ยุค AI แล้วไง? เมื่อโลกเรากำลังเข้าสู่ยุคทองของคนทำงาน

ต้องบอกว่าแม้ยุค AI กำลังจะบูมถึงจุดสูงสุด เทคโนโลยีอย่าง Generative AI กำลังเข้ามาแย่งงานจากผู้คนจำนวนมากในหลากหลายอาชีพ แต่ยุคทองของการทำงานจริง ๆ กำลังจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะงานที่ใช้แรงงานทางกายภาพซึ่งยากต่อการถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี

รายงานจาก World Economic Forum แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าเครื่องจักร AI จะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงาน 85 ล้านตำแหน่งในปี 2025 แต่ก็จะมีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้นมา 97 ล้านตำแหน่งในปีเดียวกัน

ย้อนกลับไปในยุคพีคที่สุดของการย้ายฐานการผลิตในปี 2015 ในช่วงที่ประชากรวัยทำงานจากประเทศจีนอยู่ในระดับจุดสูงสุดถึง 998 ล้านคน

บริษัทจากโลกตะวันตกส่วนใหญ่ต่างข่มขู่แรงงาน ขูดรีดเงินเดือน ค่าจ้างอย่างไม่เป็นธรรม โดยขู่ว่าจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศจีน เพื่อบีบค่าแรงให้ต่ำลง

แต่ตัดภาพมาถึงวันนี้ ประชากรวัยทำงานของจีนกำลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ก็ประสบปัญหาในการสร้างขีดความสามารถทางด้านอุตสาหกรรม

ความไม่แน่นอนโดยเฉพาะปัญหาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ทำให้การจ้างงานในต่างประเทศลดน้อยลง โลกตะวันตกเองกำลังเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก โดยเฉพาะจำนวนประชาการที่มีอายุระหว่าง 20-54 กำลังสูญหายไป

การสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ใน 41 ประเทศโดย ManPowerGroup พบว่า 77% ของบริษัทส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานเพิ่มขึ้น 2 เท่านับตั้งแต่ปี 2015

สองในสามของโรงงานอุตสาหกรรมในโปแลนด์มีการรายงานว่าปัญหาการขาดแคลนแรงงานเป็นหนึ่งในอุปสรรคหลักต่อการผลิต

ในเยอรมนี บริการขนส่งสาธารณะถูกลดจำนวนลงไปเพราะขาดพนักงานขับรถและพนักงานรถไฟ ในเกาหลีใต้ผู้สูงอายุจำนวนมากยังคงทำงานต่อเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดแคลนแรงงาน โดย 59% ของประชากรอายุ 55 ถึง 79 ปี ยังคงทำงาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 53% เมื่อ 10 ปีที่แล้ว

การสำรวจบริษัทขนาดเล็กในอเมริกาพบว่า มากกว่า 90% พยายามรักษาพนักงานไว้หากเป็นไปได้ ในเยอรมนีที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะงักงันตั้งแต่ต้นปีที่แล้วมีการโฆษณารับสมัครงานที่ศูนย์จัดหางานกว่า 730,000 ตำแหน่ง ซึ่งใกล้เคียงกับสถิติสูงสุด

ส่วนใหญ่ของประเทศกลุ่ม OECD รวมถึงอเมริกาและฝรั่งเศส ต้องเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้เป็นไปตามอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา ในประเทศตะวันตกส่วนใหญ่มีการใช้จ่ายหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสีเขียว ลดการพึ่งพาจีน และสร้างงานใหม่ ๆ

ด้วยยุคทองของตลาดแรงงานกระตุ้นให้สหภาพแรงงานเรียกร้องวันหยุดที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนายจ้างต่างก็กังวลเป็นอย่างมาก ในขณะที่พวกเขากำลังประสบสภาวะขาดแคลนแรงงานอยู่แล้ว

คนงานเหล็กในเยอรมนีเรียกร้องให้ลดเวลาทำงานลงเหลือ 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในสเปนรัฐบาลใหม่ต้องตัดเวลาทำงานมาตรฐานที่ราว ๆ 40 ชั่วโมงลง 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งแม้แต่ชาวอเมริกันก็ต้องการทำงานน้อยลง

เทคโนโลยีกับตลาดแรงงาน

นายจ้างหลายรายหวังว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะช่วยแบ่งเบาภาระของพวกเขา เทคโนโลยี AI สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้มากยิ่งขึ้น การใช้ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่เมื่อก่อนอาจจะเป็นข้อจำกัดของเทคโนโลยีเหล่านี้

Dean Alderucci จากมหาวิทยาลัย คาร์เนกี้ เมลอน และเพื่อนร่วมงานได้ใช้ข้อมูลจากสิทธิบัตรอเมริการะหว่างปี 1990 ถึง 2018 พบว่าบริษัทที่นำ AI ขั้นพื้นฐานมาใช้มีอัตราการเติบโตของการจ้างงานสูงขึ้น 25% และรายได้เพิ่มขึ้น 40%

หากเทคโนโลยีช่วยเหลือพนักงานบริการ เช่น ในศูนย์ Call Center ทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นทำให้ประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของลูกค้าสูงขึ้นด้วย

งานวิจัยใหม่โดย Erik Brynjolfsson จาก MIT พบว่าเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากบอท AI พนักงานเหล่านี้สามารถแก้ไขปัญหาได้มากขึ้นถึง 14% ต่อชั่วโมง โดยพนักงานที่มีผลงานต่ำ ๆ จะได้รับประโยชน์จากเครื่องมือเหล่านี้มากที่สุด

พนักงานบางกลุ่มจะได้รับประโยชน์จาก AI มากกว่า เช่น แพทย์หรือทนายความ ซึ่งต้องมีการตัดสินใจระดับสูงที่มีความเสี่ยงในสถานการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งมันอาจไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเสมอไป การตัดสินใจเหล่านี้จึงต้องการการฝึกฝนอย่างหนักและประสบการณ์ ซึ่ง AI อาจช่วยคนเหล่านี้ไปถึงระดับความเชี่ยวชาญที่จำเป็น

ซึ่ง AI จะนำพาผู้คนจำนวนมากเข้าสู่งานที่ต้องการความเชี่ยวชาญที่ได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น จินตนาการว่าพยาบาลสามารถที่จะช่วยเหลือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้มากยิ่งขึ้น หรือ โปรแกรมเมอร์มือใหม่ที่สามารถรับงานโหด ๆ ได้มากขึ้นพร้อมกับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น

ค่าตอบแทนน้อยลงแต่ได้รับผลผลิตที่สูงขึ้น

ต้องบอกว่าคนงานในงานที่ได้รับผลกระทบจาก AI อาจะได้รับประโยชน์จากผลผลิตที่สูงขึ้นของพวกเขา เพราะสามารถรับจำนวนลูกค้าได้มากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะได้รับค่าตอบแทนจากงานแต่ละงานน้อยลงไปก็ตาม

ผลผลิตที่สูงขึ้นนำไปสู่อุปสงค์ที่มากขึ้นในส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น หากมีหุ่นยนต์ที่ทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ในการผลิตโทรศัพท์มือถือ การใช้หุ่นยนต์ก็จะนำไปสู่โทรศัพท์ที่มีราคาถูกลง

อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น และการผลิตที่มากขึ้นส่งผลต่อจำนวนงานของเหล่านักออกแบบโทรศัพท์และนักเขียนแอปพลิเคชั่นที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย

การศึกษาล่าสุดโดย Daron Acemoglu จาก MIT โดยใช้ข้อมูลระหว่างปี 2009 ถึง 2020 พบว่าการใช้หุ่นยนต์หมายความว่าค่าจ้างจะเพิ่มสูงขึ้นสำหรับเหล่าคนงานที่ไม่ได้ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ และประโยชน์เหล่านี้ยังแพร่กระจายไปยังบริษัทอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

บทสรุป

เศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยีอย่าง AI ทำให้มีกิจกรรมที่ไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ระหว่างปี 1980 ถึง 2010 ประมาณครึ่งหนึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจมาจากการเติบโตของการจ้างงาน หรือสร้างงานใหม่ ๆ แม้ว่า AI จะแย่งงานบางอย่างไป งานใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ AI และในส่วนอื่นๆ ของระบบเศรษฐกิจ

ซึ่งทักษะที่จำเป็นในการทำงานใหม่ๆ เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นทักษะทางด้านเทคโนโลยีเสมอไป แต่เป็นทักษะที่ใช้ในการตอบโต้กับ AI ได้ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลอาจมองหาพยาบาลยุคใหม่ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องมือ AI

และการเปลี่ยนแปลงด้านประชากร โดยเฉพาะประชากรสูงอายุที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ แห่ง จะทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้แรงงานทางกายภาพ

ตราบใดที่นโยบายการคลังยังขยายตัว ความกดดันให้เพิ่มค่าจ้างจะดำเนินต่อไป ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการใช้ AI มากขึ้น ที่อาจเป็นการผลักดันค่าจ้างให้สูงขึ้นด้วย และสุดท้ายทุกคนจะได้ใช้ประโยชน์จาก AI มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/finance-and-economics/2023/11/28/welcome-to-a-golden-age-for-workers
https://www.makeuseof.com/reasons-artificial-intelligence-cant-replace-humans/
https://www.weforum.org/publications/the-future-of-jobs-report-2020/in-full/executive-summary/

China’s Chip Dream อำนาจ ศรัทธา กับการถูกวางยาจากพญาอินทรี

เมื่อเมืองอู่ฮั่นของจีนถูกปิดในวันที่ 23 มกราคม 2020 ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั่นทำให้เมืองต้องเผชิญกับข้อจำกัดที่เข้มงวดและยาวนานที่สุดเมื่อเทียบกับเมืองอื่น ๆ ทั่วโลก

รัฐบาลจีนสั่งการเด็ดขาดปิดการเดินทางเข้าและออกจากอู่ฮั่น ตั้งจุดตรวจรอบเมือง ปิดธุรกิจต่าง ๆ และสั่งห้ามประชาชนเกือบ 10 ล้านคนไม่ให้ออกจากที่พักจนกว่าการปิดเมืองจะสิ้นสุดลง

ไม่เคยมีปรากฎการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนที่มหานครขนาดใหญ่อย่างอู่ฮั่น ทางหลวงว่างเปล่า ทางเท้ารกร้าง สนามบินและสถานีรถไฟถูกปิด ยกเว้นโรงพยาบาลและร้านขายของชำเท่านั้นที่อนุโลมให้เปิดทำการ

แต่มันมีข้อยกเว้นอยู่สิ่งเดียวนั่นก็คือ Yangzte Memory Technologies Corporation (YMTC) ซึ่งตั้งอยู่ในอู่ฮั่น ซึ่งเป็นแหล่งผลิตหน่วยความจำ NAND ชั้นนำของจีน โดยเป็นชิปประเภทหนึ่งที่ใช่แพร่หลายในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึง USB Flash Drive

ปัจจุบันมี 5 บริษัทที่ผลิตชิป NAND ที่แข่งขันกันอยู่ในตลาดโลก แต่แทบไม่มีสำนักงานในจีน เหล่าผู้เชี่ยวชาญของจีนมองว่าโอกาสที่ดีที่สุดของจีนในการบรรลุความสามารถในการผลิตชิประดับโลกก็คือการผลิตหน่วยความจำ NAND

Tsinghua Unigroup ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในบริษัทผลิตชิปทั่วโลก ทุ่มเงินอย่างน้อย 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์ให้แก่ YMTC ควบคู่ไปกับกองทุนชิปแห่งชาติของจีนและเงินลงทุนจากรัฐบาลท้องถิ่น

การสนับสนุน YMTC ของรัฐบาลจีนนั้นสุดยอดมาก แม้แต่ในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ COVID ก็ได้รับอนุญาตให้ทำงานต่อไปได้ รถไฟที่ผ่านอู่ฮั่นมีตู้โดยสารพิเศษสำหรับพนักงาน YMTC โดยเฉพาะ ทำให้สามารถเข้าไปในอู่ฮั่นได้แม้จะปิดเมืองก็ตาม

โรงงาน YMTC ในอู่ฮั่นที่ได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐบาลจีน (CR:eeNews Europe)
โรงงาน YMTC ในอู่ฮั่นที่ได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐบาลจีน (CR:eeNews Europe)

ผู้นำของจีนเต็มใจทำเกือบทุกอย่างเพื่อต่อสู้กับไวรัส COVID-19 แต่ความพยายามในการสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มีความสำคัญลำดับขั้นสูงสุด

การถูกวางยาโดยสหรัฐอเมริกานั้นได้กระตุ้นความบ้าคลั่งครั้งใหม่ของรัฐบาลจีนในการผลิตชิป สี จิ้นผิงทำการแต่งตั้ง หลิว เหอ ผู้ช่วยด้านเศรษฐกิจระดับแนวหน้าให้ดำรงตำแหน่ง “chip czar” ในการเป็นผู้นำในการสร้างฝันการผลิตชิปของจีน

แต่ในห่วงโซ่อุปทานที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของอุตสาหกรรมชิป ความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีนี้ที่หวังจะทำทุกอย่างได้ทั้งหมดนั้นเปรียบเสมือนดั่งความฝันลม ๆ แล้ง ๆ แม้กระทั่งสหรัฐอเมริกาก็ต้องมีการพึ่งพาบริษัทต่างชาติในหลายภาคส่วน

สำหรับประเทศจีนซึ่งขาดบริษัทที่สามารถที่จะแข่งขันในระดับโลกได้ในอุตสาหกรรมนี้ มันเป็นสิ่งที่ยากกว่ามาก เพื่อการปลดแอกอย่างสมบูรณ์ จีนจำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์การออกแบบที่ทันสมัย ความสามารถของเหล่าวิศวกรในการออกแบบ วัสดุขั้นสูง และความรู้ความชำนาญในการประดิษฐ์มันขึ้นมา

ตัวอย่างง่าย ๆ ในเคสเครื่อง EUV ของ ASML พวกเขาต้องใช้เวลาสามทศวรรษในการพัฒนา เครื่องจักร EUV มีส่วนประกอบหลายอย่างที่ประกอบขึ้นด้วยความท้าทายทางวิศวกรรมที่มีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก

การแค่จำลองเฉพาะเลเซอร์ในระบบ EUV จำเป็นต้องประกอบชิ้นส่วน 457,329 ชิ้นอย่างสมบูรณ์แบบ ข้อบกพร่องเพียงจุดเดียวอาจทำให้เกิดความล่าช้าหรือเกิดปัญหาในเรื่องความน่าเชื่อถือได้ทันที

EUV ของ ASML ที่มีความซับซ้อนในการผลิตสูง (CR:IEEE Spectrum)
EUV ของ ASML ที่มีความซับซ้อนในการผลิตสูง (CR:IEEE Spectrum)

ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารัฐบาลจีนได้ส่งสายลับที่ดีที่สุดเพื่อศึกษากระบวนการผลิตของ ASML มาแล้ว แต่แม้พวกเขาจะแฮ็กเข้าไปในระบบที่เกี่ยวข้องและดาวน์โหลดข้อมูลการออกแบบมาได้แล้วก็ตาม เครื่องจักรที่มีความซับซ้อนขั้นสูงนี้ก็ไม่สามารถที่จะคัดลอกและนำมาใช้งานได้ง่ายๆ เหมือนไฟล์ที่ถูกขโมย

เครื่องจักร EUV เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือมากมายที่ผลิตผ่านห่วงโซ่อุปทานข้ามชาติ การนำทุกส่วนของห่วงโซ่อุปทานมาผลิตในประเทศจีนเพียงประเทศเดียวจะเป็นต้นทุนที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อ

อุตสาหกรรมชิปใช้จ่ายเงิน 1 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีไปกับรายจ่ายด้านการลงทุน จีนจะต้องทำซ้ำในส่วนนี้แถมยังต้องสร้างฐานความเชี่ยวชาญและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ขาดอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งการสร้างห่วงโซ่อุปทานในประเทศทั้งหมดจะใช้เวลากว่าทศวรรษและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าล้านล้านดอลลาร์ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้น ๆ

แต่ก็ต้องบอกว่าจีนไม่ได้ต้องการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศเขาทั้งหมด ปักกิ่งตระหนักดีว่าสิ่งนี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ จีนต้องการซัพพลายเออร์ที่ไม่ใช่ของสหรัฐฯ

แต่เนื่องจากความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาในอุตสาหกรรมชิปและอำนาจนอกอาณาเขตในเรื่องการจำกัดการส่งออก ซัพพลายเชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับอเมริกานั้นมันไม่แทบไม่มีอยู่จริงในอุตสาหกรรมนี้

หนึ่งในความท้าทายหลักของจีนในปัจจุบันคือชิปจำนวนมากใช้สถาปัตยกรรม x86 (สำหรับพีซีและเซิร์ฟเวอร์) หรือสถาปัตยกรรม Arm (สำหรับอุปกรณ์พกพา)

x86 นั้นถูกครอบครองโดยบริษัทสหรัฐสองแห่งคือ Intel และ AMD ในขณะที่ Arm ซึ่งออกใบอนุญาตให้บริษัทอื่นใช้สถาปัตยกรรมของตนเองนั้นอยู่ในสหราชอาณาจักร

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า RISC-V ซึ่งเป็นโอเพ่นซอร์ส ดังนั้นทุกคนจึงสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม

แนวคิดของสถาปัตยกรรมโอเพ่นซอร์สดึงดูดหลายภาคส่วนของอุตสาหกรรมชิป ใครก็ตามที่ต้องจ่าย Arm สำหรับใบอนุญาตในปัจจุบันก็ต้องการทางเลือกใหม่ ๆ ที่ไม่ต้องเสียเงิน

นอกจากนี้ความเสี่ยงในเรื่องของความปลอดภัยอาจลดลงไปด้วย เนื่องจากธรรมชาติของโอเพ่นซอร์ส เหล่าวิศวกรหัวกะทิทั่วโลกจะสามารถตรวจสอบรายละเอียดและระบุข้อผิดพลาดได้

และด้วยเหตุผลเดียวกัน นวัตกรรมอาจจะก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้นด้วยหลากหลายโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา RISC-V บริษัทในจีนก็ยอมรับ RISC-V เช่นกัน เพราะดูเหมือนมันจะเป็นกลางในปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้น

ในปี 2019 มูลนิธิ RISC-V ได้ย้ายจากสหรัฐอเมริกาไปยังสวิตเซอร์แลนด์ บริษัทอย่างอาลีบาบากำลังออกแบบโปรเซสเซอร์โดยใช้สถาปัตยกรรม RISC-V เช่นเดียวกัน

นอกเหนือจากการทำงานร่วมกับสถาปัตยกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นแล้ว จีนยังมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีกระบวนการที่เก่ากว่าเพื่อสร้างชิปลอจิก

ถึงแม้ว่าอย่างอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและศูนย์ข้อมูลระบบคลาวด์ที่ต้องการชิปที่ทันสมัยที่สุด แต่รถยนต์และอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภคอื่น ๆ มักใช้เทคโนโลยีการประมวลผลแบบเก่า ซึ่งมีประสิทธิภาพเพียงพอและราคาถูกกว่ามาก

การลงทุนส่วนใหญ่ในโรงงานแห่งใหม่ของจีน รวมถึงบริษัทต่าง ๆ เช่น SMIC แม้ตอนนี้จะดูเหมือนว่าพวกเขายังล้าหลัง แต่พวกเขาก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าจีนมีแรงงานในการผลิตชิปลอจิกที่ล้ำยุคและสามารถแข่งขันได้

ชิปที่ทันสมัยที่สุดที่ SMIC เคยผลิตจะเป็นรุ่น 14 นาโนเมตร และเนื่องจากพวกเขาถูกสหรัฐอเมริกาแบนในช่วงปลายปี 2020 ในการซื้อเครื่อง EUV จาก ASML ทำให้ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะสามารถผลิตชิปขั้นสูงกว่านี้ได้

แต่เมื่อปีที่แล้ว SMIC สามารถผลิตชิปขนาด 7 นาโนเมตรได้โดยการปรับแต่งเครื่อง DUV ที่เป็นรุ่นเก่ากว่า ซึ่งยังคงสามารถซื้อได้จาก ASML และมีความเป็นไปได้สูงที่ Huawei จะซื้อเทคโนโลยีและอุปกรณ์จาก SMIC เพื่อผลิตชิป 7 นาโนเมตรในมือถือเรือธงรุ่นใหม่อย่าง Mate 60 Pro

Huawei Mate 60 Pro ที่ใช้ชิป 7 นาโนเมตร (CR:Tbreak)
Huawei Mate 60 Pro ที่ใช้ชิป 7 นาโนเมตร (CR:Tbreak)

จีนยังลงทุนมหาศาลในวัสดุเซมิคอนดักเตอร์ที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น ซิลิกอนคาร์ไบด์และแกลเลียมไนไตรด์ ซึ่งแม้จะไม่สามารถทดแทนซิลิกอนบริสุทธิ์ในชิปส่วนใหญ่ได้ แต่จะมีบทบาทในอุปกรณ์อื่น ๆ เช่นระบบในยานยนต์ไฟฟ้า และเงินอุดหนุนจากรัฐบาลอาจจะทำให้พวกเขาสามารถเอาชนะได้ในสงครามราคา

สิ่งที่น่ากังวลสำหรับประเทศอื่น ๆ คือ เงินอุดหนุนจำนวนมหาศาลของจีนจะทำให้จีนสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดในหลายส่วนของห่วงโซ่อุปทานการผลิตชิป

โดยเฉพาะในภาคส่วนที่ไม่ต้องการเทคโนโลยีขั้นสูงสุด จีนดูมีแนวโน้มจะมีบทบาทสำคัญในการผลิตชิปโลจิกที่ไม่ล้ำสมัยมากนัก นอกจากนี้การที่พวกเขาทุ่มเงินไปกับวัสดุที่จำเป็นในการพัฒนาชิปสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

ในขณะเดียวกัน YMTC ของจีนก็มีโอกาสสูงที่จะแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดหน่วยความจำ NAND ซึ่งมีการประมาณการกันว่าส่วนแบ่งการผลิตชิปของจีนจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 15 ในช่วงเริ่มต้นของทศวรรษเป็นร้อยละ 24 ของกำลังการผลิตทั่วโลกภายในปี 2030 ซึ่งจะแซงหน้าไต้หวันและเกาหลีใต้ในแง่ของปริมาณ

จีนจะมีอำนาจมากขึ้นในการเรียกร้องเหล่าซัพพลายเออร์ให้ถ่ายโอนเทคโนโลยี พวกเขาจะมีกลุ่มแรงงานที่มีฐานที่กว้างขึ้นสำหรับการใช้งาน ซึ่งบริษัทผลิตชิปเกือบทั้งหมดของจีนต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากรัฐบาล

ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายระดับประเทศมากพอ ๆ กับเป้าหมายเชิงพาณิชย์

“การทำกำไรและการส่งออกในระดับนานาชาติ… ไม่ใช่สิ่งสำคัญ” ผู้บริหารคนหนึ่งของ YMTC บอกกับหนังสือพิมพ์ Nikkei Asia แต่บริษัทกำลังมุ่งเน้นไปที่ “การสร้างชิปของประเทศด้วยตัวเองและบรรลุความฝันอันยิ่งใหญ่ของประเทศจีน”

References :
เรียบเรียงจากหนังสือ Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology โดย Chris Miller
https://www.reuters.com/technology/huaweis-new-chip-breakthrough-likely-trigger-closer-us-scrutiny-analysts-2023-09-05/

Lithography Wars กับการต่อสู้ของ ASML สู่การผูกขาดเครื่องจักรในการผลิตชิป

ย้อนกลับไปในช่วงปี 1984 ในตอนนั้น ASML เป็นบริษัทที่เพิ่งเริ่มตั้งไข่ใหม่ ๆ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ แถมยังไม่มีเงินทุน ไม่ต้องคิดถึงการสร้างเครื่องจักรในการผลิตชิปรุ่นถัดไปของโลกที่คงเป็นแค่เรื่องในฝัน

ปีเดียวกันนั้นเองเป็นปีที่บริษัท Philips ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่จากเนเธอร์แลนด์ได้แยกแผนกในการสร้างเครื่องจักรผลิตชิปออกไป และก่อตั้งขึ้นเป็นบริษัทใหม่ในชื่อ ASML โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Veldhoven ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดนเนเธอร์แลนด์ที่ติดกับเบลเยียมมากนัก

มันดูจะไกลเกินฝันจริง ๆ สำหรับ ASML ที่จะกลายเป็นบริษัทระดับโลกในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แม้ยุโรปในยุคนั้นจะเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ แต่เห็นได้ชัดว่ายังตามหลัง Silicon Valley และทางฝั่งญี่ปุ่นอยู่สุดกู่

ASML นั้นใช้แนวคิดที่แตกต่างจากบริษัทจากญี่ปุ่นหรืออเมริกา โดยตัดสินใจที่จะประกอบระบบจากส่วนประกอบที่ทำการจัดหามาอย่างพิถีพิถันจากซัพพลายเออร์ทั่วโลก มันเป็นการพึ่งพาบริษัทอื่นในการสร้างส่วนประกอบหลักของเครื่องจักร และดูเหมือนว่าแนวคิดดังกล่าวนี้จะเต็มไปด้วยความเสี่ยงมากมาย

แต่ ASML เรียนรู้ที่จะจัดการกับมัน ในขณะที่เหล่าคู่แข่งโดยเฉพาะจากญี่ปุ่นทั้ง Canon และ Nikon นั้นพยายามที่จะสร้างทุกอย่างภายในบริษัท

ASML สามารถซื้อส่วนประกอบที่ดีที่สุดในตลาดได้ และเมื่อพวกเขาเริ่มมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเครื่อง EUV ความสามารถในการรวมเอาส่วนประกอบชั้นยอดจากแหล่งต่าง ๆ ของพวกเขา กลายมาเป็นจุดแข็งที่เด็ดที่สุด

ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่น้อย เพราะในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ASML จากเนเธอร์แลนด์ถูกมองว่าเป็นกลางในข้อพิพาททางการค้าระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา

Micron ที่เป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่ผลิต DRAM สัญชาติอเมริกัน ต้องการซื้อเครื่องจักรในการผลิต จึงได้เลือก ASML แทนการพึ่งพา Canon หรือ Nikon ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับคู่แข่งของ Micron ในญี่ปุ่น

การที่ ASML แยกตัวออกมาจาก Philips นั้นช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ TSMC จากไต้หวัน เพราะ Philips เองถือเป็นนักลงทุนรายสำคัญใน TSMC โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีกระบวนการผลิตรวมถึงทรัพย์สินทางปัญญาให้กับทางฝั่งของ TSMC ในช่วงเริ่มต้น

ASML จึงได้ฐานลูกค้าจาก TSMC เพราะโรงงานของ TSMC นั้นได้รับการออกแบบตามกระบวนการผลิตของ Philips เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อโรงงานของ TSMC เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1989 ทำให้ TSMC ต้องซื้อเครื่องจักรในการผลิตชิปเพิ่มอีก 19 เครื่อง และทั้งหมดถูกสั่งตรงมาจาก ASML

ASML และ TSMC เริ่มต้นจาการเป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีใครสนใจในอุตสาหกรรมผลิตชิปในช่วงแรก ๆ แต่พวกเขาก็เติบโตไปด้วยกันและสร้างความร่วมมือกันอย่างแข็งขัน

ฝั่งอเมริกาเอง Andy Grove กำลังเตรียมที่จะอนุมัติการลงทุนครั้งใหญ่ครั้งแรกของ Intel ในการวิจัยเครื่องมืออย่าง EUV เช่นเดียวกับที่ ASML กำลังทำอยู่

Andy Grove กำลังเตรียมที่จะอนุมัติการลงทุนครั้งใหญ่ครั้งแรกของ Intel ในการวิจัยเครื่องมืออย่าง EUV (CR:MetaSwitch)
Andy Grove กำลังเตรียมที่จะอนุมัติการลงทุนครั้งใหญ่ครั้งแรกของ Intel ในการวิจัยเครื่องมืออย่าง EUV (CR:MetaSwitch)

ซึ่งในช่วงปี 1992-1996 นั้น Intel เองก็ได้สร้างความร่วมมือกับห้องปฏิบัติการหลายแห่งที่ดำเนินการโดยกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญที่จำเป็นต่อการสร้างเครื่อง EUV มันดูเหมือนจะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเพราะเหล่าห้องวิจัยของอเมริกาที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างต้นแบบระบบ EUV แต่พวกเขามุ่งเน้นไปที่เรื่องวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การผลิตให้ได้จำนวนมาก ๆ ในสเกลอุตสาหกรรม

เป้าหมายของ Intel คือการสร้างสิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่แค่การวัดผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ Intel ต้องค้นหาบริษัทที่สามารถผลิตเครื่อง EUV ในปริมาณมาก ๆ ซึ่งเมื่อเหลียวมองไปยังบริษัทในอเมริกาแทบจะไม่มีบริษัทใดทำได้เลย

บริษัทที่สามารถสร้างเครื่องมือเหล่านี้ที่ใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่ในอเมริกาคือ Silicon Valley Group (SVG) ซึ่งมีความล้าหลังทางด้านเทคโนโลยี รัฐบาลสหรัฐเองยังคงอ่อนไหวจากสงครามทางการค้าในช่วงปี 1980 กับญี่ปุ่น จึงไม่ต้องการให้ Nikon และ Canon เข้ามามีส่วนร่วม แม้ว่า Nikon เองก็ไม่ได้คิดว่าเทคโนโลยี EUV มันจะใช้งานได้จริงก็ตาม ทำให้ ASML เป็นบริษัทเดียวที่เหลืออยู่ที่จะช่วยเหลือ Intel ได้

แต่แน่นอนว่าแนวคิดในการให้บริษัทต่างชาติเข้าถึงงานวิจัยที่ทันสมัยที่สุดจากห้องทดลองระดับชาติของอเมริกาทำให้เกิดความกังวลขึ้นในวอชิงตัน สถานการณ์ในตอนนั้นยังไม่มีการประยุกต์ใช้มันเพื่อใช้ในแวดวงทหาร และยังไม่ชัดเจนว่า EUV มันจะใช้งานได้จริง

แต่เหล่านักการเมืองอเมริกันเองมองว่า ASML และรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เป็นพันธมิตรที่เชือถือได้ สิ่งที่สำคัญกว่าสำหรับนักการเมืองชาวอเมริกันคือผลกระทบต่อการสร้างงานไม่ใช่เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์

รัฐบาลสหรัฐฯ ได้กำหนดให้ ASML สร้างโรงงานในสหรัฐฯ เพื่อผลิตชิ้นส่วนสำหรับสำหรับการสร้างเครื่อง EUV และว่าจ้างพนักงานชาวอเมริกัน แต่อย่างไรก็ตามการวิจัยและพัฒนาหลักของ ASML นั้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศเนเธอร์แลนด์

เมื่อถูกปิดกั้นไม่ให้ทำการวิจัยในห้องแล็บแห่งชาติของสหรัฐฯ Nikon และ Canon ก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่สร้างเครื่องมือ EUV ของตนเอง ปล่อยให้ ASML เป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในโลก

ในขณะเดียวกับในปี 2001 ASML ได้เข้าซื้อกิจการของ Silicon Valley Group ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องจักรในการผลิตชิปแห่งสุดท้ายของอเมริกา แต่ก็มีคำถามเกิดขึ้นอีกครั้งว่าดีลนี้มันเหมาะสมหรือไม่และจะส่งผลต่อเรื่องความมั่นคงของอเมริกาหรือไม่

ภายใน DARPA และกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ซึ่งให้ทุนกับอุตสาหกรรมนี้มาอย่างยาวนาน เจ้าหน้าที่บางคนได้มีการคัดค้านดีลดังกล่าว สภาคองเกรสก็แสดงความกังวลเช่นเดียวกัน โดยวุฒิสมาชิกสามคนได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี George W. Bush ว่า “ASML จะครอบครองเทคโนโลยี EUV ทั้งหมดของรัฐบาลสหรัฐฯ”

วุฒิสมาชิกได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี George W. Bush ถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นหาก ASML ครอบครองเทคโนโลยี EUV (CR:Flickr)
วุฒิสมาชิกได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี George W. Bush ถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นหาก ASML ครอบครองเทคโนโลยี EUV (CR:Flickr)

ฝั่งของ Intel ก็ได้ออกมาโต้แย้งในเรื่องดังกล่าวว่าการขาย Silicon Valley Group ให้กับ ASML มีความสำคัญต่อการพัฒนา EUV และเป็นพื้นฐานสำหรับอนาคตของการประมวลผล ซึ่งหากไม่มีการควบรวมกิจการเส้นทางในการพัฒนาเครื่องมือใหม่ในสหรัฐอเมริกาจะล่าช้าออกไปอีก

ดังนั้นเครื่อง EUV ยุคถัดไปจึงได้ถูกประกอบในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าส่วนประกอบบางอย่างจะยังคงสร้างขึ้นในโรงงานในคอนเนตทิคัต เครือข่ายทางวิทยาศาสตร์ที่ผลิต EUV นั้นมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก โดยรวบรวมนักวิทยาศาสตร์จากประเทศต่าง ๆ ทั้ง อเมริกา ญี่ปุ่น สโลวีเนียและกรีซ

แต่อย่างไรก็ตาม การผลิต EUV ไม่ได้มีการผลิตไปทั่วโลก แต่ถูกผูกขาดทั้งห่วงโซ่อุปทานที่จัดการโดยบริษัทเดียวนั่นก็คือ ASML ซึ่งสามารถที่จะควบคุมอนาคตของการผลิตชิปของโลกอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
เรียบเรียงจากหนังสือ Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology โดย Chris Miller
https://en.wikipedia.org/wiki/ASML_Holding
https://thechipletter.substack.com/p/the-founding-of-asml-part-1-the-philips
https://www.referenceforbusiness.com/history2/76/ASML-Holding-N-V.html
https://www.asml.com/en/products/euv-lithography-systems

Operation Grizzley Steppe ยุทธการพลิกฟ้าท้าทายพญาอินทรี

8 พฤศจิกายน 2016 มันเป็นวันประกาศชัยชนะของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างสุดเซอร์ไพรส์ มันเป็นวันฉลองของชาวอเมริกันส่วนใหญ่ในตอนนั้น ที่เลือกทรัมป์ เพราะหวังว่า ทรัมป์ จะนำพา America Great Again ดั่งคำหาเสียงของเขา

แต่เมื่อภาพตัดมาที่เครมลิน ที่รัสเซีย มันคือการประกาศชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหน่วยสืบราชการลับในประวัติศาสตร์ที่โลกเราเคยมีมา

ปูติน ไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปกับชาวอเมริกา พวกเขาจะพบกับความสับสนวุ่นวาย ความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกแบบที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนของชาวอเมริกัน แต่ปูติน รู้เพียงแค่ว่า นั่นมันคือ จุดอ่อนของประชาธิปไตย

และที่สำคัญในตอนนั้น ไม่มีชาวอเมริกันคนใด นึกถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ มันเป็นแผนการที่แยบยลเอามาก ๆ อำนาจของปูติน ได้แผ่ขยายไปยังสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ

ซึ่งแปดปีก่อนหน้า ที่สหรัฐได้ผู้นำที่มาจากพรรครีพับรีกัน ที่นำโดย บารัค โอบามา ประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา รวมถึงฮิลลารี คลินตัน ที่เป็นหนึ่งในทีมงานบริหารคนสำคัญของโอบามา

ปูติน มีความเกลียดชังส่วนตัวต่อทั้งคู่ ซึ่งนั่นเองที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาต้องเข้ามาแทรกแซง และกอรปกับ ช่วงเวลานั้น ในปี 2016 เป็นปีที่เหล่านักรบไซเบอร์ กองทหารสุดยอดนักรบของปูตินนั้นมีความพร้อม เพราะได้มีการปลูกฝังกันมานานกว่าทศวรรษ และเป้าหมายของพวกเขา คงไม่ใช่แค่เพียงเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ เพียงเท่านั้นอย่างแน่นอน

ปูติน ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับโอบามา (CR:FAZ)
ปูติน ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับโอบามา (CR:FAZ)

รัสเซียเลือกโจมตีไปที่ ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครคนสำคัญในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 จากพรรคเดโมแครต ด้วยข้อมูลหลุดจาก อีเมล ซึ่งรัสเซียใช้มันเป็นอาวุธสำคัญ ซึ่งเมื่อถึงการเลือกตั้ง มันก็ได้ผลดั่งที่หวัง

พวกเขาได้รับประโยชน์เต็มที่ จากการผลักดัน โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีได้สำเร็จ ไครเมียได้รับการยกเลิกการคว่ำบาตร การลงทุนของรัสเซียกลับมาเนื้อหอมอีกครั้ง แต่เพื่อบรรลุความฝันที่ยิ่งใหญ่ของปูติน เป้าหมายที่แท้จริงจะต้องเป็นการยุติเสรีประชาธิปไตยในอเมริกาและยุโรป และนำมาซึ่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการอนุรักษ์นิยมทั่วโลก

ซึ่งถ้าพูดกันถึงเรื่องการแฮ็ก นั้น ชาวรัสเซีย ไม่เป็นสองรองใครในโลกใบนี้อยู่แล้ว มันไม่ใช่งานยากเลยของทีมงานของปูติน ที่จะดำเนินการในเรื่องดังกล่าว แต่การต่อสู้กับดินแดนมหาอำนาจทางเทคโนโลยีอย่างอเมริกา มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเสมอไป

เช่นเดียวกับการโจมตี 9/11 นักการเมืองสหรัฐฯ และประชาชนชาวอเมริกัน คงไม่อาจจินตนาการถึงภัยคุกคามใหม่ ที่มาในโลกไซเบอร์ แม้หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐฯ เองจะไม่ไว้วางใจทั้ง มอสโกว์ และ ปักกิ่ง ก็ตามที

แต่กลายเป็นว่า สิ่งที่ทำให้แผนของ ปูติน ง่ายขึ้น มันเกิดขึ้นจากความช่วยเหลือขององค์กรในสหรัฐฯ เสียเอง สื่อเป็นส่วนช่วยอย่างมาก โดยการยกระดับการขโมยอีเมล์ ให้กลายเป็นเรื่องระดับชาติ

สำหรับผู้สนับสนุนทรัมป์มันได้เปิดเผยทุก ๆ สิ่งที่พวกเขาเคยสงสัยเกี่ยวกับ ฮิลลารี คลินตัน ไม่ว่าทรัมป์ จะมีภาพลักษณ์อย่างไร แต่มันก็เป็นการยอมรับอำนาจอันสูงสุดของคนผิวขาว และที่สำคัญชาวอเมริกันคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเลือกใครซักคนเพื่อมาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งหนึ่ง

สำหรับแผนการแฮ็กอเมริกา ซึ่งทาง FBI ได้ใช้ชื่อรหัสในภายหลังว่า Operation GRIZZLEY STEPPE เริ่มถูกดำเนินการในช่วงฤดูร้อนของปี 2015

หน่วยข่าวกรองทางการทหารของรัสเซีย ดำเนินแผนการระยะยาวเพื่อเจาะเซิร์ฟเวอร์ของ Democratic National Committee (DNC)

ด้วยการรักษาความปลอดภัยที่หละหลวมอย่างเหลือเชื่อ กับประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา มันทำให้สายลับชาวรัสเซียเจาะเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ไม่ยากนัก โดยสายลับของกองทัพรัสเซียออกอาละวาดอยู่ราว ๆ 7 – 10 เดือน ก่อนที่ฝั่งอเมริกาจะตรวจพบภัยคุกคาม

แต่เหล่าสายลับรัสเซีย ก็ได้ข้อมูลที่พวกเขาต้องการไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามีใครบางคนในหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐฯ ได้สังเกตเห็นความพยายามดังกล่าวนี้

เมื่อ DNC ถูกแฮ็ค

ในเดือนกันยายนปี 2015 FBI ได้ส่งประกาศไปยัง DNC ว่าระบบคอมพิวเตอร์ของพวกเขากำลังถูกเข้าถึงจากต่างชาติ และ ทาง DNC ได้ทำการตรวจสอบโดยละเอียดและไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดปรกติ

สายลับของกองทัพรัสเซีย ได้ย่องเข้ามาขโมย โดยที่เจ้าตัวแทบจะยังไม่รู้ว่ามีข้อมูลได้หลุดรั่วออกไป ต้องบอกว่าเป็นผลงานที่สุดยอดมาก ๆ ของสายลับจากแดนหมีขาว แน่นอนว่าเครื่องมือที่พวกเขาใช้นั้นสุดยอด เพราะมันคือ Advanced Persistent Threat-29 (ATP-29)

ต้องบอกว่า ATP-29 นั้นเป็นชุดแฮ็กที่รู้จักกันดี ซึ่งได้รับการขนานนามจากหลากหลายบริษัท แต่ชุดที่ใช้โจมตี DNC ของอเมริกานั้น เป็นชุดพิเศษที่มีชื่อว่า COZY BEAR ที่ได้จากบริษัท Crowstrike บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

ซึ่ง COZY BEAR นี่เองที่อยู่เบื้องหลังซอฟท์แวร์ของทหารหน่วยสืบราชการลับของกองทัพรัสเซีย ที่เป็นชุดมัลแวร์ที่มีความซับซ้อนสูงในการโจมตี และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาใช้ COZY BEAR เพราะมีการใช้งานหลายครั้งทั่วทุกมุมโลก

COZY BEAR เคยถูกใช้เพื่อเจาะเซิร์ฟเวอร์ทำเนียบขาวและเพนตากอนในปี 2014 และ 2015 เป็นระบบที่เจาะไปที่หน่วยงานพลเรือนเช่น DNC ในอดีตพวกเขาสามารถเข้าสู่ระบบของเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวได้ ดังนั้นข้อมูลพรรคการเมืองจึงเป็นเรื่องขี้ปะติ่วสำหรับพวกเขามาก ๆ

ในขณะที่กองทัพไซเบอร์ของรัสเซียนั้นประสบความสำเร็จในการเข้าถึงข้อมูลที่ DNC การโจมตีที่มีความเฉพาะเจาะจง ได้ดำเนินการโดยหน่วยงานสายลับอีกหน่วยที่เรียกว่า APT-28 และมีชื่อขนานนามว่า FANCY BEAR

ในโลกแห่งความปลอดภัยทางไซเบอร์ FANCY BEAR เป็นที่รู้จักกันดีว่าถูกควบคุมโดยหน่วยงานความั่นคงแห่งรัฐของรัสเซียหรือ FSB ซึ่งมีความแตกต่างจากยุค KGB เก่าก็คือ FSB นั้นมีงบประมาณที่สูงกว่ามาก และมีอิทธิพลมากกว่าในการดำเนินงานในต่างประเทศ

ในเดือนมิถุนายนปี 2016 Dmitri Alperovitch ซีอีโอของ Crowdstrike ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการแฮ็ก DNC ซึ่งบทความดังกล่าวมีชื่อว่า Bears in the Midst : Instruction to the Democratic National Comittee

Dmitri Alperovitch ซีอีโอของ Crowdstrike ที่ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการแฮ็ก DNC (CR:iTnews)
Dmitri Alperovitch ซีอีโอของ Crowdstrike ที่ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการแฮ็ก DNC (CR:iTnews)

และทำการเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า สายลับรัสเซีย ทำการแฮ็ก DNC ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีในชุมชนการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ แต่ในฝั่งพรรค รีพับรีกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โดนัลด์ ทรัมป์นั้น ไม่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว

Guccifer 2.0

ซึ่งไม่กี่วันหลังจากรายงานของ Crowstrike บล็อก WordPress ที่เขียนโดยบุคคลที่ใช้นามแฝงว่าว่า “Guccifer 2.0” ก็ปรากฏขึ้นบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งอ้างว่าเขาเจาะ DNC ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นแฮ็กเกอร์เพียงคนเดียวที่ทำสิ่งดังกล่าว

แต่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านไซเบอร์ต่างเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที เพราะเห็นได้ชัดว่า ชื่อนี้เป็นการแสดงความเคารพต่อ “Guccifer” แฮ็กเกอร์ชาวโรมาเนีย ที่เคยเผยแพร่อีเมลของ Colin Powell อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา และผู้มีอิทธิพลคนอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน

แต่เนื่องจาก Guccifer ตัวจริงนั้นถูกขังคุกอยู่ในสหรัฐฯ และได้ร่วมมือกับ FBI ไปก่อนหน้านี้แล้ว มันก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า Guccifer 2.0 คือใครกันแน่

ซึ่งนักข่าวและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์คาดการณ์อย่างรวดเร็วว่าบุคคลในบล็อกน่าจะเป็นชาวรัสเซีย เนื่องจากมีความเข้าใจภาษาโรมาเนียไม่ดีพอ และใช้แป้นพิมพ์ภาษารัสเซีย

Guccifer 2.0 เริ่มปล่อยข้อมูลที่ขโมยโดยการแฮ็ก COZY BEAR / FANCY BEAR สู่สาธารณะ เขาเริ่มต้นด้วยการเผยแพร่เอกสารทางการเงินของ DNC ตามด้วยเอกสารเกี่ยวกับ ฮิลลารี คลินตัน และเอกสารอื่น ๆ ที่มาจากเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ของ DNC

ช่วงแรกนั้นเอกสารกระจายอยู่แค่คนในวงชุมชนไซเบอร์เพียงเท่านั้น แต่สิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อ Wikileaks ของ Julian Assange ประกาศว่ามีอีเมล์ของ DNC หลุดออกมา และหลังจากนั้น ข่าวมันก็ได้ดังกระฉ่อนไปทั่วโลก สื่อกระแสหลักเริ่มหันมาให้ความสนใจ

ในวันที่ 22 ตุลาคมปี 2016 Wikileaks ได้ทำให้สื่อทั่วโลกต่างตกตะลึง ด้วยอีเมล์ DNC ที่ถูกขโมย 19,252 ฉบับจากเจ้าหน้าที่อาวุโสของ DNC รวมถึงผู้อำนวยการด้านการสื่อสารและทีมการเงินอาวุโส

ซึ่งเนื้อหาที่หลุดออกมานั้น ดูเหมือนจะมุ่งเน้นไปที่พรรคเดโมแครต ซึ่งได้เปิดเผยมุมมองของ เด็บบี วาสเซอร์แมน ชูล์ซ ทีมีต่อ เบอร์นี แซนเดอร์ส และ ฮิลลารี คลินตัน ซึ่ง ตัว ชูล์ซเองนั้นเป็นเพื่อนสนิทของคลินตัน จึงไม่น่าแปลกใจที่เธอนั้นจะสนับสนุนคลินตัน

แต่ประเด็นก็คือ การเปิดตัวอีเมล์ดังกล่าวนั้น มีกำหนดพอดิบพอดี กับการที่จะมีการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตในฟิลาเดลเฟีย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน เจตนาของการรั่วไหลนั้นมันชัดเจนมาก ๆ

มันเป็นการแยกเบอร์นี แซนเดอร์ออกจากพรรคเดโมแครต และสร้างความเสียหายให้กับฮิลลารี คลินตัน ในหมู่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่เป็นอิสระและกลุ่มหัวก้าวหน้า

การปล่อยข้อมูลออกมาครั้งนี้ มันทำงานได้อย่างเพอร์เฟค มาก ๆ เพราะเพียงแค่เช้าวันแรกของการประชุม ผู้สนับสนุนของเบอร์นี แซนเดอร์ส ได้เริ่มออกมาเดินขบวนประท้วงสิ่งที่เกิดขึ้น รอยร้าวในพรรคเดโมแครต มันได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ผ่านการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว

ไม่นานหลังจากการเผยแพร่ข้อมูลจาก Guccifer 2.0 คำถามจริง ๆ จัง ๆ ก็ถูกถามดัง ๆ โดยผู้เชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น ว่า “ทีมของทรัมป์ทำงานร่วมกับรัสเซียในปฏิบัติการครั้งนี้หรือไม่” เพราะเห็นได้ชัดว่าหลังจากขึ้นครองตำแหน่งของทรัมป์นั้น นโยบายของเขาเป็นไปในทางบวกกับรัสเซียแบบที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ปี 2016 เช่นเดียวกับที่โดนัลด์ ทรัมป์กล่าวหามูลนิธิคลินตันว่าทุจริต Guccifer 2.0 อ้างว่าได้แฮ็ก เซิร์ฟเวอร์ของมูลนิธิ เอกสารดังกล่าวมาจากกลุ่ม DCCC ทรัมป์ตื่นเต้นกับข่าวนี้ แม้ว่ามูลนิธิของเขาเองก็ถูกเปิดเผยว่าถูกใช้เพื่อหาเงินเข้ากองทุนครอบครัวของเขาก็ตามที

หากทรัมป์ไม่สมรู้ร่วมคิดกับรัสเซียจริง แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาพูดมันจะย้อนแย้งกับสิ่งที่เขาพยายามปฏิเสธ วันที่ 27 กรกฏาคม ปี 2016 เพียง 48 ชั่วโมงหลังจากการแพร่ข้อมูลหลุดจาก DNC

ทรัมป์ได้เรียกร้องให้มอสโกแฮ็กและปล่อยอีเมลมากขึ้น ทรัมป์กล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาแฮ็กทั้งหมดจริง ๆ พวกเขาอาจมีอีเมล 33,000 ฉบับ ผมหวังว่าพวกเขาจะทำ พวกเขาอาจมีอีเมล 33,000 ฉบับที่เธอทำหาย และ ลบไป… รัสเซียคุณฟังผม หวังว่าคุณจะพบอีเมล 33,000 ฉบับที่หายไป”

สำหรับหน่วยข่าวกรอง และหน่วยงานด้านการต่อต้านข่าวกรองและเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ คำแถลงดังกล่าว จะเป็นประเด็นสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเข้าด้วยกัน ซึ่งจะนำไปสู่การสอบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา

ซึ่งมีการสืบสวนจาก FBI และหน่วยงานอื่น ๆ ที่พบว่า สมาชิกการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์ มีการพบปะกับรัสเซียแทบจะทุกที่ แต่พวกเขาปฏิเสธการประชุมที่เกิดขึ้น

เมื่อถึงเวลาการเลือกตั้ง จะมีเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูง หรือเจ้าหน้าที่หาเสียงมากกว่า 12 คน ที่จัดการประชุมตัวต่อตัว 19 ครั้ง และ มีการสื่อสารกับชาวรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับเครมลินมากกว่า 51 ครั้ง แต่พวกเขาส่วนใหญ่เหล่านี้ปฏิเสธเรื่องราวดังกล่าว และอ้างว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า พวกเขากำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ แต่มันคืออะไร?

National Security Branch (NSB) ของ FBI คือกลุ่มเจ้าหน้าที่ต่อต้านข่าวกรองที่มีความเชี่ยวชาญสูง ซึ่งคอยค้นหาสายลับของศัตรูและผู้ก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกา

เป็นเวลาเกือบ 80 ปีแล้วที่ NSB ติดตามการคุกคามจากการจารกรรมจากต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นสายลับคอมมิวนิสต์ อัลกออิดะห์ หรือ ISIS

ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2016 เหล่าหน่วยสืบราชการลับได้หลั่งไหลมาจาก CIA และ NSA เมื่อพวกเขาพบว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นจากการแฮ็ก DNC มีรายงานว่าชาวอเมริกามีการติดต่อกับตัวแทนของรัสเซีย

สื่อข่าวของอังกฤษรายงานว่า British General Communications Headquaters (GCHQ) หน่วยงานในเครือนาโตในยุโรป ก็ได้รับคำเตือนเช่นกัน ว่ามีเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงอเมริกัน กำลังสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองรัสเซีย

ผู้อำนวยการของ GCHQ ได้ส่งต่อข้อมูลแบบส่วนตัวไปยังทั้ง จอห์น เบรนแนน ผู้อำนวยการ CIA และ พลเรือเอก Michael Rogers ซึ่งเป็นผู้อำนวยการ NSA

ในเดือนมีนาคมปี 2016 ผู้สนับสนุนทรัมป์คนหนึ่งที่มีชื่อว่า จอร์จ ปาปาโดปูลอส ได้รับความสนใจจากทั้ง FBI และ CIA โดย ปาปาโดปูลอสนั้นเป็นที่ปรึกษาอาวุโสด้านนโยบายต่างประเทศของโดนัลด์ ทรัมป์

ซึ่งตามรายงานของสื่ออย่าง นิวยอร์กไทม์ส ปาปาโดปูลอส ได้เปิดเผยบทบาทของเขาโดยไม่ตั้งใจเมื่อเขาคุยโวเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับรัสเซีย ในขณะที่มีการดื่มสังสรรค์กับอเล็กซานเดอร์ ดาวเนอร์ นักการทูตชาวออสเตรเลีย ในเมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ปาปาโดปูลอส ได้บอกกับ ดาวเนอร์ว่า รัสเซียมีอีเมลของ ฮิลลารี คลินตัน หลายพันฉบับ และบอกกับ ดาวเนอร์ว่า พวกเขาจะได้รับประโยชน์จากข้อมูลหลุดครั้งนี้

และในเวลาใกล้เคียงกัน คาร์เตอร์ เพจ ที่ปรึกษานโยบายด้านต่างประเทศของทรัมป์อีกคนที่อ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในอุตสาหกรรมพลังงานของรัสเซีย แม้ว่าจะไม่มีใครเคยได้ยินชื่อเขามาก่อนก็ตามที

จอร์จ ปาปาโดปูลอส ที่ปรึกษาของ ทรัมป์ ที่มีความสนิทสนมกับรัสเซีย (CR:New York Daily News)
จอร์จ ปาปาโดปูลอส ที่ปรึกษาของ ทรัมป์ ที่มีความสนิทสนมกับรัสเซีย (CR:New York Daily News)

เพจอ้างว่าทำงานเป็นเวลาเจ็ดปี ให้กับ Merrill Lynch ในลอนดอนและมอสโก นอกจากนี้เขายังอ้างว่าได้รับตำแหน่งเป็น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของกลุ่มพลังาน ของ Lynch ที่นิวยอร์ก

แต่สิ่งที่ปรากฏหลักฐานที่แท้จริง ก็คือ เพจทำงานเป็นเวลาสามปีในมอสโกเพื่อประสานงานการควบรวมกิจการของ Gazprom และ RAO UES ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการโน้มน้าวใจทรัมป์ให้เชื่อมั่นในตัวเขา

มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน ที่ทรัมป์รายรอบด้วยทีมงานที่มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับรัสเซีย และในขณะที่ข่าวเกี่ยวกับความบังเอิญเหล่านี้กำลังถูกเผยแพร่

ชุนชมข่าวกรองทั่วโลกกำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อจัดการผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการแฮ็กครั้งนี้

หน่วยงานหนึ่งคือ Dutch General Intelligence and Security Service ( Algemene Inlichtingen en Veiligheidsdienst หรือ AVID) ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านข่าวกรองของยุโรป) ที่ดูแลแผนกสงครามไซเบอร์ และได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูง

ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการขนาดเล็ก ในการทำสงครามคอมพิวเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง เพื่อใช้ในการตอบโต้กับปฏิบัติการข่าวกรองของรัสเซีย

AVID เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงแบ่งปันข่าวกรองระหว่างประเทศโดยนาโต และการปฏิบัติการทางไซเบอร์ของ AVID นั้นยอดเยี่ยมมาก และพวกเขาทำสิ่งหนึ่งที่ถือว่ายากที่สุดในโลก นั่นก็คือ การเจาะเข้าไปยังสำนักงานหน่วยข่าวกรองของรัสเซียเอง

ชาวดัตช์ ได้จัดตั้ง หน่วยไซเบอร์ร่วม SIGINT ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองพลเรือน และทหารของรัฐบาลกลาง ที่ได้รับมอบหมายให้โจมตีเครือข่ายที่เป็นศัตรู ความพิเศษของพวกเขาก็คือ COZY BEARS พวกเขาสามารถใช้วิธีการลับเพื่อระบุตำแหน่งของเซิร์ฟเวอร์ไปยังอาคารในมอสโก พวกเขาสามารถตอบโต้การแฮ็กกล้องรักษาความปลอดภัยบนชั้นหนึ่งของอาคาร และ สังเกตเห็นสายลับรัสเซียที่ใช้ระบบนี้

จอห์น แบรนแนน ผู้อำนวยการ CIA และ เจมส์ แคลปเปอร์ ผู้ประสานงานและผู้จัดการนโยบายโดยรวมของหน่วยข่าวกรองทั้ง 17 แห่งของสหรัฐฯ ได้รับข้อมูลจากทั้ง AVID และหน่วยข่าวกรองหน่วยงานอื่น ๆ และเห็นภาพถึงการโจมตีของรัสเซีย

แบรนแนน และ แคลปเปอร์ เห็นพ้องต้องกันว่าการโจมตีของรัสเซีย จำเป็นต้องมีการตอบโต้อย่างรุนแรงของสหรัฐอเมริกา

วันที่ 4 สิงหาคม ปี 2016 ตามคำสั่งของประธานาธิบดีโอบามา แบรนแนน ได้โทรศัพท์ติดต่อกับ อเล็กซานเดอร์ บอร์ตนิคอฟ หัวหน้า FSB ผู้อำนวยการข่าวกรองรัสเซียเป็นการส่วนตัว ซึ่งแบรนแนน ได้เตือน บอร์ตนิคอฟว่าสหรัฐฯ ตระหนักถึงปฏิบัติการของพวกเขา และมันจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ

จากนั้น แบรนแนน ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี โอบามา ให้แจ้งสมาชิกคนสำคัญของสภาคองเกรส ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อแบรนแนนได้แสดงให้เห็นถึงข้อมูลต่าง ๆ กับสภาคองเกรสถึงการดำเนินการเชิงรุกของรัสเซีย ที่กำลังเกิดผลกระทบขึ้นในวงกว้าง

จอห์น แบรนแนน ผู้อำนวยการ CIA ในตอนนั้น (CR:USNews)
จอห์น แบรนแนน ผู้อำนวยการ CIA ในตอนนั้น (CR:USNews)

รวมถึงการได้รับมอบหมายจากทำเนียบขาวให้ประสานงานกับหน่วยข่าวกรอง เกี่ยวกับขอบเขตและอิทธิพลของรัสเซีย ซึ่งแบรนแนน ก็ได้ปฏิบัติตาม และพยายามโน้มน้าวผู้นำระดับสูงของประเทศว่า สหรัฐฯ กำลังถูกโจมตี แต่ดูเหมือนเหล่าผู้นำสภาคองเกรสในขณะนั้น จะยังไม่ได้สนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ประธานาธิบดี โอบามา เริ่มกังวลมากจนเขาต้องทำสิ่งที่กล้าหาญที่สุดในฐานะประธานาธิบดี ด้วยการหยิบโทรศัพท์สีแดงขึ้นมา ซึ่งเป็นโทรศัพท์พิเศษที่ใช้ในการยุติสงครามระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และรัสเซีย

โอบามาได้เตือนปูตินเป็นการส่วนตัวว่า อเมริกาตระหนักถึงการดำเนินการของพวกเขา และ การกระทำใด ๆ ในวันเลือกตั้งถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดสำหรับอเมริกา แต่ดูเหมือนปูตินจะไม่สนใจ ภารกิจของรัสเซียคือ การเจาะลึกเข้าไปในจิตใจของประชาชนชาวอเมริกัน และ มันก็ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ

ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์

ในที่สุดวันที่ 8 พฤศจิกายน 2016 ชาวอเมริกันเกือบ 139 ล้านคนก็ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ในช่วงค่ำปรากฏว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา แม้คะแนนนิยม ฮิลลารี คลินตัน จะได้ไปมากกว่าก็ตาม

อเมริกาใช้ระบบ Electoral College ซึ่งมีการจัดสรรคะแนนเสียงจำนวนหนึ่งให้กับแต่ละรัฐ ผู้สมัครที่ได้รับการโหวต 270 เสียงจะเป็นผู้ชนะ ไม่ว่าคะแนนนิยมจะเป็นอย่างไร

ทรัมป์ได้คะแนนจาก Electoral College 306 คะแนน เมื่อการนับคะแนนสิ้นสุด ทรัมป์ สามารถเอาชนะสามรัฐ ที่เป็นพื้นที่สำคัญ ทั้งใน เพนซิลเวเนีย มิชิแกน และ วิสคอนซิน ได้สำเร็จ

ชัยชนะที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นของโดนัล ทรัมป์ สำหรับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ทำให้ทั่วทั้งโลกต่างประหลาดใจ ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้ เขาก้าวข้ามจากดาราทีวีเรียลลิตี้ จนกลายมาเป็นผู้ชายที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกได้สำเร็จ

มันแสดงให้เห็นว่า ประชาชนชาวอเมริกันจำนวนมาก ละทิ้งคุณค่าหลัก เช่น เสรีภาพสำหรับทุกคน การรวมตัวกันผ่านความหลากหลาย และพลังของ American Dream สำหรับผู้อพยพทุก ๆ คน

ชัยชนะของทรัมป์ เป็นความพยายามอย่างเปิดเผย ในการนำพาสหรัฐฯ ออกจากระบอบประชาธิปไตยที่ปกป้องสิทธิของชนกลุ่มน้อย เสรีภาพของกลุ่มคนที่หลากหลาย และมันได้เปลี่ยนแปลงสำเร็จแล้ว ซึ่งมันกำลังนำพาอเมริกาเข้าใกล้ระบอบที่พวกเขาจงเกลียดจงชังมากที่สุด นั่นก็คือ ระบอบเผด็จการนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Cyber-war How Russian Hackers and Trolls Helped Elect a President โดย Kathleen Hall Jamieson
หนังสือ The Plot to Destroy Democray : How Putin and His Spies are Undermining America and Dismantling the west
หนังสือ The Plot to Hack America : How Putin’s Cyberspies and Wikileakes Tried to Steal the 2016 Election
https://nymag.com/intelligencer/2016/12/what-is-grizzly-steppe-fancy-bear-and-the-dnc-hack.html
https://www.bloomberg.com/news/articles/2016-12-30/russia-s-grizzly-steppe-cyberattacks-started-simply-u-s-says

CHIP WAR จากการคัดลอกสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของญี่ปุ่น

ถ้าย้อนกลับไปมองประเทศญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเรียกได้ว่าญี่ปุ่นได้กลายเป็นประเทศที่แทบจะแตกสลาย ญี่ปุ่นเองโดนระเบิดนิวเคลียร์ไปถึงสองลูกที่เมืองนางาซากิและฮิโรชิมาอย่างที่เราได้รับรู้กัน

แต่พวกเขาสามารถที่จะพลิกประเทศกลับมารวดเร็วได้อย่างน่าเหลือเชื่อมากๆ ซึ่งก็ต้องบอกว่าอุตสาหกรรมชิปเองก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นพลิกประเทศให้กลายมาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วสามารถต่อสู้กับสหรัฐอเมริกาและกลายเป็นศัตรูที่สำคัญทางด้านเศรษฐกิจของอเมริกาได้

ในช่วงแรกแม้ญี่ปุ่นจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญมีวิศวกรระดับสูงเหมือนที่ซิลิคอนวัลเลย์ในอเมริกามี แต่พวกเขาอาศัยรูปแบบของการก๊อปปี้หรือคัดลอกเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาเป็นหลักก่อน

มันเป็นเรื่องปรกติมากในยุคนั้นที่หลาย ๆ ประเทศก็ใช้วิธีการแบบนี้ คือการคัดลอกเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาเรียนรู้และพัฒนาด้วยตัวเองด้วยต้นทุนด้านต่าง ๆ ที่ต่ำกว่า

สหรัฐอเมริกาอาจจะเป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมที่สุดล้ำมากมาย แต่ก็นำไปใช้ในวงการทหารเป็นหลัก แต่ญี่ปุ่นมีวิสัยทัศน์อีกแบบนึง พวกเขาแทบจะไม่มีกองทัพเป็นของตนเองหลังจากสงครามโลก การที่จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่และทำให้พวกเขาสามารถที่จะจำหน่ายไปทั่วโลกได้ก็ต้องเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการอุปโภคบริโภคโดยคนทั่วไป

ความน่าสนใจก็คือหลังจากที่โตเกียวถูกทิ้งระเบิดราบเป็นหน้ากอง พวกเขาสามารถที่จะเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ ๆ จากนักฟิสิกส์ชั้นนำของอเมริกา เพราะว่าสำนักงานใหญ่ขององค์กรต่าง ๆ ของสหรัฐอยู่ในโตเกียวแทบจะทั้งหมด และได้อนุญาตให้นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นเข้าถึง know-how ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงานวิจัยที่เกี่ยวกับแอพพลายฟิสิกส์ รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดนั่นก็คือ อากิโอะ โมริตะ ที่ได้ก้าวเข้ามาในธุรกิจนี้แม้ตอนแรก โมริตะ จะทำธุรกิจโรงกลั่นสาเกซึ่งถือว่าเป็นโรงกลั่นที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น

แต่โมริตะชื่นชอบในการซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เขาเรียนจบปริญญาด้านฟิสิกส์ ซึ่งความเชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์นี่เองที่ช่วยชีวิตเขา โดยโมริตะร่วมมือกับอดีตผู้ร่วมงานชื่อ มาซารุ อิบุกะ สร้างธุรกิจทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา

ต่อมาพวกเขาก็ตั้งชื่อบริษัทว่า Sony มาจากภาษาละติน Sonus ที่แปลว่าเสียง และยังใช้ชื่อเล่นแบบอเมริกันว่า Sunny อุปกรณ์ชิ้นแรกของพวกเขาคือหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่ตอนนั้นต้องบอกว่ามันเป็นสินค้าที่ดูไร้เสน่ห์เป็นอย่างมาก

โมริตะร่วมมือกับอดีตผู้ร่วมงานชื่อ มาซารุ อิบุกะ สร้างบริษัท Sony ขึ้นมา (CR:GettyImage)
โมริตะร่วมมือกับอดีตผู้ร่วมงานชื่อ มาซารุ อิบุกะ สร้างบริษัท Sony ขึ้นมา (CR:GettyImage)

แต่โมริตะเห็นถึงศักยภาพของอุปกรณ์อิเล็กทรอนนิกส์ว่ามันคืออนาคตของเศรษฐกิจโลก Sony เองได้ประโยชน์จากการมีค่าแรงที่ถูกกว่าในญี่ปุ่น รวมถึงโมริตะมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบผลิตภัณฑ์และการตลาด

บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งมีชื่อเสียงในการผลิตเป็นเลิศ โดยสามารถสร้างตลาดใหม่ ด้วยวงจรเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของซิลิคอนวัลเลย์ แผนของโมริตะก็คือการชี้นำประชาชนด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แทนที่จะถามพวกเขาว่าต้องการผลิตภัณฑ์ประเภทใด  

มันเป็นสิ่งที่ที่ไม่น่าแปลกใจที่ สตีฟ จ็อบส์ อดีตซีอีโอผู้ล่วงลับของ Apple นั้นก็ได้รับแรงบันดาลใจที่สำคัญจากโมริตะ จนถึงขึ้นที่จ็อบส์เองต้องการสร้าง Apple ให้เหมือน Sony ซึ่งจ็อบส์มักจะนึกถึงการเปลี่ยนแปลงโลกมากกว่าการทำกำไรให้กับบริษัท และมีวิสัยทัศน์แบบเดียวกับโมริตะในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต่างหลงรัก

ความสำเร็จแรกของ Sony ในการเข้าสู่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ก็คือวิทยุทรานซิสเตอร์ แต่ตอนนั้นพวกเขาก็ไม่มีปัญญาที่จะสร้างชิปขึ้นมาเองต้องพึ่งพาบริษัทในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะจากซิลิคอนวัลเลย์

ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ก็มีการป้อนชิปเหล่านี้ให้กับญี่ปุ่น ดังนั้นถ้าอเมริกาเองก็ไม่คิดว่าญี่ปุ่นจะสามารถสร้างเทคโนโลยีสุดล้ำอะไรได้มากมาย พวกเขาจึงไม่ได้มีการระแวดระวังมากนักในการป้องกันทรัพย์สินทางปัญญาของพวกเขา

ในช่วงแรกทั้งสองประเทศก็มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างเกื้อหนุนกัน เพราะว่าในสหรัฐอเมริกาสามารถสร้างคอมพิวเตอร์ได้ดีที่สุด แต่ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในญี่ปุ่นอย่าง Sony ก็จะผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขับเคลื่อนการบริโภคชิปที่ผลิตโดยสหรัฐอเมริกา

ซึ่งจะเห็นได้ว่าเมื่ออเมริกามาลงทุนเปิดโรงงานผลิตชิปที่ประเทศใดก็จะมีการถ่ายทอดเรื่องของเทคโนโลยีให้กับวิศวกรในประเทศนั้น ๆ ซึ่งจะได้เรียนรู้วิธีการผลิตหรือถึงขั้นอาจจะสามารถคัดลอกนวัตกรรมบางอย่างมาได้เลย

ยักษ์ใหญ่ด้านเซมิคอนดักเตอร์อย่างเท็กซัส อินสตรูเมนต์ ที่พยายามจะเข้ามาเปิดโรงงานในญี่ปุ่น แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านกฎหมายมากมาย แต่โมริตะสามารถไปช่วยเคลียร์กับหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ให้ทางเท็กซัส อินสตรูเมนต์มาสร้างโรงงานได้สำเร็จ

นั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการคิดที่จะสร้างชิปด้วยตัวเองของประเทศญี่ปุ่น และเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทอเมริกันอย่างอินเทลหรือเท็กซัส อินสตรูเมนต์ รวมถึงบริษัทญี่ปุ่นอย่างโตชิบาหรือเอ็นอีซีก็สามารถที่จะสร้างชิปหน่วยความจำดีแรมของตัวเองขึ้นมาได้สำเร็จ

ตอนนั้นอเมริกาก็มองญี่ปุ่นแบบตลก ๆ ว่าคงเป็นนวัตกรรมที่ไม่ได้เลิศหรูอะไรแต่อย่างใด แต่ว่าเมื่อผลิตไปจริงๆ แล้ว กลับพบว่าชิปที่ผลิตจากญี่ปุ่นกลับมีคุณภาพที่ดีกว่าบริษัทคู่แข่งในสหรัฐอเมริกา  

ชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ ทำงานผิดพลาดถึง 4 เท่าครึ่ง เมื่อเทียบกับการทำงานของชิปที่ผลิตโดยประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่างกันมาก นั่นทำให้ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แม้กระทั่งในอเมริกาเองก็ตาม เริ่มที่จะหันมามองชิปจากบริษัทในประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น

ชิปที่ผลิตโดยประเทศญี่ปุ่นได้รับการยอมรับมากขึ้นในตลาดโลก (CR:Escape Authority)
ชิปที่ผลิตโดยประเทศญี่ปุ่นได้รับการยอมรับมากขึ้นในตลาดโลก (CR:Escape Authority)

แล้วที่สำคัญก็คือพวกเขาสามารถทำราคาได้ถูกมากๆ ด้วยต้นทุนด้านแรงงานรวมถึงต้นทุนในการจัดหาเงินกู้ ด้วยการอุดหนุนจากรัฐบาลที่มีนโยบายช่วยเหลือเกื้อกูลบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น เพราะทางรัฐบาลต้องการผลักดันให้ประเทศเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์  

ความเข้าใจในยุคก่อนหน้าของผลิตภัณฑ์จากญี่ปุ่นที่เป็นสินค้าราคาถูก ไร้คุณภาพ แต่แบรนด์อย่าง Sony ได้ทำให้ชื่อเสียงด้านแย่ ๆ เหล่านี้หมดไป ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ราคาไม่แพง คุณภาพสูงเทียบเท่ากับคู่แข่งในอเมริกา

นั่นเองที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นกล้าที่จะตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นไปอีก ในการท้าทายอุตสาหกรรมของอเมริกาตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งต้องบอกว่าทำให้อเมริกาเองต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากญี่ปุ่น

ในช่วงปี 1980 อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคได้กลายเป็นสินค้าเฉพาะของญี่ปุ่น ซึ่งพวกเขาได้กลายเป็นผู้นำในการเปิดตัวสินค้าอุปโภคบริโภคใหม่ ๆ และสามารถคว้าส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งในอเมริกา

แม้ในช่วงแรกบริษัทญี่ปุ่นจะประสบความสำเร็จด้วยการเลียนแบบผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งในสหรัฐฯ โดยผลิตให้มีคุณภาพสูงขึ้นและราคาที่ถูกลง ชาวญี่ปุ่นบางคนมองว่าพวกเขาเก่งในการนำทฤษฎีไปปฏิบัติในขณะที่อเมริกาเก่งกว่าพวกเขาในด้านการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ

ในปี 1979  Sony ได้เปิดตัวอุปกรณ์อย่าง Walkman ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาที่ปฏิวัติวงการเพลงโดยสิ้นเชิงโดยการสร้างวงจรชิปที่ทันสมัยของบริษัท

อุปกรณ์อย่าง Walkman นี่เองที่วัยรุ่นทั่วโลกสามารถพกพาเพลงโปรดใส่ในกระเป๋าและใช้พลังงานจากชิปที่บุกเบิกจากซิลิคอนวัลเลย์แต่พัฒนาในญี่ปุ่น ทำให้ Sony ขายไปได้กว่า 385 ล้านเครื่องทั่วโลก ทำให้ Walkman กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภคที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์และเป็นนวัตกรรมที่บริสุทธิ์ที่สุดที่ผลิตในญี่ปุ่น

Walkman ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาที่ปฏิวัติวงการเพลงโดยสิ้นเชิง (CR:The Verge)
Walkman ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาที่ปฏิวัติวงการเพลงโดยสิ้นเชิง (CR:The Verge)

ต้องบอกว่ามันมีหลายปัจจัยที่ทำให้ญี่ปุ่นสามารถก้าวเข้ามาเป็นผู้นำในอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคอิเล็กทรอนิกส์อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ได้

ปัจจัยแรกก็คือเรื่องของรัฐบาลที่ช่วยอุดหนุนอุตสาหกรรมนี้อย่างเต็มที่ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากๆ ในการเข้าถึงเงินทุนเพราะว่าชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีอัตราการออมที่สูงมาก ทำให้ธนาคารมีเงินสดเหลือเยอะมากๆ มาปล่อยกู้ในดอกเบี้ยที่แสนถูก

รวมถึงการที่พวกเขามีต้นทุนทางด้านแรงงานที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับอเมริกา และนั่นเองที่ทำให้ในท้ายที่สุดพวกเขาก็สามารถเอาชนะอเมริกาในการแข่งขันด้านชิปในช่วงทศวรรษที่ 1980 ไปได้สำเร็จนั่นเองครับผม

References :
เรียบเรียงจากหนังสือ Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology โดย Chris Miller
https://failurebeforesuccess.com/akio-morito/