Testosterone กับพฤติกรรมเด็ก : เคล็ดลับเข้าใจธรรมชาติลูกชาย จากมุมมองวิทยาศาสตร์

ต้องบอกว่าร่างกายมนุษย์เรามีสารเคมีตัวหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด สารนี้แทรกซึมเข้าสู่เซลล์เกือบทุกเซลล์ในร่างกาย รวมถึงเซลล์ประสาท และมีอิทธิพลอย่างมากต่อการมีชีวิตรอด การเติบโต และการทำงานของเซลล์เหล่านั้น

ผลกระทบของมันไม่เพียงแต่ส่งผลต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลลึกซึ้งและยาวนานต่อสมองและพฤติกรรมด้วย สารเคมีที่ว่านี้คือ Testosterone หรือฮอร์โมนเพศชาย แม้ทั้งชายและหญิงจะมีฮอร์โมนนี้ แต่ในเพศชายมีมากกว่าถึง 15-20 เท่า

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจอีกครั้งจากเวที Ted Talks โดย Carole K. Hooven นักชีววิทยา ที่ได้มาเล่าถึงผลกระทบของฮอร์โมน Testosterone ต่อร่างกายและสมองของมนุษย์เรา

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การศึกษาด้าน Behavioral Endocrinology ได้เผยให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างฮอร์โมนและพฤติกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Testosterone ที่สามารถอธิบายความแตกต่างระหว่างเพศได้อย่างน่าทึ่ง อย่างไรก็ตาม ศาสตร์แขนงนี้กลับกลายเป็นประเด็นถกเถียงทางวัฒนธรรมยุคใหม่

ในปัจจุบัน แม้แต่การพูดถึงสิ่งที่นักชีววิทยาส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นความจริงที่ชัดเจน เช่น การมีสองเพศในการสืบพันธุ์ ก็อาจนำไปสู่การโต้แย้งได้ เนื่องจากความอ่อนไหวของประเด็นนี้ในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศที่อาจรู้สึกเจ็บปวดจากการใช้ภาษาเกี่ยวกับชีววิทยาของเพศ

อย่างไรก็ตามการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เรื่องเพศกลับได้รับความสนใจอย่างมากจากนักศึกษา เพราะช่วยให้พวกเขาเข้าใจร่างกายและความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น รวมถึงเกิดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นที่แตกต่างจากตนเอง

ประสบการณ์ส่วนตัวที่น่าสนใจของ Carole เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อน เมื่อเธอได้มีส่วนในการสร้างอวัยวะเล็กๆ สองอันที่ผลิต Testosterone ในมดลูก ซึ่งเชื่อมต่อกับทารกที่กำลังเติบโต ปัจจุบันทารกคนนั้นได้เติบโตเป็นเด็กชายที่มีพฤติกรรมการเล่นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการเล่นปล้ำสู้กับเพื่อน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงทั่วโลก

การศึกษาพบว่า Testosterone มีบทบาทสำคัญตั้งแต่ช่วงแรกของการพัฒนาในครรภ์ โดยทำหน้าที่กำหนดลักษณะทางเพศชาย เตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตอสุจิในอนาคต และที่สำคัญคือการทำงานในสมองเพื่อกระตุ้นพฤติกรรมต่างๆ เช่น การเล่นต่อสู้ ซึ่งมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพศผู้

ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของ Testosterone ของ Carole มีความลึกซึ้งขึ้นหลังจากการศึกษาชิมแปนซีป่าในยูกันดาตะวันตกเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี การสังเกตพฤติกรรมประจำวันของพวกมัน ทั้งการกิน เล่น นอน ต่อสู้ และสืบพันธุ์ แสดงให้เห็นรูปแบบพฤติกรรมที่มนุษย์และชิมแปนซีมีร่วมกันอย่างน่าทึ่ง

ที่น่าสนใจคือ ลูกชิมแปนซีตัวผู้มีพฤติกรรมการเล่นต่อสู้มากกว่าตัวเมีย ความเชื่อมโยงนี้น่าทึ่งเพราะแม้เราไม่ได้มีวัฒนธรรมร่วมกับชิมแปนซี แต่เรามียีนและฮอร์โมนเกือบทั้งหมดร่วมกัน รวมถึงระดับ Testosterone ที่สูงกว่าในเพศผู้

นอกจากนี้ ยังพบว่าชิมแปนซีตัวผู้ทุ่มเทเวลาและพลังงานในการแข่งขันเพื่อความเป็นผู้นำทางสังคมมากกว่าตัวเมีย พฤติกรรมนี้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้และการข่มขู่ รวมถึงสัญชาตญาณในการเลือกเวลาที่เหมาะสมในการท้าทายหรือถอยหนีจากการปะทะ

พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความเข้าใจว่าจะนำไปสู่โอกาสในการสืบพันธุ์ที่มากขึ้น แต่ตัวผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้มักประสบความสำเร็จในการส่งต่อยีนไปสู่รุ่นต่อไปมากกว่า และลูกชายของพวกมันก็จะสืบทอดแนวโน้มพฤติกรรมเหล่านี้ต่อไป ในมุมมองของวิวัฒนาการการมีชีวิตรอดเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ส่งต่อยีนจึงเป็นทางตันทางวิวัฒนาการ

สัตว์วัยเยาว์อย่างชิมแปนซีต้องเรียนรู้ทั้งทักษะการอยู่รอดและทักษะการสืบพันธุ์ผ่านการเล่น เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของมนุษย์ และมรดกทางวิวัฒนาการนี้ยังคงปรากฏให้เห็นในพฤติกรรมของเด็กๆ ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเด็กชายทุกคนต้องชอบเล่นปล้ำกับเพื่อน บางคนอาจชอบเล่นสร้างบ้านหรืออาจจะชอบแต่งตัวมากกว่า และพวกเขาควรได้รับอิสระในการเลือกกิจกรรมที่ชื่นชอบ ธรรมชาติไม่ได้กำหนดกฎตายตัวว่าแต่ละเพศควรเล่นอย่างไร

Carole เล่าประสบการณ์วัยเด็กของตนเองที่เคยเล่นปล้ำกับพี่ชายทั้งสามคนและเล่น Little League baseball แต่เมื่อเล่นกับ Annie ที่เป็นเพื่อนสนิทผู้หญิง กิจกรรมจะแตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเล่นเป็นครูสอนตุ๊กตาสัตว์ และที่แปลกไปกว่านั้นคือการเล่นสมมติเป็นพนักงานออฟฟิศ พัฒนาระบบจัดเก็บเอกสาร และใช้เวลามากมายในการกรอกแบบฟอร์มจากจดหมายขยะที่หยิบมาจากตู้จดหมายในละแวกบ้าน

การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า รายละเอียดของการเล่นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเสมอ แต่การเล่นโดยทั่วไปมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับทั้งสองเพศ เช่น การแก้ไขความขัดแย้ง และการค้นพบขีดความสามารถของตนเอง

ความแตกต่างในรูปแบบการเล่น โดยเฉพาะการที่เด็กหญิงมักชอบเล่นแบบดูแลเอาใจใส่กันมากกว่า ในขณะที่เด็กชายชอบเล่นต่อสู้มากกว่า อาจเป็นผลมาจากวิวัฒนาการที่หล่อหลอมทักษะจำเพาะที่แต่ละเพศจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อการสืบพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า Testosterone มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนพฤติกรรมเหล่านี้

หลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดมาจากการทดลองในสัตว์ทดลอง โดยพบว่าในสัตว์เพศเมีย เช่น หนูและลิง การเพิ่ม Testosterone ในช่วงพัฒนาการแรกเริ่มส่งผลให้การเล่นแบบรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกันการยับยั้ง Testosterone ในสัตว์เพศผู้ในช่วงเวลาเดียวกันทำให้พฤติกรรมการเล่นแบบรุนแรงลดลงอย่างชัดเจน

ในมนุษย์ เนื่องจากไม่สามารถทดลองปรับเปลี่ยนระดับฮอร์โมนในทารกที่อยู่ในครรภ์ได้ จึงต้องอาศัยหลักฐานทางอ้อม การศึกษาจำนวนมากเกี่ยวกับรูปแบบการเล่นของเด็กผู้หญิงที่ได้รับ Testosterone ในระดับสูงผิดปกติระหว่างอยู่ในครรภ์ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเด็กผู้หญิงเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะชอบการเล่นแบบรุนแรงมากขึ้น

แม้ว่าเรายังต้องเรียนรู้อีกมากเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างยีน ฮอร์โมน และวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อความแตกต่างทางเพศในพฤติกรรม แต่หลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่ชี้ให้เห็นว่าความแตกต่างของระดับ Testosterone และแรงกดดันทางวิวัฒนาการเป็นปัจจัยสำคัญที่อธิบายว่าทำไมเด็กชายจึงมีแนวโน้มที่จะชอบการเล่นปล้ำกับเพื่อนมากกว่าเด็กหญิง

การทดลองในหนูทดลองแสดงให้เห็นว่า การห้ามไม่ให้หนูตัวผู้เล่นแบบรุนแรงตามธรรมชาติ กลับนำไปสู่การพัฒนาเป็นหนูตัวผู้โตเต็มวัยที่ไม่สามารถจัดการกับแรงกระตุ้นที่ก้าวร้าวของตัวเองได้ พวกมันกลับมีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น ไม่สามารถร่วมมือกับตัวอื่น ตอบสนองต่อสัญญาณทางสังคมได้ไม่เหมาะสม และมีปัญหาในการหาคู่

แม้ว่ามนุษย์จะแตกต่างจากสัตว์อื่นๆ แต่สิ่งที่เราพิเศษกว่าคือความสามารถในการคิดไตร่ตรอง พูดคุย และร่วมกันตัดสินใจว่าจะควบคุมแรงกระตุ้นที่อาจเป็นอันตรายได้อย่างไร

วัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการสร้างความแตกต่างเหล่านี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือความแตกต่างของระดับความรุนแรงระหว่างผู้ชายในประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่ได้เกิดจากความแตกต่างทางชีววิทยา แต่เป็นผลมาจากปัจจัยทางวัฒนธรรม กฎหมาย ระบบสาธารณสุข และความเหลื่อมล้ำทางสังคม

การละทิ้งหรือบิดเบือนความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเพศออกจากการสนทนาในสังคม อาจทำให้เราสูญเสียโอกาสในการทำความเข้าใจตนเองและผู้อื่น วิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการเล่นแบบเพศชายไม่ใช่จุดเริ่มต้นของ “ความรุนแรงของเพศชาย” แต่เป็นพฤติกรรมที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการที่เราไม่ควรยับยั้ง

การมี Testosterone ในระดับที่เหมาะสมตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาเป็นปัจจัยสำคัญที่หล่อหลอมให้เด็กชายเติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าในช่วงวัยรุ่น Testosterone จะพุ่งสูงถึงจุดสูงสุด แต่หากได้รับการดูแลและเข้าใจอย่างเหมาะสม เด็กชายก็สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้

ท้ายที่สุด สิ่งสำคัญคือการส่งเสริมให้เด็กๆ ได้เล่นและมีปฏิสัมพันธ์ในโลกจริงมากกว่าโลกเสมือน โดยเฉพาะการเล่นกลางแจ้งที่ช่วยพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ ความเข้าใจในวิทยาศาสตร์เรื่องเพศจะช่วยให้เราสามารถสนับสนุนพัฒนาการของเด็กแต่ละคนได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

References :
How Testosterone and Culture Shape Behavior | Carole K. Hooven | TED
https://youtu.be/HYnZy2Cx7UM?si=vuaqF3dRPUBpbSIB

เลิกภูมิใจกับการนอนน้อย! เมื่อการนอนหลับคือยาอายุวัฒนะที่ดีที่สุดในโลกที่ธรรมชาติให้มาฟรีๆ

ในยุคที่มนุษย์ต้องแข่งขันกับเวลา การนอนหลับมักถูกมองข้ามและถูกลดความสำคัญลงเรื่อย ๆ หลายคนอาจคิดว่าการนอนน้อยเป็นเรื่องปกติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์กลับชี้ให้เห็นว่า การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพมากกว่าที่คุณคิด

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที Ted Talks ในหัวข้อ Sleep Is Your Superpower โดย Matt Walker นักวิทยาศาสตร์ด้านการนอนหลับ ที่มาเปิดเผยเรื่องราวว่าการนอนหลับคือระบบช่วยให้เรามีชีวิตที่ยืนยาวได้

Walker ได้ขึ้นเวทีเพื่อแบ่งปันข้อดีที่เกิดขึ้นเมื่อเรามีการนอนหลับที่ดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งสมองและร่างกายของเรา รวมถึงผลกระทบของการนอนหลับต่อการเรียนรู้ ความจำ ระบบภูมิคุ้มกัน และแม้แต่รหัสพันธุกรรมของเรา รวมถึงเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ในการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

ผลกระทบของการนอนน้อยต่อร่างกาย

ระบบสืบพันธุ์และฮอร์โมน

งานวิจัยพบว่าผู้ชายที่นอนเพียง 5 ชั่วโมงต่อคืนมีขนาดอัณฑะเล็กกว่าคนที่นอน 7 ชั่วโมงขึ้นไปอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ผู้ชายที่นอนเพียง 4-5 ชั่วโมงต่อคืนเป็นประจำจะมีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเทียบเท่ากับคนที่แก่กว่าตัวเอง 10 ปี นั่นหมายความว่าการอดนอนทำให้ร่างกายแก่เร็วขึ้นถึง 10 ปีในแง่ของการทำงานของระบบฮอร์โมน และยังพบความบกพร่องในระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงในลักษณะเดียวกัน

สมองและความจำ

การนอนหลับมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้และความจำ การศึกษาพบว่าสมองต้องการการนอนหลับทั้งก่อนและหลังการเรียนรู้:

  • ก่อนการเรียนรู้: การนอนหลับช่วยเตรียมสมองให้พร้อมรับข้อมูลใหม่ เปรียบเสมือนฟองน้ำแห้งที่พร้อมซึมซับความรู้
  • หลังการเรียนรู้: การนอนหลับที่ดีทำให้สมองสามารถบันทึกความทรงจำใหม่ให้คงอยู่ได้ยาวนานขึ้น

การทดลองเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ได้นอนเต็มที่ 8 ชั่วโมงกับกลุ่มที่อดนอนทั้งคืน พบว่ากลุ่มที่อดนอนมีความสามารถในการสร้างความทรงจำใหม่ลดลงถึง 40% ซึ่งในบริบทของการศึกษาอาจเทียบได้กับความแตกต่างระหว่างการสอบได้คะแนนดีเยี่ยมกับการสอบตก

ระบบภูมิคุ้มกัน

Natural Killer Cells ทำหน้าที่เสมือนหน่วยรักษาความปลอดภัยของระบบภูมิคุ้มกัน คอยกำจัดเซลล์ที่เป็นอันตรายรวมถึงเซลล์มะเร็ง การทดลองพบว่าแม้แต่การนอนเพียง 4 ชั่วโมงในคืนเดียว สามารถลดประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เหล่านี้ลงถึง 70% ซึ่งเป็นการบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกันที่น่าตกใจ

องค์การอนามัยโลก (WHO) ถึงกับจัดให้การทำงานกะกลางคืนเป็นสารก่อมะเร็งที่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากการรบกวนจังหวะการนอน-ตื่นส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน และพบความเชื่อมโยงกับมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม

ผลกระทบต่อรหัสพันธุกรรม

การศึกษาในผู้ใหญ่สุขภาพดีที่ถูกจำกัดการนอนให้เหลือ 6 ชั่วโมงต่อคืนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ พบการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจ:

  1. มียีน 711 ตัวที่ทำงานผิดปกติ
  2. ครึ่งหนึ่งของยีนที่ได้รับผลกระทบมีการทำงานลดลง โดยเฉพาะยีนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
  3. อีกครึ่งหนึ่งมีการทำงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะยีนที่เกี่ยวข้องกับ:
  • การส่งเสริมการเกิดเนื้องอก
  • การอักเสบเรื้อรัง
  • ความเครียดและโรคหัวใจและหลอดเลือด

คำแนะนำสำหรับการนอนที่ดี

เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการนอน ควรปฏิบัติดังนี้:

1.รักษาความสม่ำเสมอ

  • เข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน แม้ในวันหยุด
  • ความสม่ำเสมอจะช่วยปรับปรุงทั้งปริมาณและคุณภาพการนอน

2. ควบคุมอุณหภูมิห้องนอน

  • รักษาอุณหภูมิห้องที่ประมาณ 17-25 องศาเซลเซียส
  • ร่างกายต้องลดอุณหภูมิแกนกลางลง 2-3 องศาเซลเซียสเพื่อเริ่มและรักษาการนอนหลับ

3. หลีกเลี่ยงปัจจัยรบกวน

  • งดแอลกอฮอล์และคาเฟอีนก่อนนอน
  • หากมีปัญหานอนไม่หลับตอนกลางคืน ให้หลีกเลี่ยงการงีบหลับกลางวัน

4. เมื่อนอนไม่หลับ

  • หากนอนไม่หลับนานเกิน 20 นาที ให้ลุกจากเตียงไปทำกิจกรรมเบาๆ ในห้องอื่น
  • กลับมาที่เตียงเมื่อรู้สึกง่วงเท่านั้น
  • วิธีนี้จะช่วยให้สมองเชื่อมโยงเตียงกับการนอนหลับ ไม่ใช่กับความกังวลจากการนอนไม่หลับ

บทสรุป

การนอนหลับไม่ใช่ทางเลือกในการใช้ชีวิต แต่เป็นความจำเป็นทางชีวภาพที่ไม่สามารถต่อรองได้ เป็นระบบสนับสนุนชีวิตที่ธรรมชาติมอบให้ การละเลยความสำคัญของการนอนหลับส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ

ในปัจจุบัน การอดนอนกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญระดับโลก โดยองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้การนอนหลับไม่เพียงพอเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข เนื่องจากส่งผลกระทบต่อประชากรกว่า 45% ทั่วโลก

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเรียกร้องสิทธิในการนอนหลับเต็มคืนของเรากลับคืนมา โดยไม่ต้องไปรู้สึกผิดหรือกลัวคนอื่นจะมองว่าเราเป็นคนขี้เกียจ เพราะการนอนหลับที่เพียงพอคือยาอายุวัฒนะที่ทรงพลังที่สุดที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์นั่นเองครับผม

References :
Sleep Is Your Superpower | Matt Walker | TED
https://youtu.be/5MuIMqhT8DM?si=4s-VISWdwAF6lKLh

รู้ไว้ก่อนถูกหลอก! 3 คำถามเด็ด พิชิตข่าวปลอมทางการแพทย์ ที่ใครๆ ก็ทำได้

เคยสงสัยไหมว่าทำไมผลการวิจัยทางการแพทย์จำนวนมากที่เราเห็นในสื่อถึงไม่เป็นความจริงอย่างที่นำเสนอ? วันนี้อยากชวนไปทำความรู้จักกับเบื้องหลังของงานวิจัยทางการแพทย์ ผ่านมุมมองของผู้ที่อยู่ในแวดวงนี้มาอย่างยาวนาน

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจมาก ๆ จากเวที Ted Talks โดย Dr.Karen Dawe นักวิทยาศาสตร์ด้านสุขภาพและผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ Karen รู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในการทำวิจัย และเธอมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ต้องพึ่งพิงใครเมื่อต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับข้อกล่าวอ้างด้านสุขภาพที่น่าสงสัยทางออนไลน์ ตั้งแต่คำแนะนำทางการแพทย์บน TikTok ไปจนถึงยาทางเลือกต่าง ๆ มากมาย

ย้อนกลับไปในช่วงที่ Karen กำลังทำปริญญาเอก หลังจากทุ่มเทเวลาถึง 18 เดือนกับการทดลองที่ไม่ประสบความสำเร็จ เธอเกือบจะยอมแพ้ แต่แล้วเธอก็ได้ค้นพบความจริงอันน่าทึ่ง: เพราะนั่นคือธรรมชาติที่แท้จริงของวิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์คือการศึกษาสิ่งที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน เป็นการลองผิดลองถูก บางครั้งเราเริ่มต้นจากกลุ่มตัวอย่างที่เล็กเกินไป และสิ่งที่เราคิดว่าน่าสนใจอาจเป็นเพียงความบังเอิญ

ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลด้านสุขภาพและการแพทย์แพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok, Facebook และ YouTube (หรือในไทยคือกลุ่ม Line) เราจำเป็นต้องรู้จักแยกแยะข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

ในฐานะนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสุขภาพที่ทำงานร่วมกับบริษัทต่างๆ ในการรวบรวมและประเมินหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ Karen ได้มาแบ่งปันประสบการณ์และความรู้ที่จะช่วยให้คุณสามารถประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลทางการแพทย์ได้ด้วยตัวเอง

จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการแพทย์

เรื่องราวที่น่าสนใจนี้เริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษ 1930 เมื่อนักศึกษาแพทย์หนุ่มนาม Archie Cochrane ประสบปัญหาด้านสุขภาพที่เขาเรียกว่า “ความบกพร่องทางเพศ” ตามธรรมเนียมของยุคสมัยนั้น เขาเดินทางไปพบ Sigmund Freud ที่เวียนนา โดยไม่รู้ว่าปัญหาของเขาเกิดจากภาวะทางพันธุกรรม ไม่ใช่ปัญหาทางจิตวิทยาอย่างที่คิด

ประสบการณ์ที่เวียนนาทำให้ Archie เริ่มตั้งคำถามกับวิธีการรักษาที่ไม่มีหลักฐานรองรับ เมื่อกลับไปเรียนแพทย์ เขาและเพื่อนๆ จึงตั้งกลุ่มที่คอยตั้งคำถามกับแพทย์ผู้สอนว่า “มีหลักฐานอะไรว่าการรักษาของคุณได้ผล?” คำถามที่ดูเรียบง่ายนี้กลับเผยให้เห็นว่าการรักษาทางการแพทย์จำนวนมากในยุคนั้นมีหลักฐานรองรับน้อยมาก

การค้นพบที่เปลี่ยนโลกในค่ายเชลยศึก

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อ Archie ตกเป็นเชลยศึกและต้องดูแลเชลยศึกชาวอังกฤษกว่า 8,000 คน ในสภาวะที่ขาดแคลนอาหารและยา เขาสังเกตเห็นว่าผู้ป่วยมีอาการบวมซึ่งอาจเกิดจากการขาดไทอามีนหรือวิตามินบี 1

ด้วยทรัพยากรที่จำกัด Archie จึงทำการทดลองแบบสุ่มครั้งแรกในประวัติศาสตร์การแพทย์ โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็นสองกลุ่มตามหมายเลขประจำตัวทหาร: กลุ่มหมายเลขคี่ได้รับยีสต์ (แหล่งของไทอามีน) ส่วนกลุ่มหมายเลขคู่ได้รับวิตามินซีเป็นยาหลอก ภายในเวลาเพียง 3 วัน ผลการทดลองแสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน นำไปสู่การจัดหายีสต์มาให้ผู้ป่วยทั้งค่าย

หลักการพื้นฐานในการประเมินงานวิจัย

จากประสบการณ์อันยาวนานในวงการ Karen ได้กลั่นกรองหลักการประเมินความน่าเชื่อถือของงานวิจัยทางการแพทย์ลงเหลือเพียง 3 คำถามสำคัญที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้:

ประการแรก เราต้องถามว่ามีการศึกษาในมนุษย์หรือไม่ เพราะการทดลองในห้องปฏิบัติการหรือในสัตว์ทดลองอาจให้ผลที่แตกต่างจากการใช้จริงในมนุษย์อย่างมาก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การฆ่าเซลล์มะเร็งในจานทดลองด้วยค้อน ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถนำมาใช้รักษามะเร็งในคนได้จริง

ประการที่สอง เราต้องพิจารณาว่าผลการศึกษาไม่ได้เกิดจากการเข้าใจผิดหรือมีปัจจัยกวนอื่นๆ เช่น กรณีความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนนักดับเพลิงกับมูลค่าความเสียหายจากไฟไหม้ ที่ดูเหมือนนักดับเพลิงทำให้ความเสียหายเพิ่มขึ้น แต่ความจริงคือขนาดของไฟต่างหากที่เป็นสาเหตุของทั้งสองอย่าง

ประการสุดท้าย เราควรให้ความสำคัญกับการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (Randomized Control Trial) ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดของการวิจัยทางการแพทย์ การสุ่มช่วยกำจัดอคติและปัจจัยที่อาจส่งผลต่อผลการวิจัย

แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

ในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น การเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ ฐานข้อมูล Cochrane Review ถือเป็นมาตรฐานทองคำของการทบทวนวรรณกรรมทางการแพทย์ (systematic review) โดยใช้เครื่องมือประเมินคุณภาพงานวิจัยที่พัฒนาขึ้นที่ Bristol และได้รับการยอมรับในระดับสากล

นอกจากนี้ ยังมีฐานข้อมูลการวิจัยทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถืออื่นๆ เช่น PubMed Central, MEDLINE และ Web of Science ที่รวบรวมงานวิจัยคุณภาพสูงจากทั่วโลก

หรือในประเทศไทยมีสื่อที่ทำเรื่องนี้อย่าง “ชัวร์ก่อนแชร์” ที่ได้มาเปิดเผยเรื่องราวทางการแพทย์ปลอม ๆ (รวมถึงเรื่องราวข่าว fake news ด้านอื่น ๆ ) ที่ว่อนอยู่ในโลกออนไลน์ ซึ่งคนไทยก็สามารถนำมาใช้ในการเช็คข้อมูลก่อนได้ หรืออีกแหล่งก็คือ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti-Fake News Center Thailand) โดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

บทส่งท้าย

ในฐานะผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (Autoimmune Disease) ที่ต้องพึ่งพายากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต Karen เข้าใจดีถึงความหวังที่จะพบวิธีรักษาใหม่ๆ แต่เราต้องไม่ลืมตั้งคำถามสำคัญกับข้อมูลที่ได้รับ เพราะการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้องจะนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง

References :
3 questions to ask before buying into health trends | Karen Dawe | TEDxBristol
https://youtu.be/Is0dBgMnlVU?si=vw4lLLwUXvjiJ11T

90% ของความสุขอยู่ในลำไส้! ทำความรู้จัก ‘เซโรโทนิน’ กุญแจไขความสุขที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ

มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาที่จะมีความสุขและพลังงานที่เปี่ยมล้นในการดำเนินชีวิต แต่หลายคนกลับพบว่าตนเองติดอยู่ในวงจรของความเหนื่อยล้าและความรู้สึกด้านลบ จนไม่สามารถดูแลตัวเองหรือทำสิ่งที่สร้างสรรค์ได้ ซึ่งยิ่งซ้ำเติมให้สภาพจิตใจแย่ลงไปอีก กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ยากจะหลุดพ้น

แต่ในโลกของวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ค้นพบว่า กุญแจสำคัญที่จะไขความลับนี้อยู่ที่สารเคมีในร่างกายที่เรียกว่า “เซโรโทนิน”

ความเชื่อมโยงระหว่างสมองและลำไส้

ในร่างกายของมนุษย์ มีระบบการทำงานที่ซับซ้อนและน่าทึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างสมองและลำไส้ ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “สมองที่สอง” คำพูดที่ว่า “รู้สึกจุกที่ท้อง” หรือ “ท้องไส้ปั่นป่วน” เมื่อรู้สึกกลัว ไม่ได้เป็นเพียงสำนวนที่ใช้พูดกันเล่นๆ แต่มีรากฐานมาจากความจริงทางวิทยาศาสตร์

ในลำไส้ของมนุษย์มีเซลล์ประสาทมากถึง 100 ล้านเซลล์ ทำหน้าที่สื่อสารกับสมองผ่านระบบที่เรียกว่า “การสื่อสารกันระหว่างสมองและลำไส้ (gut-brain axis)” โดยมีเซโรโทนินเป็นตัวกลางสำคัญในการสื่อสารนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ 90% ของเซโรโทนินในร่างกายถูกผลิตขึ้นที่ลำไส้

กลไกการทำงานของเซโรโทนิน

เซโรโทนินทำงานผ่านกลไกสำคัญสองประการ ประการแรกคือการสื่อสารผ่านเส้นประสาทเวกัส (Vagus nerve) ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เชื่อมต่อสมองกับอวัยวะสำคัญต่างๆ รวมถึงหัวใจ กระเพาะอาหาร และลำไส้ เมื่อระดับเซโรโทนินในลำไส้เปลี่ยนแปลง จะส่งผลต่อสัญญาณที่ส่งไปยังสมองโดยตรง

ประการที่สองคือการทำงานผ่านกรดอะมิโนที่เรียกว่าทริปโตเฟน (Tryptophan) ซึ่งร่างกายได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ทริปโตเฟนจะถูกเปลี่ยนเป็นเซโรโทนินในสมอง ดังนั้น หากร่างกายไม่ได้รับทริปโตเฟนอย่างเพียงพอ ก็จะส่งผลต่อระดับเซโรโทนินในสมองด้วย

แนวทางการเพิ่มระดับเซโรโทนิน

TJ Power นักประสาทวิทยาศาสตร์จาก Dose Lab ได้นำเสนอแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับเซโรโทนิน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ

1. การเดินในธรรมชาติ: กฎทองของเซโรโทนิน

ประเทศญี่ปุ่นมีแนวปฏิบัติที่เรียกว่า Shinrin-Yoku หรือ “การอาบป่า” ซึ่งเป็นการใช้เวลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าการทำ Shinrin-Yoku สามารถลดระดับฮอร์โมนความเครียด ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความดันโลหิต และกระตุ้นระบบประสาทที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย

มนุษย์ใช้เวลากว่า 300,000 ปีในการวิวัฒนาการท่ามกลางธรรมชาติ การได้กลับไปสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติจึงช่วยปรับสมดุลของร่างกายและจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. พลังแห่งแสงอาทิตย์

การรับแสงแดดในช่วงเช้าเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นการผลิตเซโรโทนิน แสงธรรมชาติช่วยปรับนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าในตอนเช้าและง่วงนอนในเวลาที่เหมาะสม แม้ในวันที่มีเมฆมาก การอยู่กลางแจ้ง 15 นาทีก็ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกาย

3. การดูแลสุขภาพลำไส้

เนื่องจากลำไส้เป็นแหล่งผลิตเซโรโทนินที่สำคัญ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อจุลินทรีย์ในลำไส้จึงมีความสำคัญ อาหารที่อุดมด้วยโพรไบโอติก เช่น ชาหมัก (Kombucha), กิมจิ, ซาวร์เคราต์ (sauerkraut), ถั่วเหลืองหมัก (Tempeh) รวมถึงผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีสและโยเกิร์ต ล้วนช่วยส่งเสริมสุขภาพลำไส้

4. เทคนิคการหายใจเพื่อความสมดุล

การหายใจแบบ “resonance breathing” โดยหายใจเข้า 4 วินาทีและหายใจออก 6 วินาที ช่วยกระตุ้นระบบประสาทที่ควบคุมการผ่อนคลาย ส่งผลให้ระดับเซโรโทนินในร่างกายเพิ่มขึ้น

5. การนอนหลับอย่างมีคุณภาพ

การนอนหลับลึก หรือที่เรียกว่า Delta sleep มีความสำคัญต่อการรีเซ็ตตัวรับเซโรโทนินในสมอง การมีกิจวัตรก่อนนอนที่ดี เช่น การหลีกเลี่ยงแสงสีฟ้าจากหน้าจอ การอ่านหนังสือ หรือการทำสมาธิ จะช่วยให้ได้รับการพักผ่อนที่มีคุณภาพ

บทสรุป

การเพิ่มระดับเซโรโทนินไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความเข้าใจและความตั้งใจในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การกลับไปใกล้ชิดธรรมชาติ การดูแลสุขภาพลำไส้ และการมีกิจวัตรที่ดี ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสุขและพลังงานที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เหล่านี้อาจดูเรียบง่าย แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นยิ่งใหญ่และยั่งยืน เพราะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างร่างกายและจิตใจได้อย่างเป็นธรรมชาตินั่นเองครับผม

References :
5 Simple Habits that Will Make You Feel Incredible
https://youtu.be/EuVKpMRl7ik?si=uox3BTaK0UmrOPzZ

เจาะลึกปัญหา Millennials : กับความจริงที่องค์กรไม่กล้าพูด สู่โลกการทำงานที่เปลี่ยนไป

ในโลกการทำงานปัจจุบัน หนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือการทำงานร่วมกับคนรุ่น Millennials หรือคนที่เกิดตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา เพราะเป็นวัยที่เข้าสู่โลกของการทำงานแบบเต็มตัวและได้ก้าวขึ้นเป็นกำลังหลักของหลากหลายองค์กรในยุคปัจจุบัน

พวกเขามักถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่บริหารจัดการยาก มีความคิดว่าตนเองมีสิทธิพิเศษ หลงตัวเอง เห็นแก่ตัว ขาดจุดโฟกัส และขี้เกียจ โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “การคิดว่าตัวเองมีสิทธิพิเศษ” ได้กลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงมากที่สุด

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจาก Sinmon Sinek ที่ให้สัมภาษณ์ไว้กับรายการ Inside IQ Quest โดย Tom Bilyeu ที่พูดคุยถึงปัญหาที่น่าสนใจของคนในยุค Millennials และแนวโน้มนี้ก็จะเกิดขึ้นกับคนยุคถัดไปที่จะเข้าสู่โลกการทำงานทั้ง Gen Z , Gen Alpha หรือจะเป็น Gen ChatGPT ในอนาคต

รากเหง้าของปัญหา: การเลี้ยงดูที่ผิดพลาด

คน Millennials จำนวนมากเติบโตมาภายใต้วิธีการเลี้ยงดูที่สร้างความเชื่อผิดๆ พวกเขาถูกปลูกฝังว่าตนเองพิเศษและจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการเพียงเพราะอยากได้ หลายคนได้เกรด A ไม่ใช่เพราะทำคะแนนได้ แต่เพราะครูหลีกเลี่ยงปัญหากับผู้ปกครอง บางคนได้รับรางวัลเพียงเพราะเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งการศึกษาพบว่าสิ่งนี้ทำให้คุณค่าของรางวัลลดลงสำหรับผู้ที่ทำงานหนักจริงๆ

เมื่อก้าวเข้าสู่โลกแห่งความจริง พวกเขาพบว่าตนเองไม่ได้พิเศษอย่างที่เคยเชื่อ ไม่มีใครสามารถช่วยให้ได้เลื่อนตำแหน่ง และไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการเพียงเพราะอยากได้ ภาพลักษณ์ที่มีต่อตนเองพังทลาย ส่งผลให้คนรุ่นนี้มีความมั่นใจในตนเองต่ำกว่าคนรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด

อิทธิพลของเทคโนโลยี: ดาบสองคม

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อพวกเขาเติบโตมาพร้อมกับ Facebook และ Instagram ซึ่งทำให้ทุกคนเก่งในการใส่ฟิลเตอร์ให้ชีวิต แสดงภาพลวงตาว่าชีวิตสมบูรณ์แบบแม้ความจริงจะกำลังเผชิญกับภาวะซึมเศร้า ทุกคนดูเหมือนเข้มแข็งและมีชีวิตที่ลงตัว แต่น้อยคนนักที่จะเข้มแข็งจริงและรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร

การใช้โซเชียลมีเดียและโทรศัพท์มือถือส่งผลให้ร่างกายหลั่งสาร dopamine ซึ่งเป็นสารเคมีชนิดเดียวกับที่ทำให้รู้สึกดีเมื่อสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือเล่นการพนัน นี่คือเหตุผลที่ทำให้เรารู้สึกดีเมื่อได้รับ Notification จากข้อความ ได้รับการตอบกลับ หรือได้รับไลค์ในโซเชียลมีเดีย

Sinek มองว่าปัญหาสำคัญคือสังคมมีการจำกัดอายุสำหรับการสูบบุหรี่ การพนัน และการดื่มแอลกอฮอล์ แต่กลับไม่มีการจำกัดการใช้โซเชียลมีเดียและโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเปรียบเสมือนการเปิดตู้เหล้าให้วัยรุ่นในช่วงที่กำลังเผชิญความเครียดสูง

ความไม่อดทน: ผลพวงจากยุคดิจิทัล

คน Millennials เติบโตมาในยุคที่ทุกอย่างได้รับการตอบสนองทันที ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อของผ่าน Amazon การดูหนังผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง หรือการหาคู่ผ่านแอปพลิเคชัน

แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ คือความพึงพอใจในงานและความสัมพันธ์ที่แท้จริง ซึ่งไม่มีแอปใดสามารถมอบให้ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลา ความอดทน และความพยายามอย่างต่อเนื่อง

ตัวของ Sinek เองก็ได้พบเจอกับเด็กรุ่นใหม่ที่ยอดเยี่ยม ขยัน และฉลาด ที่เพิ่งเรียนจบและเข้าทำงานระดับเริ่มต้น เมื่อ Sinek ได้ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่บอกว่า “ผม/หนูคิดจะลาออก” “ผม/หนูรู้สึกว่าไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรเลย” ทั้งที่พวกเขาเพิ่งทำงานแค่ 8 เดือน

Sinek กล่าวว่า เด็กเหล่านี้เหมือนกำลังยืนอยู่ที่เชิงเขา และมีแนวคิดที่เป็นนามธรรมมาก ๆ อย่างเช่น เรื่องการสร้างผลกระทบที่พวกเขาอยากจะมีต่อโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนยอดเขา แต่พวกเขามองไม่เห็นภูเขา เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะปีนขึ้นไปเร็วหรือช้า ภูเขายังคงอยู่ตรงนั้นเสมอ

สภาพแวดล้อมองค์กร: ความท้าทายที่ต้องเผชิญ

องค์กรในปัจจุบันมักให้ความสำคัญกับตัวเลขมากกว่าคน เน้นผลประโยชน์ระยะสั้นมากกว่าการพัฒนาระยะยาว และมุ่งเน้นผลงานรายปีมากกว่าการเติบโตตลอดชีวิตการทำงาน

นั่นทำให้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ไม่เอื้อต่อการสร้างความมั่นใจ การพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกัน หรือการค้นพบความสุขที่แท้จริงจากการทำงาน

แนวทางการแก้ไข: ความรับผิดชอบขององค์กร

องค์กรต้องตระหนักว่านี่ไม่ใช่ความผิดของคน Millennials และต้องปรับตัวเพื่อช่วยเหลือพวกเขา โดย Sinek ได้เสนอแนวทางดังนี้:

  1. สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาความมั่นใจและทักษะทางสังคม
  2. กำหนดนโยบายการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น การห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในห้องประชุม
  3. ส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์ผ่านการปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัว
  4. สอนเรื่องความอดทนและคุณค่าของการทำงานระยะยาว

บทสรุป

ต้องบอกว่าปัญหานี้มันไม่ได้เฉพาะกลุ่มคนรุ่น Millennials แต่ยังรวมถึงคนรุ่นถัดไป เพราะฉะนั้นการเข้าใจและช่วยเหลือคนรุ่นใหม่เหล่านี้มันไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความรับผิดชอบขององค์กรที่ต้องชดเชยข้อบกพร่องของสังคมและระบบการศึกษา เพื่อช่วยให้คนรุ่นที่มีอุดมการณ์และศักยภาพเหล่านี้สามารถพัฒนาความมั่นใจ เรียนรู้ความอดทน พัฒนาทักษะทางสังคม และค้นพบความสมดุลที่ดีระหว่างชีวิตกับเทคโนโลยี เพราะนี่คือสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำเพื่ออนาคตของทั้งองค์กรและสังคมโดยรวมนั่นเองครับผม

References :
This Is Why You Don’t Succeed – Simon Sinek on The Millennial Generation
https://youtu.be/xNgQOHwsIbg?si=lX5vTdT_jO42GSBs