญชวนให้พนักงานเทคโนโลยีกลับบ้านและไปที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ Alabuga ซึ่งตั้งอยู่ในสาธารณรัฐตาตาร์สถานของรัสเซีย 

แต่สำหรับตอนนี้ ดูเหมือนว่าเหล่าคนทำงานด้านไอทีจะยังไม่กลับมาอย่างแน่นอน รัสเซียกำลังดิ้นรนกับภาวะขาดแคลนแรงงานทักษะสูงเหล่านี้ 

รายงานของ Gartner ที่เผยแพร่ในช่วงปลายปี 2021 ก่อนสงครามระบุว่าในปี 2025 การขาดแคลนแรงงานด้านดิจิทัลที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้น 50% ซึ่งอาจมีจำนวนสูงถึง 1 ล้านคน 

บุคคลที่มีชื่อเสียงระดับสูงหลายคนได้สละสัญชาติรัสเซียของตนตั้งแต่ช่วงสงคราม รวมทั้ง Yuri Milner มหาเศรษฐีนักลงทุนด้านเทคโนโลยี และ Oleg Tinkov ผู้ก่อตั้งธนาคารออนไลน์ Tinkoff อีกหลายคนเก็บตัวเงียบเพราะผลที่ตามมาของการขัดขืนคำสั่งเครมลินของพวกเขา

Yuri Milner มหาเศรษฐีนักลงทุนด้านเทคโนโลยี ที่ยอมทิ้งสัญชาติรัสเซีย (CR:Wikipedia)
Yuri Milner มหาเศรษฐีนักลงทุนด้านเทคโนโลยี ที่ยอมทิ้งสัญชาติรัสเซีย (CR:Wikipedia)

Diuzharden ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในเบลเกรด ประเทศเซอร์เบีย ซึ่งเป็นประเทศที่พนักงานไอทีชาวรัสเซียจำนวนมากย้ายถิ่นฐานมาอยู่ เนื่องจากเงื่อนไขด้านวีซ่าที่มีความเอื้ออำนวย

เธอไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่จะได้ไปเยี่ยมบ้านเกิดของเธอที่มักดาน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัสเซีย เพื่อนของเธอหลายคนที่ออกจากประเทศต้องการกลับมา

Diuzharden กล่าวว่า “ฉันพร้อมจะกลับมารัสเซีย แต่ภายใต้เงื่อนไขบางประการ” เธอกล่าว “ฉันไม่ต้องการอยู่ในประเทศที่ปูตินเป็นประธานาธิบดี ฉันไม่ต้องการอยู่ในประเทศที่เป็นผู้เริ่มก่อสงคราม”

References :
https://www.reuters.com/technology/russias-yandex-beats-fy-revenue-target-after-google-pulls-advertising-2023-02-15/
https://www.technologyreview.com/2023/04/04/1070352/ukraine-war-russia-tech-industry-yandex-skolkovo/
https://www.bbc.com/news/technology-38014501
https://www.reuters.com/technology/yandex-ceo-volozh-resigns-after-eu-sanctions-2022-06-03/
https://www.express.co.uk/news/world/1603418/Russia-exodus-IT-sector-AI-industry-Western-sanctions-economy-Putin