Richard Montañez กับการพลิกชีวิตด้วย 1 idea ที่เปลี่ยนจากภารโรงให้กลายเป็นผู้บริหารที่ PepsiCo

ก่อนที่จะเกิดความคิดที่พลิกชีวิตของเขาไปตลอดกาล Richard Montañez ลูกชายของผู้อพยพชาวเม็กซิกันเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่แสนจะลำบาก เขาและพี่น้องอีกสิบคนอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ แค่หนึ่งห้องนอนกับพ่อแม่ที่ฝ่าฟันต่อสู้เพื่อครอบครัว

ชีวิตของ Montañez ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เขากลับมองว่านี่คือจุดเริ่มต้นของปัญญาอันล้ำค่า “ผมมีปริญญาเอกของการเป็นคนที่น่าสงสาร ความหิวโหย และความมุ่งมั่น” อดีตภารโรงผู้นี้เคยให้สัมภาษณ์กับวอชิงตันโพสต์ด้วยความภาคภูมิใจ

“ผมเชื่อว่าเมื่อคุณได้สัมผัสทั้งสามสิ่งนี้แล้ว คุณจะเกิดปัญญามากมาย ความยากจนไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นแรงผลักดันให้เกิดนวัตกรรมหลายอย่าง” คำพูดที่เต็มไปด้วยพลังและแรงบันดาลใจจากชายผู้มีชีวิตโชกโชนวัย 67 ปี

จิตวิญญาณของนักสร้างสรรค์ในตัว Montañez เริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่เขายังเด็ก วันแรกที่เขาไปโรงเรียนประถมปีที่ 3 แม่ของเขาเตรียมเบอร์ริโตให้เป็นอาหารกลางวัน แต่เขากลับรู้สึกอายเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นมีอาหารกลางวันที่แตกต่างจากเขา

“ในช่วงทศวรรษ 1960 มีคนเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นเบอร์ริโต” เขาเล่าในหนังสือของเขา “เด็กชายเบอร์ริโตและคุกกี้” “ทุกคนจ้องมองมาที่ผม ผมรีบใส่มันกลับเข้าไปในกระเป๋าและซ่อนมันไว้”

วันต่อมา เขาขอให้แม่ทำ “แซนวิชโบโลน่าและคัพเค้กเหมือนเด็กคนอื่นๆ” แทน แต่แม่กลับตอบสนองด้วยวิธีที่แตกต่าง เธอเตรียมเบอร์ริโตให้ถึงสองชิ้น หนึ่งสำหรับให้เขากิน และอีกชิ้นสำหรับให้เขาหาเพื่อน

เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ ผู้ประกอบการวัย 7 ขวบรายนี้เริ่มขายเบอร์ริโตในราคาชิ้นละ 0.25 ดอลลาร์ นี่คือจุดเริ่มต้นของการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่หลายคนมองข้าม ความเทพของเด็กน้อยที่หลายคนไม่เคยนึกถึง

หลังจากดิ้นรนกับการเรียนรู้การอ่านและการเขียนขั้นพื้นฐาน Montañez ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน ชีวิตพาเขาไปพบกับงานหลากหลายที่มีรายได้ต่ำ ทั้งการเชือดไก่และการทำสวน การขาดการศึกษาอย่างเป็นทางการไม่ได้ทำให้เขาถอดใจ แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้เขาพยายามมากขึ้น

วันหนึ่งขณะที่เขากำลังทำงานที่ร้านล้างรถ เพื่อนของเขามาบอกข่าวที่เปลี่ยนชีวิตเขา Frito-Lay กำลังเปิดรับสมัครพนักงาน โอกาสที่จะเปลี่ยนชีวิตกำลังมาถึง

ด้วยความหวังและความกล้า Montañez ไปที่โรงงาน Frito-Lay ในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ เขาขอใบสมัครแม้จะอ่านหรือเขียนแทบไม่ได้ เขาขอให้ภรรยาในอนาคตช่วยกรอกเอกสารแทน และส่งใบสมัครไปในวันนั้นเลย บริษัทตอบรับให้เขาเริ่มงานในตำแหน่งภารโรง

ความคิดสุดเจ๋งที่นำไปสู่การสร้าง Flamin’ Hot Cheetos เกิดขึ้นโดยบังเอิญในวันที่เครื่องจักรเกิดขัดข้องในสายการผลิต Cheetos บางส่วนไม่ได้รับการโรยด้วยผงชีสสีส้มมาตรฐาน นี่คือจุดเริ่มต้นของไอเดียสุดล้ำ

Montañez นำ Cheetos ธรรมดากลับบ้านและเริ่มทดลองใส่พริกป่นลงไป แรงบันดาลใจของเขามาจากพ่อค้าแม่ค้าข้างถนนในละแวกบ้านที่ขายข้าวโพดย่างแบบเม็กซิกันราดด้วยมะนาวและพริก เพื่อนและครอบครัวของเขาต่างชื่นชอบรสชาตินี้เป็นอย่างมาก

ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 PepsiCo กำลังเผชิญกับความท้าทายทางธุรกิจ คู่แข่งมากมายและการขาดแคลนไอเดียใหม่ๆ ทำให้ Roger Enrico ซีอีโอของบริษัทต้องประกาศต่อพนักงานกว่า 300,000 คนว่าพวกเขาต้องการความคิดสร้างสรรค์เพื่อรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่

นี่คือโอกาสที่ Montañez รอคอย เขาตัดสินใจติดต่อ CEO โดยตรง ซึ่งหลังจากได้รับฟังไอเดียคร่าวๆ แล้ว Enrico ให้เวลาเขาสองสัปดาห์เพื่อเตรียมการนำเสนอกับผู้บริหารบริษัท การตัดสินใจครั้งนี้เปรียบเสมือนการเข้าถ้ำเสือ แต่เขาไม่ลังเล

ด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ Montañez มุ่งตรงไปที่ห้องสมุดเพื่อศึกษาเรื่องการตลาดและการออกแบบผลิตภัณฑ์ เขาสร้างบรรจุภัณฑ์ต้นแบบ และเดินเข้าห้องประชุมด้วยความมั่นใจด้วยเน็คไทราคาเพียง 3 ดอลลาร์

“พวกเขาทึ่งกับการออกแบบผลิตภัณฑ์” เขาเล่าด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ และแล้ว Flamin’ Hot Cheetos ก็ถือกำเนิดขึ้น จนถึงทุกวันนี้ สแน็คเผ็ดร้อนนี้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของ Frito-Lay และกลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่

การนำเสนอครั้งนั้นไม่เพียงแต่สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับบริษัท แต่ยังเปิดประตูสู่เส้นทางอาชีพอันรุ่งโรจน์ของ Montañez Montañez สามารถไต่เต้าตำแหน่งจากภารโรงไปสู่ระดับผู้บริหารของ PepsiCo ได้อย่างน่าทึ่ง ความฝันที่หลายคนอาจมองว่าเป็นสิ่งเพ้อฝันกลับกลายเป็นความจริง

ทุกวันนี้ เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ นำเสนอเรื่องราวและแนวคิดเกี่ยวกับความสำคัญของความหลากหลายในธุรกิจต่อบริษัทชั้นนำต่างๆ Fox Searchlight Pictures ยังได้สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตที่น่าทึ่งของเขาอีกด้วย เรื่องราวของเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอีกมากมาย

Montañez มักจะย้อนคิดว่าชีวิตของเขาคงแตกต่างออกไปมากหากเขาไม่กล้าที่จะนำเสนอไอเดียกับ CEO โดยตรง ประสบการณ์นี้ทำให้เขาได้บทเรียนสำคัญที่เขาแบ่งปันกับผู้อื่นอยู่เสมอ

“อย่ามองตำแหน่งของคุณอย่างไร้ค่า ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรก็ตาม” Montañez กล่าว “จะเป็น CEO หรือภารโรง ก็จงทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของบริษัท”

อย่างไรก็ตาม มีเรื่องราวอีกด้านที่ต้องรู้ เพราะคำกล่าวอ้างของ Richard Montañez ว่าเขาเป็นผู้คิดค้น Flamin’ Hot Cheetos ถูกโต้แย้งในรายงานปี 2021 ของ LA Times ทางบริษัท Frito-Lay ได้ออกแถลงการณ์ว่า:

“เราให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของ Richard ต่อบริษัทของเรา โดยเฉพาะข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคชาวฮิสแปนิก แต่เราไม่ได้ให้เครดิตการสร้าง Flamin’ Hot Cheetos หรือผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของ Flamin’ กับเขาเพียงคนเดียว”

ในการตอบโต้ Montañez ยืนยันความถูกต้องของเรื่องราวของเขาใน Variety .com โดยอธิบายว่าเขาไม่รู้ว่าแผนกอื่นๆ ของบริษัทกำลังดำเนินการทดลองคล้ายๆ กันอยู่ในขณะนั้นเช่นกัน

ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เรื่องราวของ Montañez ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนมากมาย มันแสดงให้เห็นว่าความกล้าหาญ ความคิดสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่นสามารถพลิกชีวิตคนธรรมดาให้กลายเป็นเรื่องราวความสำเร็จที่น่าทึ่งได้

อดีตภารโรงผู้ซึ่งแทบจะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ได้กลายเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทระดับโลก เป็นเรื่องราวที่เป็นที่เตือนใจเราว่าไม่มีอุปสรรคใดที่ไม่สามารถก้าวผ่านได้หากมีความตั้งใจจริง

โลกธุรกิจและการตลาดเต็มไปด้วยความท้าทายและการแข่งขัน แต่เรื่องราวของ Montañez สอนให้เรารู้ว่า บางครั้งไอเดียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจมาจากสถานที่หรือบุคคลที่คาดไม่ถึงที่สุด

Richard Montañez ไม่ใช่แค่เรื่องราวของความสำเร็จทางธุรกิจ แต่เป็นตัวอย่างของพลังแห่งการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งไหนหรือมีภูมิหลังอย่างไร คุณสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หากคุณกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะลงมือทำ และกล้าที่จะไม่ยอมแพ้

References: [washingtonpost, latimes, variety, forbes, biography]

Apple ล้างสมองคุณอย่างไร? กับวิธีการเปลี่ยนเทคโนโลยีให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนเรา

Apple บริษัทที่มูลค่าพุ่งทะยานถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์! จนขึ้นทำเนียบเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก มีคนใช้ iPhone มากถึง 1.3 พันล้านคนทั่วโลก

ทุกปี Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่บอกว่าเจ๋งที่สุดเท่าที่เคยมีมา และทุกครั้งก็มีคนแห่แหนไปซื้อราวกับถูกมนต์สะกด แม้ว่ารุ่นใหม่จะดีขึ้นเพียงเล็กน้อยจากรุ่นก่อนหน้าก็ตามที

คำถามที่น่าสนใจก็คือ Apple สามารถสร้างความจงรักภักดีระดับบ้าคลั่งแบบนี้ได้ยังไง ซึ่งเหตุผลอาจไม่ใช่อย่างที่หลายคนคิด และเมื่อเข้าใจจิตวิทยาเบื้องลึกของ Apple แล้ว คุณอาจจะมองบริษัทนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ภาพยนตร์ชีวประวัติ Steve Jobs ที่สร้างในปี 2015 (ดัดแปลงจากหนังสือของ Walter Isaacson) เผยให้เห็นบุคลิกที่สุดยอดของ Jobs ทั้งแรงบันดาลใจ อารมณ์ และวิสัยทัศน์ที่ผลักดันการตัดสินใจของเขา

มีฉากเจ๋งๆ ตอนที่มีคนพยายามกล่าวหา Jobs ว่าเขาไม่ได้เขียนโค้ด ไม่ใช่วิศวกร ไม่ใช่นักออกแบบ แม้แต่ตอกตะปูก็ยังทำไม่เป็น แต่ Jobs ตอบกลับว่าเขาเป็น “วาทยกร” คนที่ควบคุมวงดนตรีให้บรรเลงเพลงอย่างลงตัว

สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ บริษัทเจ๋งๆ ถูกสร้างโดยคนเจ๋ง ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักเริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง แม้ว่าต่อมาหลายแห่งจะเติบโตจนกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ หลังจากหัวใจและจิตวิญญาณของผู้ก่อตั้งได้จากไปแล้ว

ไม่มีใครสร้างผลกระทบต่อวงการเทคโนโลยีมากกว่า Steve Jobs ผลงานของเขามีตั้งแต่ Mac, iPod, iPhone, iPad, App Store, iCloud ไปจนถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมสตรีมมิ่งผ่าน iTunes

ผลงานของ Apple อยู่ในทุกซอกทุกมุมของโลกเทคโนโลยี ทั้งการกำหนดทิศทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทอื่นและการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค

Jobs มีแนวคิดว่าการให้ลูกค้าในสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่เป็นการค้นหาว่าพวกเขา “จะ” ต้องการอะไรก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวเสียอีก

เขาอ้างคำพูดของ Henry Ford ที่ว่าหากถามลูกค้าว่าต้องการอะไร พวกเขาคงตอบว่าต้องการม้าที่วิ่งเร็วกว่าเดิม ไม่ใช่รถยนต์ Jobs เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าต้องการอะไรจนกว่าจะได้เห็นของจริง

น่าเสียดายที่ปัจจุบันเราไม่ได้เห็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์เหมือนในยุคสมัย Jobs อีกต่อไป ความจริงก็คือไม่มีใครทดแทน Steve Jobs ได้ Apple ในยุคนี้จึงต้องควบคุมเรื่องราวของแบรนด์ด้วยวิธีอื่น

เมื่อแบรนด์ผูกติดกับบุคคลเพียงคนเดียว นักธุรกิจเรียกว่า “ความเสี่ยงจากบุคคลสำคัญ” หรือ key person risk Apple จึงต้องสร้างภาพลักษณ์สุดแข็งแกร่งเพื่อทดแทนการจากไปของ Jobs

เมื่อมอง Apple ในปัจจุบัน คุณจะเห็นแบรนด์พรีเมียมที่เป็นมากกว่าบริษัทเทคโนโลยีทั่วไป เป็นแบรนด์สำหรับคนที่ “เหนือกว่า” ไม่ว่าจะเป็นนักสร้างสรรค์ นวัตกร และพวกที่ “คิดต่าง”

Apple นำเสนอตัวเองในฐานะบริษัทที่ใส่ใจความเป็นส่วนตัว ผลิตสินค้าระดับเทพที่คงทนถาวร ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีวันพังง่ายๆ และให้คุณค่ากับความเรียบง่ายและประสิทธิภาพมากกว่าตัวเลือกมากมายเหมือนแบรนด์อื่น ๆ

Apple ได้ทำการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ในปี 1997 เมื่อพวกเขาเปิดตัวแคมเปญโฆษณาสุดเจ๋งภายใต้ชื่อ “Think Different” และแม้จะไม่ได้ใช้วลีนี้อย่างเป็นทางการอีกต่อไป แต่แนวคิดนี้ยังคงฝังลึกอยู่ในทุกสิ่งที่ Apple ทำ

พวกเขาสื่อสารโดยนัยว่าลูกค้าของ Apple “แตกต่าง” ไม่ยอมเข้ากับกรอบของสังคมทั่วไป เหมือนเป็นกลุ่มพิเศษที่มีความคิดและรสนิยมเหนือคนทั่วไป

สิ่งที่ Apple ทำได้อย่างแยบยลคือการทำให้ผู้บริโภคเชื่อมโยงคุณลักษณะพิเศษเหล่านี้กับผลิตภัณฑ์และแบรนด์ ทำให้คนคิดว่าหากพวกเขาซื้อ iPhone, Mac หรือ AirPods พวกเขาจะมีคุณลักษณะพิเศษเหล่านั้นด้วย

นี่คือจิตวิทยาเบื้องหลังที่ Apple ได้ปลูกฝังมาหลายปี จนทำให้คนรู้สึกว่าหากต้องการประสบความสำเร็จและเป็นเหมือนคนเจ๋งๆ เหล่านั้น จำเป็นต้องมีผลิตภัณฑ์ของ Apple

เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ แต่สัมผัสได้ เช่นเดียวกับที่เมื่อนึกถึงกีฬา เราจะนึกถึง Nike และ Adidas หรือเมื่อนึกถึงน้ำอัดลม ก็จะนึกถึง Coke และ Pepsi Apple ตอกย้ำความรู้สึกนี้มาหลายทศวรรษจนฝังในจิตใต้สำนึกของผู้คน

ทุกครั้งที่มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประจำปี Apple จะไม่เน้นที่สเปคของสินค้า แต่จะแสดงให้เห็นว่าคุณจะทำอะไรได้บ้างกับผลิตภัณฑ์ของพวกเขา

สิ่งที่น่าทึ่งคือ Apple แทบไม่เคยพูดถึงคู่แข่งโดยตรง พวกเขามักเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ใหม่กับผลิตภัณฑ์ Apple รุ่นก่อนหน้าเท่านั้น เพื่อสื่อว่า Apple อยู่ในลีกของตัวเอง ไม่มีคู่แข่ง

ทุกอย่างที่ Apple ทำถูกรังสรรค์อย่างพิถีพิถันตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ แม้แต่บรรจุภัณฑ์ที่หลายคนมองข้าม พวกเขาเป็นผู้บุกเบิกบรรจุภัณฑ์หรูหราระดับพรีเมียม

Steve Jobs เคยพูดตรงๆ ว่าเมื่อคุณเปิดกล่อง iPhone หรือ iPad ประสบการณ์การสัมผัสนั้นจะกำหนดว่าคุณจะรับรู้ผลิตภัณฑ์อย่างไร บรรจุภัณฑ์ของ Apple จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอกย้ำความเป็นพรีเมียม

กระบวนการแกะกล่องทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ ทั้งความรู้สึกของกล่อง ความเรียบง่าย ความเร็วในการเปิด วิธีที่ทุกอย่างลงตัวอย่างแม่นยำ การจัดวางในกล่อง โลโก้ที่แฝงอยู่ แม้แต่วิธีที่พลาสติกคลี่ออก

ความพิถีพิถันนี้ปรากฏในทุกผลิตภัณฑ์ของ Apple จนมีช่อง YouTube เกิดขึ้นมากมายที่ทำเนื้อหาเกี่ยวกับการแกะกล่องผลิตภัณฑ์ Apple โดยเฉพาะ (Unboxing) จนกลายเป็นวัฒนธรรมย่อยไปแล้ว

บรรจุภัณฑ์สวยๆ จะไม่มีความหมายถ้าตัวผลิตภัณฑ์ไม่ได้ออกแบบมาอย่างโคตรเทพ สิ่งที่ทำให้คนหลงใหลใน Apple คือดีไซน์ที่สะกดใจ

ทุกสิ่งที่พวกเขาผลิตให้ความรู้สึกว่าทำมาจากชิ้นเดียว จากแม่พิมพ์เดียว ไม่มีสกรูเกะกะหรือพลาสติกถูกๆ แต่เป็นวัสดุคุณภาพสูงอย่างไทเทเนียมระดับอวกาศ อลูมิเนียม และสแตนเลสสตีล

การออกแบบของ Apple มีความเรียบหรูและเน้นความเรียบง่าย มีความประณีตทางวิศวกรรม ขอบที่เรียบลื่น การสัมผัสที่ให้ความรู้สึกดี และความสม่ำเสมอที่เป๊ะทุกรายละเอียด

ในแง่หนึ่ง ผลิตภัณฑ์ของ Apple ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นงานศิลปะชิ้นเอก จนมีคนจำนวนไม่น้อยที่สะสมผลิตภัณฑ์ Apple เหมือนสะสมงานศิลปะชั้นสูง

ผลิตภัณฑ์ของ Apple ถูกสร้างมาให้ทนทาน แข็งแรง และใช้ได้นาน แต่เหตุผลหนึ่งที่พวกเขาทำการออกแบบที่สะอาดเรียบร้อยได้คือผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้แก้ไขดัดแปลงได้ง่ายๆ

คุณไม่สามารถซ่อมผลิตภัณฑ์ Apple ได้ด้วยตัวเอง คุณซื้อด้วยความเชื่อว่ามันจะทำงานได้อย่างราบรื่นไปตลอด และส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

สิ่งที่คนมักมองข้ามเกี่ยวกับ Apple คือระบบนิเวศแบบปิดของพวกเขา ที่ทำให้คุณไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ของ Apple ได้อย่างอิสระ

ในวงการเทคโนโลยี เราเรียกสิ่งนี้ว่า “Walled Garden” ซึ่งปัจจุบันหลายบริษัทเทคโนโลยีใช้กลยุทธ์นี้ แต่ก็ไม่ได้ผลเหมือนที่ Apple ทำ

เมื่อ 50 ปีก่อน ในยุคที่ Microsoft และ IBM เป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ โมเดลธุรกิจของพวกเขาเน้นการให้ตัวเลือกแก่ลูกค้าและความยืดหยุ่น Apple เป็นบริษัทแรกที่กล้าเอาตัวเลือกไปจากผู้บริโภคอย่างจงใจ

ความแตกต่างที่โคตรสำคัญระหว่าง Apple กับบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ คือ Apple เป็นเจ้าของและออกแบบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของตัวเอง

iOS ถูกสร้างมาให้ทำงานบน iPhone และ iPad เท่านั้น Safari ถูกสร้างมาให้ทำงานบน Mac โดยเฉพาะ เมื่อเทียบกับ Windows และ Android ที่ทำงานได้บนอุปกรณ์หลากหลายจากหลายบริษัท

Microsoft เน้นทางเลือกและความยืดหยุ่น ในขณะที่ Apple เน้นคุณภาพ ความปลอดภัย และประสบการณ์ผู้ใช้ที่เหนือชั้น Alan Kay นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ชื่อดังเคยกล่าวว่า “คนที่จริงจังกับซอฟต์แวร์ควรสร้างฮาร์ดแวร์ของตัวเอง”

ประเด็นนี้บอกว่าคุณไม่สามารถสร้างซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ที่เจ๋งได้จริงๆ เว้นแต่คุณจะสร้างทั้งสองอย่างควบคู่กันไป นี่คือเหตุผลที่คนหลงรัก Apple—พวกมันใช้งานได้ทันทีและลื่นไหลสุดๆ

ฮาร์ดแวร์ของ Apple ถูกสร้างขึ้นโดยเฉพาะเพื่อรันซอฟต์แวร์ของ Apple และซอฟต์แวร์ก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำงานบนฮาร์ดแวร์ของ Apple โดยเฉพาะ ทำให้พวกเขาสามารถปรับแต่งทุกรายละเอียดเพื่อประสิทธิภาพสูงปรี๊ด

นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ Apple รักษาภาพลักษณ์แบรนด์แข็งแกร่งได้ตลอดมา แต่มีกลยุทธ์สำคัญอีกอย่างคือการที่ผลิตภัณฑ์ของ Apple ถูกออกแบบให้ไม่สามารถใช้งานร่วมกับสิ่งอื่นนอกระบบนิเวศได้ดี

แต่กลับมีการออกแบบให้ผลิตภัณฑ์ Apple ทำงานร่วมกันเองได้อย่างไร้ที่ติ คุณจะติดอยู่กับบริการต่างๆ เช่น iMessage, FaceTime, iCloud, AirDrop และอุปกรณ์เสริมอย่าง AirPods, Apple Watch และ HomePod

สิ่งเหล่านี้มีอยู่เฉพาะในระบบนิเวศของ Apple เท่านั้น คุณไม่สามารถย้ายทุกอย่างจาก iPhone ไปยัง Android ได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นโดยที่คุณไม่ทันรู้ตัว Apple ได้สร้างความจงรักภักดีผ่านการทำให้คุณ “ติดกับดัก” ในระบบนิเวศของพวกเขา

ก่อนที่คุณจะรู้ตัว คุณก็มีทั้ง Mac, iPhone, AirPods, HomePod และ Apple Watch เหมือนถูกล็อคไว้ในสวนสวยที่คุณออกไปไม่ได้ และแทบไม่อยากออกไปเลย

แม้แต่การที่ข้อความจาก Android แสดงเป็นสีเขียวบน iMessage ก็เป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาสุดแสบ เพื่อตอกย้ำว่า iPhone เจ๋งกว่า เป็นการเตือนตลอดเวลาว่าคนที่คุณกำลังคุยด้วยไม่ใช่สมาชิกในชมรมคนพิเศษของ Apple

การล็อคผู้ใช้ไว้ในระบบนิเวศนี้ได้ผลอย่างน่าทึ่ง ข้อมูลแสดงว่า Apple มีอัตราการรักษาลูกค้าสูงถึง 92% กับผู้ใช้ iPhone และควบคุมส่วนแบ่งการตลาดสมาร์ทโฟนในสหรัฐฯ ถึง 57%

นี่คือตัวอย่างของความจงรักภักดีต่อแบรนด์และอำนาจในตลาดที่บริษัทส่วนใหญ่เพียงแค่ฝันถึง ระบบนิเวศแบบปิดไม่ได้เกี่ยวกับการล็อคลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้ Apple สามารถรักษามาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยได้ด้วย

ทุกแอพที่อยู่ใน App Store ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดจาก Apple และที่น่าสนใจก็คือ Google ยอมจ่ายเงินให้ Apple มากกว่า 20 พันล้านดอลลาร์ต่อปีเพียงเพื่อให้เป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้นบน Safari

นอกจากนี้ ทุกแอพใน App Store ต้องแบ่งรายได้ให้กับ Apple และเนื่องจาก Apple เป็นทั้งเจ้าของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ พวกเขาจึงสามารถเก็บข้อมูลได้อย่างครบถ้วน

ไม่เพียงแค่ประวัติการเข้าชมเว็บและการใช้แอพ แต่รวมถึงข้อมูลสุขภาพและข้อมูลการขับขี่ พวกเขารู้แม้กระทั่งตำแหน่งที่อยู่ของคุณและลักษณะของใบหน้าคุณ

แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือไม่มีใครรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้มากนัก เพราะ Apple ได้สร้างความไว้วางใจกับผู้บริโภคอย่างแยบยล โดยสร้างภาพลักษณ์ว่ามีเพียง Apple เท่านั้นที่เข้าถึงข้อมูลของคุณและพวกเขาไม่แบ่งปันข้อมูลนั้นกับใคร

เป้าหมายของ Apple ไม่ใช่การเป็นเพียงบริษัทเทคโนโลยีธรรมดาๆ แต่เป็นการก้าวไปสู่การเป็นบริษัทที่ครอบคลุมทุกด้านของชีวิตผู้คน หนึ่งในเหตุผลที่ Apple ประสบความสำเร็จมากมายก็คือพวกเขาไม่ได้คิดแบบระยะสั้นเหมือนบริษัททั่วไป

พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องการทำกำไรสูงสุดในไตรมาสหน้า แต่มุ่งสร้างบางสิ่งที่จะคงอยู่ยาวนาน ไม่ใช่เรื่องของการมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดเท่านั้น แต่เป็นการส่งมอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีที่สุด

Apple กำลังเล่นเกมที่ยาวกว่าและใหญ่กว่ามาก เราเห็นได้จากการที่พวกเขาลงทุนในแพลตฟอร์มใหม่ๆ อย่าง Vision Pro และ Apple TV+ รวมถึงขยายไปสู่บริการทางการเงินผ่าน Apple Pay และ Apple Card

Apple เข้าใจดีว่าเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะสร้างป้อมปราการในระยะยาว พวกเขาจำเป็นต้องเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มทั้งหมด เพราะการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มหมายถึงการเป็นผู้กำหนดกฎของเกม

น่าสนใจที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อื่นๆ อย่าง Meta (Facebook เดิม) ก็พยายามทำแบบเดียวกัน ด้วยการสร้างเมตาเวิร์สซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่พวกเขาหวังว่าจะควบคุมได้เองในอนาคต

แคมเปญโฆษณา “Think Different” ที่เปิดตัวในปี 1997 ยังคงมีความหมายลึกซึ้ง Apple นำเสนอภาพของคนที่เปลี่ยนแปลงโลก—นักคิด นวัตกร นักปฏิวัติ—และสร้างการเชื่อมโยงกับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple

เสียงของ Steve Jobs ดังก้องในโฆษณา Think Different ที่พูดถึง “คนบ้าๆ พวกคนนอกกรอบ พวกกบฏ คนที่เห็นสิ่งต่างๆ ต่างออกไป”

“พวกเขาไม่ชอบกฎและไม่เคารพสถานะเดิม คุณจะยกย่องหรือประณามพวกเขาก็ได้ แต่สิ่งเดียวที่คุณทำไม่ได้คือเพิกเฉยพวกเขา เพราะพวกเขาเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ พวกเขาผลักดันมนุษยชาติไปข้างหน้า”

“ในขณะที่บางคนมองว่าพวกเขาเป็นคนบ้า เรามองเห็นอัจฉริยะ เพราะคนที่บ้าพอที่จะคิดว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนโลกได้ คือคนที่ทำมันได้จริง” คำพูดเหล่านี้ยังคงก้องกังวานและสะท้อนถึงจิตวิญญาณของ Apple ได้อย่างชัดเจน

ปัจจุบัน Apple กลายเป็นมากกว่าบริษัทเทคโนโลยี แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นสัญลักษณ์ของสถานะ รสนิยม และอัตลักษณ์ของผู้ใช้

แม้จะมีผู้วิจารณ์ Apple ในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นราคาที่แพงลิบลิ่ว การปิดกั้นการซ่อมแซมด้วยตนเอง หรือการควบคุมระบบนิเวศอย่างเข้มงวด แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า Apple ได้เปลี่ยนแปลงวิธีที่เราใช้เทคโนโลยีไปตลอดกาล

พวกเขาไม่ได้เพียงสร้างผลิตภัณฑ์ แต่สร้างประสบการณ์ที่มีผู้คนจำนวนมากเต็มใจจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ได้มา หลังจากที่ Steve Jobs เสียชีวิตในปี 2011 หลายคนสงสัยว่า Apple จะยังคงรักษาความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมได้หรือไม่

แม้ว่าภายใต้การนำของ Tim Cook Apple แม้ว่าจะไม่ได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่ปฏิวัติวงการเหมือนอย่าง iPhone แต่พวกเขายังคงเติบโตเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่วิสัยทัศน์ระยะยาวของ Jobs ได้ฝังรากลึกในวัฒนธรรมองค์กรของ Apple

ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่แน่นอนคือ Apple ไม่ได้เพียงสร้างอิทธิพลต่อความคิดของคนรุ่นเดียว แต่ได้วางรากฐานสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไปด้วย พวกเขาไม่ได้ขายเพียงแค่เทคโนโลยี แต่ขายความฝัน อัตลักษณ์ และความรู้สึกที่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่พิเศษกว่า

เมื่อคุณซื้อ iPhone คุณไม่ได้เพียงซื้อโทรศัพท์ แต่คุณซื้อบัตรเข้าสู่สังคมที่เลือกสรรแล้ว—สังคมของคนที่ “คิดต่าง” นี่คือสิ่งที่ Apple ทำได้อย่างโคตรเทพ: การเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้เป็นประสบการณ์ การเปลี่ยนเทคโนโลยีให้เป็นศิลปะ

Apple สอนเราว่าแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ขายผลิตภัณฑ์ แต่ขายความรู้สึก พวกเขาไม่ได้สื่อสารว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขา “ทำ” อะไรได้บ้าง แต่สื่อสารว่าผลิตภัณฑ์ทำให้คุณ “เป็น” ใคร

ในที่สุดแล้ว Apple สร้างมูลค่ามหาศาลไม่ใช่จากการมีเทคโนโลยีที่ดีที่สุดเสมอไป แต่จากการสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้า ความสำเร็จของ Apple สอนบทเรียนสำคัญสำหรับธุรกิจทุกประเภท:

ลูกค้าไม่ได้ซื้อสิ่งที่คุณทำ แต่ซื้อเพราะเหตุผลที่คุณทำสิ่งนั้น และวิธีที่สิ่งนั้นทำให้พวกเขารู้สึก การสร้างผลิตภัณฑ์ดีเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่การสร้างแบรนด์ที่ผู้คนรู้สึกผูกพันในระดับอัตลักษณ์ต่างหากที่สร้างความภักดีแบบไม่มีวันสิ้นสุด

ในโลกที่เทคโนโลยีกลายเป็นสินค้าที่เหมือนๆ กันหมด Apple ยังคงโดดเด่นด้วยการสร้างความแตกต่างไม่ใช่แค่ในผลิตภัณฑ์ แต่ในประสบการณ์ทั้งหมดที่มาพร้อมกับการเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของพวกเขา

นี่อาจเป็นมรดกอันยิ่งใหญ่ที่สุดของ Steve Jobs: การสร้างบริษัทที่ไม่ได้เพียงขายเทคโนโลยี แต่ขายวิธีการมองโลกที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนของ Apple หรือไม่ คุณไม่สามารถปฏิเสธอิทธิพลของพวกเขาต่อวิธีที่เราใช้ สวมใส่ และมีปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน

Apple ได้เปลี่ยนแปลงโลกของเรา ไม่ใช่เพียงด้วยเทคโนโลยีของพวกเขา แต่ด้วยวิธีที่พวกเขาทำให้เราคิดและรู้สึกเกี่ยวกับเทคโนโลยี—และนั่นคืออิทธิพลที่แท้จริงที่จะยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน

References: [Data Activators, businessinsider, forbes, techcrunch, theverge, theatlantic, wired, fastcompany]

ไทย x มณฑลไท่กั๋ว เมื่อจีนรุกฆาตในขณะที่ชนชั้นสูงของไทยยังคงหลับใหล

ต้องบอกว่าในทุกวันนี้ทุนจากจีนกำลังรุกหนักประเทศไทยแบบสุดโหด เริ่มต้นจากแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ถล่มตลาดด้วยสินค้าราคาถูก ทำลายเศรษฐกิจรากหญ้าของไทยมาหลายปี

ปีนี้เราเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อร้านค้าออฟไลน์ของจีนเริ่มบุกเข้ามาถล่มซ้ำ แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือแทบไม่มีหน่วยงานไหนเข้าไปจัดการได้เลย

เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทยเท่านั้น ผมตั้งชื่อบทความนี้โดยเลียนแบบมาจากหนังสือ “Stealth War: How China Took Over While America’s Elite Slept” โดย Robert Spalding

เพราะมันฉายภาพซ้ำกับที่เคยเกิดขึ้นในอเมริกาแล้ว กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ก็มาถึงยุค Donald Trump ที่เริ่มสร้างสงครามการค้าแบบโครตโหด แบนทุกอย่าง กีดกันจีนเต็มที่

มันเป็นเรื่องตลกร้ายที่เหตุการณ์เหล่านี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองไปที่เพื่อนบ้านอย่างลาวหรือกัมพูชา พวกเขาแทบกลายเป็นมณฑลหนึ่งของจีนไปแล้ว สิ้นซากอธิปไตยทางเศรษฐกิจ

หนังสือ Stealth War มีเนื้อหาที่น่าสนใจมากๆ ที่พูดถึงยุทธศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับรูปแบบของ Unrestricted Warfare ยุคนี้การพิชิตประเทศไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพใหญ่เหมือนในอดีต

กำลังทหารเป็นเพียงหนึ่งในการแสดงความก้าวร้าว สไตล์จีนเลือกใช้อำนาจทางเศรษฐกิจแทน มันสร้างอิทธิพลและโน้มน้าวผู้นำการเมืองได้ ปิดปากคนได้ ซื้อหรือขโมยเทคโนโลยีได้

และที่เทพสุดๆ คือการผลิตสินค้าราคาถูกแล้วขับไล่คู่แข่งออกจากธุรกิจ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ อ่อนแอลง

นี่คือสิ่งที่จีนพยายามแทรกซึมอเมริกาผ่านวิธีการต่างๆ การถล่มด้วยสินค้าราคาถูกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยมียุทธศาสตร์ที่คิดมาอย่างดี เช่น การเจรจากับไปรษณีย์อเมริกาให้สินค้าที่สั่งในปริมาณไม่มากแทบไม่ต้องเสียภาษี

เคสคลาสสิกในอเมริกาคือเรื่องของ AJ Khubani ชายผู้มีความฝันแบบอเมริกันดรีม เขาสร้างธุรกิจด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย มุมานะทำงานหนัก

Khubani เก็บหอมรอมริบเริ่มต้นธุรกิจด้วยทุนเพียง 20,000 ดอลลาร์ พัฒนาและจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ในนาม “As Seen on TV” จนสร้างยอดขายกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี

แต่แล้วในปี 1990 Khubani สังเกตเห็นว่าบริษัทของเขากลายเป็นเป้าของเหล่านักลอกเลียนแบบชาวจีน ความฝันของเขาเริ่มดิ่งลงเหว

“ถ้าคุณไปที่ supermarket คุณจะพบสินค้าเราเป็นของปลอม ทุกอย่างเหมือนกันหมด แพ็คเกจเหมือนกัน ยี่ห้อเดียวกัน” Khubani กล่าวอย่างระทมทุกข์

และเมื่อ ecommerce บูมขึ้น การปลอมแปลงเหล่านี้ก็ทวีคูณ สินค้าเลียนแบบของเขาถูกขายผ่าน Amazon เต็มไปหมด

“พวกเขาใช้เครื่องหมายการค้าของเรา ผลิตภัณฑ์ที่จดสิทธิบัตรของเรา ใช้รูปถ่ายของเรา ใช้วีดีโอของเรา ใช้ทุกอย่างของเรา” เขาเล่าถึงความแสบของพวกนั้น

เมื่อ Khubani แจ้งไปทาง Amazon คำตอบที่ได้ยิ่งทำให้เจ็บปวดรวดร้าว Amazon ตอบว่าพวกเขาไม่สามารถระบุได้ว่าสินค้าชิ้นไหนเป็นของปลอม

เบื้องหลังคือ Amazon ทำเงินมหาศาลจากสินค้าลอกเลียนแบบเหล่านี้ ยังแอบสนับสนุนการขายของปลอมเพราะมันทำให้พวกเขารวยขึ้น

Amazon ไม่ใช่ตัวร้ายเพียงเจ้าเดียว ไปรษณีย์สหรัฐฯ ก็ทำข้อตกลงกับจีนเสนอส่วนลดมากมายสำหรับพัสดุจากจีนที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 2 กิโลกรัม

ตัวอย่างที่น่าสนใจก็คือ การส่งพัสดุหนัก 1.3 กิโลกรัมระยะทาง 3.7 กิโลเมตรในวอชิงตัน มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการส่งของประเภทเดียวกันจากปักกิ่งมาทำเนียบขาวระยะ 11,000 กิโลเมตร

ภาพนี้ดูคุ้นตาใช่ไหม? เหมือนกับที่ประเทศไทยเรา ที่ยุคนึงสินค้าจีนราคาไม่เกิน 1,500 บาทแทบไม่ต้องเสียภาษี

การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งรถไฟความเร็วสูงหรือถนนหนทางเพื่อจัดส่งสินค้าได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในเอเชียที่สินค้าจีนกินเรียบตั้งแต่สากเบือยันรถไฟฟ้า EV

ที่น่าห่วงยิ่งกว่าคือการโจมตีด้วยอาวุธออนไลน์ที่ทั้งเร็วและแรง ถีบพ่อค้าแม่ค้าไทยล้มระเนระนาด บังคับให้ขายของราคาถูกที่สุด ใครขายแพงก็โดนปิดการมองเห็น

และสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือคำค้นหายอดฮิตในแพลตฟอร์ม ecommerce จีนที่ยึดครองอาเซียนแบบเบ็ดเสร็จ คือคำว่า “สินค้า xxx ราคา 1 บาท” แล้วใครจะไปสู้ราคากับพวกพี่ ๆ เขาได้

มันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อสุดๆ ที่ขายของราคาต่ำขนาดนี้แล้วยังอยู่ได้ คนไทยไม่มีทางสู้พี่จีนได้ถ้าขายราคาแบบนี้ แถมส่งไวเหมือนมีโกดังล้อมรอบประเทศไทยไปแล้ว

การบุกรุกยังไม่จบ เราเห็นเฟรนไชส์น้ำมะนาว ไอศครีม ไก่ทอด แพร่พันธุ์ไวยิ่งกว่าไฮดร้า ร้านอาหารจีนรุมถล่มกระจายทั่วทุกมุมเมือง

คำว่า “มณฑลไท่กั๋ว” แปลว่าไทยเป็นมณฑลหนึ่งของจีน กลายเป็นเรื่องตลกร้ายที่ไม่ควรมองข้าม ในวันที่การรุกคืบของทุนจีนมาในทุกรูปแบบ

แน่นอนว่านี่จะสร้างปัญหาต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยในอนาคตอย่างรุนแรง ถ้าเหล่าผู้นำชนชั้นสูงของไทยยังคงหลับใหลอยู่เหมือนตอนนี้ ในขณะที่ชะตาของประเทศกำลังถูกขีดเขียนขึ้นโดยคนอื่น

References :
หนังสือ Stealth War: How China Took Over While America’s Elite Slept  โดย Robert Spalding

วาติกันวอลล์สตรีท : ศรัทธาหรือเงินตรา? กับขุมทรัพย์ลับแห่งนครรัฐวาติกัน

ย้อนกลับไปในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ วาติกันไม่ได้เป็นแค่ศูนย์กลางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลทางการเมืองเป็นอย่างมากในยุโรปด้วย พวกเขาปกครองดินแดนขนาดใหญ่ในอิตาลีตอนกลาง ที่เรียกว่ารัฐของสันตะปาปา

เพื่อรักษาอำนาจ วาติกันต้องการเงินเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจึงรังสรรค์วิธีระดมทุนมากมาย หนึ่งในนั้นคือการขายใบไถ่บาป ซึ่งเป็นเอกสารที่รับรองว่าพระเจ้าจะยกเว้นโทษบาปให้ผู้ซื้อ โดยตั้งราคาตามความร้ายแรงของบาป

วิธีนี้สร้างรายได้มหาศาลให้วาติกัน แต่ก็นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนกลายเป็นชนวนให้ Martin Luther ก่อการปฏิรูปศาสนาขึ้นมา เรียกได้ว่าความโลภนำมาซึ่งรอยร้าวครั้งใหญ่ในวงการศาสนาเลยทีเดียว

แต่ปัญหาทางการเงินที่หนักสุดๆ ของวาติกันเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เมื่อกองกำลังฝรั่งเศสภายใต้การนำของ Napoleon Bonaparte บุกยึดกรุงโรม และยุติการปกครองของสันตะปาปา

สมเด็จพระสันตะปาปา Pius VI ถูกจับกุมและเสียชีวิตระหว่างถูกคุมขัง เหตุการณ์นี้เกือบทำให้คริสตจักรคาทอลิกล่มสลาย

หลังจากสงคราม Napoleonic จบลง วาติกันได้อำนาจการปกครองรัฐของสันตะปาปาคืนมา แต่สถานการณ์การเงินยังเละเทะมาก ด้วยความสิ้นไร้ไม้ตอก คริสตจักรจึงหันไปพึ่งพาตระกูล Rothschild ราชวงศ์ธนาคารผู้ทรงอิทธิพลในยุโรป

ในปี 1831 สมเด็จพระสันตะปาปา Gregory XVI ทรงตัดสินใจยืมเงินจากตระกูล Rothschild เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร James de Rothschild หัวหน้าสำนักงานใหญ่ในปารีส ได้รับแต่งตั้งเป็นนายธนาคารของสันตะปาปา

การตัดสินใจนี้ทำให้เจ้าหน้าที่คริสตจักรสายอนุรักษ์ทั้งหลายไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขารู้สึกว่าเป็นความอัปยศที่ต้องพึ่งพาคนในตระกูลนี้เพื่อความช่วยเหลือทางการเงิน

ตระกูล Rothschild ให้วาติกันกู้ 40 ล้านยูโรในมูลค่าปัจจุบัน และด้วยอิทธิพลของตระกูลนี้ คริสตจักรจึงเริ่มการปฏิรูปทางการเงินครั้งใหญ่

พวกเขาเริ่มขายพันธบัตรให้กับผู้ศรัทธาคาทอลิก และลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และหุ้นของธนาคารแห่งโรม ซึ่งทำกำไรได้มากมาย แผนการนี้ทำให้วาติกันก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดการเงิน

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 วาติกันเผชิญกับความตึงเครียดทางการเงินอีกรอบ เพราะรายได้จากการบริจาคดิ่งลงเหว เยอรมนีเห็นความสำคัญของการมีวาติกันเป็นพันธมิตรจึงส่งเงินลับๆ ให้ผ่านธนาคารสวิส

พวกเขาติดฉลากว่าเป็น Peter’s Pence หรือเงินถวายนักบุญเปโตร นอกจากนี้ ออสเตรียก็อัดฉีดเงินลับๆ ให้ด้วย

จุดพีคของประวัติศาสตร์การเงินวาติกันเกิดขึ้นในปี 1929 เมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาลาเตรันระหว่างอิตาลีและวาติกัน ซึ่งทำให้นครรัฐวาติกันเป็นประเทศอธิปไตย

รัฐบาลอิตาลีจ่ายเงินชดเชยให้วาติกันเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้คริสตจักรต้องการผู้เชี่ยวชาญมาจัดการเงินก้อนโตนี้ Bernardino Nogara ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่นี้

Nogara เป็นนักการเงินมากความสามารถและมีเครือข่ายที่แน่น ภายใต้การนำของเขา วาติกันรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้อย่างน่าทึ่ง

เขาใช้กลยุทธ์สุดเทพ ทั้งลงทุนในทองคำ อสังหาริมทรัพย์ และทำ arbitrage ในพันธบัตรรัฐบาล นอกจากนี้ยังจัดตั้งเครือข่ายบริษัทโฮลดิ้งเพื่อจัดการการลงทุนอย่างรอบคอบและลึกลับซับซ้อน

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วาติกันก่อตั้ง Istituto per le Opere di Religione หรือธนาคารวาติกัน ซึ่งดำเนินการอย่างลับๆ ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลการเงิน ไม่ต้องเสียภาษี และสามารถทำลายเอกสารได้ทุก 10 ปี

ธนาคารนี้กลายเป็นช่องทางสำหรับการซ่อนและฟอกเงิน มีข่าวฉาวโฉ่ว่าช่วยย้ายเงินของนาซีและช่วยผู้ลี้ภัยนาซีหลบหนีไปอเมริกาใต้

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 วาติกันใช้ประโยชน์จากการฟื้นฟูของยุโรปโดยลงทุนในอุตสาหกรรมก่อสร้างและธนาคาร ในช่วงนี้ Michele Sindona นักการเงินสุดแสบแต่ไร้จริยธรรม เข้ามามีบทบาทสำคัญ

Sindona มีความสัมพันธ์กับมาเฟียและช่วยคนรวยหลบเลี่ยงภาษี เขาร่วมมือกับ Roberto Calvi ผู้บริหารของ Banco Ambrosiano สร้างเครือข่ายธนาคารและบริษัท Offshore Holding เพื่อย้ายเงินวาติกันอย่างลับๆ

Paul Marcinkus ประธานธนาคารวาติกันขณะนั้น สนับสนุนกิจกรรมของ Sindona และ Calvi โดยหวังขยายธุรกิจของธนาคารวาติกันไปทั่วโลก แต่แผนการเงินของพวกเขาเริ่มพังพินาศในช่วงต้นทศวรรษ 1970

ธนาคาร Franklin National ของ Sindona ในสหรัฐอเมริกาล้มละลาย และการลงทุนของเขาในอิตาลีก็มีปัญหาหนัก Calvi พยายามเข้าควบคุมสินทรัพย์ของ Sindona แต่ก็เผชิญกับปัญหาทางกฎหมาย

ในปี 1982 Roberto Calvi ถูกพบเสียชีวิตในลอนดอน โดยถูกแขวนคอใต้สะพาน Blackfriars ซึ่งสงสัยว่าเป็นการฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับมาเฟีย

วาติกันยอมรับความผิดพลาดในการทำงานร่วมกับ Calvi และจ่ายเงิน 244 ล้านดอลลาร์ในการตกลงทางกฎหมายเกี่ยวกับ Banco Ambrosiano เรื่องอื้อฉาวนี้ทำให้การบริจาคให้วาติกันลดฮวบ จนคริสตจักรขาดดุลงบประมาณเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

Michele Sindona ถูกส่งตัวกลับไปอิตาลีในปี 1985 และเสียชีวิตในคุกจากการได้รับพิษไซยาไนด์ ซึ่งสงสัยว่าเป็นการลงโทษอย่างสาสมจากมาเฟีย Paul Marcinkus ถูกออกหมายจับโดยเจ้าหน้าที่อิตาลี แต่วาติกันปฏิเสธที่จะส่งตัวเขา

ในทศวรรษ 1990 ธนาคารวาติกันเผชิญกับการตรวจสอบและเรื่องอื้อฉาวที่ไม่เคยมีมาก่อน นำไปสู่การแต่งตั้ง Angelo Caloia เป็นประธานคนใหม่ของธนาคารวาติกัน โดยหวังว่าจะฟื้นฟูความไว้วางใจในสถาบัน

แต่ปัญหาใหญ่กว่ารออยู่ข้างหน้า ในปี 2002 เกิดเรื่องฉาวเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศโดยบาทหลวง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์และการเงินของคริสตจักร มณฑลหลายแห่งต้องประกาศล้มละลายหรือขายทรัพย์สินเพื่อจ่ายค่าชดเชยให้กับเหยื่อ

ในปี 2013 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสขึ้นครองตำแหน่ง นำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่คริสตจักรคาทอลิก พระองค์ทรงนำเสนอแนวทางที่ถ่อมตนและเป็นประชานิยมมากขึ้น แตกต่างจากพระสันตะปาปาองค์ก่อนอย่างสิ้นเชิง

พระองค์ทรงละทิ้งความหรูหราแบบดั้งเดิมของตำแหน่งสันตะปาปาและมุ่งเน้นไปที่การเข้าถึงคนยากจนและคนชายขอบในสังคม แนวทางของพระองค์ต่อประเด็นที่มีการถกเถียง มีความครอบคลุมและเห็นอกเห็นใจมากขึ้น

ในช่วงต้นของการดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของคริสตจักร ดึงดูดทั้งชาวคาทอลิกและผู้ที่ไม่ใช่คาทอลิกทั่วโลกได้มากมาย

ผลกระทบเชิงบวกนี้ยังส่งผลดีต่อธนาคารวาติกันด้วย เนื่องจากการเข้าร่วมมิสซาที่เพิ่มขึ้นและการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครในองค์กรการกุศลคาทอลิก ทำให้ธนาคารวาติกันได้รับเงินบริจาคอีกครั้งในจำนวนที่ไม่เคยมีมาก่อน

ภายใต้การนำของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ธนาคารวาติกันได้เพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน โดยเริ่มเผยแพร่รายงานทางการเงินประจำปีอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นการปฏิรูปครั้งสำคัญที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มของจำนวนบาทหลวงทั่วโลก แม้ว่าจำนวนบาทหลวงในยุโรปและอเมริกาจะลดลง แต่กลับมีการเพิ่มขึ้นในแอฟริกาและเอเชีย สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ของการเติบโตภายในคริสตจักร

แม้จะมีวิกฤตการเงินและภาพลักษณ์ที่ปั่นป่วนในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา คริสตจักรคาทอลิกดูเหมือนจะเริ่มพบจุดยืนที่มั่นคงอีกครั้ง แต่เราต้องไม่ลืมว่าวาติกันยังคงเป็นองค์กรที่มีลักษณะพิเศษ

ในท้ายที่สุด เหล่าผู้นำและสมาชิกของคริสตจักรก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีความอ่อนแอและข้อบกพร่อง ตลอดประวัติศาสตร์ คริสตจักรได้มีส่วนร่วมในแนวปฏิบัติทางการเงินหลายอย่างที่อาจขัดแย้งกับหลักความเชื่อของคาทอลิก

ปัจจุบัน ประชากรคาทอลิกทั่วโลกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนถึง 1.406 พันล้านคนภายในสิ้นปี 2023 เพิ่มขึ้น 1.15% จากปีก่อนหน้า นี่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าแม้จะมีความท้าทายและวิกฤตมากมายในอดีต คริสตจักรคาทอลิกยังคงเป็นสถาบันที่ทรงอิทธิพล

การเดินทางทางการเงินของวาติกันตลอดหลายศตวรรษ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและความอยู่รอดขององค์กรศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แม้จะมีช่วงเวลาที่มืดมนและการตัดสินใจผิดพลาด แต่คริสตจักรก็ฟื้นตัวและปรับเปลี่ยนตัวเองได้หลายครั้ง

ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เรื่องราวทางการเงินของวาติกันจะยังคงเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างศาสนา การเงิน และอำนาจในโลกสมัยใหม่ การดูว่าคริสตจักรจะฝ่าฟันความท้าทายเหล่านี้อย่างไรจะเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับเราทุกคน

References: [vaticannews, catholicnewsagency, americamagazine, theatlantic, economist]

ทำไมรถไฟฟ้า(ยุคแรก)ถึงล้มเหลว? กว่า 200 ปี แห่งการพัฒนากับเรื่องราวของบรรพบุรุษ Tesla ที่ถูกลืม

ผมว่าต้องมีคนที่สงสัยกันว่าใครที่เป็นผู้คิดค้นรถยนต์ไฟฟ้าคนแรกของโลก? หลายคนอาจนึกถึง Elon Musk หรือบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง GM หรือ Toyota แต่ความจริงนั้นไม่ใช่กลุ่มคนเหล่านี้เลย

ยุคทองของยานพาหนะไฟฟ้าได้มาถึงและผ่านพ้นไปก่อนที่เราจะเกิดเสียอีก สิ่งที่เรากำลังเห็นในปัจจุบันเป็นเพียงการฟื้นคืนชีพของเทคโนโลยีที่เคยรุ่งเรืองมาแล้วในอดีตเพียงเท่านั้น

เรื่องที่น่าสนใจก็คือ ยานพาหนะไฟฟ้าถือกำเนิดขึ้นก่อนเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันเสียอีก

และไม่ใช่แค่มาก่อนธรรมดา แต่ในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ รถยนต์ไฟฟ้าเป็นยานพาหนะที่ได้รับความนิยมสำหรับทุกอย่างตั้งแต่รถพยาบาลและรถส่งนม ไปจนถึงยานพาหนะของชนชั้นสูง

ต้องย้อนกลับไปที่ต้นศตวรรษที่ 1800 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่และมอเตอร์อย่างก้าวกระโดด

นวัตกรรมเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้วิศวกรยานยนต์รุ่นแรกสามารถสร้างสรรค์ต้นแบบรถที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้อย่างน่าทึ่ง

ประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่คือใครกันแน่ที่เป็นผู้ประดิษฐ์รถยนต์ไฟฟ้าคนแรกของโลก? มีชื่อผู้บุกเบิกหลายคนที่ควรกล่าวถึง

นักประดิษฐ์ชาวสกอตแลนด์ Robert Anderson มักได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างต้นแบบรถไฟฟ้าคันแรกราวปี 1832 ผลงานของเขานั้นเจ๋งมาก ๆ เพราะเขาคิดค้นเซลล์แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวที่ใช้น้ำมันดิบในการผลิตไฟฟ้า

แม้ต้นแบบนี้จะสร้างกระแสได้ในยุคนั้น แต่ด้วยข้อจำกัดของแบตเตอรี่แบบใช้แล้วทิ้งและระยะทางที่จำกัด จึงยังห่างไกลจากการเป็นยานพาหนะที่ใช้งานได้จริง

Robert Davidson วิศวกรชาวสกอตแลนด์อีกคนก็มีผลงานเทพไม่แพ้กัน เขาสร้างหัวรถจักรไฟฟ้าเครื่องแรกในปี 1837 ต้นแบบของเขาวิ่งได้ประมาณหนึ่งไมล์ครึ่งด้วยความเร็ว 4 ไมล์ต่อชั่วโมง และลากน้ำหนักได้ถึง 6 ตัน

นวัตกรรมนี้มันเจ๋งมากจนทำให้คนงานรถไฟรู้สึกไม่พอใจ พวกเขาเกิดความกลัวว่าจะตกงาน จึงถึงขั้นเผาต้นแบบทิ้งเป็นการประท้วง แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีใหม่นี้ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรง

ฝั่งอเมริกาก็มีช่างตีเหล็กจากรัฐเวอร์มอนต์ชื่อ Thomas Davenport ซึ่งรังสรรค์ผลงานไม่แพ้ใคร เขาประดิษฐ์มอเตอร์เชิงพาณิชย์เครื่องแรกที่ขับเคลื่อนด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าในปี 1835

เขานำการออกแบบมอเตอร์ของเขามาใช้สร้างรถขนาดเล็กที่สามารถวิ่งบนทางรถไฟขนาดจิ๋ว ซึ่งเป็นความก้าวหน้าที่น่าตื่นตาตื่นใจในเวลานั้น

ถึงแม้การออกแบบในช่วงทศวรรษ 1830 เหล่านี้จะเป็นการปฏิวัติวงการ แต่ทั้งหมดก็ประสบกับปัญหาเหมือนกันคือ แบตเตอรี่หมดเร็วและต้องเปลี่ยนใหม่ตลอด

จนกระทั่งปี 1859 นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส Gaston Planté ได้กลายมาเป็นฮีโร่ด้วยการประดิษฐ์แบตเตอรี่แบบชาร์จใหม่ได้เครื่องแรกของโลก โดยใช้เคมีแบบตะกั่ว-กรด ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานเดียวกับแบตเตอรี่รถยนต์ที่ใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบัน

ต่อมาในปี 1881 Camille Alphonse Faure นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสอีกคนได้พัฒนาการออกแบบแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มความจุและประสิทธิภาพจนสามารถผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้

แม้จะแก้ปัญหาแบตเตอรี่ได้แล้ว แต่โลกต้องรอจนถึงปี 1887 กว่าจะเห็น EV ที่ใช้งานได้จริงเครื่องแรก ผลงานชิ้นนี้เกิดจากความเจ๋งของ William Morrison ชาวสกอตแลนด์ที่อพยพมาตั้งรกรากในเมือง Des Moines รัฐไอโอวา

Morrison เป็นนักเคมีที่มีชื่อเสียงโชกโชน เขาสร้างรถยนต์ไฟฟ้าจากรถม้าแบบดั้งเดิมที่นิยมในอเมริกาเหนือ ด้วยการดัดแปลงให้ติดตั้งแบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้ 24 ก้อน

ดีไซน์เฉพาะที่ Morrison คิดค้นขึ้นทำให้รถสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ถึง 12 คน วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 20 ไมล์ต่อชั่วโมง และต้องชาร์จใหม่ทุก 50 ไมล์ ซึ่งถือว่าสุดล้ำในยุคนั้น

ยานพาหนะของ Morrison ยังมีปัญหาจุกจิกมากมาย ทั้งระบบบังคับเลี้ยวและเบรกที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ แต่การสาธิตของเขากลับกลายเป็นที่สนใจและถูกเผยแพร่โดยสื่อระดับชาติ

ข่าวของรถยนต์ไฟฟ้าแพร่กระจายไปยังผู้คนนับพันทั่วสหรัฐอเมริกา ภายในปี 1893 รถของ Morrison กลายเป็นไฮไลท์ยอดนิยมที่งานแสดงสินค้าโลกที่ชิคาโก

ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 การปฏิวัติอุตสาหกรรมกำลังเฟื่องฟู ผู้คนที่มีฐานะดีทั่วโลกต่างต้องการที่จะเปลี่ยนจากรถม้ามาใช้ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์

ตลาดรถยนต์ที่กำลังเติบโตมีสามประเภทหลักคือ ไอน้ำ น้ำมัน และไฟฟ้า แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป

ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยไอน้ำเริ่มเป็นที่รู้จักประมาณปี 1870 และมีข้อได้เปรียบในช่วงแรกมากพอที่จะครองส่วนแบ่งการตลาดผู้บริโภคถึง 40% ภายในปี 1900

รถยนต์ไฟฟ้าตามมาแบบไม่ห่างกันนักที่ 38% ในขณะที่เครื่องยนต์สันดาปภายในมีส่วนแบ่งเพียง 22% ของยานยนต์ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น จะเห็นได้ว่ายุคนั้นรถไฟฟ้าเป็นที่นิยมมากๆ

ช่วงเวลานี้เอง พลังงานไอน้ำเริ่มเสื่อมความนิยมลง ส่วนใหญ่เป็นเพราะต้องใช้เวลาถึง 45 นาทีในการต้มน้ำให้เดือด และต้องเติมน้ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระยะทางในการเดินทางถูกจำกัด

ไอน้ำยังคงถูกใช้ในการขับเคลื่อนโรงงานและหัวรถจักร แต่สำหรับตลาดรถยนต์ผู้บริโภค ทางเลือกอื่นที่สะดวกกว่าจะเป็นผู้ชนะ

ในส่วนของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน Gottlieb Daimler และ Carl Benz พัฒนารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปแรกของโลกในเยอรมนีปี 1886

แต่รถเครื่องยนต์สันดาปรุ่นแรกเหล่านี้ไม่ได้รับการยอมรับมากนักในหมู่ชนชั้นกลาง ผู้ที่มีกำลังซื้อรถยนต์เหล่านี้ได้คือชนชั้นสูงเท่านั้น และพวกเขาไม่ชอบที่จะเสียเวลากับเครื่องยนต์น้ำมันที่มีเสียงดัง มีกลิ่นเหม็น และมีควันขณะขับขี่

ในทางตรงกันข้าม ยานพาหนะไฟฟ้ากลับดูสง่างามและหรูหรา พร้อมขับขี่ทันทีด้วยการกดสวิตช์ ไม่มีเสียงดังรบกวนหรือมลพิษ และไม่จำเป็นต้องออกแรงในการเปลี่ยนเกียร์

นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ายังเร็วว่ารถยนต์เครื่องยนต์น้ำมันในยุคนั้นอย่างที่ไม่น่าเชื่อ ยานพาหนะไฟฟ้าที่รู้จักกันในชื่อ Electrobat สามารถเอาชนะรถยนต์สันดาปในการแข่งขันวิ่ง 5 ไมล์เมื่อปี 1896 แสดงให้เห็นถึงความเร็วที่เหนือกว่าเป็นอย่างมาก

ในฤดูใบไม้ผลิปี 1899 Camille Jénatzy นักประดิษฐ์ชาวเบลเยียมซึ่งขณะนั้นกำลังสร้างรถยนต์ไฟฟ้าใกล้กับปารีส ตัดสินใจที่จะโชว์ให้โลกได้เห็นถึงประสิทธิภาพที่แท้จริงของยานยนต์ไฟฟ้า

เขาใช้รถแข่งไฟฟ้าพิเศษชื่อ La Jamais Contente ทำลายสถิติโลกด้วยการกลายเป็นคนแรกที่ทำความเร็วเกิน 60 ไมล์ต่อชั่วโมง

รถแข่งคันนี้ติดตั้งมอเตอร์ขนาด 25 กิโลวัตต์สองตัวที่ทำงานที่ 200 โวลต์ และดึงกระแสไฟฟ้า 124 แอมป์ต่อมอเตอร์ เทียบเท่ากับประมาณ 67 แรงม้า ขับเคลื่อนรถรูปทรงตอร์ปิโดซึ่งสร้างจากโลหะผสมอลูมิเนียมน้ำหนักเบาที่เรียกว่า Partinium และวิ่งบนยาง Michelin สุดยอดเทคโนโลยีในเวลานั้น

ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นที่นิยมพุ่งกระฉูดในหมู่ผู้อยู่อาศัยในเมืองที่เข้าถึงไฟฟ้าได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อาศัยอยู่นอกเมืองในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ยังไม่สามารถเข้าถึงโครงข่ายไฟฟ้าได้ ทำให้เครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันสามารถตีตลาดในพื้นที่ชนบทได้

แต่ในเมืองใหญ่ ยานพาหนะไฟฟ้าเริ่มเข้ามาแทนที่รถม้าอย่างรวดเร็ว ในฐานะพาหนะหลักสำหรับการเดินทาง

ผู้สร้าง Electrobat และ Henry G. Morris เปิดให้บริการกองรถแท็กซี่ไฟฟ้าในนิวยอร์กซิตี้ และไม่นานธุรกิจนี้ก็ถูกซื้อกิจการโดย Isaac L. Rice ซึ่งก่อตั้งบริษัทยานพาหนะไฟฟ้า

Rice สามารถระดมทุนจากนักลงทุนรายใหญ่ได้อย่างล้นหลาม และในช่วงต้นยุค 1900 บริษัทมีรถแท็กซี่ไฟฟ้ามากกว่า 600 คันให้บริการบนท้องถนนในนิวยอร์ก รวมถึงกองรถขนาดเล็กที่ดำเนินการในบอสตัน บัลติมอร์ และเมืองทางตะวันออกอื่นๆ

ปัญหาเรื่องเวลาในการชาร์จไฟใหม่ที่นานของแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดในยุคนั้น ได้รับการแก้ไขด้วยสถานีสลับแบตเตอรี่

แท็กซี่จะเข้าไปในสถานีที่ดัดแปลงจากลานสเก็ตน้ำแข็ง เพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่หมดแล้วเป็นแบตเตอรี่ใหม่ที่ชาร์จเต็ม และกลับไปให้บริการได้ทันที เรียกว่าแก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาด

รู้ไหมว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ได้นั่งรถยนต์ไฟฟ้าคือ William McKinley? เขาถูกลอบยิงที่ Temple of Music ในงานแสดงสินค้า Pan-American ที่บัฟฟาโล และถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนด้วยรถพยาบาลไฟฟ้า

แม้ว่าเขาจะไม่รอดชีวิต แต่ผู้สืบทอดตำแหน่งของเขา Theodore Roosevelt ได้กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ตั้งใจและเปิดเผยต่อสาธารณะในการนั่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Columbia ในปี 1902 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ในประวัติศาสตร์รถยนต์ไฟฟ้า

นักประดิษฐ์ชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าคือ Thomas Edison ซึ่งมีรถ Studebaker ไฟฟ้าปี 1902

Edison เคยร่วมงานกับเพื่อนเก่าคือ Henry Ford เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า พวกเขาสร้างต้นแบบเสร็จอย่างน้อยหนึ่งคัน ก่อนที่จะตัดสินใจว่าเครื่องยนต์น้ำมันมีอนาคตที่สดใสกว่า ซึ่งการคาดการณ์ของพวกเขาเป็นจริงในเวลาต่อมา

แม้ Ford จะเชื่อในอนาคตของเครื่องยนต์น้ำมัน แต่เขาต้องฝ่าฟันต่อสู้กับความท้าทายมากมาย Ford Model T รุ่นแรกวางจำหน่ายในปี 1908 ในราคาเพียง 850 ดอลลาร์

ราคานี้ต่ำกว่ารถไฟฟ้าส่วนใหญ่เกือบครึ่งหนึ่ง แต่เครื่องยนต์น้ำมันในยุคนั้นยังคงมีปัญหาทั้งเสียงดังและยากต่อการใช้งาน

แม้แต่ Clara Ford ภรรยาของ Henry Ford เองยังชื่นชอบรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า เธอมักบ่นว่าผลิตภัณฑ์ของสามีเธอสกปรกและมีเสียงดัง จึงมักจะขับรถไฟฟ้าของบริษัท Detroit Electric จนถึงปี 1914

ภายในกลางทศวรรษ 1910 รถยนต์ไฟฟ้าได้รับการพัฒนาด้วยแบตเตอรี่นิกเกิล-เหล็กของ Thomas Edison ซึ่งให้ระยะทางที่ไกลขึ้นและการชาร์จที่เร็วขึ้น

เมื่อไฟฟ้ามีให้ใช้ในวงกว้างมากขึ้น ห้างสรรพสินค้าในนิวยอร์กก็เริ่มติดตั้งสถานีชาร์จ EV เพื่อรองรับลูกค้าหญิงที่มีฐานะดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ถือว่าล้ำยุคมาก

แต่ยุคทองของรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงนั้นมีอายุสั้น และเหตุผลหนึ่งที่น่าประหลาดใจคือ มอเตอร์ไฟฟ้าเองกลับมีส่วนสำคัญในการ “ฆ่า” รถยนต์ไฟฟ้า

ในปี 1912 Cadillac แนะนำเครื่องยนต์น้ำมันรุ่นแรกที่มีสตาร์ทเตอร์ไฟฟ้า แทนที่จะต้องเสียบมือหมุนและออกแรงหมุนเครื่องยนต์ด้วยตัวเอง คนขับเพียงแค่บิดกุญแจก็สามารถสตาร์ทรถได้

เทคโนโลยีนี้ร่วมกับการแพร่หลายของหม้อพัก ได้ยกระดับความสะดวกสบายของการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งเดิมเป็นจุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น

ปัจจัยด้านราคามีความสำคัญมากเช่นกัน ในช่วงต้นทศวรรษ 1920 ราคาของ Ford Model T ลดหั่นแหลกลงเหลือประมาณ 300 ดอลลาร์ ในขณะที่ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังสูงกว่าถึง 10 เท่า แค่แพ็คเกจอัพเกรดแบตเตอรี่ Edison อย่างเดียวก็มีมูลค่าถึง 600 ดอลลาร์

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และการค้นพบแหล่งน้ำมันในรัฐเท็กซัส ราคาน้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำมันกลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่ามาก

ปัจจัยนี้ร่วมกับความเร็วและประสิทธิภาพของสายการประกอบเคลื่อนที่ของ Henry Ford ทำให้น้ำมันกลายเป็นเชื้อเพลิงหลักของอเมริกาอย่างรวดเร็ว และ Model T กลายเป็น “รถยนต์สำหรับประชาชน” ที่แท้จริง

แม้แต่ผู้ที่อาศัยอยู่นอกเขตเมืองที่ไฟฟ้ายังคงเข้าถึงได้ยาก ก็สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ เรียกได้ว่า Ford ได้กลายเป็นผู้ขีดชะตาชีวิตของรถยนต์ทั้งอุตสาหกรรมไปเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้มลายหายไปหมดสิ้น พวกมันยังคงมีบทบาทในการใช้งานที่ต้องการความเร็วต่ำและระยะทางสั้นในเขตเมือง

ในประเทศอังกฤษมีการใช้รถตู้ไฟฟ้าสำหรับส่งนมถึงบ้านไปจนถึงทศวรรษ 1980

ส่วนในญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การขาดแคลนน้ำมันเบนซินและน้ำมันดิบทำให้มีการผลิตยานพาหนะไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องตลอดกลางศตวรรษที่ 20

เป็นครั้งคราวที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จะพัฒนาต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนใหญ่เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ในการผลิตและเพื่อแสดงให้นักสิ่งแวดล้อมเห็นว่าการสร้างยานพาหนะที่ไม่ปล่อยมลพิษเป็นเรื่องยากและมีค่าใช้จ่ายสูงลิบลิ่ว

ตัวอย่างที่เจ๋งมากๆ คือ Electrovair ของ Chevrolet ที่พัฒนาในปี 1966 ใช้แบตเตอรี่ซิงค์-เงินแบบพิเศษที่ให้ไฟฟ้า 532 โวลต์ สำหรับมอเตอร์เหนี่ยวนำกระแสสลับขนาด 115 แรงม้า

ทำให้มันมีกำลังเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ Chevrolet Flat 6 และให้ประสิทธิภาพคล้ายคลึงกับรถรุ่นเครื่องยนต์น้ำมัน เป็นนวัตกรรมที่น่าจับตามองในยุคนั้น

แต่ Electrovair ก็มีข้อเสียที่ทำให้แผนล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แบตเตอรี่หนักถึง 800 ปอนด์ที่ติดตั้งใต้ฝากระโปรงส่งผลต่อการกระจายน้ำหนักของรถอย่างมาก

ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 80 ไมล์ต่อชั่วโมงด้วยระยะทางระหว่าง 40 ถึง 80 ไมล์ ซึ่งแย่ลงไปอีกเนื่องจากแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานเพียง 100 รอบการชาร์จเท่านั้น

ยังไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายมหาศาลถึง 160,000 ดอลลาร์สำหรับแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นเงินจำนวนสูงมาก ๆ ในปี 1966 ที่คนธรรมดาไม่มีทางเอื้อมถึงได้

สิ่งที่น่าสนใจคือประวัติศาสตร์รถยนต์ไฟฟ้ามันมีความใกล้เคียงกับสถานการณ์ในปัจจุบันอย่างน่าประหลาดใจ เรื่องราวเดียวกันหลายอย่างยังคงเกิดขึ้นอีกครั้งในยุคปัจจุบัน ประวัติศาสตร์อาจไม่ได้ซ้ำรอยทุกประการ แต่มักจะมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน

โชคดีที่ยุคฟื้นฟูของรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่นมากขึ้น เทคโนโลยีได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาที่เคยขัดขวางการยอมรับในอดีต

และในที่สุด ตัวเลือกที่สะดวก มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่าที่สุดจะเป็นผู้ชนะอีกครั้ง เป็นกฎเหล็กของตลาดที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้

ในช่วงทศวรรษ 1990 เริ่มมีความพยายามผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าอีกครั้ง โดย General Motors ได้เปิดตัว EV1 ซึ่งถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับตลาด mass ยุคใหม่รุ่นแรก

แม้ว่าโมเดลแรกจะมีระยะทางเพียง 74 ไมล์ต่อการชาร์จ แต่เมื่อเปลี่ยนจากแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดเป็นนิกเกิล-เมทัลไฮไดรด์ ก็สามารถวิ่งได้ไกลขึ้น เป็นความก้าวหน้าที่น่าจับตา

ต่อมา Tesla Motors ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 และเปิดตัว Roadster ในปี 2008 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า การมาของ Tesla ทำให้วงการรถยนต์ต้องตะลึงใจกับสมรรถนะที่ไม่เคยมีมาก่อน

ปัจจุบัน เราเห็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ระบบชาร์จ และการออกแบบรถยนต์ไฟฟ้า ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกกำลังแข่งขันกันพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ

พวกเขาจัดเต็มในการสร้างรถที่มีสมรรถนะสูงขึ้น ราคาถูกลง และระยะทางไกลขึ้น ค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง GM, Nissan, Ford และอื่นๆ ต่างเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่จำนวนมาก

หลายประเทศมีนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดการปล่อยมลพิษและการพึ่งพาน้ำมัน เป็นการผลักดันอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโตอย่างรวดเร็ว

แม้อาจต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่ศตวรรษที่ 21 อาจเป็นช่วงเวลาที่รถยนต์ไฟฟ้ากลับมาครองตลาดในที่สุด เหมือนที่เคยเป็นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20

เป็นการพิสูจน์ว่าบางครั้งเทคโนโลยีที่ดีอาจต้องใช้เวลาเพื่อค้นหาจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด และอาจต้องรอให้โลกพร้อมที่จะยอมรับนวัตกรรมที่มาก่อนกาลเวลา

เราอาจได้เห็นการกลับมาของยุคทองรถยนต์ไฟฟ้าอีกครั้ง ในรูปแบบที่ดีกว่า เร็วกว่า และเข้าถึงได้มากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่าติดตามว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป

References: [caranddriver, wikipedia, energy .gov, tbauto, ni, energysavingtrust]