The Hangzhou Six ทำความรู้จัก 6 บริษัทเทคจีนที่น่าลงทุนที่สุดในทศวรรษนี้

ถ้าพูดถึงอนาคตของโลกเทคโนโลยี คุณนึกถึงที่ไหน? หลายคนคงตอบว่าซิลิคอนแวลลีย์ที่อเมริกา… หรือถ้าในเอเชีย ก็คงเป็นเซินเจิ้น หรือปักกิ่ง

แต่ถ้าผมบอกว่า มีเมืองแห่งหนึ่งในจีน ที่ครั้งหนึ่งเคยโด่งดังในฐานะเมืองแห่งกวีและทะเลสาบที่สวยงาม กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งนั้นอย่างเงียบๆ เมืองนั้นคือ “หางโจว” (Hangzhou)

วันนี้ หางโจวไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยวอีกต่อไป แต่กลายเป็นบ้านของคลื่นลูกใหม่แห่งวงการเทคโนโลยี ที่ถูกขนานนามว่า “หกมังกรน้อยแห่งหางโจว” (Hangzhou Six Little Dragons)

กลุ่มมังกรน้อยเหล่านี้ คือตัวแทนของอนาคตเทคจีน ประกอบด้วยบริษัทที่ทำในสิ่งที่น่าทึ่ง ตั้งแต่หุ่นยนต์ต่อสู้, ปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดล้ำ, ไปจนถึงเกมฟอร์มยักษ์ที่คนทั้งโลกรอคอย

คำถามคือ… มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? เมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และศิลปะแห่งนี้ พลิกโฉมตัวเองมาเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่ร้อนแรงที่สุดแห่งหนึ่งของจีนได้อย่างไร?

เรื่องราวนี้อาจต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง… นั่นคือ “คน”

และถ้าจะพูดถึงแหล่งผลิต “คน” คุณภาพในหางโจว ก็คงไม่มีที่ไหนจะสำคัญไปกว่ามหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang University)

ถ้าซิลิคอนแวลลีย์มีมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) เป็นเบ้าหลอมอัจฉริยะ หางโจวก็มีมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างระบบนิเวศ

มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยที่ผู้ก่อตั้งบริษัทในกลุ่มมังกรน้อยถึง 3 แห่ง เป็นศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้

ไม่ว่าจะเป็น Liang Wenfang จาก DeepSeek บริษัท AI ผู้พัฒนาแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ หรือ Huang Xiaohuang และ Chen Hang ผู้ร่วมกันก่อตั้ง Manycore Technology ซอฟต์แวร์ออกแบบภายใน 3 มิติ

รวมไปถึง Li Chao และ Zhu Qiuguo จาก Deep Robotics บริษัทที่สร้างหุ่นยนต์สุนัขส่งออกไปใช้งานในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก

พวกเขากลับมายังเมืองที่พวกเขาเคยเรียน เพราะเชื่อว่า ที่นี่คือขุมทรัพย์ของบุคลากรชั้นยอด ที่พร้อมจะมาร่วมสร้างอนาคตไปด้วยกัน

มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงจึงเป็นเหมือนบันไดขั้นแรก เป็นรากฐานที่มั่นคง ที่คอยป้อนทรัพยากรมนุษย์คุณภาพสูงเข้าสู่อุตสาหกรรมอย่างไม่ขาดสาย

แต่การมีแค่คนเก่งๆ อาจยังไม่พอ… แล้วอะไรคือส่วนผสมที่เหลือ ที่ทำให้หางโจวกลายเป็นเมืองสวรรค์ของเหล่าสตาร์ทอัพ?

เรื่องนี้ต้องบอกว่า “การสนับสนุนจากรัฐบาล” คือพระเอกตัวจริงของงานนี้

รัฐบาลท้องถิ่นของหางโจวขึ้นชื่อไปทั่วประเทศในเรื่องนโยบายที่ “ใจถึง” และ “พึ่งได้” พวกเขาไม่ได้แค่ออกนโยบายสวยๆ แต่ลงมือทำจริงจัง

ลองดูเรื่องราวของ GameScience สตูดิโอผู้สร้างเกมที่ทั่วโลกรอคอยอย่าง “Black Myth: Wukong” เป็นตัวอย่าง

ในช่วง 3 ปีแรกของการก่อตั้งบริษัท รัฐบาลท้องถิ่นของหางโจวช่วยจ่ายค่าเช่าออฟฟิศให้ทั้งหมด!

ยังไม่พอ… รัฐบาลยังช่วยวิ่งเต้นเรื่อง “ใบอนุญาตประกอบกิจการเกม” ซึ่งในวงการรู้กันดีว่าเป็นสิ่งที่ขอยากเย็นแสนเข็ญอย่างยิ่งในจีน

การช่วยเหลือแบบนี้ มันมากกว่าแค่การให้เงิน แต่มันคือการทลายกำแพงอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด ให้ผู้ประกอบการได้โฟกัสกับการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดอย่างเต็มที่

หรืออย่างเคสของ BrainCo บริษัทเทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ ที่เริ่มต้นในโรงรถที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา ขณะผู้ก่อตั้งกำลังเรียนที่ฮาร์วาร์ด

แต่สุดท้าย เขาก็ตัดสินใจย้ายบริษัทกลับมาที่หางโจว และแจ้งเกิดอย่างงดงามบนเวทีโลกในงาน Asian Para Games ปี 2023 ที่หางโจวเป็นเจ้าภาพ

ภาพของนักกีฬาที่ใช้ Bionic Hand ของ BrainCo จุดคบเพลิงในพิธีเปิด คือภาพสะท้อนความสำเร็จของการสนับสนุนจากเมืองนี้

เจ้าหน้าที่ที่นี่มีกฎง่ายๆ ว่า “ถ้าผู้ประกอบการไม่เรียกหา ก็อย่าไปรบกวน แต่ถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือ ต้องไปให้ถึงตัวทันที”

นี่คือประสิทธิภาพที่ทำให้ผู้ประกอบการรู้สึกว่า เมืองนี้คือบ้านของพวกเขาจริงๆ

แต่ถ้าจะพูดถึงระบบนิเวศของเทคโนโลยีในหางโจว จะไม่พูดถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นเหมือน “พี่ใหญ่” หรือ “เจ้าพ่อ” ของวงการอย่าง Alibaba ก็คงไม่ได้

Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba เริ่มต้นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของเขาจากห้องนั่งเล่นในแฟลตเล็กๆ ที่เมืองนี้

การเติบโตของ Alibaba ไม่ได้แค่สร้างงานมหาศาล แต่มันได้สร้างสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่า นั่นคือ “โรงเรียนผลิตผู้ประกอบการ”

พนักงานยุคบุกเบิกของ Alibaba ที่ทำงานหนักและเรียนรู้จนเชี่ยวชาญ หลายคนได้แยกย้ายกันไปเปิดบริษัทของตัวเอง หรือกลายเป็นนักลงทุนที่คอยสนับสนุนสตาร์ทอัพรุ่นน้อง

เกิดเป็นเครือข่ายที่แข็งแกร่งที่ถูกเรียกว่า “Alibaba Mafia” ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันในแวดวงเทคโนโลยีของหางโจว

นอกจากนี้ บริการอย่าง Alibaba Cloud Technology ก็เปรียบเสมือนกระดูกสันหลัง ที่ให้สตาร์ทอัพรุ่นใหม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการสร้างธุรกิจ โดยไม่ต้องลงทุนมหาศาลในช่วงเริ่มต้น

ทั้งหมดนี้ ทั้งคนจากมหาวิทยาลัย, การหนุนหลังจากรัฐบาล และระบบนิเวศจากรุ่นพี่อย่าง Alibaba ได้ผสมผสานกันจนกลายเป็นสูตรสำเร็จที่สมบูรณ์แบบ

แต่เรื่องราวมันสวยหรูแบบนั้นจริงหรือ?

คำตอบคือ… ไม่ใช่เลย

เมื่อ 15 ปีที่แล้ว จีนเคยมีการแจ้งเกิดของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า “BAT” ซึ่งประกอบด้วย Baidu, Alibaba และ Tencent

ยุคนั้นเป็นยุคทองที่อินเทอร์เน็ตในจีนกำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด โลกยังเปิดกว้าง และการแข่งขันยังไม่รุนแรงเท่าวันนี้

ทว่าปัจจุบัน… “หกมังกรน้อยแห่งหางโจว” กำลังเผชิญกับพายุลูกใหญ่ ที่กลุ่ม BAT ไม่เคยเจอมาก่อน

พายุลูกนั้นคือ “สงครามเทคโนโลยี” ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา

นับตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี Donald Trump รัฐบาลวอชิงตันได้ออกมาตรการกีดกันและจำกัดเทคโนโลยีของจีนอย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ว่าจะเป็นการแบน Huawei, การตรวจสอบ TikTok อย่างเข้มข้น ไปจนถึงการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีหัวใจสำคัญอย่าง “ชิป” ประมวลผลขั้นสูง

สถานการณ์นี้บีบให้เหล่ามังกรน้อยต้องเผชิญกับคำถามที่ท้าทาย ว่าพวกเขาจะเอาตัวรอดและเติบโตต่อไปในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยกำแพงและแรงกดดันนี้ได้อย่างไร

บทเรียนจากความสำเร็จและความล้มเหลวของรุ่นพี่อย่าง Huawei กลายเป็นตำราเล่มสำคัญที่พวกเขาต้องศึกษาอย่างละเอียด

ผู้เชี่ยวชาญในวงการให้ความเห็นว่า เหล่ามังกรน้อยต้องเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงกับสหรัฐฯ และที่สำคัญที่สุด คือต้องพยายามพัฒนาเทคโนโลยีแกนหลัก (Core Technology) ให้ได้ด้วยตัวเอง

เพราะตราบใดที่ยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากภายนอก ก็อาจจะถูกบีบได้เสมอ

นอกจากนี้ พวกเขายังต้องเรียนรู้ที่จะ “กระจายความเสี่ยง” อย่าทุ่มตลาดทั้งหมดไปที่สหรัฐอเมริกาเพียงแห่งเดียวเหมือนในอดีต

นี่คือความท้าทายครั้งใหญ่ คือบทพิสูจน์ที่แท้จริง ว่าเหล่ามังกรน้อยแห่งหางโจว จะสามารถปรับตัวและก้าวข้ามสมรภูมิที่โหดร้ายนี้ไปได้หรือไม่

แล้วทางออกของเรื่องนี้คืออะไร? อนาคตของเหล่ามังกรน้อยจะเป็นอย่างไรต่อไป?

ท่ามกลางความตึงเครียดและแรงกดดันจากสงครามเทคโนโลยี ดูเหมือนว่าผู้เชี่ยวชาญและตัวบริษัทเองจะมองเห็นเส้นทางข้างหน้าที่ชัดเจนเหมือนกัน

และคำตอบนั้นก็คือ “การก้าวสู่ระดับสากล” (Going International)

ฟังดูอาจจะย้อนแย้ง ในเมื่อมีกำแพงจากต่างชาติ แล้วทำไมทางออกถึงเป็นการเดินออกไปหาต่างชาติ?

เหตุผลง่ายๆ ข้อแรกคือ “ขนาดของตลาด” ตลาดนอกประเทศจีนนั้นใหญ่กว่าตลาดในประเทศถึง 5 เท่า การจำกัดตัวเองอยู่แค่ในบ้านจึงเท่ากับทิ้งโอกาสมหาศาลไป

แต่เหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ “นวัตกรรม”

การแข่งขันในเวทีโลก คือบททดสอบที่ดีที่สุดที่จะผลักดันให้เทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้า

ยิ่งคุณเปิดกว้างมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเจอกับความท้าทายที่หลากหลายมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อเจอกับความท้าทาย คุณก็จะถูกบังคับให้ต้องหาทางออกที่ดีกว่าเดิม

การนำผลิตภัณฑ์ออกไปเจอกับผู้ใช้และคู่แข่งทั่วโลก คือวิธีเดียวที่จะทำให้เทคโนโลยีของคุณแข็งแกร่งและก้าวล้ำอย่างแท้จริง

นี่คือบทสรุปของเรื่องราวการผงาดขึ้นมาของหางโจวและเหล่า “หกมังกรน้อย”

สุดท้ายเราได้เห็นบทเรียนจากเมืองหางโจวว่าการสร้างศูนย์กลางเทคโนโลยีแห่งใหม่ขึ้นมาได้ ไม่ได้อาศัยแค่โชคช่วย แต่มันคือการผสมผสานที่ลงตัวของหลายองค์ประกอบ

มันเริ่มต้นจากรากฐานด้าน “คน” ที่แข็งแกร่ง ตามมาด้วย “แรงผลักดัน” จากภาครัฐที่เข้าใจและจริงใจ

จากนั้นก็มี “ระบบนิเวศ” ที่สมบูรณ์จากรุ่นพี่ที่คอยเกื้อหนุน และสุดท้ายคือ “วิสัยทัศน์” ที่กล้าจะเผชิญหน้ากับความท้าทายและก้าวออกไปสู่เวทีโลก

เรื่องราวของ “หกมังกรน้อยแห่งหางโจว” ยังคงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่เมืองแห่งนี้ ก็ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนแล้วว่า

ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งต่อไปของโลก อาจจะไม่ได้อยู่ที่เดิมที่เราคุ้นเคยอีกต่อไปแล้วก็เป็นได้

References : [scmp, techinasia, pandaily]

Geek Story EP398 : The Hangzhou Six ทำความรู้จัก 6 บริษัทเทคจีนที่น่าลงทุนที่สุดในทศวรรษนี้

ถ้าผมพูดถึงหุ่นยนต์ต่อสู้สุดล้ำ, เกมราชาวานร (Black Myth: Wukong) ที่คนทั้งโลกรอคอย, หรือ AI ที่ฉลาดเป็นกรด… หลายคนอาจจะนึกถึงซิลิคอนแวลลีย์ (Silicon Valley) ที่อเมริกา หรือไม่ก็บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ในปักกิ่งหรือเซินเจิ้น

แต่ถ้าผมบอกว่าทั้งหมดที่พูดมานี้ มีจุดกำเนิดและเชื่อมโยงอยู่กับเมืองๆ เดียวในจีน ที่ไม่ใช่เมืองหลวงอย่างปักกิ่ง และเมืองนี้ก็คือ “หางโจว” (Hangzhou)

หลายคนอาจจะรู้จักหางโจวในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม มีทะเลสาบซีหู (Xī Hú) เป็นมรดกโลก แต่ในวันนี้ หางโจวกำลังสวมหมวกอีกใบหนึ่ง นั่นคือการเป็น “ศูนย์กลางเทคโนโลยี” หรือ High-tech Hub แห่งใหม่ล่าสุดของจีน ที่กำลังปั้นบริษัทยูนิคอร์นและสร้างเศรษฐีพันล้านหน้าใหม่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

คำถามที่น่าสนใจก็คือ… เมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และบทกวีแห่งนี้ พลิกโฉมตัวเองมาเป็นบ้านของบริษัทเทคโนโลยีที่ร้อนแรงที่สุดในจีนได้อย่างไร?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/44j7tjff

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yvyhpd88

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/yckyvph2

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/mIp1eTVZDAo

Geek Daily EP177 : จุดเปลี่ยนบริษัท Big Tech จีน กับการสยายปีกเตรียมบุกตลาดทั่วโลก

การปราบปรามทางเทคโนโลยีของรัฐบาลจีนและการขับเคลื่อนนโยบาย “ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” มุ่งเป้าไปที่ผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจของประเทศ ทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดบ้านเกิดของพวกเขาลดลง ผู้ประกอบการจีนเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงทั้งในประเทศและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่แน่นอน ดังนั้นหลายๆ คนกำลังมองหาโอกาสในต่างประเทศ

ความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมชั้นนำของจีนในตลาดโลก เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Shein และ Temu กำลังเข้ามาตีตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเดรส 7 ดอลลาร์และกระเป๋าเป้ราคา 3 ดอลลาร์ที่มาจากโรงงานในแผ่นดินใหญ่ TikTok กำลังครองใจผู้ใช้ทั่วโลก 1 พันล้านคนและมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ยอดขายโดยผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เช่น BYD กำลังผลักดันให้จีนขึ้นสู่อันดับต้น ๆ ของการส่งออกรถยนต์ทั่วโลก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3MEi0yl

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://bit.ly/3Isnb1Z

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3WwwzaV

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://bit.ly/3MBYGSz

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/hJKaUhcNVfk

Geek China EP29 : Baidu Other Investments

• นอกเหนือจากธุรกิจ search engine, digital map, cloud, O2O, fintech, anti-virus ที่ได้เล่าไปใน EP 24-27 แล้ว ไป่ตู้ยังเริ่มมีการลงทุนขยายการลงทุนในด้านธุรกิจอื่น

• เมื่อ M&A สำเร็จ Baidu ก็จะกลายเป็นผู้นำในตลาด OTAในประเทศจีน และดีลนี้ก็สำเร็จในช่วงตุลาคม 2015 เมื่อไป่ตู้ swap หุ้นกับ Ctrip ก็จะถือประมาณ 19% share ใน Ctrip

• Ctrip เป็น OTA ที่ใหญ่ที่สุดในจีน มีรายได้มาจาก 3 ส่วนคือ การจองโรงแรม การจองตั๋วและการท่องเที่ยว ถึงแม้ qunar จะเก็บสะสม business resources มาหลายปี แต่ก็ไม่สามารถ เอาชนะ Ctrip ได้อย่างง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มsegmentระดับบน

• ดังนั้นถ้าไป่ตู้รวม Ctrip กับ Qunar ได้ Baidu จะควบคุมตลาด OTAในจีนได้เกือบทั้งหมด ดังนั้นจากคู่แข่งระหว่าง Ctrip และ Qunar ก็มาจับมือกับกลายเป็นพันธมิตร ตอนนี้ ตลาด OTA เปลี่ยนการต่อสู่ระหว่างTencent, Alibaba และ Baidu

• นอกจากต้องการชนะ ในตลาด OTA แล้ว ปลายปี 2014 Baidu ก็ประกาศข่าวใหญ่ในด้านการลงทุนคือ ได้ลงทุนใน Uber กว่า 600 ล้าน USD โดยการแลกกับการถือหุ้นเป็นส่วนน้อย (minority stake) เพื่อที่จะต่อสู้กับ Tencent และ Alibaba ในตลาด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเรียกจองรถยนต์

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/2XdFZO0

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Eo7tefFCtYU

ยินดีต้อนรับสู่ปี 2029 ในวันที่โลกเราไม่มีห้างสรรพสินค้าอีกต่อไป

พอดีเพิ่งได้มีโอกาสหนังสือ The Future is Faster Than You Think จากนักเขียน Peter H.Diamandis และ Steven Kotler ต้องบอกว่ามีหลากหลายเรื่องราวจากหนังสือเล่มนี้ที่น่าสนใจที่ผมอยากมาเล่ากัน

เป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องราวของการทำนายโลกอนาคต ผ่านการวิเคราะห์เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันและคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งในบทหนึ่ง หนังสือได้ฉายภาพอนาคตของการที่จะไม่มีห้างสรรพสินค้าอีกต่อไปได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว

ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ โดยเฉพาะในประเทศอย่างอเมริกา ที่วัฒนธรรมการช็อปปิ้งออนไลน์กำลังกลายเป็นกระแสหลัก และห้างสรรพสินค้าเริ่มทยอยล้มหายตายจากไปทีละราย จากที่ได้เราได้เห็นจากข่าวกัน

และแน่นอนว่า มันมี 2-3 เทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นแน่ ๆ เช่น Virtual Reality , 3D Printing , Voice Assistant ที่กำลังเริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างมากในปัจจุบัน

โดยทางผู้เขียนได้ทำนายไว้ว่าในปี 2029 เครือข่ายเซ็นเซอร์ต่าง ๆ รวมถึงเทคโนโลยี AI ได้พัฒนาจนถึงขีดสุด

เราไม่จำเป็นต้องเดินทางไปห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ อีกต่อไป เพราะโลกของห้างสรรพสินค้านั้นมาอยู่บนโลก Virtual Reality ทั้งหมดแล้วนั่นเอง เราสามารถเข้าถึงนักออกแบบชื่อดัง แบรนด์ชื่อดัง ของทั้งโลกผ่าน VR

ระบบ Voice Assistant จะช่วยให้เราได้รู้ว่า มีอะไรที่กำลังเป็นเทรนด์อยู่บนโลกนี้ที่ถูกเชื่อมต่อถึงกันแบบไร้รอยต่อ

ยิ่งโดยเฉพาะสินค้าแฟชั่น นั้น จะเป็นการสร้างเพื่อตอบความต้องการของลูกค้าแต่ละราย การ Customise ไปยังลูกค้าแต่ละรายที่แตกต่างกัน เราไม่ต้องใส่เสื้อผ้าเหมือนใครอีกต่อไป เราอาจจะได้เห็น เสื้อผ้าชิ้นเดียวของแบรนด์ชื่อดัง ที่มีแค่เราเท่านั้นที่ใส่อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้

แน่นอน เพราะเทคโนโลยีอย่าง 3D Printing ก็กำลังพัฒนาไปอย่างมาก ไม่ต้องมีการ stock ไปยังร้านค้าที่เป็น Physical อีกต่อไป มีการผลิตตาม Demand ความต้องการแบบทันที และตรงทุกความต้องการของลูกค้าแต่ละราย

และการจัดส่งสินค้าก็จัดส่งอย่างรวดเร็วผ่าน Drone ทำให้ได้รับสินค้าแทบจะในทันทีหลังการผลิตออกมาจากเครื่องปริ้นต์ 3 มิติ

ถือได้ว่าเป็นการทำนายที่น่าสนใจ ที่อ้างอิงพื้นฐานของเทคโนโลยีที่กำลังจะเกิด การ scan ร่างกายแบบ 3 มิติ นั้นเรามีเทคโนโลยีที่รองรับอยู่แล้วในปัจจุบัน และ Amazon ก็ได้ซื้อกิจการ Body Labs ที่มีเทคโนโลยีนี้อยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ที่ปรึกษาแฟนชั่นด้าน AI ทั้ง Alibaba และ Amazon ก็ใช้เทคโนโลยี Deep Learning เพื่อให้คำแนะนำ โดยอาศัยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านแแฟชั่นที่เป็นมนุษย์ หรือ อัลกอริธึมของ Amazon ให้คำแนะนำเสื้อผ้าตามความต้องการของผู้ใช้และพฤติกรรมในโลก Social Media

ส่วนระบบ VR นั้น Hololux ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Microsoft และ London College of Fashion แว่นตา VR ที่ช่วยให้คุณเลือกซื้อสินค้าในความเป็นจริงได้แบบผสมผสานจากทุก ๆ ที่ในโลก

ต้องบอกว่าโลกเราจะเปลี่ยนไปอย่างที่เราคาดไม่ถึงในอีก 10 ปีข้างหน้า และในวันนั้นเราอาจจะได้เห็น วันสิ้นสุดของห้างสรรพสินค้า ที่เราผูกพันกับมันมาอย่างยาวนานก็เป็นได้นั่นเองครับผม

References : หนังสือ The Future is Faster Than You Think โดย Peter H.Diamonds และ Steven Kotler