American Vandal กับสุดยอด Reality ซีรีส์สืบสวนอาชญากรรมตามล่าคนวาดจู๋

เป็นอีกหนึ่งซีรีส์กึ่งสารคดี ที่ผมไม่คิดว่า มันจะสนุกขนาดนี้ สำหรับ American Valdal ที่เป็นซีรีส์ แบบ Reality ถ่ายทำจริงจากเหตุการณ์จริง ที่สืบสวนเกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจริงในโรงเรียน High School ของอเมริกา

Season 1 : ตามล่าคนวาดจู๋

สำหรับซีรีส์ ชุดนี้ได้แบ่งเป็นสอง Season โดยเรื่องย่อของ Season แรกคือ ณ โรงเรียนมัธยมปลาย Hanover, บนรถของคณะครูอาจารย์รวมทั้งสิ้น 27 คัน พบรอยสเปรย์สีแดงฉีดจนถ้วนทั่ว ฉีดเป็นรูปไอ้จู๋ ไอ้จู๋อันใหญ่ ไอ้จู๋เต็มกระโปรงหน้า ไอ้จู๋เต็มกระบะหลัง ทุกคัน มีไอ้จู๋คันละหนึ่งอันไม่มีว่างเว้น

ใครเป็นตัวการก่อกวนในครั้งนี้ ดูเหมือนพวกอาจารย์จะมีคนร้ายในใจอยู่แล้ว นักเรียนหัวโจกชื่อ ดีแลน แม็กซ์เวลล์ เป็นคนที่ชอบเล่นตลกบ้าๆ บอๆ ในห้องเรียน จนบางครั้งทำให้อาจารย์สอนต่อไม่ได้ และเขาก็ยังเป็น ‘นักวาดไอ้จู๋’ ตัวยง และทำให้เขาถูกหมายหัวจากเหล่าคณาจาร์ในคดีสุดสะเทือนขวัญครั้งนี้

ซึ่งซีรีส์ จะนำพาตัวเรา ไปสำรวจเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยจะเป็นการเล่าผ่านมุมมองของ ปีเตอร์และแซม คู่หูผู้ที่เดิมทีก็เป็นทีมงานชมรมนักข่าวประจำโรงเรียนอยู่แล้ว ที่จับมือกันช่วยกันถ่ายทอดเรื่องราว และสืบค้นหาต้นตอที่แท้จริงว่า ถ้าดีแลนไม่ได้ทำ แล้วใครทำ? เหตุจูงใจคืออะไร? ทำไมต้องโยนให้ดีแลน?  เป็นต้น

มันเป็นเรื่องจริง ที่เหมือนพล็อตถูกแต่งมา อย่างกับนวนิยายสืบสวนสอบสวน ที่น่าสนใจเพราะมันคือเรื่องจริง ทำให้เราต่างคาดเดาไปว่าใครคือผู้กระทำผิดตัวจริงกันแน่ มีการเล่าสลับไปมา ระหว่างบทสัมภาษณ์กับ การสืบสวนสอบสวนของคู่หู ปีเตอร์และแซม

Season 2 : ตามล่า The Turd Buglar จอมโจรระเบิดขี้

หลังจากที่ตัวภาพยนตร์สารคดี American Vandal ถูกปล่อยออกไปสู่สายตาสาธารณะ ก็ทำให้เกิดเป็นกระแสและถูกพูดถึงมากมาย ปีเตอร์และแซมก็เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นผ่านการสัมภาษณ์ในรายการต่าง ๆ จนวันหนึ่งก็มีอีเมล์จากเด็กนักเรียนคนหนึ่งของโรงเรียนเอกชนชื่อดังอย่าง เซนต์เบอร์นาดีน เข้ามาถึงพวกเขา

โดยมีใจความว่าโรงเรียนของเธอเกิดเหตุการณ์ที่ว่านักเรียนขี้แตกกันทั้งโรงเรียนพร้อมกัน ซึ่งไม่ได้เกิดเพราะความบังเอิญแน่นอนเพราะหลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก็มีบุคคลปริศนาที่อ้างตัวว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้โดยใช้นามแฝงว่า ‘The Turd Burglar’ ใน Instagram

ซึ่งทางโรงเรียนก็ได้ตามสืบหาต้นตอของเหตุการณ์ทั้งหมดและไปจบตรงที่โรงเรียนได้ไล่เด็กนักเรียนคนหนึ่งที่ถูกเชื่อว่าเป็นผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ แต่ทั้งความจริง หลักฐานและแรงจูงใจไม่ได้ถูกบอกให้กระจ่าง ปีเตอร์และแซมจึงได้เริ่มถ่ายสารคดีหนังออนไลน์อีกครั้งเพื่อตามหาความจริงและเปิดโปงตัวตนของ The Turd Burglar

ส่วนตัวต้องบอกว่าผมชอบ Season สองมากกว่า เพราะเหมือนว่า ปีเตอร์และแซม มีประสบการณ์มากขึ้นในการทำสารคดีชุดนี้ ที่ Season สองดูจะมีการเล่าเรื่องที่ซีเรียสมากยิ่งขึ้น

จุดเด่นของ Season 2 คือ ตัวละครหลักอย่าง เควิน แมคเคลน ที่เป็นเด็กนักเรียนที่ชอบทำตัวประหลาด ๆ ในโรงเรียน รวมถึง เดอร์มาคัส ทิลแมน นักกีฬาบาสเก็ตบอลดาวรุ่ง ที่ เรียกได้ว่าเป็นตัวละครที่ conflict กันอย่างชัดเจน

เรื่องนี้ต้องบอกว่ามันส์มาก ๆ เราลุ้นอยู่ตลอดเวลา ในการตามล่าหาจอมโจร The Turd Burglar ตัวจริง ว่าเป็นใครกันแน่ มีพลิกหักมุมอยู่แทบจะตลอดเวลา อย่างกับถูกเขียนขึ้นผ่านบทละคร

บทสรุป

ต้องบอกว่าซีรีส์ชุดนี้มันได้สะท้อนให้เราเห็นถึงสังคม High School ของอเมริกาในยุคปัจจุบันได้อย่างดีมาก ๆ การเติบโตของเครือข่าย social media ทำให้เป็นยุคของ Camera Anywhere รวมถึงการ Bully กัน ที่เรียกได้ว่ากลายเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้ว

มันสะท้อนให้เห็นถึงการอยากสร้างตัวตนขึ้นมา ให้ทุกคนรู้จัก ซึ่งกลายเป็นเรื่องปรกติในยุคนี้ไปเสียแล้ว ทั้งที่เรื่องราวในโลก Social กับ ชีวิตจริง ๆ อาจจะแตกต่างกันแบบสิ้นเชิงเลยก็ได้

American Vandal จึงเป็นซีรีส์ที่สะท้อนสังคมไฮสคูลที่สมจริงมากกว่าซีรีส์อื่นในแนวเดียวกันอีกหลายเรื่องที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด และเป็นซีรีส์สืบสวนสอบสวนแบบ Reailty ที่คุณจะไม่มีทางเดาตอนจบของเรื่องราวทั้งหมดได้ และที่สำคัญไม่ควรพลาดรับชมเป็นอย่างยิ่งครับผม

Turning Point: 9/11 and the War on Terror กับเรื่องราวจุดเริ่มต้นสู่จุดจบของสงครามที่ยาวนานที่สุดของประวัติศาสตร์อเมริกา

เรียกได้ว่าเป็นสารคดีกึ่งซีรีส์ ที่ปล่อยออกมาได้ถูกเวลาเลยทีเดียวสำหรับ Turning Point:9/11 and the War on Terror ของ Netflix ที่ข่าวล่าสุดประะธานาธิบดี โจ ไบเด้น เพิ่งสั่งถอนกำลังจากอัฟกานิสถานทั้งหมด

สำหรับใครสนใจเรื่องประวัติศาสตร์สงครามนั้น ไม่ควรพลาดสารคดีชุดนี้เป็นอย่างยิ่ง

โดยสารคดีเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งจะพาเราย้อนเวลากลับไปสู่อดีตสมัยโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน จนกระทั่งถึงสงครามอ่าว

จุดเริ่มต้นที่ตีแผ่ ความล้มเหลว ความขัดแย้งไม่ประสานงานที่เกิดขึ้นระหว่าง FBI และ CIA ที่ควรจะป้องกันเหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นได้ด้วยซ้ำ หากมีการประสานงานกันมากกว่านี้

มันทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่ากลุ่มกบฏและองค์กรก่อการร้ายประเภทนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมพวกเขาถึงเกิดขึ้นได้ แล้วทำไมพวกเขาถึงได้เกลียดชังชาวอเมริกันยิ่งนัก

สงครามที่ลามปามไปถึงอิรัก ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับการโจมตี 9/11 เลยด้วยซ้ำ การอ้างว่าอิรักมีอาวุธร้ายแรง ซึ่งสุดท้ายมันก็เฉลยแล้วว่า เป็นเรื่องปั้นแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น

การวางยุทธศาสตร์ที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของอเมริกา ผ่านประธานาธิบดีไล่มาตั้งแต่ บุช โอบามา จนมาถึงการถอนกำลังของ โจ ไบเด้น

ซึ่งแม้กระทั่งประธานาธิบดีคนดังอย่าง บารัค โอบามา ก็ล้มเหลวสิ้นเชิงกับสิ่งที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชน เมื่อต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และความเป็นใหญ่ของหน่วยสืบราชการลับ และหน่วยความมั่นคงของอเมริกา ที่เริ่มสะสมอำนาจไว้ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช

กลายเป็นว่านโยบายของบารัค โอบามา ที่เน้นการโจมตี ด้วยโดรน ได้กลายเป็นต้นเหตุสำคัญของความคับแค้นใจของชาวอัฟกัน ที่ต้องสูญเสียญาติพี่น้องไปจำนวนมหาศาล เนื่องจาก โดรน เป็นอาวุธที่ทำลายล้างที่ร้ายแรง และส่งผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก

แล้วผลที่ตามมาซึ่งร้ายแรงกว่าเมื่อก่อน ซีรีส์ชุดนี้ค่อย ๆ คลายความล้มเหลวของหน่วยสืบราชการลับ การอนุญาตให้ใช้กำลังอย่างไม่จำกัด และการทรมาน ออกมาทีละน้อย ๆ

การกระทำนอกกฏหมายที่เกิดขึ้นในคุกในกวนตานาโม ประเทศคิวบา หรือ CIA Black Site ที่มีอยู่ทั่วโลก แม้กระทั่งในประเทศไทยเองก็ตามที

หรือเรื่องราวการคอรัปชั่น ในอัฟกานิสถาน ที่ทำให้ประเทศ สุดท้ายแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะป้องกันตัวเองได้ เมื่อทหารอเมริกันถอยทัพออกไป แม้เครื่องไม้เครื่องมือจะพร้อม แต่การคอรัปชั่นที่กัดกินประเทศ ทำให้ไม่มีอะไรไปสู่กลุ่มกองโจรอย่างตอลิบานได้เลย

ต้องบอกว่าซีรีส์ชุดนี้ให้มุมมองที่หลากหลายจากผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงไปจนถึงประชาชนคนปกติที่ชีวิตเปลี่ยนไปเพราะเหตุ 9/11 

มีการถ่ายทอดผสมผสานแนวคิดของข้อเท็จจริงทั้งหมดเข้ากับอารมณ์ด้วยการปรับบท ซึ่งให้ประสบการณ์การรับชมที่สนุกสนานอย่างมากสำหรับคนที่ชอบซีรีส์แนวนี้ ซึ่งผมชอบมาก

เรื่องราวหลายๆ อย่างที่หลายคนอาจจะไม่รู้ คนที่ยุติสงครามจริง ๆ เริ่มเจรจากับกลุ่มตอลิบานอย่างจริงจัง กับเกิดขึ้นในช่วงประธานาธิบดีอย่างโดนัล ทรัมป์

แต่สิ่งที่น่าสนใจ ที่สารคดีชุดนี้ไม่ได้กล่าวถึง ก็คือ เบื้องหลังตัวจริง บริษัทค้าอาวุธสงคราม ที่คอยผลักดันให้อเมริกันเกิดสงคราม เหมือนคนบ้าคลั่ง หลังเหตุการณ์ 9/11

มันคือการสร้างสงครามแห่งความกลัวให้กับชาวอเมริกันเอง ที่สุดท้ายแล้ว เรื่องราว 20 ปีที่เกิดขึ้น ก็กลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเมื่อ ตอลิบาน กลับมายึดครองอัฟกานิสถานได้เหมือนเดิม และคนที่ได้รับประโยชน์จริง ๆ จากสงครามทั้งหมด ไม่ใช่ชาวอเมริกัน แต่กลายเป็นบริษัทค้าอาวุธ ที่นั่งอยู่ในมุมมืดคอยชักใยให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นนั่นเองครับผม

ความเน่าเฟะของการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสู่การฉ้อโกง Admissions ครั้งใหญ่ของอเมริกา

เป็นสารคดีที่ถืว่าน่าสนใจเป็นอย่างมากที่มาลงใน Netflix อย่าง Operation Varsity Blues: The College Admissions Scandal ที่ว่าด้วยเรื่องราวการฉ้อโกงครั้งใหญ่ในการพาบรรดาเหล่าลูกเศรษฐีเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา

ปัญหาเรื่องข้อจำกัดการรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชื่อดังนั้น ถือว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะตัวเลือกดัง ๆ ตัวอย่างในสหรัฐอเมริกานั้นก็มีอยู่อย่างจำกัด แต่จำนวนนักเรียนที่เรียนจบมัธยมนั้นมีอยู่มหาศาล

ความน่าสนใจของสารคดีกึ่งภาพยนตร์ชุดนี้ก็คือ การที่นำเอาเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ที่มีการแอบดักฟังการสนทนาจากเจ้าหน้าที่ FBI มาถ่ายทอดผ่านตัวละครใหม่ ซึ่งทุกตัวละครนั้นมีอยู่จริง และเสียงการสนทนาทั้งหมดก็ถอดมาจากเรื่องจริง

ตัวละครหลักของสารคดีชุดนี้คือ Rick Singer อดีต โค้ช บาสเก็ตบอลมหาวิทยาลัย ที่ได้ผันตัวเองมาเป็นเป็นที่ปรึกษาอิสระด้านการเรียนต่อมหาวิทยาลัย ซึ่งแน่นอนว่าอาชีพดังกล่าวนี้ ก็มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก เพราะมีลูกค้าจำนวนมากมายที่พร้อมจะจ่ายเพื่อให้ลูกหลานได้เข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ

แต่สิ่งที่ Rick ทำนั้นแตกต่างออกไป เมื่อเขาเห็นช่องทางบางอย่างที่เรียกว่า “​side door” เป็นช่องทางที่ใช้การฉ้อโกงผ่านการยัดเงินให้กับบุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับการรับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำ

โดย Rick จะโฟกัสไปที่เหล่าโควต้าพิเศษ ที่เป็นโควต้าทางด้านกีฬา ซึ่งถือเป็นจุดที่สามารถที่จะใช้เงินเพื่อพาบรรดาเหล่าลูกหลานเศรษฐีชื่อดัง เข้าไปได้ง่ายสุด และใช้เงินที่ต่ำที่สุด

แน่นอนว่าเหล่ามหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Harvard , Stanford หรือ Yale นั้นก็มีช่องทางตรงสำหรับเหล่าเศรษฐีที่เงินทุนหนา ที่ต้องบริจาคเพื่อส่งลูกหลานเข้าไปร่ำเรียน แต่ก็ต้องใช้เงินสูงมาก ว่ากันว่าต้องใช้เงินหลัก 10-20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว ถึงจะใช้ช่องทางนี้ได้

ซึ่งนี่เองที่ทำให้ Rick เห็นช่องว่างทางธุรกิจที่สำคัญ คือเหล่านักธุรกิจ ที่อาจจะไม่ได้ร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี แต่ก็เป็นกลุ่มคนชั้นสูงของอเมริกา ที่พร้อมจ่ายเงินราว ๆ 500,000 เหรียญ – 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้ลูก ๆ ของพวกเขาได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังได้

ซึ่ง Rick ก็ได้ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นที่พึงพอใจของเหล่าบรรดาเศรษฐี เขาใช้กลวิธีที่แนบเนียน โดยเลือกกีฬาที่ไม่ดังมาก เช่น โปโลน้ำ เรือใบ หรือ ทีมที่มหาวิทยาลัยนั้น ๆ ไม่เก่งเช่น ฟุตบอล หรือ บาสเกตบอล

และเนื่องด้วยกลวิธีดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ทุกคนต่าง happy เพราะ Win-Win กันทุกฝ่าย ทางทีมงานที่ได้รับเงินที่มหาวิทยาลัยก็อาจจะได้ทุนไปใช้ในหน่วยงานของตน หรือ อาจจะนำไปใช้ส่วนตัว และส่วนใหญ่ เป็นหน่วยกีฬาที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ ทำให้เรื่องดังกล่าวสามารถทำได้ติดต่อกันยาวนานตั้งแต่ปี 2011-2018

แต่สุดท้ายเรื่องก็แตก เพราะทาง FBI นั้นได้ดักฟังการทำงานของ Rick อยู่นานแล้ว และดูเหมือนว่าไม่มีใครเอะใจกับเรื่องดังกล่าวเลย คือ FBI ก็ปล่อยให้ Rick ทำไปในระยะหนึ่ง ซึ่งหลักฐานทุกอย่างมันสามารถมัดตัว Rick ได้อย่างแน่นหนา

แต่สุดท้าย FBI ก็ต้องการจัดการกลุ่มผู้ว่าจ้าง เหล่าบรรดา เซเลบ มหาเศรษฐีด้วย จึงใช้ Rick เป็นนกต่อ เพื่อดึงเครือข่ายทั้งหมดออกมา และทำการจับกุม ขังคุก ให้เป็นตัวอย่าง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกในอนาคตนั่นเอง

ต้องบอกว่า ถือเป็นอีกเรื่องราวที่น่าสนใจ กับปัญหาเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีอยู่ทั่วโลก ปัญหาเรื่องการจัดอันดับมหาวิทยาลัย มหาลัยชั้นนำก็พยายามที่จะดันอันดับของตัวเองให้สูงที่สุด

เรื่องของ University Ranking นั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจล้วน ๆ มหาวิทยาลัยดัง ๆ ได้อันดับเพราะทำตาม KPI ของบริษัทจัดอันดับ ซึ่ง KPI แต่ละตัวนั้น ก็ไม่ได้เป็นสิ่งการันตีใด ๆ ว่า นักศึกษาจะได้รับการศึกษาที่ดีที่สุดตามลำดับที่จัดมานั้นจริง ๆ

การจัดอันดับเหล่านี้ นี่เอง ที่ทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงมาก ซึ่งคงไม่ใช่แค่ในอเมริกา แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกันทั่วโลก ซึ่งจากการถ่ายทอดในสารคดีชุดนี้ ก็มีนักวิชาการหลายคนที่ออกมากล่าวถึง มาตรฐานการศึกษา ที่ไม่ได้ต่างกันเว่อร์ขนาดที่ว่าต้องไปแย่งกัน เสียเงิน ฉ้อโกงกันขนาดนั้น โดยเฉพาะในประเทศอเมริกา

และเมื่อเงินมันเป็นสิ่งล่อใจที่สำคัญ มันก็ทำให้คนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการดังกล่าวนั้น หาช่องทางที่จะทำเงินจากอันดับของมหาวิทยาลัย และแน่นอน ว่าเรื่องดังกล่าว มันก็เกิดขึ้นคล้าย ๆ กันในประเทศไทย เราจะได้เห็นข่าวมากมายในเรื่องการจ่ายสินบนเพื่อให้ได้เข้าเรียนโรงเรียนดี ๆ ดัง ๆ ที่ได้รับการจัดอันดับสูง ๆ

แต่สุดท้าย ต้องบอกว่า ตอนนี้โลกเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ในอนาคตเหล่ามหาวิทยาลัย อาจจะถูก Disrupt โดยเทคโนโลยี ซึ่งในอนาคตการเรียนในมหาวิทยาลัยอาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป

ในอดีต ทางเลือกอาชีพ อาจจะมีไม่มาก เช่น วิศวกร แพทย์ บัญชี กฏหมาย ตำรวจ ทหาร แต่จากโลกที่เปลี่ยนไปตอนนี้ได้เกิดอาชีพใหม่ ๆ ที่ทำเงินได้มากมาย โดยไม่จำเป็นต้องไปร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยเลยเสียด้วยซ้ำ

การ take course สั้น ๆ เพื่อมุ่งสู่การทำงานเลยนั้น น่าจะมีประโยชน์มากกว่า เพราะหลาย ๆสิ่ง มันพิสูจน์มาแล้วว่า การเรียนในมหาวิทยาลัย 4 ปีนั้น ในบางวิชาที่เราอุตส่าตั้งใจร่ำเรียนมา มันแทบจะไม่ได้นำไปใช้ในชีวิตจริงของเราเลยนั่นเองครับผม

The Last Dance เรื่องราวสุดคลาสสิกกับนักบาสในตำนานตลอดกาล ไมเคิล จอร์แดน

ต้องบอกว่าเป็นสารคดีที่ผมเฝ้าตามมาเป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์เต็ม สำหรับ The Last Dance ที่เป็นสารคดี เรื่องราวของสุดยอดนักบาสในตำนานอย่าง ไมเคิล จอร์แดน แห่งทีม ชิคาโก บูลส์

“The Last Dance” ที่ถ่ายทอดชีวประวัติของไมเคิล จอร์แดน นักกีฬาผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนาน และทีมชิคาโก บูลส์ในยุค 90 ซึ่งขึ้นแท่นทีมบาสเก็ตบอลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดทีมหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการกีฬา

โดย สารคดีเรื่องนี้ตีแผ่ความสำเร็จของไมเคิล จอร์แดนและวงการเอ็นบีเอในยุคนั้น ซึ่ง กำกับโดย เจสัน แฮเออร์ (จาก “The Fab Five” “The ’85 Bears” “Andre the Giant”) และผลิตโดยไมค์ ทอลลิน

สำหรับที่มาของชื่อ The Last Dance เป็นชื่อ ที่โค้ช ฟิล แจ็กสัน ยอดโค้ชของทีม ชิคาโก บูลส์ เป็นคนตั้งสำหรับเป้าหมายในการไล่ล่าแชมป์ครั้งสุดท้ายกับทีมในช่วงปี 1997-1998 ซึ่งเขาจะทำงานในฐานะโค้ชในปีสุดท้าย

มันเป็นการตัดภาพย้อนไปในอดีตตั้งแต่ จอร์แดน ยังเป็นเด็ก และเล่าเรื่องราวของการมาสร้างความยิ่งใหญ่ที่ ชิคาโก บูลล์ส ได้อย่างไร ต้องบอกว่าเป็นเรื่องราวที่ผ่านหลายยุคของนักบาสเก็ตบอลที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น แลร์รี่ เบิร์ด , เมจิก จอห์นสัน ซึ่งตอนที่ จอร์แดนก้าวขึ้นมาเล่นอาชีพเต็มตัวนั้น เป็นช่วงปลายของตำนานเหล่านี้

แต่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของวงการบาสเก็ตบอล NBA ของอเมริกา สำหรับการก่อกำเนิดขึ้นของ ไมเคิล จอร์แดน เขาเป็นคนเปลี่ยนทุกอย่างของเกมบาสเก็ตบอล ทำให้กลายมาเป็นกีฬาที่มหาชนคลั่งไคล้ และ กลายเป็นกระแสไปทั่วโลก

ต้องบอกว่า จอร์แดน นั้นเป็นหนึ่งในนักกีฬาที่มีอิทธิพลที่สุดของโลกเลยก็ว่าได้ หากลองย้อนกลับไปในช่วงนั้น ที่ internet ยังไม่บูม และไม่ต้องพูดถึงสื่อ Social Network ที่ตอนนั้นยังไม่ตั้งไข่ขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ แต่เขาดังเพราะความสามารถของเขาล้วนๆ และเป็นที่รักของแฟน ๆ บาสเก็ตบอลทั่วโลก

แน่นอนว่า สารคดีชุดนี้ มันก็มีส่วนผสมของเรื่องราวดราม่าที่เกิดขึ้นในทีม ชิคาโก บูลส์ ในยุคครองความยิ่งใหญ่ ได้แชมป์ 6 จาก 8 สมัยในช่วงทศวรรษปี 90 ซึ่งถือเป็นทีมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้นเลยก็ว่าได้

ไม่มีนักกีฬาคนไหนในโลกที่มีเอกลักษณ์พิเศษที่เหมือนจอร์แดน เขาเป็นคนชอบเอาชนะ และ เรื่องราวในสารคดีชุดนี้ จะชี้ให้เห็นว่า การก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่ได้ในระดับนี้นั้น เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ทั้งความกดดัน เรื่องราวดราม่านอกสนาม หรือ เรื่องของครอบครัว รวมถึงคู่แข่งตัวฉกาจที่เขาได้พบเจอ ที่หากมีคู่แข่งคนใดไปกระตุ้นจอร์แดนให้อยากเอาชนะ ก็ไม่มีใครผู้ใดที่จะขวางทางเขาได้

ทีมที่มีส่วนผสมต่าง ๆ ที่ลงตัว โดยการนำของจอร์แดน มีการถ่ายทอดเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็น สก็อตตี้ พิพเพ่น หรือ เดนนิส ร็อดแมน หรือ เพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในทีมกีฬาที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ในการผสมผสานส่วนต่าง ๆ ความสามารถของแต่ละคน ได้จนมีส่วนผสมที่ลงตัวที่สุด

แม้บาสเก็ตบอลในยุคเขานั้น ดูเหมือนจะเป็นการแสดงแบบโชว์เดี่ยว เป็นส่วนใหญ่ แต่เพื่อนร่วมทีมทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ แสดงให้เห็นถึงภาวะผู้นำทีมของจอร์แดน เราจะได้เห็นการที่จอร์แดน นั้นดึงศักยภาพของผู้เล่นร่วมทีมของเขา แม้จะไม่เป็นผู้เล่นชื่อดังมาก่อน แต่จอร์แดนนั้นมีวิธีการในการดึงศักยภาพสูงสุดของผู้เล่นเหล่านี้ออกมาได้

ซึ่งมันก็ก่อให้เกิดเรื่องดราม่าระหว่างทีม ด้วยสไตล์ การปลุกเร้าทีมของจอร์แดน ทำให้เขามีการกระทบกระทั่งกับเพื่อนร่วมทีมบ่อยครั้ง และบางครั้งถึงขั้นมีการทำร้ายร่างกายกันเลยด้วยซ้ำ

แต่สุดท้าย อดีตลูกทีมทุกคนที่เข้ามาสัมภาษณ์ในสารคดีชุดนี้ นั้นก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันเป็นความสามารถของจอร์แดนในการดึงศักยภาพของพวกเขาให้ออกมามากที่สุด และพร้อมที่จะสู้กับคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งแค่ไหน พวกเขาก็สามารถเอาชนะได้ในท้ายที่สุดนั่นเอง

ซึ่งหากใครที่เติบโตในยุคนั้น ก็คงจะอินกับสารคดีชุดนี้ได้อย่างดี เพราะเป็นช่วงเวลาที่เราเห็นความยิ่งใหญ่ของ จอร์แดน ว่าเค้าเป็นนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน การถูกผลักดันด้วยพลังแห่งการเอาชนะนั้น พาให้เขามาถึงในจุดที่เรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล

และไม่ใช่แค่ในวงการบาสเก็ตบอลเท่านั้น แต่เป็นสารคดี สำหรับแฟน ๆ ที่ไม่ใช่ แฟนบาสเก็ตบอลเช่นเดียวกัน เรื่องราวเหล่านี้ถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวกีฬาที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล ที่ทุกคนควรที่จะได้มีโอกาสดู

ต้องบอกว่าเป็น สารคดีที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเนื้อหาที่เข้มข้น การนำเสนอที่น่าสนใจ และมันเป็นวิธีที่จะเข้าใจว่า ไมเคิล จอร์แดน กลายเป็นนักบาสเกตบอล NBA ที่เก่งที่สุดตลอดกาลได้อย่างไร และในขณะเดียวกัน ก็จะได้เข้าใจว่า การเต้นรำครั้งสุดท้ายของเขาในสนาม (The Last Dance ) กับ ทีม ชิคาโก บูลส์ เป็นอย่างไรนั่นเองครับ

รีวิว Icarus (อิคารัส) สารคดีเปิดโปงแผนโด้ปทีมชาติรัสเซียจาก Netflix

ต้องบอกว่าเป็นหนังสารคดีจาก Netflix ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียวสำหรับ Icarus (อิคารัส) ที่เป็นสารคดีที่เปิดโปงแผนการโด๊ปยา ครั้งยิ่งใหญ่ของวงการกีฬาโลก ในประเทศรัสเซีย

ก่อนที่จะได้ดูสารคดีเรื่องนี้ ก็พอได้ยินข่าวมาบ้าง ในช่วงโอลิมปิก ที่ ริโอ ปี 2016 ที่รัสเซียมีปัญหาในเรื่องของการส่งนักกีฬาเข้าแข่งขัน ตอนนั้นก็ยังไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก แค่ฟังผ่าน ๆ แต่ยังไม่รู้ว่าต้นตอของเรื่องราวทั้งหมดคืออะไร

แต่หลังจากได้ดู Icarus ต้องบอกว่ามันเป็นการ แฉ เรื่อราวฉาวโฉ่ของวงการกีฬาที่ยิ่งใหญ่มาก และไปยุ่งเกี่ยวกับชาติมหาอำนาจอย่างรัสเซีย และ มีผลโดยตรงต่อประธานาธิบดี ที่เคยเป็นอดีต KGB เก่าอย่าง วลาดิเมียร์ ปูติน ทำให้เรื่องราวยิ่งน่าสนใจมาก ๆ

ความน่าสนใจก็คือ การที่ ไบรอัน โฟเกล ที่เป็นผู้สร้างสารคดี ชุดนี้ เอาตัวเองเข้าไปทดลองกับการโด๊ปยา แล้วดูว่า ประสิทธิภาพของตัวเองนั้นเพิ่มขึ้นไปแค่ไหน ซึ่งพบว่า มันเพิ่มประสิทธิภาพให้กับตัวเขาสูงขึ้นถึง 30% เลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่า เขาทดลองกับการปั่นจักรยาน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวอื้อฉาว ของ แลนซ์ อาร์มสตรอง ที่เคยเป็นข่าวใหญ่มาก่อนหน้านี้

สารคดี ถ่ายทอดเรื่องราว ก่อนที่มันจะกลายเป็นประเด็นใหญ่ คือ ถ่ายก่อน แล้วประเด็นนี้สุดท้ายมันกลายเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมา จากการออกมาแฉ ของกริกอรี่ โรดเชนคอฟ นักวิทยาศาสตร์ ที่ดูแลห้องแล็บของสถานบันต่อต้านการใช้สารกระตุ้นของประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องแล็บมาตรฐานระดับโลกที่ดูแลเรื่องการตรวจโด๊ป

เรื่องราว มันเกี่ยวพัน กับ อำนาจ เรื่องของการเมือง การชิงดีชิงเด่น รวมถึงการโฆษณาชวนเชื่อของประเทศรัสเซีย เพราะมันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ของ ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ที่ต้องการความนิยมที่เพิ่มขึ้น หลังจากคะแนนความนิยมของเขาตกต่ำอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งเรื่องราวนั้น เป็นการแฉ เรื่องราวหลัก ๆ ของ กีฬาโอลิมปิกส์ ฤดูหนาวที่เมือง โซชิ ประเทศรัสเซีย ที่ได้เป็นเจ้าภาพในครั้งนั้น และปูติด ต้องการกู้หน้าจากคะแนนเสียงความนิยมที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องของเขา

ซึ่ง เขาต้องทำทุกวิถีทางในการกู้หน้าชื่อเสียง คะแนนเสียงของเขาที่มีต่อประชาชนชาวรัสเซีย ซึ่งกีฬา น่าจะเป็นจุดนึงที่ทำให้คะแนนเสียงของเขากลับมาได้ เขาจึงได้ทำทุกวิถีทางที่จะคว้าเหรียญโอลิมปิกส์ในครั้งนั้นให้ได้มากที่สุดในฐานะเจ้าภาพ

ซึ่งสารคดี ค่อย ๆ เผยเรื่องราวรายละเอียดออกมาถึงวิธีการ ที่ใช้หลบเลี่ยงการตรวจโด๊ปเหล่านี้ ซึ่งถือเป็นการแหกตาชาวโลกครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนึง ในกีฬาเลยก็ว่าได้ เพราะนักกีฬากว่า 50% ของ รัสเซียในโอลิมปิกส์ครั้งนั้น ใช้สารกระตุ้นที่ผิดกฏ ทำให้เกิดความได้เปรียบ

และเรื่องราวยังแฉต่อเนื่องย้อนไปถึงอดีต ว่าในวงการกีฬานั้น เรื่องราวเหล่านี้มันมีอยู่จริง มันมีข้อได้เปรียบที่สำคัญของนักกีฬาจากสารกระตุ้นเหล่านี้ ที่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ ซึ่งเป็นการแฉความสกปรกของวงการกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

แล้วเรื่องราวบทสรุปทั้งหมดนั้นจะเป็นอย่างไร ผมยังไม่ขอ Spoil อยากให้ทุก ๆ ท่านไปดูกันเอง ซึ่งต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในสารคดีที่ทรงพลังมากที่สุดเรื่องนึง ที่ผู้สร้างนั้นต้องเสี่ยงกับหลาย ๆ อย่าง และทำมันออกมาได้อย่างดีเยี่ยมครับ แนะนำว่าไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง