เมื่อ Warren Buffett กำลังเข้ามาเขย่าตลาดหุ้นในดินแดนอาทิตย์อุทัย

หุ้นในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุด 3 ใน 5 แห่งของญี่ปุ่นได้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจาก Warren Buffett ประกาศว่าเขาจะเข้าไปถือหุ้นมากขึ้น 

เป็นข่าวดีล่าสุดสำหรับบริษัทอย่าง Itochu, Marubeni, Mitsui, Mitsubishi และ Sumitomo Corporation มีมูลค่าเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ Berkshire Hathaway บริษัทการลงทุนของ Buffett ได้ประกาศการซื้อหุ้นครั้งแรกในวันเกิดครบรอบ 90 ปีของเขาในปี 2020 ตั้งแต่นั้นราคาหุ้นของพวกเขาก็เพิ่มขึ้น 64% ถึง 202% เลยทีเดียว

ในบางแง่ ญี่ปุ่นและ Buffett เป็นการจับคู่ที่เหมือนพรหมลิขิต Buffett มีชื่อเสียงจากการให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจอย่างไม่ผิดพลาด แม้ว่าเพิ่งจะมีการเทขายหุ้นบริษัทของอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้

ต้องบอกว่าตลาดหุ้นในโตเกียวยังถูกกว่ามาก P/E ratio อยู่ที่ประมาณ 13 เทียบกับ 18 ในอเมริกา บริษัทที่ Berkshire Hathaway ลงทุน จะเป็นกลุ่มธุรกิจด้านการค้าที่รู้จักกันในชื่อ sogo shosha ซึ่งมักถูกมองว่ามีความแข็งแกร่งทางธุรกิจและเชื่อถือได้ โดยมี P/E ratio ต่ำกว่า 10 และมีการจ่ายเงินปันผลที่ดี

มันแสดงให้เห็นว่าเหตุใดประเทศญี่ปุ่นจึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุนชาวอเมริกันรายอื่น เมื่อวันที่ 14 เมษายน Berkshire Hathaway ได้ออกพันธบัตรสกุลเงินเยนมูลค่าประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมเป็น 7.8 พันล้านดอลลาร์ที่มีการออกมาตั้งแต่ปี 2019 ถึง 2022

ปัจจุบันญี่ปุ่นเป็นสถานที่ลงทุนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของ Berkshire Hathaway เงินเยนยังเป็นแหล่งเงินทุนที่ใหญ่เป็นอันดับสอง โดยหนี้สินเกือบหนึ่งในห้าของ Berkshire Hathaway คิดเป็นสกุลเงินเยน

การกู้ยืมและการซื้อด้วยสกุลเงินเยนจะช่วยปกป้อง Buffett จากการตกลงของค่าเงิน และผลจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยระหว่างอเมริกาและญี่ปุ่น

เขาสามารถจัดหาเงินลงทุนโดยใช้เงินกู้ระยะยาวซึ่งคิดดอกเบี้ยน้อยกว่า 2% ต่อปี ในขณะที่เก็บเงินสดสำรองไว้เพื่อลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลซึ่งมีผลตอบแทนสูงถึงเกือบ 5% 

Buffett เองก็เคยตั้งคำถามเกี่ยวกับข้อดีของการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินในอดีต การกู้ยืมเงินในสกุลเงินเยนมีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับการกู้ยืมเงินในสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งแน่นอนว่าการซื้อขายนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนักลงทุนที่มีความสนใจในหุ้นญี่ปุ่น

ปัจจุบันเงินเยนซื้อขายกันที่ 134 ต่อดอลลาร์ แต่ในตลาดฟิวเจอร์สที่จะครบกำหนดในเดือนมีนาคมปีหน้า นักลงทุนมีโอกาสจะขายที่ 127 ต่อดอลลาร์ และสามารถล็อคผลตอบแทน 5% ในช่วงเวลาที่น้อยกว่าหนึ่งปี 

ในปีที่ผ่านมา ดัชนี MSCI USA ให้ผลตอบแทนสุทธิ ซึ่งรวมถึงกำไรจากการขายหุ้นและเงินปันผลที่ -5% ดัชนี MSCI Japan ให้ผลตอบแทน 1% ในขณะที่ดัชนี MSCI Japan Hedged ที่เน้นป้องกันค่าเงินเสียมูลค่า เป็นการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นพร้อมกับเลี่ยงความผันผวนของค่าเงินเยนและดอลลาร์ ซึ่งมีทั้งหุ้นที่เน้นการเติบโตและเน้นมูลค่า เพิ่มขึ้นสูงถึง 12% ในช่วงเวลาเดียวกัน

นั่นทำให้เริ่มเห็นชื่อบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่จากอเมริกาที่เริ่มหันมามองดินแดนอาทิตย์อุทัยมากขึ้น โดย Elliott Management ที่เข้าซื้อหุ้นของ Dai Nippon Printing บริษัทซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนแบตเตอรี่รถยนต์ของญี่ปุ่น หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น 46% ในปีนี้ ในขณะเดียวกัน Citadel ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์สัญชาติอเมริกัน กำลังที่จะกลับมาเปิดสำนักงานในโตเกียวอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนานถึง 15 ปี 

References :
https://www.economist.com/finance-and-economics/2023/04/20/warren-buffett-is-shaking-japans-magic-money-tree
https://asia.nikkei.com/Business/Business-Spotlight/Warren-Buffett-s-Japan-trade-The-changing-world-of-sogo-shosha
https://www.poems.in.th/learning_detail.aspx?id=404&%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%203%20ETFs%20%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%20%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%20%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7
https://www.cnbc.com/2023/04/13/warren-buffetts-trip-tokyo-jesper-koll.html

สตาร์ทอัพกำลังหมดแรง เมื่อยุคของเงินราคาถูกสำหรับการระดมทุนมันได้จบสิ้นลงแล้ว

ต้องบอกว่าเม็ดเงินที่ Venture capital ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพลดลงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งมันได้ส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีที่เพิ่งเริ่มตั้งไข่เป็นจำนวนมาก

กองทุนร่วมลงทุนทั่วโลกได้ลงทุน 76 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสามเดือนแรกของปี 2023 ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ที่พวกเขาใช้ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่สูงถึง 162 พันล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลจาก Crunchbase

ปัญหาใหญ่คือเงินทุนที่เริ่มฝืดเคือง ทศวรรษของเงินราคาถูกได้หลีกทางให้เงินเฟ้อที่สูงขึ้น การคาดการณ์การเติบโตที่มืดมน และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น นักลงทุนเริ่มวิตกกังวลกับการนำเงินไปกองในบริษัทที่ขาดทุน และมูลค่าหุ้นในบริษัท เช่น Uber, Lyft และ Deliveroo ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้จะมีการระดมทุนครั้งใหญ่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่กำลัง hot ในปีนี้ โดยในเดือนมกราคม Microsoft ได้ลงทุน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในบริษัท OpenAI รวมถึงบริษัทด้านการชำระเงิน Stripe สามารถระดมทุนได้ 6.5 พันล้านดอลลาร์จากนักลงทุนเมื่อเดือนที่ผ่านมา

หากไม่มีการลงทุนของ Microsoft กับ OpenAI ไตรมาสแรกของปี 2023 จะเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุดสำหรับการลงทุนของบริษัทร่วมทุนในรอบกว่าห้าปี

การล่มสลายของ Silicon Valley Bank ธนาคารที่เน้นให้กู้กับสตาร์ทอัพเมื่อเดือนที่แล้วทำให้ระบบนิเวศการระดมทุนสำหรับบริษัทเทคโนโลยีรุ่นใหม่ยากลำบากมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการกดดันเหล่าบริษัทสตาร์ทอัพที่ต้องหันไปพึ่งพาธนาคารแบบดั้งเดิมแทนซึ่งส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจรูปแบบของธุรกิจสตาร์ทอัพที่ต้องเน้นการเติบโตในช่วงแรก ๆ

ในขณะที่สภาวะทางเศรษฐกิจที่แย่ลงยังคงบั่นทอนความเชื่อมั่นในการลงทุนที่มีความเสี่ยง บริษัทใหม่หลายพันแห่งที่มีความต้องการเงินทุนอย่างเร่งด่วนกำลังถูกบีบให้เผชิญกับสถานะล้มละลาย

“แม้กระทั่งก่อนที่ SVB จะล่มสลาย นี่เป็นสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่แย่ที่สุดที่ทุกคนเคยเห็น” Sam Yagan ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์หาคู่ OKCupid และตอนนี้เป็นนักลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ กล่าว

“ผู้ประกอบการและผู้ร่วมทุนส่วนใหญ่ไม่เคยผ่านตลาดช่วงขาลงมาก่อน ซึ่งในขณะนี้มีบริษัทที่ดีจริงๆ แต่ไม่สามารถรับเงินทุนได้”

ในช่วงห้าปีจนถึงสิ้นปี 2021 ปริมาณการลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณสี่เท่าเนื่องจากกองทุนใช้เงินทุนมากขึ้นในนามของนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับกองทุนป้องกันความเสี่ยง เช่น Tiger Global

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การประเมินมูลค่าบริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่งที่เคยเป็นที่รักของนักลงทุนในซิลิคอนแวลลีย์ก็ถูกทำลายลง Stripe ซึ่งมีมูลค่า 95 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 ถูกลดมูลค่าเหลือประมาณครึ่งหนึ่งจากการระดมทุนรอบล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วที่เหลือมูลค่าเพียงแค่ 50 พันล้านดอลลาร์ 

แนวโน้มดังกล่าวทำให้ VC บางรายต้องลดมูลค่าของบริษัทที่ถืออยู่ในกองทุนของตน Tiger Global ลดมูลค่าของพอร์ตการลงทุนของพวกเขาไปถึงหนึ่งในสาม เหลือประมาณ 23 พันล้านดอลลาร์จากมูลค่าก่อนหน้านี้ ซึ่งในพอร์ตโฟลิโอของพวกเขานั้นมีทั้ง Stripe และ ByteDance เจ้าของแพลตฟอร์มวีดีโอสั้นชื่อดังอย่าง TikTok

สิ่งนี้ทำให้สตาร์ทอัพจำนวนมากต้องเผชิญกับทางเลือกระหว่างการระดมทุนด้วยมูลค่าที่ต่ำกว่า การยอมรับภาระหนี้ หรือลดค่าใช้จ่ายภายในบริษัท และพยายามเอาตัวรอดจนกว่าสภาพแวดล้อมของการระดมทุนจะดีขึ้น

นักลงทุนคาดการณ์ว่าบริษัทสตาร์ทอัพชื่อดังหลายแห่งจะล้มละลายภายในปลายปีนี้ เนื่องจากธุรกิจสตาร์ทอัพบางแห่งไม่มีเงินสด รวมถึงบริษัทสตาร์ทอัพยักษ์ใหญ่อีกรายหลายที่ถูกบีบจากนักลงทุนให้เริ่มทำกำไร ซึ่งไม่สามารถที่จะนำเงินไปเผาผลาญเพื่อการเติบโตได้เหมือนเดิมอีกแล้วนั่นเอง

References :
https://www.ft.com/content/47747e24-01a4-431f-8ab6-da5fae62e480
https://www.wsj.com/articles/tech-downturn-slows-early-stage-startup-funding-11658333146
https://www.marketwatch.com/story/silicon-valley-lost-its-bank-expect-zombie-vcs-and-dark-times-for-startups-56d5cccf
https://economictimes.indiatimes.com/tech/startups/startups-shed-flab-amid-slowdown-in-large-funding-rounds/articleshow/91133193.cms?from=mdr

Cyprus Moment x Silicon Valley Bank ประวัติศาสตร์ไม่ได้ซ้ำรอยเสมอไป  แต่มันจะเกิดขึ้นในลักษณะที่คล้ายๆกัน

Bitcoin ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากวิกฤตการธนาคารในไซปรัสในเดือนมีนาคม 2013 โดยพุ่งขึ้นถึง 178% เป็น 93 ดอลลาร์ในเดือนนั้น และแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 265 ดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม 2013 ย้อนกลับไปในตอนนั้น มีรายงานของผู้ที่ถือครองเงินยูโรและรูเบิลรัสเซียที่เริ่มกระจายการลงทุนไปยัง bitcoin หลังจากเห็นการปิดตัวของธนาคารในไซปรัส

“เมื่อสิบปีที่แล้ว มีธนาคารแห่งหนึ่งในไซปรัสเต็มไปด้วยตู้เอทีเอ็มที่ว่างเปล่า เหตุการณ์นี้กระตุ้นราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้นครั้งใหญ่ที่สุด (ในแง่เปอร์เซ็นต์) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 45 ดอลลาร์ เป็น 260 ดอลลาร์ ในหนึ่งเดือน Cumberland ยักษ์ใหญ่ด้านการซื้อขาย crypto ทวีตเมื่อต้นวันจันทร์ที่ผ่านมา

ความน่าสนใจก็คือการล่มสลายของ Silicon Valley Bank (SVB) อาจเป็นข่าวดีสำหรับ bitcoin (BTC) เฉกเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับวิกฤติไซปรัส

วิกฤตไซปรัส ในปี 2013 ที่ตอกย้ำข้อบกพร่องในระบบธนาคารแบบดั้งเดิม และทำให้เหล่าผู้คนเริ่มหันมามองไปที่ BTC ที่ต่อต้านการเข้ามาควบคุมสิ่งต่าง ๆ ของธนาคารกลาง

วิกฤตการณ์ที่ SVB เริ่มขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่รุนแรงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน จาก 0.25% ไปที่ 4.75% ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีที่ผ่านมา เพื่อปราบเงินเฟ้อ และขณะเดียวกันก็เพิ่มต้นทุนทางการเงินด้วย

การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่รุนแรงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน (CR:9News)
การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่รุนแรงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน (CR:9News)

สิ่งนี้ส่งผลให้บริษัทที่ต้องใช้เงินลงทุนที่มาก และต้องเร่งขยายตลาด อย่าง Startup และธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) ซึ่งเป็น “ลูกค้าหลัก” ธนาคาร Silicon Valley หรือธนาคาร SVB ประสบปัญหาทางการเงิน ระดมทุนลำบาก จึงเลือกถอนเงินฝากจากธนาคาร SVB จำนวนมาก

การเข้าถอนเงินของบริษัท Startup จำนวนมาก ทำให้ธนาคาร SVB ขาดสภาพคล่อง เพราะเงินสำรองของธนาคารจำนวนมากอยู่ใน “พันธบัตรระยะยาว” 

ดังนั้น “เพื่อไม่ให้ผิดนัดชำระเงินฝากลูกค้า” ธนาคารจึงจำเป็นต้องขายขาดทุนพอร์ตพันธบัตรระยะยาวออกไป 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ รับรู้ขาดทุนจริงทันที 1.8 พันล้านดอลลาร์ และทำให้ขาดสภาพคล่อง

สิ่งที่ตามมาคือ Bank Run (การที่ผู้ฝากเงินเชื่อว่าธนาคารจะล้มละลาย เลยทำการถอนและปิดบัญชีเงินฝากเป็นจำนวนมาก) ผู้ฝาก SVB ต่างแเพื่อมาถอนเงิน โดยมีการถอนเงินฝากทั้งหมดถึง 42 พันล้านดอลลาร์ในวันพุธ ซึ่งเกือบ 25% ของฐานเงินฝากทั้งหมด 173 พันล้านดอลลาร์

Bank Run เกิดขึ้นเนื่องจากรูปแบบของ Fractional Banking ธนาคารต้องกันเงินที่ฝากไว้เป็นทุนสำรองเพียงบางส่วน ธนาคารใช้เงินฝากของลูกค้าเพื่อปล่อยสินเชื่อเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และให้ดอกเบี้ยเงินฝากของลูกค้า ซึ่งโดยปรกติระบบจะถือว่า ณ จุดใดก็ตาม จะไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง

อย่างไรก็ตาม สมมติฐานดังกล่าวถูกทำลายเมื่อความเชื่อมั่นของลูกค้าหมดไป เช่นเดียวกับในกรณีของ SVB ซึ่งนำไปสู่การถอนเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการขาดแคลนสภาพคล่องของธนาคาร

หน่วยงานกำกับดูแลมักจะเข้ามาหลังจากเกิดเหตุการณ์ Bank Run ทำการยึดหรือควบคุมเงินฝาก ทางออกของวิกฤตการธนาคารในไซปรัสในปี 2013 หน่วยงานกำกับดูแลได้เข้ามาจัดเก็บภาษี 15.6% กับผู้ฝากเงินที่มีฐานะร่ำรวย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเก็บภาษีจากบัญชีเงินฝากขนาดเล็ก

ในกรณีของ SVB หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐเข้าควบคุมเงินฝากและปิดธนาคารในวันศุกร์ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารของ Biden ประกาศว่าผู้ฝาก SVB ทุกคนสามารถเข้าถึงเงินของตนได้ตั้งแต่วันจันทร์ 

การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ Signature Bank (SBNY) ก็ถูกปิดไปเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสัญญาณของความตื่นตระหนกที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในภาคการธนาคาร

Signature Bank ที่ถูกปิดตามกันไป (CR:Reeuters)
Signature Bank ที่ถูกปิดตามกันไป (CR:Reuters)

แม้ว่ามาตรการที่ใช้เพื่อจัดการกับวิกฤต SVB จะไม่เข้มงวดเท่ากับมาตรการที่ใช้กับไซปรัส แต่มันได้ตอกย้ำประเด็นที่ว่าเงินของลูกค้าไม่ปลอดภัยในธนาคารที่มีการควบคุมอย่างที่เราเชื่อกัน 

ประเด็นนี้แตกต่างจาก bitcoin ในฐานะเครือข่ายแบบ peer-to-peer ที่กระจายอำนาจและสกุลเงินดิจิทัลที่มีการป้องกันการเข้ามายึดครองจากหน่วยงานใด ๆ ซึ่งเครือข่ายจะอำนวยความสะดวกในการดูแลเงินด้วยตนเอง

“Not your keys, not your coins” เป็นบทเรียนที่ต้องเรียนรู้เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” Mike Fay ผู้เขียน Blockchain Reaction กล่าวถึงนักลงทุน การล่มสลายของ SVB และ Silvergate Capital และวิกฤตการธนาคารในไซปรัสในปี 2013

“มันง่ายมากที่ผู้ฝากเงินจะรู้สึกสบายใจ แล้วมองอย่างโลกสวยว่าเหล่าสถาบันการเงินมีความปลอดภัยและได้รับการควบคุมอย่างดี แต่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าธนาคารสามารถทำการเดิมพันในสิ่งที่แย่ได้เช่นเดียวกัน” Fay กล่าวเสริม

และดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญเมื่อ Bitcoin มีราคาเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 15% ตั้งแต่วันศุกร์ โดยเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบสองเดือนใกล้ 22,500 ดอลลาร์

“ประวัติศาสตร์ไม่ได้ซ้ำรอยเสมอไป  แต่มันจะเกิดขึ้นในลักษณะที่คล้ายๆกัน” Cumberland กล่าวเสริม

References :
https://corporatefinanceinstitute.com/resources/economics/fractional-banking/
https://www.coindesk.com/markets/2023/03/13/silicon-valley-bank-crisis-a-cyprus-moment-for-bitcoin-crypto-observers/
https://www.bangkokbiznews.com/finance/1057560
https://www.siamturakij.com/news/315-วิกฤติ-ไซปรัส-สะเทือนโลก-แผนสหภาพธนาคารยูโรสะดุด

ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่ Youtube ควรจะแยกตัวออกจาก Alphabet

ธุรกิจวีดีโอสตรีมมิ่งกำลังถึงจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการกลับมาของ Bob Iger สู่ตำแหน่งผู้บริหารของ Disney และการกลับมาอีกครั้งของ Reed Hastings ที่ Netflix รวมถึงข่าวล่าสุดที่ว่า Susan Wojcicki จะลาออกจาก YouTube หลังจากเก้าปี นั่นถือได้ว่าเป็นสัญญาณที่สำคัญของธุรกิจนี้ 

สถานการณ์ที่เริ่มสั่นคลอนของบริษัทแม่อย่าง Alphabet เมื่อ Sundar Pichai กำลังต่อสู้กับสงครามในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก ChatGPT ของ Microsoft ซึ่งกำลังทำให้เกิดการรุกล้ำในธุรกิจที่เป็นเครื่องจักรทำเงินอย่างการค้นหาของ Google

ด้วยสถานการณ์ที่ตลาดโฆษณาออนไลน์ที่เริ่มชะลอตัวและการแข่งขันจาก TikTok ซึ่งเป็นแอปวิดีโอสั้นที่กำลังร้อนแรง ทำให้รายรับจากโฆษณาของ Youtube ลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สองเมื่อเทียบเป็นรายปี

YouTube ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของโลกของความบันเทิง ซึ่งสำหรับหลาย ๆ คนแล้ว มันเป็นทั้ง คู่มือdiy ตำราทำอาหาร ตู้เพลง ครูสอนโยคะ ช่องข่าว และสถานีด้านกีฬา ซึ่งทั้งหมดนี้รวมเป็นหนึ่งเดียวภายใต้แพลตฟอร์ม Youtube 

Youtube มีผู้ใช้ที่ใช้งานอยู่ 2.6 พันล้านคนต่อเดือนและมีรูปแบบการแบ่งรายได้ที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพที่ creator หลายล้านคนพึ่งพาเพื่อสร้างเนื้อหาออกมาอย่างต่อเนื่อง การตอบสนองต่อ TikTok โดยออกเวอร์ชั่น YouTube Shorts นั้นสามารถสร้างผู้ชมเฉลี่ยได้สูงถึง 5 หมื่นล้านครั้งต่อวัน

ข้อมูลที่เผยแพร่ในสัปดาห์นี้โดย Benedict Evans นักวิจารณ์ด้านเทคโนโลยี ตอกย้ำว่าแพลตฟอร์มนี้สามารถก้าวไปได้ไกลเกินกว่าสถานะที่อยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก

YouTube ได้บดบังความยิ่งใหญ่ของ Netflix ซึ่งตามการประมาณการของ Evans Youtube ได้จ่ายเงินให้กับเหล่า creator เกือบเท่าๆ กับที่ Netflix จ่ายให้กับการผลิตเนื้อหาที่ใช้งบประมาณมหาศาล ผู้ใช้ YouTube ระดับท็อปอย่าง MrBeast ได้สร้างฐานแฟนคลับที่ไม่ต่างจากรายการยอดนิยมของ Netflix

MrBeast ที่เป็น Youtuber ระดับท็อปได้สร้างฐานแฟนคลับที่ไม่ต่างจากรายการยอดนิยมของ Netflix (CR:Tubefilter)
MrBeast ที่เป็น Youtuber ระดับท็อปได้สร้างฐานแฟนคลับที่ไม่ต่างจากรายการยอดนิยมของ Netflix (CR:Tubefilter)

แม้ว่ารายได้ 29,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้วจะคิดเป็นประมาณ 1 ใน 10 ของรายได้ของ Alphabet แต่ Richard Broughton จากบริษัทวิจัย Ampere Analysis ชี้ให้เห็นว่ารายได้จากตลาดโฆษณาออนไลน์เหล่านี้เทียบเท่ากับเม็ดเงินก้อนใหญ่มาก ๆ เมื่อเทียบกับตลาดโฆษณาทางโทรทัศน์และธุรกิจ broadcast ทั่วโลกที่มีมูลค่า 140,000 ล้านดอลลาร์

ยิ่งไปกว่านั้น YouTube ยังมีรูปแบบรายได้จากเพลง , พอดคาสต์ และ YouTube TV และเช่นเดียวกับ Amazon และ Apple บริการสมัครสมาชิกบริการสตรีมมิ่งของพวกเขาก็สร้างรายได้มหาศาลเช่นกัน และพวกเขาเพิ่งควักเงิน 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดอเมริกันฟุตบอลในคืนวันอาทิตย์มาอีกด้วย 

เรียกได้ว่า Youtube สร้างกำแพงที่แข็งแกร่งในการปกป้องธุรกิจของตนเอง ทั้งภัยคุกคามของ TikTok จากจีน และพวกเขาจะเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับวิดีโอหน้าจอขนาดเล็กทั่วโลก ตั้งแต่คลิปที่ผู้ใช้สร้างขึ้นและการสตรีมไปจนถึงการถ่ายทอดสดกีฬาชั้นนำ

Wojcicki มีความผูกพันกับ Sergey Brin และ Larry Page เป็นอย่างมาก เพราะ Google ยุคแรก ๆ ได้เริ่มสร้างเครื่องมือค้นหาในโรงรถของเธอ ซึ่งเธอช่วยดึงความเป็นมืออาชีพของ Google มาสู่ YouTube อย่างไม่ต้องสงสัย 

หลังจากความยุ่งเหยิงในช่วงแรก ๆ ของ YouTube ที่ก่อตั้งขึ้นเพียงหนึ่งปีก่อนที่ Google จะเข้าซื้อในปี 2006 เมื่อ Wojcicki จากไป มันเป็นคำถามสำคัญที่ว่า YouTube ซึ่งตอนนี้เปรียบเสมือนได้ผ่านช่วงวัยรุ่นไปแล้ว จะได้รับประโยชน์จากความผูกพันกับยานแม่อย่าง Alphabet มากเท่าที่เคยเป็นมาหรือไม่ 

Tim Mulligan จาก MIDiA ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยอีกแห่งหนึ่งคิดว่า Alphabet อาจขัดขวางการเติบโตของ YouTube มากกว่าช่วยเหลือ 

ถึงเวลา spin off แล้วหรือยัง?

สำหรับ YouTube มีแรงสนับสนุนให้พวกเขาแยกตัวมากมาย อย่างแรกคือการโฟกัสที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมบันเทิง ไล่มาตั้งแต่ TikTok และสงครามการสตรีม ความเข้มข้นของการแข่งขันนั้นเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งสถานการณ์ในขณะนี้ของ Alphabet มีสิ่งอื่นๆ มากมายเกินกว่าจะให้ความสนใจ YouTube ได้อย่างเต็มที่ 

รวมถึงรูปแบบของธุรกิจ หากไม่มียักษ์ใหญ่ด้านการโฆษณาคอยครอบงำ Youtube ก็จะมีอิสระในการทดลองรายได้จากโมเดลธุรกิจอื่น ๆ ได้มากขึ้น

ส่วนเรื่องน่าปวดหัวที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานกำกับดูแล คดีที่ศาลสูงสุดตัดสินเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ว่า YouTube ละเมิดกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายโดยใช้อัลกอริทึมที่แนะนำวิดีโอของกลุ่มหัวรุนแรงหรือไม่  หรือแม้กระทั่ง Facebook เองก็ได้รับความเดือดร้อนจากเนื้อหาทางการเมืองมากมายในแพลตฟอร์มของพวกเขา 

แต่การเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่ใหญ่กว่า Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook ทำให้ YouTube เป็นเป้าหมายที่น่าสนใจกว่า เนื่องด้วยความสามารถในการขยายบริการต่างๆ เช่น YouTube TV ไปทั่วโลกอาจถูกตัดแข้งตัดขาโดยข้อกังวลด้านกฎระเบียบเกี่ยวกับขนาดของ Alphabet ที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ

และการตอบสนองอย่างตื่นตระหนกของ Sundar Pichai ต่อ ChatGPT ซึ่งเป็นหุ้นส่วนด้าน AI ระหว่าง Microsoft และสตาร์ทอัพชื่อดังอย่าง Open AI ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของเขา 

สถานการณ์ของ ChatGPT ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของ Sundar Pichai (CR:vnexpress)
สถานการณ์ของ ChatGPT ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของ Sundar Pichai (CR:vnexpress)

การแยกตัวออกจาก Alphabet ของ Youtube จะส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า Alphabet สามารถทุ่มเทสรรพกำลังไปยังเทคโนโลยี AI ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังช่วยให้ Alphabet สามารถแก้ข้อขรหาจากกระทรวงยุติธรรม ( doj ) ซึ่งในเดือนมกราคมได้ฟ้อง Google เกี่ยวกับการผูกขาดเทคโนโลยีโฆษณาดิจิทัลซึ่ง Alphabet ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าว 

การประเมินมูลค่าของ YouTube ในฐานะบริษัทมหาชนอาจจะพุ่งสูงขึ้นมาก ด้วยยอดขายโฆษณาใกล้เคียงกับรายได้ของ Netflix ที่ 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ไม่นับรวมคลังเพลงกว่า 80 ล้านรายการและสมาชิกระดับพรีเมียมหรือรายได้จาก Youtube TV

Laura Martin จาก Needham ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุน ประเมินว่ามูลค่าของ Youtube อาจมีมูลค่าอย่างน้อย 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมีมูลค่ามากกว่า Disney และ Netflix ถึงสองเท่า

แต่มันก็จะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญทางธุรกิจของผู้ก่อตั้งทั้งสองนั่นเพราะว่า Page และ Brin ควบคุมสิทธิ์ในการออกเสียงของ Alphabet มากกว่าครึ่งหนึ่ง และ Alphabet คงไม่ต้องการเป็นยักษ์ใหญ่แห่งเทคโนโลยีรายแรกที่เริ่มเทขายแหล่งทำเงินหลักของตัวเอง 

ฟากฝั่งของ TikTok ซึ่งเป็นของชาวจีน ดูเหมือนจะไม่เร่งรีบที่จะทำ IPO ออกสู่สาธารณะ นักลงทุนน่าจะชอบที่จะได้ครอบครองหุ้นบริษัทของชาวอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นบริษัทที่ครอบครองตั้งแต่คลิปที่ผู้ใช้สร้างขึ้น ,การสตรีม , การถ่ายทอดสดกีฬาชั้นนำไปจนถึงรายการโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ของโลกดั่งที่เราได้เห็นในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.cnbc.com/2019/10/29/analyst-alphabet-should-spin-off-youtube-would-be-worth-300-billion.html
https://fourweekmba.com/who-owns-youtube/
https://www.economist.com/business/2023/02/23/its-time-for-alphabet-to-spin-off-youtub
https://tek2day.com/2023/02/21/spin-off-youtube-and-google-cloud/
https://www.gizmodo.com.au/2023/02/youtubes-ceo-resigns/