ในโลกการเงินที่มักถูกครอบงำโดยผู้ชาย มีผู้หญิงคนหนึ่งที่กล้าท้าทายกฎเกณฑ์เดิมๆ และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการ เธอคือ Cathie Wood ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ ARK Investment Management บริษัทจัดการกองทุนที่เน้นลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก แต่ก่อนที่เธอจะมาถึงจุดนี้ได้ เธอต้องผ่านการต่อสู้และความท้าทายมากมาย
จุดเริ่มต้นของ Cathie Wood เริ่มจากครอบครัวผู้อพยพชาวไอริชที่ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่ Los Angeles ในยุค 50s ช่วงเวลาที่เมืองนี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาเดือนละกว่า 3,000 คน พ่อของเธอรับราชการในกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในตำแหน่งวิศวกรเรดาร์ การที่ครอบครัวต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้งตามการโยกย้ายของพ่อ ทำให้ Cathie ได้เรียนรู้การปรับตัวและเปิดรับความคิดที่หลากหลายตั้งแต่เยาว์วัย
ตั้งแต่เด็ก Cathie มีความชื่นชมในตัวพ่อของเธออย่างมาก ซึ่งส่งผลให้เธอพัฒนาวิธีคิดแบบวิศวกร ชอบวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบและมองหาวิธีแก้ไขที่สร้างสรรค์ และด้วยความขยันและมุ่งมั่น เธอสามารถจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งและได้รับการตอบรับเข้าเรียนที่ University of Southern California
“การเป็นลูกของผู้อพยพในสหรัฐฯ ฉันรู้สึกกลัวมากตอนเข้ามหาวิทยาลัย เพราะฉันเป็นลูกคนโตและต้องแบกรับความคาดหวังของครอบครัว” Cathie เล่าถึงความรู้สึกในวันแรกที่ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ช่วงเวลานั้นเป็นยุคที่ครอบครัวชนชั้นกลางส่วนใหญ่ในอเมริกากำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเงิน อัตราการว่างงานทั่วรัฐพุ่งสูงถึง 9.3% มีชาวแคลิฟอร์เนียกว่า 920,000 คนที่ตกงาน
แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก Cathie ไม่เคยย่อท้อ เธอทำงานพาร์ทไทม์เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียน ในขณะที่ฝันอยากจะเดินตามรอยพ่อในสายงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่พ่อของเธอกลับมองเห็นอนาคตที่แตกต่างออกไป เขาแนะนำให้ลูกสาวเลือกเส้นทางธุรกิจ เพราะเชื่อว่าเธอจะประสบความสำเร็จได้มากกว่าในเส้นทางนี้
Cathie จึงตัดสินใจเลือกเรียนด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน ด้วยความหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้ในอนาคต ในฐานะลูกคนโตและคริสเตียนที่เคร่งครัด เธอตระหนักดีว่าการดูแลครอบครัวคือความรับผิดชอบสำคัญของเธอ
จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของ Cathie เกิดขึ้นเมื่อเธอได้เรียนกับ Arthur Laffer นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจากสำนัก Austrian school ผู้คิดค้นทฤษฎี Laffer Curve ที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอัตราภาษีและรายได้ภาครัฐ
Laffer เป็นที่ปรึกษาที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อแนวคิดของ Cathie โดยเฉพาะในเรื่องของการลดภาษีเพื่อกระตุ้นนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
“เขาเป็นที่ปรึกษาของฉันที่ USC และเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก เขาเป็นที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” Cathie กล่าวถึง Laffer ด้วยความชื่นชม แนวคิดของเขายังคงมีอิทธิพลต่อเธอจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่าการลดภาษีจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ด้วยความฉลาดและความขยันขันแข็ง Cathie กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นที่สุดในชั้นเรียน Laffer เห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในตัวเธอและช่วยแนะนำงานที่ Capital Group หนึ่งในบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงต้นทศวรรษ 1980
การเริ่มต้นอาชีพที่ Capital Group เปิดโอกาสให้ Cathie ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะในวงการการเงินอย่างรวดเร็ว หลังจากทำงานได้เพียงสามปี ความสามารถของเธอก็เป็นที่ประจักษ์จนได้รับการทาบทามให้ไปดำรงตำแหน่งหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ Jennison Associates บริษัทลงทุนแห่งใหม่ในนิวยอร์ก ขณะนั้นเธออายุเพียง 25 ปี
ช่วงที่ Cathie เข้าสู่ Wall Street เป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทศวรรษ 1970 ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ด้วยปัญหาเงินเฟ้อและการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นพร้อมกัน ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม
เมื่อประธานาธิบดี Reagan เข้ารับตำแหน่งในปี 1981 เขานำนโยบายเศรษฐกิจแนวใหม่มาใช้ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก
Henry Kaufman หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Solomon Brothers ผู้ได้ฉายาว่า “Dr. Doom” ถึงกับออกมาเตือนว่านโยบายของ Reagan จะทำให้อัตราดอกเบี้ยและค่าเงินดอลลาร์พุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง แต่ Cathie กลับมองเห็นโอกาสท่ามกลางวิกฤต หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เธอพบหลักฐานที่ขัดแย้งกับข้อกล่าวอ้างของ Kaufman
แม้จะเป็นผู้หญิงในวงการการเงินที่ผู้ชายเป็นใหญ่ในช่วงต้นทศวรรษ 80 และมักถูกเพิกเฉย แต่ Cathie ก็ไม่ย่อท้อ เธอยืนหยัดในจุดยืนของตัวเอง และเวลาก็พิสูจน์ว่าการวิเคราะห์ของเธอถูกต้อง
ภายในเดือนตุลาคม 1982 เงินเฟ้อลดลงเหลือเพียง 5% และอัตราดอกเบี้ยระยะยาวเริ่มปรับตัวลดลง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยอมผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 9%
ความสำเร็จในการคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจทำให้อาชีพของ Cathie เติบโตอย่างก้าวกระโดดที่ Jennison Associates เธอไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการภายในปี 1998 หลังจากทำงานที่นั่น 18 ปี นับเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าเธอต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูลูกสามคนไปพร้อมกัน
ในช่วงปลายทศวรรษ 90 ซึ่งเป็นยุคที่ฟองสบู่ดอทคอมกำลังใกล้จะแตก Cathie ได้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัทเทคโนโลยีมากมาย เธอเริ่มมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจของตัวเอง ประกอบกับการเฟื่องฟูของเศรษฐกิจที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของกองทุนเฮดจ์ฟันด์รูปแบบใหม่ ที่มีโครงสร้างพิเศษเอื้อให้ผู้จัดการกองทุนสร้างความมั่งคั่งมหาศาล
โอกาสทองมาถึงเมื่อ Lulu Wang เพื่อนร่วมงานที่ Jennison Associates ชวน Cathie ร่วมก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งก็ต้องบอกว่า Wang เป็นตัวอย่างของความสำเร็จที่น่าทึ่ง จากการเป็นแม่บ้านธรรมดา เธอตัดสินใจกลับไปเรียนต่อปริญญาโทบริหารธุรกิจที่ Columbia และไต่เต้าจนกลายเป็นรองประธานบริหารที่ดูแลสินทรัพย์มากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์
ในปี 1998 ทั้งคู่จึงร่วมกันก่อตั้ง Tupelo Capital Management ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว สามารถระดมทุนได้ถึง 800 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2000 นับเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดที่บริหารโดยผู้หญิงในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม Cathie เริ่มตระหนักว่านี่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่แท้จริงของเธอ
ความหลงใหลที่แท้จริงของ Cathie อยู่ที่การค้นหาและลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลก ซึ่งมักถูก Wall Street ประเมินมูลค่าต่ำเกินไป หลังจากบริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้สามปี เธอตัดสินใจย้ายไปร่วมงานกับ Alliance Bernstein บริษัทกองทุนรวมชั้นนำ ที่นี่เธอได้รับมอบหมายให้ดูแลเงินกองทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์
ที่ Alliance Bernstein Cathie ใช้แนวทางการลงทุนแบบธีมาติก (Thematic Investment) มองหาโอกาสในที่ที่คนอื่นมองข้าม โดยเฉพาะในหุ้นขนาดเล็กที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
ก่อนปี 2006 กองทุนของเธอทำผลงานได้ดีกว่าดัชนีอ้างอิงเกือบทุกปี แต่พอร์ตการลงทุนมีความผันผวนสูงเกินกว่าที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะยอมรับได้
วิกฤตการเงินโลกในปี 2008 เป็นบททดสอบครั้งสำคัญ หุ้น Penny Stock ที่เธอลงทุนมีราคาตกหนักกว่าดัชนี S&P 500 เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดที่แห้งเหือด นักลงทุนหลายรายเริ่มถอนเงินออกจากกองทุน ด้วยความกังวลเรื่องการสูญเสียลูกค้า ผู้บริหาร Alliance Bernstein จึงขอให้เธอปรับกลยุทธ์โดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนดัชนีเพื่อลดความผันผวน
แม้การถือครองกองทุนดัชนีจะช่วยลดความผันผวนได้ แต่ก็ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนลดลงด้วย ภายในปี 2014 ที่อายุ 54 ปี แม้จะมีความมั่งคั่งมากพอที่จะเกษียณได้อย่างสบาย แต่ Cathie กลับเลือกที่จะเริ่มต้นใหม่ ด้วยความเชื่อมั่นในพระเจ้าและวิสัยทัศน์ของตนเอง
จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงเมื่อ Bill Hwang นักลงทุนผู้มีชื่อเสียงและเป็นคริสเตียนที่ศรัทธาแรงกล้าเช่นเดียวกับ Cathie เข้ามาสนับสนุนวิสัยทัศน์ของเธอ
Hwang เป็นศิษย์เอกของ Julian Robertson นักลงทุนระดับตำนาน และสามารถสร้างกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของตนเองจนมีสินทรัพย์ 30 พันล้านดอลลาร์ภายในเวลาไม่ถึง 20 ปี เขาตัดสินใจให้เงินทุนตั้งต้นแก่ ETFs ที่ Kathy กำลังจะเปิดตัว
Cathie เล็งเห็นโอกาสในการสร้าง ETFs รูปแบบใหม่ที่ยังไม่มีในตลาด ในขณะที่อุตสาหกรรมการลงทุนกำลังเคลื่อนตัวไปสู่การลงทุนแบบ Passive หลังวิกฤตปี 2008 เธอกลับเชื่อมั่นในการบริหารแบบ Active โดยเฉพาะในการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก
สิ่งที่ทำให้ Cathie แตกต่างจากผู้จัดการกองทุนคนอื่นคือการใช้ประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Twitter และ Reddit เธอเลือกที่จะเปิดเผยงานวิจัยการลงทุนของเธอต่อสาธารณะ แทนที่จะปิดบังไว้เป็นความลับเหมือนที่ผู้จัดการกองทุนทั่วไปทำ แนวทางที่โปร่งใสนี้ทำให้เธอสร้างฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่งในหมู่นักลงทุนรายย่อย
จุดพลิกผันที่ทำให้ Cathie กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างคือการทำนายว่าราคาหุ้น Tesla จะเพิ่มขึ้น 1,100% ในช่วงที่บริษัทกำลังประสบปัญหาการผลิต Model 3 และ Elon Musk ต้องนอนในโรงงานเพื่อแก้ปัญหา แม้จะถูกเย้ยหยันจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ แต่ภายในปี 2021 Tesla ก็ทำราคาได้เกินเป้าหมายที่เธอทำนายไว้ล่วงหน้าถึงสองปี
การระบาดของ COVID-19 ในปี 2020 กลายเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดการเงิน รัฐบาลสหรัฐฯ อัดฉีดเงินหลายล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ประกอบกับการเข้าถึงแพลตฟอร์มการเทรดที่ง่ายขึ้น ทำให้นักลงทุนรายย่อยมีพลังมากขึ้นกว่าที่เคย Cathie ซึ่งมักถูก Wall Street มองข้าม กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม
ในช่วงการระบาด กองทุน ARK ของ Cathie เติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากการลงทุนในบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนในยุค New Normal เช่น การทำงานทางไกล การซื้อของออนไลน์ และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทาย
ต้นปี 2021 กองทุน ARK ประสบกับการถอนเงินกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์และมูลค่าตลาดลดลง 14% แต่ Cathie ยังคงยืนหยัดในความเชื่อของเธอ เธอมองว่าความผันผวนเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในนวัตกรรม และความเสี่ยงที่แท้จริงอยู่ที่การยึดติดกับอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมที่กำลังถูกเทคโนโลยีใหม่เข้ามาทำลาย
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ Cathie จะมีความเชื่อมั่นสูงในวิสัยทัศน์ของเธอ แต่เธอก็ยังคงรักษาวินัยในการลงทุนอย่างเคร่งครัด เช่น การจำกัดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งไม่ให้เกิน 10% ของพอร์ต และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนการลงทุนเมื่อพื้นฐานของธุรกิจเปลี่ยนแปลง
ปัจจุบัน Cathie Wood ยังคงเป็นบุคคลที่สร้างความขัดแย้งในวงการการเงิน แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเธอได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการลงทุน เรื่องราวของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้หญิง ที่ต้องการท้าทายระบบเดิมและสร้างการเปลี่ยนแปลงในโลกการเงิน
เส้นทางของ Cathie Wood จากเด็กผู้อพยพสู่การเป็นผู้นำด้านการลงทุนในนวัตกรรม แสดงให้เห็นว่าด้วยความมุ่งมั่น ความกล้าที่จะแตกต่าง และความสามารถในการปรับตัว เราสามารถประสบความสำเร็จได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายที่สุด
เธอไม่เพียงสร้างความสำเร็จให้ตัวเอง แต่ยังเปิดทางให้คนรุ่นใหม่กล้าที่จะคิดต่าง และท้าทายสถานะเดิมในโลกการเงิน นับเป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ความสำเร็จไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำตามกรอบที่มีอยู่ แต่บางครั้งการกล้าที่จะออกนอกกรอบต่างหากที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่