เมื่อ Tim Cook ชนะทั้ง Trump และจีน ราชาแห่งการเจรจา กับแผนลับของ Apple ในการปลดแอกจากจีน

ใครจะคิดว่า Tim Cook จะกลายเป็น CEO ที่เจ้าเล่ห์ที่สุดแห่งยุคสมัยของเรา? เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาได้พิสูจน์ความเจ๋งของตัวเองอีกครั้งในการดำเนินกลยุทธ์สุดซับซ้อนของบริษัทพี่ใหญ่แห่ง Silicon Valley

ความอัจฉริยะของ Steve Jobs นั้นมันเห็นได้ชัดเจนสำหรับทุกคน เขาเป็นผู้เสกผลิตภัณฑ์อย่าง Mac, iPod, iPhone และ iPad แต่สิ่งเหล่านี้นี่ไม่ใช่จุดแข็งของ Tim Cook

สิ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคของ Cook คือ Apple Watch และ AirPods ซึ่งทั้งคู่เป็นเพียงอุปกรณ์เสริมสำหรับ iPhone ที่ Jobs สร้างไว้แล้ว ส่วน Vision Pro ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนโลกแต่อย่างใด

แต่ที่เจ๋งสุดๆ คือ Cook ทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก มูลค่าพุ่งทะยานขึ้น 25 เท่าตั้งแต่เขาเป็น CEO เมื่อ 14 ปีที่แล้ว

และที่โหดไปกว่านั้น แปดปีในช่วงนี้เกิดขึ้นระหว่างสงครามการค้าที่ใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของเรา ซึ่ง Apple ควรจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

เพราะ Apple เป็นบริษัทสหรัฐฯ ที่พึ่งพาทั้งการผลิตในจีนและผู้บริโภคชาวจีนมากที่สุด Trump และรัฐบาลจีนต่างมีอำนาจมหาศาลที่จะกดดัน Apple

แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น Tim Cook กลับได้รับการสนับสนุนมากกว่าที่เคยจากทั้งสองฝ่าย

และตอนนี้ด้วยความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นทุกหนแห่ง Cook กำลังวางแผนที่ลึกลับซับซ้อนที่สุดของเขา ถ้าเขาสามารถทำสำเร็จได้อีกครั้ง Cook จะได้รับการเทิดทูนให้เป็นหนึ่งใน CEO ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

เมื่อ Steve Jobs กลับมาที่ Apple ในปี 1997 บริษัทกำลังเละเทะไม่เป็นท่า การบริหารงานก่อนหน้านี้ปล่อยให้ทั้งเงินสด ความสามารถทางการแข่งขัน และลูกค้ามีแต่ไหลออกไป

Jobs จึงตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการการปฏิรูปครั้งใหญ่ในสองด้าน อันดับแรก Apple ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นอย่างมาก ซึ่ง Jobs รับงานนี้ด้วยตัวเอง

แต่งานที่สำคัญพอๆ กันคือการปฏิวัติวิธีการผลิตผลิตภัณฑ์เหล่านั้น และสำหรับงานนั้น เขานำ Tim Cook เข้ามาเป็นหนึ่งในพนักงานคนแรกๆ ในยุคใหม่ของเขา

Apple มีประวัติการผลิตคอมพิวเตอร์ Macintosh ภายในแคลิฟอร์เนีย Jobs พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “นี่คือเครื่องที่ผลิตในอเมริกา”

แต่ Cook เคยทำงานให้กับ Compaq ซึ่งได้จ้างผลิตภายนอกมาเป็นเวลานาน และเขาได้รับมอบหมายให้ช่วย Apple ในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การจ้างผลิตจากภายนอกเช่นกัน

Compaq เป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่รายแรกๆ ของ Foxconn Cook ชักชวนให้ Foxconn ข้ามห้วยมาร่วมกับ Apple และผลิตเคสอลูมิเนียมอัลลอยสำหรับ PowerMac G5

เมื่อเวลาผ่านไป เขาได้ร่วมมือกับซัพพลายเออร์อื่นๆ อีกมากมายที่จะกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของ Apple ตั้งแต่ TSMC ไปจนถึง Samsung

และ Tim Cook ได้ผูกพวกเขาเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ถูกปรับแต่งอย่างสมบูรณ์แบบเพื่อนำความฝันของนักออกแบบและวิศวกรของ Apple มาสู่ความเป็นจริง

ไม่เหมือนกับ Jobs ที่บางครั้งมีลักษณะเผด็จการ Cook เป็นคนที่มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดและสามารถชักชวนพันธมิตรให้เดิมพันกับบริษัทได้อย่างเหลือเชื่อ

มีรายงานว่า Foxconn ถูกชักชวนให้ประกอบ iPhone รุ่นแรกโดยที่ขาดทุนอย่างชัดเจน เพราะพวกเขาเชื่อว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยให้ได้รับความไว้วางใจจาก Apple

และแน่นอน พวกเขาคิดถูก เพราะสุดท้ายแล้ว Foxconn ได้รับสัญญาที่ทำกำไรมากกว่าในอนาคต และมีอีกหลายบริษัทเดินตามรอยเท้านี้

หาก Jobs โฟกัสในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ถือว่าเป็นหยินของ Apple การโฟกัสของ Cook ในการหาพันธมิตรที่เหมาะสมก็เป็นหยางของ Apple เฉกเช่นเดียวกัน

และพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของ Cook คือประเทศจีน คำว่า “ออกแบบโดย Apple ในแคลิฟอร์เนีย ผลิตในจีน (Designed by Apple in California Assembled in China)” เป็นมรดกของ 20 ปีแรกของ Cook ที่ Apple

ในช่วงแรก การเจรจาและการสร้างความสัมพันธ์ส่วนใหญ่กับจีนทำในนามของ Cook โดย Terry Gou ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Foxconn

เขาเดินทางไปเยี่ยมชมประเทศนี้บ่อยครั้ง เลี้ยงอาหารนักการเมืองท้องถิ่นและล็อบบี้พวกเขาเพื่อการปฏิบัติที่เอื้อประโยชน์ในนามของ Apple

ผลลัพธ์? การสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลจีน และที่โหดสุดๆ คือสิ่งที่เรียกว่า “เมือง iPhone”

การสืบสวนของ New York Times เปิดเผยว่ารัฐบาลจีนได้สร้างเมืองทั้งเมืองให้กับ Apple! รวมถึงใช้เงิน 600 ล้านดอลลาร์สร้างคอมเพล็กซ์สำหรับการผลิต

นอกจากนี้ยังทุ่มหนึ่งพันล้านดอลลาร์สำหรับที่พักของคนงาน สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานขนาดใหญ่ ให้เงินกู้ ช่วยรับสมัครและฝึกอบรมคนงาน

พวกเขายังจ่ายเงินอุดหนุนและโบนัสต่างๆ ยกเว้นภาษีนิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเวลา 5 ปี และสร้างพื้นที่พิเศษทางการค้าประเคนให้กับ Apple อีกด้วย

และ “เมือง iPhone” เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ แหล่งผลิตที่สร้างขึ้นเพื่อ Apple ในประเทศจีน Tim Cook เจรจาเงื่อนไขสำหรับโรงงานที่ดีที่สุดในโลก

เมื่อรวมกับความสามารถของ Jobs ในการสร้างผลิตภัณฑ์ยอดฮิต บริษัทดูเหมือนจะเติบโตแบบฉุดไม่อยู่ ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดีจนกระทั่ง Steve Jobs เสียชีวิต

Jobs แนะนำว่า Cook ควรเป็นผู้สืบทอดของเขา ในตอนแรก สิ่งนี้ดูเหมือนจะไม่เข้าท่า ดูเหมือนว่า Apple จะต้องการทั้งอัจฉริยะด้านผลิตภัณฑ์คนใหม่และคนอย่าง Cook ในร่างเดียวกัน

แต่ในความเป็นจริง ช่วงเวลาที่ Jobs เสียชีวิตนั้น Apple ได้เข้าสู่ยุคที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วย iPhone, iPad และ Mac, Apple มีหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมที่สุดสำหรับผู้บริโภคแล้ว ผลิตภัณฑ์ไม่จำเป็นต้องได้รับการปฏิวัติใหม่ทั้งหมด

พวกเขาเพียงแค่ต้องการการพัฒนาต่อเนื่อง และ Jobs ได้ทิ้งทีมไว้ซึ่งมีความสามารถมากพอที่จะทำเช่นนั้น

เป้าหมายใหม่คือการผลักดันผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้แข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งไม่ได้ต้องการนวัตกรรมขนาดใหญ่ แต่เป็นเรื่องของการเจรจาทางการเมืองและการทำข้อตกลงต่าง ๆ ให้ลุล่วง

และนั่นกลายเป็นพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ของ Tim Cook เขาสามารถเล่นได้ทุกฝ่ายพร้อมกันเหมือนกับนักดนตรีที่ควบคุมวงออร์เคสตราอย่างเชี่ยวชาญ

ตัวอย่างที่น่าสนใจล่าสุดของความเจ้าเล่ห์ของ Cook คือข่าวประชาสัมพันธ์ที่ Apple เผยแพร่เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่แล้ว

ในข่าวนั้น บริษัทประกาศว่าจะใช้เงินมากกว่า 500 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ในช่วง 4 ปีข้างหน้า นี่เป็นเอกสารที่ถูกแต่งแต้มขึ้นมาเพื่อทำให้ประธานาธิบดี Trump พอใจ

หลังจากนั้น Trump ได้ทำให้มันเป็นหนึ่งในคำมั่นสัญญาในการรณรงค์หาเสียงของเขาที่จะนำการผลิตของ Apple กลับมาที่สหรัฐฯ อีกครั้ง

“เราจะนำสิ่งต่างๆ มา เราจะทำให้ Apple เริ่มสร้างคอมพิวเตอร์และสิ่งต่างๆ ในประเทศนี้แทนที่จะเป็นในประเทศอื่นๆ” Trump กล่าวไว้

และข่าวประชาสัมพันธ์ดูเหมือนว่า Apple กำลังทำเช่นนั้นจริงๆ! บริษัทอธิบายว่า 500 พันล้านเป็นการใช้จ่ายที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา

พวกเขากำลังเปิดโรงงานผลิตใหม่ในฮูสตัน เพิ่มกองทุนการผลิตขั้นสูงของ Apple ในสหรัฐฯ เป็นสองเท่าจาก 5 พันล้านดอลลาร์เป็น 10 พันล้านดอลลาร์

พวกเขาวางแผนที่จะจ้างงานประมาณ 20,000 คนที่มีทักษะสูงในสหรัฐฯ และเปิดสถาบันการผลิตใหม่ในดีทรอยต์ ฟังดูยอดเยี่ยมใช่ไหม?

ตามที่คาดไว้ สื่อและ Trump ต่างเฉลิมฉลองกับสิ่งนี้ ทุกอย่างเกี่ยวกับเอกสารนี้เป็นผลงานชิ้นเอกทางการเมือง!

แต่ถ้าเราเจาะลึกรายละเอียด มันมีมุมมืดที่ซ่อนอยู่ ตัวเลข 500 พันล้านดอลลาร์นั้นฟังดูเยอะมาก แต่จริงๆ แล้วรวมถึง 350 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018 และ 430 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021

ซึ่งเพิ่มขึ้นในอัตราที่สอดคล้องกับการเติบโตของบริษัท และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ทั้งหมดกำลังเพิ่มการใช้จ่ายเนื่องจาก AI ดังนั้นตัวเลข 500 พันล้านดอลลาร์ของ Apple จึงไม่ได้พิเศษอะไรเลย

เช่นเดียวกับตัวเลขของการจ้างงานใหม่ 20,000 ตำแหน่ง ทั้งหมดอยู่ในด้าน R&D, วิศวกรรมซิลิคอน, การพัฒนาซอฟต์แวร์ และ AI ซึ่งเป็นงานที่ Apple มีการจ้างในสหรัฐฯ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

งานเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ภายใต้กลุ่ม “ออกแบบโดย Apple ในแคลิฟอร์เนีย” การจ้างงานใหม่ 20,000 ตำแหน่งเป็นสิ่งที่คาดหวังจาก Apple ในช่วง 4 ปีในยุค AI บูม

สิ่งที่น่าสนใจคือการเพิ่มกองทุนการผลิตขั้นสูงของ Apple ในสหรัฐฯ เป็นสองเท่าจาก 5 พันล้านดอลลาร์เป็น 10 พันล้านดอลลาร์

กองทุนนี้ฟังดูเหมือนสิ่งที่เป็นรูปธรรม แต่ไม่มีการกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนในเอกสาร น่าจะเป็นเพียงสิ่งที่ Apple ต้องการจะจ่ายเพื่อใช้ซื้อชิ้นส่วนของสหรัฐฯ ในอนาคต

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่กองทุนนี้จะจ่ายคือชิปจากโรงงานใหม่ของ TSMC ในอริโซนา แต่โรงงานนี้ไม่ใช่โรงงานที่ Apple สร้างหรือให้การสนับสนุนทางการเงิน

แต่เป็นของ TSMC และได้รับเงินอุดหนุน 6.6 พันล้านดอลลาร์จาก CHIPS Act ซึ่งเป็นกฎหมายในยุคของ Joe Biden งานทั้งหมดของ Apple คือการยอมรับว่าพวกเขาจะซื้อชิปจากโรงงานนี้เพียงเท่านั้น

โรงงานได้เริ่มดำเนินการก่อนที่ Trump จะเข้ารับตำแหน่ง แต่ Cook บรรจุสิ่งนี้ทั้งหมดลงในสิ่งที่เรียกว่ากองทุนการผลิตขั้นสูงของ Apple ซึ่งบ่งบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นความสำเร็จของ Apple และอาจเป็นของ Trump ด้วย

ส่วนโรงงานใหม่ในฮูสตันที่จะผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI อาจฟังดูเทพมาก แต่ในความเป็นจริง นี่คือผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้อยที่สุดของ Apple

โรงงานนี้แทบจะแน่นอนว่าจะเพียงแค่ประกอบชิ้นส่วนที่ผลิตเสร็จแล้ว และร่วมกับ Mac Pro ซึ่งผลิตในสหรัฐฯ อยู่แล้ว มันจะมีส่วนแบ่งน้อยกว่า 1% ของการผลิตทั้งหมด

เอกสารนี้แสดงถึงความเจ๋งของ Tim Cook อย่างสมบูรณ์แบบ เขาให้ข่าว PR ที่ยอดเยี่ยมแก่ Trump เพื่อโอ้อวดด้วยตัวเลขที่ยิ่งใหญ่และเมื่อพิจารณาจากคำในเอกสารทั้งหมดมันก็ถูกต้องตามนั้น

เขาแม้กระทั่งพบกับประธานาธิบดีก่อนที่จะเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์เพื่อให้สื่อมวลชนเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกัน

ในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งก่อนของ Trump การเจรจาที่คล้ายกันของ Cook นำไปสู่การที่ผลิตภัณฑ์ของ Apple ได้รับการยกเว้นเฉพาะจากภาษีศุลกากรของจีน ซึ่งทำให้ Apple นำเข้าผลิตภัณฑ์มาในสหรัฐฯ ได้อย่างอิสระ

ข้อความเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ Apple เสียอะไรที่มีความหมายจนถึงตอนนี้ และยังช่วยให้ Apple หลีกเลี่ยงการทำให้พันธมิตรระหว่างประเทศอื่นๆ ไม่พอใจ โดยเฉพาะจีน

จีนซึ่งยังคงสนับสนุน Apple จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อโรงงานที่ผลิตผลิตภัณฑ์ Apple ประสบกับการขาดแคลนแรงงานในช่วการแพร่ระบาดของ COVID-19 รัฐบาลจีนส่งทหารผ่านศึกจำนวนมากเพื่อเข้ามาช่วยเหลือ Apple แทบจะทันที

และที่สำคัญพอๆ กัน จีนยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของ Apple โดยที่ iPhone ใช้กันอย่างแพร่หลายในเมืองใหญ่ของจีน

ในขณะที่ Huawei กำลังถูกคว่ำบาตร TikTok เกือบถูกบังคับให้ขาย Tencent ถูกกำหนดให้เป็นบริษัททหาร Apple ดูเหมือนจะได้รับการปฏิบัติพิเศษจากรัฐบาลทั้งสองขั้ว

ตราบใดที่ Apple ยังคงการผลิตที่ทำกำไรมหาศาลในจีน รัฐบาลไม่น่าจะทำอะไรรุนแรงกับ Apple เนื่องจากงานมากกว่าหนึ่งล้านตำแหน่งและรายได้หลายร้อยพันล้านดอลลาร์ของรัฐบาลจีนจะอยู่ในความเสี่ยง

แต่นี่คือความท้าทายที่โหดที่สุด ในขณะที่ Apple สามารถชะลอการย้ายการผลิตออกจากจีน แต่สิ่งนี้จะไม่ยั่งยืนตลอดไป

บริษัทได้เริ่มเปิดโรงงานในประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม และอินเดียซึ่งหมายปองที่จะกลายเป็นฐานการผลิตหลักถัดไป ในขณะที่กลุ่ม Tata ของอินเดียกำลังพยายามเป็นเหมือน Foxconn

แต่มีภัยคุกคามที่ทำให้ Cook ต้องหันมาคิดอย่างรอบคอบ เคสของอินโดนีเซียที่สั่งห้ามขายผลิตภัณฑ์ Apple เว้นแต่พวกเขาจะเปิดโรงงานในประเทศ

Apple ยอมแพ้และประกาศสร้างโรงงานผลิตมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์หลังจากนั้น นี่คือกรณีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าประเทศต่างๆ รู้ว่า Apple เป็นที่หมายปองและจะใช้ทั้งแรงจูงใจและการข่มขู่เพื่อดึงดูดการลงทุน

Tim Cook ต้องฝ่าฟันต่อสู้ผ่านความท้าทายเหล่านี้ทั้งหมด แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่ามาก ๆ ก็คือ Apple ไม่สามารถออกจากจีนได้อย่างสมบูรณ์ในเร็วๆ นี้

ในตอนนี้ Apple ยังคงยืมจมูกคนอื่นหายใจ โรงงานในต่างประเทศยังไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะครอบคลุมความต้องการทั่วโลก

พวกเขายังคงต้องการเครื่องจักร วิศวกร การฝึกอบรม และชิ้นส่วนจากจีน ในขณะเดียวกันผู้นำของจีนก็กระตือรือร้นอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ซึ่งการพึ่งพานี้

หนึ่งในเหตุผลใหญ่ที่จีนไม่โจมตี Apple ในขณะที่บริษัทของจีนเองกำลังได้รับความเสียหายจากนโยบายของสหรัฐฯ คือการที่พวกเขาต้องการให้ Apple แข็งแกร่ง พวกเขาต้องการให้ Apple ยืดหยุ่นมากที่สุด เหมือนเป็นไม้ตายชนิดหนึ่งที่สามารถใช้ได้ในยามจำเป็น

แต่ยิ่ง Apple ย้ายการผลิตออกจากจีน การป้องกันนี้ก็ยิ่งจำเป็นน้อยลง และถ้า Apple กลายเป็นอิสระจากจีน จีนก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะยับยั้งสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป

มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่จีนเริ่มมีความเข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ Apple ได้รับอนุญาตให้ย้ายออกจากประเทศ รวมถึงเครื่องจักรที่สำคัญ ผู้คน และความรู้ความชำนาญ เหมือนกับว่าจีนกำลังส่งสัญญาณว่า “อย่าพาเราขึ้นเขา แล้วถีบส่งเราลงเหว”

รัฐบาลยังเริ่มการสอบสวนต่อต้านการผูกขาดใน App Store ของ Apple ในจีนเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้เห็นว่าพวกเขาเริ่มกดดัน Cook แล้ว

สิ่งเหล่านี้เป็นการเตือนที่ชัดเจนว่า Apple เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในจีนตราบใดที่พวกเขายังให้ความร่วมมือ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้นมันไม่มีอภิสิทธิ์พิเศษอีกต่อไป

จนถึงตอนนี้ Tim Cook ได้จัดการอย่างชาญฉลาดที่จะค่อยๆ ถอยห่างจากจีนโดยไม่มีผลกระทบที่ร้ายแรง แต่ตอนนี้มาถึงจุดพีคของกลยุทธ์นี้แล้ว

เขาจะสามารถทำการแยกตัวให้เสร็จสิ้นก่อนที่รัฐบาลจีนจะฟันฉับลงบนคอของบริษัทของเขาหรือไม่? นี่คือเกมที่เดิมพันกันด้วยอนาคตของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

ความเจ้าเล่ห์ของ Cook แสดงให้เห็นในแต่ละก้าวของกลยุทธ์นี้ เขาสามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีกับทั้ง Trump และจีนในเวลาเดียวกัน

เขาสร้างข่าวประชาสัมพันธ์ที่ให้ทุกฝ่ายได้สิ่งที่ต้องการโดย Apple ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เขาเป็นนักเจรจาที่โครตเทพจริงๆ

ถ้า Cook สามารถนำพา Apple ผ่านการเปลี่ยนผ่านครั้งที่ยากที่สุดครั้งนี้ไปได้ ย้ายการผลิตออกจากจีนโดยไม่สูญเสียตลาดจีนหรือถูกคุกคามจากรัฐบาลจีน นั่นจะเป็นความสำเร็จสูงสุด

ในขณะเดียวกันก็รักษาความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลสหรัฐฯ นี่จะเป็นการพิสูจน์ความโครตเทพของเขาในฐานะ CEO

แล้ววันหนึ่ง เราอาจได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่ “ออกแบบโดย Apple ในแคลิฟอร์เนีย” โดยไม่ต้องตามด้วย “ผลิตในจีน” อีกต่อไป ซึ่งจะเป็นหลักฐานสุดท้ายที่พิสูจน์ว่า Tim Cook เป็น CEO ผู้เจ้าเล่ห์และเก่งกาจที่สุดแห่งยุคสมัยของเรา

เกิดอะไรขึ้นกับ Windows Phone? ทำไม Microsoft ถึงสูญเสียตลาดสมาร์ทโฟนทั้งที่เคยเป็นผู้นำ

ย้อนกลับไปปี 2006 ไมโครซอฟท์กับ Windows Mobile ของพวกเขาครองตลาดสมาร์ทโฟนแทบจะเบ็ดเสร็จ ทุกคนคาดหวังว่าพวกเขาจะแข่งขันกับ Apple ได้อย่างสูสี หลังการเปิดตัว iPhone ในปี 2007 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นความผิดพลาดครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์วงการเทคโนโลยี

ตอนแรกที่ iPhone เปิดตัว ปฏิกิริยาของผู้คนแบ่งเป็นสองฝั่งชัดเจน บางคนประทับใจกับนวัตกรรมใหม่ แต่อีกหลายคนมองว่าเป็นเพียงกระแสชั่วคราว หลายคนพูดว่า “ไม่มีใครอยากได้ iPhone หรอก มันจะมีรอยนิ้วมือเต็มหน้าจอไปหมด”

Steve Ballmer ซีอีโอไมโครซอฟท์ในตอนนั้นกล่าวอย่างมั่นใจว่า “500 ดอลลาร์ราคาพร้อม package การใช้งาน? นี่คือโทรศัพท์ที่แพงที่สุดในโลก และมันไม่ดึงดูดลูกค้าธุรกิจเพราะไม่มีแป้นพิมพ์ ซึ่งทำให้มันไม่ใช่เครื่องสำหรับการรับส่งอีเมลที่ดีนัก”

Ballmer ยังเสริมต่อ “เรามีกลยุทธ์ของเรา เรามีอุปกรณ์ Windows Mobile เจ๋งๆ ในตลาด คุณสามารถซื้อโทรศัพท์ Motorola Q ได้ในราคา 99 ดอลลาร์ มันเป็นเครื่องที่มีความสามารถมาก ผมชอบกลยุทธ์ของเรา ผมชอบมันมาก”

การปฏิเสธศักยภาพของ iPhone เป็นความผิดพลาดแรกของไมโครซอฟท์ ซึ่งมองย้อนกลับไปมันเห็นได้ชัด แต่ในเวลานั้น แนวคิดสมาร์ทโฟนไร้แป้นพิมพ์ดูไร้สาระพอๆ กับคอมพิวเตอร์ไร้แป้นพิมพ์เสียด้วยซ้ำ

อีกอย่าง ราคา iPhone ที่ 499 ดอลลาร์ (หรือราว 756 ดอลลาร์ในปัจจุบันเมื่อคิดตามอัตราเงินเฟ้อ) แพงกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปที่มีราคาเฉลี่ยที่ 200 ดอลลาร์ ถึง 2.5 เท่า จึงไม่แปลกที่หลายคนสงสัยในความสำเร็จของมัน

หากดูเพียงสเปคเทคนิค iPhone เหมือนถูกตั้งราคาเลยเถิด มีเพียงปุ่มเดียว กล้องเดียว ไม่มีแป้นพิมพ์ แต่มีฟังก์ชันพื้นฐานเหมือนสมาร์ทโฟนอื่น ทั้งอีเมล โทรศัพท์ ข้อความ เพลง และอินเทอร์เน็ต

สิ่งที่ทั้งไมโครซอฟท์และ Blackberry มองข้ามคือความสำคัญของ “ประสบการณ์ผู้ใช้” ซึ่งต่อมาพิสูจน์แล้วว่ามีค่าเหนือกว่าราคา เหมือนตอนที่คอมพิวเตอร์เปลี่ยนจากคำสั่งแบบ command line มาเป็นอินเทอร์เฟซแบบกราฟิกและเมาส์

บริษัทที่ตอบสนองช้าต่อการปฏิวัติอินเทอร์เฟซกราฟิกในยุค 80 คือ IBM กว่าจะมีคอมพิวเตอร์ที่ใช้เมาส์ก็ปี 1990 หกปีหลังจาก Macintosh ความล่าช้านี้เปิดช่องให้ Apple , HP และ Dell แย่งส่วนแบ่งตลาดจนนำไปสู่การถอนตัวจากตลาดของ IBM

ไมโครซอฟท์กำลังเผชิญชะตากรรมคล้ายกัน พวกเขามั่นใจในแพลตฟอร์ม Windows Mobile และอุปกรณ์ต่างๆ มากเกินไป แต่ไม่รู้ว่ากำลังจะเจอพายุโหมกระหน่ำครั้งใหญ่

เมื่อ Steve Jobs เปิดตัว iPhone เขาแสดงกราฟยอดขายปี 2006 โดยเครื่องเล่นเกมขายได้ 26 ล้านเครื่อง ขณะที่โทรศัพท์มือถือ (รวมฟีเจอร์โฟน) ขายได้ 957 ล้านเครื่อง

Jobs ตั้งเป้าให้ Apple ครองส่วนแบ่งตลาดโทรศัพท์ทั่วโลก 1% ภายในปี 2008 หมายถึงต้องขาย iPhone ให้ได้ 10 ล้านเครื่อง เป้าหมายมันมีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมากเมื่อพิจารณาว่า Apple ใช้เวลา 22 ปีกว่าจะขาย Mac ได้ 5 ล้านเครื่องในหนึ่งปี

ปฏิกิริยาของ Ballmer? เขาประกาศมั่นใจว่า “ไม่มีโอกาสที่ iPhone จะได้ส่วนแบ่งการตลาดที่มีนัยสำคัญใดๆ ไม่มีโอกาส” คำพูดนี้กลายเป็นคำที่ทำให้ไมโครซอฟท์ต้องปวดร้าวในเวลาต่อมา

Apple ประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย ในการประชุมนักพัฒนาทั่วโลกเดือนมิถุนายน 2008 Jobs ประกาศว่า Apple ขาย iPhone ได้ถึง 6 ล้านเครื่อง ทำให้พวกเขาอยู่ในแนวทางที่จะบรรลุเป้าหมายส่วนแบ่งการตลาด 1% ภายในสิ้นปี

ที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกของ iPhone อยู่ที่ 6.5% ในไตรมาสที่สี่ของปี 2007 เทียบเท่า Motorola ที่อันดับสี่ และส่วนแบ่งการตลาดสมาร์ทโฟนในสหรัฐฯ ของ iPhone อยู่ที่ 28% แซงทั้ง Palm และไมโครซอฟท์

ในเดือนพฤศจิกายน 2007 ประมาณ 10 เดือนหลังจากการเปิดตัว iPhone Google เปิดตัว Android ระบบปฏิบัติการมือถือสำหรับสมาร์ทโฟนหน้าจอสัมผัส Eric Schmidt ซีอีโอ Google เห็น iPhone และตระหนักทันทีว่าอุตสาหกรรมกำลังเปลี่ยนไป

Google จึงรีบปล่อย Android อย่างรวดเร็วเพื่อให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนนำไปใช้ในปี 2008 แต่ไมโครซอฟท์ยังคงยึดมั่นว่าสมาร์ทโฟนไร้แป้นพิมพ์ไม่ใช่อนาคต เนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าองค์กรที่ต้องใช้แป้นพิมพ์สำหรับอีเมล

เข้าสู่ปี 2008 Apple เปิดตัว iPhone 3G วางขายทั่วโลกในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้นที่ 199 ดอลลาร์ ในปีเดียวกัน HTC Dream สมาร์ทโฟน Android เครื่องแรกวางจำหน่ายผ่าน T-Mobile ในสหรัฐฯ

คนส่วนใหญ่อาจไม่เข้าใจว่ายุคนั้นเป็นอย่างไร ปัจจุบันเราซื้อโทรศัพท์ไหนใช้กับเครือข่ายไหนก็ได้ แต่ยุค 2000 ผู้ให้บริการเครือข่ายมีอำนาจมาก พวกเขาขายโทรศัพท์ที่ใช้ได้เฉพาะเครือข่ายตัวเอง ซื้อ iPhone ปี 2008 คือผูกมัดสัญญา 2 ปีกับ AT&T โดยอัตโนมัติ

เครือข่ายได้ประโยชน์ แต่ผู้ผลิตก็ได้ด้วยเพราะผู้ให้บริการจะอุดหนุนค่าโทรศัพท์บางส่วน ทำให้ราคาถูกลงสำหรับผู้บริโภค ผู้ผลิตขายได้มากขึ้น และเครือข่ายได้ลูกค้าเพิ่ม

แต่ผู้ให้บริการไม่สุ่มเลือกโทรศัพท์มาสนับสนุน พวกเขาเลือกเครื่องที่คาดว่าจะขายดี เมื่อ iPhone เริ่มมีกระแสที่ดีขึ้น Verizon และ T-Mobile เร่งหาพันธมิตรในการแข่งขันสมาร์ทโฟนหน้าจอสัมผัส หวังได้ฐานผู้ใช้เพิ่มเหมือน AT&T

T-Mobile จับมือกับ HTC ผู้สร้าง Android เครื่องแรก ส่วน Verizon จับมือกับ Blackberry ผู้นำตลาดในขณะนั้น เตรียมเปิดตัว Blackberry Storm หน้าจอสัมผัสที่สั่นเวลากดปุ่ม

ไมโครซอฟท์ไม่ได้อยู่ในสนามนี้เพราะยังไม่มีโทรศัพท์ของตัวเอง OS Windows Mobile ยังคงให้ผู้ผลิตรายอื่นใช้ แต่อุปกรณ์เหล่านั้นดูล้าสมัยลงทุกวัน

ก้าวเข้าสู่ปี 2009 สนามสมาร์ทโฟนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง Blackberry Storm ล้มเหลว ทำให้บริษัทสูญเงินกว่า 500 ล้านดอลลาร์ Verizon จึงหันไปหาพันธมิตรใหม่

เมื่อเห็น T-Mobile ขาย HTC Android ได้กว่า 1 ล้านเครื่อง Verizon จึงทุ่มสนับสนุน Android เต็มตัว โดย Android พุ่งจากศูนย์และสามารถครองส่วนแบ่งตลาดทั่วโลก 3% ได้ในเพียงแค่ปีเดียว

Apple ขาย iPhone 3G ได้มากกว่า 20 ล้านเครื่องทั่วโลก เพิ่มส่วนแบ่งตลาดจาก 9% เป็น 14% ณ สิ้นปี 2008 และเพิ่มยอดด้วยการเปิดตัว iPhone 3GS พร้อมลดราคา iPhone 3G เหลือ 100 ดอลลาร์ ขยายฐานลูกค้าอีกมากมาย

Windows Mobile กลับหดตัวครั้งแรกจาก 14% ในปี 2008 เหลือ 9% ในปี 2009 ลดฮวบถึง 36% ในปีเดียว Ballmer ยอมรับว่าพวกเขา “พลาดพลั้ง” ผู้ใช้ต้องการหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ไร้แป้นพิมพ์

ไมโครซอฟท์จึงเริ่มพัฒนาระบบใหม่เพื่อแข่งกับ iOS และ Android ซึ่งจะเปิดตัวเดือนตุลาคม 2010 อุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนตอนนั้นเปลี่ยนเร็วมาก การเปลี่ยนในสี่ปีตอนนั้นมีความสำคัญมากกว่าสี่ปีในปัจจุบัน

ภายในปี 2010 แอปเปิลเปิดตัว iPhone 4 ซึ่งแตกต่างจากรุ่นแรกในปี 2007 อย่างสิ้นเชิง ไมโครซอฟท์ที่จะเปิดตัวระบบใหม่หลัง Apple 4 ปี และหลัง Google 3 ปี จึงเสียเปรียบมหาศาล

การเปิดตัวของพวกเขาคือ Windows Phone 7 มาแทน Windows Mobile 6.5 ผู้ใช้ส่วนใหญ่ชอบอินเทอร์เฟซ Metro ใหม่ที่สดสะอาด แป้นพิมพ์เสมือนที่มีความแม่นยำ การตอบสนองที่รวดเร็ว

แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ โดยเฉพาะการเปลี่ยนโฟกัสจากลูกค้าองค์กรไปยังผู้บริโภคทั่วไป ความปลอดภัยที่เคยเทพกลับหายไป Microsoft Office ใช้งานได้ไม่ดี ลูกค้าเดิมส่วนใหญ่ซึ่งเป็นองค์กรรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง

Windows Phone 7 เน้นผู้ใช้ทั่วไปที่ใช้โซเชียลและเสพคอนเทนต์ แต่ปัญหาคือผู้ใช้เหล่านี้เลือกระหว่าง Android หรือ iOS ไปแล้ว ชักชวนให้เปลี่ยนมาใช้ระบบใหม่ที่ยังไม่พิสูจน์ตัวเองเป็นเรื่องยากลำบาก

ไม่เพียงลูกค้าที่ต้องถูกชักจูง ทั้งผู้ให้บริการเครือข่ายและผู้ผลิตอุปกรณ์ก็ต้องถูกชักจูงด้วย AT&T มุ่งขาย iPhone, T-Mobile และ Verizon ทำตลาดกับ Android ไมโครซอฟท์มีร้านค้าปลีกเพียงหกแห่ง ต้องพึ่งผู้ให้บริการเครือข่ายอย่างมาก

ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอย่าง Samsung, LG และ Motorola ใช้ Android อยู่แล้ว การเพิ่มระบบปฏิบัติการใหม่เป็นการเพิ่มความซับซ้อน อีกทั้ง Android ฟรี แต่ไมโครซอฟท์เก็บ 15 ดอลลาร์ต่อเครื่องสำหรับ Windows Phone 7

นี่เป็นจุดที่แผนของไมโครซอฟท์เริ่มเละไม่เป็นท่า แม้มีโทรศัพท์ 20 รุ่นใช้ Windows Phone 7 แต่ผู้ให้บริการเครือข่ายไม่เห็นว่าอะไรทำให้มันดีกว่า Android และ iPhone ลูกค้าก็รู้สึกเช่นกัน

นักพัฒนาแทบไม่สนใจแพลตฟอร์มนี้ มีแอปเพียง 2,000 แอปตอนเปิดตัว เทียบกับ Android 200,000 แอป และ iOS 300,000 แอป แอปยอดนิยมอย่าง Angry Birds, Instagram และ YouTube ไม่มีให้ใช้

ลูกค้าหลายคนผิดหวังเมื่อพบว่าไม่สามารถใช้แอปโปรดได้ เกิดอัตราคืนสินค้าสูง จนพนักงานร้านค้าเริ่มไม่แนะนำให้ลูกค้าซื้อ Windows Phone 7

แถมยังมีปัญหากับฮาร์ดแวร์บางรุ่นที่ไมโครซอฟท์ควบคุมไม่ได้ เช่น Samsung Focus โทรศัพท์ Windows ที่ดีที่สุดตอนเปิดตัว มีปัญหากับช่องเสียบ micro SD จำกัดความเร็วการ์ด และต้องรีเซ็ตเป็นค่าโรงงานเมื่อใส่การ์ดใหม่ ทำให้ข้อมูลถูกลบไปทั้งหมด

ไมโครซอฟท์เริ่มเข้าใจสิ่งที่ Apple รู้มานาน พวกเขาต้องควบคุมทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ จึงเริ่มวางแผนกลยุทธ์ใหม่

การสร้างแผนกฮาร์ดแวร์ต้องใช้เวลา แต่ไมโครซอฟท์ไม่มีเวลา พวกเขาจึงร่วมมือกับบริษัทฮาร์ดแวร์แทน โดยเลือก Nokia จากฟินแลนด์

Nokia ไม่เพียงสร้าง Nokia N9 ที่ Engadget เรียกว่า “โทรศัพท์ที่สวยที่สุดเท่าที่เคยมีมา” แต่ Stephen Elop อดีตผู้บริหารไมโครซอฟท์ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งซีอีโอใหม่ของ Nokia มองว่า Nokia มีปัญหาด้านซอฟต์แวร์เพราะระบบ Symbian ของพวกเขาเริ่มล้าสมัย

สิงหาคม 2011 ทั้งสองประกาศความร่วมมือเพื่อ “รวมสินทรัพย์และพัฒนาผลิตภัณฑ์มือถือนวัตกรรมในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน” Nokia จะใช้ Windows Phone 7 เป็นระบบหลัก บริการของทั้งสองบริษัทจะถูกควบรวมกัน

พวกเขาต้องเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างรวดเร็ว และในพฤศจิกายน 2011 Nokia Lumia 800 ก็เปิดตัว โดยพื้นฐานคือ Nokia N9 ที่ใช้ Windows Phone 7 ซีอีโอ Nokia เรียกมันว่า “โทรศัพท์ Windows จริงเครื่องแรก”

น่าเสียดายที่ผู้บริโภคสหรัฐฯ ไม่ได้สัมผัสเพราะไม่วางขายที่นั่น เหตุผลคือการเป็นพันธมิตรกับ AT&T ที่ต้องการโทรศัพท์รองรับ 4G LTE แต่ไมโครซอฟท์ไม่เห็นความสำคัญ

พวกเขาจึงขาย Lumia 800 ในยุโรปและแคนาดา แล้วรีบพัฒนา Lumia 900 รองรับ 4G เปิดตัวมกราคม 2012 แต่เวลานั้นตลาดสมาร์ทโฟนเติบโตเต็มที่แล้ว

Samsung มี Galaxy S2 และ Apple มี iPhone 4S ผู้บริโภคใช้เวลา 5 ปีเลือกระหว่าง iPhone และ Android ไปแล้ว ไมโครซอฟท์ต้องนำเสนอผลิตภัณฑ์เจ๋งมากๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าที่มีความภักดีต่อแบรนด์อื่น

Nokia Lumia 900 ได้รับการตอบรับดีพอควร ได้รางวัล Best of CES จาก CNET, Forbes เรียกมันว่า “โทรศัพท์ Windows ที่ดีที่สุดจนถึงตอนนี้” แม้แต่ Gizmodo ยังบอกว่า “Lumia อาจช่วย Windows Phone ได้”

ผู้บริโภคหลายคนชอบมัน เป็นสมาร์ทโฟนยุคใหม่ราคาถูกที่สุดที่ 99 ดอลลาร์พร้อมสัญญา 2 ปี ไลฟ์ไทล์ให้ประโยชน์มากกว่าไอคอนแบบแน่นิ่งของคู่แข่ง หน้าจอ AMOLED 4.3 นิ้วใหญ่กว่า iPhone 3.5 นิ้ว

ผู้ใช้ยังชื่นชอบตัวเลือกสีสันสดใส ซึ่ง Apple ใช้กับ iPhone 5C มากกว่า หนึ่งปีหลังจากนั้น Lumia 900 จึงเป็นผลิตภัณฑ์น่าประทับใจ แต่มีข้อบกพร่องซึ่งนำไปสู่ความล้มเหลวในที่สุด

แม้ฮาร์ดแวร์ของ Lumia 900 และ Lumia 920 จะแข่งขันได้ แต่ระบบปฏิบัติการกลับไม่ดี ผู้ซื้อ Windows Phone 7 ต้องตกใจเมื่อพบว่าอัพเกรดเป็น Windows Phone เวอร์ชันใหม่ไม่ได้

เหตุผลคือไมโครซอฟท์สร้าง OS บนเคอร์เนล Windows CE ซึ่งไม่เหมาะกับสมาร์ทโฟนยุคใหม่ จัดการหน่วยความจำได้ไม่ดี ปล่อยให้แอปทำงานในพื้นหลังซึ่งกินแบตเตอรี่

การติดตั้งและเขียนแอปยังยุ่งยาก ทำให้นักพัฒนาไม่อยากสร้างแอป Wired ถึงกับวิจารณ์ว่า “ไม่ใช่ว่า App Store ของ Microsoft จะว่างเปล่า มีแอปกว่า 120,000 รายการ พวกมันเพียงแค่ไม่ใช่แอปที่คุณต้องการ”

ไมโครซอฟท์จึงพัฒนา Windows Phone 8 บนเคอร์เนล Windows NT ที่ทันสมัยกว่า ปรับปรุงประสิทธิภาพหลายด้าน ทำให้นักพัฒนาย้ายแอปจาก Windows 8 มาใช้ง่ายขึ้น แต่ผู้ใช้ Windows Phone 7 ที่มีอยู่อัพเกรดไม่ได้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไมโครซอฟท์ทำแบบนี้ ผู้ใช้ Windows Mobile 6 (2007) ก็อัพเกรดเป็น Windows Phone 7 (2010) ไม่ได้ และตอนนี้ผู้ใช้ 7 ก็อัพเกรดเป็น 8 (2012) ไม่ได้ นั่นหมายความว่าต้องซื้อโทรศัพท์สามเครื่องในห้าปีเพื่อใช้ระบบล่าสุด

เป็นการตบหน้าลูกค้าที่เสี่ยงลงทุนกับโทรศัพท์ Windows สร้างความโกรธเคืองระหว่างไมโครซอฟท์กับผู้ใช้ที่ภักดีที่สุด ซึ่งมีแนวโน้มเลือก iPhone หรือ Android ในการซื้อครั้งต่อไป

แม้มีปัญหาร้ายแรงกับผู้ให้บริการเครือข่ายที่ไม่อยากผลักดันโทรศัพท์ Windows แต่ภายในปี 2013 ไมโครซอฟท์ฟื้นส่วนแบ่งตลาดได้บ้าง จาก 1.6% เป็น 3% ยังห่างไกลจาก Android ที่ครองตลาด 78%

กันยายน 2013 ไมโครซอฟท์ทุ่มเทครั้งสุดท้าย ซื้อธุรกิจสมาร์ทโฟนของ Nokia ด้วยเงิน 7.2 พันล้านดอลลาร์ ปิดฉาก Nokia ในตลาดโทรศัพท์มือถือ จากนั้นขึ้นอยู่กับไมโครซอฟท์ที่จะทำให้ธุรกิจนี้สำเร็จ ซึ่งตามคาดพวกเขาทำไม่ได้

โทรศัพท์แรกที่ไมโครซอฟท์พัฒนาหลังซื้อกิจการคือ Microsoft Lumia 950 เปิดตัวปี 2015 เครื่องแรกที่ใช้ Windows 10 Mobile แทน Windows Phone 8 แม้มีคุณสมบัติน่าสนใจ แต่หลายคนรู้สึกว่าการออกแบบมันเหมือนถอยหลัง

มันขาดความหรูหราเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปอื่น และไม่มีเสน่ห์เหมือน Lumia รุ่นก่อนหน้า

นักวิจารณ์วิพากษ์วิจารณ์ระบบนิเวศแอปที่พัฒนาได้ไม่ดีและระบบปฏิบัติการที่มีข้อบกพร่อง The Verge บอกว่า Windows 10 Mobile ไม่เสร็จสมบูรณ์ และอินเทอร์เฟซผู้ใช้ก็ไม่สอดคล้องกัน

ไมโครซอฟท์ได้รับการร้องเรียนมากมายจนในที่สุดพวกเขาต้องอนุญาตให้ผู้ใช้ดาวน์เกรดจาก Windows 10 Mobile กลับไปยัง Windows Phone 8

ภายในปี 2016 ส่วนแบ่งการตลาดของไมโครซอฟท์ดิ่งลงเหว 79% เหลือเพียง 0.4% ของตลาดทั้งหมด ในเวลาเพียง 10 ปี พวกเขาร่วงจากอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่ง 34% เหลือแทบจะไม่มีอะไรเลย

ตุลาคม 2017 ไมโครซอฟท์ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะไม่ขายหรือผลิตอุปกรณ์ Windows 10 Mobile ใหม่อีก โดย Lumia 950 เป็นสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปเครื่องสุดท้าย

เมื่อมองย้อนกลับ Ballmer ยอมรับว่า “ไมโครซอฟท์จะมีตำแหน่งแข็งแกร่งกว่าในตลาดโทรศัพท์วันนี้ ถ้าผมสามารถกลับไปแก้ไขความผิดพลาดได้ สิ่งที่ผมเสียใจคือเราไม่ได้นำฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์มารวมกันเร็วพอ”

เรื่องราวของไมโครซอฟท์ในตลาดสมาร์ทโฟนให้บทเรียนหลายข้อ ประการแรก การมองข้ามความสำคัญของนวัตกรรมเป็นความผิดพลาดร้ายแรง พวกเขาดูถูกศักยภาพของ iPhone และไม่เข้าใจว่าประสบการณ์ผู้ใช้สำคัญกว่าฟีเจอร์แบบดั้งเดิม

ประการที่สอง การตอบสนองล่าช้าต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดให้คู่แข่งได้เปรียบเยอะมาก Google เห็น iPhone และตอบสนองในเวลาไม่ถึงปี ขณะที่ไมโครซอฟท์ใช้เวลาสามปีกว่าจะมีระบบที่เข้ามาแข่งขันจริงจัง

ประการที่สาม การทำให้ลูกค้าผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นกลยุทธ์ที่นำไปสู่ความล้มเหลว ผู้ใช้ Windows Phone รุ่นเก่าอัพเกรดเป็นรุ่นใหม่ไม่ได้ ทำให้ลูกค้าที่ภักดีรู้สึกถูกทอดทิ้ง

ประการที่สี่ การพึ่งพาพันธมิตรมากเกินไปโดยไม่มีการควบคุมคุณภาพที่ดีพอทำให้เกิดประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ดีพอ แม้หลังจากซื้อ Nokia แล้ว ไมโครซอฟท์ก็ยังไม่สามารถสร้างประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์และน่าประทับใจได้

สุดท้าย ระบบนิเวศของแอปมีความสำคัญมากต่อความสำเร็จของแพลตฟอร์มสมาร์ทโฟน Windows Phone ไม่สามารถดึงดูดนักพัฒนาให้สร้างแอปสำหรับแพลตฟอร์มได้เพียงพอ ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงแอปยอดนิยมได้

ความล้มเหลวของไมโครซอฟท์แสดงให้เห็นว่าแม้แต่บริษัทเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จและมีอิทธิพลที่สุดในโลกก็ยังพลาดโอกาสครั้งสำคัญได้ หากขาดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ตอบสนองช้า และไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง

ปัจจุบัน ไมโครซอฟท์ยังเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยี แต่พวกเขาปรับกลยุทธ์ มุ่งเน้นการพัฒนาซอฟต์แวร์และบริการคลาวด์แทนที่จะแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนที่ปัจจุบันมีเพียง iOS และ Android

บทเรียนจากความล้มเหลวของพวกเขาเป็นกรณีศึกษาที่มีค่าสำหรับทั้งบริษัทขนาดใหญ่และผู้ประกอบการรายใหม่ ในการเข้าใจความสำคัญของการคาดการณ์และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว

ในโลกเทคโนโลยีที่พลิกผันเร็ว แม้แต่บริษัทที่ครองตลาดก็อาจกลายเป็นผู้ตามในชั่วข้ามคืน หากไม่สามารถคาดการณ์และตอบสนองต่อนวัตกรรมใหม่ๆ ได้ทันท่วงที

Geek Story EP324 : เมื่อ Tim Cook ชนะทั้ง Trump และจีน กับแผนลับของ Apple ในการปลดแอกจากจีน

Tim Cook คือคนที่ทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก เพิ่มมูลค่าขึ้น 25 เท่าตั้งแต่เขาเป็น CEO เมื่อ 14 ปีที่แล้ว และแปดปีในนั้นเกิดขึ้นระหว่างสงครามการค้าที่ใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของเรา ซึ่ง Apple ควรจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะในท้ายที่สุดแล้ว Apple เป็นบริษัทสหรัฐฯ ที่พึ่งพาทั้งการผลิตในจีนและผู้บริโภคชาวจีนมากที่สุด

และตอนนี้ด้วยความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น Cook กำลังวางแผนที่ซับซ้อนที่สุดของเขา – การย้ายการผลิตออกจากจีนโดยไม่ทำให้ความสัมพันธ์ทางการค้าและการเมืองเสียหาย ถ้าเขาสามารถทำสำเร็จได้อีกครั้ง เขาอาจได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งใน CEO ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/28edthje

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yxnt3tpb

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/tuyra8uu

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/-2pIut0FHkw

ทำไม Steve Jobs ถึงถูกไล่ออก? ตำนานผู้กลับมาแก้แค้น เพื่อเปลี่ยน Apple ให้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

Steve Jobs คือหนึ่งในตำนานผู้ก่อตั้ง Apple ที่ใครๆ ก็รู้จัก เขาเป็นผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์สุดเจ๋ง สามารถพลิกโฉมธุรกิจจากห้องใต้ดินให้กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลก

เส้นทางชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความท้าทายมากมาย จากเด็กที่ถูกยกให้เป็นบุตรบุญธรรม สู่เศรษฐีเงินล้านตั้งแต่อายุแค่ 22 ปี แต่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะเขามีชื่อเสียงในการเป็นคนที่ทำงานด้วยยากเอามาก ๆ

เขาใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนหลายคนมองว่าเป็นความบ้าคลั่ง แต่ความพิถีพิถันนี้เองที่ทำให้ผลงานของเขาออกมาสมบูรณ์แบบ

Apple ก่อตั้งโดยชายสองคน คือ Steve Jobs และ Steve Wozniak (หรือที่เรียกกันว่า “Woz”) พวกเขาร่วมกันประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประกอบด้วยมือทั้งหมดชื่อ Apple One

จริงๆ แล้วมีผู้ร่วมก่อตั้งคนที่สามชื่อ Ronald Wayne แต่เขาอยู่แค่ 12 วันเท่านั้น ก่อนจะขายหุ้น 10% ของเขาคืนให้กับ Steve และ Woz ในราคาแค่ 800 ดอลลาร์ ซึ่งหุ้นส่วนนี้ปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 200 พันล้านดอลลาร์ พูดได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่น่าเจ็บปวดรวดร้าวมากที่สุดอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ธุรกิจเลยทีเดียว

Jobs และ Wozniak มีบทบาทต่างกันอย่างชัดเจน Jobs เป็นคนคิดไอเดียใหญ่ๆ ดูแลการตลาดและการขาย ส่วน Woz เป็นอัจฉริยะทางเทคนิค ผู้ดูแลการสร้างและพัฒนาคอมพิวเตอร์ ทั้งคู่มีความทะเยอทะยานไม่ต่างกัน แต่ไม่มีใครมีประสบการณ์จริงในการบริหารบริษัทใหญ่

ยอดขาย Apple One ทำให้พวกเขามีเงินพอที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่คือ Apple II ซึ่งเป็นเครื่องที่ดันให้ Apple ก้าวพ้นจากตลาดงานอดิเรกเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคทั่วไป ความสำเร็จนี้ดึงดูดนักลงทุนเข้ามา และนำไปสู่การจดทะเบียนบริษัทอย่างเป็นทางการในปี 1976

Mike Markkula หนึ่งในนักลงทุนรายแรกมองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของ Apple แต่เขาก็รู้สึกว่า Jobs และ Woz ยังขาดประสบการณ์ในการบริหารบริษัท เขาจึงนำ Michael Scott มาเป็นซีอีโอคนแรกของ Apple ในปี 1977 ซึ่งต่อมา Markkula จะเข้ามารับตำแหน่งแทนในปี 1981

เพื่อให้แน่ใจว่า Apple จะเติบโตอย่างถูกทิศทาง Jobs ต้องการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์มากกว่าการบริหารบริษัท เขาจึงดึงตัว John Sculley ซีอีโอของ Pepsi มาดูแล Apple โดยชักชวนด้วยประโยคอันโด่งดังว่า “คุณต้องการขายน้ำตาลผสมน้ำไปตลอดชีวิตหรือคุณต้องการมากับผมและเปลี่ยนโลก”

ในช่วงนี้ Apple ทำงานหนักกับโปรเจกต์ใหญ่สองโปรเจกต์พร้อมกัน คือ Lisa และ Macintosh ซึ่งพัฒนาโดยทีมที่แตกต่างกัน สิ่งนี้ได้สร้างการแข่งขันภายในบริษัทที่นำไปสู่ความขัดแย้งมากมาย

Jobs มีชื่อเสียงด้านการบริหารงานแบบโหดเหี้ยม เขามักเรียกร้องความสมบูรณ์แบบจากทีมงานตลอดเวลา วิธีการบริหารแบบนี้ทำให้เกิดรอยร้าวกับฝ่ายบริหาร จนเขาถูกผลักออกจากโปรเจกต์ Lisa

เขาหันไปมุ่งเน้นที่โปรเจกต์ Macintosh แทน ที่นี่เองที่เขาตั้งกลุ่ม “โจรสลัด Apple” ซึ่งเป็นทีมพัฒนาที่ทำงานอิสระและท้าทายกฎเกณฑ์เดิมๆ

Lisa ไม่ประสบความสำเร็จในที่สุด มันมีราคาแพงลิบลิ่วถึง 9,995 ดอลลาร์ ส่วน Macintosh แม้จะมีโฆษณาสุดเจ๋งในงาน Super Bowl ที่กำกับโดย Ridley Scott แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้า

ไม่นานก็ชัดเจนว่าวิสัยทัศน์ของ Jobs และ John Sculley แตกต่างกันมาก Jobs มุ่งเน้นที่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เทพๆ ในขณะที่ Sculley ต้องการเน้นกำไรและการเติบโตทางธุรกิจ ความแตกต่างนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มเสื่อมถอย

ในเดือนพฤษภาคม 1985 Sculley วางแผนปรับโครงสร้าง Apple โดยจะถอด Jobs ออกจากกลุ่ม Macintosh ให้ไปดูแลการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่แทน ซึ่งจะทำให้ Jobs ไร้อำนาจในบริษัทที่เขาก่อตั้ง

Jobs ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาพยายามวางแผนกำจัด Sculley เพื่อควบคุม Apple แต่แผนของเขาถูกแทงข้างหลัง มีคนไปบอกบอร์ดบริหาร เมื่อถูกเผชิญหน้า Jobs บอกว่าจะลาออก แต่บอร์ดปฏิเสธและขอให้เขาทบทวน

อย่างไรก็ตาม Sculley ยืนกรานจะควบคุม Jobs และได้รับการสนับสนุนจากบอร์ด สุดท้ายในวันที่ 17 กันยายน 1985 Jobs ส่งจดหมายลาออกครั้งสุดท้ายจาก Apple

การจากไปของ Jobs เป็นช่วงเวลาเจ็บปวดที่สุด เขาเคยกล่าวว่า “ตอนอายุ 30 ปี ผมถูกไล่ออกจากบริษัทที่ผมก่อตั้ง สิ่งที่เคยเป็นจุดโฟกัสของชีวิตผมหายไปและมันทำลายจิตใจมาก”

หลังจากการลาออกของ Jobs Apple เริ่มดิ่งลงเหว บริษัทสูญเสียตำแหน่งในการแข่งขันในตลาดคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นช่วงที่ Apple เละเทะเป็นอย่างมาก

ในขณะเดียวกัน Jobs ไม่ได้มัวแต่มานั่งเศร้าซึม เขาไปก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT มุ่งเน้นสร้างคอมพิวเตอร์สำหรับการศึกษาระดับสูง NeXT ไม่ประสบความสำเร็จด้านฮาร์ดแวร์เพราะราคาสูงลิ่วถึง 9,999 ดอลลาร์ แต่ซอฟต์แวร์ที่พัฒนากลับเทพมาก

นอกจากนี้ ในปี 1986 Jobs ยังซื้อแผนกกราฟิกคอมพิวเตอร์จาก Lucasfilm ในราคา 10 ล้านดอลลาร์ และตั้งชื่อว่า Pixar เขาลงทุนเพิ่มอีก 40 ล้านดอลลาร์จากเงินส่วนตัวเพื่อปลุกปั้นบริษัทนี้

Pixar เริ่มต้นด้วยการพัฒนาเครื่องมือแอนิเมชัน 3D สุดล้ำ ต่อมาได้ร่วมมือกับ Disney สร้าง Toy Story ภาพยนตร์แอนิเมชัน CGI 3D เรื่องแรกของโลกที่กวาดรายได้สูงสุดในปี 1995

ปลายปี 1996 Apple กำลังเละไม่เป็นท่า บริษัทขาดทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 1997 มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 4% หุ้นร่วงลงถึงจุดต่ำสุดตลอดกาล หลายคนคาดว่าบริษัทอาจจบเห่ในอีกไม่กี่ปี

การเปลี่ยนแปลงมาในรูปแบบการซื้อ NeXT ในราคา 429 ล้านดอลลาร์ ดีลนี้ไม่เพียงนำระบบปฏิบัติการทันสมัยมาให้ Apple แต่ยังนำ Jobs กลับมาด้วยในฐานะที่ปรึกษาซีอีโอ

ด้วยสถานการณ์ทางการเงินที่แย่ลงเรื่อยๆ Gil Amelio ซีอีโอในขณะนั้นถูกบังคับให้ออก และ Jobs เข้ามาเป็นซีอีโอชั่วคราว แต่เขาไม่รอการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ และเริ่มปรับเปลี่ยนองค์กรทันที

Jobs จัดหนักด้วยการปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่ เขายกเลิกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำกำไรหลายรายการ ลดสายผลิตภัณฑ์จาก 15 สายเหลือแค่ 4 สาย ตัดงบประมาณวิจัยและพัฒนา และลดจำนวนพนักงานลงเกือบหนึ่งในสาม

Jobs ยังทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือร่วมมือกับคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft เพื่อรับประกันการลงทุน 150 ล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วยให้ Apple มีเงินทุนที่จำเป็น

ปี 1998 ผลิตภัณฑ์ที่จะเปลี่ยนโชคชะตา Apple ได้รับการเปิดตัว นั่นคือ iMac คอมพิวเตอร์ all-in-one ดีไซน์โดดเด่นด้วยรูปทรงกลมมนและตัวเครื่องโปร่งใส iMac ไม่เพียงสวยงามแต่ยังมีประสิทธิภาพสูงและใช้งานง่าย ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น

iMac ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น และเปลี่ยนเส้นทางของ Apple ไปตลอดกาล ในปี 2000 Jobs ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการให้เป็นซีอีโอเต็มตัว

ภายใต้การนำของ Jobs Apple ขยายธุรกิจนอกเหนือจากคอมพิวเตอร์ ในปี 2001 บริษัทเปิดตัว iPod และ iTunes Store ซึ่งปฏิวัติวงการเพลง iPod กลายเป็นเครื่องเล่นเพลงพกพายอดนิยมที่สุดในโลก ขายได้กว่า 100 ล้านเครื่องภายในหกปี

ความสำเร็จครั้งใหญ่ต่อมาเกิดขึ้นในปี 2007 เมื่อ Jobs เปิดตัว iPhone โทรศัพท์ที่รวมความสามารถของมือถือ iPod และอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตเข้าด้วยกัน พร้อมหน้าจอสัมผัสที่ใช้งานง่าย iPhone ปฏิวัติอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถืออย่างสิ้นเชิง

ในปี 2010 Apple ยิ่งพุ่งทะยานด้วยการเปิดตัว iPad แท็บเล็ตที่สร้างหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ระหว่างสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป ขายได้มากกว่า 15 ล้านเครื่องในปีแรกเพียงปีเดียว

ในขณะเดียวกัน Pixar ก็โคตรเทพในฐานะสตูดิโอแอนิเมชัน สร้างภาพยนตร์ฮิตหลายเรื่อง ในปี 2006 Disney ซื้อ Pixar ในราคา 7.4 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ Jobs กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดใน Disney

ปี 2011 Apple กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก แซงหน้า ExxonMobil ความสำเร็จที่ไม่น่าเชื่อสำหรับบริษัทที่เกือบล้มละลายเพียง 15 ปีก่อน

แต่น่าเศร้าที่สุขภาพของ Jobs เริ่มถดถอยลงอย่างรุนแรง เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนในปี 2003 ในเดือนสิงหาคม 2011 เขาลาออกจากตำแหน่งซีอีโอและแต่งตั้ง Tim Cook เป็นผู้สืบทอด

เพียงหกสัปดาห์หลังจากลาออก Steve Jobs เสียชีวิตในวันที่ 5 ตุลาคม 2011 ด้วยวัย 56 ปี การจากไปของเขาสร้างความเศร้าโศกไปทั่วโลก

การกลับมาของ Jobs ที่ Apple เป็นเรื่องราวความสำเร็จทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมที่สุด และเป็นบทเรียนเกี่ยวกับความล้มเหลวและการฟื้นตัว

ในสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัย Stanford ปี 2005 Jobs ได้กล่าวว่าการถูกไล่ออกจาก Apple เป็น “สิ่งที่ดีที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับผม” เพราะปลดปล่อยให้เขาเข้าสู่ “ช่วงเวลาแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่สำคัญที่สุดในชีวิต”

เขากล่าวว่า “ความรู้สึกหนักอึ้งของความสำเร็จถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการเริ่มต้นใหม่ ความไม่แน่นอนของทุกสิ่ง ทำให้ผมได้ก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต”

บทเรียนสำคัญจากชีวิตของ Jobs คือการไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคและการรักษาความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ แม้จะเจออุปสรรคหนักๆ เขาก็ไม่เคยหยุดสร้างสรรค์ เขาเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นโอกาสในการเติบโต

Jobs สอนเราเกี่ยวกับความสำคัญของการรักในสิ่งที่ทำ ดังที่เขากล่าวว่า “งานของคุณจะเป็นส่วนสำคัญของชีวิต และวิธีเดียวที่จะรู้สึกพอใจอย่างแท้จริงคือการทำสิ่งที่คุณเชื่อว่ายอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำงานยอดเยี่ยมคือการรักในสิ่งที่คุณทำ”

มรดกของ Jobs ยังคงอยู่ผ่านผลิตภัณฑ์ที่เขาช่วยสร้าง ผ่านวัฒนธรรมของนวัตกรรมที่ไม่ประนีประนอม การให้ความสำคัญกับการออกแบบสวยงาม และการทำให้เทคโนโลยีเข้าถึงได้ง่าย

ปัจจุบัน Apple ยังคงเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก และผลิตภัณฑ์อย่าง iPhone, iPad และ Mac ยังคงเป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรม

เรื่องราวของ Steve Jobs เป็นการเตือนใจว่าแม้ในความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็มีโอกาสสำหรับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า หากคุณมีความกล้าที่จะยืนหยัดในความเชื่อและไม่ลดละในการไล่ตามวิสัยทัศน์ของคุณ

เขาสอนเราว่าการคิดต่าง ไม่ใช่แค่การท้าทายสถานะเดิม แต่เป็นการมองเห็นความเป็นไปได้ที่คนอื่นอาจมองข้าม และนั่นคือความเทพที่แท้จริงของ Steve Jobs

Geek Story EP312 : ทำไม Steve Jobs ถึงถูกไล่ออก? ตำนานผู้กลับมาแก้แค้น เพื่อเปลี่ยน Apple ให้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

Steve Jobs ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Apple เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในวงการเทคโนโลยีโลก เขาเป็นผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล สามารถผลักดันบริษัทเทคโนโลยีจากธุรกิจเริ่มต้นในห้องใต้ดินให้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทรงอิทธิพล สำคัญ และทำกำไรมากที่สุดในโลก เส้นทางชีวิตและอาชีพของเขาเต็มไปด้วยความท้าทาย อุปสรรค และบทเรียนมากมายที่ทำให้เราได้เห็นว่าความล้มเหลวสามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสแห่งความสำเร็จได้อย่างไร

Jobs กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านตั้งแต่อายุเพียง 22 ปี เขามีชื่อเสียงในด้านการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และการไม่ยอมประนีประนอมกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ในขณะเดียวกัน เขาก็มีชื่อเสียงในการเป็นคนที่ยากจะทำงานด้วย มีวิธีการบริหารจัดการแบบเข้มงวด และมีวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกลกว่าคนในยุคเดียวกัน สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การถูกไล่ออกจากบริษัทของเขาเอง ก่อนที่จะกลับมาปฏิวัติ Apple และวงการเทคโนโลยีโลกอีกครั้ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/37hxdkps

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/nssmdeek

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4ffmsx7u

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/oaISfckaUwE