ไม่ใช่แค่ผู้พัฒนาเกมชั้นนำเท่านั้นที่ทำลายระบบนิเวศแบบปิด Steam, Google และ Apple ลด 30% สำหรับการซื้อในร้านค้าและในแอปทั้งหมดเป็นการผูกขาดการชำระเงินเป็นหลัก ผู้คนมากกว่าหนึ่งพันล้านคนเล่นเกมบนอุปกรณ์ Apple และตอนนี้เกมสร้างรายได้มากกว่า 80% ใน App Store ของพวกเขา Apple ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอเกมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอย่างเงียบ ๆ
Apple ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอเกมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก (CR:Polygon)
ปัญหาการต่อต้านการผูกขาดและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นกำลังกระตุ้นให้นักพัฒนาจำนวนมากขึ้นหลีกเลี่ยงระบบนิเวศของ Apple และมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นหากพวกเขาไม่คิดที่จะลดค่าธรรมเนียม
นักเล่นเกมในปัจจุบันฝันถึง World of Warcraft 2.0 ที่จะสร้างมูลค่า GDP ในเกมระดับท็อป และ MAU อยู่ในระดับพันล้าน ผลกำไรมหาศาลที่เกิดจากการค้าขายในเกมจะถูกสูบกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยสำรองไว้เพียงพอสำหรับการพัฒนาเกมคุณภาพสูงและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเพียงเท่านั้น
เนื่องด้วยกระแสที่มาแรงของ metaverse ทำให้ผมติดตามข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้จากหลายสื่อ ซึ่งมีการวิเคราะห์ที่น่าสนใจจากสื่อหลาย ๆ แห่งทางด้านเทคโนโลยี ที่เห็นสอดคล้องกันว่า Microsoft ดูจะมีความพร้อมมากว่าในการเป็นผู้ชนะในโลกของ metaverse เมื่อเทียบกับ Meta (facebook)
ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับ facebook ที่มองเห็นโอกาสที่จะชนะได้อย่างไม่ยากเย็นในโลกของ metaverse เนื่องจากมีทั้งเครือข่ายโซเชียลมีเดียที่เป็นฐานลูกค้าเดิมอยุ่แล้ว รวมถึงอุปกรณ์อย่าง oculus ที่ Meta พัฒนามาอย่างยาวนาน
แต่ก็ลืมคิดไปว่า ทางฝั่ง Microsoft ก็ดูเหมือนจะมีสรรพกำลังด้านนี้อยู่ที่ไม่ด้อยไปกว่า Meta เลยด้วยซ้ำ ซึ่งแน่นอนว่า metaverse มันคือเกมใหม่ที่ต้องมาแข่งขันกันใหม่
จากประวัติศาสตร์การแข่งขันของบริษัทเทคโนโลยี เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ใครเก่งด้านใด คู่แข่งก็ยากที่จะมาต่อกร เช่น การสร้าง google plus ที่ google คิดจะมาแย่งชิงตลาดโซเชียลมีเดีย ซึ่งสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ไป
หรือ กรณีของ Microsoft ที่ส่ง Bing มาแข่งกับ Google ก็ดูเหมือนว่าจะยังตามห่าง Google อยู่อีกไกล ซึ่งแน่นอนว่า ในโลก metaverse ก็น่าจะคล้ายคลึงกันมันเป็นโลกใหม่ ที่แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งก็ต้องมาดูกันว่าใครจะเข้า Win ในศึก metaverse รอบใหม่ครั้งนี้
ดูเหมือนว่า Microsoft จะเข้าใจดีกว่า Meta ว่าผู้คนใช้เทคโนโลยีอย่างไร และทาง Microsoft ก็มี Mesh ซึ่งเป็นเกตเวย์สู่ metaverse ของ Microsoft เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Microsoft Mesh อีกหนึ่งเกตเวย์ในการเข้าสู่โลก Metaverse ของ Microsoft(CR:Microsoft News)
ด้วยการใช้เพียงแค่สมาร์ทโฟนหรือแล็ปท็อป ไม่จำเป็นต้องใช้ชุดหูฟังที่เกะกะหรือเทคโนโลยีราคาแพง ด้วยแนวทางนี้ Microsoft มุ่งเน้นที่ความสามารถที่มีอยู่และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือแอปพลิเคชันระดับองค์กรที่มีเหนือวิสัยทัศน์ของ Meta ในการปรับใช้กับไลฟ์สไตล์ใหม่ทั้งหมด
ขณะนี้ Microsoft Teams มีผู้ใช้งานมากกว่า 145 ล้านคนต่อวัน ในขณะที่ยอดรวมของชุดหูฟัง VR (HoloLens) ของ Microsoft ที่จำหน่ายไปนั้นมีประมาณ 17 ล้านชิ้น จากตัวเลขเหล่านี้เพียงอย่างเดียว Mesh for Microsoft Teams มีฐานผู้ใช้ที่เป็นไปได้มากกว่าถึงแปดเท่าของจำนวนผู้ใช้ที่ Meta ที่หวังว่าจะเข้าถึงได้ด้วยชุดหูฟัง VR (oculus) ของพวกเขา
ซึ่งจะเห็นได้ว่า เมื่อมองภาพรวมจริง ๆ แล้วนั้น Microsoft มีอาวุธที่ครบมือมากกว่า Meta อย่างเห็นได้ชัด ทั้ง know how ในธุรกิจเกม หรือ การสามารถปรับใช้ไลฟ์สไตล์จากเครือข่ายของ Microsoft เพื่อเข้าสู่โลกของ metaverse ได้ดีกว่า
และที่สำคัญ ในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่เคยเกิดปัญหาขึ้นในเครือข่ายโซเชียลมีเดียนั้น Microsoft เป็นผู้นำตลาดในด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และเมื่อจัดอันดับโดย 10 ธีมที่สำคัญที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมโซเชียลมีเดีย Microsoft อยู่ในอันดับที่สอง ตามรายงานสรุปสถิติเกี่ยวกับโซเชียลมีเดียของ GlobalData ซึ่ง Meta อยู่ในอันดับที่ 21 จากบริษัทเทคโนโลยีจำนวน 35 แห่งในดัชนีชี้วัดดังกล่าว
และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลจะส่งผลเสียอย่างมากต่อประสิทธิภาพในอนาคต ดังนั้นในขณะที่เรายังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนว่าโลก metaverse ที่มีรูปแบบสมบูรณ์จะมีลักษณะอย่างไร แต่ถ้ามองกันที่องค์ประกอบรวมทั้งหมดดูเหมือน Microsoft จะมีความได้เปรียบ Meta อยู่มากเลยทีเดียวครับผม
บริการด้านสุขภาพจิตและการพัฒนาตนเองกำลังที่จะเข้าถึงได้มากขึ้นผ่านแอปมือถือ โดยแอปเหล่านี้ได้รวมความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ที่คล้ายคลึงกับ Siri ของ Apple มากขึ้น ระบบอัจฉริยะเหล่านี้จะทำให้อุปกรณ์ของเรามีชีวิตขึ้นโดยมีฟังก์ชั่นใหม่ในฐานะ ‘นักจิตวิทยา’ หรือ Life Coach เสมือนจริงของเรา
นักวิจัยยังได้พัฒนาโปรแกรม ‘บำบัด’ สำหรับโทรศัพท์มือถือเพื่อช่วยให้ผู้ใช้จัดการกับความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า ตามที่ New York Times รายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้แอป อย่าง Sosh ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเด็กและผู้ใหญ่พัฒนาทักษะทางสังคมของพวกเขา โดยแอปจะมีแบบฝึกหัดที่ช่วยให้ผู้ใช้จัดการพฤติกรรม เพื่อเข้าใจความรู้สึกและเชื่อมต่อกับผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Medical Internet Research ฉบับปัจจุบันผู้ใช้โค้ชเสมือนยังคงใช้ระบบการออกกำลังกายตลอดระยะเวลา 12 สัปดาห์ ในขณะที่ผู้ที่ไม่ใช้นั้น มีการออกกำลังกายลดลง 14.3 เปอร์เซ็นต์ โดย 87.1% ของผู้เข้าร่วมที่ใช้โค้ชเสมือนรายงานว่ารู้สึกผิดถ้าพวกผิดนัดกับโค้ชเสมือนจริงเหล่านี้
ทุกวันนี้ระบบเหล่านี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าไปอีกอาจเป็นไปได้ที่จะ ‘สนทนา’ กับปัญญาประดิษฐ์นอกเหนือจากคำสั่งเสียงที่เรียบง่าย ระบบ AI ยังสามารถมีความสามารถในการ ‘การตรวจจับอารมณ์ความรู้สึก’ เพื่อให้พวกเขาสามารถตรวจจับอารมณ์และความตั้งใจของผู้ใช้โดยใช้น้ำเสียงและรูปแบบการพูดทำให้การติดต่อสื่อสารมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ในทางทฤษฎีความสามารถดังกล่าว มีความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบ AI ที่เลียนแบบปฏิสัมพันธ์ของ นักจิตวิทยา หรือ Life Coach “ วันหนึ่งแผนการของแอปเรา จะพัฒนาสู่ความฉลาดทางอารมณ์เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เราพัฒนาคุณภาพชีวิตของทุก ๆ คน” Chris Hewett กล่าว “AI เหล่านี้จะกลายเป็นสหายที่อยู่กับเราตลอดชีวิตที่วุ่นวายของเราทำให้แน่ใจว่าเราจะไม่ลืมสิ่งที่สำคัญสำหรับเรา: เป้าหมายของเรา และความปรารถนาของเรา
การทดลองแสดงให้เห็นว่าแม้แต่ระบบ AI ที่เรียบง่ายมากก็สามารถจำลองสถานการณ์ ‘จิตบำบัด’ ที่ผู้ใช้เห็นว่าเป็นจริงได้ การทดลองที่ครั้งแรกสุดนั้นเกิดขึ้นที่ MIT ในทศวรรษ 1960 กับ chatbot ELIZA
แม้ว่าระบบ chatbot ELIZA จะไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่ ‘ผู้ป่วย’ พูดและมองหารูปแบบของคำและตอบกลับด้วยผลลัพธ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า แต่ผู้ใช้ก็เอาจริงเอาจังและใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อเผยปัญหาส่วนตัวให้กับโปรแกรม เมื่อเธอได้รับแจ้งว่านักวิจัยที่ทำการทดลองนั้นสามารถเข้าถึงบันทึกการสนทนาทั้งหมดได้ เธอตอบโต้ด้วยความโกรธเคืองเนื่องจากกังวัลในเรื่องความเป็นส่วนตัวของเธอ
ระบบ AI บนมือถือสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ที่สวมใส่ได้โดยตรงบนร่างกาย คล้าย ๆ กับ Fuel Band ของ Nike หรือ Apple Watch จาก Apple ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้สามารถวัดระดับกิจกรรมของเราและข้อมูลด้านสุขภาพอื่น ๆ