ถ้าผมพูดชื่อ Elizabeth Holmes ขึ้นมา หลายคนคงร้อง “ยี้” และนึกถึงเรื่องราวสุดฉาวโฉ่ของ Theranos สตาร์ตอัปที่เคยถูกยกยอปอปั้นว่าจะเป็นอนาคตของการตรวจเลือด แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องต้มตุ๋นระดับประวัติศาสตร์ ที่หลอกเงินนักลงทุนไปเกือบพันล้านดอลลาร์
เรื่องราวของเธอดูเหมือนจะจบไปแล้วในคุก แต่ถ้าผมจะบอกว่า…เรื่องราวกำลังจะมีภาคต่อ และครั้งนี้มันอาจจะไม่ใช่แค่ความฝันลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป คุณจะเชื่อไหม?
วันนี้อยากจะมาชวนคุยเรื่องจักรวาลของ Elizabeth Holmes กันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เรื่องราวมันลึกลับซับซ้อนกว่าเดิมมาก เพราะในขณะที่ตัวเธอยังคงชดใช้กรรมอยู่ในเรือนจำ คู่ชีวิตของเธออย่าง Billy Evans กำลังปลุกปั้นบริษัทใหม่ที่ทำเรื่องเดียวกันเป๊ะๆ
เรื่องนี้มันเริ่มมีกลิ่นแปลกๆ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา Holmes ได้ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกจากหลังกรงเหล็กกับนิตยสาร People เธอบอกว่า “ไม่มีวันไหนเลยที่เธอหยุดทำงานวิจัยและคิดค้นสิ่งประดิษฐ์” และยังคงยึดมั่นกับความฝันที่จะทำให้ทุกคนเข้าถึงการดูแลสุขภาพในราคาที่จับต้องได้
ฟังดูคุ้นๆ ใช่ไหมครับ? มันแทบจะเหมือนเทปม้วนเก่าที่ถูกเอามาเล่นซ้ำ
ในขณะที่ Holmes กำลังต่อสู้กับชะตากรรมในคุกที่ Texas คู่ชีวิตของเธอ Billy Evans กำลังวิ่งระดมทุนหลายล้านดอลลาร์ให้กับสตาร์ตอัป AI น้องใหม่ที่ชื่อว่า Haemanthus ซึ่งแปลเป็นภาษากรีกได้ว่า “ดอกไม้สีเลือด”
หลายคนอาจจะคิดว่า “เอาอีกแล้วเหรอ?” วงการจะโดนต้มตุ๋นซ้ำสองอีกหรือเปล่า?
ใจเย็นๆ ครับ เพราะครั้งนี้มันอาจจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ครั้งนี้…เทคโนโลยีที่เคยเป็นแค่เรื่องมโนของ Holmes มันอาจจะใช้งานได้จริงแล้ว
เทคโนโลยีที่ Holmes เคยโกหกคนทั้งโลกเอาไว้ในอดีต ตอนนี้มันกลับกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ด้วยพลังของ AI ที่สุดล้ำ และศาสตร์ใหม่ที่เรียกว่า Raman spectroscopy
คำถามที่ตามมาคือ ใครจะกล้าให้โอกาสหรือเชื่อใจครอบครัวนี้อีกครั้ง? และที่สำคัญกว่านั้น ถ้าเทคโนโลยีครั้งนี้มันเป็น “ของแท้” และใช้งานได้จริง มันจะเปลี่ยนโลกไปได้ขนาดไหน?
วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่หลายคนเรียกว่า Theranos 2.0 ทำไมมันถึงยังมีคนกล้าอัดฉีดเงินให้ และที่สำคัญที่สุด ทำไมเทคโนโลยีที่เคยเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันของ Holmes ถึงกลับกลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ในปี 2025
ปัจจุบัน Elizabeth Holmes ในวัย 41 ปี กำลังใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ Federal Prison Camp Bryan ที่รัฐ Texas เธอถูกตัดสินจำคุก 11 ปี 3 เดือน แต่ด้วยความประพฤติดี เธออาจจะได้ออกมาสู่โลกภายนอกเร็วกว่ากำหนด โดยมีวันปล่อยตัวที่คาดการณ์ไว้คือเดือนสิงหาคม 2032
ชีวิตในคุกของเธอเริ่มต้นตอนตี 5 ทุกวัน ออกกำลังกาย 40 นาที ก่อนจะไปทำงานเป็น reentry clerk ได้ค่าจ้างชั่วโมงละ 31 เซ็นต์ หน้าที่ของเธอคือช่วยเหลือนักโทษหญิงคนอื่นที่กำลังจะพ้นโทษ ให้เตรียมตัวกลับสู่สังคม ทั้งการเขียนเรซูเม่ และการยื่นขอสวัสดิการต่างๆ
นอกจากนี้ เธอยังทำงานเป็นผู้ช่วยด้านกฎหมายและสอนภาษาฝรั่งเศสด้วย เรียกได้ว่าใช้ทุกนาทีอย่างคุ้มค่า แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ชีวิตส่วนตัวของเธอ เธอยังได้พบกับลูกๆ ทั้งสองคน William วัย 3 ขวบ และ Invicta วัย 2 ขวบ สัปดาห์ละสองครั้ง พร้อมกับ Billy Evans คู่ชีวิตของเธอ
แต่สิ่งที่เธอตอกย้ำในการให้สัมภาษณ์ และเป็นเหมือนเชื้อไฟที่จุดเรื่องราวทั้งหมดขึ้นมาใหม่ คือคำพูดที่ว่า “ไม่มีวันไหนที่เธอหยุดทำงานวิจัยและประดิษฐ์” เธอยังคงหมกมุ่นกับการเขียนสิทธิบัตรใหม่ๆ จากหลังกรงเหล็ก ราวกับว่ากำแพงคุกไม่สามารถหยุดความทะเยอทะยานของเธอได้
และในขณะเดียวกัน โลกภายนอกก็ไม่ได้หยุดนิ่ง Billy Evans คู่ชีวิตของเธอ ซึ่งเป็นทายาทของเครือโรงแรมใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย วัย 33 ปี ไม่ได้นั่งรอเฉยๆ เขากำลังเดินหน้ากับบริษัท Haemanthus สตาร์ตอัป AI ที่ต้องการรังสรรค์เครื่องตรวจโรคจากของเหลวในร่างกาย
จากเอกสารที่ The New York Times ได้มาตรวจสอบ อุปกรณ์ของ Haemanthus จะใช้เลเซอร์สแกนของเหลวในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเลือด น้ำลาย หรือปัสสาวะ และทำการวิเคราะห์ในระดับโมเลกุลภายในเวลาไม่กี่วินาที โดยใช้โมเดล AI ตรวจหาโรคมะเร็งและปัญหาสุขภาพอื่นๆ
ฟังดูแล้วก็คือคอนเซ็ปต์เดียวกับ Theranos ไม่ผิดเพี้ยนเลยใช่ไหมครับ? แต่ความฉลาดของ Evans อยู่ตรงนี้ เขาไม่ได้กระโจนเข้าสู่ตลาดมนุษย์ที่กฎระเบียบสุดโหด
กลยุทธ์ของ Haemanthus คือการเริ่มต้นจากตลาดสัตว์เลี้ยงก่อน แล้วค่อยขยายไปสู่มนุษย์ในภายหลัง นี่คือแผนที่เข้าท่ามาก เพราะธุรกิจตรวจมะเร็งสำหรับสัตว์เลี้ยงนั้นเป็นตลาดมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่กฎระเบียบไม่เข้มงวดเท่าของมนุษย์ เป็นการเดินเกมที่ชาญฉลาดเพื่อพิสูจน์เทคโนโลยีและสร้างความเชื่อมั่น
ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานราว 10 คน และระดมทุนไปได้แล้วมากกว่า 18 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเพื่อนและครอบครัวของ Evans เอง
แน่นอนว่าเมื่อข่าวนี้ดังกระฉ่อนออกไป ปฏิกิริยาในวงการก็มีทั้งความตกใจ โกรธแค้น และความกังขา บริษัทลงทุนของ Michael Dell ปฏิเสธข้อเสนอทันที นักลงทุนยุคแรกๆ ของ Facebook และผู้จัดการกองทุน VC หลายคนก็บอกว่าจะขอผ่าน “ด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่เคยผ่าน Theranos มาแล้ว”
แต่ถึงอย่างนั้น Evans ก็ยังสามารถระดมทุนมาได้หลายล้านดอลลาร์จากเครือข่ายส่วนตัวของเขาเอง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของคอนเนคชันและอาจจะเป็นเพราะ “กลิ่นเงิน” ที่หอมหวนจากเทคโนโลยีนี้
ความแสบของเรื่องนี้คือ Haemanthus ถึงกับออกแถลงการณ์ผ่านโซเชียลมีเดียยอมรับแบบตรงไปตรงมาว่า “ใช่ CEO ของเรา Billy Evans เป็นคู่ชีวิตของ Elizabeth Holmes ความสงสัยเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เราจึงต้องสร้างมาตรฐานที่โปร่งใสและสูงกว่าใคร นี่ไม่ใช่ Theranos 2.0”
ทีนี้มาถึงหัวใจของเรื่องที่ทำให้ทุกอย่างน่าติดตาม…เทคโนโลยีเบื้องหลังที่อาจจะเปลี่ยนเกมได้จริงๆ
เทคโนโลยีที่ Haemanthus กำลังพัฒนาอยู่มีชื่อว่า Raman spectroscopy ซึ่งถูกนำมาผสมผสานกับพลังของ AI
เอาแบบเข้าใจง่ายๆ Raman spectroscopy ไม่ใช่ของใหม่ มันเป็นเทคนิคที่นักเคมีใช้กันมาเกือบศตวรรษแล้ว หลักการของมันคือการยิงแสงเลเซอร์ไปที่โมเลกุล และจากการสั่นสะเทือนของโมเลกุลนั้น เราจะสามารถระบุได้ว่ามันคือโมเลกุลอะไร
สิ่งที่ทำให้มันกลายเป็นของ “โครตเจ๋ง” ในยุคนี้ คือการนำข้อมูลการสั่นสะเทือนที่ซับซ้อนมหาศาลนั้น มาให้ AI ที่มีความสามารถในการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ช่วยวิเคราะห์และแยกแยะรูปแบบที่สายตามนุษย์มองไม่เห็น
งานวิจัยล่าสุดจากทั่วโลกเริ่มแสดงให้เห็นถึงความเทพของเทคนิคนี้ นักวิทยาศาสตร์จาก Beihang University และ Capital Medical University ในปักกิ่ง ได้ใช้ Raman spectroscopy คู่กับ AI เพื่อปรับปรุงกระบวนการวินิจฉัยทางพยาธิวิทยา ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งมาก
หรือการศึกษาในวารสาร Scientific Reports ที่แสดงให้เห็นว่าเทคนิคนี้สามารถวินิจฉัยมะเร็งเต้านมได้ด้วยความแม่นยำสูงถึง 94.6% และความจำเพาะ (Specificity) 100% ซึ่งหมายความว่าถ้าผลออกมาว่าไม่เป็น ก็คือไม่เป็นจริงๆ ไม่มีการตรวจมั่วซั่ว
ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาจากจีนอีกชิ้นให้ผลลัพธ์ที่โหดกว่าเดิม ด้วยความแม่นยำ 99.7% ในการตรวจหาเซลล์มะเร็งผิวหนัง และ 97.9% สำหรับการติดเชื้อแบคทีเรีย ตัวเลขระดับนี้มันน่าตกใจมาก ๆ
ความเจ๋งของ Raman spectroscopy คือมันสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีในระยะเริ่มต้นของการเกิดโรคได้ แม้กระทั่งก่อนที่เซลล์จะเริ่มเปลี่ยนแปลงรูปร่างจนมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์เสียอีก
นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เรื่องราวของ Haemanthus ไม่ใช่แค่ความฝันลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป มันมีหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่จับต้องได้และผลการวิจัยที่หนักแน่นมารองรับ
สิ่งที่ทำให้เรื่องราวครั้งนี้แตกต่างจากมหากาพย์ Theranos ที่เละไม่เป็นท่าในอดีต มีอยู่หลายประการด้วยกัน
ประการแรก และสำคัญที่สุด เทคโนโลยี Raman spectroscopy เป็นวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วและมีอยู่จริง ไม่ใช่เทคโนโลยีที่ถูกเสกขึ้นมาจากจินตนาการเหมือนที่ Holmes เคยอ้างในอดีต
ประการที่สอง พลังของ AI ในปี 2025 นั้นก้าวหน้าไปไกลกว่ายุคของ Theranos อย่างเทียบไม่ติด มันสามารถประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนและค้นหารูปแบบที่ลึกซึ้งได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้การวิเคราะห์ผลจากสเปกตรัมมีความแม่นยำสูง
และประการที่สาม พวกเขาเริ่มต้นจากตลาดสัตว์เลี้ยงก่อน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดมากในการลดความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและสร้างความน่าเชื่อถือก่อนที่จะขยับไปสู่ตลาดมนุษย์ที่ใหญ่กว่าและโหดหินกว่ามากโข
แต่มันก็ยังมีอุปสรรคมากมายที่สองสามีภรรยาต้องเจอ
Tyler Shultz อดีตพนักงาน Theranos ผู้กล้าออกมาแฉความจริง ได้เขียนบทความเตือนว่า “ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะลองอีกครั้ง” เป็นการส่งสัญญาณว่าอย่าเพิ่งไว้วางใจอะไรง่ายๆ
การเดินทางจากวิทยาศาสตร์ที่ใช้การได้ในห้องแล็บ ไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริงในเชิงพาณิชย์นั้น มันคือการเข็นครกขึ้นภูเขา และเป็นจุดที่บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพส่วนใหญ่ต้องจบเห่หรือล้มเหลวไม่เป็นท่า
นอกจากนี้ ตัวของ Holmes เองยังถูกคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) สั่งห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารหรือกรรมการของบริษัทมหาชนเป็นเวลา 10 ปี แต่กฎนี้ไม่ได้ห้ามเธอจากการช่วยบริหารบริษัทเอกชนอยู่ลับหลัง
การแข่งขันในตลาดนี้ก็กำลังดุเดือด บริษัทอื่นๆ อย่าง Sight Diagnostics จากอิสราเอลก็กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกัน และนักวิจัยจาก University of Colorado Boulder ก็เพิ่งประกาศผลการวิจัยใหม่ๆ ออกมา เรียกได้ว่าทุกคนต่างก็ต้องการที่จะเป็นผู้ชนะในสมรภูมินี้
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวของ Haemanthus ทำให้เราต้องกลับมาตั้งคำถามที่ยากจะตอบ
ถ้าครั้งนี้เทคโนโลยีมันใช้งานได้จริง เราจะแยกแยะนวัตกรรมของแท้ ออกจากการต้มตุ๋นที่อาจจะซ่อนอยู่ได้อย่างไร?
การที่ชื่อของ Elizabeth Holmes ยังคงวนเวียนอยู่ ถึงแม้จะเป็นทางอ้อม มันเป็นรอยร้าวที่ทำให้เราควรต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหรือไม่?
และคำถามที่สำคัญที่สุด หากเทคโนโลยีนี้ประสบความสำเร็จจริงๆ มันจะเปลี่ยนโฉมหน้าของการวินิจฉัยโรคในอนาคตอย่างไร?
ตัวของ Holmes เองยังคงยืนยันว่าเธอ “ยังคงมุ่งมั่นกับความฝันในการทำให้โซลูชันการดูแลสุขภาพที่ราคาไม่แพงพร้อมใช้งานสำหรับทุกคน” และเมื่อเธอได้รับการปล่อยตัวในปี 2032 เธอก็วางแผนที่จะกลับเข้าสู่วงการไบโอเทคอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย
เรื่องราวของ Haemanthus สอนให้เรารู้ว่า ในโลกของนวัตกรรมที่ทุกอย่างพุ่งทะยานไปข้างหน้า เส้นแบ่งระหว่าง “อัจฉริยะ” กับ “นักต้มตุ๋น” บางครั้งมันก็บางเฉียบจนน่าใจหาย
ความแตกต่างในครั้งนี้คือ…วิทยาศาสตร์อาจจะเดินทางมาไกลพอที่จะรองรับความฝันที่เคยดูบ้าคลั่งของ Holmes ได้แล้ว
แต่คำถามสุดท้ายที่ยังไม่มีใครตอบได้ก็คือ…แล้วเราจะเชื่อใจมันได้หรือไม่?
สำหรับตอนนี้ เราคงทำได้แค่จับตาดูว่า Haemanthus จะพิสูจน์ตัวเองได้อย่างไร และมีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะเป็นผู้ขีดชะตาว่านี่คือการกลับมาของฝันร้ายที่ชื่อ Theranos 2.0 หรือจะเป็นรุ่งอรุณแห่งนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนโลกใบนี้ไปตลอดกาล
References: [npr.org, statnews, techcrunch, people, fortune]