iPhone 16 รอดหรือร่วง? : ศึกสองด้านทั้ง AI และตลาดจีน Apple พร้อมรบแล้วหรือยัง?

ในวันจันทร์ที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัว iPhone 16 รุ่นล่าสุดของผลิตภัณฑ์เรือธงอันเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลังจากที่ประสบปัญหาด้านยอดขายมาระยะหนึ่ง Apple หวังว่าฟีเจอร์ Generative AI ทั้ง Siri ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ฟีเจอร์แต่งภาพอัจฉริยะ เครื่องมือที่ใช้ในการช่วยเขียน และการเข้าถึง ChatGPT ฟรี จะเพียงพอที่จะทำให้ iPhone กลับมาครองความเป็นผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟนอีกครั้ง

แต่ก่อนที่เราจะไปถึงจุดนั้น เรามาย้อนกลับไปดูที่มาที่ไปของสถานการณ์ในปัจจุบันกันก่อน

iPhone ยังคงเป็นสมาร์ทโฟนที่ขายดีและทำกำไรสูงสุดในโลกอย่างไม่มีคู่แข่ง แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา ยอดขายกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในไตรมาสแรกของปี 2024 Apple ส่งมอบ iPhone ได้เพียง 50 ล้านเครื่องเศษ ซึ่งลดลงถึง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เกือบ 2 ล้านเครื่อง

สาเหตุหลักของปัญหานี้มีสองประการ ประการแรก Apple และ iPhone กำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญที่มีสัดส่วนประมาณ 20% ของยอดขาย iPhone ทั้งหมดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงสองเดือนแรกของปี 2024 ยอดขายในจีนกลับลดลงเกือบ 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

สถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับ Apple เท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับบริษัทตะวันตกหลายแห่งที่เคยครองความยิ่งใหญ่ในจีนมาเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า หรือแฟชั่น ต่างก็ประสบปัญหาในการแข่งขันกับคู่แข่งท้องถิ่นที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้ สงครามการค้าระหว่างจีนกับชาติตะวันตกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ยังกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกชาตินิยมทางเศรษฐกิจในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศมากขึ้น

Apple พยายามตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ด้วยการลดราคาอย่างรุนแรง ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายได้ชั่วคราว แต่นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ระยะยาวที่ยั่งยืน

ปัญหาประการที่สองคือ ผู้ใช้ iPhone ไม่ค่อยอัพเกรดหรือเปลี่ยนโทรศัพท์บ่อยเหมือนแต่ก่อน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากวิกฤตค่าครองชีพที่สูงขึ้นทั่วโลก ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ iPhone ในปัจจุบันมีความอึดมากกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก

ตั้งแต่รุ่น iPhone 7 เป็นต้นมา Apple ได้เพิ่มคุณสมบัติกันน้ำและกันฝุ่นให้กับ iPhone ทุกรุ่น โดย iPhone 11 และรุ่นต่อๆ มาสามารถทนต่อความลึกสูงสุด 6 เมตรได้นานถึง 30 นาที

แม้สิ่งนี้จะเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภค แต่ก็หมายถึงยอดขายที่ลดลงสำหรับ Apple เพราะผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโทรศัพท์บ่อยๆ เมื่อเครื่องเก่ายังใช้งานได้ดี

อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกอยากได้ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดเหมือนแต่ก่อน น่าจะมาจากการที่ iPhone รุ่นใหม่ๆ มักไม่ได้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก ในอดีตจนถึงประมาณ iPhone X ทุกรุ่นของ iPhone มักมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ล้ำสมัยซึ่งรู้สึกได้ว่าเป็นก้าวกระโดดจากรุ่นก่อนหน้า แต่ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงหลักของ iPhone 15 คือการใช้พอร์ตชาร์จแบบ USB-C ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ถูกบังคับโดยกฎระเบียบของสหภาพยุโรปมากกว่าเป็นนวัตกรรมของ Apple เอง นอกจากนี้ยังมีการนำปุ่มปิดเสียงออก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้สร้างความรู้สึกว่าคุ้มค่าแก่การอัพเกรดสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่

ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่ากังวลเป็นพิเศษสำหรับ Apple เพราะ iPhone เป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัท และยังคงเป็นสินค้าขายดีที่สุดของพวกเขาอย่างไม่มีคู่แข่ง ด้วยเหตุนี้ Apple จึงหวังว่า iPhone 16 จะเป็นรุ่นที่สามารถชักจูงให้ผู้ใช้ iPhone รุ่นเก่าตัดสินใจอัพเกรดได้

เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ Apple ได้เพิ่มการอัพเกรดฮาร์ดแวร์ที่เห็นได้ชัดเจนกว่ารุ่นก่อนๆ โดย iPhone 16 รุ่นพื้นฐานมีปุ่มใหม่สองปุ่ม ได้แก่ “ปุ่ม Action” ซึ่งมีอยู่ใน iPhone 15 Pro ปีที่แล้ว อยู่ที่ด้านข้างของโทรศัพท์เหนือปุ่มปรับระดับเสียง แทนที่สวิตช์ปิดเสียง และปุ่มควบคุมกล้องใหม่ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งและทำหน้าที่คล้ายๆ กับแทร็กแพด

ปุ่ม Action เป็นวิธีใหม่ในการเข้าถึงทางลัดต่างๆ บนโทรศัพท์ได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ปุ่มควบคุมกล้องช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ของกล้องได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น โดยเฉพาะในโหมดถ่ายภาพแนวนอน

อย่างไรก็ตาม เหตุผลหลักที่ Apple หวังว่า iPhone 16 จะเป็นรุ่นที่ผู้ใช้ปัจจุบันจะตัดสินใจอัพเกรด ก็เพราะมันถูกโฆษณาว่าเป็น “iPhone แห่งยุค AI” หรืออย่างน้อยนั่นก็เป็นวิธีที่ Apple กำลังคุยโวไว้

ในช่วงการนำเสนอ iPhone ในงานเปิดตัวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ประมาณครึ่งหนึ่งของเวลาถูกใช้ไปกับฮาร์ดแวร์ใหม่ของ iPhone 16 และอีกครึ่งหนึ่งถูกใช้ไปกับฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Apple ใน iOS 18 ภายใต้ชื่อ “Apple Intelligence”

ฟีเจอร์เหล่านี้รวมถึง Siri ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ฉลาดขึ้นและตอบสนองได้เร็วขึ้น ฟีเจอร์ประเมินเสียงที่สามารถวิเคราะห์น้ำเสียงและอารมณ์ของผู้พูดได้ การแต่งภาพด้วยพลัง AI จากโมเดลของ Apple เองที่สามารถแก้ไขและปรับแต่งภาพได้อย่างซับซ้อน รวมถึงความร่วมมือกับ OpenAI ที่ให้ผู้ใช้เข้าถึง ChatGPT ได้ฟรี ซึ่งสามารถช่วยในการเขียน การวิเคราะห์ข้อมูล และการตอบคำถามต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาด

Apple Intelligence ถูกประกาศครั้งแรกโดย Tim Cook ตั้งแต่เดือนมิถุนายน และช่วยกระตุ้นให้ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 20% ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในทิศทางนี้ของ Apple

ด้วยการนำเสนอ iPhone 16 ควบคู่กับ Apple Intelligence นี้ Apple พยายามขาย iPhone 16 ในฐานะ “AI iPhone” อย่างชัดเจน ในข่าวประชาสัมพันธ์ของพวกเขา

เรียกได้ว่า Apple กำลังเชื่อมโยงกับสิ่งนี้โดยตรง โดยอ้างในประโยคแรกว่า iPhone 16 “ถูกสร้างขึ้นเพื่อ Apple Intelligence ด้วยชิป A18 ที่ใหม่ล่าสุด” และมันเป็น “จุดเริ่มต้นของยุคใหม่สำหรับ iPhone โดย Apple Intelligence จะมอบประสบการณ์ที่ทรงพลัง เป็นส่วนตัว และเป็นความลับให้กับผู้ใช้ของเรา”

ต้องยอมรับว่านี่ไม่ใช่กลยุทธ์ที่แย่ เพราะการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์เพียงเล็กน้อยไม่เคยเพียงพอที่จะชักจูงให้ผู้ใช้ iPhone อัพเกรดในอดีต และ AI อาจเป็นเทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นเพียงพอที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อควรพิจารณาบางอย่างที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จของกลยุทธ์นี้

ประการแรก แม้จะเป็นความจริงที่ว่าชิป A18 ใหม่มีความสามารถในการรองรับการประมวลผล AI ได้ดีกว่าชิปรุ่นก่อนๆ อย่างมาก แต่ฟีเจอร์ Apple Intelligence บางอย่างจะสามารถใช้งานได้บนโทรศัพท์รุ่นที่รองรับการอัพเดต iOS 18 ที่กำลังจะมาถึงด้วยเช่นกัน นั่นหมายความว่าผู้ใช้ iPhone รุ่นเก่าอาจไม่จำเป็นต้องอัพเกรดเครื่องใหม่เพื่อใช้งานฟีเจอร์ AI บางอย่างได้

ประการที่สอง และอาจเป็นประเด็นสำคัญที่สุด เมื่อ iPhone 16 วางจำหน่ายในวันที่ 20 กันยายน มันจะไม่มีฟีเจอร์ Apple Intelligence ติดตั้งมาด้วย อาจฟังดูแปลกประหลาด แต่ “AI iPhone” จะไม่มี AI จริงๆ อย่างน้อยก็ในช่วงแรกของการวางจำหน่าย

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว ฟีเจอร์ AI ของ Apple มักจะมีความล่าช้าอย่างต่อเนื่อง โดยฟีเจอร์ AI แบบ generative รุ่นแรกๆ เช่น การผสานรวม ChatGPT และอิโมจิที่สร้างโดย AI จะเริ่มทยอยมาถึงในช่วงปลายปีนี้ ในขณะที่ฟีเจอร์ที่ครอบคลุมกว่านี้จะมาถึงในช่วงครึ่งแรกของปี 2025

ความจริงที่ว่า iPhone ใหม่จะไม่มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้ อาจทำให้ความกระตือรือร้นของสาวก Apple ในการเปิดตัว iPhone 16 ลดลงไปบ้าง และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ปฏิกิริยาของตลาดต่อการเปิดตัวเมื่อวันจันทร์ค่อนข้างเงียบเหงา ไม่คึกคักอย่างที่ Apple อาจคาดหวังไว้

ประการที่สาม ฟีเจอร์ AI หลายอย่างจะไม่สามารถใช้งานได้ทั่วโลก ฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับภาษาหรือการพูดจะใช้ได้เฉพาะภาษาอังกฤษในช่วงแรก โดยจะค่อยๆ รองรับภาษาอื่นๆ ในภายหลัง และที่น่าสนใจคือ บางฟีเจอร์ถูกเลื่อนการเปิดตัวชั่วคราวในยุโรป โดย Apple อ้างว่าเป็นเพราะความไม่แน่นอนที่มาจากกฎการแข่งขันใหม่ของสหภาพยุโรป

สิ่งนี้ได้จำกัดความต้องการของผู้ใช้สำหรับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้อย่างชัดเจน และอาจหมายความว่า Apple Intelligence จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของ Apple ในประเทศจีนที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ได้มากนัก เนื่องจากผู้ใช้ในประเทศจีนอาจไม่ได้รับประโยชน์จากฟีเจอร์ AI เหล่านี้อย่างเต็มที่ในระยะแรก

ในท้ายที่สุดแล้ว การที่ iPhone 16 จะสามารถพลิกฟื้นคืนชีพผลิตภัณฑ์เรือธงของ Apple ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคำถามสองข้อหลัก

ข้อแรก Apple จะสามารถโน้มน้าวผู้ใช้ให้เชื่อว่านี่คือ “AI iPhone” ที่คุ้มค่าแก่การอัพเกรดได้หรือไม่ แม้ว่ามันจะไม่มีฟีเจอร์ Apple Intelligence ที่โฆษณาไว้อย่างมากมายในช่วงแรกก็ตาม นี่เป็นความท้าทายด้านการตลาดและการสื่อสารที่สำคัญสำหรับ Apple

ข้อที่สอง พวกเขาจะสามารถโน้มน้าวผู้ใช้ได้หรือไม่ว่า Apple Intelligence นั้นคุ้มค่าพอที่จะจ่ายเงินหลายร้อยดอลลาร์เพื่ออัพเกรดเครื่องใหม่ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าฟีเจอร์บางอย่างอาจใช้งานได้บนเครื่องรุ่นเก่าที่รองรับ iOS 18 เช่นกัน

ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับแนวโน้มโดยรวมของ AI ในอนาคตอันใกล้ด้วย หาก ChatGPT พัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและกลายเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน iPhone ก็สามารถอาศัยความสำเร็จนั้นเพื่อดึงดูดผู้ใช้ให้อัพเกรดได้

แต่ถ้าความสามารถของ AI หยุดชะงักและกลายเป็นเพียงเทคโนโลยีที่น่าสนใจแต่ไม่ได้มีประโยชน์จริงๆ ในชีวิตประจำวัน กลยุทธ์ใหม่ของ Apple ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังไว้

อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่า Apple มีประวัติอันยาวนานในการสร้างนวัตกรรมและปฏิวัติวงการเทคโนโลยี พวกเขาอาจมีไพ่เด็ดที่ยังไม่ได้เปิดเผยออกมา หรืออาจมีแผนระยะยาวที่จะพัฒนา Apple Intelligence ให้กลายเป็นระบบ AI ที่ทรงพลังและใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งอาจเปลี่ยนวิธีที่เราใช้สมาร์ทโฟนไปอย่างสิ้นเชิง

ในฐานะผู้บริโภค เราอาจต้องรอดูว่า Apple Intelligence จะสามารถทำให้ iPhone กลับมาเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าตื่นเต้นและจำเป็นต้องมีอีกครั้งได้หรือไม่ หรือว่านี่จะเป็นเพียงความพยายามครั้งล่าสุดของ Apple ในการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเท่านั้น

ซึ่งไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ การแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนกำลังจะทวีความเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง และผู้บริโภคอย่างเราอาจได้เห็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน

The Second Coming กับการตัดสินใจที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการธุรกิจ

ต้องบอกว่าถือเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการธุรกิจที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการบริหารของ Apple ในปี 1996 เพื่อนำ Steve Jobs กลับคืนสู่บริษัทที่เขาร่วมก่อตั้งมา

ในช่วงเวลาทศวรรษครึ่งระหว่างการกลับมาของ Steve Jobs ไปจวบจนถึงการเสียชีวิตของเขาในปี 2011 เขาได้ทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก 

อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงและสถานการณ์ของการกลับมาของ Jobs แสดงให้เห็นว่าเบื้องหลังการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่บางอย่างหรืออาจจะทั้งหมดเป็นการผสมผสานระหว่างจังหวะเวลาที่ดีและเรื่องของโชคชะตา

ต้องบอกว่า Apple เป็นเรื่องราวความสำเร็จของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 จากความแข็งแกร่งของคอมพิวเตอร์ Macintosh และการทำให้ Mac เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับผู้บริโภคเครื่องแรกที่มีอินเทอร์เฟซผู้ใช้แบบกราฟิกและเมาส์ซึ่งได้กลายมาเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมในภายหลัง

ภายใต้คำบรรยายอันสวยหรูของ Steve Jobs เครื่อง Mac นั้นใช้งานง่ายและวางตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยแคมเปญโฆษณาชื่อดัง “1984” ที่ Apple เปิดตัวในงาน Super Bowl โดยในปีนั้น Apple แสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นผู้กำราบ IBM ที่เป็นยักษ์ใหญ่ที่ทรงพลังมาก ๆ ในยุคนั้นได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตามในหลายปีต่อมา Apple ก็ต้องสะดุดเพราะเริ่มมีการขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์หลายประเภทตั้งแต่เครื่องพิมพ์ไปจนถึงคอมพิวเตอร์พกพาอย่างเครื่อง Newton

หากการจัดการของ Apple อ่อนแอคณะกรรมการของบริษัทก็อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกันนัก ในปี 1993 เหล่าคณะกรรมการได้แทนที่ CEO คนเก่าอย่าง John Sculley ด้วยหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการที่เยอรมันของ Apple อย่าง Michael Spindler 

Spindler ต้องเข้ามากอบกู้ Apple ที่กำลังตกต่ำ ในปี 1995 เขาพยายามที่จะขายบริษัทให้กับ Sun Microsystems แต่สุดท้ายข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่ได้เกิดขึ้น 

และในช่วงเวลาเดียวกันกับมหาเศรษฐี Larry Ellison ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ Steve Jobs ได้พิจารณาซื้อ Apple และจะนำเพื่อนของเขาอย่าง Jobs กลับมาอีกครั้งในตำแหน่ง CEO 

แต่ทว่า Ellison ไม่เคยเปลี่ยนการพูดคุยของเขาให้กลายเป็นการกระทำอย่างแท้จริง และในปี 1996 คณะกรรมการไม่พอใจกับ Spindler และหันไปหา Gil Amelio ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทผู้ผลิตชิป National Semiconductor

โดยพื้นฐานแล้ว Amelio ไม่เคยแม้จะมีโอกาสที่จะกลายมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของ Apple เลยด้วยซ้ำ ด้วยภูมิหลังที่ขายส่วนประกอบให้กับผู้ผลิตรายอื่นเขาจึงไม่มีประสบการณ์ด้านสินค้าสำหรับผู้บริโภค

ในปี 1996 Apple ขาดทุน 816 ล้านดอลลาร์จากยอดขาย 9.8 พันล้านดอลลาร์ซึ่งบริษัทกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ผิดโดยยอดขายลดลง 11% จากปีก่อนหน้า

ในช่วงเวลาอันมืดมนนี้คณะกรรมการของ Apple ซึ่งมีความผิดฐานจ้าง CEO ที่ล้มเหลวมาแล้วถึง 2 คน และเกือบจะล้มเหลวเป็นครั้งที่สามกับ Amelio 

แต่ Amelio ทำให้คณะกรรมการเชื่อมั่นว่า Apple จำเป็นต้องซื้อบริษัทซอฟต์แวร์เพื่อที่จะได้ทรัพย์สินทางปัญญาและความสามารถในการแทนที่ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการที่มีอายุมากเกินไปของพวกเขา

Apple ได้ยื่นข้อเสนอให้กับบริษัท Be ซึ่งบริหารงานโดย Jean-Louis Gassée อดีตผู้บริหารของ Apple  แต่ Gassée ไม่พอใจกับข้อเสนอของ Apple เท่าใดนัก

และในช่วงเวลาเดียวกันนี่เอง Garrett Rice ผู้บริหารระดับกลางของ NeXT ได้ติดต่อผู้บริหารระดับสูงของ Apple พร้อมคำแนะนำว่า Apple ควรซื้อ NeXT เพราะผู้ก่อตั้ง NeXT ไม่ใช่ใครอื่นเพราะเขาคือ Steve Jobs

Steve Jobs ที่ได้ไปเริ่มต้นใหม่กับ NeXT แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร (CR: Cult of Mac)
Steve Jobs ที่ได้ไปเริ่มต้นใหม่กับ NeXT แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร (CR: Cult of Mac)

เขาเริ่มต้นบริษัทได้ไม่นานหลังจากออกจาก Apple ซึ่งเดิมทีนั้น NeXT เป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ที่พุ่งเป้าหมายไปที่ตลาดการศึกษา อย่างไรก็ตาม NeXT ก็ล้มเหลวในฐานะผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และกำลังประสบปัญหาในตลาดซอฟต์แวร์ด้วยเช่นเดียวกัน 

Garrett โทรหา Apple โดยที่ไม่รู้ปัญหาในอดีตของ Jobs แต่อย่างใด และ Apple ก็เริ่มคุยกับ NeXT โดยที่ภายในบอร์ดของ Apple ไม่มีใครรู้เรื่องดังกล่าวนี้ 

ในช่วงปลายปี 1996 การเจรจากับ Be สิ้นสุดลง และ Apple เริ่มเจรจาอย่างจริงจังกับ NeXT คราวนี้ Gil Amelio ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของการสนทนา 

Amelio เข้าใจถึงคุณค่าของซอฟต์แวร์ของ NeXT และผลกระทบต่อขวัญกำลังใจต่อเหล่าพนักงานของ Apple ทั้งเรื่องวิสัยทัศน์ของผลิตภัณฑ์และความคิดสร้างสรรค์ซึ่งอาจมาจากการโน้มน้าวให้ Steve Jobs กลับมาร่วมงานที่ Apple อีกครั้ง

Amelio เคยพบกับ Jobs ในปี 1994 เมื่อ Amelio เข้าร่วมคณะกรรมการ Apple และ Jobs ขอความช่วยเหลือจาก Amelio ในการตั้ง CEO ของบริษัท

Amelio อาจจะคิดไปเองว่า Jobs เป็น CEO ที่มีชื่อเสียงอย่างฉาวโฉ่ในการบริหารงาน Apple ในวาระแรก และที่ NeXT เอง Jobs ก็ไม่ได้ถือว่าประสบความสำเร็จมากนัก แม้ว่า Jobs จะเก่งและมีเสน่ห์ แต่ Jobs ในปี 1996 นั้นก็ไม่ใช่ตัวแทนของ CEO ที่ชัดเจนนักที่จะฝากฝังอนาคตไว้ได้แต่อย่างใด

ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่า Jobs จะไม่แยแสกับการเข้าร่วม Apple อีกครั้ง จนเขาปฏิเสธคำขอของ Amelio ในการเซ็นสัญญาจ้างงานกับบริษัทโดย Jobs เลือกที่จะเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการมากกว่า

นอกจากนี้ Jobs ยังเรียกร้องให้ Apple จ่ายเงินจำนวน 427 ล้านดอลลาร์ให้กับ NeXT เป็นเงินสดซึ่งหมายความว่า Jobs แทบจะไม่สนใจสิ่งจูงใจในระยะยาวว่าการเข้าซื้อ NeXT ของ Apple จะประสบความสำเร็จมากกว่าที่เขาได้รับเงินเป็นเงินสด

โดย Jobs ได้ขอที่นั่งในบอร์ดบริหารของ Apple แต่คำขอดังกล่าวถูก Amelio ปฏิเสธ ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการประกาศเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 1996 และอีกหลายสัปดาห์ต่อมา Jobs มีบทบาทเล็กน้อยในการนำเสนอของ Apple ในงาน Macworld ในปีนั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1997 เป็นการตัดสินใจที่สำคัญอีกครั้ง Amelio ที่ต้องการเวทมนต์ของ Jobs เพื่อมากอบกู้ Apple อย่างชัดเจน แม้ว่า Amelio ก็ต้องการที่จะรักษางานของเขาไว้ด้วยก็ตามที

ไม่นานหลังจากที่ Jobs ได้กลายมาเป็น “ที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการ” ให้กับบริษัทเดิมของเขา เขาก็เริ่มท่องไปในบริษัทราวกับว่าเขาเป็นเจ้านายคนใหม่ ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้พบกับ Jonathan Ive นักออกแบบรุ่นใหม่ไฟแรงซึ่งเมื่อปีก่อนหน้าเพิ่งได้รับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Apple 

Jobs ได้ชื่นชมต้นแบบที่ Ive กำลังสร้างอยู่รวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ All – In – One โปร่งแสงที่จะกลายเป็น iMac ในภายหลัง ซึ่ง Jobs ยังอยากรู้ในสิ่งที่ทุกคนทำอยู่หลังจากหายไปจากบริษัทเป็นเวลาเนิ่นนาน

Jobs เองก็ไม่ได้เป็นพนักงานของ Apple (ในความเป็นจริงเขาเป็น CEO ของ Pixar ในเวลานั้น) เขาไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นที่สำคัญ เขาไม่ได้เป็นสมาชิกของคณะกรรมการด้วยซ้ำ แต่ข่าวลือรอบ ๆ Apple ก็เริ่มมีกระแสที่จะเกิดการรัฐประหารขึ้นกับ Apple ซึ่งในไม่ช้าชาวซิลิกอนวัลเลย์ก็รู้ว่า Jobs กำลังแย่งชิงอำนาจจาก Amelio อย่างเงียบ ๆ

ในเวลานั้นสมาชิกคณะกรรมการคนใหม่ล่าสุดของ Apple อดีต CEO ของดูปองท์อย่าง Edgar Woolard เริ่มตื่นตระหนกเกี่ยวกับ Amelio เขาพูดคุยกับทั้ง Amelio และ Jobs รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของ Apple คนอื่น ๆ

ในขณะที่ Apple อยู่ในโหมดของการลดขนาดองค์กรอย่างต่อเนื่อง และ Woolard ก็กังวลเกี่ยวกับความสามารถของ บริษัทในการบรรลุตามแผนการรวมถึงเรื่องของขวัญกำลังใจพนักงานที่กำลังตกต่ำแบบสุดขีด

ในเดือนกรกฎาคมหลังจากปรึกษากับ Jobs ก็เป็น Woolard นี่เองที่เป็นหัวหอกในการตัดสินใจของคณะกรรมการที่จะไล่ Amelio ออกไปให้พ้นทาง 

ในขณะที่ Woolard เองก็ไม่แน่ใจว่า Jobs จะก้าวเข้ามาเป็น CEO หรือไม่ แต่เขารู้สึกได้ว่าองค์กรเริ่มจะคล้อยตามอดีตผู้นำของพวกเขา ซึ่งการไล่ Amelio นั้นเป็นการตัดสินใจที่จะช่วยให้ Jobs ฟื้นอำนาจในบริษัทได้ในท้ายที่สุด 

Gil Amelio ผู้นำพา Steve Jobs กลับมา ก่อนที่ตัวเองจะถูกไล่ออกตามไป (CR:Allaboutstevejobs)
Gil Amelio ผู้นำพา Steve Jobs กลับมา ก่อนที่ตัวเองจะถูกไล่ออกตามไป (CR:Allaboutstevejobs)

แม้ว่า Amelio จะจากไปแล้วก็ตามที Jobs ก็ยังไม่เต็มใจที่จะเป็น CEO ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกังวลว่าเขาไม่สามารถเป็น CEO ของ Apple และ Pixar พร้อมกันได้ และส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่แน่ใจว่า Apple จะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่ในสมรภูมิธุรกิจสุดโหดในยุคนั้น

อย่างไรก็ตาม Jobs ตกลงที่จะเข้าร่วมคณะกรรมการของ Apple ด้วยเงื่อนไขที่คณะกรรมการทุกคนต้องอึ้ง เพราะเขาต้องการให้ทุกคนในคณะกรรมการยกเว้นเพียงแค่ Woolard ลาออกไป เพื่อให้ Jobs สามารถสร้างบอร์ดบริหารชุดใหม่สำหรับคนที่เขาไว้ใจได้ 

เมื่อ Amelio จากไป Jobs ก็เริ่มบริหารงาน Apple อย่างมีประสิทธิภาพ Fred Anderson ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทกลายเป็น CEO ชั่วคราว แต่ก็อยู่ในการควบคุมของ Jobs

เขาจัดการการเจรจากับ Microsoft ซึ่งส่งผลให้เกิดการลงทุนใน Apple มูลค่า 150 ล้านดอลลาร์ซึ่งประกาศในเดือนสิงหาคมรวมทั้งความมุ่งมั่นของ Microsoft ในการสร้าง Microsoft Office สำหรับ Macintosh ต่อไป

ภายในเดือนกันยายน Jobs ได้กวาดล้างบอร์ด Apple และได้นำเอาเพื่อนจำนวนหนึ่งซึ่งรวมทั้ง Ellison และ Bill Campbell อดีตผู้บริหารของ Apple เข้ามาแทนที่ ในเดือนนั้นเขาได้ประกาศว่าเขาจะเป็น “CEO ชั่วคราว” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีบันทึกภายใน Apple ในฐานะ iCEO 

Jobs กลับมาแล้ว แต่ในแง่หนึ่งคณะกรรมการก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะพาเขากลับมา คณะกรรมการได้ว่าจ้างบริษัท ภายนอกเพื่อค้นหา CEO ถาวร แต่ไม่มีใครเก่งพอที่จะรับงานเพื่อกอบกู้สถานการณ์ของ Apple ในตอนนั้น 

“มีพวกเราจำนวนหนึ่งในคณะกรรมการที่ตัดสินใจซื้อ NeXT เพียงเพื่อนำ Jobs กลับมาที่บริษัท ” เบอร์นาร์ด โกลด์สไตน์ อดีตผู้บริหารวาณิชธนกิจ เล่าถึงประสบการณ์ที่ถูกปลดออกจากบอร์ด “เราไม่ได้คาดหวังว่า NeXT จะนำความก้าวหน้าทางเทคนิคมาให้เรา ผมโหวตให้ Jobs กลับมาแม้ว่า Jobs จะบอกชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการให้ผมอยู่ต่อไปก็ตามที”

ในที่สุด Jobs ได้นำพาบอร์ดบริหารชุดใหม่ที่ประกอบด้วยบุคคลที่ประสบความสำเร็จสูงซึ่งยังคงถูกมองว่าเป็นที่ปรึกษาให้กับเขามากกว่าเจ้านาย

โดยขั้นตอนที่ Jobs ใช้ในการฟื้นฟู Apple นั้นเด็ดขาด เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อกำจัดโครงสร้างที่อ่อนแอของ Apple ให้กลับมาฟื้นคืนชีพได้อีกครั้งหนึ่ง

โดยเลือกที่จะรวมการตัดสินใจทั้งเรื่องการวางแผนและการโฆษณาไว้ที่เดียวแทน โดยเขาได้ไล่ผู้จัดการระดับกลางหลายพันคนและทำการว่าจ้างผู้บริหารด้านโลจิสติกส์คนใหม่

Tim Cook ซึ่งเข้ามาช่วยในการปิดโรงงานและคลังสินค้าที่เป็นของ Apple และทำการละทิ้งผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มากมาย รวมถึง Newton และกล้องดิจิทัลรุ่นแรกของ Apple อย่าง QuickTake 150

สิ่งที่ทำให้การกลับมาของ Steve Jobs น่าสนใจมากคือความเป็นผู้นำของเขาเข้ากับวัฒนธรรมของบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นได้อย่างไร พนักงานและลูกค้าของ Apple ต่างชื่นชอบ เพราะเขาแสดงถึงความมีไหวพริบและความภาคภูมิใจที่ทำให้ผู้คนกลับมามีความรู้สึกตื่นเต้นกับ Apple ได้อีกครั้ง

ในการนำเสนอในงาน Macworld ในช่วงต้นปี 1998 ซึ่งเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากเข้าควบคุมบริษัท Jobs ได้แสดงให้แฟน ๆ ของบริษัทเห็นกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นและปลูกฝังความรู้สึกที่ว่า Apple พร้อมที่จะกลับมาแล้ว และอย่างที่เราได้รับรู้กันในวันนี้ ความจริงที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของธุรกิจทั่วโลกในอีกหลายปีข้างหน้านับจากที่เขากลับเข้ามากุมบังเหียน Apple ได้สำเร็จอีกครั้งนั่นเองครับผม

References : หนังสือ The Greatest Business Decisions of All Time
https://www.thejournal.ie/steve-jobs-predicted-commerce-1821623-Dec2014/
https://appleinsider.com/articles/18/07/10/gil-amelio-resigned-at-apple-ceo-21-years-ago-paving-the-way-for-steve-jobs-ascension-as-ceo

Compaq Computer ผู้ปฏิวัติวงการ PC ตัวจริงที่ถูกลืม

ถ้ากล่าวถึงแบรนด์อย่าง Compaq คิดว่าหลายคนคงจะลืมกันไปแล้วว่ามีแบรนด์ นี้อยู่ในโลกด้วยหรือ แต่ถ้าย้อนไปในยุคเริ่มต้นของการกำหนดของ PC หรือ ยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้น ต้องถือว่า Compaq เป็นแบรนด์แรก ๆ ที่กล้ามาต่อกรกับยักใหญ่อย่าง IBM ในสมัยนั้นได้

ต้องบอกว่า Compaq นั้นมีประวัติที่น่าสนใจ ที่ไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงกันนัก ซึ่ง Campaq นั้นเกิดขึ้นในช่วงประมาณปี 1982 ซึ่งเป็นยุคตั้งไข่ของ PC พอดิบพอดี ซึ่งก่อตั้งโดยอดีตพนักงานของบริษัทยักษ์ใหญ่ในสมัยนั้นอย่าง Texus Intrument ซึ่งเหล่าผู้ก่อตั้งทั้ง 3 คนประกอบไปด้วย Rod Canion , Jim Harris และ Bill Murto

ต้องบอกว่าเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเลยทีเดียวสำหรับการเริ่มธุรกิจ ซึ่ง Rod Canion นั้นถนัดทางด้านบริหารธุรกิจ Murto ถนัดทางด้านการตลาด ส่วน Harris นั้น จะถนัดทางด้าน Engineer แต่ต้องบอกว่า การที่ทั้งสามออกจากบริษัทยักษ์ และมั่นคงอย่าง Texus Intrument แล้วมาเริ่มธุรกิจนั้น มีแต่คนหาว่าพวกเขาบ้าแม้กระทั่งครอบครัวของพวกเขาเองก็ตาม

เริ่มต้นจากงานอดิเรก และความคิดบ้า ๆ

มันเป็นการเริ่มต้นจากงานอดิเรกพร้อมกับความคิดบ้า ๆ ของทั้งสามคน ที่ต้องการจะก่อตั้งบริษัท ซึ่งตอนนั้นต้องบอกว่าทั้งสามไม่ได้มีเงินมากมายรวมถึงไม่ได้มีแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงง่ายอย่าง Startup ในปัจจุบัน ทั้งสามต้องจำนองบ้าน รวมถึงขายรถเพื่อมาเป็นทุนในการเริ่มต้นเปิดบริษัท

ในยุคนั้นต้องบอกว่า IBM นั้นถือเป็นยักษ์ใหญ่มาก ๆ ของวงการธุรกิจของอเมริกาควบคุมทุกอย่างอย่างเบ็ดเสร็จในโลกเทคโนโลยี ทำทุกอย่างตั้งแต่ computer mainframe สำหรับองค์กร ไปจนถึง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การที่จะมาสู้กับยักษ์ใหญ่อย่าง IBM นั้นถือว่าไม่ใ่ช่เรื่องที่ควรจะทำเป็นอย่างยิ่ง

แต่อย่างไรก็ดีเหล่า 3 ผู้ก่อตั้งแห่ง Compaq นั้นได้เห็นช่องว่างทางการตลาดบางอย่าง ที่ IBM ยังครอบครองแบบไม่เบ็ดเสร็จนั่นก็คือตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่สามารถพกพาได้ หรือ ตลาด notebook ในปัจจุบันนั่นเอง

ถ้าย้อนกลับไปในยุคนั้น ต้องบอกว่าแม้จะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถพกพาได้ แต่ขนาดเครื่องก็มีขนาดใหญ่เทอะทะ และมีรูปร่างไม่สวยรวมถึงไม่ได้มีแบตเตอรี่ที่รองรับการใช้งานแบบไม่ต้องเสียบปลั๊กเหมือนในยุคปัจจุบัน

การเริ่มหาทุนในการตั้งบริษัทนั้น ในขณะที่ทั้งสามมีแต่ไอเดียและร่างแบบคร่าว ๆ ของคอมพิวเตอร์แบบพกพา ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะหาทุนเริ่มต้นในสมัยนั้น

ทาง Rod Canion จึงได้เขียนแผนธุรกิจคร่าว ๆ ขึ้นมา และได้มีโอกาสไปพบกับ Ben Rosen โดยเริ่มลงทุนให้ 750,000 เหรียญเป็นทุนตั้งต้นในการเริ่มธุรกิจ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปในยุคนั้น Silicon Valley ยังคงเป็นเพียงแค่ทุ่งและ สวนผลไม้

ทั้งสามคนก็ได้เริ่มว่าจ้างทีมงานจากเงินลงทุนเริ่มต้น และเริ่มทำการผลิตตัว Compaq Portable ตัวแรกออกมา โดยใช้วิธีการ Reverse Engineer หรือ วิศวกรรมย้อนกลับจาก IBM PC  เนื่องจาก IBM ขณะนั้นประสบความสำเร็จ และขายได้ติดตลาดไปแล้ว ต้องทำทุกอย่างให้สามารถ Run Software ของ IBM ได้ทั้งหมด ก็จะเข้าถึงตลาดขนาดมหาศาลที่ IBM ได้เริ่มเปิดตลาดไว้แล้ว

การเริ่มต้นคือต้องทำการลอก Code ของ IBM ที่เป็นตัว Chip หลักที่ใช้ Control PC เพราะส่วนประกอบอื่น ๆ ของ PC นั้นสามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไป สิ่งที่เป็นจุดต่างคือ Chip ที่มีรหัสพิเศษของ IBM เท่านั้น เครื่องก็จะสามารถทำงานกับ Software และ Hardware ต่าง ๆ ของ IBM ได้

ผลิตภัณฑ์ตัวแรก Compaq Portable PC
ผลิตภัณฑ์ตัวแรก Compaq Portable PC

ในทีุ่สดพวกเขาก็ทำสำเร็จ และสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ตัวแรกอย่าง Compaq Portable PC ออกมาได้ และสามารถใช้งานได้กับ Software ของ IBM ได้ทุกอย่าง โดยมีขนาดเบากว่าและราคาที่ถูกกว่า บริษัทได้เชิญสื่อมามากมายในวันเปิดตัวปี 1982 ใน นิวยอร์ก

จากการเปิดตัวทำให้บริษัทเริ่มมีชื่อเสียงผู้คนเริ่มชอบในผลิตภัณฑ์ของ Compaq ซึ่งต้องบอกว่าพวกเขาได้สร้างผลิตภัณฑ์ตัวแรกมาได้อย่างดีมาก พนักงานที่ขายผลิตภัณฑ์ของ IBM อยู่แล้วก็ไม่ยากเลยที่จะขายผลิตภัณฑ์ของ Compaq เพราะมันสามารถทำงานได้เหมือนกัน ต้องบอกว่าสินค้าขายดีมากและผลิตแทบจะไม่ทันกันเลยทีเดียวในปีแรกที่ออกวางจำหน่าย

แค่ปีแรกเพียงปีเดียว Compaq สามารถขาย Portable PC ของตัวเองไปได้ถึง 53,000 เครื่อง สื่อถึงกับยกให้บริษัท Compaq นั้นเป็นบริษัทที่เติบโตได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา

สู้กับยักษ์ใหญ่อย่าง IBM

หลังจากนั้น IBM ก็ได้ออก Portable PC เพื่อมาตอบโต้กลับในปี 1984  โดยออกมาเพื่อจะฆ่า Compaq โดยเฉพาะ แต่สิ่งที่พวกเขาพลาดไปและมั่นใจเกินไปนั่นคือ Portable PC ของ IBM นั้นไม่สามารถรัน Software บางส่วนของ IBM PC เดิมได้

และนั่นได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของอุตสาหกรรม PC เลยก็ว่าได้  Compaq แทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะ Portable PC นั้นสามารถ run ทุกอย่างของ IBM PC ได้ ทำให้ยอดขายยิ่งกระฉูดขึ้นไปอีก มีการขยายโรงงานการผลิต รวมถึงรับพนักงานมากจนถึงกว่า 1000 คนภายในเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น

สร้างวัฒนธรรมใหม่ให้กับ Silicon Valley

ถ้าถามว่าวัฒนธรรมการแจกอาหารฟรี รวมถึงบริการต่าง ๆ ที่ให้กับพนักงานได้อย่างเต็มที่ของบริษัท Startup ในปัจจุบันนั้นใครเป็นคนริเริ่ม ก็ต้องบอกว่า Compaq นี่แหละเป็นผู้ที่สร้างวัฒนธรรมนี้ให้กับ Silicon Valley

เพราะ Compaq เป็นบริษัทแรกที่มีการแจกอาหารและเครื่องดื่ม ให้พนักงานได้รับประทานกันแบบฟรี ๆ ในยุคนั้น ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่แปลกใหม่พอสมควร ทำให้คนสนใจที่จะมาทำงานกับ Compaq มากยิ่งขึ้น และสามารถ Focus กับงานที่ทำได้อย่างเต็มที่

แล้วบริษัทอย่าง Apple หายไปไหนในช่วงนั้น

ช่วงปีต้น ๆ ของ Compaq นั้น Apple ก็ได้ออกวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ขนาดตลาดของ Apple เมื่อเทียบกับขนาดตลาดของ PC ที่ IBM เป็นคนเปิดตลาดมีความแตกต่างกันอย่างมาก ถ้าเทียบตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั้งหมดนั้น Apple สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้เพียงแค่ 4-5% เท่านั้น


และการที่ Apple เป็บระบบปิดไม่สามารถเชื่อมต่อกับใครได้ software ก็รันของตัวเอง ก็ทำให้ครองส่วนแบ่งการตลาดได้น้อยมาก ๆ แม้จะวางจำหน่ายแมคอินทอชพร้อมระบบ Inteface ใหม่ พร้อม mouse ที่เป็นการปฏิวัติวงการในขณะนั้น

แต่ก็ต้องยอมรับว่าสุดท้ายแล้ว Apple เป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ ไปเลยเมื่อเทียบกับตลาด PC ที่ IBM ครองตลาดอยู่ในตอนนั้น ซึ่ง Compaq มาแย่งส่วนแบ่งการตลาดของ IBM ซึ่งใหญ่มาก ๆ ทำให้ Compaq แทบจะเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์การก่อตั้งบริษัทของประเทศอเมริกา

การเติบโตแบบก้าวกระโดด

ด้วยความผิดพลาดของ IBM รวมถึง Apple ก็ไม่สามารถแจ้งเกิดได้กับแมคอินทอชรวมถึงลิซ่า ทำให้ Steve Jobs ก็ต้องถูกบีบให้ออกจาก apple ไปในที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น ก็ไม่มีใครจะมาขัดขวางการเติบโตของ compaq ได้อีกต่อไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องของเทคโนโลยีรวมถึงการตลาด ที่เริ่มนำเอาผู้มีเชื่อเสียงมาช่วยในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทำให้ยอดขายของ Compaq เติบโตขึ้นเกินกว่าปีละ 100% ตลอดในช่วงแรกเริ่มและพุ่งไปถึงกว่า 500 ล้านเหรียญในปี 1985

จุดเปลี่ยนที่สำคัญกับการเข้ามาของ Intel Chipset 386

IBM นั้นมักจะได้สิทธิ์ Exclusive กับ Chip ของบริษัทชื่อดังอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ IBM ถูกปฏิเสธโดย Intel ซึ่ง Chipset 386 นั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่ รวมถึงเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานของ Chip ที่ทำให้การทำงานของ PC ก้าวกระโดดไปอีกขั้น

เมื่อ Intel ไม่ได้ Exclusive ตัว Chip 386 กับ IBM แล้ว  Compaq ก็เร่งในการสร้างผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่ใช้ Chipset 386 เพื่อออกสู่ตลาดให้เร็วที่สุด

ผลิตภัณฑ์อย่าง Desktop386 ขายดีสุด ๆ
ผลิตภัณฑ์อย่าง Desktop386 ขายดีสุด ๆ

ไม่เพียงแค่ Chipset Intel 386 เท่านั้น เมื่อ Compaq ออกผลิตภัณฑ์อย่าง Desktop386 ก็ได้มีการร่วมมือกับ Microsoft ของ Bill Gate ที่ยอมให้ระบบปฏิบัติการของ Windows สามารถรันได้บน Compaq ได้แบบที่ว่าไม่ต้องไปทำการ Copy Chip Code ใด ๆ จาก IBM อีกต่อไป  เป็นการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างสิ้นเชิงและปลดแอกจาก IBM ในที่สุด

ความสุดยอดของ Chipset 386 ทำให้ Compaq เติบโตอย่างก้าวกระโดด และเริ่มฉีกหนี IBM ออกไป และสามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดจาก IBM ไปได้อย่างมาก

แม้ตลาดองค์กร IBM จะเป็นเจ้าตลาดอยู่ก็ตามแต่ตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้นต้องบอกว่า Compaq ได้ทำยอดขายแซง IBM ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว Compaq ใช้เวลาเพียง 3 ปีก็เข้าสู่ทำเนียบ Fortune 500 ได้สำเร็จ

สามผู้ก่อตั้งต่างร่ำรวยจากมูลค่าหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่พนักงานกลุ่มแรก ๆ ที่ได้หุ้น ก็ทยอยกลายเป็นเศรษฐีกันไปด้วย ต้องบอกว่า Compaq เป็นบริษัทที่ใช้เวลาสร้างกิจการได้รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา และสามารถทำยอดขายแตะ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐได้เร็วที่สุดอีกด้วย

ความผิดพลาดซ้ำสองของ IBM

การพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของ IBM ถือเป็นครั้งแรก ๆ ในประวัติศาสตร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM ที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับบริษัทที่เพิงเกิดใหม่เพียงไม่กี่ปีอย่าง Compaq

IBM ต้องเริ่มใช้การฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิบัตรของ Compaq โดยใช้การ Reverse Engineer ที่ Compaq ทำมาตั้งแต่ต้น ซึ่งก็ถือว่ามีความสุ่มเสี่ยงเหมือนกันที่ Compaq จะถูกฟ้องร้องจนอาจต้องถูกปิดบริษัทไปเลย แต่สุดท้าย Rod Canion ก็ใช้วิธีการเจรจาและชดใช้ค่าเสียหายจนตกลงกันได้ที่ประมาณ 130 ล้านเหรียญสหรัฐ

IBM PS2 ความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยของ IBM
IBM PS2 ความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยของ IBM

ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของ IBM คือการต้องการออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด เพื่อไม่ให้ Compaq สามารถลอกเลียนแบบได้ โดยออกระบบปฏิบัติการใหม่คือ PS/2 ที่ยากที่คู่แข่งจะเลียนแบบ ซึ่งต้องบอกว่า IBM ต้องการฆ่าทุกคนในธุรกิจนี้เลยก็ว่าได้

แต่หารู้ไม่การสร้างระบบปฏิบัติการใหม่ที่ไม่สามารถเข้ากับผลิตภัณฑ์ตัวเดิมของ IBM ได้เลยนั้นถือเป็นการฆ่าตัวตายของ IBM เอง เพราะองค์กรใหญ่หลาย ๆ องค์กรในสหรัฐได้สั่งซื้อเครื่อง computer ของ IBM ไปเป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่งหากต้องการเปลี่ยนต้องมีการเปลี่ยนแบบยกองค์กรและต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ทำให้องค์กรหลาย ๆ องค์กรไม่ต้องการซื้อ PS/2 ของ IBM เพราะต้องมาเริ่มเรียนรู้กันใหม่หมดซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่มหาศาลมาก ๆ

เหมือนยื่นดาบให้ศัตรูมาฆ่าตัวเองเลยก็ว่าได้สำหรับ IBM ชัดเจนว่าต่อจากนี้ ตลาด PC นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว IBM ไม่ได้เป็นผู้กำหนดตลาดอีกต่อไป มีการรวมตัวของผู้ผลิต PC ขนาดใหญ่จำนวน 9 ราย รวมถึงมีการเจรจากับ Bill Gate จาก Microsoft และพัฒนามาตรฐานของพวกเค้าเองในชื่อ EISA (Extended Industry Standard Architecture) โดยที่ไม่เกี่ยวข้องใด  ๆ กับ IBM อีกต่อไปเป็นการถีบ IBM ออกจากตลาด PC แบบถาวรเลยก็ว่าได้

เมื่อ Compaq เข้าสู่ยุคตกต่ำ

แม้การรวมตัวจะเป็นผลดีและทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้นและที่สำคัญสามารถกำจัด IBM ออกจากตลาดได้สำเร็จ แต่ขนาดองค์กรของ Compaq ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มยากที่จะบริหารให้ได้เหมือนตอนเริ่มต้นกิจการ

Compaq เริ่มมีการขยายตลาดไปยังยุโรป ทำให้ได้เจอกับ Eckhard Pfeiffer ที่ถนัดในเรื่องการผลิตในปริมาณมาก ๆ แต่ตัว Rod Canion เองนั้นอยากให้ผลิตภัณฑ์ยังมีคุณภาพเหมือนเดิมต่อไป รวมถึงผู้ผลิตจากญี่ปุ่นอย่างโตชิบ้าก็สามารถผลิตในราคาที่ถูกกว่าซึ่งเป็นการเข้ามากำจัดจุดเด่นของ Compaq ในยุคแรก ๆ ไปเลยก็ว่าได้

ปัญหาต่าง ๆ เริ่มรุมเร้าตัว Rod Canion เองและไม่สามารถแก้ปัญหาได้เริ่มมีการตีตลาดจากแบรนด์นอก รวมถึงดาวรุ่งที่พุ่งแรงขึ้นมาอย่าง Dell ที่สามารถผลิตสินค้าในราคาถูกกว่า Compaq

ทำให้ยอดขายของ Compaq เริ่มตก บริษัทเริ่มปลดพนักงานออกไป Rod Canion เริ่มถูกกดดันจากกรรมการบริษัทคล้าย ๆ กรณีของ Steve Jobs ที่ถูกกดดันให้ออกจาก Apple

Rod Canion เริ่มทนกระแสกดดันไม่ไหวจนต้องยอมถอนตัวออกไป เป็นการสิ้นสุด Compaq ของยุคผู้ก่อตั้งทั้งสามและให้ Eckhard Pfeiffer เข้ามาเป็น CEO แทน

ซึ่งสุดท้ายก็มีการควบรวมกิจการกับ HP เพื่อกลายเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2002 เป็นการสิ้นสุดแบรนด์ Compaq ไปในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
https://www.wikipedia.org
https://history-computer.com/the-real-reason-compaq-failed-spectacularly/
https://www.pcmag.com/news/the-golden-age-of-compaq-computers
https://www.wnyc.org/story/unlikely-pioneers-who-founded-compaq-and-transformed-tech/

Geek Life EP27 : เคล็ดลับการเพิ่ม Productivity จาก Elon Musk, Jeff Bezos และ Steve Jobs

ทุกคนมีเวลาในหนึ่งวัน 24 ชั่วโมงเท่ากันกับคนอย่างElon Musk ซึ่งไม่ใช่เพียง CEO ของ Tesla แต่ยังรวมถึง SpaceX, The Boring Company และ Neuralink และ Jack Dorsey ซึ่งเป็น CEO ของทั้ง Twitter และ Square

แล้วผู้ก่อตั้งมหาเศรษฐีที่มีงานยุ่งเช่น Musk และ Dorsey จะจัดการวันเวลาของพวกเขาอย่างไร? และนี่คือเคล็ดลับของ Musk’s, Dorsey’s และผู้นำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนอื่นๆ ในการเพิ่ม Productivity

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/36qkHkF

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/35cXAtj

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3I3DZu9

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3I8YhST

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/XG_dS3ul4qk

References Image : https://in.askmen.com/career/1124786/article/jeff-bezos-elon-musk-steve-jobs-and-more-the-weirdest-habits-of-highly-successful-ceos-and-business

จิตวิทยาเบื้องหลัง iPhone รุ่นใหม่ และเหตุใดจึงยากที่จะต้านทานกิเลสกับมัน

นับตั้งแต่ Steve Jobs ประกาศวางขาย iPhone เครื่องแรกในงาน MacWorld ในปี 2007 Apple ได้เปิดตัว iPhone มากกว่า 20 รุ่น จากข้อมูลในเดือนมกราคม 2019 พบว่ามีชาวอเมริกันกว่า 80% เป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน

และในปีเดียวกันนั้นมี iPhone ที่ใช้งานอยู่ 900 ล้านเครื่องทั่วโลกตามรายงานของ Tim Cook CEO ของ Apple เมื่อ Apple ประกาศเปิดตัว iPhone 12 ในวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้สั่งซื้อ iPhone ล่วงหน้าประมาณ 2 ล้านคนภายในแค่ 24 ชั่วโมงแรกเพียงเท่านั้น

แล้วทำไมแฟน ๆ เหล่าสาวก Apple ต่างก็ชื่นชอบและอยากซื้อ iPhone รุ่นใหม่ทุกครั้ง? นี่คือเหตุผลทางจิตวิทยาที่ยากที่จะต้านทานกิเลสจาก iPhone รุ่นใหม่

เราติดใจกับคำว่า ‘what’s next’

การผลิต iPhone รุ่นใหม่แต่ละครั้งมีคุณสมบัติใหม่ ๆ เช่น iPhone 4 ในปี 2011 นำกล้อง “เซลฟี่” แบบหันหน้าไปทางด้านหน้าเป็นครั้งแรก ในขณะที่ iPhone 5S ในปี 2013 เปิดตัวการสแกนลายนิ้วมือ Touch ID ส่วนรุ่นล่าสุดอย่าง iPhone 12 มีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G ที่เร็วขึ้นและกล้องที่สุดล้ำ

“ถึงแม้ว่า iPhone เครื่องปัจจุบันของคุณจะทำงานได้ดีอยู่แล้วก็ตาม แต่ผู้คนต่างสนใจการปรับปรุงคุณภาพและความสามารถเหล่านั้น” Kelly Goldsmith รองศาสตราจารย์ด้านการตลาดจาก Vanderbilt University ใน Owen Graduate School of Management กล่าว

โทรศัพท์รุ่นใหม่แต่ละรุ่น และ Apple ในฐานะแบรนด์ก็ได้แสดงถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาอยู่เสมอ และคำว่า “what’s next” ซึ่งผู้บริโภคมักจะให้ความสำคัญเป็นอย่างสูง Katie Martell ที่ปรึกษาด้านการตลาดกล่าว “เราอาศัยอยู่ในโลกที่มีอะไรใหม่ ๆ และอะไรที่เป็นสิ่งใหม่ ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด”

มันเป็นส่วนหนึ่งในตัวตนของคุณ

ในปี 2011 Samsung คู่แข่งของ Apple ได้เปิดตัวโฆษณาที่ล้อเลียนผู้คนที่มาต่อแถวนอกร้านค้า Apple เพื่อรอการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ มีการล้อเลียนในโฆษณาว่า “ถ้าหน้าตาของเครื่องมือถือมันเหมือนกัน คนอื่นจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณได้อัปเกรดรุ่นใหม่ไปแล้ว” 

การมีโทรศัพท์รุ่นล่าสุดและดีที่สุดเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะ Goldsmith กล่าว “ มันเป็นสิ่งที่คุณพกติดตัวตลอดเวลาดังนั้นมันจึงถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับคุณให้คนอื่นรู้” เธอกล่าว

โทรศัพท์ของคุณยังเป็นกลไกที่แข็งแกร่งสำหรับสิ่งที่เรียกว่า ”สัญลักษณ์ของตัวคุณ” ซึ่งเป็นแนวคิดในเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของคุณที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อเกี่ยวกับตัวคุณเอง

ในกรณีนี้การมี iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดสามารถเพิ่มความนับถือต่อตนเอง และเตือนคุณว่าคุณไม่ได้ล้าสมัย “ทุกครั้งที่คุณมองไปที่โทรศัพท์เครื่องนั้น จะบอกคุณบางอย่างเกี่ยวกับตัวคุณและมันเป็นการตอกย้ำลักษณะบางอย่างของตัวคุณเอง” Goldsmith กล่าว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Apple มีแนวโน้มที่จะส่งเสริมผู้บริโภคด้วยการโปรโมตเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้กับ iPhone เครื่องใหม่ของพวกเขา Martell กล่าว 

ตัวอย่างเช่น Apple สนับสนุนให้ผู้คนแชร์รูปภาพที่ถ่ายบน iPhone ด้วย แฮชแท็ก “#ShotoniPhone” เพื่อนำไปรวมอยู่ในป้ายโฆษณาและแคมเปญโฆษณาของApple นี่เป็นการส่งสัญญาณให้ผู้บริโภคทราบว่า “คุณมีอำนาจนั้นอยู่ในมือ”

ช้าอดหมดนะจ๊ะ!!!

เมื่อ iPhone รุ่นใหม่พร้อมใช้งานเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นเหล่าสาวกมารอคอยรอบ ๆ ร้าน Apple หลายชั่วโมงก่อนที่ร้านจะเปิด แฟน ๆ Apple ต้องการเป็นคนแรกที่มีและใช้อุปกรณ์และมักหลีกเลี่ยงการรอคอยจากความล่าช้าในการจัดส่ง

สำหรับผู้บริโภคเส้นแบ่งที่อยู่นอกร้านเป็นสัญญาณว่าอะไรก็ตามที่อยู่ภายในร้าน Apple นั้นมีคุณค่า มีแนวคิดเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมสองประการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว : การพิสูจน์ทางสังคม (การทำให้เชื่อว่าคนอื่นก็ต้องการสินค้า) และ ความขาดแคลน (ความกลัวว่าอาจมีไม่เพียงพอ) Goldsmith กล่าว

การวิจัยพบว่าเมื่อคุณคิดว่าสิ่งของหายากมันจะเพิ่มความเร้าอารมณ์ของคุณ และทำให้คุณรู้สึกตื่นตระหนกในการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว การรับรู้ถึงความขาดแคลนทำให้คุณมีความเข้าใจในความจริงน้อยลง และมีแนวโน้มที่จะปล่อยใจไปกับสิ่งของที่คุณชื่นชอบมากกว่าการหาทางเลือกอื่น ๆ ที่มีเหตุผลมากกว่า

″นั่นทำให้คุณอยากซื้อ ทำให้คุณอยากเข้าแถวและทำให้คุณไม่อยากพลาด” เธอกล่าว

“ผู้บริโภคตอบสนองแทบจะรุนแรงเกินไปต่อกลยุทธ์ทางการตลาดที่ขาดแคลนเหล่านี้” Goldsmith กล่าว

มันเป็นประสบการณ์ทางสังคม

“Apple ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ทางสังคมเกี่ยวกับการรอคอย iPhone และคาดหวังถึงสิ่งที่จะมีใน iPhone และการพูดคุยเกี่ยวกับ iPhone” Goldsmith กล่าว ด้วยการประกาศวันที่วางจำหน่ายของ Apple“ มันเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างจากที่คุณรู้สึกกับคู่แข่งรายอื่น ๆ” Martell กล่าว

References : https://www.cnbc.com/2020/10/19/iphone-12-pre-orders-sales-exceed-iphone-11-top-analyst-says.html
https://www.youtube.com/watch?v=tNxDd3l0lEU
https://www.apple.com/newsroom/2019/01/share-your-best-photos-shot-on-iphone/
https://www.cnbc.com/2019/09/20/apple-iphone-11-goes-on-sale-with-lines-outside-major-stores-around-the-world.html
https://changingbusiness.johnshopkins.edu/spring2015/blog/2015/03/13/the-less-i-see-you-the-more-i-want-you/
Jonathan Brady/PA Images via Getty Images