เริ่มจากศูนย์ สู่ธุรกิจหมื่นล้าน : เรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจจากนักลงทุนระดับตำนาน Warren Buffet

ในโลกของการเป็นผู้ประกอบการ มีเรื่องราวมากมายที่สร้างแรงบันดาลใจ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จล้วนมีจุดร่วมที่สำคัญ นั่นคือการตระหนักถึงศักยภาพของตนเอง และความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปให้ไกลกว่าจุดที่เป็นอยู่ พวกเขาพร้อมทุ่มเทเวลาและพลังงานเพื่อพัฒนาตนเอง และเมื่อได้รับการพัฒนาทักษะแล้ว สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้นั้นเกินกว่าที่จะจินตนาการ

บทความวันนี้ จะเป็นเป็นเรื่องราวที่ถูกเปิดเผยโดยนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Warren Buffet ที่มาคุยถึง case study ของธุรกิจที่น่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณได้

เรื่องราวแรกคือ Rose Blumkin หรือที่รู้จักกันในนาม Mrs. B ผู้อพยพชาวยิวรัสเซียที่เดินทางมาถึง Seattle ในปี 1917 โดยไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย

เธอมาพร้อมกับป้ายแขวนคอที่เขียนว่า Fort Dodge, Iowa Red Cross เพื่อไปพบสามีที่มาถึงอเมริกาก่อนหน้านั้นสองปี หลังจากใช้ชีวิตที่ Fort Dodge เป็นเวลาสองปีด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะไม่สามารถสื่อสารได้ เธอตัดสินใจย้ายไปเมือง Omaha ในปี 1919

ที่ Omaha เธอพบชุมชนชาวยิวรัสเซียเล็กๆ ที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้น Francis ลูกสาวคนโตของเธอเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนและกลับมาสอนแม่

Rose ใช้เวลา 20 ปีในการเก็บเงินทีละเล็กละน้อยจากการขายเสื้อผ้ามือสอง เพื่อนำพี่น้องและพ่อแม่มาอเมริกา ในระหว่างนั้นเธอมีลูกถึง 4 คน

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1937 เมื่อ Rose มีเงินเก็บ 2,500 ดอลลาร์ เธอตัดสินใจเดินทางไปชิคาโกเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์มาขาย ด้วยความฝันที่จะเปิดร้านเฟอร์นิเจอร์เป็นของตัวเอง

ผู้หญิงที่ไม่เคยได้รับการศึกษาในระบบคนนี้ ได้สร้างธุรกิจที่เติบโตอย่างน่าทึ่ง จนกระทั่งขายให้กับ Berkshire ในปี 1983 ด้วยมูลค่าประมาณ 60 ล้านดอลลาร์ และในปีที่ผ่านมาธุรกิจนี้ทำยอดขายได้ถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบันมีทายาทรุ่นที่ 4 กำลังสืบทอดกิจการ

Mrs. B ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนอายุ 103 ปี ก่อนจะเกษียณและเสียชีวิตในปีถัดมา เธอไม่ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ในวงการเฟอร์นิเจอร์ แต่สิ่งที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จคือความมุ่งมั่น การทำงานหนักกว่าใคร การใส่ใจลูกค้า และการยอมรับกำไรขั้นต้นที่ต่ำเพื่อสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่

อีกเรื่องราวที่น่าสนใจคือ Jack Taylor ผู้ก่อตั้ง Enterprise ชายผู้เกิดในปี 1922 แม้จะเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถ แต่เขาไม่ใช่คนที่ชอบการเรียน เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพียงปีเดียวก่อนลาออกในปี 1941 เมื่อสหรัฐฯ ถูกโจมตี

แม้จะถูกปฏิเสธจากกองทัพอากาศเพราะแพ้เกสรดอกไม้ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ และได้เข้าร่วมกองทัพเรือแทน จนได้รับเหรียญ Distinguished Flying Cross ถึงสองครั้ง

หลังจากสงคราม Jack กลับมาที่ Midwest และผ่านงานหลายตำแหน่งก่อนจะมาเป็นพนักงานขายรถมือสองที่ตัวแทนจำหน่าย Cadillac ใน St. Louis เมื่ออายุ 35 ปี เขาตัดสินใจขอเป็นหุ้นส่วนธุรกิจให้เช่ารถกับเจ้านาย โดยยอมลดเงินเดือนลงครึ่งหนึ่งและกู้เงิน 25,000 ดอลลาร์

จุดเริ่มต้นของ Enterprise นั้นเริ่มจากรถเพียง 7 คัน ธุรกิจในช่วงแรกค่อนข้างเงียบเหงา จนบางครั้ง Jack ต้องปล่อยให้โทรศัพท์ดังหลายครั้งเพื่อให้ดูเหมือนว่ามีลูกค้าติดต่อเข้ามามาก ทั้งที่บางวันอาจมีเพียงสายเดียว

เมื่ออายุ 40 ปี Jack ตัดสินใจก้าวเข้าสู่ธุรกิจให้เช่ารถอย่างจริงจังด้วยรถเพียง 17 คัน ท่ามกลางการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่าง Hertz, Avis และ National ที่มีรถในครอบครองนับแสนคัน

แม้ว่ารถของเขาจะไม่ได้แตกต่างจากคู่แข่งเพราะซื้อจากผู้ผลิตเดียวกัน และไม่มีสาขาในสนามบินเหมือนบริษัทใหญ่ แต่สิ่งที่เขามุ่งมั่นคือการมอบบริการที่เป็นมิตรและประทับใจลูกค้ามากกว่าที่เคยได้รับจากที่ไหน

หลักการทำธุรกิจของ Jack นั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เขาเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งพนักงานและลูกค้า เขาเชื่อว่าถ้าพนักงานมีความสุขและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ พวกเขาจะส่งต่อความรู้สึกดีๆ นั้นไปยังลูกค้า

ปัจจุบัน Enterprise มีมูลค่ามากกว่า Hertz, Avis และบริษัทให้เช่ารถอื่นๆ รวมกัน โดยมี Andy Taylor ลูกชายของ Jack บริหารธุรกิจต่อ พร้อมด้วยหลานที่เข้ามาร่วมงาน และคาดว่าจะมีทายาทรุ่นที่ 4 สืบทอดกิจการต่อไป

บทเรียนสำคัญจากความสำเร็จของทั้ง Mrs. B และ Jack Taylor คือการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาไม่ได้กังวลกับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ แต่มุ่งเน้นที่การสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทุกคนที่มาใช้บริการ

เช่นเดียวกับ Henry Ford ที่ล้มเหลวถึง 2 ครั้งก่อนจะประสบความสำเร็จกับ Ford Motor Company ในปี 1903 ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่การคิดไอเดียที่ยิ่งใหญ่ได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่อยู่ที่การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องว่าจุดแข็งของคุณคืออะไร และคุณจะสร้างคุณค่าอะไรให้กับลูกค้าได้บ้าง

การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยทั้งความรู้และความปรารถนาที่จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทุกวัน เพราะประสบการณ์ที่ดีจะอยู่ในความทรงจำของลูกค้าไปตลอด ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือการเลือกคบหาสมาคมกับคนที่จะช่วยผลักดันให้คุณก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัว การรายล้อมตัวเองด้วยคนที่ดีกว่าจะช่วยให้คุณเติบโตและพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง

ความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้วัดจากเงินลงทุนเริ่มต้น แต่อยู่ที่ความมุ่งมั่น การเรียนรู้ และการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก ดังจะเห็นได้จากทั้ง Rose Blumkin และ Jack Taylor ที่เริ่มต้นจากเงินทุนไม่มาก แต่สามารถสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ได้ด้วยหลักการง่ายๆ คือการทำให้ลูกค้าประทับใจในทุกการบริการ

การสร้างความประทับใจให้กับลูกค้านั้นต้องทำผ่านพนักงานทุกคนในองค์กร ผู้นำธุรกิจจึงต้องใส่ใจในการดูแลพนักงาน ให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม และความคิดเห็นของพวกเขามีคุณค่า เพราะพนักงานที่มีความสุขและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรจะส่งต่อความรู้สึกดีๆ นั้นไปยังลูกค้า

การเติบโตของธุรกิจที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการเพิ่มทุนหรือการกู้ยืม แต่เกิดจากการที่ธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรและเติบโตได้ด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับ Nebraska Furniture Mart ของ Mrs. B และ Enterprise ของ Jack Taylor ที่แทบไม่ต้องเพิ่มทุนเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา

สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจ สิ่งสำคัญไม่ใช่การคิดค้นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่หรือการมีเงินทุนมหาศาล แต่อยู่ที่ความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองและธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การทำงานหนักควบคู่ไปกับการเพิ่มพูนทักษะ และที่สำคัญที่สุดคือการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าในทุกจุดสัมผัส

เมื่อคุณสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้อย่างสม่ำเสมอ พวกเขาจะกลับมาใช้บริการซ้ำและแนะนำธุรกิจของคุณต่อไป นี่คือรากฐานของความสำเร็จที่ยั่งยืน และเป็นบทเรียนสำคัญที่เราได้เรียนรู้จากผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้นั่นเองครับผม

References Image : https://ccnull.de/index.php/foto/portrait-von-warren-buffett-in-nahaufnahme-und-elegantem-anzug/1094154

5 นิสัยเศรษฐี : อะไรที่ทำให้มหาเศรษฐีแตกต่างจากคนทั่วไปโดย Tony Robbins

ต้องบอกว่าไม่ใช่แค่เรื่องของโชค พรสวรรค์ หรือจังหวะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของนิสัยที่เหล่ามหาเศรษฐียึดถือปฏิบัติกันในชีวิตประจำวัน นิสัยเหล่านี้หล่อหลอมความคิด ผลักดันการกระทำ และเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความจริง

หากคุณเคยสงสัยว่าอะไรทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในสิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ Tony Robbins ได้เปิดเผยว่าพวกเขาเหล่านี้มีนิสัยที่เหมือนกัน มันไม่ใช่ความลับ แต่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป แล้วนิสัยเหล่านั้นคืออะไร ทำไมมันถึงทรงพลังมาก และคุณจะใช้มันเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้อย่างไร

สิ่งนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับคนรวยที่สุดเท่านั้น แต่สำหรับทุกคนที่พร้อมจะคิดใหญ่ ลงมือทำอย่างชาญฉลาด และควบคุมอนาคตของตัวเอง มาดูกันเลย

1. การมุ่งเน้นการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง (Relentless Focus on Growth)

รากฐานที่ทำให้มหาเศรษฐีแตกต่างจากคนทั่วไปคือการมุ่งเน้นการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ใช่แค่เรื่องการสะสมความมั่งคั่งหรือการบรรลุเป้าหมาย แต่เป็นเรื่องของการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง การเรียนรู้ และการขยายขีดความสามารถในการรับมือกับความท้าทายและการคว้าโอกาส

แรงผลักดันสู่การเติบโตนี้มาจากความเข้าใจลึกๆ ว่าความสำเร็จไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่ตายตัว แต่เป็นการเดินทางแห่งการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มหาเศรษฐีมีกรอบความคิดที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง เพราะพวกเขารู้ว่าจะเติบโตเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาก้าวข้ามขีดจำกัดปัจจุบัน

พวกเขาไม่กลัวที่จะถามคำถาม ทำผิดพลาด หรือก้าวเข้าสู่สิ่งที่ไม่รู้ เพราะประสบการณ์เหล่านี้เป็นเหมือนก้าวย่างสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า

2. การจัดลำดับความสำคัญอย่างแม่นยำ (Laser-like Prioritization)

หนึ่งในนิสัยที่โดดเด่นที่สุดของมหาเศรษฐีคือความสามารถในการจัดลำดับความสำคัญอย่างแม่นยำ และนี่คือกุญแจสู่ความสามารถในการบรรลุผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม มหาเศรษฐีเข้าใจว่าเวลาคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของพวกเขา และพวกเขาปฏิบัติกับมันเช่นนั้น

พวกเขาไม่เสียพลังงานไปกับสิ่งรบกวนหรือกิจกรรมที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย แต่มุ่งเน้นอย่างแม่นยำในสิ่งที่สำคัญจริงๆ โดยทุ่มเทความพยายามไปที่งานที่สร้างผลกระทบสูงและให้ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุด

3. วิสัยทัศน์ระยะยาว (Long-term Vision)

ลักษณะเด่นที่แยกมหาเศรษฐีออกจากคนทั่วไปคือวิสัยทัศน์ระยะยาว พวกเขาไม่ติดอยู่กับสิ่งรบกวนระยะสั้นหรือความพึงพอใจทันทีที่คนส่วนใหญ่ไล่ตาม แต่คิดไกลเกินกว่าสัปดาห์ เดือน หรือปีถัดไป และมุ่งเน้นไปที่การสร้างอนาคตที่สอดคล้องกับเป้าหมายสูงสุดของพวกเขา

การคิดไปข้างหน้าแบบนี้ช่วยให้พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยจุดประสงค์และความชัดเจน โดยมองภาพใหญ่เสมอ วิสัยทัศน์ของพวกเขาทำหน้าที่เป็นเข็มทิศนำทาง ช่วยในการตัดสินใจและดำเนินการในวันนี้ที่สอดคล้องกับอนาคตที่ต้องการสร้าง

4. วินัยและความสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน (Daily Discipline and Consistency)

วินัยและความสม่ำเสมอคือกระดูกสันหลังของความสำเร็จของมหาเศรษฐีแทบจะทุกคน ในขณะที่หลายคนพึ่งพาแรงจูงใจหรือแรงบันดาลใจชั่วครู่ มหาเศรษฐีรู้ว่าความก้าวหน้าที่แท้จริงมาจากการลงมือทำทุกวัน ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม

วินัยคือความสามารถในการยึดมั่นกับแผน ทำตามข้อผูกมัด และทำสิ่งที่ต้องทำแม้จะไม่สะดวกหรือน่าตื่นเต้น การยึดมั่นกับเป้าหมายอย่างไม่สั่นคลอนนี้ช่วยให้พวกเขาสร้างนิสัยที่ทบทวีขึ้นเรื่อยๆ นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม

5. พลังของการทวีคูณ (Power of Leverage)

หนึ่งในนิสัยที่สำคัญที่สุดที่มหาเศรษฐีใช้เพื่อทวีคูณผลกระทบและบรรลุความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมคือพลังของการทวีคูณ นี่คือความสามารถในการทำมากขึ้นด้วยความพยายามน้อยลง เพื่อเพิ่มผลลัพธ์สูงสุดโดยใช้ทรัพยากรอย่างมีกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นเวลา เงิน คน หรือเทคโนโลยี

มหาเศรษฐีเข้าใจว่าพวกเขาไม่สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดได้โดยพึ่งพาความพยายามของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขามุ่งเน้นการหาวิธีขยายผลงานผ่านการร่วมมือ นวัตกรรม และการตัดสินใจที่ชาญฉลาด

บทสรุป

นิสัยของมหาเศรษฐีไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่เป็นทางเลือก กรอบความคิด และวินัยที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้ ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งเน้นการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ความสามารถในการจัดลำดับความสำคัญอย่างแม่นยำ ความมุ่งมั่นต่อวิสัยทัศน์ระยะยาว วินัยและความสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน หรือความเชี่ยวชาญในการใช้พลังของการทวีคูณ

นิสัยเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นและผลักดันไปสู่ความสูงที่ยอดเยี่ยม มหาเศรษฐีส่วนใหญ่ไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่โชคหรือพรสวรรค์เท่านั้น แต่พวกเขาสร้างความสำเร็จของตัวเองโดยการทำให้การกระทำสอดคล้องกับเป้าหมาย รักษาความสม่ำเสมอ และหาวิธีเพิ่มผลกระทบให้สูงสุด

ความงดงามของนิสัยเหล่านี้คือมันไม่ได้สงวนไว้สำหรับคนกลุ่มพิเศษ แต่มีไว้สำหรับทุกคนที่เต็มใจจะรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง มุ่งมั่นกับวิสัยทัศน์ และลงมือทำทุกวัน ความสำเร็จในแก่นแท้คือผลลัพธ์ของนิสัยที่ทบทวีขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลา

Robbins แนะนำให้เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ สร้างแรงผลักดัน และจดจ่อกับภาพใหญ่ไว้ หากคุณนำนิสัยเหล่านี้ไปปฏิบัติแม้เพียงอย่างเดียวและทำอย่างสม่ำเสมอ คุณจะพบว่าตัวเองประสบความสำเร็จมากกว่าที่เคยคิดว่าเป็นไปได้

ปรัชญาแห่งความมั่งคั่ง : บทเรียนอันล้ำค่าจากหนังสือ The Richest Man in Babylon

ในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนทางการเงิน การเรียนรู้หลักการบริหารเงินที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลามาหลายพันปีอาจเป็นเข็มทิศนำทางชีวิตทางการเงินของเราได้อย่างดี

หนังสือ The Richest Man in Babylon ได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาทางการเงินผ่านเรื่องเล่าอันทรงคุณค่า โดยมี Arkad ผู้เป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในนครบาบิโลนโบราณเป็นผู้ถ่ายทอดหลักปรัชญาแห่งความมั่งคั่ง

เรื่องราวเริ่มต้นจากชายหนุ่มสองคนที่เบื่อหน่ายกับชีวิตที่ยากจน พวกเขาตัดสินใจไปขอคำปรึกษาจาก Arkad เพื่อนเก่าที่กลายเป็นคนร่ำรวยที่สุดในเมือง คำสอนของ Arkad ไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตของชายหนุ่มทั้งสอง แต่ยังกลายเป็นตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

หัวใจสำคัญประการแรกของการสร้างความมั่งคั่งคือการเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับเงิน Arkad สอนว่า “ส่วนหนึ่งของรายได้ทั้งหมดที่คุณหามาได้ คุณจะต้องเก็บไว้”

หลักการนี้อาจฟังดูง่าย แต่คนส่วนใหญ่มักมองข้าม พวกเขามักจะจ่ายเงินออกไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่า ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค หรือความบันเทิง หนี้สิน จนกระทั่งสิ้นเดือนก็พบว่าไม่เหลืออะไรเก็บออมเลย

วิธีการที่มีประสิทธิภาพคือการ “จ่ายให้ตัวเองก่อน” ทันทีที่ได้รับเงินเดือน ให้แบ่งส่วนหนึ่งเข้าบัญชีออมทรัพย์ก่อนที่จะใช้จ่ายอย่างอื่น การตั้งระบบโอนเงินอัตโนมัติจากบัญชีหลักไปยังบัญชีออมทรัพย์เป็นวิธีที่ดี เริ่มต้นที่ 5% ของรายได้สุทธิ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็น 10%, 15%, 20% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม การออมเงินเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ Arkad เน้นย้ำถึงความสำคัญของการควบคุมรายจ่าย โดยเฉพาะสิ่งที่เราเรียกว่า “รายจ่ายจำเป็น” ซึ่งมักจะเพิ่มขึ้นเท่ากับรายได้เสมอหากไม่ระวัง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Lifestyle Creep” หรือการที่เราเพิ่มการใช้จ่ายตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น

ตัวอย่างที่พบได้บ่อยของ Lifestyle Creep ได้แก่ การเปลี่ยนจากการทำอาหารทานเองเป็นสั่งเดลิเวอรี่เป็นประจำ การอัพเกรดที่พักอาศัยทั้งที่ที่เดิมยังใช้งานได้ดีอยู่ หรือการเปลี่ยนรถใหม่ทั้งที่คันเก่ายังวิ่งได้ดี เพียงเพราะรู้สึกว่ามีกำลังจ่ายมากขึ้น

แม้การควบคุมรายจ่ายจะสำคัญ แต่ Arkad ก็ไม่ได้สนับสนุนให้ใช้ชีวิตอย่างตระหนี่จนเกินไป เขากล่าวว่า “ชีวิตนั้นดีและเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าเพลิดเพลิน”

แนวคิดนี้สอดคล้องกับหนังสือ “Die with Zero” ที่เสนอว่าเป้าหมายทางการเงินที่แท้จริงไม่ใช่การตายพร้อมเงินในบัญชีมหาศาล แต่เป็นการใช้เงินเป็นเครื่องมือสร้างชีวิตที่มีความหมาย

การสร้างความมั่งคั่งที่แท้จริงต้องอาศัยการทำให้เงินทำงาน Arkad เปรียบเทียบว่า “ทองในกระเป๋าอาจสร้างความพึงพอใจ แต่มันไม่งอกเงย ทองที่ถูกนำไปใช้จะสร้างผลตอบแทนมากกว่าทองที่เก็บไว้เฉยๆ” หลักการนี้แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างการออมเงินกับการลงทุน

การศึกษาด้านการเงินพบว่า การลงทุนในดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปีในระยะยาว ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่มักต่ำกว่า 1% ต่อปีอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้น เงิน 1,000 บาทที่ลงทุนในดัชนี S&P 500 อาจเติบโตเป็นมากกว่า 17,000 บาทในเวลา 30 ปี ในขณะที่การฝากธนาคารอาจได้เพียง 1,300 บาทในระยะเวลาเดียวกัน

นอกจากการลงทุนแล้ว การสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวยังเกี่ยวข้องกับการวางแผนสำหรับอนาคต เรื่องราวของพ่อค้าอูฐในหนังสือเป็นบทเรียนที่ดี แม้เขาจะเคยมีชีวิตที่สุขสบายกับฝูงอูฐจำนวนมาก แต่การใช้จ่ายอย่างไม่ยั้งคิดโดยไม่เผื่อไว้สำหรับยามแก่ ทำให้เขาต้องประสบความยากลำบากในบั้นปลายชีวิต

การศึกษาด้านการเงินการวางแผนเกษียณพบว่า คนอเมริกันกว่า 45% ไม่มีเงินออมสำหรับวัยเกษียณเลย และอีก 64% คาดว่าจะต้องทำงานหลังเกษียณเพื่อหารายได้เสริม นี่เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงและสะท้อนให้เห็นความสำคัญของการวางแผนการเงินระยะยาว

การเพิ่มความสามารถในการหารายได้เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ Arkad เน้นย้ำ หลายคนติดกับดักความคิดว่ารายได้ของตนเองคงที่ และวิธีเดียวที่จะก้าวหน้าคือการออมเงินให้มากขึ้นจากรายได้ที่มีจำกัด แต่ความจริงแล้ว โอกาสในการเพิ่มรายได้มีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะใหม่ การหางานเสริม หรือการเริ่มธุรกิจของตัวเอง

ในด้านการปกป้องทรัพย์สิน Arkad เล่าถึงบทเรียนราคาแพงที่เขาได้รับจากการลงทุนในอัญมณีปลอมตามคำชักชวนของช่างทำอิฐที่ไม่มีความรู้เรื่องอัญมณีเลย เขาสรุปว่า “จงปกป้องทรัพย์สินของเจ้าจากการสูญเสีย โดยลงทุนเฉพาะที่เงินต้นของเจ้าปลอดภัย”

หลักการนี้ยังคงทันสมัยในยุคที่มีการลงทุนเก็งกำไรในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงมากมาย และการหลอกหลวงโดยเฉพาะแชร์ลูกโซ่ที่มีมาในหลากหลายรูปแบบในทุกยุคทุกสมัย

ในช่วงปี 2021 เกิดปรากฏการณ์ FOMO (Fear of Missing Out) ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ทำให้นักลงทุนจำนวนมากเทเงินเข้าไปด้วยความหวังว่าจะรวยเร็ว แต่เมื่อตลาดปรับตัวลง หลายคนสูญเสียเงินออมไปเป็นจำนวนมาก นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการละเลยหลักการปกป้องเงินต้นของ Arkad

การแสวงหาคำแนะนำจากผู้รู้เป็นอีกหนึ่งหลักการสำคัญ ในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น การแยกแยะระหว่างคำแนะนำที่มีคุณค่ากับเสียงรบกวนเป็นเรื่องท้าทาย Arkad แนะนำให้เราฟังจากผู้ที่ประสบความสำเร็จและมีประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่ตามกระแสหรือคำแนะนำจากผู้ที่ไม่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน

บทเรียนสุดท้ายที่น่าสนใจคือเรื่องของโชคและความสำเร็จ Arkad กล่าวว่า “คนที่ลงมือทำคือคนที่ได้รับความโปรดปรานจากเทพีแห่งโชค” หลายคนมักโทษโชคชะตาเมื่อไม่ประสบความสำเร็จ แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่เรามองว่าเป็นโชคนั้น มักเป็นผลลัพธ์ของการเตรียมพร้อมและการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง

การศึกษาด้านจิตวิทยาพบว่า มนุษย์มักจะมี “self-serving bias” คือมองความสำเร็จว่าเกิดจากความสามารถของตนเอง แต่โทษปัจจัยภายนอกเมื่อล้มเหลว การเข้าใจอคติเช่นนี้จะช่วยให้เรามองความสำเร็จและความล้มเหลวได้อย่างสมดุลมากขึ้น

แม้ว่าหลักการเหล่านี้จะถูกเขียนขึ้นในรูปแบบนิทานโบราณ แต่แก่นแท้ของมันยังคงทันสมัยและใช้ได้จริงในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายตัวเองก่อน การควบคุมรายจ่าย การลงทุนอย่างชาญฉลาด การวางแผนระยะยาว การพัฒนาตนเอง การระวังความเสี่ยง การเรียนรู้จากผู้รู้ และการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้คือกุญแจสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืน

บทเรียนจาก The Richest Man in Babylon ได้รับการพิสูจน์ผ่านงานวิจัยทางการเงินสมัยใหม่มากมาย โดยเฉพาะในด้านพฤติกรรมการออมและการลงทุน การศึกษาพบว่าผู้ที่เริ่มออมและลงทุนแต่เนิ่นๆ โดยใช้หลักการลงทุนแบบเรียบง่ายและสม่ำเสมอ มักจะประสบความสำเร็จในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวมากกว่าผู้ที่พยายามเก็งกำไรระยะสั้น

References :
หนังสือ The Richest Man in Babylon โดย George S. Clason

เคล็ดลับเกษียณเร็ว : พบกับ Pete ต้นแบบ FIRE Movement ที่จะเปลี่ยนมุมมองการเงินของคุณ

ในโลกที่ผู้คนต่างวิ่งไล่ตามความมั่งคั่ง มีชายคนหนึ่งที่เลือกเดินสวนทางกับกระแสสังคม เขาคือ Pete เจ้าของบล็อก Mr Money Mustache ที่สร้างปรากฏการณ์สะเทือนวงการการเงินด้วยแนวคิดการใช้ชีวิตเรียบง่ายและเกษียณเร็ว

Pete คือพ่อวัย 49 ปีที่อาศัยอยู่ใน Longmont เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้บุกเบิกแนวคิด FIRE (Financial Independence, Retire Early) หรือการเป็นอิสระทางการเงินและเกษียณเร็ว หลังจากที่เขาสามารถเกษียณได้ตั้งแต่อายุ 30 ปี

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน Pete และภรรยาในตอนนั้นตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อทุ่มเทเวลาให้กับการเลี้ยงลูก ด้วยพื้นฐานการเป็นผู้อพยพชาวแคนาดา เขามองว่าการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและเก็บออมเงินที่เหลือเป็นเรื่องปกติธรรมดา

เมื่อ Pete เริ่มแบ่งปันเรื่องราวผ่านบล็อก เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของกระแส FIRE ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา มีผู้คนมากมายที่ได้แรงบันดาลใจจากเขาในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและมุ่งสู่อิสรภาพทางการเงิน

Pete มีตำแหน่งที่น่าสนใจในโปรไฟล์ LinkedIn ของเขา นั่นคือ Leisure Engineer (วิศวกรการพักผ่อน) และ Owner Janitor (เจ้าของและภารโรง) ที่สำนักงานใหญ่ Mr Money Mustache สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่ผ่อนคลายและไม่ยึดติดกับตำแหน่งหน้าที่

แม้ว่าเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพ แต่ Pete ยังคงใช้ชีวิตด้วยงบประมาณเพียงปีละ 35,000 ดอลลาร์ แม้แต่งงานและมีลูกหนึ่งคนแล้ว เขาพบว่าไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายมากไปกว่านี้เพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดี

Pete แบ่งปันสูตรง่ายๆ ในการคำนวณเงินที่ต้องการสำหรับการเกษียณ นั่นคือการนำค่าใช้จ่ายต่อปีคูณด้วย 25 ตัวอย่างเช่น หากใช้จ่ายปีละ 40,000 ดอลลาร์ คุณจะต้องมีเงินลงทุน 1 ล้านดอลลาร์เพื่อเกษียณได้อย่างสบาย

หลายคนมักเข้าใจผิดว่าแนวคิด FIRE เหมาะสำหรับคนรายได้สูงหรือคนทำงานในวงการเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ Pete มองว่าการลดค่าใช้จ่ายสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะในแง่ของคุณภาพชีวิตและความมั่นคงของครอบครัว

Pete มีภารกิจลับที่น่าสนใจ นั่นคือการพยายามลดการบริโภคของคนรวย เนื่องจากพวกเขามักเป็นกลุ่มที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากที่สุด แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้ตรงๆ เพราะไม่อยากให้คนรู้สึกถูกตำหนิเรื่องไลฟ์สไตล์

คำวิจารณ์ที่ Pete ได้ยินบ่อยที่สุดคือ “ผมจะเบื่อถ้าไม่มีงานทำ” แต่เขามองว่านี่เป็นเรื่องน่ายินดีที่คนๆ นั้นมีงานที่รัก เพราะผลสำรวจชี้ว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศพัฒนาแล้วไม่พอใจกับงานของตัวเอง

Pete ไม่ได้สนับสนุนให้คนหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง แต่เขาเชื่อว่าการมีความมั่นคงทางการเงินจะช่วยให้ผู้คนมีอิสระในการเลือกทำสิ่งที่รักและมีความหมายมากขึ้น เขาเองก็ยังคงทำงานที่หลากหลาย รวมถึงการให้สัมภาษณ์ TED Talk

ในการพูด TED Talk Pete เลือกที่จะใช้วิธีสัมภาษณ์แทนการท่องบทพูด เพราะเขารู้สึกว่าการเตรียมบทพูดสร้างความเครียดให้เขามากเกินไป และในฐานะคนที่เกษียณแล้ว เขาต้องการความเป็นธรรมชาติมากกว่า

เมื่อพูดถึงเรื่องการวิจารณ์ออนไลน์ Pete มักเผชิญกับความเห็นในแง่ลบอยู่เสมอ แต่เขาเรียนรู้ที่จะรับมือด้วยท่าทีที่เป็นมิตรมากขึ้น แม้บางครั้งจะยังคงใช้ภาษาที่กวนๆ บ้างเพื่อความสนุก

บทความใน New Yorker เคยเรียก Pete ว่า “The Scold (จอมดุ)” ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวของเขา แต่เขามองว่านี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการเป็นบุคคลสาธารณะ

สิ่งที่ Pete ภูมิใจที่สุดคือการได้รับฟีดแบ็กจากผู้อ่านที่บอกว่าแนวคิดของเขาช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขา โดยเฉพาะในแง่ของการได้ใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น

Pete เชื่อว่าทุกคนสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้หากพ้นจากความกังวลเรื่องเงิน และเขาหวังว่างานเขียนของเขาจะช่วยให้ผู้คนพึงพอใจกับสิ่งที่มี รู้จักใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ และชี้ให้เห็นว่าความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการใช้จ่ายหรือการบริโภคที่มากเกินไป แต่อยู่ที่การรู้จักพอและใช้เวลาอย่างมีคุณค่านั่นเองครับผม

References :
How To Retire a Few Decades Early | Pete Adeney | TEDxBoulder
https://youtu.be/G0eepuvMc00?si=VopBOE2ModQ4Eui4

เบื้องหลังภาษี 36.3% : ยุโรปจะรับมืออย่างไร? เมื่อรถไฟฟ้าจีนราคาถูกกำลังบุกทะลักเข้ามา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสู่ยุโรปได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สร้างความท้าทายใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับยุโรป

จากข้อมูลล่าสุด มูลค่าการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสู่ยุโรปได้พุ่งสูงขึ้นจาก 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 เป็น 11.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023

แม้ว่าตัวเลขนี้อาจดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตลาดรถยนต์ยุโรปโดยรวม แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ได้สร้างความกังวลให้กับผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปและผู้กำหนดนโยบายเป็นอย่างมาก

ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์จีนและแบรนด์ที่จีนเป็นเจ้าของในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ายุโรปได้เพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี 2019 เป็นประมาณ 15% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหภาพยุโรป (EU) กำลังพยายามบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ท้าทาย โดยต้องการให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน จีนก็กำลังผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากในราคาที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ สถานการณ์นี้ได้สร้างความขัดแย้งระหว่างความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่สะอาดขึ้น กับความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในท้องถิ่น

ในการตอบโต้ต่อสถานการณ์นี้ สหภาพยุโรปได้เสนอให้เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36.3% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากภาษี 10% ที่เก็บอยู่แล้วสำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด

มาตรการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตยุโรปกับคู่แข่งจากจีน โดยคำนึงถึงความได้เปรียบด้านต้นทุนที่บริษัทจีนได้รับจากการสนับสนุนของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์ในยุโรป ประเทศสมาชิก EU มีความเห็นแตกต่างกันในประเด็นนี้ โดยบางประเทศสนับสนุนมาตรการดังกล่าว ในขณะที่บางประเทศคัดค้านหรืองดออกเสียง ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์และความกังวลที่หลากหลายของแต่ละประเทศ

ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปเองก็มีท่าทีที่แตกต่างกันต่อมาตรการภาษีนี้ บางบริษัทสนับสนุนการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ในขณะที่บางบริษัทกังวลว่าภาษีอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนของพวกเขาในจีน ความขัดแย้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างยุโรปและจีนในปัจจุบัน

ในแง่ของความสามารถในการแข่งขัน ผู้ผลิตจากจีนมีข้อได้เปรียบอย่างมากในด้านต้นทุน โดยสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาประมาณ 5,500 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ผู้ผลิตยุโรปที่ถูกที่สุดทำได้ประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ความแตกต่างนี้เกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน การประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ที่สูงกว่า ต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า และความได้เปรียบในห่วงโซ่อุปทานของแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ จีนยังควบคุมกำลังการผลิตแบตเตอรี่มากกว่า 80% ของโลก ทำให้แม้แต่รถยนต์ที่ผลิตในยุโรปก็ต้องพึ่งพาแบตเตอรี่จากจีน สถานการณ์นี้ยิ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของจีนในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าโลก

การตัดสินใจของสหภาพยุโรปในการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล อุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจยุโรป โดยจ้างงานหลายล้านคนและรับผิดชอบงานการผลิตเกือบหนึ่งในสิบของงานภาคการผลิตทั้งหมด การปกป้องอุตสาหกรรมนี้จึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง

อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีนำเข้าก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยง หนึ่งในนั้นคือผลกระทบต่อเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของยุโรป

การทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพงขึ้นอาจชะลอการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่สะอาดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรปภายในปี 2030

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการตอบโต้ทางการค้าจากจีน ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าจีนมักจะตอบโต้เมื่อเผชิญกับมาตรการทางการค้าที่พวกเขามองว่าไม่เป็นธรรม

การตอบโต้อาจมาในรูปแบบของการเพิ่มภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากยุโรป หรือการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อสร้างอุปสรรคให้กับบริษัทยุโรปที่ดำเนินธุรกิจในจีน

ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือการหาจุดสมดุลระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศกับการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีกับจีน

ประเทศต่างๆ ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในจีน การดำเนินมาตรการที่รุนแรงเกินไปอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีมายาวนานและซับซ้อนเหล่านี้

ในขณะเดียวกัน การไม่ดำเนินการใดๆ ก็อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรยานยนต์ยุโรปในระยะยาว ความได้เปรียบด้านต้นทุนของจีนและความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดอาจทำให้ผู้ผลิตยุโรปสูญเสียส่วนแบ่งตลาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ราคาย่อมเยาว์ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีนอาจกระตุ้นให้ผู้ผลิตยุโรปต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการผลิตของตนเอง ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปโดยรวม

ในท้ายที่สุด การตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรกับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นและระยะยาว ระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศกับการส่งเสริมการแข่งขันและนวัตกรรม และระหว่างเป้าหมายทางเศรษฐกิจกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่อุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสะอาดและพลังงานทดแทน เช่น การผลิตแผงโซลาร์และแบตเตอรี่ ความสำเร็จของจีนในการครองตลาดเหล่านี้เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวและการลงทุนอย่างมหาศาลของรัฐบาล

ในท้ายที่สุด การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจีนและการตอบสนองของยุโรปเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่กว้างขึ้นในระเบียบเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงนี้นำมาซึ่งทั้งความท้าทายและโอกาส และวิธีที่ประเทศต่างๆ จัดการกับมันจะมีผลกระทบอย่างมากต่ออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ เศรษฐกิจโลก และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทศวรรษที่จะมาถึง

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่ผู้บริโภคไปจนถึงแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ การจัดการกับผลกระทบเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมจะเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับรัฐบาลและภาคธุรกิจในอนาคต