ยุค AI แล้วไง? เมื่อโลกเรากำลังเข้าสู่ยุคทองของคนทำงาน

ต้องบอกว่าแม้ยุค AI กำลังจะบูมถึงจุดสูงสุด เทคโนโลยีอย่าง Generative AI กำลังเข้ามาแย่งงานจากผู้คนจำนวนมากในหลากหลายอาชีพ แต่ยุคทองของการทำงานจริง ๆ กำลังจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะงานที่ใช้แรงงานทางกายภาพซึ่งยากต่อการถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี

รายงานจาก World Economic Forum แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าเครื่องจักร AI จะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงาน 85 ล้านตำแหน่งในปี 2025 แต่ก็จะมีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้นมา 97 ล้านตำแหน่งในปีเดียวกัน

ย้อนกลับไปในยุคพีคที่สุดของการย้ายฐานการผลิตในปี 2015 ในช่วงที่ประชากรวัยทำงานจากประเทศจีนอยู่ในระดับจุดสูงสุดถึง 998 ล้านคน

บริษัทจากโลกตะวันตกส่วนใหญ่ต่างข่มขู่แรงงาน ขูดรีดเงินเดือน ค่าจ้างอย่างไม่เป็นธรรม โดยขู่ว่าจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศจีน เพื่อบีบค่าแรงให้ต่ำลง

แต่ตัดภาพมาถึงวันนี้ ประชากรวัยทำงานของจีนกำลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ก็ประสบปัญหาในการสร้างขีดความสามารถทางด้านอุตสาหกรรม

ความไม่แน่นอนโดยเฉพาะปัญหาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ทำให้การจ้างงานในต่างประเทศลดน้อยลง โลกตะวันตกเองกำลังเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก โดยเฉพาะจำนวนประชาการที่มีอายุระหว่าง 20-54 กำลังสูญหายไป

การสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ใน 41 ประเทศโดย ManPowerGroup พบว่า 77% ของบริษัทส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานเพิ่มขึ้น 2 เท่านับตั้งแต่ปี 2015

สองในสามของโรงงานอุตสาหกรรมในโปแลนด์มีการรายงานว่าปัญหาการขาดแคลนแรงงานเป็นหนึ่งในอุปสรรคหลักต่อการผลิต

ในเยอรมนี บริการขนส่งสาธารณะถูกลดจำนวนลงไปเพราะขาดพนักงานขับรถและพนักงานรถไฟ ในเกาหลีใต้ผู้สูงอายุจำนวนมากยังคงทำงานต่อเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดแคลนแรงงาน โดย 59% ของประชากรอายุ 55 ถึง 79 ปี ยังคงทำงาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 53% เมื่อ 10 ปีที่แล้ว

การสำรวจบริษัทขนาดเล็กในอเมริกาพบว่า มากกว่า 90% พยายามรักษาพนักงานไว้หากเป็นไปได้ ในเยอรมนีที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะงักงันตั้งแต่ต้นปีที่แล้วมีการโฆษณารับสมัครงานที่ศูนย์จัดหางานกว่า 730,000 ตำแหน่ง ซึ่งใกล้เคียงกับสถิติสูงสุด

ส่วนใหญ่ของประเทศกลุ่ม OECD รวมถึงอเมริกาและฝรั่งเศส ต้องเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้เป็นไปตามอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา ในประเทศตะวันตกส่วนใหญ่มีการใช้จ่ายหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสีเขียว ลดการพึ่งพาจีน และสร้างงานใหม่ ๆ

ด้วยยุคทองของตลาดแรงงานกระตุ้นให้สหภาพแรงงานเรียกร้องวันหยุดที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนายจ้างต่างก็กังวลเป็นอย่างมาก ในขณะที่พวกเขากำลังประสบสภาวะขาดแคลนแรงงานอยู่แล้ว

คนงานเหล็กในเยอรมนีเรียกร้องให้ลดเวลาทำงานลงเหลือ 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในสเปนรัฐบาลใหม่ต้องตัดเวลาทำงานมาตรฐานที่ราว ๆ 40 ชั่วโมงลง 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งแม้แต่ชาวอเมริกันก็ต้องการทำงานน้อยลง

เทคโนโลยีกับตลาดแรงงาน

นายจ้างหลายรายหวังว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะช่วยแบ่งเบาภาระของพวกเขา เทคโนโลยี AI สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้มากยิ่งขึ้น การใช้ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่เมื่อก่อนอาจจะเป็นข้อจำกัดของเทคโนโลยีเหล่านี้

Dean Alderucci จากมหาวิทยาลัย คาร์เนกี้ เมลอน และเพื่อนร่วมงานได้ใช้ข้อมูลจากสิทธิบัตรอเมริการะหว่างปี 1990 ถึง 2018 พบว่าบริษัทที่นำ AI ขั้นพื้นฐานมาใช้มีอัตราการเติบโตของการจ้างงานสูงขึ้น 25% และรายได้เพิ่มขึ้น 40%

หากเทคโนโลยีช่วยเหลือพนักงานบริการ เช่น ในศูนย์ Call Center ทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นทำให้ประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของลูกค้าสูงขึ้นด้วย

งานวิจัยใหม่โดย Erik Brynjolfsson จาก MIT พบว่าเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากบอท AI พนักงานเหล่านี้สามารถแก้ไขปัญหาได้มากขึ้นถึง 14% ต่อชั่วโมง โดยพนักงานที่มีผลงานต่ำ ๆ จะได้รับประโยชน์จากเครื่องมือเหล่านี้มากที่สุด

พนักงานบางกลุ่มจะได้รับประโยชน์จาก AI มากกว่า เช่น แพทย์หรือทนายความ ซึ่งต้องมีการตัดสินใจระดับสูงที่มีความเสี่ยงในสถานการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งมันอาจไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเสมอไป การตัดสินใจเหล่านี้จึงต้องการการฝึกฝนอย่างหนักและประสบการณ์ ซึ่ง AI อาจช่วยคนเหล่านี้ไปถึงระดับความเชี่ยวชาญที่จำเป็น

ซึ่ง AI จะนำพาผู้คนจำนวนมากเข้าสู่งานที่ต้องการความเชี่ยวชาญที่ได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น จินตนาการว่าพยาบาลสามารถที่จะช่วยเหลือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้มากยิ่งขึ้น หรือ โปรแกรมเมอร์มือใหม่ที่สามารถรับงานโหด ๆ ได้มากขึ้นพร้อมกับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น

ค่าตอบแทนน้อยลงแต่ได้รับผลผลิตที่สูงขึ้น

ต้องบอกว่าคนงานในงานที่ได้รับผลกระทบจาก AI อาจะได้รับประโยชน์จากผลผลิตที่สูงขึ้นของพวกเขา เพราะสามารถรับจำนวนลูกค้าได้มากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะได้รับค่าตอบแทนจากงานแต่ละงานน้อยลงไปก็ตาม

ผลผลิตที่สูงขึ้นนำไปสู่อุปสงค์ที่มากขึ้นในส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น หากมีหุ่นยนต์ที่ทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ในการผลิตโทรศัพท์มือถือ การใช้หุ่นยนต์ก็จะนำไปสู่โทรศัพท์ที่มีราคาถูกลง

อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น และการผลิตที่มากขึ้นส่งผลต่อจำนวนงานของเหล่านักออกแบบโทรศัพท์และนักเขียนแอปพลิเคชั่นที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย

การศึกษาล่าสุดโดย Daron Acemoglu จาก MIT โดยใช้ข้อมูลระหว่างปี 2009 ถึง 2020 พบว่าการใช้หุ่นยนต์หมายความว่าค่าจ้างจะเพิ่มสูงขึ้นสำหรับเหล่าคนงานที่ไม่ได้ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ และประโยชน์เหล่านี้ยังแพร่กระจายไปยังบริษัทอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

บทสรุป

เศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยีอย่าง AI ทำให้มีกิจกรรมที่ไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ระหว่างปี 1980 ถึง 2010 ประมาณครึ่งหนึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจมาจากการเติบโตของการจ้างงาน หรือสร้างงานใหม่ ๆ แม้ว่า AI จะแย่งงานบางอย่างไป งานใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ AI และในส่วนอื่นๆ ของระบบเศรษฐกิจ

ซึ่งทักษะที่จำเป็นในการทำงานใหม่ๆ เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นทักษะทางด้านเทคโนโลยีเสมอไป แต่เป็นทักษะที่ใช้ในการตอบโต้กับ AI ได้ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลอาจมองหาพยาบาลยุคใหม่ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องมือ AI

และการเปลี่ยนแปลงด้านประชากร โดยเฉพาะประชากรสูงอายุที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ แห่ง จะทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้แรงงานทางกายภาพ

ตราบใดที่นโยบายการคลังยังขยายตัว ความกดดันให้เพิ่มค่าจ้างจะดำเนินต่อไป ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการใช้ AI มากขึ้น ที่อาจเป็นการผลักดันค่าจ้างให้สูงขึ้นด้วย และสุดท้ายทุกคนจะได้ใช้ประโยชน์จาก AI มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/finance-and-economics/2023/11/28/welcome-to-a-golden-age-for-workers
https://www.makeuseof.com/reasons-artificial-intelligence-cant-replace-humans/
https://www.weforum.org/publications/the-future-of-jobs-report-2020/in-full/executive-summary/

ดราม่าของ Sam Altman กับความแตกแยกที่ลึกซึ้งเพิ่มมากขึ้นในอุตสาหกรรมทางด้านเทคโนโลยี

แม้ว่าโลกของเทคโนโลยีจะก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแค่ไหน แต่ต้องบอกว่าปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับแวดวงนี้

มันได้กลายเป็นเรื่องดราม่าซ้ำซ้อนของ Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ที่ถูกกรรมการของบริษัทถีบตกเก้าอี้อย่างกะทันหัน และอีกวันถัดมาเหล่านักลงทุนและพนักงานของบริษัทบางส่วนพยายามที่จะดึงตัว Sam Altman กลับมา ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเมื่อเช้านี้ที่ Satya Nadell ซีอีโอของ Microsoft กระชากตัว Sam มาร่วมชายคาพร้อมตำแหน่งผู้นำทีมวิจัย AI ขั้นสูงสุด ซึ่งเป็นภารกิจที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของ Microsoft ในตอนนี้

ทุกอย่างเหมือนบทละครดราม่าที่เกิดขึ้นบนทางแยกที่สำคัญของวงการเทคโนโลยีโลก และมีความสำคัญมาก ๆ ต่ออนาคตของมนุษยชาติเช่นเดียวกัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ OpenAI ถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดของความแตกแยกใน Silicon Valley ด้านหนึ่งเรียกว่ากลุ่ม Doomers ซึ่งเชื่อว่าหากปล่อยให้ AI ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อมนุษยชาติ และด้วยเหตุนี้จึงสนับสนุนให้มีกฎระเบียบที่เข้มงวดยิ่งขึ้น

อีกฟากฝั่งเรียกตัวว่า Boomers ที่เน้นย้ำถึงการผลักดันศักยภาพของเทคโนโลยี AI ขัดขวางกฎระเบียบต่าง ๆ ที่จะเข้ามาจัดการหรือควบคุม AI และผลักดันให้ใช้เชิงพาณิชย์และสร้างกำไรจากเทคโนโลยีให้ได้มากที่สุด

โครงสร้างองค์กรของ OpenAI ถูกออกแบบไว้เพื่อรอบรับสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่แรก บริษัทก่อตั้งขึ้นโดยเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในปี 2015 และก่อตั้งบริษัทในเครือที่แสวงหาผลกำไรในอีกสามปีต่อมา

เนื่องจากการขับเคลื่อนเทคโนโลยีดังกล่าวให้ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วนั้น เงินทุนเป็นสิ่งสำคัญเพราะ AI สูบกิน Data และพลังการประมวลผลอย่างบ้างคลั่ง และทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย

กลุ่ม Boomers ใช้แนวคิดที่เรียกว่า “effective accelerationism” ซึ่งไม่เพียงแต่ผลักดันให้ AI พัฒนาต่อไปโดยไม่มีอุปสรรคเพียงเท่านั้น แต่ยังควรเร่งความเร็วมันอีกด้วย ผู้นำในเรื่องนี้คือ Marc Andreessen ผู้ก่อตั้ง Andreessen Horowitz บริษัทร่วมลงทุนผู้หิวกระหายเงิน

ดูเหมือนว่า Sam เองจะมีความเห็นอกเห็นใจทั้งสองกลุ่ม โดยเรียกร้องให้มีการสร้างแนวป้องกันเพื่อให้ทำให้ AI ปลอดภัยขึ้น ในขณะเดียวกันก็ผลักดันให้ OpenAI พัฒนาโมเดลที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น

การเปิดตัวเครื่องมือใหม่ ๆ เช่น App Store สำหรับผู้ใช้เพื่อสร้างแชทบอทของตนเอง ซึ่งนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของบริษัทอย่าง Microsoft ซึ่งทุ่มเงินกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่ OpenAI ด้วยสัดส่วน 49% โดยไม่ได้รับที่นั่งในบอร์ดแม้แต่เพียงเก้าอี้เดียว

เพราะฉะนั้นหลังจากที่ Sam ถูกบีบให้ออกทำให้ Microsoft ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นเหตุผลให้พวกเขาเสนอทางออกให้ Sam และเพื่อนร่วมงานของเขามาร่วมงานกับ Microsoft

กลุ่ม Doomers ถือเป็นผู้บุกเบิกการแข่งขัน AI ในยุคแรกมีทุนหนา ในขณะที่ฝั่ง Boomers ขยับจี้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นบริษัทขนาดเล็กกว่าและชอบรูปแบบของการเป็นโอเพ่นซอร์สมากกว่า

เริ่มต้นด้วยผู้ชนะในช่วงต้น ChatGPT ของ OpenAI สามารถสร้างฐานผู้ใช้งานได้ 100 ล้านคนในเวลาเพียงแค่สองเดือนหลังการเปิดตัว และการไล่ตามมาแบบหายใจรดต้นคอโดย Anthropic ซึ่งก่อตั้งโดย Dario Amodei ผู้แปรพักตร์จาก OpenAI ที่ปัจจุบันมูลค่ากิจการพุ่งแตะ 25 พันล้านดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย

Dario Amodei ผู้แปรพักตร์จาก OpenAI (CR:Flickr)
Dario Amodei ผู้แปรพักตร์จาก OpenAI (CR:Flickr)

หรือฝั่งของนักวิจัยจาก Google เองซึ่งถือได้ว่าสะสมบุคลากรระดับเทพในวงการไว้มากมาย กำลังซุ่มพัฒนา AI ที่ได้รับการฝึกอบรมด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาลโดยเฉพาะจาก Google เอง พวกเขากำลังสร้างโมเดลที่ใหญ่กว่าและชาญฉลาดกว่าอย่าง Bard

ในขณะเดียวกัน ความเป็นผู้นำของ Microsoft นั้นมาจากการเดิมพันครั้งใหญ่ใน OpenAI ฟากฝั่งของ Amazon เองก็ไม่น้อยหน้าวางแผนที่จะลงทุนสูงถึง 4 พันล้านเหรียญสหรัฐใน Anthropic

แต่ก็ต้องบอกว่าในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมันมีบทเรียนมากมายว่า เทคโนโลยีสุดล้ำไม่ได้รับประกันความสำเร็จเสมอไป อยู่ที่ว่าใครจะนำเสนอสู่ผู้บริโภคได้ดีกว่า และในตลาดที่ทั้งเทคโนโลยีรวมถึง demand ความต้องการเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ผู้เข้ามาใหม่ก็มีโอกาสมากมายที่จะเอาชนะผู้นำได้อยู่เสมอ

และความแตกแยกระหว่างทั้งสองกลุ่มถูกกั้นกลางด้วยอนาคตของ AI แบบโอเพ่นซอร์ส การเปิดตัว LLAMA ซึ่งเป็นโมเดลที่สร้างโดย Meta ได้กระตุ้นกิจกรรมให้เกิดขึ้นในแวดวง AI แบบโอเพ่นซอร์สแบบคึกคักเป็นอย่างมาก

เหล่าผู้สนับสนุนโดยเฉพาะกลุ่มบริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็ก มอง Meta เหมือนฮีโร่ และพวกเขาก็สนับสนุนแนวคิดของ Meta เพราะมองว่าโมเดลโอเพ่นซอร์สนั้นปลอดภัยกว่าเนื่องจากเปิดให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยคนหมู่มาก

แต่อย่างไรก็ตามโลกคงไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น เนื่องจากนายทุนใหญ่คือ Meta บางทีการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส Mark Zuckerberg อาจจะพยายามหาทางสอดแนมหนทางในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จากเหล่าสตาร์ทอัพเพื่อมาไล่ล่าให้ตามทันยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley เจ้าอื่น ๆ

Mark Zuckerberg มาเหนือเมฆด้วยการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส (CR:Wikimedia)
Mark Zuckerberg มาเหนือเมฆด้วยการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส (CR:Wikimedia)

มีบันทึกที่เขียนโดยคนวงในของ Google ซึ่งรั่วไหลออกมาในเดือนพฤษภาคมได้ยอมรับว่าโมเดลโอเพ่นซอร์สกำลังบรรลุผลงานในบางอย่างที่เทียบเท่ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ครอบครองกรรมสิทธิ์ของเทคโนโลยีนี้ แต่มีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่ามากในการสร้างสรรค์มันขึ้นมา

ไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ทุกแห่งจะตกอยู่ในวงวันแห่งความแตกแยกนี้ Meta เลือกทางเดินสายกลางสนับสนุนสตาร์ทอัพแล้วปล่อยให้โลกของโอเพ่นซอร์สดำเนินการไป ซึ่งท้ายที่สุดพวกเขาจะเข้าถึงโมเดลอันทรงพลังสำหรับสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้

Meta กำลังเดิมพันจากนวัตกรรมของกลุ่มโอเพ่นซอร์ส ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะช่วยให้แพลตฟอร์มของตนเองสามารถสร้างเนื้อหารูปแบบใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้ติดใจและผู้ลงโฆษณามีความสุขกับการจ่ายเงินเพื่อกด Boost

ฟากฝั่ง Apple เรียกได้ว่านิ่งเงียบแบบผิดปรกติ บริษัทเทคโนโลยีที่ร่ำรวยและใหญ่ที่สุดในโลกปิดปากเงียบเกี่ยวกับ AI แทบจะไม่พูดถึงคำ ๆ ดังกล่าวนี้ตามยักษ์ใหญ่ Silicon Valley เจ้าอื่น ๆ

ในการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทได้นำเสนอฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI มากมาย แต่หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า “AI” แต่กลับใช้ศัพท์อื่นเช่น “Machine Learning (ML)” แทน

ต้องบอกว่าการล่มสลายของ OpenAI ที่กำลังเกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่าสงครามอุดมการณ์เหนือเทคโนโลยี AI สามารถสร้างความเสียหายได้มากมายเพียงใด แต่สงครามเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดว่าเทคโนโลยีจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไร จะมีการควบคุมอย่างไร และใครจะเป็นผู้ครอบครองเครื่องจักรทำเงินยุคใหม่จากเทคโนโลยีนี้ในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
https://www.washingtonpost.com/technology/2023/11/18/sam-altman-ilya-sutskever-openai/
https://www.calcalistech.com/ctechnews/article/v50hawnv9
https://www.economist.com/business/2023/11/19/the-sam-altman-drama-points-to-a-deeper-split-in-the-tech-world
https://www.nytimes.com/2023/11/18/technology/open-ai-sam-altman-what-happened.html

Fortitude to Wingspan ธุรกิจเพ้อฝัน โลกแห่งความเป็นจริงและการปิดฉากของ Adam Neumann

ในเดือนสิงหาคม ปี 2018 Masayoshi Son ได้บอกกับผู้ถือหุ้นของ Softbank ว่า บริษัทหลายสิบแห่งที่เขาลงทุนผ่าน Vision Fund จะเข้าร่วมกับพวกเขาในฐานะครอบครัวซึ่ง Son ดูเหมือนจะมีลูกที่เขาชอบเป็นพิเศษ เขากล่าว “WeWork จะเป็น Alibaba รายถัดไป”

Son ได้กล่าวกับผู้ถือหุ้นว่า WeWork กำลังปฏิวัติสิ่งใหม่ทั้งหมด โดยใช้เทคโนโลยี และ ระบบฐานข้อมูล เพื่อสร้างและเชื่อมต่อชุมชนในแบบที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน

เขากำลังคิดที่จะย้ายสำนักงานใหญ่ของ Softbank ไปอยู่ที่สำนักงาน WeWork ในญี่ปุ่น และ บอกให้เหล่าผู้ถือหุ้น เลิกกังวลเรื่องคณิตศาสตร์ตัวเลขต่าง ๆ มากนัก เขากล่าวว่า “คุณต้องรู้สึกถึงแรงผลักดันอันแรงกล้าของ Adam Neumann”

แต่ก็ต้องบอกว่าเรื่องของตัวเลขก็ยังคงเป็นปัญหา WeWork กำลังสูญเสียเงินไปเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018 และมีเงินสดเหลือเพียงน้อยนิด แม้ว่าจะได้รับเงินจากนักลงทุนมากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์แล้วก็ตามที

ในเดือนเมษายนปี 2018 WeWork ได้จัดหาเงินกู้เพิ่มอีก 702 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนเฉพาะที่น่าแปลกประหลาด แต่ท้ายที่สุดมันถูกเฉลยด้วยการเป็นตัวเลขฉลองวันเกิดครบปีที่ 39 ของ Adam ซึ่งเมื่อนำอายุมาคูณด้วย 18 ซึ่งเป็นเลขนำโชคในศาสนายิว ก็จะกลายเป็นจำนวนเงินดังกล่าว

การกู้เงินเพิ่มด้วยการขายพันธบัตรทำให้ WeWork ต้องเปิดเผยงบการเงินรายไตรมาส ซึ่งบริษัทได้ใช้เมตริกบางอย่างที่จะนำเสนอภาพทางการเงินในแง่ดีขึ้น ด้วยการลบต้นทุนบางอย่าง เช่น ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด และการบริหาร ซึ่ง บริษัทได้โต้แย้งว่ามันเป็นต้นทุนที่ทยอยจ่ายไปตามกาลเวลา

นั่นทำให้งบการเงินออกมาดูสวยงามน่าสนใจขึ้น ซึ่งได้เปลี่ยนตัวเลขการขาดทุน 993 ล้านดอลลาร์ของ WeWork ในปี 2017 ให้เป็นกำไร 233 ล้านดอลลาร์ทันที

ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าแทบไม่มีใครสนใจการขาดทุนที่เพิ่มขึ้นของ WeWork เพราะรายได้ของบริษัทยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกปี และตัวของ Adam ก็ได้ย้ำเตือน Son อย่างต่อเนื่องในการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อให้ WeWork ก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น

Adam บอกกับผู้บริหารของ WeWork ว่า Son เชื่อว่า WeWork อาจจะมีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ หากบริษัทดำเนินการตามเป้าหมายที่วางไว้ได้สำเร็จ

แต่ต้องบอกว่าที่ Softbank อาจจะมีแค่ Son เพียงคนเดียว ที่หลงใหลไปกับคารมของ Adam เพราะตัวแทนคนอื่นๆ ที่ดูแลเรื่องการเงินของ Softbank ต่างพยายามกดดัน WeWork ให้กำหนดเส้นตายที่ชัดเจนว่า จะทำการ IPO เปิดตัวสู่สาธารณะเมื่อใด

แต่ Son และ Adam ได้คิดที่จะลงทุนใน WeWork เพิ่ม มีความพยายามให้ Softbank และ Vision Fund ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมของ WeWork เป็นจำนวนมาก

ซึ่งแผนการดังกล่าวนั้นมีการเรียกร้องให้เติมเงินถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งมันจะทำให้มูลค่าของ WeWork พุ่งขึ้นสูงกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่ง Adam ยังสามารถควบคุมบริษัทของเขาได้ ในขณะที่มูลค่าหุ้นของเขาจะสูงกว่า 13,000 ล้านดอลลาร์ และจะทำให้เขาเป็นหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกทันที

Code Name สำหรับแผนนี้ถูกเรียกว่า Fortitude ทีมจาก Softbank และ WeWork ต้องบินไปมาระหว่าง นิวยอร์ก โตเกียว บอสตัน เพื่อจัดการกับปัญหาเรื่องข้อกฏหมาย และเรื่องการลงทุนในโปรเจกต์ดังกล่าว

ต้องบอกว่า Softbank เป็นบริษัทที่ชอบสร้างนิสัยในการกระตุ้นสงครามราคา ด้วยการลงทุนอย่างมากในหลายบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น DoorDash และ Uber Eats แต่สำหรับ WeWork นั้น Softbank ไม่ได้ให้เงินลงทุนในคู่แข่งของพวกเขาแต่อย่างใด

ในทางกลับกัน Softbank บังคับให้ Adam สัญญาว่าจะไม่ลาออกไปไหน และ ห้ามไม่ให้มาเปิดบริษัทแข่งด้วย ซึ่งหากรายได้ของ WeWork เพิ่มขึ้นเป็น 5 หมื่นล้านดอลลาร์ในอีก 5 ปีข้างหน้า นั่นจะทำให้แผนการ Fortitude ของ ทั้ง Adam และ Son สัมฤทธิ์ผล

สำหรับ WeWork และ ตัว Adam แผนการ Fortitude มีเป้าหมายเพื่อแซงหน้า JPMorgan ในฐานะผู้ให้เช่าสำนักงานรายใหญ่ที่สุดของนิวยอร์กซึ่งนั่นเป็นความฝันสูงสุดของ Adam ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทที่เขาอยากจะทำมันให้สำเร็จให้จงได้

ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกัน Adam มีความคิดที่จะเข้าซื้อกิจการของ Cushman & Wakefield ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์มูลค่า 4 พันล้านดอลลลาร์

Adam ทำการประมูลซื้อ Sweetgreen ผู้ผลิตสลัด ชื่อของบริษัทอย่าง WeWork ดูเหมือนมันจะถูกจำกัดแคบเกินไปที่จะครอบคลุมความทะเยอทะยานทั้งหมดของ Adam อีกต่อไปแล้ว

บริษัทเริ่มคิดเปลี่ยนชื่อแบรนด์ เหมือนกับที่ Google จัดการในการเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น Alpabet ด้วยการที่มีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ WeWork , WeLive และ WeGrow และอีกมากมายในอนาคต WeWork จะกลายเป็น We Company

แต่ต้องบอกว่า ภายใน Softbank เองนั้น ก็ไม่ได้หลงใหลไปตามคารมของ Adam มากนักดูเหมือนมี แค่ Son เท่านั้นที่ดูจะเอาอกเอาใจ Adam เป็นพิเศษ ถึงกับเคยกล่าวกับ Adam อย่างภาคภูมิใจว่า “คนสุดท้ายที่ผมรู้สึกเช่นนี้คือ Jack Ma” ผู้ก่อตั้ง Alibaba

แต่สถานะของ Adam ในฐานะลูกชายคนโปรดของ Son อาจจะถูกพรากไปในไม่ช้า ในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น Vision Fund ได้ลงทุนเพิ่มอีก 1 พันล้านดอลลาร์ใน Oyo ซึ่งเป็นบริษัท Startup ด้านการโรงแรมของอินเดียที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

Oyo นำโดยผู้ก่อตั้งอย่าง Ritesh Agarwal ที่อายุน้อยกว่า Adam ถึง 15 ปี “น้องชายของคุณทำได้ดีกว่าคุณมาก” Son บอกกับ Adam ในการประชุมที่ Son แสดงให้เห็นแผนการเติบโตที่ทะเยอทะยานของ Oyo

Ritesh Agarwal ผู้ก่อตั้ง Oyo ขึ้นแท่นลูกรักคนใหม่ของ Son (CR:Mint)
Ritesh Agarwal ผู้ก่อตั้ง Oyo ขึ้นแท่นลูกรักคนใหม่ของ Son (CR:Mint)

โปรเจคในฝันอย่าง Fortitude นั้น ก็ได้เริ่มได้รับแรงกดดันจากเหล่าผู้บริหารใน Softbank เอง Rejeev Misra ผู้บริหารกองทุน Vision Fund กล่าวว่า Adam กำลังผลักดัน WeWork เข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่มีความเชี่ยวชาญหรือความได้เปรียบ หุ้นของพวกเขาลดลง 5% เมื่อมีรายงานรายละเอียดของโปรเจค Fortitude ครั้งแรกในสื่อ

ในเดือนพฤศจิกายน ทั้งสองฝ่ายได้ทำข้อตกลงเบื้องต้นให้ Softbank ลงทุนเพิ่มเติมอีก 3 พันล้านดอลลาร์ใน WeWork ในขณะที่สองฝ่ายจะร่วมมือกันผ่านโปรเจค Fortitude

ในขณะที่การเจรจาดำเนินต่อไปเหล่าผู้บริหารระดับสูงของ WeWork ก็ยอมรับว่าหาก Softbank ใช้กลยุทธ์การอัดเงินแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ในไม่ช้า WeWork ก็จะหมดเงินอีกครั้ง และผู้บริหารของบริษัทก็เริ่มกังวลว่า Softbank อาจจะเริ่มหมดความอดทน และบังคับให้ WeWork อยู่ในเงื่อนไขที่ไม่ค่อยดีนัก

พวกเขาเริ่มพิจารณาแผนสำรอง ในการนำ WeWork ทำ IPO ขายหุ้นออกสู่สาธารณะ ในปี 2018 WeWork เริ่มได้รับการเสนอขายจากธนาคารเพื่อการลงทุนโดยสรุปว่าการเสนอขายหุ้น IPO ในอนาคตอันใกล้นี้จะเป็นอย่างไร

บริษัทเริ่มทำเอกสาร S-1 ซึ่งเป็นเอกสารที่นำเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะเป็นก้าวแรกสู่การเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป

แม้ Adam จะพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับฝั่งกองทุนจากตะวันออกกลาง เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในปี 2018 ในการวางแผนการขยายธุรกิจในตะวันออกกลางในซาอุดิอาระเบียและอาบูดาบีซึ่งเป็นผู้สนับสนุนใหญ่ทั้งสองของ Vision Fund

เขามีแผนการที่จะนำเอา Flatiron School มาสู่อาณาจักรซาอุดิอาระเบียเพื่อช่วยให้ผู้หญิงเรียนรู้วิธีการเขียนโค้ด

Adam กล่าวว่า เขากำลังพูดคุยกับรัฐบาลซาอุดิอาระเบียเกี่ยวกับการรวม WeWork เข้ากับ Neom ซึ่งเป็นเมืองแห่งอนาคตที่สร้างขึ้นจากพื้นดินทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดิอาระเบียใกล้กับ อิสราเอล

Neom นั้นจะกลายเป็นเมืองที่คาดว่าจะมีหุ่นยนต์แม่บ้าน เมฆฝนเทียม และชายหาดที่มีหาดทรายเรืองแสงในความมืด Adam คิดว่า บทบาทของ WeWork ในโครงการนี้อาจมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

Neom โปรเจ็กต์ในฝันของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบียผู้กุมเงิน Vision Fund (CR:WriteCaliber)
Neom โปรเจ็กต์ในฝันของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบียผู้กุมเงิน Vision Fund (CR:WriteCaliber)

แต่ดูเหมือนสถานการณ์หลังจากนั้นจะไม่สู้ดีนัก เมื่อโปรเจค Fortitude นั้นสั่งถูกเบรคอย่างเงียบ ๆ โดย ซาอุดิอาระเบียและอาบูดาบีปฏิเสธที่จะอนุญาตให้ Vision Fund ลงทุนเงินเพิ่มเติมใน WeWork

ในวันที่ 18 ธันวาคมปี 2018 ธุรกิจของ Softbank ในส่วนของมือถือ ได้ทำการ IPO ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นการนำเสนอขายหุ้น IPO ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันสองรองจาก Alibaba ซึ่ง Son คาดว่าการนำเสนอขายหุ้นครั้งนี้จะนำรายได้บางส่วนไปสานฝันต่อในโปรเจค Fortitude

แต่ทุกอย่างกลับพลิกผันเมื่อมูลค่าหุ้นลดลง โดยมีการสูญเสียเงินกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ในวันแรกของการซื้อขาย ซึ่งเป็นหนึ่งในการเปิดตัวที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นญี่ปุ่น

สถานการณ์ในตอนนั้น ตลาดทั่วโลกกำลังได้รับความผันผวนเนื่องจากสงครามการค้าของอเมริกากับจีน ที่ยังคงดำเนินต่อไป และมูลค่าหุ้นก็ลดลงในอัตราที่ไม่เคยเห็นมานับตั้งแต่ปี 2008

ในช่วงปลายเดือนธันวาคมหุ้นของ Softbank ลดลงมากกว่าหนึ่งในสาม ต้องบอกว่า Fortitude นั้น ได้กลายเป็นเพียงวิสัยทัศน์เพ้อฝัน ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ในหัวของ Son และ Adam ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อดูจากสถานการณ์ทางด้านการเงินของบริษัทในขณะนั้น

หลังจากที่โปรเจค Fortitude นั้นดูเหมือนจะล้มเหลวแบบไม่เป็นท่า ทางเลือกสุดท้ายของ WeWork ในการหาเงินทุน เพื่อให้สถานะของบริษัทยังเดินหน้าต่อไปได้มีอยู่ทางเดียว นั่นก็คือการนำเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะชน หรือ การทำ IPO

ต้องบอกว่าการทำ IPO หรือการนำเสนอหุ้นขายต่อสาธารณะชนนั้น เป็นเพียงวิธีหนึ่งสำหรับ บริษัทในการหาเงินเมื่อการที่จะทำการระดมทุนแบบส่วนตัวเหมือนเดิมนั้นมันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

WeWork หวังที่จะระดมทุน 3 พันล้านดอลลาร์จากนักลงทุนเพื่อให้เงินทุนเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่แน่นอนว่า มันไม่เหมือนการระดมทุนแบบ Startup ที่ WeWork เคยทำมาก่อน

เหล่าผู้จัดการกองทุนบำเหน็จบำนาญหรือกองทุนรวมจะไม่เสี่ยงกับงานของพวกเขาอย่างแน่นอน สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ “ตัวเลข”

WeWork มีมูลค่าเท่าใดกันแน่?

และต้องบอกว่าตัวเลขที่สำคัญที่สุดในการแยกแยะคือปัจจัยพื้นฐาน : WeWork มีมูลค่าเท่าใดกันแน่?

ซึ่งความลับที่สกปรกโสโครกของการเติบโตอย่างรวดเร็วคือความจริงที่ว่าการประเมินมูลค่าส่วนตัวจากการระดมทุนก่อนหน้านี้ของ WeWork นั้นแทบจะไร้ความหมายมันอยู่ที่มูลค่าจริงที่บริษัทสร้างขึ้นหรือมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สร้างขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงแค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของ Adam อีกต่อไป

แน่นอนว่าการมาถึงของ Son และ Softbank นั้น ทำให้การประเมินมูลค่า WeWork กลายเป็นสิ่งที่เกินจริงมากยิ่งขึ้น ไม่มีใครสามารถแข่งกับ Softbank เพื่อลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ใน WeWork ได้

ซึ่งมันหมายความว่ามูลค่า 47,000 ล้านดอลลาร์ จากการประเมินมูลค่าหลังจากที่ Softbank ได้ลงทุนไปนั้น มันสูงเป็นสามเท่าของที่ Hony Captial และรายอื่น ๆ ได้ลงทุนไปในปี 2016 และมันเป็นข้อตกลงระหว่าง Son และ Adam เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อสรุปเงื่อนไขของข้อตกลงแล้ว เหล่าผู้บริหารของ WeWork บางคนคิดว่าควรระมันระวังในการเผยแพร่ตัวเลขที่ต่ำกว่านี้ออกไปสู่สาธารณะชน

แม้แต่ผู้สนับสนุนของ WeWork รายแรก ๆ ของบริษัทก็ยังไม่เชื่อว่ามูลค่าของบริษัทจะสูงถึงเพียงนี้ ในเดือนเมษายน Fidelity ได้ทำการประเมินมูลค่าของ WeWork ไว้เพียงแค่ 18,000 ล้านดอลลาร์ อย่างเงียบ ๆ

แต่ทั้ง Son และ Adam คงไม่สามารถยอมรับตัวเลขน้อย ๆ ได้อย่างแน่นอน พวกเขากำลังขึ้นหลังเสือและที่สำคัญ Son กำลังหาเงินเพิ่มสำหรับ Vision Fund ที่สองของเขา

การประเมินมูลค่าที่เหนือกว่าสำหรับหนึ่งในการลงทุนครั้งสำคัญของ Vision Fund อย่าง WeWork นั้น เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเขามันสามารถทำให้ Softbank อวดผลลัพธ์ที่น่าประทับใจอย่างน้อยก็บนกระดาษได้

ในขณะเดียวกัน Adam ก็มีความภาคภูมิใจเป็นพิเศษในความจริงที่ว่าการประเมินมูลค่าใหม่และการเสนอขายหุ้นของ Uber ทำให้ WeWork กลายเป็น Startup ที่มีมูลค่ามากที่สุดในอเมริกา

เขาได้กดดันทีมสื่อสารของ WeWork เพื่อผลักดันตัวเลข 47,000 ล้านดอลลาร์ และเหล่าผู้บริหารทางด้านการเงินของ WeWork ได้บอกกับคนอื่น ๆ ว่า WeWork จะทำ IPO ที่มีมูลค่าสูงกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์

สำหรับสถาบันการเงินที่เข้ามาแข่งขันในการทำ IPO ของ WeWork นั้นมีสามรายคือ JPMorgan , Goldman Sachs และ Morgan Stanley

JPMorgan เป็นผู้สมัครลำดับต้น ๆ เนื่องจากมีประวัติอันยาวนานกับ WeWork นอกเหนือจากการลงทุนในปี 2014 JPMorgan ยังให้ความช่วยเหลือ WeWork ในด้านเงินกู้ต่าง ๆ

และที่สำคัญยังให้เงินกู้กับ Adam จำนวน 97 ล้านดอลลาร์ ในการจำนองดอกเบี้ยต่ำสำหรับบ้านหลายหลังที่ Adam กำลังซื้อและยังช่วยอำนวยความสะดวกในสินเชื่อส่วนบุคคลกว่า 500 ล้านดอลลาร์ให้กับ Adam อีกด้วย

โดยทาง JPMorgan ได้แนะนำว่า WeWork สามารถทำ IPO ได้ด้วยการประเมินมูลค่ามากกว่า 46,000 ล้านดอลลาร์ และ อาจจะสูงถึง 63,000 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

สำหรับ ฝั่ง Morgan Stanley นั้นนำโดย Michael Grimes ผู้ซึ่งเคยช่วยบริษัทในการเสนอขายหุ้นทางเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในทศวรรษ

ซึ่งหนึ่งปีก่อนหน้านี้ทีมงานจาก Morgan Stanley ได้ให้คำแนะนำ WeWork เกี่ยวกับการระดมทุนในโปรเจค Fortitude และประเมินว่ามูลค่าจะอยู่ระหว่าง 18,000 – 52,000 ล้านดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับว่า WeWork จะสามารถอธิบายเส้นทางในการทำกำไรให้กับเหล่านักลงทุนที่สงสัยได้ดีเพียงใด

ในสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคม ไม่กี่วันก่อนที่ Uber จะทำการทำ IPO ด้วยมูลค่าสูงกว่า 70,000 ล้านดอลลาร์ Goldman Sachs ได้นำเสนอกับ WeWork ด้วยการประเมินมูลค่าสูงสุดไว้ถึง 96,000 ล้านดอลลาร์

เอกสารที่เป็นหัวใจของการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะคือ S-1 ซึ่งเป็นรายงานทางการเงินที่จะต้องยื่นต่อสำนักงาน ก.ล.ต. WeWork ส่งร่าง S-1 ในช่วงปลายปี 2018 หลังจากโปรเจค Fortitude ต้องล่มไป

ชื่อรหัสของ S-1 คือ Wingspan หรือ นกที่กำลังบินและทิ้งฝูงไว้ข้างหลัง ตอนนี้ทุกอย่างใน WeWork ดูเหมือนจะมี code name เต็มไปหมด รวมถึงเคมเปญการตลาดที่เรียกว่า Stark ซึ่งตั้งชื่อตาม Tony Stark ในภาพยนตร์ Iron Man

WeWork ได้ดัดแปลงพื้นที่ห้องสมุดที่เงียบสงบใกล้กับสำนักงานของ Adam บนชั้นหกของสำนักงานใหญ่ของบริษัทให้เป็น War Room สำหรับทีมที่รับผิดชอบในการเขียนส่วนต่าง ๆ ของ Wingspan

Adam ได้หันไปหาคนที่เขาไว้ใจที่สุดซึ่งนั่นก็คือ Rebekah ศรีภรรยาของเขาให้มาช่วยเหลือในการดูแลโปรเจค Wingspan

Rebekah พุ่งโฟกัสไปที่การสร้างภาพ สร้างแบรนด์ โดยสิ่งสำคัญที่สุดอย่างนึงที่เธอจะโฟกัสในการทำเอกสารครั้งนี้ก็คือส่วนของภาพถ่ายที่จะปรากฏขึ้นในช่วงกลางของเอกสาร S-1

Rebekah ศรีภรรยาของ Adam ที่เขาไว้วางใจมากที่สุด (CR:CNBC)
Rebekah ศรีภรรยาของ Adam ที่เขาไว้วางใจมากที่สุด (CR:CNBC)

แม้จะมีภาพถ่ายมากมายจากชุมชน WeWork แต่ Rebekah คิดว่าควรคิดใหญ่ขึ้น เธอมองว่าภาพที่มีอยู่ใน stock ของบริษัทนั้นยังไม่น่าดึงดูดใจเพียงพอ

นั่นเองที่ทำต้องการภาพถ่ายใหม่และจ้างตากล้องมืออาชีพ ไมว่าจะเป็น Steven Klein ที่ถ่ายให้กับนิตยสารชื่อดังอย่าง Vogue รวมถึงอดีตผู้กำกับภาพจาก Vanity Fair เพื่อส่งช่างภาพไปถ่ายภาพสถานที่ต่าง ๆ ของบริษัทที่มีอยู่ทั่วโลก

นั่นเองที่ทำให้ค่าใช้จ่ายของการถ่ายภาพเหล่านี้สูงมาก WeWork ได้ใช้เงินหลายแสนดอลลาร์ไปกับงานศิลปะเพียงอย่างเดียว “Rebekah ทำอย่างกับจะสร้างนิตยสาร Vogue ฉบับเดือนกันยายน” ผู้บริหาร WeWork คนหนึ่งกล่าว

ต้องบอกว่าการเตรียมการในโปรเจค Wingspan นั้นมีแต่เรื่องวุ่นวาย แต่ละสัปดาห์มีเหตุฉุกเฉินใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ที่ต้องมีการแก้ปัญหา บางครั้งทีมผู้บริหารของ WeWork ก็พยายามกดดันให้ Adam มุ่งเน้นไปที่ความซับซ้อนของเรื่องทางการเงิน หรือ รายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ของเอกสารมากกว่าเรื่องรูปถ่าย หรือ งานศิลปะที่ Rebekah กำลังทำอยู่

แต่ดูเหมือน Adam จะไม่สนใจ Rebekah ใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงฤดูร้อนในการจัดการกับความสวยงามของเอกสารในโปรเจค Wingspan

Rebekah ใช้เวลาหลายวันในการนำไปสู่การเปิดตัว Wingspan ด้วยคำอธิบายภาพที่น่าสนใจ ซึ่งจะปรากฏในหน้าแรกของหนังสือชี้ชวน ซึ่งต้องบอกว่านี่เป็นงานที่ไม่จำเป็นอย่างยิ่ง

เหล่านักวิเคราะห์จะมองไปที่ตัวเลขและแบบจำลองและการเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นเพื่อแยกแยะว่า บริษัท มีมูลค่าเท่าใดกันแน่

งานมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับ WeWork ทีมสื่อสารของบริษัทพยายามอย่างมากในปี 2019 เพื่อเขียนเรื่องเล่าเกี่ยวกับบริษัท แบบหน้าเดียวที่มีความเรียบง่าย

เมื่อ Rebekah เสนอร่างฉบับสุดท้ายของเธอ นายธนาคาร ทนายความ และ ผู้บริหารหลายคนที่ทำงานกับโปรเจค Wingspan ถึงกับต้องอึ้งกันไปตามกัน

มันดูแหวกแนวจากการทำเอกสารทางการเงินที่มีความยาวและเนื้อหาที่ซับซ้อน แต่เมื่อ Wingspan ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะหลังจาก 7.00 น. ของวันที่ 14 สิงหาคม 2019 นักลงทุนที่มีศักยภาพจะได้รับการต้อนรับด้วยหน้าสีขาวที่ว่างเปล่า ซึ่งมีข้อความต่อไปนี้อยู่ตรงกลาง :

WE DEDICATE THIS
TO THE ENERGY OF WE—
GREATER THAN ANY ONE OF US
BUT INSIDE EACH OF US.

ปิดฉาก Adam Neumann

Son ทนความอัปยศของ Adam ไม่ไหวอีกต่อไป ได้เรียก Adam มาที่โตเกียว สำหรับนักลงทุนรายแรก ๆ ของ WeWork ต้องบอกว่าการตอบสนองต่อ Wingspan นั้นน่าอับอายเป็นอย่างมาก

Softbank ได้ลงทุนมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ใน WeWork และยังดูทีท่าว่าแทบจะไม่ได้ผลตอบแทนใด ๆ เลย Vision Fund มูลค่าลดลงเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุดซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่หุ้นของ Uber ลดลง รวมถึง หุ้น Softbank ลดลง 10% นับตั้งแต่การเปิดตัว Wingspan

ทั้งผู้บริหารของ WeWork และ Softbank ต่างเริ่มตระหนักว่าการเสนอขายหุ้น IPO อาจมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินไว้ 47,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากการประเมินมูลค่าต่ำกว่าที่ Softbank จ่ายให้กับหุ้น หมายความว่าการลงทุนครั้งนี้ของ Son จะขาดทุนทันทีเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับ Uber

Son คิดว่า WeWork ควรชะลอการเสนอขายหุ้น IPO เนื่องจากปฏิกิริยาต่อ Wingspan นั้นแทบจะโดนถล่มยับ จากเหล่านักลงทุนสถาบันที่ WeWork ได้ไปทำการ Road Show มาก่อนหน้านี้

ส่วนปัญหาของ Adam นั้นเรียกได้ว่า Son แทบจะฉุนขาดกับสิ่งที่เขาทำ แม้ก่อนหน้านี้ Son จะรู้สึกเหมือนว่า Adam เปรียบเหมือนเครือญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของเขาคนหนึ่งและฝากความหวังไว้กับ Adam สูงมาก ๆ ก็ตามที

ความผิดพลาดครั้งก่อนหน้า Son เคยให้อภัยไปแล้วหนึ่งครั้ง แต่ครั้งนี้มันทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถึงจุดแตกหัก แต่ Adam กลับตอบสนอง Son ด้วยการโต้เถียงกลับไปว่ามันสายเกินไปแล้วที่จะให้เขาออกจาก WeWork ในตอนนี้

ต้องบอกว่าในเอกสารของ Wingspan นั้น ส่วนใหญ่วิจารณ์มุ่งเน้นไปที่ตัว Adam โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่บริษัทได้จ่ายค่าเช่าไปมากกว่า 20 ล้านดอลลาร์สำหรับอาคารสี่หลังที่ Adam เป็นเจ้าของ

หรือการเข้ามามีบทบาทที่มากเกินไปของเหล่าคนใกล้ชิดของ Adam ทั้งพี่สาว พี่เขย รวมถึง Rebekah เองที่ถูกมองว่าจะเป็นตัวแทนของ Adam ในอนาคตในการสืบทอดต่อตำแหน่งของเขาที่ WeWork

Adam และ Rebekah นั้นต้องตกตะลึงกับปฏิกิริยาของสาธารณะชน โดยพวกเขาคาดหวังจะได้รับคำชมเชย แต่ทั้งคู่กับถูกวิจารณ์ยับ แบบเละเทะ ในเรื่องจริยธรรม ที่มีปัญหากับบริษัทตัวเอง

รวมถึงเรื่องปัญหาในเรื่องการบริหารงานที่ Adam ดูเหมือนจะไม่ใช่มืออาชีพ เหมือนเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งได้มีโอกาสจับเงินจำนวนมหาศาล และมีการใช้เงินอย่างบ้าคลั่ง The Wall Street Journal มีการรายงานว่า Frances Frei ทำงานเป็นที่ปรึกษาของ WeWork อยู่แล้ว และยังเรียกเก็บเงินจากบริษัทอีก 5 ล้านดอลลาร์

และแล้วมันก็ถึงวาระสุดท้ายของ Adam จริง ๆ เสียที เมื่อ Bruce Dunlevie , Michael Eisenberg ที่บินตรงมาจากอิสราเอล และ Steven Langman นักลงทุนที่ให้การสนับสนุน WeWork มาตั้งแต่ปี 2012 ได้นัด Adam มาทานมื้อค่ำในห้องส่วนตัวที่ร้านอาหารย่านมิดทาวน์

คนกลุ่มนี้เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มแรก ๆ ที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุน Adam มาโดยตลอดไม่ว่าเขาจะทำตัวอย่างไร คนกลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะยืนอยู่ข้าง Adam เสมอมา

แต่มื้อค่ำมื้อนี้ บรรยากาศมันเปลี่ยนไป มันเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่จริงใจ พวกเขาได้บอกกับ Adam ว่า มันถึงเวลาแล้วจริง ๆ ที่ Adam ควรก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ WeWork เสียที

และเมื่อคณะกรรมการของ WeWork พบกันในเช้าวันถัดไป ชะตากรรมของ Adam กับ WeWork ก็ถูกปิดฉากไปในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Billion Dollar Loser: The Epic Rise and Spectacular Fall of Adam Neumann and WeWork โดย Reeves Wiedeman
หนังสือ The Cult of We: WeWork, Adam Neumann, and the Great Startup Delusion โดย Eliot Brown
สารคดี : WeWork: Or the Making and Breaking of a $47 Billion Unicorn

One Billion Per Minute ตำนาน pitching ขอทุน 45 นาที 45 พันล้านโดย Masayoshi Son

นิซาร์ อัล บาสซาม พยายามที่จะทำธุรกิจกับ โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มาโดยตลอด และในปี 2016 ที่โตเกียวเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นเขากำลังจะได้รับโอกาสที่สำคัญที่สุดในชีวิต

นิซาร์ ทำงานที่ Deutsche Bank จนถึงปลายปี 2015 เขาเป็นคนเชี่ยวชาญในการเข้าถึงคนที่มีอำนาจผ่านเสน่ห์ส่วนตัวของเขา ตัวนิซาร์เองเกิดที่เมือง Dhahran บิดาของเขาเป็นผู้บริหารระดับสูงของ Aramco กระทั่งได้เสียชีวิตไปในปี 2007

นิซาร์เติบโตในย่านที่อยู่อาศัยที่มีรั้วรอบขอบชิดของ Aramco ซึ่งจำลองมาจากย่านชานเมืองของสหรัฐอเมริกาที่มีสนามหญ้าด้านหน้า เขาใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เข้าโรงเรียนที่นั่นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จากนั้นมาเรียนต่อที่โรงเรียนประจำมิดเดิลเซกซ์ในแมสซาชูเซตส์และวิทยาลัยโคลบีในรัฐเมน เขาได้กลายเป็นคนอเมริกันทีมีวัฒนธรรมเช่นเดียวกับซาอุฯ

นิซาร์ อัล บาสซาม จาก Deutsche Bank ผู้ที่ถวิลหาการเข้าถึงแหล่งเงินของโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน (CR:The Talks Today)

โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียกำลังมีแนวคิดสำคัญที่จะเปลี่ยนเงินทุนที่ได้จากการทำ IPO ของ Aramco ให้กลายมาเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ

นอกเหนือจากโอกาสทางด้านการเงินแล้ว โมฮัมเหม็ดเองก็กำลังเปิดประเทศสู่การท่องเที่ยวครั้งใหญ่ สำหรับประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของประเทศนี้ ไม่ได้สนใจเรื่องการท่องเที่ยวมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นการเปิดให้สำหรับผู้เดินทางไปแสวงบุญที่เมกกะเป็นส่วนใหญ่

แต่โมฮัมเหม็ดคิดต่างออกไป เขาเห็นศักยภาพที่ซาอุดิอาระเบียจะกลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกได้

อาณาจักรซาอุดิอาระเบียมีชายฝั่งทะเลยาว 1,200 ไมล์ รวมถึงแนวปะการังที่มีชื่อเสียง ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกอนุรักษ์ไว้ แทบจะไม่มีใครเข้ามารุกรานแนวปะการังที่สวยงามเหล่านี้ รวมถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ เช่น Madain Saleh อายุสองพันปีที่มีสุสานอันวิจิตรที่แกะสลักเป็นหินทรายขนาดใหญ่โดยชาว Nabateans

เจ้าชายโมฮัมเหม็ดได้ริเริ่มโครงการต่าง ๆ รวมถึงรีสอร์ทริมชายหาดจำนวนมากที่เรียกว่าโครงการทะเลแดง นอกจากนี้เขายังเริ่มสร้างห้องแสดงคอนเสิร์ตขนาดยักษ์ใกล้ ๆ กับซากปรักหักพังของ Nabatean รวมถึง เมืองแห่งความบันเทิง ที่ใหญ่พอ ๆ กับลาสเวกัสนอกริยาด ที่เรียกว่า Qiddiya

เจ้าชายโมฮัมเหม็ดได้ริเริ่มโครงการต่าง ๆ รวมถึงรีสอร์ทริมชายหาดจำนวนมากที่เรียกว่าโครงการทะเลแดง นอกจากนี้เขายังเริ่มสร้างห้องแสดงคอนเสิร์ตขนาดยักษ์ใกล้ ๆ กับซากปรักหักพังของ Nabatean รวมถึง เมืองแห่งความบันเทิง ที่ใหญ่พอ ๆ กับลาสเวกัสนอกริยาด ที่เรียกว่า Qiddiya

ต้องบอกว่าโมฮัมเหม็ดได้กลายเป็นเจ้าชายหนุ่มที่มีอำนาจควบคุมประเทศของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมด้วยเงินจำนวนมหาศาลไว้เพื่อการลงทุนปฏิรูปประเทศซาอุดิอาระเบียเพื่อเข้าสู่ยุคใหม่

ในตอนแรก นิซาร์ ต้องการให้ Deutsche Bank เป็นตัวเลือกแรกสำหรับเงินกองทุนของโมฮัมเหม็ด แต่ในช่วงปลายปี 2015 เขาได้ออกจากงาน และตั้งบริษัทที่ปรึกษาร่วมกับพันธมิตรที่เป็นอดีตนายธนาคารจาก Goldman Sachs Group

ซึ่งหนึ่งในแนวคิดของบริษัทใหม่ของ นิซาร์ ก็คือการพยายามเข้าถึงแหล่งเงินมหาศาลของตะวันออกกลาง โดยในการหาคู่ค้า นิซาร์ และเพื่อร่วมงานของเขาได้เริ่มพูดคุยกับ ราจีฟ มิสรา ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการเงินเชิงกลยุทธ์ของ Softbank Corp จากญี่ปุ่น

วิศวกรการเงินผู้เย่อหยิ่งที่มีรสนิยมชอบหนี้สินและความเสี่ยง ราจีฟ เคยเป็นนายธนาคารอาวุโสของ Deutsche Bank ในช่วงวิกฤติการเงิน โดยเขาดูแลทีมที่ทำกำไรจากการเดิมพันในตลาดที่อยู่อาศัย หลังจากนั้นเขาได้มาร่วมงานกับ UBS ต่อด้วย Fortress Investment Group ก่อนจะมาลงเอยที่ SoftBank

ราจีฟ มิสรา ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการเงินเชิงกลยุทธ์ของ Softbank Corp (CR:Inshorts)
ราจีฟ มิสรา ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการเงินเชิงกลยุทธ์ของ Softbank Corp (CR:Inshorts)

ราจีฟ ได้มาเจอกับ Masayoshi Son ผู้ก่อตั้งที่หลงใหลในเทคโนโลยีของ SoftBank ในงานแต่งงานแห่งหนึ่งที่ประเทศอิตาลี และต่อมาได้เข้ามารับงานช่วย Masayoshi พัฒนาโครงสร้างหนี้ที่ซับซ้อนเพื่อรองรับความทะเยอทะยานครั้งใหม่ของ Masayoshi

Masayoshi ชายชาวญี่ปุ่นเชื้อสายเกาหลี กลายเป็นชายที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในช่วงสั้น ๆ ที่จุดสูงสุดของฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 การลงทุนใน Alibaba ของ Jack Ma มูลค่า 20 ล้านดอลลาร์ ได้สร้างมูลค่าเพิ่มเป็น 74,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อ Alibaba ทำ IPO สู่สาธารณะชนในปี 2014

Masayoshi กำลังต้องการเดิมพันครั้งใหญ่ ด้วยความเชื่อของเขาที่ว่าโลกเรากำลังเร่งไปสู่ “Singularity” ด้วยความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี AI ที่การเติบโตทางด้านเทคโนโลยีจะก้าวกระโดด จนเปลี่ยนโลกไปในแบบที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน

SoftBank ของ Masayoshi ได้ก่อตั้งบริษัทลูก FAB Partners และ นิซาร์ ก็ได้เข้ามาทำงานร่วมกันเพื่อสร้างแนวคิดที่เรียกว่า Project Crystal Ball สำหรับกองทุนมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์ ที่จะลงทุนในกิจการ Startup ด้านเทคโนโลยี

โดยพวกเขาตัดสินใจที่จะเสนอแนวความคิดดังกล่าวให้กับกาตาร์ก่อน ซึ่ง นิซาร์ มีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นอยู่แล้วกับกาตาร์ แต่เมื่อ Masayoshi มาถึงในเวลาตี 4 ของวันที่ 28 สิงหาคม 2016 ด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว

นิซาร์ก็ต้องตกตะลึง เพราะในระหว่างการเดินทาง Masayoshi และผู้ช่วยของเขาได้ทำการปรับแต่งบางอย่าง มีการปรับแต่งตัวเลขเม็ดเงินลงทุนให้สูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะกลายเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

แม้ชาวกาตาร์จะประทับใจกับความเชื่อมั่นของ Masayoshi แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากการหารืออย่างเป็นทางการ ทีมยังต้องการเงินจำนวนมากเพื่อบรรลุเป้าหมาย 100,000 ล้านดอลลาร์

นิซาร์ เชื่อว่า ทางออกที่ดีที่สุด ควรมุ่งไปหาซาอุดิอาระเบีย โดยเฉพาะ โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และเป็นเรื่องโชคดีมาก ๆ ที่ โมฮัมเหม็ดมีแผนการที่จะเดินทางมาโตเกียวภายในไม่กี่วันหลังจากที่พวกเขาได้คุยกับกลุ่มจากกาตาร์

ต้องบอกว่าเป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่โมฮัมเหม็ด และทีมงานด้านการลงทุนแสดงความเต็มใจที่จะพบกับ Masayoshi แต่ดูเหมือนยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น นิซาร์จึงเป็นสะพานเชื่อมเพื่อให้อย่างน้อย Masayoshi ได้มีโอกาสได้ไปพบเจอกับทีมงานของโมฮัมเหม็ด

ในวันที่โมฮัมเหม็ดมาถึงโตเกียว นิซาร์ พบว่าโทรศัพท์สั่นอยู่ที่หน้าอก เขาหลับไปพร้อมกับมัน เป็นสายของ ยาซีร์ หัวหน้าการลงทุนของโมฮัมเหม็ด ซึ่งในที่สุดนีซาร์ก็ได้ติดต่อให้ ยาซีร์มาพบกับ Masayoshi ได้สำเร็จ และ ยาซีร์เองก็สนใจ เขากล่าวว่า “สิ่งนี้น่าสนใจ ผมต้องหารือกับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด” ยาซีร์บอกกับพวกเขาในตอนท้าย

ในที่สุด โมฮัมเหม็ด ก็ตกลงมาพบกับ Masayoshi ที่เกสต์เฮาส์ของรัฐชื่อ Geihinkan ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเดินทางไปญีปุ่น และเป็นการเดิมพันที่สูงมาก ๆ ของ Masayoshi หากไม่ได้เงินทุนจากโมฮัมเหม็ด ก็ไม่สามารถที่จะทำตามควาทะเยอทะยานที่ Masayoshi ต้องการได้

การประชุมเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเพียงโมฮัมเหม็ดและที่ปรึกษาคนสำคัญของเขาร่วมกับทีมของ SoftBank ขนาดเล็กที่นำโดย Masayoshi ส่วน นิซาร์นั้นรออยู่ข้างนอก

หลังจากที่ Masayoshi ได้นำเสนอผ่าน iPad โดยโมฮัมเหม็ดกล่าวว่า เขาได้พูดคุยเกี่ยวกับแนวคิดนี้กับทีมงานของเขาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และต้องการเป็นนักลงทุนหลักที่สำคัญของกองทุนใหม่นี้

เขาต้องการให้ซาอุดิอาระเบียเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีระดับโลก และเป็นวิธีการที่จะดึงดูด บริษัทที่มีนวัตกรรมมาสู่ประเทศของเขา ในขณะเดียวกันก็ยังได้รับผลตอบแทนจากการเปลี่ยนจากธุรกิจน้ำได้มันอีกด้วย และแน่นอนมันสอดคล้องกับ Vision 2030 ของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ

นิซาร์ต้องตกตะลึง เมื่อ Masayoshi ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการปิด Deal ดังกล่าว โดยได้รับเงินทุนก้อนแรกจากโมฮัมเหม็ด 45,000 ล้านดอลลาร์ เขาคิดว่าต้องใช้เวลาหลายในเดือนในการทำข้อตกลงมูลค่ามหาศาลแบบนี้ ก่อนการประชุมสิ้นสุดลง โมฮัมเหม็ดกล่าวว่า เขาต้องการให้ Masayoshi ใช้เวลา 2-3 วันเพื่อเดินทางมายังซาอุดิอาระเบีย

จบ Deal นี้ Masayoshi ก็แถลงตามสไตล์ของเขา การปิด Deal ข้อตกลงมูลค่า 45,000 ล้านดอลลาร์ในเวลา 45 นาที ด้วยวาทะของเขาสามารถที่จะดึงดูดเงินจากโมฮัมเหม็ดได้ 1 พันล้านดอลลาร์ต่อนาที

Project Crystal Ball ซึ่งเป็นงานนำเสนอ PowerPoint กำลังจะกลายเป็น Vision Fund ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มุ้งเน้นไปที่เทคโนโลยีในประวัติศาสตร์การเงินของโลก

Vision Fund ได้กลายเป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคต ทั้งทางด้าน AI , Robot และ Internet of Things และเข้าไปลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่กำลังมาแรงจำนวนมากมาย เช่น OYO , Paytm , WeWork , Didi , Uber , Ola , Flipkart และบริษัทอื่น ๆ อีกกว่า 83 บริษัท

Vision Fund ได้กลายเป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคต (CR:Blognone)
Vision Fund ได้กลายเป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคต (CR:Blognone)

อีกหนึ่งปีถัดมา Masayoshi ได้เปิดเผยถึงความสำเร็จอันน่าทึ่งดังกล่าวนี้ว่าเขาทำได้อย่างไรกับ David Rubenstein จาก Bloomberg
“ผมได้บอกกับ โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมานว่า ผมจะให้ของขวัญแก่คุณ ของขวัญจาก Masayoshi มูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ คุณลงทุน 1 แสนล้านดอลลาร์ ผมจะทำให้มันกลายเป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์”

References :
หนังสือ Blood and Oil – Mohammed Bin Salman’s Ruthless Quest for Global Power โดย Bradley Hope และ Justin Scheck
https://www.indiatimes.com/worth/investment/how-masayoshi-son-raised-forty-five-billion-dollar-in-forty-five-minutes-560554.html
https://thepangean.com/Lost-Vision
https://www.economist.com/business/2019/03/23/masayoshi-son-prepares-to-unleash-his-second-100bn-tech-fund

ความเทพของพี่มาร์ค กับการปรับกลยุทธ์ธุรกิจอย่างรวดเร็วเพื่อชดเชยสิ่งที่ผิดพลาดจาก Metaverse

หากเรามองผ่านหน้าสื่อ Mark Zuckerberg มักไม่ค่อยได้รับเครดิตในเรื่องการบริหารธุรกิจของเขาซักเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนว่าสื่อจะมองเขาไปในสิ่งอื่น ๆ รอบตัวเขามากกว่า

ไม่ว่าจะเป็นความหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ล่าสุดของเขา การทะเลาะกับ Elon Musk เรื่องปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถม Facebook ในช่วงหลัง ทั้งการฟ้องร้องจากรัฐในอเมริกาหลายแห่งที่กล่าวหาว่า Meta มีเจตนาที่จะทำให้ผู้ใช้โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นติด Facebook และ Instagram อย่างงอมแงม

ถ้าไม่นับเรื่องราวที่ครีเอเตอร์หลาย ๆ คนอาจจะสาปส่งแพลตฟอร์มของ Mark Zuckerberg ทั้งการลด Reach การปรับเปลี่ยนอัลกอริธึมอยู่แทบจะตลอดเวลา หรือ การผลักดันให้ผู้คนเสียเงินในการโฆษณาเพิ่มมากขึ้น

ย้อนกลับไปในช่วงปีที่แล้ว Zuckerberg เองก็โดนถล่มอย่างหนักจากเหล่านักลงทุน โดยกล่าวหาว่าเขาทำลายธุรกิจหลักไปพร้อม ๆ กับใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยไปกับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของเขาสำหรับโลก Metaversee

ซึ่งหากมองในแง่มุมของธุรกิจล้วน ๆ ความสามารถของ Zuckerberg จากผลงานที่ผ่านมานั้นแทบไม่ได้ต่างจาก Satya Nadella ทำกับ Microsoft หรือ Tim Cook สามารถทำได้กับ Apple เลยด้วยซ้ำ

แม้จะดูภาพลักษณ์เป็นเด็กเนิร์ด แต่การบริหารธุรกิจของ Mark นั้นเรียกได้ว่าระดับเทพอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนของช่วงปลายปีที่แล้ว เขาได้ตัดสินใจทางธุรกิจครั้งสำคัญ ซึ่งเมื่อเขาเองมีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงโดยรวมของบริษัทสูงถึง 58% เขาจึงสามารถแก้ไขปัญหาทางธุรกิจโดยแทบไม่ต้องฟังเสียงของผู้ถือหุ้นเลย

Zuckerberg ได้ทำการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์บริษัททางด้านเทคโนโลยี ภายในสองสัปดาห์ของไตรมาสที่สาม เขาได้ลดค่าใช้จ่ายของ Meta และปลดพนักงานออกจำนวนมาก

และเพื่อให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT ของ OpenAI ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับแวดวงเทคโนโลยี เขาได้ปฏิวัติองค์กรใหม่โดยมุ่งเป้าไปที่เทคโนโลยีเพื่อใช้ในการกระตุ้นธุรกิจหลักของบริษัท

Nick Clegg ที่เป็นที่ปรึกษาที่มีความใกล้ชิดกับ Zuckerberg ได้อธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่า เจ้านายของเขาไม่ชอบให้คนรอบตัวมาตะโกนด่าเขา เช่นเดียวกับเหล่าวิศวกร เขาชอบที่จะแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้นกับส่วนประกอบต่าง ๆ และตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางที่จะใช้ในการปฏิบัติจริง

จะเห็นได้ว่าปัญหาที่ผ่านมา Meta ได้ผลาญเงินไปมากมายกับโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse สิ่งนี้ Zuckerberg เข้าใจอย่างดีเพราะมันเป็นแผนระยะยาวของเขา แต่มันส่งผลต่อแผนการระยะสั้นของบริษัท เขาจึงต้องตัดสินใจเปลี่ยนแปลงองค์กรครั้งสำคัญ

การปรับแผนการลงทุนระยะยาวโดยเน้นที่เกี่ยวข้องกับ AI เป็นหลัก ไม่ใช่ Metaverse มันเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ถูกต้องมาก ๆ ของ Zuckerberg เมื่อ ChatGPT ได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดดในภายหลัง

ซึ่งผลจากการทำงานอย่างหนักของ Zuckerberg มันก็เห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน เมื่อรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมา ที่รายรับเพิ่มขึ้น 23% เป็น 34.15 พันล้านดอลลาร์ สร้างกำไร 11.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจาก 4.4 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

Meta ใช้เวลาหลายปีมาแล้วในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ซึ่งแทนที่จะสร้างแชทบอท Zuckerberg ได้มองหาวิธีการใช้ AI เเพื่อปรับปรุงการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานในแพลตฟอร์ม และทำให้ธุรกิจโฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น

ภายในเดือนกรกฎาคม Meta ได้จัดทำโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) อย่าง Llama 2 ให้นักพัฒนาใช้งานได้ฟรี และการทำให้ Llama เป็นโอเพ่นซอร์สช่วยเปลี่ยน Zuckerberg จากผู้ร้ายใน Silicon Valley ให้กลายเป็นฮีโร่ทันที

Leigh Marie Braswell จาก Kleiner Perkins ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกล่าวว่า บริษัทสตาร์ทอัพต่างชื่นชนการเคลื่อนไหวดังกล่าวของ Meta เป็นอย่างมาก ซึ่งช่วยให้หลาย ๆ คนพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้ ซึ่งเผลอ ๆ เทคโนโลยีอย่าง Generative AI เองอาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ Meta ได้มากกว่า Microsoft หรือ Google เสียอีก

อย่างแรกในเรื่องการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานในแพลตฟอร์ม โดยขณะนี้ Meta กำลังสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียด้วยอวาตาร์แชทบอทซึ่งหวังว่าจะเพิ่มระยะเวลาที่ผู้คนใช้ฟีดของตน และช่วยให้ธุรกิจโต้ตอบกับลูกค้าบนแอปส่งข้อความได้

สิ่งที่น่าสนใจมากขึ้นในระยะสั้นคือศักยภาพของ AI ในเรื่องการโฆษณา เนื่องจาก Apple จำกัดความสามารถของ Meta ในการติดตามข้อมูลผู้ใช้ในแอปบน iPhone นั่นเป็นการเปลี่ยนกระบวนการทางความคิดของ Meta แบบยกเครื่องใหม่ทั้งหมด แทนที่จะติดตามหลอกหลอนพฤติกรรมของผู้ใช้งานเหมือนเดิม จะมีการใช้ AI ในการจำลองพฤติกรรมของผู้ใช้แทน

ปีที่แล้ว Meta ได้เปิดตัวเทคโนโลยีโฆษณาที่เรียกว่า Advantage+ ซึ่งใช้ AI เพื่อสร้างแคมเปญโฆษณาโดยอัตโนมัติ ซึ่ง Brent Thill แห่ง Jefferies ธนาคารเพื่อการลงทุนกล่าวว่าผู้ลงโฆษณารู้สึกประทับใจ ตัวอย่าง J.Crew Factory ผู้ค้าปลีกเสื้อผ้าได้บอกกับ Meta ว่าฟีเจอร์ดังกล่าวช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการใช้จ่ายโฆษณาเกือบเจ็ดเท่า

Generative AI สามารถยกระดับระบบอัตโนมัติใน ecosystem ของ Meta ได้อีกมากมาย ในเดือนที่ผ่านมา Meta ได้เปิดตัวเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาแบบ doodle ด้วยพื้นหลังและถ้อยคำที่แตกต่างกัน

แม้สิ่งเหล่านี้อาจจะยังเป็นก้าวเล็ก ๆ ของ Meta แต่ Andy Wu จาก Harvard Business School เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของการตื่นทอง เขากล่าวว่าการสร้างแคมเปญโฆษณาที่ใช้ Generative AI จะทำให้ Meta สามารถได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้มากเท่ากับ Nividia ซึ่งเป็นผู้ผลิต GPU ชั้นนำ

แม้ว่านักลงทุนบางคนยังคงสงสัยในเรื่อง Metaverse และอยากให้ Zuckerberg ลดค่าใช้จ่ายกับเรื่องของ Metaverse และระมัดระวังในเรื่องการลงทุนกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นฮาร์ดแวร์ที่ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่ถนัดของ Meta เช่น VR Head Set ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างอัตรากำไรที่ต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ทางด้านดิจิทัล

แต่ดูเหมือนว่า Zuckerberg เองยังไม่ยอมแพ้ในโลกของ Metaverse ซึ่งเขามองว่า AI จะเป็นผู้กอบกู้ Metaverse โดยช่วยในการพัฒนาเทคโนโลยี hand-tracking และทำให้การสร้างโลกสามมิติมีราคาถูกลง

แว่นตาอัจฉริยะของ Meta ที่ผสานรวมเข้ากับแชทบอท Meta AI และสร้างโดย Ray-Ban นำเสนอสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันเป็นโลกใหม่ในจินตานาการของ Zuckerberg ที่จะเหล่าผู้ใช้งานสามารถบันทึกสิ่งที่พวกเขาเห็น สามารถสตรีมสดบนโซเชียลมีเดีย และมีแชทบอทคอยช่วยตอบคำถามต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญกับ Meta ในแผนการระยะยาวของบริษัทนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/business/2023/10/26/ai-has-rescued-mark-zuckerberg-from-a-metaverse-size-hole
https://www.nytimes.com/2023/10/25/technology/meta-facebook-quarterly-earnings.html