Cathie Wood ผู้หญิงที่ Wall Street กลัว จากครอบครัวผู้อพยพสู่เส้นทางราชินีหุ้นเทค

ในโลกการเงินที่มักถูกครอบงำโดยผู้ชาย มีผู้หญิงคนหนึ่งที่กล้าท้าทายกฎเกณฑ์เดิมๆ และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการ เธอคือ Cathie Wood ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ ARK Investment Management บริษัทจัดการกองทุนที่เน้นลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก แต่ก่อนที่เธอจะมาถึงจุดนี้ได้ เธอต้องผ่านการต่อสู้และความท้าทายมากมาย

จุดเริ่มต้นของ Cathie Wood เริ่มจากครอบครัวผู้อพยพชาวไอริชที่ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่ Los Angeles ในยุค 50s ช่วงเวลาที่เมืองนี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาเดือนละกว่า 3,000 คน พ่อของเธอรับราชการในกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในตำแหน่งวิศวกรเรดาร์ การที่ครอบครัวต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้งตามการโยกย้ายของพ่อ ทำให้ Cathie ได้เรียนรู้การปรับตัวและเปิดรับความคิดที่หลากหลายตั้งแต่เยาว์วัย

ตั้งแต่เด็ก Cathie มีความชื่นชมในตัวพ่อของเธออย่างมาก ซึ่งส่งผลให้เธอพัฒนาวิธีคิดแบบวิศวกร ชอบวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบและมองหาวิธีแก้ไขที่สร้างสรรค์ และด้วยความขยันและมุ่งมั่น เธอสามารถจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งและได้รับการตอบรับเข้าเรียนที่ University of Southern California

“การเป็นลูกของผู้อพยพในสหรัฐฯ ฉันรู้สึกกลัวมากตอนเข้ามหาวิทยาลัย เพราะฉันเป็นลูกคนโตและต้องแบกรับความคาดหวังของครอบครัว” Cathie เล่าถึงความรู้สึกในวันแรกที่ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ช่วงเวลานั้นเป็นยุคที่ครอบครัวชนชั้นกลางส่วนใหญ่ในอเมริกากำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเงิน อัตราการว่างงานทั่วรัฐพุ่งสูงถึง 9.3% มีชาวแคลิฟอร์เนียกว่า 920,000 คนที่ตกงาน

แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก Cathie ไม่เคยย่อท้อ เธอทำงานพาร์ทไทม์เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียน ในขณะที่ฝันอยากจะเดินตามรอยพ่อในสายงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่พ่อของเธอกลับมองเห็นอนาคตที่แตกต่างออกไป เขาแนะนำให้ลูกสาวเลือกเส้นทางธุรกิจ เพราะเชื่อว่าเธอจะประสบความสำเร็จได้มากกว่าในเส้นทางนี้

Cathie จึงตัดสินใจเลือกเรียนด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน ด้วยความหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้ในอนาคต ในฐานะลูกคนโตและคริสเตียนที่เคร่งครัด เธอตระหนักดีว่าการดูแลครอบครัวคือความรับผิดชอบสำคัญของเธอ

จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของ Cathie เกิดขึ้นเมื่อเธอได้เรียนกับ Arthur Laffer นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจากสำนัก Austrian school ผู้คิดค้นทฤษฎี Laffer Curve ที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอัตราภาษีและรายได้ภาครัฐ

Laffer เป็นที่ปรึกษาที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อแนวคิดของ Cathie โดยเฉพาะในเรื่องของการลดภาษีเพื่อกระตุ้นนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

Arthur Laffer นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจากสำนัก Austrian school ผู้คิดค้นทฤษฎี Laffer Curve (CR:wikipedia)

“เขาเป็นที่ปรึกษาของฉันที่ USC และเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก เขาเป็นที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” Cathie กล่าวถึง Laffer ด้วยความชื่นชม แนวคิดของเขายังคงมีอิทธิพลต่อเธอจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่าการลดภาษีจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ด้วยความฉลาดและความขยันขันแข็ง Cathie กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นที่สุดในชั้นเรียน Laffer เห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในตัวเธอและช่วยแนะนำงานที่ Capital Group หนึ่งในบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงต้นทศวรรษ 1980

การเริ่มต้นอาชีพที่ Capital Group เปิดโอกาสให้ Cathie ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะในวงการการเงินอย่างรวดเร็ว หลังจากทำงานได้เพียงสามปี ความสามารถของเธอก็เป็นที่ประจักษ์จนได้รับการทาบทามให้ไปดำรงตำแหน่งหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ Jennison Associates บริษัทลงทุนแห่งใหม่ในนิวยอร์ก ขณะนั้นเธออายุเพียง 25 ปี

ช่วงที่ Cathie เข้าสู่ Wall Street เป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทศวรรษ 1970 ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ด้วยปัญหาเงินเฟ้อและการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นพร้อมกัน ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม

เมื่อประธานาธิบดี Reagan เข้ารับตำแหน่งในปี 1981 เขานำนโยบายเศรษฐกิจแนวใหม่มาใช้ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก

Henry Kaufman หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Solomon Brothers ผู้ได้ฉายาว่า “Dr. Doom” ถึงกับออกมาเตือนว่านโยบายของ Reagan จะทำให้อัตราดอกเบี้ยและค่าเงินดอลลาร์พุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง แต่ Cathie กลับมองเห็นโอกาสท่ามกลางวิกฤต หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เธอพบหลักฐานที่ขัดแย้งกับข้อกล่าวอ้างของ Kaufman

แม้จะเป็นผู้หญิงในวงการการเงินที่ผู้ชายเป็นใหญ่ในช่วงต้นทศวรรษ 80 และมักถูกเพิกเฉย แต่ Cathie ก็ไม่ย่อท้อ เธอยืนหยัดในจุดยืนของตัวเอง และเวลาก็พิสูจน์ว่าการวิเคราะห์ของเธอถูกต้อง

ภายในเดือนตุลาคม 1982 เงินเฟ้อลดลงเหลือเพียง 5% และอัตราดอกเบี้ยระยะยาวเริ่มปรับตัวลดลง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยอมผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 9%

ความสำเร็จในการคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจทำให้อาชีพของ Cathie เติบโตอย่างก้าวกระโดดที่ Jennison Associates เธอไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการภายในปี 1998 หลังจากทำงานที่นั่น 18 ปี นับเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าเธอต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูลูกสามคนไปพร้อมกัน

ในช่วงปลายทศวรรษ 90 ซึ่งเป็นยุคที่ฟองสบู่ดอทคอมกำลังใกล้จะแตก Cathie ได้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัทเทคโนโลยีมากมาย เธอเริ่มมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจของตัวเอง ประกอบกับการเฟื่องฟูของเศรษฐกิจที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของกองทุนเฮดจ์ฟันด์รูปแบบใหม่ ที่มีโครงสร้างพิเศษเอื้อให้ผู้จัดการกองทุนสร้างความมั่งคั่งมหาศาล

โอกาสทองมาถึงเมื่อ Lulu Wang เพื่อนร่วมงานที่ Jennison Associates ชวน Cathie ร่วมก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งก็ต้องบอกว่า Wang เป็นตัวอย่างของความสำเร็จที่น่าทึ่ง จากการเป็นแม่บ้านธรรมดา เธอตัดสินใจกลับไปเรียนต่อปริญญาโทบริหารธุรกิจที่ Columbia และไต่เต้าจนกลายเป็นรองประธานบริหารที่ดูแลสินทรัพย์มากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์

ในปี 1998 ทั้งคู่จึงร่วมกันก่อตั้ง Tupelo Capital Management ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว สามารถระดมทุนได้ถึง 800 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2000 นับเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดที่บริหารโดยผู้หญิงในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม Cathie เริ่มตระหนักว่านี่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่แท้จริงของเธอ

Lulu Wang ที่ชวน Cathie มาก่อตั้งบริษัท (CR:MSNBC)
Lulu Wang ที่ชวน Cathie มาก่อตั้งบริษัท (CR:MSNBC)

ความหลงใหลที่แท้จริงของ Cathie อยู่ที่การค้นหาและลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลก ซึ่งมักถูก Wall Street ประเมินมูลค่าต่ำเกินไป หลังจากบริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้สามปี เธอตัดสินใจย้ายไปร่วมงานกับ Alliance Bernstein บริษัทกองทุนรวมชั้นนำ ที่นี่เธอได้รับมอบหมายให้ดูแลเงินกองทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์

ที่ Alliance Bernstein Cathie ใช้แนวทางการลงทุนแบบธีมาติก (Thematic Investment) มองหาโอกาสในที่ที่คนอื่นมองข้าม โดยเฉพาะในหุ้นขนาดเล็กที่มีศักยภาพการเติบโตสูง

ก่อนปี 2006 กองทุนของเธอทำผลงานได้ดีกว่าดัชนีอ้างอิงเกือบทุกปี แต่พอร์ตการลงทุนมีความผันผวนสูงเกินกว่าที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะยอมรับได้

วิกฤตการเงินโลกในปี 2008 เป็นบททดสอบครั้งสำคัญ หุ้น Penny Stock ที่เธอลงทุนมีราคาตกหนักกว่าดัชนี S&P 500 เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดที่แห้งเหือด นักลงทุนหลายรายเริ่มถอนเงินออกจากกองทุน ด้วยความกังวลเรื่องการสูญเสียลูกค้า ผู้บริหาร Alliance Bernstein จึงขอให้เธอปรับกลยุทธ์โดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนดัชนีเพื่อลดความผันผวน

แม้การถือครองกองทุนดัชนีจะช่วยลดความผันผวนได้ แต่ก็ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนลดลงด้วย ภายในปี 2014 ที่อายุ 54 ปี แม้จะมีความมั่งคั่งมากพอที่จะเกษียณได้อย่างสบาย แต่ Cathie กลับเลือกที่จะเริ่มต้นใหม่ ด้วยความเชื่อมั่นในพระเจ้าและวิสัยทัศน์ของตนเอง

จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงเมื่อ Bill Hwang นักลงทุนผู้มีชื่อเสียงและเป็นคริสเตียนที่ศรัทธาแรงกล้าเช่นเดียวกับ Cathie เข้ามาสนับสนุนวิสัยทัศน์ของเธอ

Hwang เป็นศิษย์เอกของ Julian Robertson นักลงทุนระดับตำนาน และสามารถสร้างกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของตนเองจนมีสินทรัพย์ 30 พันล้านดอลลาร์ภายในเวลาไม่ถึง 20 ปี เขาตัดสินใจให้เงินทุนตั้งต้นแก่ ETFs ที่ Kathy กำลังจะเปิดตัว

Cathie เล็งเห็นโอกาสในการสร้าง ETFs รูปแบบใหม่ที่ยังไม่มีในตลาด ในขณะที่อุตสาหกรรมการลงทุนกำลังเคลื่อนตัวไปสู่การลงทุนแบบ Passive หลังวิกฤตปี 2008 เธอกลับเชื่อมั่นในการบริหารแบบ Active โดยเฉพาะในการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก

สิ่งที่ทำให้ Cathie แตกต่างจากผู้จัดการกองทุนคนอื่นคือการใช้ประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Twitter และ Reddit เธอเลือกที่จะเปิดเผยงานวิจัยการลงทุนของเธอต่อสาธารณะ แทนที่จะปิดบังไว้เป็นความลับเหมือนที่ผู้จัดการกองทุนทั่วไปทำ แนวทางที่โปร่งใสนี้ทำให้เธอสร้างฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่งในหมู่นักลงทุนรายย่อย

จุดพลิกผันที่ทำให้ Cathie กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างคือการทำนายว่าราคาหุ้น Tesla จะเพิ่มขึ้น 1,100% ในช่วงที่บริษัทกำลังประสบปัญหาการผลิต Model 3 และ Elon Musk ต้องนอนในโรงงานเพื่อแก้ปัญหา แม้จะถูกเย้ยหยันจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ แต่ภายในปี 2021 Tesla ก็ทำราคาได้เกินเป้าหมายที่เธอทำนายไว้ล่วงหน้าถึงสองปี

การระบาดของ COVID-19 ในปี 2020 กลายเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดการเงิน รัฐบาลสหรัฐฯ อัดฉีดเงินหลายล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ประกอบกับการเข้าถึงแพลตฟอร์มการเทรดที่ง่ายขึ้น ทำให้นักลงทุนรายย่อยมีพลังมากขึ้นกว่าที่เคย Cathie ซึ่งมักถูก Wall Street มองข้าม กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม

ในช่วงการระบาด กองทุน ARK ของ Cathie เติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากการลงทุนในบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนในยุค New Normal เช่น การทำงานทางไกล การซื้อของออนไลน์ และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทาย

ต้นปี 2021 กองทุน ARK ประสบกับการถอนเงินกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์และมูลค่าตลาดลดลง 14% แต่ Cathie ยังคงยืนหยัดในความเชื่อของเธอ เธอมองว่าความผันผวนเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในนวัตกรรม และความเสี่ยงที่แท้จริงอยู่ที่การยึดติดกับอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมที่กำลังถูกเทคโนโลยีใหม่เข้ามาทำลาย

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ Cathie จะมีความเชื่อมั่นสูงในวิสัยทัศน์ของเธอ แต่เธอก็ยังคงรักษาวินัยในการลงทุนอย่างเคร่งครัด เช่น การจำกัดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งไม่ให้เกิน 10% ของพอร์ต และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนการลงทุนเมื่อพื้นฐานของธุรกิจเปลี่ยนแปลง

ปัจจุบัน Cathie Wood ยังคงเป็นบุคคลที่สร้างความขัดแย้งในวงการการเงิน แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเธอได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการลงทุน เรื่องราวของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้หญิง ที่ต้องการท้าทายระบบเดิมและสร้างการเปลี่ยนแปลงในโลกการเงิน

เส้นทางของ Cathie Wood จากเด็กผู้อพยพสู่การเป็นผู้นำด้านการลงทุนในนวัตกรรม แสดงให้เห็นว่าด้วยความมุ่งมั่น ความกล้าที่จะแตกต่าง และความสามารถในการปรับตัว เราสามารถประสบความสำเร็จได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายที่สุด

เธอไม่เพียงสร้างความสำเร็จให้ตัวเอง แต่ยังเปิดทางให้คนรุ่นใหม่กล้าที่จะคิดต่าง และท้าทายสถานะเดิมในโลกการเงิน นับเป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ความสำเร็จไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำตามกรอบที่มีอยู่ แต่บางครั้งการกล้าที่จะออกนอกกรอบต่างหากที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่

iPod อัศวินผู้กู้ชีพ Apple : จากขอบเหวสู่ผลิตภัณฑ์พลิกชะตาบริษัท

“พันเพลงในกระเป๋าของคุณ” – นี่คือคำกล่าวอันโด่งดังของ Steve Jobs ในงานเปิดตัวของ Apple เมื่อปี 2001 เขาได้ชูอุปกรณ์สีขาวขนาดเท่ากับสำรับไพ่ที่สามารถเก็บและเล่นเพลงได้ทั้งคลังเพลงโดยไม่มีสะดุด ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงในยุคนั้น เพราะเครื่องเล่น MP3 แบบ Flash ทั่วไปจะเก็บเพลงได้เพียง 20-30 เพลงเท่านั้น แต่ Apple สัญญาและส่งมอบเครื่องเล่นที่เก็บเพลงได้พันเพลงในรูปแบบของ iPod

ผมว่าหลายคนคงเคยเป็นเจ้าของ iPod รุ่นใดรุ่นหนึ่งและมีความทรงจำที่ดีกับมัน คงจะกล่าวไม่เกินเลยว่าผลิตผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยพลิกฟื้นบริษัทจากขอบเหว

iPod รุ่นแรกนั้นบุกเบิกในแง่ของการออกแบบที่เรียบง่ายและฟังก์ชันการใช้งานที่ง่ายดาย แต่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า iPod ถูกออกแบบและผลิตในเวลาเพียงไม่กี่เดือน และ Apple ได้ให้เครดิตแนวคิดของ iPod แก่ชายผู้ไม่เป็นที่รู้จักนามว่า Ken Kramer

เรื่องราวการสร้าง iPod รุ่นแรกเริ่มต้นจากเหตุการณ์ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน ลำดับของเหตุการณ์และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีจะเกิดขึ้นในจังหวะที่เหมาะเจาะพอดีที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้

ทุกอย่างเริ่มต้นในช่วงปลายทศวรรษ 1990 หลังจาก Steve Jobs ถูกเนรเทศไป 11 ปี เขาได้กลับมาที่ Apple ในปี 1997 บริษัทกำลังประสบวิกฤตทางการเงิน และ Jobs ถูกเรียกตัวกลับมาด้วยความหวังว่าเขาจะสามารถนำพาบริษัทไปในทิศทางที่ถูกต้อง

ในตอนนั้น Apple ยังต้องการไอเดียใหม่ๆ เพื่อสร้างจุดเด่นในช่วงเปลี่ยนผ่าน ต้องบอกว่าศตวรรษที่ 20 มันเป็นยุคแห่งการเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต และโลกทั้งใบกำลังเปลี่ยนเป็นดิจิทัล

เมื่อ Jobs กลับมาเพื่อให้ทันกับยุคสมัย เขาได้นำกลยุทธ์ Digital Hub มาใช้ แนวคิดคือการผสมผสานฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการของ Apple เพื่อให้ผู้ใช้มีแพลตฟอร์มที่เป็นหนึ่งเดียวสำหรับไลฟ์สไตล์ดิจิทัล

พูดง่ายๆ คือระบบนิเวศที่ทุกอย่างทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และอย่างที่ทุกคนรู้กันดี ระบบนิเวศของ Apple กลายเป็นส่วนสำคัญของอนาคตบริษัท แต่ในตอนนั้นแนวคิดนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเพียงเท่านั้น

จุดศูนย์กลางของ Digital Hub คือ iMac แต่ที่น่าสนใจคือ Steve Jobs ได้ตระหนักถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของพอร์ต FireWire มาตรฐานการเชื่อมต่อข้อมูลดิจิทัลนี้ถูกพัฒนาโดย Apple ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 และถูกใช้มาหลายปีโดย Apple เองและบริษัทอื่นๆ เช่น Sony

FireWire สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์อย่างกล้องวิดีโอและกล้องดิจิทัลเข้ากับคอมพิวเตอร์ ประโยชน์หลักคือความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่เร็วกว่ามาตรฐานอื่นๆ ในยุคนั้นถึงเกือบ 30 เท่า ด้วยความเร็ว 400 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งตอนนี้อาจเป็นเรื่องน่าขัน แต่ในยุคนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่มาก

Steve Jobs ตัดสินใจรวม FireWire เข้ากับ iMac G3 รุ่นโปร่งใสสุด Cool ที่เปิดตัวในปี 1998 Apple คิดว่าการมี FireWire จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายโอนวิดีโอจากกล้องดิจิทัลและแก้ไขบนคอมพิวเตอร์ได้ง่าย แต่ปรากฏว่าผู้คนสนใจเรื่องดนตรีมากกว่า

iMac G3 รุ่นโปร่งใสสุด Cool (CR:Wikipedia)
iMac G3 รุ่นโปร่งใสสุด Cool (CR:Wikipedia)

ในยุค 90 อินเทอร์เน็ตกำลังครองโลก ผู้คนแชร์ไฟล์และข้อมูลออนไลน์กันมากขึ้น แต่การแชร์ไฟล์เพลงยังคงยากลำบาก ซึ่งในช่วงต้นทศวรรษ 90 เนื่องจากความเร็วอินเทอร์เน็ตช้ามาก เพลงส่วนใหญ่ถูกริปจากซีดีและมีขนาดไฟล์ใหญ่มาก

แต่นักวิจัยที่สถาบัน Fraunhofer ในเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี มีแนวคิดบางอย่าง หลังจากทำงานหนักสี่ปี พวกเขาได้สร้างรูปแบบไฟล์ใหม่ที่เราทุกคนรู้จักกันดี นั่นก็คือ MP3 มันช่วยลดขนาดไฟล์เพลงได้อย่างมากโดยไม่สูญเสียคุณภาพเสียง

การเติบโตของรูปแบบไฟล์ MP3 สร้างความปั่นป่วนให้อุตสาหกรรมดนตรี ประการแรก ทุกคนสามารถริปซีดีเป็นไฟล์ MP3 และเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น เวลานั้นมันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะมาก ๆ ที่จะมีอุปกรณ์เล็กๆ มาช่วยให้ผู้คนพกพาไฟล์เหล่านี้ติดตัวไปได้

ภายในปี 1998 เครื่องเล่น MP3 อย่าง MP Man F-100 จาก Elga Labs และ Diamond Rio PMP300 ได้เข้าสู่ตลาด ทั้งคู่มีขนาดใหญ่ เล่นเพลงได้แค่ 30 นาที และราคาสูงกว่า 200 ดอลลาร์ แต่ก็ได้รับความนิยมเพราะผู้คนชื่นชอบการฟังเพลงแบบพกพา

จากนั้นประตูก็เปิดกว้าง เว็บไซต์แชร์ไฟล์แบบ peer-to-peer ทำให้ผู้คนดาวน์โหลดเพลงได้ฟรี แอปพลิเคชั่นหนึ่งชื่อ Napster กลายเป็นที่นิยมข้ามคืน จนได้เข้าสู่ข้อพิพาททางกฎหมายกับวงเฮฟวี่เมทัลระดับยักษ์ใหญ่อย่าง Metallica

อุตสาหกรรมดนตรีทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างหนัก และค่ายเพลงสูญเสียรายได้หลายล้าน อย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างตระหนักว่าอนาคตของการจัดจำหน่ายเพลงอยู่ในรูปแบบดิจิทัล

ซึ่งในระหว่างกระแสดนตรีดิจิทัลที่กำลังเติบโต Apple เห็นช่องว่างใหญ่ในกลยุทธ์ Digital Hub ของตน เพื่อเติมเต็มช่องว่างนี้ Apple ได้ซื้อ SoundJam MP ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นเข้ารหัสและเล่น MP3 ที่ได้รับความนิยม

วิศวกรสามคนที่เสกแอปนี้ขึ้นมาก็ได้ถูกนำตัวมาที่ Apple ด้วย พวกเขาจะเปลี่ยน SoundJam ให้กลายเป็น iTunes Jobs ต้องการให้ iTunes ถ่ายโอนไฟล์เพลงจากคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องเล่น MP3 ได้อย่างราบรื่น

อย่างไรก็ตาม ขณะตรวจสอบ ทีม Apple พบว่าเครื่องเล่นส่วนใหญ่ใช้งานไม่ได้ผล พวกมันหรือแพงเกินไป ใหญ่เกินไป เล็กเกินไป หรือใช้งานยากเกินไป และการถ่ายโอนไฟล์เพลงจากคอมพิวเตอร์ก็ช้ามาก นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ Steve Jobs เห็นโอกาสทอง

ในฐานะแฟนเพลงตัวยง เขาวางแผนที่จะสร้างเครื่องเล่น MP3 พกพาขนาดเล็กที่สามารถเก็บเพลงได้หลายร้อยเพลงและเล่นเพลงคุณภาพเทียบเท่าซีดี เขาต้องการให้เครื่องเล่นทำงานร่วมกับ iTunes ได้ดี เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาใช้แพลตฟอร์ม Mac มากขึ้น

ในช่วงปลายปี 2000 Jobs ได้มอบหมายงานให้ Jon Rubinstein ซึ่งเข้าร่วม Apple ในปี 1997 เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมฮาร์ดแวร์และที่ปรึกษาด้านฮาร์ดแวร์ที่ Jobs ไว้วางใจที่สุด

Rubinstein ตระหนักว่า Apple มีส่วนประกอบส่วนใหญ่ที่จำเป็นในการสร้างเครื่องเล่น MP3 อยู่แล้ว พอร์ต FireWire สามารถแก้ปัญหาความเร็วในการถ่ายโอน ชิ้นส่วนอื่นๆ สามารถหาได้จากแผนกฮาร์ดแวร์ภายในหรือซัพพลายเออร์ภายนอก

มีปัญหาเดียวคือหน่วยความจำแบบแฟลชมีราคาแพงเกินไป ดังนั้นฮาร์ดไดรฟ์จึงเป็นตัวเลือกเดียว แต่จะหาฮาร์ดไดรฟ์ที่เล็กพอแต่มีความจุสูงพอได้อย่างไร?

โชคดีที่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2001 Rubenstein ได้พบอุปกรณ์ดังกล่าวโดยบังเอิญ นั่นคือฮาร์ดไดรฟ์ความจุ 5 กิกะไบต์ ระหว่างการเยี่ยมชมบริษัท Toshiba ในญี่ปุ่น

วิศวกรของ Toshiba เองยังไม่รู้ว่าจะใช้มันทำอะไร แต่นี่คือจุดเปลี่ยนเกมสำหรับ Rubenstein เขารีบซื้อสิทธิ์ในทันทีด้วยมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์ หลังจากได้รับอนุญาตจาก Steve Jobs แล้ว

หลายคนไม่รู้ว่าสองปีก่อนหน้านี้ในปี 1999 บริษัทคอมพิวเตอร์ Compaq ก็มีแนวคิดเดียวกับ Apple แต่พวกเขาใช้ฮาร์ดไดรฟ์แล็ปท็อป แม้จะมีความจุ 4.8 กิกะไบต์ แต่ราคา 799 ดอลลาร์นั้นไม่ถูกเลย และสุดท้ายก็มีขนาดใหญ่เทอะทะเกินไป

Apple จ้าง Tony Fadell มาทำงานต่อในโครงการนี้ Fadell เคยทำงานให้กับ General Magic และ Phillips Electronics มาก่อน จึงมีประสบการณ์มากมายในการพัฒนาอุปกรณ์พกพาอย่าง PDA และ Palm Tops

เมื่อ Fadell มาถึง Apple ในเดือนกุมภาพันธ์ 2001 เขามีเวลาเพียง 6 สัปดาห์ในการนำเสนอต้นแบบ เรียกได้ว่ามันเป็นสถานการณ์ที่สุดโหด เพราะไม่มีการวิจัย ไม่มีการออกแบบมาก่อนหน้าเลยด้วซ้ำย หรือแม้แต่ทีมงานที่จะช่วยเหลือเขาก็แทบเป็นศูนย์

Tony Fadell ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่ง iPod (CR:Flickr)
Tony Fadell ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่ง iPod (CR:Flickr)

อย่างไรก็ตาม เขายึดมั่นและสามารถพัฒนาแนวคิดสามอย่างได้ด้วยตัวเอง ในกลางเดือนเมษายน 2001 เขานำเสนอต้นแบบต่อผู้บริหาร Apple รวมถึง Steve Jobs

ในการประชุมครั้งเดียวกันนั้น Phil Schiller หัวหน้าฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของ Apple ได้เสนอการออกแบบปุ่มเลื่อนแบบกลไกที่กลายเป็นเอกลักษณ์ และมันไม่ใช่แนวคิดใหม่ เพราะเขาได้แรงบันดาลใจจากอุปกรณ์อื่น เช่น โทรศัพท์ Bang & Olufsen BeoCom แต่ Schiller เชื่อว่าผู้ใช้จะสามารถเลื่อนดูเพลงหลายร้อยเพลงได้เร็วกว่าวิธีของเครื่องเล่น MP3 อื่นๆ ที่ใช้ปุ่มเลื่อนขึ้นลง และเขาก็คิดถูกต้อง

เมื่อมีแนวคิดพื้นฐานแล้ว Fadell ได้รับการจ้างงานประจำที่ Apple เขามีเวลาเพียง 6 เดือนตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงตุลาคม ในช่วงเวลานั้นเขาต้องจัดตั้งทีม พัฒนาผลิตภัณฑ์ ผลิต และส่งออกจำหน่าย

วิศวกรของ Apple ติดงานโครงการ Mac อยู่ ดังนั้น Fadell จึงต้องรวบรวมทีม 25 คนจากพนักงานประจำและ outsource จากภายนอก บางคนมาจากบริษัท Fuse ของเขาเอง และวิศวกรอาวุโสบางคนมาจาก General Magic และ Phillips

เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา ทีมของ Fadell ต้องใช้วิธีการทำงานแบบร่วมมือกัน บริษัท Portal Player ใน Silicon Valley จัดหาชิปเซ็ตเฉพาะทางสำหรับเล่น MP3

บริษัท Pixo ในเมือง Cupertino จัดหาระบบปฏิบัติการพื้นฐาน Jeff Robin นักออกแบบอินเตอร์เฟซ และ Tim Wasko แปลงระบบปฏิบัติการให้เป็นส่วนติดต่อผู้ใช้ระดับสูงและซอฟต์แวร์เล่นเพลง ความเชี่ยวชาญภายในองค์กรช่วยเรื่องแหล่งจ่ายไฟและจอแสดงผล และ Apple ก็มีฮาร์ดดิสก์ Toshiba ขนาด 5 กิกะไบต์ แบตเตอรี่จาก Sony และ FireWire อยู่แล้ว

เพื่อให้ทันกำหนด สมาชิกทุกคนในทีมต้องทำงาน 18-20 ชั่วโมงต่อวัน เจ็ดวันต่อสัปดาห์ แทบไม่ต้องคิดเลยว่ามันส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาอย่างหนัก ตามคำบอกเล่าของ Fadell มันหนักหนาสาหัสถึงขนาดที่เขาต้องเลิกกับแฟนในตอนนั้น

ในขณะเดียวกัน ทีมออกแบบของ Apple นำโดย Jonathan Ive ก็ทำงานในส่วนของกระบวนการออกแบบ Jobs ยืนกรานที่จะไม่ทำอะไรมากเกินไปกับผลิตภัณฑ์ เขาต้องการให้อุปกรณ์ใช้งานได้แต่เรียบง่าย และมีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ทีมของ Johnny Ive ตัดสินใจเลือกกล่องขนาดพอดีเท่าสำรับไพ่ หลังจากสร้างต้นแบบมาแล้วกว่าสิบชิ้น พวกเขาใช้โพลีคาร์บอเนตสีขาวที่ด้านหน้าอุปกรณ์และสแตนเลสสตีลที่ด้านหลัง เป็นรูปแบบที่เรียบง่ายคล้ายกับวิทยุพกพา Braun T3 ผลงานของ Dieter Rams นักออกแบบอุตสาหกรรมชาวเยอรมัน ซึ่ง Johnny Ive ชื่นชมผลงานการออกแบบที่เรียบหรูและเป็นแรงบันดาลใจของเขามาโดยตลอด

ชื่อ iPod ถูกเสนอโดย Vinnie Chieco นักเขียนอิสระจากซานฟรานซิสโก Jobs มักพูดถึงแนวคิด Digital Hub ของ Apple บ่อยๆ ขณะพูดคุยเกี่ยวกับเครื่องเล่น โดย Mac เป็นศูนย์กลางสำหรับอุปกรณ์อื่นๆ และ Chieco เปรียบเทียบศูนย์กลางนี้เหมือนยานอวกาศ ในขณะที่ยานเล็กๆ หรือ “pod” จะเข้าออกมาเชื่อมต่อ

เมื่อเห็นต้นแบบ การออกแบบสีขาวทำให้เขานึกถึงภาพยนตร์เรื่อง 2001: A Space Odyssey จึงคิดคำว่า “pod” ขึ้นมา และเติมคำนำหน้า “i” เพื่อให้เข้ากับ iMac

หลังจากทำงานหนักมาหกเดือน อุปกรณ์ก็พร้อมแล้ว ในวันที่ 23 ตุลาคม 2001 Steve Jobs เปิดตัว iPod สู่โลก แม้จะมีราคา 399 ดอลลาร์ แต่ผู้คนก็รักอุปกรณ์นี้และมันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความ Cool อย่างรวดเร็ว ด้วยความจุ 1,000 เพลง มันเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่สำหรับเครื่องเล่น MP3 แต่ตรงกันข้ามกับความเชื่อทั่วไป มันไม่ได้ประสบความสำเร็จในทันที

iPod ที่กลายเป็นสินค้ายอดฮิตทันทีหลังเปิดตัว (CR:Wikipedia)
iPod ที่กลายเป็นสินค้ายอดฮิตทันทีหลังเปิดตัว (CR:Wikipedia)

Steve Jobs ยืนกรานว่า iPod ควรมีให้ใช้งานเฉพาะกับ Mac เท่านั้น เขาคิดว่าผลิตภัณฑ์นี้น่าดึงดูดมากพอที่จะทำให้ผู้คนเปลี่ยนมาใช้ระบบนิเวศของ Apple

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการตัดตลาดขนาดใหญ่ออกไป ในที่สุดผู้บริหารระดับสูงก็โน้มน้าวให้ Jobs ยอมให้ใช้งานบน Windows ได้ด้วย และนับจากช่วงเวลานั้น iPod ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก

iPod ได้ปูทางสู่การครองตลาดในอุตสาหกรรมดนตรีของ Apple บริษัทเปิดตัว iTunes Store ทำให้ผู้ใช้สามารถซื้อเพลงแต่ละเพลงได้ในราคา 99 เซนต์แทนการซื้อทั้งอัลบั้ม iTunes ครองส่วนแบ่งตลาดดาวน์โหลดเพลงถึง 70% ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดในปี 2007

แม้ตัวเลขจะน่าประทับใจ แต่กลับไม่สำคัญสำหรับ Apple เพราะ iTunes เป็นเพียงตัวขับเคลื่อนให้กับผลิตภัณฑ์หลักที่ทำเงินคือ iPod

iPod เพียงเครื่องเดียวพลิกฟื้นบริษัท Apple ขึ้นมา ด้วยยอดขายกว่า 100 เครื่องต่อนาที มันแก้ปัญหาสถานการณ์ทางการเงินและทำให้บริษัทกลับมา “Cool” อีกครั้ง จากที่เคยเป็นบริษัทที่กำลังล้มเหลวในยุค 90

บทสรุป

Apple ขาย iPod ไปมากกว่า 400 ล้านเครื่องก่อนที่จะยุติผลิตภัณฑ์ iPod ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2022 ซึ่งต้องบอกว่า Apple ได้สร้างสายผลิตภัณฑ์ในหลากหลายรุ่นตั้งแต่ iPod mini, Shuffle, Nano และ Touch มีหลากหลายรูปแบบ สี ขนาด และฟีเจอร์ แต่ทุกรุ่นของ iPod ยังคงแก่นแท้เดียวกันคือความเรียบง่ายและการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ

เรื่องราวของการสร้าง iPod นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งทางด้านวิศวกรรมและการออกแบบมากมาย แต่ Steve Jobs เชื่อมั่นว่าทีมของเขาจะทำได้ เขาทำให้ทีมของเขาทำสิ่งที่ใครในโลกไม่คิดว่าจะทำได้ 

iPod มันจึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่วิเศษที่สุด มันเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรีได้เลยด้วยซ้ำ และมันเป็นการพลิกโฉมของ Apple เข้าสู่ยุคใหม่อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

และเพราะ ipod นี่เอง ที่ทำให้ Jobs กล้าที่จะสร้าง iPhone หรือ iPad ตามมาได้ เพราะเขาสามารถทำเรื่องที่เหลือเชื่อ ด้วยทีมที่มีความพร้อมขนาดนี้ได้แล้ว มันทำให้ Jobs กล้าที่จะทำอะไรแหกกฏที่เคยมีมา ลองจินตนาการกลับไปทั้งยุคของเครื่องเล่น MP3 ก่อน ที่ iPod จะผลิตออกมา หรือมือถือสมาร์ทโฟนก่อนยุค iPhone

Jobs ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะทำได้ทั้งนั้น เพราะมันแตกต่าง มันไม่เหมือนใคร และมันเป็น DNA ของการ Think Different ที่เป็น DNA หลักของ Apple เลยก็ว่าได้ เมื่อ Jobs พร้อมจะลุย ลูกทีมของเขาก็พร้อมจะสู้กับ Jobs ไม่ว่าอุปสรรคจะยากหรือท้าทายมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยกลัว

เมื่อเวลากลายเป็นอาวุธของมิจฉาชีพ : ถอดรหัสจิตวิทยา! ทำไมคนฉลาดยังโดนหลอกด้วยความรีบ

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวกระโดด การสื่อสารไร้พรมแดน และข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็ว มนุษย์กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่ในการตัดสินใจภายใต้แรงกดดันด้านเวลา

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจมาก ๆ จากเวที Ted Talks ในหัวข้อ How scammers rush you into poor choices โดย Zhuanghua Shi ศาสตราจารย์ในภาควิชาจิตวิทยา (GSN-LMU) และหัวหน้านักวิจัยที่ Multisensory Perception Lab ที่ LMU Munich

Zhuanghua ได้ยกตัวอย่างเรื่องราวของ Julia นักศึกษาสาวผู้ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงทางออนไลน์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของการตัดสินใจภายใต้ความเร่งด่วนของเวลา

เมื่อ Julia ได้รับอีเมลขอความช่วยเหลือที่เนื้อหาภายในอีเมลนั้นแฝงไปด้วยความรีบเร่ง เธอตอบกลับพร้อมให้เบอร์โทรศัพท์โดยทันที โดยไม่ทันได้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล

เพียงหนึ่งชั่วโมงต่อมา ข้อความตอบกลับที่ร้องขอให้ซื้อบัตรของขวัญจากร้านสะดวกซื้อพร้อมลงท้ายด้วยชื่อของอาจารย์ ทำให้เธอตระหนักได้ว่านี่คือการหลอกลวง แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อข้อมูลส่วนตัวของเธอตกไปอยู่ในมือของมิจฉาชีพ

ในแต่ละวัน มีผู้ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงทางออนไลน์นับพันราย โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์โรคระบาดบีบให้ผู้คนต้องพึ่งพาการทำธุรกรรมออนไลน์มากขึ้น มิจฉาชีพได้พัฒนารูปแบบการหลอกลวงให้ซับซ้อนและแยบยลยิ่งขึ้น พวกเขาใช้เทคนิคการสร้างความเร่งด่วนเพื่อบีบให้เหยื่อตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยขาดการไตร่ตรอง (ซึ่งในประเทศไทยก็เจอเคสแบบนี้มากมายเช่นเดียวกัน)

Zhuanghua กล่าวว่า การใช้คำที่กระตุ้นความรู้สึกเร่งด่วนเช่น “ด่วน” “ตอนนี้” “ทันที” ไม่ใช่เพียงคำธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยาที่ทรงพลัง เสมือนกับการกดปุ่มที่เชื่อมต่อกับวงจรความกลัวในสมองของมนุษย์ กระตุ้นให้เกิดการตอบสนองแบบอัตโนมัติโดยไม่ผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์

นักวิจัยด้านประสาทวิทยาได้ค้นพบว่า สมองของมนุษย์มีกลไกการตอบสนองต่อสัญญาณบ่งชี้เวลาที่ฝังรากลึกมาจากวิวัฒนาการ เมื่อบรรพบุรุษของเราต้องเผชิญกับภัยอันตราย การตอบสนองอย่างรวดเร็วคือกุญแจสำคัญของการอยู่รอด เปรียบเสมือนระบบเตือนภัยที่ถูกติดตั้งมาพร้อมกับการกำเนิดของมนุษยชาติ

ผลการวิจัยจาก Stanford University แสดงให้เห็นว่า เมื่อมนุษย์เห็นภาพที่แสดงผลในระยะเวลาสั้น สมองจะถูกกระตุ้นให้ตอบสนองเร็วขึ้นตามไปด้วย โดยการลดระยะเวลาการแสดงภาพลงเพียงเล็กน้อย สามารถทำให้เวลาในการตอบสนองลดลงได้ถึง 20% ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างการรับรู้เวลากับพฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์

การตอบสนองแบบอัตโนมัตินี้เปรียบเสมือนการเต้นของหัวใจที่เร่งเร็วขึ้นเมื่อร่างกายรับรู้ถึงภาวะคุกคาม เป็นกลไกที่ช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอันตรายมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ เหมือนฝูงนกที่บินหนีเมื่อได้ยินเสียงกิ่งไม้หัก หรือฝูงกวางที่วิ่งหนีเมื่อได้กลิ่นสิงโต แต่ในโลกยุคดิจิทัล กลไกนี้กลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกใช้ประโยชน์โดยผู้ไม่หวังดี

การศึกษาด้านพฤติกรรมศาสตร์พบว่า มนุษย์มีแนวโน้มที่จะตัดสินใจผิดพลาดมากขึ้นเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันด้านเวลา โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องประเมินความเสี่ยงหรือผลกระทบระยะยาว เช่นเดียวกับนักลงทุนที่ขายหุ้นทิ้งในช่วงตลาดผันผวนด้วยความตื่นตระหนก แทนที่จะพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน

ในโลกทุนนิยมยุคดิจิทัล ผู้คนมักถูกกระตุ้นด้วยการตลาดที่สร้างความเร่งด่วนแบบปลอม ๆ เช่น “ข้อเสนอจำกัดเวลา” หรือ “ด่วน รีบซื้อ” สิ่งเหล่านี้กระตุ้นความกลัวที่จะพลาดโอกาส จนนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด เหมือนกับการที่นักช็อปปิ้งออนไลน์หลายคนสั่งซื้อสินค้าในช่วงลดราคาพิเศษทันที โดยไม่ได้เปรียบเทียบราคาหรือคุณภาพกับผู้ขายรายอื่น

ในขณะที่วัฒนธรรมการทำงานของชาวญี่ปุ่น มีแนวคิดที่เรียกว่า “Ma” หมายถึงช่วงเวลาว่างระหว่างการทำงาน พวกเขาเชื่อว่าช่วงเวลาแห่งความว่างเปล่านี้มีความสำคัญไม่แพ้ช่วงเวลาแห่งการทำงาน เพราะเป็นโอกาสที่จิตใจและร่างกายได้เติมพลังและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เช่นเดียวกับศิลปินที่ต้องถอยห่างจากผลงานเพื่อมองเห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น

สุภาษิตเยอรมัน “Eile mit Weile” ที่แปลว่า “ความเร่งรีบนำมาซึ่งความสูญเปล่า” สะท้อนภูมิปัญญาที่สั่งสมมายาวนาน ไม่ได้หมายความว่าให้ละเลยงานเร่งด่วน แต่เตือนสติให้จัดการกับแรงกดดันด้านเวลาอย่างชาญฉลาด เหมือนนักดนตรีที่ต้องรู้จักจังหวะจะโคนในการบรรเลงเพลง บางช่วงต้องเร่งเร็ว บางช่วงต้องผ่อนช้า แต่ทุกจังหวะล้วนมีความหมายและความสำคัญ

ในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน การฝึกฝนทักษะการจัดการเวลาและความเร่งด่วนจึงกลายเป็นศิลปะที่สำคัญ เหมือนนักเต้นบัลเล่ต์ที่ต้องฝึกฝนการทรงตัวและการควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหว เราต้องเรียนรู้ที่จะอ่านและตีความสัญญาณของเวลาให้ถูกต้อง

การตระหนักรู้ถึงกลไกทางจิตวิทยาที่แฝงอยู่ในแรงกดดันด้านเวลา จะช่วยให้เราเท่าทันกลยุทธ์การหลอกลวงและการตลาดที่พยายามเร่งเร้าการตัดสินใจ เหมือนนักสืบที่ต้องมองทะลุกลอุบายของอาชญากร เราต้องฝึกสังเกตและวิเคราะห์รูปแบบการสร้างแรงกดดันที่ไม่จำเป็น

Zhuanghua แนะนำว่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เร่งด่วน ให้ถามตัวเองว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากเราถอยออกมาจากความเร่งรีบ เลื่อนเส้นตายออกไปสักเล็กน้อย หรือชะลอจังหวะลงเพื่อความชัวร์ ซึ่งคำตอบมักไม่ใช่หายนะอย่างที่หลายคนคิด

ท้ายที่สุด มนุษย์ต่างหากที่ควรเป็นผู้กำหนดเวลา ไม่ใช่ปล่อยให้เวลามาเป็นตัวกำหนดชีวิตของเรา Zhuanghua แนะนำให้รักษาสมดุลระหว่างความเร่งด่วนกับการคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เหมือนกัปตันเรือที่ต้องรู้จักอ่านสัญญาณของคลื่นลมและปรับทิศทางให้เหมาะสม เพราะนั่นคือหนทางสู่การตัดสินใจที่ชาญฉลาดและการใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยในยุคดิจิทัล

References :
How scammers rush you into poor choices | Zhuanghua Shi | TEDxTUM
https://youtu.be/vPHQ8rGNLgw?si=pTfa406svwxtU9Ep

Human-First x AI-First กับกลยุทธ์ Transformation ของ KBTG ในยุค Agentic AI

ในช่วงเวลาที่เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลก KBTG หรือกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป ได้วางรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต โดยมุ่งเน้นการผสานพลังระหว่างศักยภาพของมนุษย์และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ภายใต้วิสัยทัศน์ “Human-First x AI-First Transformation” พร้อมตั้งเป้าสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่มากกว่า 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปีข้างหน้า

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งในองค์กรที่น่าสนใจมาก ๆ ในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีของประเทศไทยสำหรับ KBTG ซึ่งถือเป็นองค์กรทางด้านเทคโนโลยีระดับท็อปที่ดึงดูดเอาบุคลากรมากความสามารถไปรวมตัวกันอยู่ในองค์กรแห่งนี้

ส่วนตัวมองว่าประเทศไทยเราก็มีคนศักยภาพด้านเทคโนโลยีอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าสังเกตในภาพปัจจุบันจะเห็นได้ว่าคนเก่ง ๆ มักจะไปกองรวมตัวกันที่อุตสาหกรรมทางด้านการเงินซะเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงกว่าในอุตสาหกรรมอื่น ๆ

นายเรืองโรจน์ พูนผล (คุณกระทิง) ประธานกลุ่มบริษัท KBTG ได้เผยถึงความสำเร็จในปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งองค์กรได้สร้างนวัตกรรม AI ที่หลากหลาย ตั้งแต่ AINU ระบบตรวจสอบและยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า, THaLLE แบบจำลองภาษาที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับภาษาไทย, Future You แอปพลิเคชันวางแผนการเงินส่วนบุคคล, คู่คิด ผู้ช่วยอัจฉริยะสำหรับเยาวชน, AI-Enabled VDO Analytics ระบบวิเคราะห์วิดีโอ และ Document OCR ระบบแปลงเอกสารให้เป็นข้อมูลดิจิทัล

คุณเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท KBTG ที่มาเล่าถึงการ Transformation องค์กรครั้งใหญ่
คุณเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท KBTG ที่มาเล่าถึงการ Transformation องค์กรครั้งใหญ่

ความสำเร็จที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งคือการพัฒนา AthenaMind แพลตฟอร์มสร้าง AI Agent ที่ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาโมเดล AI เฉพาะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย AI Agent ตัวแรกที่เปิดให้พนักงานใช้งานคือ HR Chat Agent ที่ช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของพนักงาน

จะเห็นได้ว่าหลากหลายเทคโนโลยีเหล่านี้ เป็นผลงานระดับท็อปแทบจะทั้งสิ้น และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ มีการไปตีพิมพ์ในวารสารทางด้านวิชาการระดับนานาชาติ

ผลงานวิจัยของ KBTG ยังได้รับการตีพิมพ์ในการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ The 62nd Annual Meeting of the Association for Computational Linguistics (ACL 2024) พร้อมทั้งมีผลงานตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติรวม 30 ฉบับ รวมถึงสื่อยักษ์ใหญ่มากมายทั่วโลกที่ให้การยอมรับผลงานของ KBTG

ดร. มนต์ชัย เลิศสุทธิวงค์ Principal Research Engineer and Head of AI Research ที่มาเล่าถึงผลงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากมาย
ดร. มนต์ชัย เลิศสุทธิวงค์ Principal Research Engineer and Head of AI Research ที่มาเล่าถึงผลงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากมาย

และ KBTG ยังเป็นองค์กรไทยเพียงแห่งเดียวที่ได้รับรางวัล The Innovators 2024 จาก Global Finance ในสาขา Compliance/Risk Innovation จากผลงาน Face Liveness Detection ที่ช่วยยกระดับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน

การสร้างพันธมิตรทางวิชาการและนวัตกรรมทั้งในและต่างประเทศก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สำคัญ โดย KBTG ได้ร่วมมือกับหน่วยงานชั้นนำมากมาย เช่น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย, AI Singapore, Google Research, MIT Media Lab และ AI Fund

สำหรับปี 2568 KBTG ได้วางยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์กรผ่านสามแกนหลักที่น่าสนใจมาก ๆ ได้แก่ Agentic Platformization การพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับสร้างและจัดการ AI Agent, Agentic Orchestration การออกแบบกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI และ Agentic Humanization การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้พร้อมทำงานร่วมกับ AI

ในด้านการพัฒนาบุคลากร KBTG ได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน AI อย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดตั้งชุมชนแห่งการเรียนรู้ภายในองค์กร เช่น M.A.D. Guild และ K-DAI Council ที่ช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างพนักงาน และพนักงานภายใต้องค์กรของ KBTG 100% ได้มีการอัพเกรดความรู้ในด้านเทคโนโลยี AI ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือว่าโหดมาก ๆ เมื่อเทียบกับองค์กรส่วนใหญ่ในประเทศไทยในขณะนี้

ผมมองว่าส่วนนี้ค่อนข้างน่าสนใจเพราะองค์กรใหญ่อย่าง KBTG ที่มีพนักงานระดับท็อปมากมายในสาขานี้ ได้ทำการทดลองแล้วว่าผลของการใช้ AI First เพียงอย่างเดียวนั้นมันไม่ work ในบริบทงานด้านอุตสาหกรรมการเงินของประเทศไทย ซึ่งสุดท้ายต้องมีการผสานระหว่าง AI และ Human ที่จะได้ผลลัพธ์จริงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

วิสัยทัศน์ “KBTG AI For Thailand” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาสังคมไทย ผ่านโครงการต่างๆ เช่น AI เพื่อการศึกษา AI เพื่อเป็นที่ปรึกษาสำหรับเยาวชน และ AI เพื่อการแพทย์ โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้าน AI ในระดับภูมิภาค

การเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ KBTG ไม่เพียงแต่จะสร้างประโยชน์ทางธุรกิจ แต่ยังเป็นต้นแบบให้กับองค์กรอื่นๆ ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน โดยคำนึงถึงการพัฒนาทั้งด้านเทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์ไปพร้อมกันนั่นเองครับผม

#KBTG
#KBTGHumanFirstxAlFirst
#AgenticAl
#KBTGTheYearOfAgenticAl2025

Testosterone กับพฤติกรรมเด็ก : เคล็ดลับเข้าใจธรรมชาติลูกชาย จากมุมมองวิทยาศาสตร์

ต้องบอกว่าร่างกายมนุษย์เรามีสารเคมีตัวหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด สารนี้แทรกซึมเข้าสู่เซลล์เกือบทุกเซลล์ในร่างกาย รวมถึงเซลล์ประสาท และมีอิทธิพลอย่างมากต่อการมีชีวิตรอด การเติบโต และการทำงานของเซลล์เหล่านั้น

ผลกระทบของมันไม่เพียงแต่ส่งผลต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลลึกซึ้งและยาวนานต่อสมองและพฤติกรรมด้วย สารเคมีที่ว่านี้คือ Testosterone หรือฮอร์โมนเพศชาย แม้ทั้งชายและหญิงจะมีฮอร์โมนนี้ แต่ในเพศชายมีมากกว่าถึง 15-20 เท่า

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจอีกครั้งจากเวที Ted Talks โดย Carole K. Hooven นักชีววิทยา ที่ได้มาเล่าถึงผลกระทบของฮอร์โมน Testosterone ต่อร่างกายและสมองของมนุษย์เรา

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การศึกษาด้าน Behavioral Endocrinology ได้เผยให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างฮอร์โมนและพฤติกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Testosterone ที่สามารถอธิบายความแตกต่างระหว่างเพศได้อย่างน่าทึ่ง อย่างไรก็ตาม ศาสตร์แขนงนี้กลับกลายเป็นประเด็นถกเถียงทางวัฒนธรรมยุคใหม่

ในปัจจุบัน แม้แต่การพูดถึงสิ่งที่นักชีววิทยาส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นความจริงที่ชัดเจน เช่น การมีสองเพศในการสืบพันธุ์ ก็อาจนำไปสู่การโต้แย้งได้ เนื่องจากความอ่อนไหวของประเด็นนี้ในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศที่อาจรู้สึกเจ็บปวดจากการใช้ภาษาเกี่ยวกับชีววิทยาของเพศ

อย่างไรก็ตามการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เรื่องเพศกลับได้รับความสนใจอย่างมากจากนักศึกษา เพราะช่วยให้พวกเขาเข้าใจร่างกายและความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น รวมถึงเกิดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นที่แตกต่างจากตนเอง

ประสบการณ์ส่วนตัวที่น่าสนใจของ Carole เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อน เมื่อเธอได้มีส่วนในการสร้างอวัยวะเล็กๆ สองอันที่ผลิต Testosterone ในมดลูก ซึ่งเชื่อมต่อกับทารกที่กำลังเติบโต ปัจจุบันทารกคนนั้นได้เติบโตเป็นเด็กชายที่มีพฤติกรรมการเล่นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการเล่นปล้ำสู้กับเพื่อน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงทั่วโลก

การศึกษาพบว่า Testosterone มีบทบาทสำคัญตั้งแต่ช่วงแรกของการพัฒนาในครรภ์ โดยทำหน้าที่กำหนดลักษณะทางเพศชาย เตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตอสุจิในอนาคต และที่สำคัญคือการทำงานในสมองเพื่อกระตุ้นพฤติกรรมต่างๆ เช่น การเล่นต่อสู้ ซึ่งมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพศผู้

ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของ Testosterone ของ Carole มีความลึกซึ้งขึ้นหลังจากการศึกษาชิมแปนซีป่าในยูกันดาตะวันตกเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี การสังเกตพฤติกรรมประจำวันของพวกมัน ทั้งการกิน เล่น นอน ต่อสู้ และสืบพันธุ์ แสดงให้เห็นรูปแบบพฤติกรรมที่มนุษย์และชิมแปนซีมีร่วมกันอย่างน่าทึ่ง

ที่น่าสนใจคือ ลูกชิมแปนซีตัวผู้มีพฤติกรรมการเล่นต่อสู้มากกว่าตัวเมีย ความเชื่อมโยงนี้น่าทึ่งเพราะแม้เราไม่ได้มีวัฒนธรรมร่วมกับชิมแปนซี แต่เรามียีนและฮอร์โมนเกือบทั้งหมดร่วมกัน รวมถึงระดับ Testosterone ที่สูงกว่าในเพศผู้

นอกจากนี้ ยังพบว่าชิมแปนซีตัวผู้ทุ่มเทเวลาและพลังงานในการแข่งขันเพื่อความเป็นผู้นำทางสังคมมากกว่าตัวเมีย พฤติกรรมนี้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้และการข่มขู่ รวมถึงสัญชาตญาณในการเลือกเวลาที่เหมาะสมในการท้าทายหรือถอยหนีจากการปะทะ

พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความเข้าใจว่าจะนำไปสู่โอกาสในการสืบพันธุ์ที่มากขึ้น แต่ตัวผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้มักประสบความสำเร็จในการส่งต่อยีนไปสู่รุ่นต่อไปมากกว่า และลูกชายของพวกมันก็จะสืบทอดแนวโน้มพฤติกรรมเหล่านี้ต่อไป ในมุมมองของวิวัฒนาการการมีชีวิตรอดเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ส่งต่อยีนจึงเป็นทางตันทางวิวัฒนาการ

สัตว์วัยเยาว์อย่างชิมแปนซีต้องเรียนรู้ทั้งทักษะการอยู่รอดและทักษะการสืบพันธุ์ผ่านการเล่น เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของมนุษย์ และมรดกทางวิวัฒนาการนี้ยังคงปรากฏให้เห็นในพฤติกรรมของเด็กๆ ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเด็กชายทุกคนต้องชอบเล่นปล้ำกับเพื่อน บางคนอาจชอบเล่นสร้างบ้านหรืออาจจะชอบแต่งตัวมากกว่า และพวกเขาควรได้รับอิสระในการเลือกกิจกรรมที่ชื่นชอบ ธรรมชาติไม่ได้กำหนดกฎตายตัวว่าแต่ละเพศควรเล่นอย่างไร

Carole เล่าประสบการณ์วัยเด็กของตนเองที่เคยเล่นปล้ำกับพี่ชายทั้งสามคนและเล่น Little League baseball แต่เมื่อเล่นกับ Annie ที่เป็นเพื่อนสนิทผู้หญิง กิจกรรมจะแตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเล่นเป็นครูสอนตุ๊กตาสัตว์ และที่แปลกไปกว่านั้นคือการเล่นสมมติเป็นพนักงานออฟฟิศ พัฒนาระบบจัดเก็บเอกสาร และใช้เวลามากมายในการกรอกแบบฟอร์มจากจดหมายขยะที่หยิบมาจากตู้จดหมายในละแวกบ้าน

การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า รายละเอียดของการเล่นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเสมอ แต่การเล่นโดยทั่วไปมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับทั้งสองเพศ เช่น การแก้ไขความขัดแย้ง และการค้นพบขีดความสามารถของตนเอง

ความแตกต่างในรูปแบบการเล่น โดยเฉพาะการที่เด็กหญิงมักชอบเล่นแบบดูแลเอาใจใส่กันมากกว่า ในขณะที่เด็กชายชอบเล่นต่อสู้มากกว่า อาจเป็นผลมาจากวิวัฒนาการที่หล่อหลอมทักษะจำเพาะที่แต่ละเพศจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อการสืบพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า Testosterone มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนพฤติกรรมเหล่านี้

หลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดมาจากการทดลองในสัตว์ทดลอง โดยพบว่าในสัตว์เพศเมีย เช่น หนูและลิง การเพิ่ม Testosterone ในช่วงพัฒนาการแรกเริ่มส่งผลให้การเล่นแบบรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกันการยับยั้ง Testosterone ในสัตว์เพศผู้ในช่วงเวลาเดียวกันทำให้พฤติกรรมการเล่นแบบรุนแรงลดลงอย่างชัดเจน

ในมนุษย์ เนื่องจากไม่สามารถทดลองปรับเปลี่ยนระดับฮอร์โมนในทารกที่อยู่ในครรภ์ได้ จึงต้องอาศัยหลักฐานทางอ้อม การศึกษาจำนวนมากเกี่ยวกับรูปแบบการเล่นของเด็กผู้หญิงที่ได้รับ Testosterone ในระดับสูงผิดปกติระหว่างอยู่ในครรภ์ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเด็กผู้หญิงเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะชอบการเล่นแบบรุนแรงมากขึ้น

แม้ว่าเรายังต้องเรียนรู้อีกมากเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างยีน ฮอร์โมน และวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อความแตกต่างทางเพศในพฤติกรรม แต่หลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่ชี้ให้เห็นว่าความแตกต่างของระดับ Testosterone และแรงกดดันทางวิวัฒนาการเป็นปัจจัยสำคัญที่อธิบายว่าทำไมเด็กชายจึงมีแนวโน้มที่จะชอบการเล่นปล้ำกับเพื่อนมากกว่าเด็กหญิง

การทดลองในหนูทดลองแสดงให้เห็นว่า การห้ามไม่ให้หนูตัวผู้เล่นแบบรุนแรงตามธรรมชาติ กลับนำไปสู่การพัฒนาเป็นหนูตัวผู้โตเต็มวัยที่ไม่สามารถจัดการกับแรงกระตุ้นที่ก้าวร้าวของตัวเองได้ พวกมันกลับมีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น ไม่สามารถร่วมมือกับตัวอื่น ตอบสนองต่อสัญญาณทางสังคมได้ไม่เหมาะสม และมีปัญหาในการหาคู่

แม้ว่ามนุษย์จะแตกต่างจากสัตว์อื่นๆ แต่สิ่งที่เราพิเศษกว่าคือความสามารถในการคิดไตร่ตรอง พูดคุย และร่วมกันตัดสินใจว่าจะควบคุมแรงกระตุ้นที่อาจเป็นอันตรายได้อย่างไร

วัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการสร้างความแตกต่างเหล่านี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือความแตกต่างของระดับความรุนแรงระหว่างผู้ชายในประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่ได้เกิดจากความแตกต่างทางชีววิทยา แต่เป็นผลมาจากปัจจัยทางวัฒนธรรม กฎหมาย ระบบสาธารณสุข และความเหลื่อมล้ำทางสังคม

การละทิ้งหรือบิดเบือนความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเพศออกจากการสนทนาในสังคม อาจทำให้เราสูญเสียโอกาสในการทำความเข้าใจตนเองและผู้อื่น วิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการเล่นแบบเพศชายไม่ใช่จุดเริ่มต้นของ “ความรุนแรงของเพศชาย” แต่เป็นพฤติกรรมที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการที่เราไม่ควรยับยั้ง

การมี Testosterone ในระดับที่เหมาะสมตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาเป็นปัจจัยสำคัญที่หล่อหลอมให้เด็กชายเติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าในช่วงวัยรุ่น Testosterone จะพุ่งสูงถึงจุดสูงสุด แต่หากได้รับการดูแลและเข้าใจอย่างเหมาะสม เด็กชายก็สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้

ท้ายที่สุด สิ่งสำคัญคือการส่งเสริมให้เด็กๆ ได้เล่นและมีปฏิสัมพันธ์ในโลกจริงมากกว่าโลกเสมือน โดยเฉพาะการเล่นกลางแจ้งที่ช่วยพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ ความเข้าใจในวิทยาศาสตร์เรื่องเพศจะช่วยให้เราสามารถสนับสนุนพัฒนาการของเด็กแต่ละคนได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

References :
How Testosterone and Culture Shape Behavior | Carole K. Hooven | TED
https://youtu.be/HYnZy2Cx7UM?si=vuaqF3dRPUBpbSIB