Huawei พลิกเกมล้ม Apple ในจีนได้อย่างไร? เมื่อ AI คือไพ่ตาย จากเกือบล้มละลาย สู่การท้าชิงบัลลังก์มือถือโลก

ถ้าให้พูดถึงราชาแห่งโลกสมาร์ทโฟน ชื่อของ Apple และ iPhone คงเป็นคำตอบแรกในใจของใครหลายคน

เป็นเวลานานกว่าทศวรรษ ที่ iPhone ไม่ใช่แค่โทรศัพท์ แต่คือสัญลักษณ์ของความหรูหรา นวัตกรรม และสถานะทางสังคม การมี iPhone ในมือ ก็ไม่ต่างอะไรกับการถือกระเป๋าแบรนด์เนมสักใบ

โดยเฉพาะในตลาดที่ใหญ่มหึมาอย่างประเทศจีน ภาพนี้ยิ่งเด่นชัดขึ้นไปอีก

จีนเคยเปรียบเสมือน ‘เพชรเม็ดงาม’ ของ Apple เป็นตลาดที่สร้างรายได้มหาศาล และเป็นดินแดนที่ iPhone ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ภาพร้าน Apple Store ที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คน เป็นเรื่องที่เราเห็นกันจนชินตา

ในยุคทองนั้น หากชาวจีนมีกำลังซื้อ และต้องการโทรศัพท์ที่ดีที่สุด iPhone คือคำตอบสุดท้ายที่แทบไม่ต้องคิด มันคือตัวเลือกโดยปริยายที่ยากจะมีใครท้าทายได้

โลกในวันนั้นดูเหมือนจะมีผู้ชนะที่ถูกกำหนดไว้แล้ว.. Apple คือผู้นำ ส่วนคนอื่นคือผู้ตาม

แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น..

คู่แข่งรายหนึ่งที่หลายคนคิดว่าคงจะล้มหายตายจากไปแล้ว หลังจากโดนหมัดน็อกที่หนักหน่วงจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ กลับลุกขึ้นยืนได้อย่างน่าทึ่ง

ไม่ใช่แค่การลุกขึ้นมาแบบสะบักสะบอม แต่เป็นการกลับมาอย่างแข็งแกร่งและสง่างามกว่าเดิม บริษัทนั้นมีชื่อว่า Huawei

การเปิดตัวสมาร์ทโฟนซีรีส์ Mate 60 ในช่วงปลายปี 2023 เปรียบเหมือนเสียงระฆังที่ป่าวประกาศการต่อสู้ครั้งใหม่ ซึ่งเดิมพันในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ยอดขาย แต่เป็นศักดิ์ศรีของชาติ

และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ที่กำลังจะเปลี่ยนภูมิทัศน์ของวงการเทคโนโลยีไปตลอดกาล

คำถามที่น่าสนใจก็คือ จากบริษัทที่เกือบจะล้มทั้งยืน Huawei พลิกเกมกลับมาท้าชิงบัลลังก์จาก Apple ในบ้านของตัวเองได้อย่างไร? แล้วเบื้องหลังเกมนี้ มันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่าที่เราเห็นหรือไม่?

การกลับมาของ Huawei ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือกลยุทธ์ที่ถูกวางแผนมาอย่างแยบยล เป็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในหลายสมรภูมิพร้อมกัน

สมรภูมิแรกคือสงครามผลิตภัณฑ์และเรื่องราวของความภาคภูมิใจ

ในขณะที่ Apple ยังคงยึดมั่นในปรัชญาการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือที่เรียกว่า ‘Iterative’ คือการปรับปรุงทีละเล็กทีละน้อย ขัดเกลาผลิตภัณฑ์ให้สมบูรณ์แบบขึ้นในทุกๆ ปี

Huawei กลับเลือกเส้นทางที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

การมาถึงของ Mate 60 สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก เพราะหัวใจของมันคือชิปประมวลผล Kirin 9000S ซึ่งเป็นชิปที่ Huawei สามารถพัฒนาและผลิตขึ้นมาได้เองในประเทศจีน

แม้จะถูกตัดขาดจากเทคโนโลยีและเครื่องมือของชาติตะวันตกก็ตาม

วินาทีนั้นเอง การเลือกซื้อมือถือในจีนก็เปลี่ยนไป มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเครื่องไหนแรงกว่า สวยกว่า หรือใช้ง่ายกว่าอีกต่อไป แต่มันมีมิติของ “ความรักชาติ” เข้ามาเป็นส่วนผสมสำคัญ

ชาวจีนจำนวนมากมองว่า การซื้อ Huawei คือการสนับสนุนบริษัทของชาติที่ลุกขึ้นสู้กับมหาอำนาจ มันคือการแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของประเทศ

เรื่องราวของ Huawei กลายเป็นสัญลักษณ์ของความไม่ยอมแพ้

ทันใดนั้น iPhone ที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความล้ำสมัย ก็เริ่มถูกมองในมุมที่ต่างออกไป กลายเป็นสินค้าจากต่างชาติ ท่ามกลางสงครามการค้าที่คุกรุ่น

Apple ที่เคยครองเกมมาตลอด เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดัน ยอดขายเริ่มชะลอตัว จนถึงขั้นต้องยอมจัดโปรโมชันลดราคาผ่านตัวแทนจำหน่าย ซึ่งเป็นภาพที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

นี่คือสัญญาณแรกที่บอกว่า บัลลังก์ของราชาเริ่มสั่นคลอนอย่างแท้จริง

แต่สงครามไม่ได้มีแค่เรื่องของตัวเครื่องภายนอก สมรภูมิที่ดุเดือดไม่แพ้กัน คือสงครามแห่งจิตวิญญาณ หรือระบบปฏิบัติการนั่นเอง

Apple มี iOS เป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่ง ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย ใช้งานง่าย และมีระบบนิเวศ App Store ที่สมบูรณ์แบบ แต่ในจีน ป้อมปราการนี้ก็มีข้อจำกัดบางอย่าง

บริการหลายอย่างของ Apple ถูกจำกัดการใช้งาน หรือต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดของรัฐบาลจีน

Huawei มองเห็นจุดนี้ และรู้ดีว่าการพึ่งพา Android ที่มีรากฐานจาก Google ของสหรัฐฯ ต่อไป คือความเสี่ยงมหันต์ในระยะยาว พวกเขาจึงตัดสินใจเดินเกมที่กล้าหาญที่สุด

นั่นคือการประกาศ “ทิ้ง Android” อย่างสิ้นเชิง

Huawei เปิดตัวระบบปฏิบัติการของตัวเองในชื่อ HarmonyOS Next ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยไม่มีโค้ดของ Android เหลืออยู่แม้แต่บรรทัดเดียว

การกระทำนี้มีความหมายมากกว่าแค่การสร้าง OS ใหม่ แต่มันคือการ “ประกาศเอกราช” ทางเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ

Huawei กำลังบอกกับโลกและคนในชาติว่า “เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของใคร เราสามารถสร้างเส้นทางของเราเองได้”

HarmonyOS ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมทุกอุปกรณ์ของ Huawei เข้าด้วยกัน ตั้งแต่มือถือ แท็บเล็ต นาฬิกาอัจฉริยะ ไปจนถึงสิ่งที่กำลังจะกลายเป็นอนาคตของการเดินทาง นั่นคือ “รถยนต์ไฟฟ้า”

แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอย่าง AITO ที่ Huawei ร่วมมือพัฒนานั้น ใช้ HarmonyOS เป็นระบบปฏิบัติการหลัก ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างมือถือกับรถยนต์เป็นไปอย่างแนบเนียนและไร้รอยต่อ

ลองจินตนาการถึงการใช้แอปในมือถือบนหน้าจอรถยนต์ได้ทันที หรือการสั่งงานรถยนต์จากนาฬิกาข้อมือ ทุกอย่างเชื่อมถึงกันหมดในระบบนิเวศเดียวกัน

นี่คือประสบการณ์ที่ Apple ในจีนยังไม่สามารถมอบให้ได้อย่างสมบูรณ์เท่า

การควบคุมได้ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้ Huawei สามารถปรับจูนประสิทธิภาพของอุปกรณ์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งที่ทำให้ Apple ได้รับการยกย่องมาโดยตลอด

สงครามครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ iOS ปะทะ Android อีกต่อไป แต่เป็น iOS ปะทะ HarmonyOS และมันคือสงครามระหว่างสองระบบนิเวศที่กำลังจะแบ่งโลกเทคโนโลยีออกจากกัน

และอีกหนึ่งปัจจัยที่ทรงพลังที่สุด แต่เราอาจมองไม่เห็นจากภายนอก คือ “มือที่มองไม่เห็น” หรือการสนับสนุนอย่างเงียบๆ จากรัฐบาลจีน

แม้ Huawei จะไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาคือ ‘บริษัทตัวแทนของชาติ’ หรือ National Champion ที่รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนในทุกมิติ

ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนมหาศาลสำหรับการวิจัยและพัฒนา การให้สิทธิพิเศษในสัญญาระดับประเทศ และที่สำคัญคือการส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ของ Huawei แทน iPhone

เหตุผลเบื้องหลังไม่ได้มีแค่เรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ แต่คือการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘อธิปไตยทางข้อมูล’ หรือ Data Sovereignty

ในขณะที่ Huawei ได้รับไฟเขียวในทุกเส้นทาง Apple กลับต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาต้องเดินอยู่บนเส้นด้ายที่บางเฉียบ

ด้านหนึ่ง Apple ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดของจีน อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องเผชิญแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มองว่า Apple พึ่งพาจีนมากเกินไป

สถานะของ Apple ในจีนจึงเปราะบางอย่างยิ่ง แม้จะเป็นแบรนด์ที่ผู้คนรัก แต่ก็อาจได้รับผลกระทบจากกระแสลมทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ

เมื่อการซื้อโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง ไม่ได้จบแค่เรื่องฟังก์ชัน แต่มีความหมายไปถึงการสนับสนุนประเทศชาติ ความภักดีที่เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่การตลาดเพียงอย่างเดียวไม่อาจสร้างได้

และสุดท้าย คือสมรภูมิที่จะตัดสินผู้ชนะในระยะยาว นั่นคือ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI

AI คือกาวใจที่จะเชื่อมทุกอย่างในระบบนิเวศเข้าด้วยกัน และ Huawei ก็ทุ่มสุดตัวในสมรภูมินี้ พวกเขาลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ของตัวเอง

ตั้งแต่การพัฒนาชิป AI โดยเฉพาะในชื่อ Ascend ไปจนถึงการสร้างโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของตัวเองที่ชื่อว่า Pangu

การมี AI เป็นของตัวเอง ทำให้ Huawei สามารถฝังความฉลาดเข้าไปในทุกผลิตภัณฑ์ และที่สำคัญคือ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกประมวลผลอยู่ภายในระบบนิเวศของ Huawei เอง

Apple เองก็มีกลยุทธ์ AI ที่แข็งแกร่งอย่าง Apple Intelligence แต่ในตลาดจีน พวกเขากลับเจอกำแพงด้านกฎระเบียบ ทำให้ไม่สามารถนำโมเดล AI จากชาติตะวันตกเข้ามาใช้ได้โดยตรง

นั่นทำให้ Apple ต้องหันไปจับมือกับบริษัทเทคโนโลยีท้องถิ่นของจีน ซึ่งอาจทำให้การควบคุมประสบการณ์ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร

ในโลกยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน ก็คือผู้กุมอนาคต และในสมรภูมิจีน ดูเหมือนว่า Huawei จะเป็นผู้ที่วิ่งนำอยู่หนึ่งก้าวเสมอ

กลับมาที่คำถามแรกสุด… Huawei กำลังเอาชนะ Apple ในจีนอยู่จริงหรือ?

ถ้าเรามองแค่ภาพรวมทั่วโลก Apple ยังคงเป็นบริษัทที่มีมูลค่าและอิทธิพลมหาศาล แต่ถ้าเราซูมภาพเข้ามาที่สมรภูมิประเทศจีนโดยเฉพาะ ภาพที่เห็นนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

Huawei ไม่ได้เป็นเพียงผู้ไล่ตามอีกต่อไป แต่ในหลายๆ ด้าน พวกเขากลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของตลาดไปแล้ว

พวกเขาไม่ได้แค่ทวงคืนส่วนแบ่งการตลาด แต่กำลังทวงคืนจิตวิญญาณและความภาคภูมิใจของคนในชาติกลับคืนมา

สิ่งที่เกิดขึ้นในจีน อาจเป็นภาพสะท้อนของปรากฏการณ์ที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือการ ‘แยกขั้ว’ หรือ The Great Decoupling ของโลกเทคโนโลยี

เราอาจกำลังมุ่งหน้าสู่โลกอนาคตที่มีระบบนิเวศเทคโนโลยีขนาดใหญ่สองขั้ว ขั้วหนึ่งนำโดยบริษัทตะวันตก และอีกขั้วหนึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศจีน

เรื่องราวการต่อสู้ระหว่าง Apple และ Huawei ในสมรภูมิจีน จึงไม่ใช่แค่เรื่องของโทรศัพท์สองยี่ห้อ แต่มันอาจเป็นบทนำของสงครามเทคโนโลยีครั้งใหม่ ที่จะกำหนดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า โลกดิจิทัลของเราจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

นี่อาจเป็นเพียงกระแสความนิยมชั่วคราวที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกชาตินิยม หรือมันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจทางเทคโนโลยีครั้งประวัติศาสตร์ ที่จะทำให้โลกของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เรื่องนี้ก็น่าคิดนะครับ …

References : [reuters,wsj,huaweicentral,bloomberg,counterpointresearch]

เมื่อ Haier พลิกเกมซื้อกิจการ GE กับเส้นทางจากตู้เย็นมีตำหนิ สู่แชมป์โลกเครื่องใช้ไฟฟ้า

เคยสงสัยไหมครับว่า บริษัทที่เคยอยู่บนปากเหวของการล้มละลาย จะพลิกกลับมาซื้อกิจการของยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเองได้อย่างไร

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นจริง และมันคือมหากาพย์การต่อสู้ทางธุรกิจระหว่างสองบริษัทที่แตกต่างกันสุดขั้ว แต่โชคชะตากลับนำพาทั้งสองมาบรรจบกันในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด

เรื่องราวนี้ เริ่มต้นที่สหรัฐอเมริกา กับบริษัทที่เป็นเหมือนตำนานอย่าง General Electric หรือ GE ที่เราคุ้นเคยกันดี

GE ไม่ใช่แค่บริษัทธรรมดา แต่เป็นผู้บุกเบิกและเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนอเมริกันไปตลอดกาล ลองนึกภาพตามดูนะครับ ชายที่มอบแสงสว่างให้โลกอย่าง Thomas Edison คือหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทนี้ในปี ค.ศ. 1892

ในช่วงรุ่งเรืองที่สุด GE คือผู้ผลิตทุกอย่างที่เกี่ยวกับไฟฟ้า ตั้งแต่หลอดไฟ เตารีดไฟฟ้า ไปจนถึงเครื่องปิ้งขนมปัง และที่สำคัญคือ ตู้เย็นรุ่น Monitor-Top ในปี ค.ศ. 1927 ที่ทำให้ทุกครัวเรือนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้

ในยุคนั้น โลโก้ GE เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความน่าเชื่อถือและความทันสมัย จนอาจกล่าวได้ว่ามันคือส่วนหนึ่งของครอบครัวอเมริกันเลยทีเดียว

บริษัทเติบโตอย่างมหาศาล จนในปี ค.ศ. 1980 มีพนักงานกระจายอยู่ทั่วโลกถึง 400,000 คน แต่ความยิ่งใหญ่นี้ก็มาพร้อมกับความอุ้ยอ้าย GE ถูกมองว่าเป็นบริษัทที่โตไปตามเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ได้มีความหวือหวาอีกต่อไป

แล้วจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็มาถึงในปี ค.ศ. 1981 เมื่อชายที่ชื่อ Jack Welch ก้าวขึ้นมาเป็น CEO ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท

Welch เกลียดระบบราชการที่ซับซ้อนและเชื่องช้า เขาประกาศกร้าวว่าทุกธุรกิจของ GE ต้องเป็นที่หนึ่งหรือที่สองในตลาดเท่านั้น หากทำไม่ได้ ก็ต้องถูกขายทิ้งหรือปิดตัวไป

แนวคิดนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พนักงานกว่าแสนคนต้องออกจากบริษัท แต่ในขณะเดียวกัน Welch ก็ได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศและผลงานเป็นหลัก

เขาเริ่มมองว่าธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เคยเป็นหัวใจของบริษัทนั้น ทำกำไรได้ไม่ดีเท่าธุรกิจอนาคตอย่างการเงิน การบินและอวกาศ หรือเครื่องยนต์เจ็ต นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ธุรกิจในตำนานของ GE เริ่มถูกมองข้าม

ทีนี้ เราลองข้ามฟากมาดูที่อีกฝั่งของโลก ในเมืองชิงเต่า ประเทศจีน ช่วงทศวรรษ 1980 ที่นั่นมีโรงงานตู้เย็นเล็กๆ แห่งหนึ่งที่กำลังจะล้มละลาย

ในยุคที่จีนเพิ่งเปิดประเทศ โรงงานแห่งนี้เป็นเพียงรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนย่อยยับ คุณภาพของสินค้าก็ย่ำแย่จนไม่มีใครอยากได้ ขนาดว่าเปลี่ยนผู้จัดการมาแล้ว 3 คนในปีเดียว ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น

จนกระทั่งการมาถึงของผู้จัดการคนที่สี่ ชายหนุ่มวัย 35 ปีที่ชื่อว่า Zhang Ruimin

Zhang เข้ามาและทำในสิ่งที่ทุกคนต้องตกตะลึง เมื่อเขาพบว่ามีตู้เย็นที่ไม่ได้มาตรฐานกองอยู่ในโกดังถึง 76 เครื่อง เขาไม่ได้นำมันไปลดราคา แต่กลับสั่งให้พนักงานที่ผลิตมันขึ้นมา เป็นคนลงมือทุบตู้เย็นเหล่านั้นทิ้งด้วยค้อนปอนด์ต่อหน้าสาธารณชน

การกระทำนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วประเทศ มันคือสัญลักษณ์ของการประกาศสงครามกับสินค้าคุณภาพต่ำ และเป็นคำมั่นสัญญาว่าจากนี้ไป แบรนด์ของเขาจะขายแต่ของคุณภาพเท่านั้น

น่าเหลือเชื่อที่เพียง 3 ปีหลังจากนั้น โรงงานที่ใกล้จะเจ๊งแห่งนี้ ก็กลายเป็นผู้ผลิตตู้เย็นอันดับหนึ่งของจีน และได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Haier” ซึ่งในเวลาต่อมาจะกลายเป็นชื่อที่คนทั้งโลกรู้จัก

สิ่งที่น่าสนใจคืออะไร รู้ไหมครับ? หนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญของ Zhang Ruimin ก็คือ Jack Welch แห่ง GE นั่นเอง เขาศึกษาแนวคิดการบริหารของ Welch อย่างละเอียด และนำมาปรับใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งของตัวเอง

GE ภายใต้การนำของ Welch มุ่งหน้าสู่การเป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและการเงินที่ทันสมัย ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าค่อยๆ ถูกลดความสำคัญลง กลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่

ในทางกลับกัน Haier เติบโตอย่างก้าวกระโดดในประเทศจีน พวกเขาสร้างชื่อจากคุณภาพที่เชื่อถือได้ และขยายการผลิตไปสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ อีกมากมาย

ในปี ค.ศ. 1992 โชคชะตาก็พาให้ทั้งสองมาเจอกันครั้งแรก GE ที่กำลังมองหาฐานการผลิตในจีน ได้ยื่นข้อเสนอขอซื้อกิจการ Haier

แต่ Zhang Ruimin ตอบปฏิเสธ เขามีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นแค่โรงงานรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ตะวันตก คำปฏิเสธในวันนั้นสร้างความไม่พอใจให้กับผู้บริหารของ GE เป็นอย่างมาก

เวลาผ่านไป Haier เริ่มรู้สึกว่าตลาดในประเทศจีนเริ่มอิ่มตัว และการแข่งขันก็ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ การเป็นแค่บริษัทที่ “ใหญ่ที่สุด” ไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ต้อง “ฉลาดที่สุด” ด้วย

Zhang Ruimin จึงได้ทำการปฏิวัติองค์กรครั้งใหญ่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2005 ด้วยโมเดลการจัดการที่เขาคิดค้นขึ้นเองที่ชื่อว่า “Rendanheyi” (เหรินตันเหออี)

แนวคิดนี้คือการทลายโครงสร้างองค์กรขนาดใหญ่ที่อุ้ยอ้าย แล้วแบ่งพนักงานทั้งหมดออกเป็น “องค์กรขนาดเล็ก” หรือ micro-enterprises นับพันแห่ง

ลองจินตนาการว่า จากเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ลำเดียว กลายเป็นกองเรือเร็วขนาดเล็กจำนวนมาก ที่แต่ละลำมีอิสระในการตัดสินใจและกำหนดทิศทางของตัวเองได้

แต่ละทีมต้องรับผิดชอบผลกำไรขาดทุนของตัวเองโดยตรง พวกเขามีอำนาจในการตัดสินใจและต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็ว โมเดลนี้ได้ปลดปล่อยพลังของผู้ประกอบการที่ซ่อนอยู่ในตัวพนักงานทุกคน

ในขณะที่ Haier กำลังปฏิวัติตัวเองอย่างเข้มข้น GE Appliances กลับกำลังเผชิญกับความท้าทาย พวกเขาเริ่มตามหลังคู่แข่งจากเกาหลีใต้อย่าง Samsung และ LG ในตลาดบ้านเกิดของตัวเอง

แบรนด์ที่เคยเป็นตำนาน เริ่มกลายเป็นธุรกิจที่ไม่ทำกำไร และไม่เข้ากับทิศทางในอนาคตของบริษัทแม่อีกต่อไป

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2016 สิ่งที่หลายคนคาดการณ์ไว้ก็เกิดขึ้นจริง GE ประกาศขายหน่วยธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างตำนานของบริษัทมาเกือบศตวรรษ

และหนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมประมูลซื้อกิจการในครั้งนี้ ก็คือ Haier บริษัทจีนที่เคยถูก GE มองข้ามและพยายามจะซื้อกิจการเมื่อ 20 กว่าปีก่อน

การประมูลเป็นไปอย่างดุเดือด มีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายรายเข้าร่วมแข่งขัน และมีรายงานว่าข้อเสนอของ Haier ไม่ใช่ข้อเสนอที่ให้ราคาสูงที่สุด

แต่ Zhang Ruimin ได้ทำในสิ่งที่เหนือกว่านั้น เขารีบบินไปสหรัฐอเมริกาเพื่อพูดคุยกับ Jeff Immelt ซึ่งเป็น CEO ของ GE ในขณะนั้นด้วยตัวเอง

เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินเป็นหลัก แต่เขาได้นำเสนอวิสัยทัศน์และโมเดลการจัดการ “Rendanheyi” ให้ฟัง เขาอธิบายว่าปรัชญานี้จะสามารถปลุกยักษ์หลับอย่าง GE Appliances ให้กลับมามีชีวิตชีวาและเติบโตได้อย่างไร

แนวคิดนี้โดนใจผู้บริหารของ GE เป็นอย่างมาก พวกเขาไม่ได้เห็นแค่ผู้ซื้อที่ต้องการแบรนด์ แต่เห็นพันธมิตรที่มีแผนการที่ชัดเจนสำหรับอนาคต

ในที่สุด GE ก็ประกาศเลือก Haier เป็นผู้ชนะ ด้วยมูลค่าดีล 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากบริษัทที่เคยเกือบจะล้มละลายในวันนั้น วันนี้ Haier ได้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจที่เป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรมอเมริกัน

หลายคนอาจจะกังวลว่าวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างกันสุดขั้วจะทำงานร่วมกันได้อย่างไร พนักงานของ GE Appliances เองก็กลัวการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

แต่ Haier ก็ฉลาดพอที่จะไม่บังคับใช้วัฒนธรรมของตัวเองในทันที พวกเขาให้เกียรติและให้อิสระแก่ทีมผู้บริหารเดิม นำโดย CEO อย่าง Kevin Nolan

Nolan เองก็เปิดใจเรียนรู้แนวคิด “Rendanheyi” และเริ่มนำมาปรับใช้กับ GE Appliances อย่างค่อยเป็นค่อยไป เขาแบ่งองค์กรออกเป็นหน่วยธุรกิจขนาดเล็กเหมือนที่ Haier ทำ

ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งมาก หน่วยธุรกิจเครื่องซักผ้าที่เคยขาดทุน สามารถพลิกกลับมาทำกำไรมหาศาลได้ภายในเวลาเพียงปีเดียว

Haier ไม่ได้เข้ามาเพื่อลดต้นทุน แต่เข้ามาเพื่อปลดปล่อยศักยภาพและกระตุ้นนวัตกรรม พวกเขาสนับสนุนโครงการอย่าง “First Build” ซึ่งเป็นเหมือนห้องทดลองที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้เข้ามาเสนอไอเดียและร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ

ผลิตภัณฑ์ล้ำสมัยอย่าง Kitchen Hub ที่เป็นศูนย์กลางอัจฉริยะในห้องครัว ก็ถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดนี้

ในวันนี้ GE Appliances ภายใต้การนำของ Haier กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง พวกเขารายงานผลประกอบการที่ดีที่สุดในรอบทศวรรษ และที่น่าสนใจคือ Haier กำลังนำแบรนด์ GE Appliances กลับไปบุกตลาดในประเทศจีน ซึ่งเป็นเหมือนการกลับบ้านของตำนานอเมริกันในรูปแบบใหม่

เรื่องราวของ Haier และ GE มันแสดงให้เห็นว่าโลกธุรกิจไม่มีอะไรที่แน่นอน ยักษ์ใหญ่ในวันนี้อาจกลายเป็นผู้แพ้ในวันหน้า หากไม่ปรับตัวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ

ในทางกลับกัน ผู้เล่นตัวเล็กๆ ก็สามารถพลิกเกมขึ้นมาเป็นผู้นำได้ หากมีความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

มันคือเรื่องราวของการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จากวันที่ Zhang Ruimin เรียนรู้จาก Jack Welch จนมาถึงวันที่ GE Appliances ต้องเรียนรู้จาก Haier

นี่คือมหากาพย์ที่แสดงให้เห็นว่า ชัยชนะในโลกธุรกิจยุคใหม่ ไม่ได้วัดกันที่ขนาดหรือประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน แต่วัดกันที่ความเร็ว ความคล่องตัว และความสามารถในการเข้าใจลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งที่สุด

References : [hbr, forbes, reuters, wsj, fortune]

TCL โค่น LG ได้อย่างไร? พลิกเกมโค่นบัลลังก์ทีวี เรื่องจริงแบรนด์โนเนมสู่อันดับ 2 ของโลก

ถ้าผมถามว่า แบรนด์ทีวีที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกคือแบรนด์อะไร?

เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงชื่อแบรนด์เกาหลีหรือญี่ปุ่นที่คุ้นเคยกันดีอย่าง LG หรือ Sony แต่ถ้าผมบอกว่าคำตอบนั้นผิด… คุณจะเชื่อไหมครับ

เรื่องน่าเหลือเชื่อนี้เกิดขึ้นจริงแล้ว เพราะบริษัทที่โค่นยักษ์ใหญ่เหล่านั้นลงได้ คือแบรนด์จีนที่ชื่อว่า TCL ซึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน แทบไม่มีใครในตลาดโลกเคยได้ยินชื่อของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ

นี่ไม่ใช่เรื่องของโชคช่วย และมันมีความลับซ่อนอยู่มากกว่าแค่การขายของในราคาถูก แต่มันคือมหากาพย์การวางกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แยบยล การต่อสู้ในสมรภูมิที่ดุเดือด และการเดิมพันครั้งใหญ่ที่ได้เปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมทีวีไปตลอดกาล

วันนี้ เราจะมาถอดรหัสการเดินทางของ TCL จากม้านอกสายตา สู่การเป็นผู้ท้าชิงบัลลังก์เจ้าแห่งทีวีระดับโลก

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปไกลถึงปี 1981 ที่มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน บริษัทแห่งนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากการผลิตทีวี แต่ก่อตั้งขึ้นในฐานะรัฐวิสาหกิจภายใต้ชื่อ TTK โดยมีชายที่ชื่อ Li Dongsheng เป็นผู้บุกเบิก

สินค้าอย่างแรกที่พวกเขาผลิต ก็คือเทปคาสเซ็ทสำหรับฟังเพลง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เฟื่องฟูในยุคนั้น แต่ดูเหมือนว่าเส้นทางของพวกเขาจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตั้งแต่แรก

หลังจากทำธุรกิจได้ไม่นาน พวกเขาก็ถูกบริษัทญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่อย่าง TDK ฟ้องร้อง ด้วยเหตุผลที่ว่าชื่อ TTK นั้นมีความคล้ายคลึงกับแบรนด์ของเขามากเกินไป

จุดนี้เองได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่บังคับให้พวกเขาต้องหาเส้นทางใหม่ ในปี 1985 บริษัทจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น TCL ซึ่งย่อมาจาก Telephone Communications Limited และก็ตามชื่อเลยครับ พวกเขากระโดดเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ นั่นคือธุรกิจโทรศัพท์บ้าน

การตัดสินใจในครั้งนั้น นำพวกเขาไปสู่การค้นพบความลับข้อแรกที่กลายเป็น DNA สำคัญของบริษัทมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือ “ความได้เปรียบของการเป็นแบรนด์โนเนม”

ฟังดูอาจจะย้อนแย้งนะครับ การไม่มีชื่อเสียงจะเป็นข้อได้เปรียบได้อย่างไร?

ลองนึกภาพตามแบบนี้ครับ แบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Apple หรือ Samsung เวลาจะออกสินค้าใหม่แต่ละครั้ง พวกเขาต้องแบกรับต้นทุนมหาศาลที่เรียกว่า “ต้นทุนทางแบรนด์” ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ ความคาดหวังจากผู้คน และราคาสูงลิ่วที่มาพร้อมกับโลโก้ที่ทุกคนรู้จัก

แต่ในทางกลับกัน การที่ TCL เป็นแบรนด์หน้าใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักในตอนนั้น หมายความว่าพวกเขาไม่มีภาพลักษณ์ใดๆ ให้ต้องกังวล ไม่มีอคติจากผู้บริโภค และไม่มีความคาดหวังใดๆ มาเป็นเครื่องผูกมัด

สิ่งที่พวกเขาต้องทำจึงมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือ “ปล่อยให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นตัวพิสูจน์ตัวเอง”

TCL ได้นำกลยุทธ์นี้มาใช้เพื่อเจาะตลาดโทรศัพท์ในประเทศจีน พวกเขาไม่ได้แข่งขันด้วยชื่อเสียงของแบรนด์ แต่เลือกที่จะแข่งขันด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและราคาที่จับต้องได้

ในปี 1994 พวกเขาได้เปิดตัวโทรศัพท์ไร้สายเครื่องแรกของจีน ซึ่งกลายเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย และส่งให้พวกเขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแบรนด์โทรศัพท์มือถืออันดับ 1 ในประเทศจีนได้ในที่สุด

บทเรียนจากการเป็น “โนเนมผู้ชนะ” ในวันนั้น ได้กลายเป็นคัมภีร์เล่มสำคัญที่ถูกนำมาใช้ในการวางกลยุทธ์เพื่อบุกตลาดโลกในอีก 20 ปีต่อมา

เวลาผ่านไป… TCL เติบโตขึ้นอย่างเงียบๆ และแข็งแกร่งภายในประเทศจีน พวกเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่ธุรกิจโทรศัพท์ แต่เริ่มขยายปีกของตัวเองด้วยการเข้าซื้อกิจการโทรทัศน์ของ Thomson ซึ่งเป็นแบรนด์ดังจากฝรั่งเศส และธุรกิจโทรศัพท์มือถือของ Alcatel ในปี 2004

การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่นี้ เป็นเหมือนการส่งสัญญาณให้โลกได้รับรู้ว่า พวกเขาพร้อมแล้วที่จะก้าวออกจากบ้านและลงเล่นในเวทีระดับโลก

และแล้วในปี 2013 ก็ถึงเวลาที่ TCL ตัดสินใจทำในสิ่งที่หลายคนในวงการมองว่าเป็นไปไม่ได้ นั่นคือการนำแบรนด์ของตัวเองบุกเข้าสู่ตลาดทีวีในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งเปรียบเสมือนฐานที่มั่นหลักของยักษ์ใหญ่ทุกเจ้า

คำถามคือ… พวกเขาจะเอาอะไรไปสู้กับเจ้าตลาดที่ครองใจผู้บริโภคมานานหลายสิบปี?

คำตอบอยู่ในกลยุทธ์สามประสานที่เฉียบคมและทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้พวกเขาสามารถพลิกเกมได้อย่างงดงาม

กลยุทธ์แรก คือการกลับไปใช้ไม้ตายเดิมที่เคยสร้างความสำเร็จมาแล้ว นั่นคือ “ความได้เปรียบของแบรนด์โนเนม”

Chris Larson รองประธานฝ่ายขายของ TCL ในอเมริกาเหนือ ได้เล่าว่ากลยุทธ์ของพวกเขานั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง พวกเขาทำการบ้านมาอย่างดีและพบว่า ผู้บริโภคชาวอเมริกันโดยทั่วไป เวลาจะตัดสินใจซื้อทีวีสักเครื่อง พวกเขามองหาปัจจัยหลักๆ เพียงแค่ 3 อย่างเท่านั้น คือ ราคาที่สมเหตุสมผล, ขนาดของหน้าจอที่ใหญ่สะใจ, และเทคโนโลยีที่พอจะรองรับอนาคตได้ ซึ่งในขณะนั้นก็คือความละเอียดระดับ 4K

ดังนั้น TCL จึงไม่ทำอะไรที่ซับซ้อน พวกเขาทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดเพื่อนำเสนอทีวี 4K ที่มีขนาดจอใหญ่ที่สุด ในราคาที่ถูกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในแต่ละช่วงงบประมาณ

ลองจินตนาการถึงผู้บริโภคที่เดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าอย่าง Best Buy แล้วเห็นทีวี TCL ขนาด 65 นิ้ว วางอยู่เคียงข้างทีวีแบรนด์ดังขนาด 55 นิ้ว แต่กลับมีราคาที่ถูกกว่ากันหลายร้อยเหรียญ แถมยังเป็น 4K เหมือนกันอีก… มันย่อมเกิดคำถามในใจขึ้นมาทันที

ณ จุดนี้ หลายคนอาจจะแย้งว่า แบรนด์อย่าง Vizio ก็ใช้กลยุทธ์ราคาถูกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ทำไมถึงไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับ TCL?

นี่คือจุดที่นำเราไปสู่ความลับข้อที่สอง ซึ่งเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของพวกเขา

นั่นคือ “ความได้เปรียบจากการผลิตเองทั้งหมด” หรือที่ในวงการธุรกิจเรียกว่า “Vertical Integration”

นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ TCL แตกต่างจากคู่แข่งทุกรายในตลาดอย่างสิ้นเชิง

ในขณะที่แบรนด์อเมริกันส่วนใหญ่ หรือแม้กระทั่งแบรนด์ดังๆ หลายเจ้า เลือกที่จะจ้างบริษัทอื่นผลิตชิ้นส่วนให้ หรือที่เรียกว่า Outsource เพื่อควบคุมต้นทุน แต่ TCL กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

พวกเขาเลือกที่จะควบคุมกระบวนการผลิตเองแทบจะทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองนึกถึงร้านอาหารสองร้าน ร้านแรกเลือกที่จะซื้อวัตถุดิบสำเร็จรูป เช่น ซอสพาสต้า หรือเส้นพาสต้าที่ทำมาแล้วจากโรงงาน เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว

ส่วนร้านที่สอง เลือกที่จะปลูกมะเขือเทศเอง ทำแป้งเอง และผลิตซอสกับเส้นพาสต้าเองทุกขั้นตอน… TCL คือร้านอาหารแบบที่สองครับ

พวกเขาไม่ได้เป็นแค่โรงงานที่นำชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นทีวี แต่พวกเขามีบริษัทลูกที่ชื่อว่า CSOT (China Star Optoelectronics Technology) ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงงานผลิต “หน้าจอ” ที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในโลก

และเรื่องที่น่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือ โรงงาน CSOT แห่งนี้ ไม่ได้ผลิตจอให้กับ TCL เพียงแบรนด์เดียว แต่ยังรับหน้าที่ผลิตและส่งมอบหน้าจอคุณภาพสูงให้กับแบรนด์คู่แข่งอื่นๆ อีกมากมาย!

มีความเป็นไปได้สูงว่าทีวีจอใหญ่ยักษ์ขนาด 98 นิ้วของ Samsung หรือ Sony ที่คุณเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ จริงๆ แล้วหัวใจสำคัญที่อยู่ข้างในนั้น… ก็คือหน้าจอที่ผลิตโดยโรงงานของ TCL นั่นเอง

ดังนั้น ในขณะที่คู่แข่งต้องสั่งซื้อหน้าจอจากซัพพลายเออร์ (ซึ่งบางครั้งก็คือ TCL เอง) และต้องแบกรับต้นทุนจากกำไรส่วนต่างที่ถูกบวกเพิ่มเข้ามา แต่ TCL กลับสามารถหยิบหน้าจอจากโรงงานของตัวเองมาใช้ในการผลิตได้โดยตรง

ความได้เปรียบมหาศาลในด้านต้นทุนตรงนี้เอง ที่ทำให้ TCL สามารถตั้งราคาขายที่ถูกกว่าคู่แข่งได้อย่างน่าทึ่ง โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปลดทอนคุณภาพของชิ้นส่วนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย

และนี่คือจุดเชื่อมโยงที่นำไปสู่กลยุทธ์ประสานข้อสุดท้ายที่ทำให้พวกเขาสามารถครองใจผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืน

กลยุทธ์ที่สามคือ “การสร้างความได้เปรียบที่เหนือกว่าด้วยคุณภาพ”

เป้าหมายของ TCL ไม่เคยเป็นการสร้างทีวีที่ “ถูกที่สุด” ในตลาด แต่เป็นการสร้างทีวีที่มีคุณภาพ “ทัดเทียม” กับแบรนด์ชั้นนำ ใน “ราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า”

ความแตกต่างในเป้าหมายนี้ คือสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล

ผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อทีวี TCL ในช่วงแรกๆ อาจจะเลือกเพราะเหตุผลด้านราคา แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประทับใจจนต้องบอกต่อ และตัดสินใจกลับมาซื้อซ้ำอีกครั้ง คือการที่พวกเขาประหลาดใจกับคุณภาพที่ได้รับ

พวกเขารู้สึกว่าคุณภาพของทีวีที่ได้มานั้น มันดีเกินกว่าราคาที่พวกเขาจ่ายไปมาก

แน่นอนว่าในช่วงเริ่มต้นเส้นทาง ก็มีเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับปัญหาด้านคุณภาพอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแสงรั่วตามขอบจอ หรือความสม่ำเสมอของสีบนหน้าจอ แต่ TCL ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเขารับฟังทุกความคิดเห็นและมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง

จนในปัจจุบันนี้ คุณภาพของทีวี TCL โดยเฉพาะในรุ่นเรือธงนั้น สามารถยืนหยัดท้าชนกับเจ้าตลาดได้อย่างสมศักดิ์ศรี จนผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังต้องยอมรับ

จากแบรนด์ที่คนซื้อเพราะไม่มีทางเลือกในวันนั้น ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นแบรนด์ที่คนกลับมาซื้ออีกครั้งเพราะ “ความไว้วางใจ” และนี่คือสิ่งที่แบรนด์ราคาถูกอื่นๆ ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้

เมื่อ TCL สร้างฐานที่มั่นอันแข็งแกร่งจากกลยุทธ์ทั้งสามประสานนี้ได้สำเร็จแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่เริ่มที่จะเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ตาม” มาเป็น “ผู้รุก” ที่พร้อมจะกำหนดทิศทางของตลาดเสียเอง

ภาพที่ชัดเจนที่สุดของบทบาทใหม่นี้ ปรากฏขึ้นในงาน CES 2024 ซึ่งเป็นงานแสดงเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก

ในขณะที่ Samsung กำลังจัดแสดงนวัตกรรมสุดล้ำอย่าง The Wall TV ที่มีราคาสูงถึง 2 แสนกว่าดอลลาร์ หรือทีวีจอใสที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ยังหาประโยชน์ใช้สอยในชีวิตจริงได้ยาก

TCL กลับสร้างเสียงฮือฮาด้วยการเปิดตัวทีวีเทคโนโลยี Mini LED ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกถึง 115 นิ้ว และที่สำคัญ พวกเขาประกาศว่าจะผลิตเพื่อวางจำหน่ายจริงในราคาที่คนทั่วไปยังพอจะเอื้อมถึงได้

นี่คือการแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่คู่แข่งกำลังนำเสนอ “เทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต” ที่คนส่วนใหญ่อาจไม่มีวันได้สัมผัส แต่ TCL กำลังผลักดัน “นวัตกรรมที่ใช้งานได้จริง”

พวกเขากำลังทำให้ทีวีจอใหญ่ยักษ์คุณภาพสูง กลายเป็นสิ่งที่คนธรรมดาสามารถเป็นเจ้าของได้ ไม่ใช่แค่ของเล่นราคาแพงสำหรับมหาเศรษฐีอีกต่อไป

TCL ไม่ได้พยายามสร้างลูกเล่นที่หวือหวาอย่างทีวี 3 มิติ หรือทีวีจอโค้ง ที่เคยผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่พวกเขามุ่งเน้นไปที่แก่นแท้ที่ผู้บริโภคต้องการอย่างแท้จริง นั่นคือ “จอที่ใหญ่ขึ้น ภาพที่ดีขึ้น ในราคาที่ยุติธรรม”

แล้วเรื่องราวทั้งหมดนี้ ให้บทเรียนอะไรกับเรา?

มหากาพย์ของ TCL คือกรณีศึกษาชั้นยอดของการทำธุรกิจที่ยึดมั่นในปรัชญาแห่ง “การใช้งานได้จริง” หรือ Practicality

ในวันที่ยังไม่มีใครรู้จัก พวกเขาต่อสู้ด้วย “คุณค่าที่แท้จริง” ของผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่ฉาบฉวย

ในวันที่ต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่ พวกเขาสร้างความได้เปรียบด้วย “การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ” จากการผลิตเอง ไม่ใช่การลดทอนคุณภาพ

และในวันที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ พวกเขากำลังขับเคลื่อนวงการไปข้างหน้าด้วย “นวัตกรรมที่จับต้องได้” ไม่ใช่ความฝันที่ไกลเกินเอื้อม

TCL ได้พิสูจน์ให้โลกได้เห็นแล้วว่า การเริ่มต้นจากศูนย์ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเอาชนะยักษ์ใหญ่ไม่ได้ และบางครั้ง การไม่มีชื่อเสียง ก็อาจเป็นข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณ… เพราะมันบังคับให้คุณต้องสร้างคุณค่าที่แท้จริงขึ้นมาจากสองมือของคุณเองเท่านั้น

References : [lcdtvthailand,longtunman,thansettakij,digitaltrends,tcl]

ทำไม Samsung ถึงผลิตชิปสู้ TSMC ไม่ได้? ถอดรหัสความพ่ายแพ้ กับเหตุผลที่การโฟกัสเรื่องเดียว ถึงชนะการทำทุกอย่าง

เคยสงสัยไหมครับว่า ชิปตัวจิ๋วที่ทรงพลัง ที่เป็นหัวใจของ iPhone, การ์ดจอ NVIDIA, หรือคอมพิวเตอร์ AI ที่ฉลาดที่สุดในโลก มันถูกสร้างขึ้นที่ไหน?

คำตอบอาจทำให้หลายคนประหลาดใจ เพราะเจ้าของโรงงานที่กุมชะตาโลกเทคโนโลยีไว้ในมือ ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เรารู้จักกันดี แต่เป็นบริษัทจากไต้หวัน ที่ชื่อว่า TSMC

แล้วบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung ที่ผลิตทุกอย่างตั้งแต่เรือรบยันตู้เย็น หายไปไหน? ทำไมบริษัทที่มีพร้อมทั้งเงินทุนและเทคโนโลยี ถึงพ่ายแพ้ในสงครามครั้งสำคัญนี้?

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของสองบริษัท ที่มีปรัชญาแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เหมือนกับน้ำกับน้ำมันที่ไม่มีวันเข้ากันได้

ฟากหนึ่งคือ TSMC หรือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1987 โดยชายชื่อ ดร. Morris Chang

ไอเดียของ ดร. Chang ในตอนนั้นถือว่าแปลกและเสี่ยงมาก เขาต้องการสร้างโรงงานที่เรียกว่า “Pure-play Foundry”

คำว่า Foundry ก็คือโรงงานรับจ้างผลิตชิป ส่วน Pure-play แปลว่า “ทำอย่างเดียว” รวมกันแล้วหมายความว่า TSMC จะเป็นโรงงานรับจ้างผลิตชิปให้คนอื่นเท่านั้น จะไม่ออกแบบหรือขายชิปภายใต้แบรนด์ของตัวเองเด็ดขาด

ในยุคนั้น บริษัทชิปส่วนใหญ่เป็นโมเดลที่เรียกว่า IDM (Integrated Device Manufacturer) คือทำทุกอย่างครบวงจร ตั้งแต่ออกแบบเอง ผลิตเอง แล้วก็ขายเอง

แต่ ดร. Chang มองเห็นช่องว่าง เขาเห็นบริษัทเก่งๆ อย่าง Qualcomm หรือ NVIDIA ที่ออกแบบชิปได้สุดยอด แต่ไม่มีเงินมหาศาลพอจะสร้างโรงงานของตัวเองได้

TSMC จึงเสนอตัวเป็น “คู่ค้าที่ไว้ใจได้” เป็นเหมือนพ่อค้าอาวุธในสงครามเทคโนโลยี คือใครมีแบบแปลนเจ๋งๆ มา เราสร้างให้ และที่สำคัญ เราจะไม่เอาแบบของคุณไปสร้างเป็นอาวุธมาสู้กับคุณ ความเป็นกลางนี่แหละครับ คือหัวใจของ TSMC

ทีนี้ลองมาดูอีกฟากหนึ่ง นั่นคือ Samsung ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ที่เรารู้จักกันดี ในฐานะส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจครอบครัวที่เรียกว่า Chaebol, Samsung สร้างอาณาจักรที่ผลิตแทบทุกอย่างที่เรานึกออก

ในโลกของเซมิคอนดักเตอร์ Samsung เริ่มต้นจากการเป็นเจ้าแห่ง “ชิปหน่วยความจำ” หรือ Memory Chip ซึ่งเป็นชิปมาตรฐานที่เน้นผลิตในปริมาณมหาศาล

Samsung เป็น IDM ขนานแท้ พวกเขาออกแบบชิปของตัวเองชื่อ Exynos เพื่อเอาไปใส่ในมือถือ Galaxy และสินค้าอื่นๆ ถ้ามีกำลังการผลิตเหลือ ก็อาจจะรับจ้างผลิตให้คนอื่นบ้าง แต่มันไม่ใช่ธุรกิจหลัก ไม่ใช่หัวใจของบริษัท

ดังนั้น เวทีการแข่งขันจึงถูกตั้งขึ้นมาชัดเจน… TSMC คือผู้เชี่ยวชาญ ที่มีเป้าหมายเดียวคือการเป็นผู้รับจ้างผลิตที่ดีที่สุดในโลก ปะทะกับ Samsung คือยักษ์ใหญ่ที่ทำทุกอย่าง ซึ่งมองว่าการผลิตชิปเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่

และในโลกของเทคโนโลยีที่เดิมพันกันด้วยความเร็วและความสมบูรณ์แบบ การมี “โฟกัส” เพียงเรื่องเดียว มันได้กลายเป็นพลังพิเศษที่เหนือกว่าใครครับ

จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดที่ชี้ชะตาสงครามครั้งนี้ อาจเป็นการตัดสินใจของ Apple ในช่วงปี 2013-2014

ในยุคแรกๆ ของ iPhone, Apple ก็จ้าง Samsung ผลิตชิปให้นี่แหละครับ แต่ในขณะนั้น ทั้งสองบริษัทกำลังฟาดฟันกันอย่างดุเดือดในตลาดสมาร์ทโฟน มีคดีฟ้องร้องเรื่องสิทธิบัตรกันวุ่นวาย

คำถามที่เกิดขึ้นในใจของ Apple ในตอนนั้นก็คือ… “เราจะยอมส่งแบบแปลนชิป ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ iPhone ไปให้คู่แข่งตัวฉกาจที่สุดของเราผลิตต่อไปจริงๆ หรือ?”

ในขณะเดียวกัน TSMC ก็พิสูจน์ตัวเองว่ามีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญที่สุดคือ TSMC เป็นกลางและน่าไว้วางใจ ในปี 2014 Apple จึงตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ คือย้ายการผลิตชิปทั้งหมดมาให้ TSMC แต่เพียงผู้เดียว

การย้ายค่ายของ Apple ไม่ใช่แค่การสูญเสียลูกค้ารายใหญ่ แต่มันคือการประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่า “TSMC คือเบอร์หนึ่งที่น่าไว้วางใจที่สุด” มันคือตราประทับที่ทรงพลัง ที่ทำให้บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ หันมามอง TSMC ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

แน่นอนว่า Samsung ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พวกเขาเคยมีช่วงเวลาที่เหมือนจะกลับมาได้ ในปี 2015 Samsung เปิดตัวเทคโนโลยีกระบวนการผลิต 14 นาโนเมตร ที่ใช้ทรานซิสเตอร์แบบใหม่เรียกว่า FinFET ได้ก่อน TSMC

แต่ชัยชนะนั้นอยู่ได้ไม่นาน เพราะถึงแม้จะออกตัวก่อน แต่กลับมีคนพบว่าชิปตัวเดียวกันที่ผลิตโดย TSMC กลับประหยัดพลังงานกว่าของ Samsung อย่างมีนัยสำคัญ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าแค่เป็นคนแรกมันไม่พอ แต่ต้องทำให้ดีที่สุดด้วย

และสมรภูมิที่ตอกย้ำความห่างชั้นจริงๆ ก็คือช่วง 7 นาโนเมตร ในปี 2018-2019

ตอนนั้น TSMC สามารถผลิตชิป 7 นาโนเมตรได้ในปริมาณมากและมีคุณภาพคงที่ จนกลายเป็นโรงงานเนื้อหอมที่ใครๆ ก็อยากใช้บริการ แม้แต่ Qualcomm ที่เคยเป็นลูกค้าหลักของ Samsung ก็ยังต้องย้ายค่ายมาซบ TSMC

มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยเรื่อง “อัตราผลผลิต” หรือที่ในวงการเรียกว่า “Yield” มันคืออะไรและสำคัญยังไง?

ลองนึกภาพง่ายๆ ว่าเราอบคุกกี้บนถาดกลมๆ หนึ่งถาด บนถาดนี้เราพิมพ์ลายคุกกี้ได้หลายร้อยชิ้น ถ้า Yield อยู่ที่ 70% ก็หมายความว่ามีคุกกี้ที่ใช้งานได้ 70 ชิ้น อีก 30 ชิ้นต้องทิ้งไป ถ้า Yield ต่ำ ต้นทุนก็จะพุ่งกระฉูดทันที

และฝันร้ายเรื่อง Yield นี่แหละครับ คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Samsung

จุดที่เจ็บปวดที่สุดน่าจะเป็นสมรภูมิ 4 และ 5 นาโนเมตร Qualcomm กลับไปให้โอกาส Samsung ผลิตชิปเรือธง Snapdragon 8 Gen 1 แต่ผลปรากฏว่าอุปกรณ์ที่ใช้ชิปของ Samsung มีปัญหาความร้อนและแบตเตอรี่หมดเร็ว

จนมีรายงานว่า Yield ของ Samsung ในตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 35% เท่านั้นเอง สุดท้าย Qualcomm ทนไม่ไหว ต้องย้ายออเดอร์กลางคันกลับไปหา TSMC ที่ทำ Yield ได้สูงถึง 70-80%

การที่ลูกค้าต้องย้ายหนีกลางคันแบบนี้ มันคือการทำลายความน่าเชื่อถืออย่างรุนแรง และเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ Samsung ต้องเดิมพันทุกอย่างกับการมาถึงของเทคโนโลยี 3 นาโนเมตร

Samsung ตัดสินใจทุ่มสุดตัวด้วยการประกาศว่า “เราคือเจ้าแรกของโลกที่ผลิตชิป 3 นาโนเมตรด้วยเทคโนโลยีทรานซิสเตอร์แบบใหม่ที่เรียกว่า Gate-All-Around หรือ GAA!” ซึ่งมันล้ำกว่าแบบ FinFET ที่ใช้กันอยู่

ในขณะที่ TSMC เลือกเดินเกมแบบเต่า คือยังคงใช้เทคโนโลยี FinFET ที่คุ้นเคยและเสถียรสำหรับ 3 นาโนเมตร แล้วค่อยเปลี่ยนไปใช้ GAA ในรุ่น 2 นาโนเมตรแทน

ผลลัพธ์คืออะไรครับ? Samsung เป็นเหมือนกระต่ายที่รีบวิ่งออกไปก่อน แต่กลับสะดุดล้มกลางทาง มีข่าวลือว่า Yield ของ 3 นาโนเมตร GAA นั้นต่ำมากจนน่าใจหาย ทำให้ไม่มีลูกค้ารายใหญ่เจ้าไหนกล้าสั่งผลิตเลย

ในทางกลับกัน TSMC ที่ค่อยๆ เดินอย่างมั่นคง ก็เข้าเส้นชัยไปแบบสบายๆ กวาดลูกค้า 3 นาโนเมตรทั้งหมดไปครอง

ภาพในวันนี้จึงชัดเจนมากครับ TSMC กลายเป็นผู้กุมชะตาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของโลกไปแล้ว ด้วยส่วนแบ่งตลาดโรงหล่อที่สูงถึง 60-70% ทิ้งห่างอันดับสองอย่าง Samsung ที่มีอยู่ไม่ถึง 15% แบบไม่เห็นฝุ่น

TSMC ไม่ได้เป็นแค่โรงงานผลิตชิป แต่พวกเขากลายเป็น “ระบบนิเวศ” ที่แข็งแกร่ง มีเครื่องมือ มีพันธมิตร และมีเทคโนโลยีการประกอบชิปขั้นสูงที่เรียกว่า CoWoS ที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชิป AI ของ NVIDIA ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของคนทั้งโลก

ยิ่ง AI บูมมากเท่าไหร่ TSMC ก็ยิ่งเติบโตและทิ้งห่างคู่แข่งไปไกลขึ้นเท่านั้น

แล้ว Samsung ล่ะ? พวกเขาอยู่ในสถานะ “ผู้ท้าชิงที่บาดเจ็บ” แต่ก็ยังไม่ตาย ด้วยเงินทุนมหาศาล พวกเขากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อกลับมาให้ได้

ปัญหาใหญ่ที่ Samsung ยังแก้ไม่ตกก็คือเรื่อง “ความไว้วางใจ” และ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ตราบใดที่พวกเขายังผลิตมือถือ Galaxy แข่งกับลูกค้ารายอื่น การจะให้บริษัทเหล่านั้นเอาความลับสุดยอดมาให้ ก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี

อนาคตจะเป็นอย่างไร? สมรภูมิต่อไปคือ 2 นาโนเมตร ซึ่งทั้ง TSMC และ Samsung จะต้องใช้เทคโนโลยี GAA เหมือนกัน คำถามก็คือ ประสบการณ์ที่เจ็บปวดของ Samsung จะกลายเป็นบทเรียนที่ทำให้พวกเขากลับมาแข็งแกร่งขึ้นได้หรือไม่?

สุดท้ายนี้ เรื่องราวของ TSMC กับ Samsung ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่มันคือเรื่องของ “ปรัชญา”

มันคือการต่อสู้ระหว่าง “การโฟกัส” กับ “ความหลากหลาย” ระหว่าง “การสร้างความไว้วางใจ” กับ “การควบคุมทุกอย่างไว้เอง”

TSMC เลือกที่จะเป็น “ที่สุด” ในเรื่องเดียว และทำมันออกมาให้ดีที่สุด จนไม่มีใครตามทัน ส่วน Samsung เลือกที่จะเป็น “ทุกอย่าง” ซึ่งทำให้พวกเขาแข็งแกร่งในภาพรวม แต่กลับขาดความเฉียบคมในสมรภูมิที่สำคัญที่สุด

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในโลกที่ซับซ้อนและเคลื่อนไหวเร็วที่สุด บางครั้งการเป็น “ที่สุด” ในเรื่องเดียว อาจสำคัญกว่าการเป็น “ทุกอย่าง” ก็เป็นได้ครับ

References : [reuters,anandtech,trendforce,bloomberg,asia .nikkei]

เกิดอะไรขึ้นกับ Palm? เรื่องราวการล่มสลายของยักษ์ใหญ่แห่งวงการ PDA ที่มาก่อนกาล

รู้หรือไม่ว่า ก่อนที่โลกจะมี iPhone และสมาร์ทโฟนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เคยมีบริษัทหนึ่งที่เกือบจะได้ครองโลกของอุปกรณ์พกพามาก่อน

บริษัทนั้นมีชื่อว่า Palm

เรื่องราวของ Palm เป็นเหมือนรถไฟเหาะ มีทั้งจุดสูงสุดที่น่าทึ่ง และจุดต่ำสุดที่น่าใจหาย มันเป็นเรื่องของการมีวิสัยทัศน์ที่มาก่อนกาล แต่กลับต้องพ่ายแพ้ในสงครามที่ตัวเองเป็นคนเริ่มต้น

และเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันกับชายผู้สร้าง iPod และนักบาสเกตบอลชื่อดังอย่าง Steph Curry อีกด้วย

แล้วเรื่องราวทั้งหมดนี้ มันเป็นมาอย่างไร?

ย้อนกลับไปในปี 1992 Jeff Hawkins นักประสาทวิทยาและผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ ได้ก่อตั้งบริษัท Palm ขึ้นมาพร้อมกับเพื่อนอีกสองสามคน

วิสัยทัศน์ของ Hawkins ในตอนนั้นชัดเจนมาก เขาเชื่อว่าอนาคตของการใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้อยู่บนโต๊ะทำงาน แต่อยู่ในมือของเรา

ในยุคนั้น อุปกรณ์พกพาที่ใกล้เคียงที่สุดคือสิ่งที่เรียกว่า PDA หรือ Personal Digital Assistant ซึ่งเปรียบเสมือนสมุดออร์แกไนเซอร์ดิจิทัล

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ Hawkins ไม่ได้มองว่าคู่แข่งของเขาคือบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่

คู่แข่งที่แท้จริงของเขาคือ “กระดาษ”

เขาต้องการสร้างอุปกรณ์ที่จะมาแทนที่สมุดจด ปฏิทิน และสมุดแพลนเนอร์กระดาษที่ทุกคนพกติดตัวกันอยู่

Palm เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ พวกเขาพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับ PDA ให้กับบริษัทอื่น หนึ่งในนั้นคือ Casio

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญครั้งแรกของพวกเขาคือซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า “Graffiti”

Graffiti คือนวัตกรรมที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเขียนตัวอักษรด้วยลายมือลงบนหน้าจอ แล้วซอฟต์แวร์จะแปลงมันเป็นตัวพิมพ์ดิจิทัลได้ทันที

นี่คือสิ่งที่ปฏิวัติวิธีการป้อนข้อมูลในยุคนั้น และมันก็ทำให้ชื่อของ Palm เริ่มเป็นที่รู้จัก

ต่อมาในปี 1995 บริษัท US Robotics ได้เข้ามาซื้อกิจการ Palm และนี่คือจุดที่ทำให้ Palm ได้มีโอกาสสร้างฮาร์ดแวร์ของตัวเองเป็นครั้งแรก

ผลิตภัณฑ์ที่แจ้งเกิดให้กับพวกเขาอย่างแท้จริงคือ “Pilot 1000” และ “Pilot 5000”

ความสำเร็จของ Pilot ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันเกิดจากหลักการ 4 ข้อที่ Hawkins และทีมงานยึดมั่นมาตลอด

หนึ่งคือ ขนาดต้องเล็กพอที่จะใส่ในกระเป๋าเสื้อได้

สองคือ ราคาต้องจับต้องได้ ไม่เกิน 300 ดอลลาร์

สามคือ ต้องเชื่อมต่อและซิงค์ข้อมูลกับ PC ได้อย่างง่ายดาย

และสี่คือ ต้องใช้งานง่ายเหมือนหยิบกระดาษขึ้นมาจด

ด้วยหลักการ 4 ข้อนี้ ประกอบกับระบบปฏิบัติการ Palm OS ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อหน้าจอสัมผัสโดยเฉพาะ ทำให้อุปกรณ์ Pilot ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

Palm กลายเป็นผู้นำตลาด PDA อย่างไม่มีใครเทียบได้ พวกเขาครองส่วนแบ่งตลาดกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และคำว่า “Palm Pilot” ก็กลายเป็นคำเรียกติดปากสำหรับอุปกรณ์ประเภทนี้ไปโดยปริยาย

ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่ในโลกธุรกิจ ไม่มีอะไรที่แน่นอน

ในปี 1997 บริษัท 3Com ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่กว่า ได้เข้ามาซื้อกิจการ US Robotics ทำให้ Palm ต้องเปลี่ยนเจ้าของอีกครั้ง

การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารและทิศทางของบริษัท ทำให้ Jeff Hawkins และทีมงานผู้ก่อตั้งดั้งเดิมตัดสินใจลาออก

พวกเขาออกไปตั้งบริษัทใหม่ชื่อว่า Handspring ซึ่งกลายมาเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Palm และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกันมาก

สถานการณ์เริ่มซับซ้อนขึ้น Palm ที่ไม่มีผู้ก่อตั้งอยู่แล้ว ต้องแข่งขันกับบริษัทใหม่ที่ก่อตั้งโดยคนของตัวเอง

ช่วงต้นยุค 2000 คือยุคฟองสบู่ดอทคอม บริษัทเทคโนโลยีมีมูลค่าสูงเกินจริง Palm เองก็เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และหุ้นของพวกเขาก็เคยพุ่งไปสูงถึง 95 ดอลลาร์ในวันแรก

แต่เมื่อฟองสบู่แตก มูลค่าของ Palm ก็ดิ่งลงเหว เหลือเพียงหุ้นละ 6 ดอลลาร์ ทำให้บริษัทตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะถูกซื้อกิจการ

Palm พยายามปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ พวกเขาแยกบริษัทออกเป็นสองส่วน คือส่วนฮาร์ดแวร์ และส่วนซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า PalmSource

จากนั้นในปี 2003 ทีมฮาร์ดแวร์ของ Palm ก็ได้ทำในสิ่งที่น่าสนใจ คือการกลับไปซื้อกิจการ Handspring ของเหล่าผู้ก่อตั้งเดิมและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น PalmOne

ในช่วงเวลานี้เองที่ Palm ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดรุ่นหนึ่งของพวกเขา นั่นก็คือ “Treo”

Treo คือความพยายามที่จะรวมเอาความสามารถของ PDA และโทรศัพท์มือถือเข้าไว้ด้วยกัน มันมีทั้งคีย์บอร์ด กล้อง และสามารถโทรออกได้

มันคือการตอบสนองต่อคู่แข่งอย่าง BlackBerry ที่กำลังมาแรงในตลาดองค์กร และมันก็ทำได้ดีทีเดียว Treo กลายเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนยุคแรกๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

Palm กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พวกเขาซื้อสิทธิ์ในชื่อ Palm กลับคืนมา และเปลี่ยนชื่อบริษัทกลับเป็น “Palm” เหมือนเดิม

แต่แล้ว จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการมือถือก็ได้เกิดขึ้น

ในปี 2007 Apple ได้เปิดตัว “iPhone”

iPhone ไม่ได้เป็นแค่มือถืออีกเครื่องหนึ่ง แต่มันคือการปฏิวัติ มันมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัสแบบคาปาซิทีฟที่ไม่ต้องใช้สไตลัส และระบบปฏิบัติการ iOS ที่ใช้งานง่ายและสวยงาม

มันได้เปลี่ยนนิยามของคำว่าสมาร์ทโฟนไปตลอดกาล

ในตอนแรก CEO ของ Palm ยังออกมาบอกว่าเขาไม่ได้กังวลกับ iPhone แต่ไม่นานพวกเขาก็รู้ว่านี่คือคลื่นสึนามิลูกใหญ่ที่กำลังจะซัดเข้าฝั่ง

Palm รู้ดีว่าพวกเขาต้องทำอะไรสักอย่าง และต้องทำอย่างรวดเร็ว

พวกเขาได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ คือการดึงตัว Jon Rubinstein อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Apple ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ iPod ให้มาเป็น CEO คนใหม่

นี่คือไพ่ใบสุดท้ายของ Palm

ภายใต้การนำของ Rubinstein ทีมงาน Palm ได้ซุ่มพัฒนาอาวุธลับเพื่อมาต่อกรกับ iPhone

สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมาคือระบบปฏิบัติการใหม่ที่ชื่อว่า “WebOS” และสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า “Palm Pre”

WebOS ในตอนนั้น ถือว่าล้ำหน้ากว่าทั้ง iOS และ Android มันมีระบบ Multitasking ที่ยอดเยี่ยม ผู้ใช้สามารถเปิดหลายแอปพร้อมกันและสลับไปมาได้อย่างราบรื่น

ส่วน Palm Pre ก็มีดีไซน์ที่สวยงามและฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากมาย มันคือความหวังทั้งหมดของบริษัท

เมื่อ Palm Pre เปิดตัวในปี 2009 มันได้รับคำชมจากนักวิจารณ์อย่างล้นหลาม หลายคนยกให้มันเป็น “iPhone Killer” ตัวจริง

ดูเหมือนว่า Palm กำลังจะกลับมาทวงบัลลังก์คืนได้สำเร็จ

แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้น

แม้ว่าผลิตภัณฑ์จะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ Palm ก็กำลังประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก พวกเขาใช้เงินไปมหาศาลกับการวิจัยและพัฒนา และยังต้องต่อสู้กับยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Google ที่มีสายป่านยาวกว่ามาก

ยอดขายของ Palm Pre ไม่ได้เปรี้ยงปร้างอย่างที่คาดหวังไว้ บริษัทเริ่มขาดทุนอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ก็ดูเหมือนจะสิ้นหวัง

ในที่สุด ปี 2010 HP บริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ ก็ได้ยื่นมือเข้ามาซื้อกิจการ Palm ไปด้วยมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์

นี่ดูเหมือนจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ การได้อยู่ในอ้อมอกของบริษัทใหญ่อย่าง HP น่าจะทำให้ Palm มีทรัพยากรและความมั่นคงที่จะต่อสู้ในสงครามสมาร์ทโฟนต่อไปได้

แต่แล้ว HP ก็ได้ทำการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Palm

พวกเขาตัดสินใจที่จะ “ทิ้ง” ชื่อแบรนด์ Palm ออกไป

ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะออกมา จะใช้ชื่อแบรนด์ HP แทน นี่คือการทำลายการรับรู้แบรนด์และฐานแฟนคลับที่ Palm สั่งสมมาเกือบ 20 ปีจนหมดสิ้น

HP ได้เปิดตัวอุปกรณ์ WebOS รุ่นใหม่ ทั้งสมาร์ทโฟน Pre 3, Veer และแท็บเล็ตที่ชื่อว่า Touchpad

แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ยอดขายย่ำแย่จนน่าใจหาย

และเพียงแค่ 16 เดือนหลังจากที่ซื้อ Palm เข้ามา HP ก็ได้ประกาศยุติการพัฒนาและผลิตอุปกรณ์ WebOS ทั้งหมด

มันคือจุดจบที่รวดเร็วและน่าใจหาย

HP ต้องนำแท็บเล็ต Touchpad ที่เหลืออยู่ในสต็อกมาขายเลหลังในราคาเพียง 99 ดอลลาร์ ซึ่งน่าขันที่มันกลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะผู้คนซื้อมันไปเพื่อแฮกและลงระบบปฏิบัติการ Android แทน

เรื่องราวของ Palm ได้ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการ

ทรัพย์สินของ Palm ถูกแยกขายไปคนละทิศคนละทาง ระบบปฏิบัติการ WebOS ถูกขายให้กับ LG และทุกวันนี้มันก็ยังคงถูกใช้งานอยู่ในสมาร์ททีวีของ LG

ส่วนชื่อแบรนด์ Palm ก็ถูกขายให้กับบริษัทจีนอย่าง TCL ในเวลาต่อมา

และนี่คือจุดที่ Steph Curry เข้ามาเกี่ยวข้อง

ในปี 2018 TCL ได้พยายามชุบชีวิตแบรนด์ Palm ขึ้นมาใหม่ โดยเปิดตัวอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เป็น “โทรศัพท์คู่หู” และได้ดึงตัว Steph Curry มาเป็นพรีเซนเตอร์

แต่มันก็เป็นเพียง Palm แค่ในชื่อเท่านั้น และก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด

เรื่องราวของ Palm คือกรณีศึกษาชั้นดีในโลกธุรกิจ

มันสอนให้เรารู้ว่า การมีนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้

Palm มีวิสัยทัศน์ที่มาก่อนกาล พวกเขาสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปฏิวัติวงการ แต่กลับสะดุดล้มเพราะการบริหารจัดการภายใน การขาดสายป่านทางการเงิน และการตัดสินใจที่ผิดพลาดในจังหวะที่สำคัญที่สุด

จากบริษัทที่เกือบจะได้ครองโลกมือถือ Palm ได้กลายเป็นเพียงตำนานที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

เป็นบทเรียนราคาแพงที่เตือนใจว่า ในโลกที่มีการแข่งขันสูง การก้าวพลาดเพียงครั้งเดียว ก็อาจหมายถึงการล่มสลายได้ทั้งบริษัท.

References : [wikipedia,theverge,arstechnica,cnet,engadget]