fbpx

Geek Forever

ด.ดล Blog

Open Your World with Technology. เปิดโลกใบใหม่ของคุณ ด้วยเรื่องราวของเทคโนโลยี ( Business x Technology x Inspirational Stories )

HOME

  • ABOUT ME
  • BECOME A SUPPORTER
  • CONTACT
  • EDITORS ‘ PICKS
  • PODCAST

Follow us

  • facebook
  • twitter
  • instagram
  • youtube
  • linkedin
  • tiktok
  • blogger
  • line

Categories

  • Ads & PR
  • AI & Robot
  • Automobiles
  • Blog Series
    • A Day In The Life
    • Billion Dollar Loser
    • Cyberwar
    • Digital Music War
    • Failed Startup
    • JT 8704
    • Leadership Styles
    • Life of Pine
    • Paypal Mafia
    • Paypal Wars
    • Search War
    • Smartphone War
    • Tokyo in the Rain
    • ประวัติ Bill Gates
    • ประวัติ Bitcoin
    • ประวัติ Elon Musk
    • ประวัติ Ethereum
    • ประวัติ Google
    • ประวัติ iPod
    • ประวัติ Jack Ma
    • ประวัติ Jeff Bezos
    • ประวัติ Jho Low
    • ประวัติ mark zuckerberg
    • ประวัติ MBS
    • ประวัติ Netscape
    • ประวัติ Steve Jobs
    • ประวัติ TikTok
    • ประวัติ Tim Cook
    • ประวัติ Twitter
    • ประวัติ Vladimir Putin
    • ประวัติ เกาหลีใต้
  • Business
  • Case Study
  • COVID-19
  • Cryptocurrency
  • Economy
  • Entertainment
  • Entrepreneurship
  • Games
  • Healthcare
  • Insights
  • Inspiration
  • Investment
  • Marketing
  • News
  • Podcast
    • Geek Book
    • Geek China
    • Geek Daily
    • Geek Life
    • Geek Monday
    • Geek Story
    • Geek Talk
  • Podcast Series
    • Chip War
    • Digital Music War
    • Rise of South Korea
    • Search War
    • Smartphone War
    • ประวัติ Bill Gates
    • ประวัติ Elon Musk
    • ประวัติ Google
    • ประวัติ Jack Ma
    • ประวัติ Jeff Bezos
    • ประวัติ Mark Zuckerberg
    • ประวัติ Tim Cook
    • ประวัติ WeWork
    • ประวัติการก่อตั้ง Twitter
    • ประวัติการสร้าง iPod
  • Politics
  • Popular Blog
  • Programming
  • Recommendations
  • Review
    • Books
    • Documentary
    • Movies
    • Products
    • Series
  • Science & Tech
  • Self Help
  • Sport
  • Startup
  • Story
  • The Story
  • Travel
  • World War III

Archives

  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • May 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017
  • October 2017
  • September 2017
  • August 2017
  • July 2017
  • June 2017
  • May 2017
  • April 2017
  • March 2017
  • February 2017
  • September 2016
  • June 2016
  • April 2016
  • March 2016
  • February 2016
  • January 2016
  • December 2015
  • October 2015
  • September 2015
  • May 2015
  • April 2015
  • March 2015
  • February 2015
  • December 2014
  • November 2014
  • October 2014
  • September 2014
  • August 2014
  • April 2014
  • March 2014
  • February 2014
  • January 2014

หมอ คืออะไร

TOEFL คืออะไร

ACT คืออะไร

A-Level คืออะไร

TGAT คืออะไร

CU-AAT คืออะไร

CU-ATS คืออะไร

Meta

  • Log in
  • Entries feed
  • Comments feed
  • WordPress.org

Month: November 2018

ประวัติ mark zuckerberg ตอนที่ 5 : The GodParker

By tharadhol in Books, Business, Investment, Marketing, Programming, Science & Tech, Startup, Story November 28, 2018

หลาย ๆ คนอาจจะรู้จัก ฌอน ปาร์กเกอร์ (Sean Parker) ผู้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรี จากเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง บริการแชร์ไฟล์เพลงชื่อดัง อย่าง napster ร่วมกับ ชอว์น แฟนนิ่ง โดยเป็นการก่อตั้งตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แต่สร้าง effect มหาศาลให้กับอุตสาหกรรมดนตรีทั่วโลก  ซึ่ง napster นั้นประสบความสำเร็จใหญ่หลวงในการบรรลุเป้าหมาย ในการปลดปล่อยอิสระ แก่วงการเพลง และอีกทางหนึ่งก็เป็นการ disrupt ธุรกิจเพลงสมัยเก่าอย่างสิ้นซาก ดังที่จะเห็นในวันนี้ว่า แทบจะไม่มีร้านขาย CD เพลงอีกต่อไป จากเดิมที่เคยเป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่

แม้สุดท้ายนั้น napster จะถูกฟ้องร้องจากค่ายเพลงจำนวนมาก จนถึงกับล้มละลาย เพราะเป็นบริการแชร์ไฟล์ ที่ผิดกฏหมาย แต่มันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการเพลงอย่างชัดเจน การซื้อขายเพลงรูปแบบเก่าที่เป็นแบบ physical CD แทบจะหายไปจากตลาด และได้กลายมาเป็นระบบดิจิตอลแทนทั้ง จนถึงวันนี้ก็ได้พัฒนามาเป็น บริการด้าน streaming อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

napster ที่เคยล้มละลายไม่เป็นท่าหลังจากถูกฟ้องร้อง

napster ที่เคยล้มละลายไม่เป็นท่าหลังจากถูกฟ้องร้อง

หลังจากจบไม่สวยกับ napster นั้น ฌอน ปาร์กเกอร์ ก็พยายามที่จะรังสรรค์ สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา โดยปรับปรุงตัวใหม่จากหนุ่มเสเพลย์ ให้กลายเป็นนักธุรกิจเต็มตัว แล้วเริ่มสร้างบริการนามบัตรออนไลน์ ในชื่อ “แพล็กโซ” บริษัที่ ฌอน ปาร์กเกอร์  หวังว่าจะลบภาพลักษณ์เดิม ๆ ของเค้าจากความล้มเหลวที่ napster ให้กลับมายิ่งใหญ่ใน ซิลิกอน วัลเลย์ ได้อีกครั้ง

plexo ความล้มเหลวอีกครั้งของ ฌอน ปาร์คเกอร์

plexo ความล้มเหลวอีกครั้งของ ฌอน ปาร์คเกอร์

แต่ทุกอย่างที่เค้าฝัน ก็ต้องพังทลายอีกครั้ง เมื่อถูก บริษัทลงทุน อย่าง เซคัวเอีย แคปปิตอล ของ ไมเคิล มอริตซ์ ซึ่งเป็นบริษัทที่เค้าชักนำเข้ามาเองให้มาลงทุนกับ แพล็กโซ นั้น ถีบเค้าออกจากบริษัท และยึดบริษัทไปครองเป็นของตัวเองแทน เนื่องจากปัญหาหลายอย่างในความไม่ลงรอยกันระหว่าง ฌอน ปาร์กเกอร์ กับ ไมเคิล มอริตซ์ ซึ่งเป็นที่มาของการที่จะต้องหาบริษัทใหม่ ที่กำลังเกิดอยู่ที่ไหนซักแห่ง อีกครั้งเพื่อมากู้หน้าตัวเอง และสั่งสอนพวกบริษัทลงทุนเหล่านี้ ที่เหมือนขโมยบริษัทของเขาไปต่อหน้าต่อตา ได้อย่างเจ็บแสบที่สุด

ชั้นจะตามหานายให้เจอ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

แม้จะผ่านมาช่วงหนึ่งแล้วหลังจากที่เค้า โดนถีบออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งอย่าง แพล็กโซ แต่ ฌอน ปาร์กเกอร์ ก็ยังคงวนเวียน อยู่แถบ แคลิฟอร์เนียร์ รวมถึง ซิลิกอน วัลเลย์ แม้โดยทฤษฏี แล้วนั้น เค้าก็ยังถังแตกอยู่ จากสองบริษัทแรก แต่ ก็มีชื่อเสียงพอควร ในแถบ ซิลิกอน วัลเลย์ มีเพื่อนเป็นเศรษฐีมากหน้าหลายตา ที่เค้าสนิทด้วย ซึ่งชีวิตช่วงนั้น ก็ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการปาร์ตี้ รวมถึง มองหา startup ที่น่าสนใจ ที่จะทำให้เค้าสามารถที่จะกลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง และมันต้องไม่ล้มเหลวแบบสองครั้งแรก

ซึ่งในช่วงปี 2003-2004 นั้น ความ hot มันอยู่ที่เครือข่ายสังคม online ที่เว๊บเกิดขึ้นมากมายแล้ว ตัวอย่างเช่น friendster หรือ myspace  ซึ่ง ฌอน ปาร์กเกอร์ มองว่าเป้าหมายถัดไปของตัวเองต้องเป็นเครือข่ายสังคมซักตัว ที่จะมาเปลี่ยนโลกได้ มันต้องเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ลำดับถัดไปอย่างแน่นอน หลังจาก ที่ google ทำสำเร็จมาแล้วกับ search engine

มีสัมพันธ์ที่ดีกับ peter thiel

มีสัมพันธ์ที่ดีกับ peter thiel

และส่วนนึงเค้าก็ยังมีการสร้างความสัมพันธ์กับ friendster ไว้ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยแนะนำ บริษัทลงทุน หรือ VC ไปให้กับผู้ก่อตั้ง friendster  เพราะ connection มากมายหลายคนที่สนิทในวงการจากการทำ startup 2 ตัวแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับ ปีเตอร์ ธีล ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการก่อตั้ง paypal ทีกำลังก่อร่างสร้างตัวกับธุรกิจใหม่ในบริษัท VC เหมือนกัน

และในเดือน มีนาคม ปี 2004 หลังจากจบปาร์ตี้อย่างเมามันของคืนก่อน เค้าก็ตื่นขึ้นมาในห้องของสาวนักศึกษาคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่น่าจะควงกันมาจากปาร์ตี้ โดยที่แทบจะจำอะไรไม่ได้ แต่รู้ว่าต้องเป็นห้องของผู้หญิงอย่างแน่นอน สมฉายา แบดบอย แห่ง ซิลิกอน วัลเลย์ ที่ควงผู้หญิงเปลี่ยนหน้าตาไปเรื่อยๆ

หลังจากหายจากอาการเมาจากเมื่อคืน เค้าก็ลุกมานั่ง และพบว่า บนโต๊ะ ข้างที่นอน มีโน๊ตบุ๊คที่ยังคงเปิดค้างอยู่ ซึ่งมันไม่ใช่โน๊ตบุ๊คของเขาอย่างแน่นอน ซึ่งถึงเวลาที่ ฌอน ปาร์กเกอร์ ต้องเช็คเมล์ ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่เค้าต้องทำในทุก ๆ เช้าอยู่แล้ว

เมื่อเขาคว้าโน๊ตบุ๊กมาวางบนตัก แล้วพบเว๊บไซต์หนึ่ง online อยู่ แล้วเค้าก็พยายามเลื่อนเว๊บลงมาเพื่อตรวจสอบ แต่ต้องบอกว่า เป็นสิ่งที่เซอร์ไพรซ์ เขาเป็นอย่างมาก เค้าไม่เคยเห็นเว๊บไซต์แนวนี้มาก่อน มันดูเรียบง่าย มีรูปโปรไฟล์ของเจ้าของ account โชว์อยู่ ทุกอย่างดูดี ด้วยสีฟ้าของ แถบด้านบน มันดูไม่รกตา มี profile ของสาวดังกล่าว มีรายชื่อเพื่อน ๆ ของเธอ เพลงที่เธอชอบ รวมถึงหนังสือ ที่เธอชอบ วิชาที่กำลังลงทะเบียนเรียน

ชั้นจะตามหานายให้เจอ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

ชั้นจะตามหานายให้เจอ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

ซึ่งทุก activity ในเว๊บนั้นมามาจากเพื่อนของเธอจริงๆ มันคือ เครือข่ายสังคมของจริง ที่ขับเคลื่อนชีวิตในมหาลัย  ฌอน ปาร์กเกอร์ ตาเบิกโพลง ในที่สุดเค้าก็เจอสิ่งที่เค้าต้องการแล้ว นี่แหละ คือสิ่งที่เค้าตามหา social network ที่เป็นเครือข่ายสังคมจริง ๆ มันชัดเจนมาก ชีวิตในมหาลัย มันเป็นกลุ่มคนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และยังเป็นช่องว่างของตลาดที่ตอนนั้น friendster หรือ myspace ยังไม่นึกถึง เมื่อเลื่อนมาตรงสุดท้ายที่ footer ของหน้าเว๊บ มันเขียนไว้ว่า “ผลงานของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก”

“นี่มันคือสิ่งเดียวกันชัด ๆ ที่ผมอยากจะทำ นี่มันต้องเป็นสิ่งที่พลิกโลก ได้อย่างแน่นอน มันต้องกลายเป็นบริษัท มูลค่าหลายพันล้านเหรียญ แล้วชั้นจะตามหานายให้เจอ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก”  ฌอน ปาร์กเกอร์ กล่าว

The GodParker

หลังจาก thefacebook เปิดให้ใช้งานมา กว่า 3 เดือนครึ่ง กระจายไปยังหลาย ๆ มหาลัย ทั่วสหรัฐอเมริกา มีผู้ใช้งานสูงถึงกว่า 75,000 คนแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ต้องเพิ่มมากขึ้นตาม ค่า server ต่าง ๆ ที่ต้องรองรับการใช้งานเพิ่มขึ้นในส่วนนี้นั้น ก็ต้องใช้ของ เอดูอาร์โด ซาเวริน ที่เป็นนายทุนหลักของ thefacebook กว่าหลายพันเหรียญ

เพราะฉะนั้นในฐานะ CFO การปล่อยให้เงินไหลออกไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีรายรับเข้ามาคงไม่ดีแน่ เอดูอาร์โด ซาเวริน จึงได้เริ่มทำการออกตระเวนหาสปอนเซอร์ ที่จะเข้ามาสนับสนุน เว๊บไซต์ ผ่านการโฆษณา จึงได้จัด Business Trip เพื่อไปที่นิวยอร์ค ร่วมกับ มาร์ค และ แฟนสาวของเอดูอาร์โด ซาเวริน (เคลลี่) ที่จะมาเยี่ยมครอบครัวที่นิวยอร์กพอดี

แม้ เอดูอาร์โด ซาเวริน จะพยายามนัดหาพาร์ทเนอร์ เพื่อมาลงโฆษณากับ thefacebook กับธุรกิจหลายราย แต่มันไม่เคยเป็นไปด้วยความราบรื่นเลย เพราะมาร์ค นั้น ไม่ได้อยากจะให้ เว๊บมีโฆษณา ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าทิศทางของเว๊บ จะเป็นยังไงต่อไป โดยเอาแต่หลับ หรือ เงียบกริบ เมื่อพูดคุยเรื่อง ธุรกิจกับ เหล่า สปอนเซอร์ที่คาดว่าจะเป็นลูกค้า thefacebook

facebook ต้องมีโฆษณามาหล่อเลี้ยง

thefacebook ต้องมีโฆษณามาหล่อเลี้ยง

แม้สถิติ การใช้งานทุกอย่างจะดูดี ผู้ใช้งาน thefacebook นั้น มีแนวโน้มที่จะเข้ามาใช้อีกกว่า 67% แต่ในช่วงนั้นก็ต้องยอมรับว่า เครือข่ายสังคมออนไลน์ แบบที่ thefacebook ทำนั้นยังเป็นเรื่องใหม่ ที่เหล่านักธุรกิจต่าง ๆ ยังไม่เข้าใจ ว่าจะใช้ประโยชน์จากมันยังไง

แต่มีการนัดกับคน ๆ หนึ่ง ที่มาร์คให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยจัดขึ้นที่ร้านอาหารจีนสุดหรู แห่งหนึ่ง กลางเมืองนิวยอร์ก ซึ่งเค้าคนนั้นก็คือ ฌอน ปาร์กเกอร์  ผู้ที่ในที่สุดก็ตามหามาร์ค จนเจอนั่นเอง แต่ดูเหมือน  เอดูอาร์โด ซาเวริน จะกังวลกับ นัดครั้งนี้อยู่มาก เพราะชื่อเสียงที่ย่ำแย่ของ ฌอน ปาร์กเกอร์  ที่เคยทำ 2 ในบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอินเตอร์นั้น พังพาบมาแล้วกับมือ ซึ่ง เอดูอาร์โด ซาเวริน เองก็ไม่รู้ว่าทำไม ฌอน ถึงอยากพบเจอกับพวกเขา

เมื่อ ฌอน มาถึง แม้จะสายกว่าเวลานัดไปมาก แต่ดูเหมือน มาร์ค จะตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้พบกับ ฌอน ซึ่งถ้ามองในเรื่อง computer แล้วนั้น ฌอน ถือเป็นเทพแห่งวงการ เป็น hacker มือฉมัง จึงไม่แปลกใจที่ มาร์ค จะดูเหมือน เทิดทูน ฌอน เป็นอย่างมาก ผิดกับ เอดูอาร์โด ซาเวริน ที่มองแต่ด้านธุรกิจ รวมถึง ข่าวเสีย ๆ หาย ๆ เรื่อง เหล้ายา เป็นหนุ่ม ปาร์ตี้ และเป็น แบดบอย แห่ง ซิลิกอน วัลเลย์

ในสายตาของ มาร์คแล้วนั้น ฌอน คือเทพเจ้าดี ๆ นี่เอง การพูดคุยกันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง facebook เลย เป็น ฌอน ที่ร่ายยาว ประวัติส่วนตัว การผจญภัย ในซิลิกอน วัลเลย์ของเขา ตั้งแต่การก่อตั้ง napster ตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ การถูกฟ้องล้มละลาย มาสร้างบริษัทใหม่อย่าง แพล็กโซ ซึ่งหวังจะกู้ชื่อกลับมา แต่สุดท้าย ถูกถีบส่งทิ้งอย่างไม่ใยดี อย่าเรียกว่า business meeting เลย เป็น ฌอน ปาร์กเกอร์โชว์ เสียมากกว่า เพราะมีการคุยกันเรื่อง facebook เพียงนิดหน่อย เป็นการถามข่าวคราวอัพเดทล่าสุดเพียงเท่านั้น แล้วเค้าก็จากไป โดยสัญญากับมาร์คว่าจะหาทางพูดคุยกันต่ออีกครั้งในเร็ว ๆ นี้

มาร์ค มอง ฌอน เหมือนเป็นเทพเจ้าในขณะนั้น

มาร์ค มอง ฌอน เหมือนเป็นเทพเจ้าในขณะนั้น

จบการคุยกัน มาร์ค ถึง กับยังตาค้างอยู่กับ ความเทพ ที่พ่นออกมาจากปากของ ฌอน แม้ว่า ฌอน จะกลับไปนานแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนสีหน้าปลาบปลื้มของมาร์ค นั้น ยังไม่เลือนหายไปจากใบหน้าของเขาเลย ซึ่งไม่ใช่คำเกินเลย หากจะเรียก ฌอน ว่า The GodParker ของมาร์ค ตอนนี้ ฌอน เข้าไปอยู่ในใจมาร์ค เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอแค่ว่าจะมีโอกาสได้คุยกันอีกครั้งเมื่อไหร่ก็เท่านั้น

ส่วน เอดูอาร์โด เองก็ยังคิดไม่ออก ว่าจะทำอย่างไรกับ เว๊บไซต์นี้ดี จะทำเงินกับมันได้อย่างไร เพราะตอนนี้ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่เว๊บ ยังไม่มีทีท่าว่าจะทำเงินได้เลย และที่สำคัญคือ มาร์ค ยังมอง thefacebook เป็นเพียงเรื่องสนุก ความ cool  ความเจ๋งเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงเรื่อง business ใด  ๆ

และอีกอย่างนึงก็คือ ขณะนี้ก็ใกล้ช่วงปิดเทอมแล้ว ซึ่งมาร์ค กับทีมนั้นมีแผนการที่จะพาทีมไปยัง ซิลิกอน วัลเลย์ เพื่อไปซึมซับบรรยากาศการทำงาน และเข้าใกล้แหล่งเงินทุนให้มากขึ้น ส่วน เอดูอาร์โด นั้นเนื่องจากยังไม่เห็นทีท่าว่าเว๊บจะทำเงินได้อย่างไร จึงเลือกไปฝึกงานตามคำแนะนำของพ่อที่นิวยอร์ค แทน และใช้เวลาว่าง คอยหาสปอนเซอร์ ที่ส่วนใหญ่มีฐานบริษัทอยู่แถบนิวยอร์คแทบทั้งสิ้น

เค้าจึงคิดว่าการปล่อยมาร์ค กับทีมไปครั้งนี้คงไม่ได้เกิดปัญหาอะไร และเค้ายังลงเงินไปอีกกว่า 10,000 เหรียญ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของทีม ซึ่งใครจะไปคิดว่านี่ถือเป็นความคิดที่ผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ เอดูอาร์โด ทำ เพราะการไปบุก ซิลิกอน วัลเลย์ของมาร์คกับทีม โดยที่ตัวเองแยกมาที่นิวยอร์กคนเดียวในครั้งนี้นั้น ทำให้มาร์ค และ  thefacebook เปลี่ยนไปตลอดกาล แล้วเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนในช่วงปิดเทอมนั้น จะเปลี่ยนอะไรได้มากมายที่ ซิลิกอน วัลเลย์ โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 6 : Silicon Valley Effect

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning) *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

ประวัติ mark zuckerberg ตอนที่ 4 : Let’s expand

By tharadhol in Books, Business, Investment, Marketing, Programming, Science & Tech, Startup, Story November 27, 2018

จากตอนที่แล้ว หลังจาก thefacebook online ไปได้ไม่นาน นักศึกษาทั่วทั้ง มหาลัย ก็แห่กันมาใช้ thefacebook กว่า 5,000 คน คำว่า “คุยกันต่อใน facebook”  กลายเป็นเรื่องปรกติของนักศึกษาในมหาลัย ฮาร์วาร์ด

สิ่งที่ thefacebook ทำและต่างจาก social network อื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วอย่าง friendster หรือ myspace นั่นคือ เวลาที่ใช้งานของ user ซึ่งใครที่ใช้ facebook ในช่วงแรก ๆ นั้น เรียกได้ว่าติดหนึบ เลยทีเดียว ต้องมาคอย refresh รอดู activity ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแทบทุกนาที นี่คือ พลังของ social network ที่เป็น เครือข่ายสังคมที่แท้จริง

หยุดการเผยแพร่ thefacebook เดี๋ยวนี้ !!!

อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนที่แล้ว ด้วยความดังของ thefacebook ทำให้หนังสือพิมพ์ เดอะ คริมสัน นั้นประโคมข่าว ความสำเร็จนี้ไปทั่ว มีการสัมภาษณ์ ผู้ก่อตั้งอย่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เพื่อเทิดทูนความสามารถของเขา ที่ทำให้ thefacebook กลายเป็นชุมชม online ของเหล่านักศึกษาอย่างแท้จริง

ชื่อมาร์ค ดังไปทั่วทั้งมหาลัยฮาร์วาร์ด มีแต่คนอยากรู้จัก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เป็นคนที่แทบจะอยู่ในหลืบมุมมืดของ ฮาร์วาร์ด ไม่มีใครเคยสนใจ สาว ๆ เริ่มถามหามาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก อยากทำความรู้จัก จนไปถึงขั้น อยากออกเดทกับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กเลยด้วยซ้ำ

แต่อีกมุมหนึ่งนั้น คนที่โมโห หัวฟัดหัวเหวี่ยง ที่สุด น่าจะเป็นสองพี่น้อง Winklevoss และ divya narendra พาร์ทเนอร์ธุรกิจ ที่หวังจะทำให้ harvard connection กลายเป็นธุรกิจเริ่มต้นของตัวเอง เพื่อสร้างตัว แต่กลับถูก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ขโมย ไอเดียไปสร้าง thefacebook เสียอย่างงั้น

แจ้งให้หยุด thefacebook เดี๋ยวนี้

แจ้งให้หยุด thefacebook เดี๋ยวนี้

ทั้งสามจึงต้องรีบทำอะไรซักอย่าง เพื่อหยุดยั้ง thefacebook โดยเริ่มจากปรึกษา พ่อ ของพี่น้อง winklevoss เป็นลำดับแรก และได้รับคำแนะนำจากทีมกฏหมายของพ่อ ให้ส่งหนังสือ notice ไปยัง มาร์ค เพื่อให้หยุดเผยแพร่ thefacebook เป็นอย่างแรก

หลังจากมาร์ค ได้รับหนังสือทางกฏหมายเพื่อให้หยุดเผยแพร่ แต่ดูเหมือนมาร์ค จะไม่สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะคิดว่า thefacebook นั้นต่างกับ havard connection ของ winklevoss อยู่มาก และไม่มี code ส่วนใด ที่นำมาจากโครงสร้างเดิมของ harvard connection เดิมเลย

แต่คนที่สนใจเรื่องนี้กลับเป็น เอดูอาร์โด ซาเวริน  ผู้ร่วมก่อตั้ง thefacebook และควบตำแหน่ง CFO ที่ดูจะร้อนรน กับหนังสือแจ้งให้หยุดเผยแพร่ดังกล่าว เพราะอ่านดูแล้ว มันค่อนข้างซีเรียส และ ถูกเขียนมาด้วยทนายมืออาชีพ ที่เตรียมจะฟ้องร้อง มาร์ค หากไม่ทำการหยุดเผยแพร่

แต่แม้ เอดูอาร์โด ซาเวริน จะกระวนกระวายใจอย่างไรก็ตาม เค้าก็ยังเชื่อใจมาร์ค ว่าการสร้าง thefacebook นั้น แทบจะไม่เหมือน idea ของ harvard connection แต่ thefacebook นั้นเป็นการรังสรรค์ ใหม่ขึ้นมาของมาร์คแทบจะทั้งสิ้น

เมื่อไม่ได้รับการตอบสนอง ทางฝั่ง พี่น้อง winklevoss ก็พยายามตามตัวมาร์ค เพื่อมาคุย แต่มาร์คก็หลบหนีตลอด เลี่ยงการพูดคุยโดยตรงกับ winklevoss จน ต้องใช้วิธีสุดท้ายคือ เข้าพบอธิการฮาร์วาร์ด ซึ่งคือ แลร์รี่ ซัมเมอร์ อดีต รัฐมนตรีคลังของสหรัฐอเมริกา ที่มารับตำแหน่งเป็นอธิการของฮาร์วาร์ด

ฟ้องถึงอธิการบดี ก็ยังไม่เป็นผล

ฟ้องถึงอธิการบดี ก็ยังไม่เป็นผล

ซึ่งการได้พบกับ แลร์รี่ ซัมเมอร์ นั้นสองพี่น้องก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกระลอก เนื่องจาก แลร์รี่ ซัมเมอร์ นั้นมองว่า มันเป็นเรื่องของนักศึกษาทีมีปัญหากันเอง มหาลัย ไม่สามารถเข้าไปช่วยเรื่องนี้ได้ และได้พูดประโยคเด็ดคือ “นี่ไม่ใช่วิถีทางของฮาร์วาร์ด จิตวิญญาณของฮาร์วาร์ด คือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ  พวกคุณควรไปสร้างสิ่งใหม่แทน อย่าไปยึดติดกับสิ่งเดิม”  ทำให้สองพี่น้องหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปไม่น้อย ที่ไม่สามารถทำอะไรมาร์คได้เลย หลังจากใช้หลายวิธีแล้ว

Let’s expand

มันเป็นความคิดตั้งแต่แรกของมาร์ค อยู่แล้ว ที่ไม่ได้สร้าง thefacebook ขึ้นมาเพื่อใช้เพียงแค่นักศึกษา ฮาร์วาร์ด แต่เค้าต้องการที่ให้นักศึกษา ทั่วสหรัฐ อเมริกาได้ใช้ platform นี้ ซึ่งมันพิสูจน์แล้วว่า work!! ที่ ฮาร์วาร์ด

การที่นักศึกษาทั่วฮาร์วาร์ด ติด thefacebook กันงอมแงม ขนาดนี้ นั้นเป็นการ design มาอย่างดีของ thefacebook ที่จะนำเอาชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยยัดมาลง online และ platform ที่เป็นเว๊บไซต์ขณะนั้น เป็นเรื่องไม่ยากเลยที่จะขยายไปยังมหาลัยอื่น  ๆ

แผนแรกคือ การกระจายไปที่มหาลัยท็อป ๆ ของอเมริกาก่อน เช่น เยล โคลัมเบีย สแตนฟอร์ด เป็นต้น ซึ่งการที่จะทำให้บรรลุแผนการดังกล่าว ดูเหมือนว่าการที่จะทำการสองคนกับ เอดูอาร์โด ซาเวริน นั้นน่าจะเกินกำลังของทั้งคู่แล้ว จึงเป็นที่มาของการเพิ่มทีมงาน

ขยายกิจการเน้นไปที่มหาวิทยาลัยระดับท็อปก่อน

ขยายกิจการเน้นไปที่มหาวิทยาลัยระดับท็อปก่อน

โดยทีมงานชุดแรก ก็เอาคนใกล้ตัวก่อนเลยคือ ดัสติน มอสโกวิทซ์  และ คริส ฮิวจ์ เพื่อนร่วมห้อง หรือ roommate ของ มาร์ค นี่แหละโดย ดัสติน มอสโกวิทซ์ นั้นแม้จะเรียน แต่เศรษฐศาสตร์ แต่เป็นอัจฉริยะ ด้านคอมพิวเตอร์ จึงให้มาเป็น หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยี และมาเขียนโค้ด ช่วยเหลือ มาร์ค

สี่ทีมงานชุดแรกของ thefacebook

สี่ทีมงานชุดแรกของ thefacebook

ส่วน คริส ฮิวจ์ นั้นดูแลเรื่องการประชาสัมพันธ์ หรือ PR เพื่อให้ facebook ดังกระฉูดกว่าเก่า โดยจะแบ่งหุ้นให้ โดยจะตัดจากส่วนแบ่งของมาร์ค ไปให้ ส่วน  เอดูอาร์โด ซาเวริน นั้นจะดูและเรื่องการเงิน และเป็น CFO ของบริษัท และคงหุ้นไว้ที่ 30% ตามเดิม

เมื่อได้ทีมที่สมบูรณ์พร้อมขยายกิจการแล้วนั้น thefacebook ก็พร้อมแล้วที่จะกลายเป็น social network อันดับหนึ่งของอเมริกา แทน social network ปลอม ๆ อย่าง friendster หรือ myspace  และก้าวสำคัญที่สุดก้าวหนึ่ง คือการไปเปิดตลาดที่มหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด ซึ่งเป็นการบุกเข้าใกล้ซิลิกอน วัลเลย์ครั้งแรก และยังเป็นแหล่งบ่มเพาะสตาร์ทอัพดัง ๆ อย่าง yahoo , google  จนกลายเป็นบริษัทหมื่นล้านเหรียญมาแล้ว

และยังเป็นที่มาของการไปเจอตัวละครที่สำคัญโครต ๆ อย่าง ฌอน ปาร์กเกอร์ อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง napster และเป็น แบดบอย แห่ง ซิลิกอน วัลเลย์ ผู้ซึ่งจะมาปลุก thefacebook จาก startup เล็ก ๆ ให้กลายเป็น บริษัทมูลค่าหมื่นล้านเหรียญ แล้วอะไรที่เป็นพรหมลิขิต ให้ทั้งคู่มาพบเจอระหว่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เด็กเนิร์ดจาก ฮาร์วาร์ด และ ฌอน ปาร์กเกอร์ แบดบอย แห่งซิลิกอน วัลเลย์ โปรดติดตามในตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 5 : The GodParker

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning) *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

ประวัติ mark zuckerberg ตอนที่ 3 : Welcome to The Facebook

By tharadhol in Books, Business, Investment, Programming, Science & Tech, Startup, Story November 27, 2018

เราอาจจะเคยได้ยินข่าวเมื่อไม่นานมานี้ สำหรับการลอก idea จาก snapchat ของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก โดย นำมาพัฒนาของตัวเองในชื่อ Stories ที่ตอนนี้ มีทั้งใน facebook และ instragram โปรดักหลักทั้งสองตัว

ก็ต้องบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับ คนอย่าง มาร์ค ที่พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อจะให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ การ copy idea นั้นเป็นเรื่องปรกติของมาร์ค มีผลิตภัณฑ์ startup หลายตัวมากที่ มาร์ค ทำการลอกเลียนแบบ เพื่อหวังจะฆ่าทิ้ง หากไม่ยอมให้ซื้อกิจการแบบที่ snapchat ปฏิเสธการเข้าซื้อของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

Idea ตั้งต้นของ The Facebook

จากตอนที่แล้ว ถ้าจำกันได้ มาร์ค นั้นไม่ได้มีแนวคิดที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ social network อะไรมาก่อนเลย ทำ facemash มาก็เละไม่เป็นท่า กลายเป็นสาว ๆ ยี้กันทั้งมหาลัย

เพราะฉะนั้น แนวคิด เริ่มต้นมีความชัดเจนว่ามาจากสองพี่น้อง winklevoss ที่ มาร์ค ไปพบเพื่อเข้าร่วม project harvard connection อย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้มีหลักฐานมากมายในการส่ง email ระหว่าง มาร์ค กับ เหล่าสองพี่น้อง winklevoss เพื่ออัพเดทสถานะของ โปรเจค harvard connection

สองพี่น้อง winklevoss ยังไม่รู้วาถูก มาร์ค หลอก

สองพี่น้อง winklevoss ยังไม่รู้วาถูก มาร์ค หลอก

แต่สิ่งที่ สองพี่น้องไม่รู้ถึงความแสบของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ก็คือ มาร์ค นั้นได้สร้างโปรเจค social network ขึ้นมาอีกตัว โดยใช้ชื่อว่า thefacebook ซึ่งเป็นชื่อแรกก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็น facebook.com จนถึงทุกวันนี้

แม้ idea หลาย ๆ อย่างจะไม่เหมือนกันเลยซะทีเดียว เพราะทาง harvard connection นั้น จะมีส่วนของเว๊บที่เป็นการหาคู่ เดท แต่ key หลัก ๆ ที่เหมือนกันคือ ความเป็น exclusive network ซึ่งเป็น key features หลักของทั้ง thefacebook และ harvard connection

version แรก thefacebook เรียบหรู ดูดี ครบทุกฟังก์ชั่น social

version แรก thefacebook เรียบหรู ดูดี ครบทุกฟังก์ชั่น social

แต่หลาย ๆ features นั้นมาร์ค ก็ได้ใส่เพิ่มเข้าไปเองใน the facebook โดยเน้นให้เป็น social network แบบ exclusive จริง ๆ มีการสร้าง profile มีการ invite friend การ share รูปภาพ และความสนใจต่าง  ๆ  , class เรียน ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของเหล่านักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น โดยยัดมาไว้ในระบบ online ทั้งหมด ซึ่งความเป็น social นั้น thefacebook ของ มาร์ค มี มากกว่า harvard connection ของ สองพี่น้อง winklevoss อย่างเห็นได้ชัด ที่มาร์ค มองเป็นแค่ เว๊บหาคู่เดท online เท่านั้น

สร้างธุรกิจกับเพื่อน Love เพียงคนเดียวของเขา

ต้องบอกว่าในมหาลัย นั้น มาร์ค ก็แทบจะมีเพื่อนอยู่ไม่กี่คน แต่ บุคคลที่มาร์ค สนิทที่สุด น่าจะเป็น เอดูอาร์โด ซาเวริน ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่ 1

ไม่มีใครรู้ว่า ทำไม มาร์ค ถึง ไม่ยอมสร้าง harvard connection กับทีมงานของ winklevoss ทั้งที่มีทั้งทุนทรัพย์ รวมถึง connection มากมาย เนื่องจากเป็นลูกของเศรษฐี ส่วนนี้ไม่มีใครที่รู้แน่จริงชัดเจน อาจจะเพราะไม่ได้ถูกชะตา หรือ มองว่าตัวเขาเองสามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่า สองพี่น้องคู่นี้ได้ ด้วยตัวของเขาเอง

สำหรับ เอดูอาร์โด ซาเวริน นั้น ในขณะนั้น ได้เข้าร่่วมกับชมรม ฟินิกซ์ ซึ่งเป็นชมรม ชื่อดังแห่งหนึ่งของ harvard เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในวันสุดท้ายของการคัดเลือกเข้าชมรมนั่นเอง ที่มาร์ค ได้มาคุยเรื่อง idea ของ thefacebook ให้ เอดูอาร์โด ซาเวริน ฟัง

ซึ่ง เอดูอาร์โด ซาเวริน นั้นก็งง ว่าทำไมต้องเลือกเขา เพราะ เพื่อนร่วมห้องของมาร์ค อย่าง ดัสติน มอสโควิช นั้นก็เป็นโปรแกรมเมอร์มือดี ฝืมือไม่ต่างจากมาร์คมาก น่าจะช่วยเหลือได้ดีกว่า เอดูอาร์โด ซาเวริน ที่ไม่มีความรู้ทางด้านการเขียนโปรแกรมเลย

เลือกเพื่อนรักอย่าง เอดูอาร์โด ซาเวริน มาร่วมลงทุนก้อนแรก

เลือกเพื่อนรักอย่าง เอดูอาร์โด ซาเวริน มาร่วมลงทุนก้อนแรก

แต่ทุกอย่างก็เฉลย ด้วยเรื่องของเงินทุนตั้งต้น นั่นเอง เอดูอาร์โด ซาเวริน เป็นเซียน เรื่องเกี่ยวกับ อุตุนิยมวิทยา ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ ราคาน้ำมันที่ผันผวน โดยเค้าสามารถทำนายพายุเฮอริเคน ที่จะพัดเข้าฝั่งได้ ส่วนนี้ทำให้ในช่วงปิดเทอม นั้นสามารถทำกำไรจากการซื้อขายน้ำมันได้กว่า 300,000 เหรียญ ซึ่งเรื่องนี้ดังพอสมควร และเป็นส่วนหนึ่งให้เค้าสามารถเข้าชมรมฟินิกซ์ ที่เข้ายากแสนยากชมรมหนึ่งได้

นอกจากเรื่องเงินแล้ว มาร์ค ซึ่ง เป็นคนที่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใคร แทบจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ แล้วเค้าจะมาสร้าง social network โดยที่ไม่มีความรู้เรื่องการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างมันก็แปลกประหลาดอยู่

การมี เอดูอาร์โด ซาเวริน นั้น จะช่วยเหลือ ทั้งเรื่องเงิน รวมถึง คอยเป็นที่ปรึกษาใน features ต่าง ๆ ของ thefacebook ใน version แรกได้อย่างดี ว่าควรมี features อย่างไรบ้าง สังคมในมหาลัยนั้น ขับเคลื่อน ด้วยเรื่องเซ็กส์ การลุ้นที่จะหาคู่เดท ซึ่งเป็นสิ่งที่มาร์ค ไม่ถนัดเป็นอย่างยิ่ง

ซึ่งมีการตกลงกันชัดเจนตั้งแต่แรก โดยมาร์ค จะให้ส่วนแบ่ง 70:30 โดยจะให้ เอดูอาร์โด ซาเวริน 30 เปอร์เซ็นต์ สำหรับเงินทุนตั้งต้น 1,000 เหรียญ ไว้เป็นค่า server รวมถึง software ต่าง ๆ ให้ระบบสามารถ online ได้โดยไม่ทำให้ server พังเหมือนครั้งที่ทำ facemash อีก และ มองตำแหน่ง CFO ให้กับ เอดูอาร์โด ซาเวริน เพื่อดูแลส่วนของธุรกิจ ซึงเป็นงานที่ เอดูอาร์โด ซาเวริน นั้นถนัดอยู่แล้ว

Welcome to the facebook

ในระหว่างการตอบโต้ email กับ ทางฝั่ง พี่น้อง winklevoss มาร์ค ก็ใช้เวลาแทบจะทั้งหมด สร้าง thefacebook ขึ้นมา โดยไม่สนใจงานของ harvard connection อีกเลย โดยเค้าทำทั้งหมดอยู่คนเดียวต้องเขียนโค้ด กว่า หลายหมื่น บรรทัด ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาของ มาร์ค เลย เพราะเป็นงานที่มาร์ค ถนัดอยู่แล้ว ในเรื่องการเขียนโปรแกรม

สุดท้าย ในช่วงต้น ปี 2004 มาร์คใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ ในการเขียนโค้ด ทั้งวันทั้งคืน โดดเรียนแทบจะทุกวิชา เพื่อมุ่งพัฒนา thefacebook เพียงอย่างเดียว จนมันเสร็จสมบูรณ์พร้อม online

เขียน code แบบไม่หลับไม่นอน เพื่อสร้าง thefacebook version แรก

เขียน code แบบไม่หลับไม่นอน เพื่อสร้าง thefacebook version แรก

และ features ที่สำคัญสุดท้าย ที่ มาร์คได้ใส่ไปใน thefacebook นั่นคือ Relationship Status ฟังก์ชั่นนี้แหละ เป้น key ที่สำคัญ ที่จะทำให้คนแห่กันเข้ามาใช้ เพราะทำให้รู้ว่าใครโสด หรือ ไม่โสด หรือ ต้องการหาแฟน เหมือนป้ายห้อยติดคอบอกสถานะว่าเรามีแฟนแล้วหรือยังนั่นเอง

ในที่สุดวันที่รอคอย ก็มาถึง 4 กุมภาพันธ์ 2004 ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นวันแรกของการก่อกำเนิด เว๊บ social network ที่ยิ่งใหญ่ อย่าง facebook

มาร์ค ได้ทำการนัด เอดูอาร์โด ซาเวริน ไว้ที่หอพัก เพื่อเตรียมฉลอง การเปิดเว๊บ ซึ่ง เมื่อมาร์ค มาถึง ซึ่ง เอดูอาร์โด ซาเวริน รออยู่ ซึ่งเป็นเวลาก่อนนัด ถึง 20 นาที มาร์ค ก็ได้แก้ไข version สุดท้ายอีกนิดหน่อย และพร้อมที่จะทำให้มัน online แล้ว

แต่มันต้องมี mailing list แรกที่จะทำให้คนส่งต่อให้มากที่สุด ให้มาใช้งาน thefacebook ซึ่ง mailing list ของ เอดูอาร์โด ซาเวริน ที่อยู่ ชมรมฟินิกซ์ ชมรมชื่อดังของมหาลัย กลายเป็น key สำคัญอย่างแรก ที่ทำให้ thefacebook ดังกระฉูด จนฉุดไม่อยู่ในเวลาต่อมา เพราะหาก foward ไปให้ mailing list ของ มาร์ค มันก็วนอยู่แค่ เพื่อนที่คณะ computer science เท่านั้น ต่างจากของ ชมรมฟินิกซ์ ที่มีหนุ่ม ๆ ที่สาว ๆ ทั้งหลายหมายปอง การกระจายไปด้วย mailing list ดังกล่าว จะทำให้เกิดการส่งต่ออย่างรวดเร็ว จนฮิตติดลมบนทั่วมหาลัย

หลังจาก online หนังสือพิมพ์ เดอะ คริมสัน ประโคมข่าว มาร์ค จนกลายเป็นหนุ่ม hot

หลังจาก online หนังสือพิมพ์ เดอะ คริมสัน ประโคมข่าว มาร์ค จนกลายเป็นหนุ่ม hot

หลังจาก online เพียงไม่นาน นักศึกษาปริญญาตรี ในมหาวิทยาลัย harvard เข้ามาใช้ facebook กันอย่างถล่มทลาย กลายเป็น web ที่ทุกคนใช้งาน มาร์ค ถูกยกย่องอย่างยิ่งใหญ่ในการสร้าง thefacebook ลบภาพที่ถูกสาวยี้ทั้งมหาลัย กลายเป็นหนุ่ม hot ไปในชั่วข้ามคืนเท่านั้น

ซึ่งเรื่องของ thefacebook นี้ก็ไปถึงหูของ พี่น้อง winklevoss ในที่สุด แล้ว ฝั่ง winklevoss จะทำการล้างแค้นมาร์ค ที่ทำให้เจ็บแสบมาก ๆ ครั้งนี้อย่างไร มันคือการขโมย idea harvard connection ไปสร้าง thefacebook ของตัวเองชัด ๆ  โปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 4 : Let’s expand

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning) *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

ประวัติ mark zuckerberg ตอนที่ 2 : Harvard Connection (Exclusive Social Network)

By tharadhol in Books, Business, Science & Tech, Startup, Story November 26, 2018

ถ้าย้อนกลับไปในช่วงปี 2004 นั้น website social network ได้ถือ กำเนิดขึ้นแล้ว และมีเจ้าตลาดอยู่แล้วอย่าง ไม่ว่าจะเป็น friendster.com หรือ myspace.com  หรือในไทยเรา ก็เริ่มใช้ Hi5 กันแล้ว ถ้าหลาย ๆ คนยังคงจำได้

แล้ว facebook มันจะแจ้งเกิดได้อย่างไร ในวันที่ ระบบ social network เต็มไปหมดแล้ว ซึ่งถ้าใครหลายคนยังจำได้ การเข้าใช้งาน facebook ในช่วงแรก ๆ ที่เปิดให้คนทั่วไปใช้งานนั้น ต้องมีการ invite เข้าไปเล่น ไม่สามารถสมัครได้โดยตรง

Hi5 ดังเป็นพลุแตกในไทย ใคร ๆ ก็เล่นกันในสมัยนั้น

Hi5 ดังเป็นพลุแตกในไทย ใคร ๆ ก็เล่นกันในสมัยนั้น

ซึ่งความเป็น Exclusive  Network นี่แหละ คือ idea เริ่มต้นของการสร้าง facebook เลยก็ว่าได้ เพราะ ไม่งั้น มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ก็คงเพียงสร้าง social network ธรรมดาขึ้นมา ที่ไม่ต่างจาก frienster หรือ myspace ทำเท่านั้นเอง คงไม่ดังกระฉูดจนถึงวันนี้

สองพี่น้อง Winklevoss

ฮาร์วาร์ดนั้น มีชมรม ลับอยู่มากมาย ที่เหล่านักศึกษาทั่วมหาลัย หมายปองที่จะเข้าไปอยู่ เพราะ ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนเท่านั้น ที่ ฮาร์วาร์ดมีจุดเด่น แต่เรื่อง connection ต่าง ๆ เป็นเรื่องสำคัญ ศิษย์เก่าหลาย ๆ คนเป็นใหญ่เป็นโต เป็นนักธุรกิจ ร่ำรวย มีหน้ามีตาในสังคมทั้งนั้น ไล่ตั้งแต่ ประธานาธิดี ไปจนถึง นักกีฬา เหรียญทองโอลิมปิค ล้วนแล้วแต่ผ่านการเข้า ชมรมที่ exclusive เหล่านี้แทบจะทั้งนั้น

สองพี่น้อง Winklevoss

สองพี่น้อง Winklevoss

สองพี่น้อง Winklevoss ก็เป็นหนึ่งในนั้น สองคนนี้เป็นฝีพาย อันดับต้น ๆ ของประเทศ แถมยังเรียนเก่ง และ มาจากตระกูล เศรษฐีอีกต่างหาก ต้องบอกว่า เป็นหนุ่ม ๆ ที่สาว ๆ ใน ฮาร์วาร์ด ถวิลหาเลยก็ว่าได้

ซึ่งทั้งสองนั้น เป็นสมาชิกชมรม Poselion Club ซึ่งนับได้ว่าเป็นชมรม ระดับต้น ๆ ของมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ดเลยก็ว่าได้ การจะเข้าชมรมดังกล่าวได้ต้องมีดีพร้อมทุกอย่างเท่านั้น ซึ่งชมรมนี้จะเน้นไปในเรื่องของ การหา connection ทางด้านธุรกิจ เป็นหลัก ไม่ได้เน้น เรื่องปาร์ตี้ เหมือนชมรมอื่น ๆ ในฮาร์วาร์ด

divya narendra อีกหนึ่ง พาร์ทเนอร์ธุรกิจที่สำคัญ

divya narendra อีกหนึ่ง พาร์ทเนอร์ธุรกิจที่สำคัญ

ซึ่งทั้งฝาแฝดทั้งสอง และ เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งคือ divya narendra กำลังสร้างธุรกิจอย่างนึงอยู่ ที่พวกเค้าทั้งสาม ทำมากว่า 2 ปีแล้ว แต่ไม่เสร็จซักที เนื่องจาก โปรแกรมเมอร์หลักของทีมที่ชื่อ วิคเตอร์ นั้น กำลังวุ่นอยู่กับการเรียนในปีท้าย ๆ ซึ่งถือว่าหนักอยู่พอสมควร จึงเป็นที่มาของการหาโปรแกรมเมอร์คนใหม่ เพื่อมาสานต่อ idea ธุรกิจที่พวกเค้าคิดไว้ให้สำเร็จนั่นเอง

Harvard Connectinn (Exclusive Social Network)

จากตอนที่ 1 ด้วยข่าวที่ดังกระฉ่อนทั่วมหาลัยของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ที่ได้ลงหนังสือพิมพ์มหาลัยอย่าง เดอะ คริมสัน นั้น ทำให้ชื่อเสียงของมาร์คกระจายไปทั่วมหาลัย แต่ไม่ใช่ด้านที่ดีซักเท่าไหร่

ข่าวนี้ไปถึงหูของ สองพี่น้อง Winklevoss และ พาร์ทเนอร์ธุรกิจอีกคนอย่าง divya narendra ที่กำลังหา programmer คนใหม่มาสานฝันต่อ idea ธุรกิจของพวกเค้า

และในที่สุดทั้งสี่คนก็ได้พบเจอกัน เหมือนพรหมลิขิต ที่ถูกขีดชะตาไว้เรียบร้อยแล้ว มาร์ค ที่กำลังชื่อเสียงแย่จาก facemash ก็ต้องการกู้ชื่อเสียงตัวเองกลับมา รวมถึง idea ธุรกิจแสนบรรเจิดของ winklevoss และ divya narendra นั้น ก็คือ email ตระกูล @harard.edu ซึ่งเป็น email ที่ exclusive สุด ๆ เฉพาะนักศึกษา หรือ ศิษย์เก่าของ harvard เท่านั้น

friendster ที่ฮิตติดลมบนในขณะนั้น

friendster ที่ฮิตติดลมบนในขณะนั้น

idea ของพวกเค้าที่แตกต่างจาก social network อย่าง friendster หรือ myspace คือ ความเป็น exclusive network เฉพาะภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้น ซึ่ง มันใกล้ชิดกว่า นักศึกษาก็นำข้อมูลส่วนตัวมาลงได้อย่างไม่เคอะเขิน เพราะรู้ว่า เป็นการใช้แค่เพียงในมหาวิทยาลัยเท่านั้น และสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนชีวิตในมหาวิทยาลัย คือ การได้ลุ้นกับการ date กับสาว ๆ มากหน้าหลายตา โดยทำความรู้จักกันผ่านเครือข่ายสังคมสุด exclusive นี้

ซึ่งมาร์ค ก็ได้ตกลงที่จะรับเป็นโปรแกรมเมอร์ให้โปรเจคดังกล่าวทันที เพราะ idea นี้เข้าท่าอย่างชัดเจน ไม่ต้องมีการ hack ระบบใด ๆ ทุกคนสามารถนำข้อมูล รูปภาพ ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และ มาร์ค ก็หวังว่า โปรเจคนี้แหละ จะทำให้กู้ชื่อเสียงที่ย่ำแย่ ที่ทำไว้กับ facemash กลับมาได้อีกครั้ง

แล้ว harvard connection ของ สองพี่น้อง winklevoss มันกลายร่างมาเป็น thefacebook ( ชื่อแรกของ facebook) ได้อย่างไรโปรดติดตามตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 3 : Welcome to The Facebook

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning) *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

ประวัติ mark zuckerberg ตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning)

By tharadhol in Story November 25, 2018

ต้องถือว่าเป็น icons ที่สำคัญของ วงการ startup ทั่วโลกเลยก็ว่าได้สำหรับ mark zuckerberg ผู้ก่อตั้ง facebook ที่มีผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 1000 ล้านคนในขณะนี้

สำหรับ ประวัติ mark zuckerberg นั้น ถ้าถามว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดของการก่อกำเนิดของ facebook นั้น ต้องย้อนกลับไปที่ มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ดในปี 2003

mark zuckerberg ถือเป็น อัจฉริยะ คนหนึ่งในด้านคอมพิวเตอร์ ที่หลายคนรู้จักดีในฮาร์วาร์ด เขามีประวัติด้านคอมพิวเตอร์ที่ไม่ธรรมดามาตั้งแต่ตอนเรียน high school โดยเขากับเพื่อน ได้เคยร่วมกันสร้างสร้าง plugin ของ media player เพื่อหา playlist ตามรสนิยมของผู้ใช้ ในชื่อ Synapse

synapse ที่ mark zuckerberg แจกให้ใช้ฟรี

synapse ที่ mark zuckerberg แจกให้ใช้ฟรี

ซึ่ง มีบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายติดต่อที่จะมาซื้อ ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ แต่ มาร์ค กลับปล่อยให้ดาวน์โหลดฟรี โดยมีข่าวว่า microsoft เคยยื่นข้อเสนอกว่า 1 ล้านเหรียญ เพื่อ ซื้อ software ตัวดังกล่าว แต่ก็ถูกปฏิเสธไป

ต้องเรียกว่า indy มาตั้งแต่เด็กเลยสำหรับตัว mark zuckerberg เอง  ซึ่ง ฮาร์วาร์ดนั้นเป็น มหาวิทยาลัย อันดับต้น ๆ ของโลกที่ นักเรียนทั่วโลกใฝ่ฝันที่จะเข้าให้ได้ แต่ไม่ได้เป็นปัญหาด้วยความอัจฉริยะทางด้านคอมพิวเตอร์ของ มาร์คมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ความยากของการเรียนที่ฮาร์วาร์ด นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของ มาร์คเลย

แต่ปัญหาที่แท้จริง คือ การเข้าสังคมมากกว่า เพราะ ฮาร์วาร์ด เป็นมหาวิทยาลัยที่มีความหลากหลาย และมีแต่คนเก่งๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่นั้น เก่งทั้งการเรียน ทั้งกิจกรรม หรือ กีฬา ทำให้อัจฉริยะแบบ mark zuckerberg  นั้น ไม่ได้ฉายแววโดดเด่น เป็นคนดังในมหาลัยแต่อย่างใด

mark zuckerberg และ eduardo saverin

mark zuckerberg และ eduardo saverin

ดูเหมือนเพื่อนสนิท ที่สุดที่ดูจะถูกชะตากับมาร์ค นั้นน่าจะเป็น เอ็ดวาร์โด ซาเวริน คนที่จะมามีบทบาทสำคัญต่อ มาร์ค ในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งทั้งคู่รู้จักกันจากงาน ปาร์ตี้ ของกลุ่มชาวยิว ในมหาวิทยาลัย และ ดู เอ็ดวาร์โด ซาเวริน นั้นจะถูกชะตามาร์ค ตั้งแต่พบ แม้มาร์ค นั้นจะดูแปลกแยก เหมือนจะไม่ค่อยเข้าสังคมอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็กลายมาเป็นเพื่อนซี้กันจนได้

การเกิดขึ้นของ Facemash

มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนกับการเกิดขึ้นของ facemash จากการที่ มาร์ค ถูกผู้หญิงทิ้ง แล้วต้องการที่จะทำบางอย่างเพื่อลบความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น บวกกับฤทธิ์ แอลกอฮอล์

ด้วยความอัจฉริยะทางด้านคอมพิวเตอร์ ก็เคยคิด idea แปลก  ๆ ขึ้นมา โดย มาร์ค ได้ทำการสร้าง เว๊บไซต์ เปรียบเทียบหน้าของผู้หญิง แล้วให้โหวต ว่าใคร hot สุด โดยจะ random หน้าของสาว ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วทำการคำนวนผ่าน algorithm ที่เค้าคิดขึ้น

ปัญหาคือจะเอารูปของนักศึกษาในมหาลัยมาจากไหน แต่ ด้วยความเป็น hacker เป็นทุนเดิมอยู่แล้วของ มาร์ค จึงไม่ใช่เรื่องยากเลย ในการที่จะไป ดูดเอารูปมาจากเว๊บไซต์ ประจำหอพักต่าง ๆ ของมหาลัย ซึ่งมีการเก็บข้อมูลแยกกันอยู่ และ ไม่ได้มีการวางระบบ Security ไว้อย่างแน่นหนาพอ

มาร์ค ใช้เวลาเพียงไม่นาน โดยระหว่างเขียน code ก็ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปด้วย แล้วก็ทำทุกอย่างเสร็จ ซึ่ง idea ตอนแรกที่เค้าเขียนไว้ใน blog ส่วนตัวนั้น เค้าโมโห ถึงขนาดว่าจะเอารูปหน้าคนไปเปรียบเทียบกับสัตว์เลยด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้ทำมันในเว๊บจริง ๆ ของ facemash

แต่สุดท้าย เค้าก็ไม่ได้อยากให้มันเผยแพร่กระจายไปทั่วมหาลัยเลย เพียงแค่ส่ง link ไปให้เพื่อนไม่กี่คนของเขา เพื่อให้ดูว่ามันเจ๋งแค่ไหนเท่านั้น และเค้าก็ปล่อย server วางไว้อย่างงั้น จนข้ามวัน

พลังของ Network

ผ่านพ้นคืนนั้นไป ได้ มาร์คก็ไปเรียนเป็นปรกติ แต่สิ่งที่ผิดปรกติคือ เริ่มมีคนมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ ไป จนเมื่อกลับมาถึงห้องพัก พบว่าคอมพิวเตอร์ที่วางตัวเป็น server นั้นเริ่มค้าง ทำให้เค้าถึงกับเข่าทรุดไปเลยทีเดียว

การส่ง link ไปให้เพื่อนเพียงไม่กี่คนผ่าน email ในตอนแรกนั้น ถูก forward ต่อกระจายไปยังหลาย mailing list ของมหาลัยฮาร์วาร์ด ในคืนนั้น มีผู้คนเข้ามาใช้งาน facemash ถึงกว่า 22,000 ครั้ง และกลายเป็นว่าทำให้มีคนไม่พอใจเป็นอย่างมาก กับการกระทำของ มาร์ค ในครั้งนี้

mark zuckerberg ได้เห็นถึงพลังแห่งการ broadcast แค่ forward mail ยัง effect ได้ถึงขนาดนี้

mark zuckerberg ได้เห็นถึงพลังแห่งการ broadcast แค่ forward mail ยัง effect ได้ถึงขนาดนี้

แม้ผู้ชาย จะเล่น facemash กันอย่างสนุกสนานทั้งมหาลัย แต่มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสำหรับสาว ๆ ฮาร์วาร์ด กลายเป็นว่า มันมีผลต่อการเหยียดเชื้อชาติ สีผิว กับการเปรียบเทียบรูปร่างหน้าตาแบบนี้ ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ในที่สุด

สุดท้ายมาร์ค ก็โดน ทัณฑ์บน ห้ามทำเรื่องเสียหายแบบนี้อีก ไม่งั้นจะถูกไล่ออก แต่ หนังสือพิมพ์ชื่อดังของฮาร์วาร์ด อย่าง เดอะ คริมสัน ก็ลงข่าวเรื่องนี้ ทำให้ชื่อเสียงมาร์ค กระจายไปทั่วมหาลัย แต่ไม่ใช่เรื่องดีอย่างที่มาร์คต้องการ กลับกลายเป็น คนที่ผู้หญิงทั้งมหาลัยยี้ ภายในคืนเดียว ด้วยความไม่ตั้งใจ

ถามว่าทำไม facemash ถึงเป็นจุดเริ่มต้น ก็เพราะมันทำให้ มาร์ค ได้เห็นถึงพลังของเครือข่าย แม้จะเป็นแค่เครือข่ายที่ทำการส่ง forward mail ยังทำให้ คนเข้ามาใช้จน server พังได้ และที่สำคัญ มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้ไปพบตัวละครสำคัญ ของ idea เริ่มต้นแรกในการทำ platform social network  ของสองพี่น้อง winklevoss ที่จะเล่าในตอนต่อไป

–> อ่านตอนที่ 2 : Harvard Connection (Exclusive Social Network)

Credit แหล่งข้อมูลบทความ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol

Search

  • POSTS
  • TAGS

POSTS

  • Geek Story EP369 : การตัดสินใจครั้งเดียวที่ล้ม IBM เมื่อยักษ์ใหญ่ประมาท กับดีลที่ทำให้ Microsoft ครองโลก
  • Geek Story EP368 : ทำไม Bittorrent จึงไม่มีวันตาย? จากไอเดียเล็กๆ สู่ประวัติศาสตร์การละเมิดลิขสิทธิ์ทั่วโลก
  • จุดจบของ Google? เมื่อ AI สั่นสะเทือนบัลลังก์บิ๊กเทค ราคาหุ้นร่วง 7% ใน 24 ชั่วโมง
  • Geek Story EP367 : เมื่อ 2 วัยรุ่นล้มอุตสาหกรรมดนตรีแสนล้าน เรื่องราวของ Napster ผู้ปฏิวัติวงการเพลงที่ถูกลืม
  • Richard Montañez กับการพลิกชีวิตด้วย 1 idea ที่เปลี่ยนจากภารโรงให้กลายเป็นผู้บริหารที่ PepsiCo

TAGS

AI alibaba amazon apple Bitcoin elon musk facebook google huawei iphone ipod jack ma machine learning mark zuckerberg microsoft netscape paypal paypal mafia peter thiel Robot SpaceX startup steve jobs Tesla การพัฒนาตนเอง ความสำเร็จ จิตวิทยาเชิงบวก บทเรียนธุรกิจ ประวัติ alibaba ประวัติ Apple ประวัติ Elon Musk ประวัติ facebook ประวัติ Jack Ma ประวัติ steve jobs พัฒนาตนเอง พัฒนาตัวเอง รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน สร้างแรงบันดาลใจ อีลอน มัสก์ เคล็ดลับความสำเร็จ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แจ๊ค หม่า แรงบันดาลใจ โคโรน่าไวรัส
November 2018
M T W T F S S
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930  
« Oct   Dec »
Proudly powered by WordPress. Theme: DW Minion by DesignWall.

อย่าลืมช่วยกด Like เพจกันด้วยนะคร้าบ!


This will close in 320 seconds