Cathie Wood ผู้หญิงที่ Wall Street กลัว จากครอบครัวผู้อพยพสู่เส้นทางราชินีหุ้นเทค

ในโลกการเงินที่มักถูกครอบงำโดยผู้ชาย มีผู้หญิงคนหนึ่งที่กล้าท้าทายกฎเกณฑ์เดิมๆ และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการ เธอคือ Cathie Wood ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ ARK Investment Management บริษัทจัดการกองทุนที่เน้นลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก แต่ก่อนที่เธอจะมาถึงจุดนี้ได้ เธอต้องผ่านการต่อสู้และความท้าทายมากมาย

จุดเริ่มต้นของ Cathie Wood เริ่มจากครอบครัวผู้อพยพชาวไอริชที่ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่ Los Angeles ในยุค 50s ช่วงเวลาที่เมืองนี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาเดือนละกว่า 3,000 คน พ่อของเธอรับราชการในกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในตำแหน่งวิศวกรเรดาร์ การที่ครอบครัวต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้งตามการโยกย้ายของพ่อ ทำให้ Cathie ได้เรียนรู้การปรับตัวและเปิดรับความคิดที่หลากหลายตั้งแต่เยาว์วัย

ตั้งแต่เด็ก Cathie มีความชื่นชมในตัวพ่อของเธออย่างมาก ซึ่งส่งผลให้เธอพัฒนาวิธีคิดแบบวิศวกร ชอบวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบและมองหาวิธีแก้ไขที่สร้างสรรค์ และด้วยความขยันและมุ่งมั่น เธอสามารถจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งและได้รับการตอบรับเข้าเรียนที่ University of Southern California

“การเป็นลูกของผู้อพยพในสหรัฐฯ ฉันรู้สึกกลัวมากตอนเข้ามหาวิทยาลัย เพราะฉันเป็นลูกคนโตและต้องแบกรับความคาดหวังของครอบครัว” Cathie เล่าถึงความรู้สึกในวันแรกที่ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ช่วงเวลานั้นเป็นยุคที่ครอบครัวชนชั้นกลางส่วนใหญ่ในอเมริกากำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเงิน อัตราการว่างงานทั่วรัฐพุ่งสูงถึง 9.3% มีชาวแคลิฟอร์เนียกว่า 920,000 คนที่ตกงาน

แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก Cathie ไม่เคยย่อท้อ เธอทำงานพาร์ทไทม์เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียน ในขณะที่ฝันอยากจะเดินตามรอยพ่อในสายงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่พ่อของเธอกลับมองเห็นอนาคตที่แตกต่างออกไป เขาแนะนำให้ลูกสาวเลือกเส้นทางธุรกิจ เพราะเชื่อว่าเธอจะประสบความสำเร็จได้มากกว่าในเส้นทางนี้

Cathie จึงตัดสินใจเลือกเรียนด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน ด้วยความหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้ในอนาคต ในฐานะลูกคนโตและคริสเตียนที่เคร่งครัด เธอตระหนักดีว่าการดูแลครอบครัวคือความรับผิดชอบสำคัญของเธอ

จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของ Cathie เกิดขึ้นเมื่อเธอได้เรียนกับ Arthur Laffer นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจากสำนัก Austrian school ผู้คิดค้นทฤษฎี Laffer Curve ที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอัตราภาษีและรายได้ภาครัฐ

Laffer เป็นที่ปรึกษาที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อแนวคิดของ Cathie โดยเฉพาะในเรื่องของการลดภาษีเพื่อกระตุ้นนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

Arthur Laffer นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจากสำนัก Austrian school ผู้คิดค้นทฤษฎี Laffer Curve (CR:wikipedia)

“เขาเป็นที่ปรึกษาของฉันที่ USC และเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก เขาเป็นที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” Cathie กล่าวถึง Laffer ด้วยความชื่นชม แนวคิดของเขายังคงมีอิทธิพลต่อเธอจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่าการลดภาษีจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ด้วยความฉลาดและความขยันขันแข็ง Cathie กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นที่สุดในชั้นเรียน Laffer เห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในตัวเธอและช่วยแนะนำงานที่ Capital Group หนึ่งในบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงต้นทศวรรษ 1980

การเริ่มต้นอาชีพที่ Capital Group เปิดโอกาสให้ Cathie ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะในวงการการเงินอย่างรวดเร็ว หลังจากทำงานได้เพียงสามปี ความสามารถของเธอก็เป็นที่ประจักษ์จนได้รับการทาบทามให้ไปดำรงตำแหน่งหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ Jennison Associates บริษัทลงทุนแห่งใหม่ในนิวยอร์ก ขณะนั้นเธออายุเพียง 25 ปี

ช่วงที่ Cathie เข้าสู่ Wall Street เป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทศวรรษ 1970 ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ด้วยปัญหาเงินเฟ้อและการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นพร้อมกัน ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม

เมื่อประธานาธิบดี Reagan เข้ารับตำแหน่งในปี 1981 เขานำนโยบายเศรษฐกิจแนวใหม่มาใช้ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก

Henry Kaufman หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Solomon Brothers ผู้ได้ฉายาว่า “Dr. Doom” ถึงกับออกมาเตือนว่านโยบายของ Reagan จะทำให้อัตราดอกเบี้ยและค่าเงินดอลลาร์พุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง แต่ Cathie กลับมองเห็นโอกาสท่ามกลางวิกฤต หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เธอพบหลักฐานที่ขัดแย้งกับข้อกล่าวอ้างของ Kaufman

แม้จะเป็นผู้หญิงในวงการการเงินที่ผู้ชายเป็นใหญ่ในช่วงต้นทศวรรษ 80 และมักถูกเพิกเฉย แต่ Cathie ก็ไม่ย่อท้อ เธอยืนหยัดในจุดยืนของตัวเอง และเวลาก็พิสูจน์ว่าการวิเคราะห์ของเธอถูกต้อง

ภายในเดือนตุลาคม 1982 เงินเฟ้อลดลงเหลือเพียง 5% และอัตราดอกเบี้ยระยะยาวเริ่มปรับตัวลดลง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยอมผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 9%

ความสำเร็จในการคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจทำให้อาชีพของ Cathie เติบโตอย่างก้าวกระโดดที่ Jennison Associates เธอไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการภายในปี 1998 หลังจากทำงานที่นั่น 18 ปี นับเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าเธอต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูลูกสามคนไปพร้อมกัน

ในช่วงปลายทศวรรษ 90 ซึ่งเป็นยุคที่ฟองสบู่ดอทคอมกำลังใกล้จะแตก Cathie ได้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัทเทคโนโลยีมากมาย เธอเริ่มมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจของตัวเอง ประกอบกับการเฟื่องฟูของเศรษฐกิจที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของกองทุนเฮดจ์ฟันด์รูปแบบใหม่ ที่มีโครงสร้างพิเศษเอื้อให้ผู้จัดการกองทุนสร้างความมั่งคั่งมหาศาล

โอกาสทองมาถึงเมื่อ Lulu Wang เพื่อนร่วมงานที่ Jennison Associates ชวน Cathie ร่วมก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งก็ต้องบอกว่า Wang เป็นตัวอย่างของความสำเร็จที่น่าทึ่ง จากการเป็นแม่บ้านธรรมดา เธอตัดสินใจกลับไปเรียนต่อปริญญาโทบริหารธุรกิจที่ Columbia และไต่เต้าจนกลายเป็นรองประธานบริหารที่ดูแลสินทรัพย์มากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์

ในปี 1998 ทั้งคู่จึงร่วมกันก่อตั้ง Tupelo Capital Management ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว สามารถระดมทุนได้ถึง 800 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2000 นับเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดที่บริหารโดยผู้หญิงในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม Cathie เริ่มตระหนักว่านี่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่แท้จริงของเธอ

Lulu Wang ที่ชวน Cathie มาก่อตั้งบริษัท (CR:MSNBC)
Lulu Wang ที่ชวน Cathie มาก่อตั้งบริษัท (CR:MSNBC)

ความหลงใหลที่แท้จริงของ Cathie อยู่ที่การค้นหาและลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลก ซึ่งมักถูก Wall Street ประเมินมูลค่าต่ำเกินไป หลังจากบริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้สามปี เธอตัดสินใจย้ายไปร่วมงานกับ Alliance Bernstein บริษัทกองทุนรวมชั้นนำ ที่นี่เธอได้รับมอบหมายให้ดูแลเงินกองทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์

ที่ Alliance Bernstein Cathie ใช้แนวทางการลงทุนแบบธีมาติก (Thematic Investment) มองหาโอกาสในที่ที่คนอื่นมองข้าม โดยเฉพาะในหุ้นขนาดเล็กที่มีศักยภาพการเติบโตสูง

ก่อนปี 2006 กองทุนของเธอทำผลงานได้ดีกว่าดัชนีอ้างอิงเกือบทุกปี แต่พอร์ตการลงทุนมีความผันผวนสูงเกินกว่าที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะยอมรับได้

วิกฤตการเงินโลกในปี 2008 เป็นบททดสอบครั้งสำคัญ หุ้น Penny Stock ที่เธอลงทุนมีราคาตกหนักกว่าดัชนี S&P 500 เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดที่แห้งเหือด นักลงทุนหลายรายเริ่มถอนเงินออกจากกองทุน ด้วยความกังวลเรื่องการสูญเสียลูกค้า ผู้บริหาร Alliance Bernstein จึงขอให้เธอปรับกลยุทธ์โดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนดัชนีเพื่อลดความผันผวน

แม้การถือครองกองทุนดัชนีจะช่วยลดความผันผวนได้ แต่ก็ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนลดลงด้วย ภายในปี 2014 ที่อายุ 54 ปี แม้จะมีความมั่งคั่งมากพอที่จะเกษียณได้อย่างสบาย แต่ Cathie กลับเลือกที่จะเริ่มต้นใหม่ ด้วยความเชื่อมั่นในพระเจ้าและวิสัยทัศน์ของตนเอง

จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงเมื่อ Bill Hwang นักลงทุนผู้มีชื่อเสียงและเป็นคริสเตียนที่ศรัทธาแรงกล้าเช่นเดียวกับ Cathie เข้ามาสนับสนุนวิสัยทัศน์ของเธอ

Hwang เป็นศิษย์เอกของ Julian Robertson นักลงทุนระดับตำนาน และสามารถสร้างกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของตนเองจนมีสินทรัพย์ 30 พันล้านดอลลาร์ภายในเวลาไม่ถึง 20 ปี เขาตัดสินใจให้เงินทุนตั้งต้นแก่ ETFs ที่ Kathy กำลังจะเปิดตัว

Cathie เล็งเห็นโอกาสในการสร้าง ETFs รูปแบบใหม่ที่ยังไม่มีในตลาด ในขณะที่อุตสาหกรรมการลงทุนกำลังเคลื่อนตัวไปสู่การลงทุนแบบ Passive หลังวิกฤตปี 2008 เธอกลับเชื่อมั่นในการบริหารแบบ Active โดยเฉพาะในการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก

สิ่งที่ทำให้ Cathie แตกต่างจากผู้จัดการกองทุนคนอื่นคือการใช้ประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Twitter และ Reddit เธอเลือกที่จะเปิดเผยงานวิจัยการลงทุนของเธอต่อสาธารณะ แทนที่จะปิดบังไว้เป็นความลับเหมือนที่ผู้จัดการกองทุนทั่วไปทำ แนวทางที่โปร่งใสนี้ทำให้เธอสร้างฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่งในหมู่นักลงทุนรายย่อย

จุดพลิกผันที่ทำให้ Cathie กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างคือการทำนายว่าราคาหุ้น Tesla จะเพิ่มขึ้น 1,100% ในช่วงที่บริษัทกำลังประสบปัญหาการผลิต Model 3 และ Elon Musk ต้องนอนในโรงงานเพื่อแก้ปัญหา แม้จะถูกเย้ยหยันจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ แต่ภายในปี 2021 Tesla ก็ทำราคาได้เกินเป้าหมายที่เธอทำนายไว้ล่วงหน้าถึงสองปี

การระบาดของ COVID-19 ในปี 2020 กลายเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดการเงิน รัฐบาลสหรัฐฯ อัดฉีดเงินหลายล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ประกอบกับการเข้าถึงแพลตฟอร์มการเทรดที่ง่ายขึ้น ทำให้นักลงทุนรายย่อยมีพลังมากขึ้นกว่าที่เคย Cathie ซึ่งมักถูก Wall Street มองข้าม กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม

ในช่วงการระบาด กองทุน ARK ของ Cathie เติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากการลงทุนในบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนในยุค New Normal เช่น การทำงานทางไกล การซื้อของออนไลน์ และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทาย

ต้นปี 2021 กองทุน ARK ประสบกับการถอนเงินกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์และมูลค่าตลาดลดลง 14% แต่ Cathie ยังคงยืนหยัดในความเชื่อของเธอ เธอมองว่าความผันผวนเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในนวัตกรรม และความเสี่ยงที่แท้จริงอยู่ที่การยึดติดกับอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมที่กำลังถูกเทคโนโลยีใหม่เข้ามาทำลาย

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ Cathie จะมีความเชื่อมั่นสูงในวิสัยทัศน์ของเธอ แต่เธอก็ยังคงรักษาวินัยในการลงทุนอย่างเคร่งครัด เช่น การจำกัดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งไม่ให้เกิน 10% ของพอร์ต และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนการลงทุนเมื่อพื้นฐานของธุรกิจเปลี่ยนแปลง

ปัจจุบัน Cathie Wood ยังคงเป็นบุคคลที่สร้างความขัดแย้งในวงการการเงิน แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเธอได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการลงทุน เรื่องราวของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้หญิง ที่ต้องการท้าทายระบบเดิมและสร้างการเปลี่ยนแปลงในโลกการเงิน

เส้นทางของ Cathie Wood จากเด็กผู้อพยพสู่การเป็นผู้นำด้านการลงทุนในนวัตกรรม แสดงให้เห็นว่าด้วยความมุ่งมั่น ความกล้าที่จะแตกต่าง และความสามารถในการปรับตัว เราสามารถประสบความสำเร็จได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายที่สุด

เธอไม่เพียงสร้างความสำเร็จให้ตัวเอง แต่ยังเปิดทางให้คนรุ่นใหม่กล้าที่จะคิดต่าง และท้าทายสถานะเดิมในโลกการเงิน นับเป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ความสำเร็จไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำตามกรอบที่มีอยู่ แต่บางครั้งการกล้าที่จะออกนอกกรอบต่างหากที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่

iPod อัศวินผู้กู้ชีพ Apple : จากขอบเหวสู่ผลิตภัณฑ์พลิกชะตาบริษัท

“พันเพลงในกระเป๋าของคุณ” – นี่คือคำกล่าวอันโด่งดังของ Steve Jobs ในงานเปิดตัวของ Apple เมื่อปี 2001 เขาได้ชูอุปกรณ์สีขาวขนาดเท่ากับสำรับไพ่ที่สามารถเก็บและเล่นเพลงได้ทั้งคลังเพลงโดยไม่มีสะดุด ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงในยุคนั้น เพราะเครื่องเล่น MP3 แบบ Flash ทั่วไปจะเก็บเพลงได้เพียง 20-30 เพลงเท่านั้น แต่ Apple สัญญาและส่งมอบเครื่องเล่นที่เก็บเพลงได้พันเพลงในรูปแบบของ iPod

ผมว่าหลายคนคงเคยเป็นเจ้าของ iPod รุ่นใดรุ่นหนึ่งและมีความทรงจำที่ดีกับมัน คงจะกล่าวไม่เกินเลยว่าผลิตผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยพลิกฟื้นบริษัทจากขอบเหว

iPod รุ่นแรกนั้นบุกเบิกในแง่ของการออกแบบที่เรียบง่ายและฟังก์ชันการใช้งานที่ง่ายดาย แต่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า iPod ถูกออกแบบและผลิตในเวลาเพียงไม่กี่เดือน และ Apple ได้ให้เครดิตแนวคิดของ iPod แก่ชายผู้ไม่เป็นที่รู้จักนามว่า Ken Kramer

เรื่องราวการสร้าง iPod รุ่นแรกเริ่มต้นจากเหตุการณ์ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน ลำดับของเหตุการณ์และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีจะเกิดขึ้นในจังหวะที่เหมาะเจาะพอดีที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้

ทุกอย่างเริ่มต้นในช่วงปลายทศวรรษ 1990 หลังจาก Steve Jobs ถูกเนรเทศไป 11 ปี เขาได้กลับมาที่ Apple ในปี 1997 บริษัทกำลังประสบวิกฤตทางการเงิน และ Jobs ถูกเรียกตัวกลับมาด้วยความหวังว่าเขาจะสามารถนำพาบริษัทไปในทิศทางที่ถูกต้อง

ในตอนนั้น Apple ยังต้องการไอเดียใหม่ๆ เพื่อสร้างจุดเด่นในช่วงเปลี่ยนผ่าน ต้องบอกว่าศตวรรษที่ 20 มันเป็นยุคแห่งการเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต และโลกทั้งใบกำลังเปลี่ยนเป็นดิจิทัล

เมื่อ Jobs กลับมาเพื่อให้ทันกับยุคสมัย เขาได้นำกลยุทธ์ Digital Hub มาใช้ แนวคิดคือการผสมผสานฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการของ Apple เพื่อให้ผู้ใช้มีแพลตฟอร์มที่เป็นหนึ่งเดียวสำหรับไลฟ์สไตล์ดิจิทัล

พูดง่ายๆ คือระบบนิเวศที่ทุกอย่างทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และอย่างที่ทุกคนรู้กันดี ระบบนิเวศของ Apple กลายเป็นส่วนสำคัญของอนาคตบริษัท แต่ในตอนนั้นแนวคิดนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเพียงเท่านั้น

จุดศูนย์กลางของ Digital Hub คือ iMac แต่ที่น่าสนใจคือ Steve Jobs ได้ตระหนักถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของพอร์ต FireWire มาตรฐานการเชื่อมต่อข้อมูลดิจิทัลนี้ถูกพัฒนาโดย Apple ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 และถูกใช้มาหลายปีโดย Apple เองและบริษัทอื่นๆ เช่น Sony

FireWire สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์อย่างกล้องวิดีโอและกล้องดิจิทัลเข้ากับคอมพิวเตอร์ ประโยชน์หลักคือความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่เร็วกว่ามาตรฐานอื่นๆ ในยุคนั้นถึงเกือบ 30 เท่า ด้วยความเร็ว 400 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งตอนนี้อาจเป็นเรื่องน่าขัน แต่ในยุคนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่มาก

Steve Jobs ตัดสินใจรวม FireWire เข้ากับ iMac G3 รุ่นโปร่งใสสุด Cool ที่เปิดตัวในปี 1998 Apple คิดว่าการมี FireWire จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายโอนวิดีโอจากกล้องดิจิทัลและแก้ไขบนคอมพิวเตอร์ได้ง่าย แต่ปรากฏว่าผู้คนสนใจเรื่องดนตรีมากกว่า

iMac G3 รุ่นโปร่งใสสุด Cool (CR:Wikipedia)
iMac G3 รุ่นโปร่งใสสุด Cool (CR:Wikipedia)

ในยุค 90 อินเทอร์เน็ตกำลังครองโลก ผู้คนแชร์ไฟล์และข้อมูลออนไลน์กันมากขึ้น แต่การแชร์ไฟล์เพลงยังคงยากลำบาก ซึ่งในช่วงต้นทศวรรษ 90 เนื่องจากความเร็วอินเทอร์เน็ตช้ามาก เพลงส่วนใหญ่ถูกริปจากซีดีและมีขนาดไฟล์ใหญ่มาก

แต่นักวิจัยที่สถาบัน Fraunhofer ในเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี มีแนวคิดบางอย่าง หลังจากทำงานหนักสี่ปี พวกเขาได้สร้างรูปแบบไฟล์ใหม่ที่เราทุกคนรู้จักกันดี นั่นก็คือ MP3 มันช่วยลดขนาดไฟล์เพลงได้อย่างมากโดยไม่สูญเสียคุณภาพเสียง

การเติบโตของรูปแบบไฟล์ MP3 สร้างความปั่นป่วนให้อุตสาหกรรมดนตรี ประการแรก ทุกคนสามารถริปซีดีเป็นไฟล์ MP3 และเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น เวลานั้นมันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะมาก ๆ ที่จะมีอุปกรณ์เล็กๆ มาช่วยให้ผู้คนพกพาไฟล์เหล่านี้ติดตัวไปได้

ภายในปี 1998 เครื่องเล่น MP3 อย่าง MP Man F-100 จาก Elga Labs และ Diamond Rio PMP300 ได้เข้าสู่ตลาด ทั้งคู่มีขนาดใหญ่ เล่นเพลงได้แค่ 30 นาที และราคาสูงกว่า 200 ดอลลาร์ แต่ก็ได้รับความนิยมเพราะผู้คนชื่นชอบการฟังเพลงแบบพกพา

จากนั้นประตูก็เปิดกว้าง เว็บไซต์แชร์ไฟล์แบบ peer-to-peer ทำให้ผู้คนดาวน์โหลดเพลงได้ฟรี แอปพลิเคชั่นหนึ่งชื่อ Napster กลายเป็นที่นิยมข้ามคืน จนได้เข้าสู่ข้อพิพาททางกฎหมายกับวงเฮฟวี่เมทัลระดับยักษ์ใหญ่อย่าง Metallica

อุตสาหกรรมดนตรีทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างหนัก และค่ายเพลงสูญเสียรายได้หลายล้าน อย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างตระหนักว่าอนาคตของการจัดจำหน่ายเพลงอยู่ในรูปแบบดิจิทัล

ซึ่งในระหว่างกระแสดนตรีดิจิทัลที่กำลังเติบโต Apple เห็นช่องว่างใหญ่ในกลยุทธ์ Digital Hub ของตน เพื่อเติมเต็มช่องว่างนี้ Apple ได้ซื้อ SoundJam MP ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นเข้ารหัสและเล่น MP3 ที่ได้รับความนิยม

วิศวกรสามคนที่เสกแอปนี้ขึ้นมาก็ได้ถูกนำตัวมาที่ Apple ด้วย พวกเขาจะเปลี่ยน SoundJam ให้กลายเป็น iTunes Jobs ต้องการให้ iTunes ถ่ายโอนไฟล์เพลงจากคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องเล่น MP3 ได้อย่างราบรื่น

อย่างไรก็ตาม ขณะตรวจสอบ ทีม Apple พบว่าเครื่องเล่นส่วนใหญ่ใช้งานไม่ได้ผล พวกมันหรือแพงเกินไป ใหญ่เกินไป เล็กเกินไป หรือใช้งานยากเกินไป และการถ่ายโอนไฟล์เพลงจากคอมพิวเตอร์ก็ช้ามาก นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ Steve Jobs เห็นโอกาสทอง

ในฐานะแฟนเพลงตัวยง เขาวางแผนที่จะสร้างเครื่องเล่น MP3 พกพาขนาดเล็กที่สามารถเก็บเพลงได้หลายร้อยเพลงและเล่นเพลงคุณภาพเทียบเท่าซีดี เขาต้องการให้เครื่องเล่นทำงานร่วมกับ iTunes ได้ดี เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาใช้แพลตฟอร์ม Mac มากขึ้น

ในช่วงปลายปี 2000 Jobs ได้มอบหมายงานให้ Jon Rubinstein ซึ่งเข้าร่วม Apple ในปี 1997 เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมฮาร์ดแวร์และที่ปรึกษาด้านฮาร์ดแวร์ที่ Jobs ไว้วางใจที่สุด

Rubinstein ตระหนักว่า Apple มีส่วนประกอบส่วนใหญ่ที่จำเป็นในการสร้างเครื่องเล่น MP3 อยู่แล้ว พอร์ต FireWire สามารถแก้ปัญหาความเร็วในการถ่ายโอน ชิ้นส่วนอื่นๆ สามารถหาได้จากแผนกฮาร์ดแวร์ภายในหรือซัพพลายเออร์ภายนอก

มีปัญหาเดียวคือหน่วยความจำแบบแฟลชมีราคาแพงเกินไป ดังนั้นฮาร์ดไดรฟ์จึงเป็นตัวเลือกเดียว แต่จะหาฮาร์ดไดรฟ์ที่เล็กพอแต่มีความจุสูงพอได้อย่างไร?

โชคดีที่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2001 Rubenstein ได้พบอุปกรณ์ดังกล่าวโดยบังเอิญ นั่นคือฮาร์ดไดรฟ์ความจุ 5 กิกะไบต์ ระหว่างการเยี่ยมชมบริษัท Toshiba ในญี่ปุ่น

วิศวกรของ Toshiba เองยังไม่รู้ว่าจะใช้มันทำอะไร แต่นี่คือจุดเปลี่ยนเกมสำหรับ Rubenstein เขารีบซื้อสิทธิ์ในทันทีด้วยมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์ หลังจากได้รับอนุญาตจาก Steve Jobs แล้ว

หลายคนไม่รู้ว่าสองปีก่อนหน้านี้ในปี 1999 บริษัทคอมพิวเตอร์ Compaq ก็มีแนวคิดเดียวกับ Apple แต่พวกเขาใช้ฮาร์ดไดรฟ์แล็ปท็อป แม้จะมีความจุ 4.8 กิกะไบต์ แต่ราคา 799 ดอลลาร์นั้นไม่ถูกเลย และสุดท้ายก็มีขนาดใหญ่เทอะทะเกินไป

Apple จ้าง Tony Fadell มาทำงานต่อในโครงการนี้ Fadell เคยทำงานให้กับ General Magic และ Phillips Electronics มาก่อน จึงมีประสบการณ์มากมายในการพัฒนาอุปกรณ์พกพาอย่าง PDA และ Palm Tops

เมื่อ Fadell มาถึง Apple ในเดือนกุมภาพันธ์ 2001 เขามีเวลาเพียง 6 สัปดาห์ในการนำเสนอต้นแบบ เรียกได้ว่ามันเป็นสถานการณ์ที่สุดโหด เพราะไม่มีการวิจัย ไม่มีการออกแบบมาก่อนหน้าเลยด้วซ้ำย หรือแม้แต่ทีมงานที่จะช่วยเหลือเขาก็แทบเป็นศูนย์

Tony Fadell ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่ง iPod (CR:Flickr)
Tony Fadell ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่ง iPod (CR:Flickr)

อย่างไรก็ตาม เขายึดมั่นและสามารถพัฒนาแนวคิดสามอย่างได้ด้วยตัวเอง ในกลางเดือนเมษายน 2001 เขานำเสนอต้นแบบต่อผู้บริหาร Apple รวมถึง Steve Jobs

ในการประชุมครั้งเดียวกันนั้น Phil Schiller หัวหน้าฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของ Apple ได้เสนอการออกแบบปุ่มเลื่อนแบบกลไกที่กลายเป็นเอกลักษณ์ และมันไม่ใช่แนวคิดใหม่ เพราะเขาได้แรงบันดาลใจจากอุปกรณ์อื่น เช่น โทรศัพท์ Bang & Olufsen BeoCom แต่ Schiller เชื่อว่าผู้ใช้จะสามารถเลื่อนดูเพลงหลายร้อยเพลงได้เร็วกว่าวิธีของเครื่องเล่น MP3 อื่นๆ ที่ใช้ปุ่มเลื่อนขึ้นลง และเขาก็คิดถูกต้อง

เมื่อมีแนวคิดพื้นฐานแล้ว Fadell ได้รับการจ้างงานประจำที่ Apple เขามีเวลาเพียง 6 เดือนตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงตุลาคม ในช่วงเวลานั้นเขาต้องจัดตั้งทีม พัฒนาผลิตภัณฑ์ ผลิต และส่งออกจำหน่าย

วิศวกรของ Apple ติดงานโครงการ Mac อยู่ ดังนั้น Fadell จึงต้องรวบรวมทีม 25 คนจากพนักงานประจำและ outsource จากภายนอก บางคนมาจากบริษัท Fuse ของเขาเอง และวิศวกรอาวุโสบางคนมาจาก General Magic และ Phillips

เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา ทีมของ Fadell ต้องใช้วิธีการทำงานแบบร่วมมือกัน บริษัท Portal Player ใน Silicon Valley จัดหาชิปเซ็ตเฉพาะทางสำหรับเล่น MP3

บริษัท Pixo ในเมือง Cupertino จัดหาระบบปฏิบัติการพื้นฐาน Jeff Robin นักออกแบบอินเตอร์เฟซ และ Tim Wasko แปลงระบบปฏิบัติการให้เป็นส่วนติดต่อผู้ใช้ระดับสูงและซอฟต์แวร์เล่นเพลง ความเชี่ยวชาญภายในองค์กรช่วยเรื่องแหล่งจ่ายไฟและจอแสดงผล และ Apple ก็มีฮาร์ดดิสก์ Toshiba ขนาด 5 กิกะไบต์ แบตเตอรี่จาก Sony และ FireWire อยู่แล้ว

เพื่อให้ทันกำหนด สมาชิกทุกคนในทีมต้องทำงาน 18-20 ชั่วโมงต่อวัน เจ็ดวันต่อสัปดาห์ แทบไม่ต้องคิดเลยว่ามันส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาอย่างหนัก ตามคำบอกเล่าของ Fadell มันหนักหนาสาหัสถึงขนาดที่เขาต้องเลิกกับแฟนในตอนนั้น

ในขณะเดียวกัน ทีมออกแบบของ Apple นำโดย Jonathan Ive ก็ทำงานในส่วนของกระบวนการออกแบบ Jobs ยืนกรานที่จะไม่ทำอะไรมากเกินไปกับผลิตภัณฑ์ เขาต้องการให้อุปกรณ์ใช้งานได้แต่เรียบง่าย และมีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ทีมของ Johnny Ive ตัดสินใจเลือกกล่องขนาดพอดีเท่าสำรับไพ่ หลังจากสร้างต้นแบบมาแล้วกว่าสิบชิ้น พวกเขาใช้โพลีคาร์บอเนตสีขาวที่ด้านหน้าอุปกรณ์และสแตนเลสสตีลที่ด้านหลัง เป็นรูปแบบที่เรียบง่ายคล้ายกับวิทยุพกพา Braun T3 ผลงานของ Dieter Rams นักออกแบบอุตสาหกรรมชาวเยอรมัน ซึ่ง Johnny Ive ชื่นชมผลงานการออกแบบที่เรียบหรูและเป็นแรงบันดาลใจของเขามาโดยตลอด

ชื่อ iPod ถูกเสนอโดย Vinnie Chieco นักเขียนอิสระจากซานฟรานซิสโก Jobs มักพูดถึงแนวคิด Digital Hub ของ Apple บ่อยๆ ขณะพูดคุยเกี่ยวกับเครื่องเล่น โดย Mac เป็นศูนย์กลางสำหรับอุปกรณ์อื่นๆ และ Chieco เปรียบเทียบศูนย์กลางนี้เหมือนยานอวกาศ ในขณะที่ยานเล็กๆ หรือ “pod” จะเข้าออกมาเชื่อมต่อ

เมื่อเห็นต้นแบบ การออกแบบสีขาวทำให้เขานึกถึงภาพยนตร์เรื่อง 2001: A Space Odyssey จึงคิดคำว่า “pod” ขึ้นมา และเติมคำนำหน้า “i” เพื่อให้เข้ากับ iMac

หลังจากทำงานหนักมาหกเดือน อุปกรณ์ก็พร้อมแล้ว ในวันที่ 23 ตุลาคม 2001 Steve Jobs เปิดตัว iPod สู่โลก แม้จะมีราคา 399 ดอลลาร์ แต่ผู้คนก็รักอุปกรณ์นี้และมันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความ Cool อย่างรวดเร็ว ด้วยความจุ 1,000 เพลง มันเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่สำหรับเครื่องเล่น MP3 แต่ตรงกันข้ามกับความเชื่อทั่วไป มันไม่ได้ประสบความสำเร็จในทันที

iPod ที่กลายเป็นสินค้ายอดฮิตทันทีหลังเปิดตัว (CR:Wikipedia)
iPod ที่กลายเป็นสินค้ายอดฮิตทันทีหลังเปิดตัว (CR:Wikipedia)

Steve Jobs ยืนกรานว่า iPod ควรมีให้ใช้งานเฉพาะกับ Mac เท่านั้น เขาคิดว่าผลิตภัณฑ์นี้น่าดึงดูดมากพอที่จะทำให้ผู้คนเปลี่ยนมาใช้ระบบนิเวศของ Apple

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการตัดตลาดขนาดใหญ่ออกไป ในที่สุดผู้บริหารระดับสูงก็โน้มน้าวให้ Jobs ยอมให้ใช้งานบน Windows ได้ด้วย และนับจากช่วงเวลานั้น iPod ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก

iPod ได้ปูทางสู่การครองตลาดในอุตสาหกรรมดนตรีของ Apple บริษัทเปิดตัว iTunes Store ทำให้ผู้ใช้สามารถซื้อเพลงแต่ละเพลงได้ในราคา 99 เซนต์แทนการซื้อทั้งอัลบั้ม iTunes ครองส่วนแบ่งตลาดดาวน์โหลดเพลงถึง 70% ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดในปี 2007

แม้ตัวเลขจะน่าประทับใจ แต่กลับไม่สำคัญสำหรับ Apple เพราะ iTunes เป็นเพียงตัวขับเคลื่อนให้กับผลิตภัณฑ์หลักที่ทำเงินคือ iPod

iPod เพียงเครื่องเดียวพลิกฟื้นบริษัท Apple ขึ้นมา ด้วยยอดขายกว่า 100 เครื่องต่อนาที มันแก้ปัญหาสถานการณ์ทางการเงินและทำให้บริษัทกลับมา “Cool” อีกครั้ง จากที่เคยเป็นบริษัทที่กำลังล้มเหลวในยุค 90

บทสรุป

Apple ขาย iPod ไปมากกว่า 400 ล้านเครื่องก่อนที่จะยุติผลิตภัณฑ์ iPod ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2022 ซึ่งต้องบอกว่า Apple ได้สร้างสายผลิตภัณฑ์ในหลากหลายรุ่นตั้งแต่ iPod mini, Shuffle, Nano และ Touch มีหลากหลายรูปแบบ สี ขนาด และฟีเจอร์ แต่ทุกรุ่นของ iPod ยังคงแก่นแท้เดียวกันคือความเรียบง่ายและการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ

เรื่องราวของการสร้าง iPod นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งทางด้านวิศวกรรมและการออกแบบมากมาย แต่ Steve Jobs เชื่อมั่นว่าทีมของเขาจะทำได้ เขาทำให้ทีมของเขาทำสิ่งที่ใครในโลกไม่คิดว่าจะทำได้ 

iPod มันจึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่วิเศษที่สุด มันเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรีได้เลยด้วยซ้ำ และมันเป็นการพลิกโฉมของ Apple เข้าสู่ยุคใหม่อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

และเพราะ ipod นี่เอง ที่ทำให้ Jobs กล้าที่จะสร้าง iPhone หรือ iPad ตามมาได้ เพราะเขาสามารถทำเรื่องที่เหลือเชื่อ ด้วยทีมที่มีความพร้อมขนาดนี้ได้แล้ว มันทำให้ Jobs กล้าที่จะทำอะไรแหกกฏที่เคยมีมา ลองจินตนาการกลับไปทั้งยุคของเครื่องเล่น MP3 ก่อน ที่ iPod จะผลิตออกมา หรือมือถือสมาร์ทโฟนก่อนยุค iPhone

Jobs ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะทำได้ทั้งนั้น เพราะมันแตกต่าง มันไม่เหมือนใคร และมันเป็น DNA ของการ Think Different ที่เป็น DNA หลักของ Apple เลยก็ว่าได้ เมื่อ Jobs พร้อมจะลุย ลูกทีมของเขาก็พร้อมจะสู้กับ Jobs ไม่ว่าอุปสรรคจะยากหรือท้าทายมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยกลัว

From Nothing to Something : ถอดรหัสความสำเร็จ Carl Pei กับการปฏิวัติวงการสมาร์ทโฟน

ในโลกของเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การสร้างสตาร์ทอัพด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสมาร์ทโฟน เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ แต่ Carl Pei ผู้ร่วมก่อตั้ง OnePlus และปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Nothing ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามันเป็นไปได้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ

Carl Pei เริ่มต้นเส้นทางในวงการเทคโนโลยีตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยความหลงใหลในอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ เขาเล่าว่า “ผมเป็นคนชอบเครื่องมือเทคโนโลยีมาตั้งแต่เด็ก ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นคนแรกๆ ในสวีเดนที่มี iPod และผมแน่ใจว่าผมเป็นคนแรกในกลุ่มเพื่อนๆ ที่มี iPhone” ความหลงใหลนี้นำพาเขาไปสู่การทำงานในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนที่กำลังเติบโตในประเทศจีน

การเดินทางของ Carl ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เขาเผชิญกับความท้าทายมากมายในการสร้างธุรกิจของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาตัดสินใจก่อตั้ง Nothing หลังจากออกจาก OnePlus

ในปี 2020 เขาเล่าถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากในการระดมทุนและหาพันธมิตรทางธุรกิจ “เรายังถูกปฏิเสธจากโรงงานหลายแห่งที่ผลิตโทรศัพท์ด้วย อย่าง Foxconn ตอนนั้น Foxconn เคยทำงานกับสตาร์ทอัพที่ทำโทรศัพท์มาแล้ว 5 ราย และทั้ง 5 รายนั้นล้มเหลวหมด”

แม้จะเจอกับอุปสรรคมากมาย Carl ไม่ยอมแพ้ เขาตัดสินใจเริ่มต้นด้วยการผลิตหูฟังไร้สายก่อน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเรียนรู้กระบวนการผลิต แต่แม้แต่การผลิตหูฟังก็ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย “โรงงานเดียวที่ยอมทำงานกับเราคือโรงงานที่ไม่มีลูกค้าอื่นเลย ถ้าไม่มีเรา พวกเขาก็จะล้มละลาย” Carl เล่า

ความยากลำบากไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น เมื่อผลิตภัณฑ์แรกของ Nothing คือหูฟัง Ear (1) เริ่มวางจำหน่าย พวกเขาพบว่าประมาณ 90% ของสินค้าในล็อตแรกมีปัญหาในการชาร์จ

นี่เป็นช่วงเวลาวิกฤตที่ Carl และทีมต้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน “เราเช่าอพาร์ตเมนต์สองห้องใกล้ๆ โรงงานทันที และเราส่งวิศวกร 15 คนไปอยู่ที่นั่น โดยพื้นฐานแล้ววิศวกรของเรากลายเป็นผู้จัดการโรงงานไปโดยปริยาย คอยดูแลทุกส่วนของโรงงานให้ผลิตตามข้อกำหนดของเรา” Carl เล่าถึงวิธีที่พวกเขาจัดการกับวิกฤตครั้งนั้น

ความพยายามของพวกเขาไม่สูญเปล่า ในที่สุด Nothing ก็สามารถขายหูฟัง Ear (1) ได้ถึง 600,000 ชิ้นในปีแรก นี่เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้พวกเขาสามารถก้าวไปสู่การผลิตสมาร์ทโฟนได้ในที่สุด

Carl เน้นย้ำถึงความสำคัญของการอยู่รอดในธุรกิจฮาร์ดแวร์ “ในการไม่มีทางเลือกอื่น มันบังคับให้คุณต้องอยู่รอด” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าแต่ละครั้งที่พวกเขาเผชิญกับอุปสรรค พวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น มีกระบวนการทำงานที่ดีขึ้น และมีทีมที่ดีขึ้น

นอกจากการเอาชนะความท้าทายด้านการผลิตแล้ว Nothing ยังให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์และชุมชนผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง

Carl อธิบายว่า “ผู้ใช้ปัจจุบันของเราบางส่วนเป็นคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยี และบางส่วนเป็นคนสร้างสรรค์ คนที่ชอบการออกแบบ ชอบแฟชั่นและดนตรี” การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการออกแบบที่สวยงามเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ Nothing

หนึ่งในนวัตกรรมที่โดดเด่นของ Nothing คือ อินเตอร์เฟซ Glyph บนสมาร์ทโฟนของพวกเขา Carl อธิบายแนวคิดเบื้องหลังว่า “เราต้องการให้ผู้คนสามารถพลิกโทรศัพท์และรู้ถึงสิ่งสำคัญทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นผ่านไฟที่ด้านหลังของโทรศัพท์ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องเปิดหน้าจอหรือปลดล็อคตลอดเวลา” นี่เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานของผู้ใช้เป็นหลัก

Carl ยังแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการสร้างสมดุลระหว่างการบริหารจัดการและความคิดสร้างสรรค์ในธุรกิจฮาร์ดแวร์ เขาแนะนำว่าผู้ประกอบการควรเน้นที่การอยู่รอดและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ (แบบ Tim Cook) ประมาณ 80% และใช้ความคิดสร้างสรรค์ (แบบ Jony Ive) ประมาณ 20% โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น และค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนของความคิดสร้างสรรค์เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจจะเริ่มต้นสตาร์ทอัพฮาร์ดแวร์ Carl มีคำแนะนำว่า “มันจะยากแน่ๆ แต่มันทำได้ถ้าคุณอยากทำ” เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนและการสร้างความน่าเชื่อถือไปทีละขั้น “ให้คิดว่าเราจะสร้างความน่าเชื่อถือไปสู่สิ่งต่อไปได้อย่างไร” เขากล่าว

Carl ยังเน้นย้ำถึงความพึงพอใจในการเห็นผู้คนใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขามีส่วนร่วมในการสร้าง โดยเฉพาะเมื่อแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เส้นทางของ Carl Pei และ Nothing แสดงให้เห็นว่าแม้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย การสร้างสตาร์ทอัพฮาร์ดแวร์ก็เป็นไปได้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ความมุ่งมั่น และความสามารถในการปรับตัว สตาร์ทอัพสามารถก้าวผ่านอุปสรรคและสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้

บทเรียนจากประสบการณ์ของ Carl ไม่เพียงแต่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่สนใจในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการในทุกสาขาอีกด้วย

References :
How Nothing Founder Carl Pei Built A Multi-Million Dollar Smartphone Brand In Just 2 Years
https://youtu.be/uZVyBc1CKN0?si=M7Q_q6Wqe9z5022u

เบื้องหลังภาษี 36.3% : ยุโรปจะรับมืออย่างไร? เมื่อรถไฟฟ้าจีนราคาถูกกำลังบุกทะลักเข้ามา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสู่ยุโรปได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สร้างความท้าทายใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับยุโรป

จากข้อมูลล่าสุด มูลค่าการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสู่ยุโรปได้พุ่งสูงขึ้นจาก 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 เป็น 11.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023

แม้ว่าตัวเลขนี้อาจดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตลาดรถยนต์ยุโรปโดยรวม แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ได้สร้างความกังวลให้กับผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปและผู้กำหนดนโยบายเป็นอย่างมาก

ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์จีนและแบรนด์ที่จีนเป็นเจ้าของในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ายุโรปได้เพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี 2019 เป็นประมาณ 15% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหภาพยุโรป (EU) กำลังพยายามบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ท้าทาย โดยต้องการให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน จีนก็กำลังผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากในราคาที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ สถานการณ์นี้ได้สร้างความขัดแย้งระหว่างความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่สะอาดขึ้น กับความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในท้องถิ่น

ในการตอบโต้ต่อสถานการณ์นี้ สหภาพยุโรปได้เสนอให้เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36.3% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากภาษี 10% ที่เก็บอยู่แล้วสำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด

มาตรการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตยุโรปกับคู่แข่งจากจีน โดยคำนึงถึงความได้เปรียบด้านต้นทุนที่บริษัทจีนได้รับจากการสนับสนุนของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์ในยุโรป ประเทศสมาชิก EU มีความเห็นแตกต่างกันในประเด็นนี้ โดยบางประเทศสนับสนุนมาตรการดังกล่าว ในขณะที่บางประเทศคัดค้านหรืองดออกเสียง ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์และความกังวลที่หลากหลายของแต่ละประเทศ

ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปเองก็มีท่าทีที่แตกต่างกันต่อมาตรการภาษีนี้ บางบริษัทสนับสนุนการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ในขณะที่บางบริษัทกังวลว่าภาษีอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนของพวกเขาในจีน ความขัดแย้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างยุโรปและจีนในปัจจุบัน

ในแง่ของความสามารถในการแข่งขัน ผู้ผลิตจากจีนมีข้อได้เปรียบอย่างมากในด้านต้นทุน โดยสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาประมาณ 5,500 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ผู้ผลิตยุโรปที่ถูกที่สุดทำได้ประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ความแตกต่างนี้เกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน การประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ที่สูงกว่า ต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า และความได้เปรียบในห่วงโซ่อุปทานของแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ จีนยังควบคุมกำลังการผลิตแบตเตอรี่มากกว่า 80% ของโลก ทำให้แม้แต่รถยนต์ที่ผลิตในยุโรปก็ต้องพึ่งพาแบตเตอรี่จากจีน สถานการณ์นี้ยิ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของจีนในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าโลก

การตัดสินใจของสหภาพยุโรปในการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล อุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจยุโรป โดยจ้างงานหลายล้านคนและรับผิดชอบงานการผลิตเกือบหนึ่งในสิบของงานภาคการผลิตทั้งหมด การปกป้องอุตสาหกรรมนี้จึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง

อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีนำเข้าก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยง หนึ่งในนั้นคือผลกระทบต่อเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของยุโรป

การทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพงขึ้นอาจชะลอการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่สะอาดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรปภายในปี 2030

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการตอบโต้ทางการค้าจากจีน ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าจีนมักจะตอบโต้เมื่อเผชิญกับมาตรการทางการค้าที่พวกเขามองว่าไม่เป็นธรรม

การตอบโต้อาจมาในรูปแบบของการเพิ่มภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากยุโรป หรือการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อสร้างอุปสรรคให้กับบริษัทยุโรปที่ดำเนินธุรกิจในจีน

ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือการหาจุดสมดุลระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศกับการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีกับจีน

ประเทศต่างๆ ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในจีน การดำเนินมาตรการที่รุนแรงเกินไปอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีมายาวนานและซับซ้อนเหล่านี้

ในขณะเดียวกัน การไม่ดำเนินการใดๆ ก็อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรยานยนต์ยุโรปในระยะยาว ความได้เปรียบด้านต้นทุนของจีนและความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดอาจทำให้ผู้ผลิตยุโรปสูญเสียส่วนแบ่งตลาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ราคาย่อมเยาว์ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีนอาจกระตุ้นให้ผู้ผลิตยุโรปต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการผลิตของตนเอง ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปโดยรวม

ในท้ายที่สุด การตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรกับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นและระยะยาว ระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศกับการส่งเสริมการแข่งขันและนวัตกรรม และระหว่างเป้าหมายทางเศรษฐกิจกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่อุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสะอาดและพลังงานทดแทน เช่น การผลิตแผงโซลาร์และแบตเตอรี่ ความสำเร็จของจีนในการครองตลาดเหล่านี้เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวและการลงทุนอย่างมหาศาลของรัฐบาล

ในท้ายที่สุด การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจีนและการตอบสนองของยุโรปเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่กว้างขึ้นในระเบียบเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงนี้นำมาซึ่งทั้งความท้าทายและโอกาส และวิธีที่ประเทศต่างๆ จัดการกับมันจะมีผลกระทบอย่างมากต่ออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ เศรษฐกิจโลก และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทศวรรษที่จะมาถึง

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่ผู้บริโภคไปจนถึงแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ การจัดการกับผลกระทบเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมจะเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับรัฐบาลและภาคธุรกิจในอนาคต

เปิดกล่องดำ Tesla : กลยุทธ์เด็ดพลิกเกมอุตสาหกรรม กับเบื้องหลังการแจกสิทธิบัตรฟรีของ Elon Musk

ในปี 2014 โลกต้องตะลึงกับการประกาศครั้งสำคัญของ Elon Musk สุดยอดซีอีโอแห่ง Tesla เขาได้เปิดเผยว่าสิทธิบัตรทั้งหมดของบริษัทจะกลายเป็น “open source” ซึ่งต้องบอกว่านี่ไม่ใช่แค่การตัดสินใจทางธุรกิจธรรมดา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อวงการยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด

Elon ประกาศด้วยความมุ่งมั่นว่า “สิทธิบัตรทั้งหมดของเราเป็นของคุณ” เขาอธิบายว่า Tesla จะไม่ฟ้องร้องใครที่ต้องการใช้เทคโนโลยีของบริษัทโดยสุจริต

ต้องบอกว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญและน่าประหลาดใจเป็นอย่างมากสำหรับผู้คนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมรถยนต์ เพราะโดยทั่วไปแล้วบริษัทมักจะปกป้องสิทธิบัตรของตนอย่างเข้มงวด แต่ Elon มีเหตุผลที่น่าสนใจ

เขาเชื่อว่าการเปิดเผยสิทธิบัตรจะช่วยเร่งการพัฒนาการขนส่งที่ยั่งยืน ในมุมมองของ Elon คู่แข่งที่แท้จริงของ Tesla ไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้ออื่น แต่เป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินที่ผลิตออกมามหาศาลทุกวัน เขาต้องการให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตเร็วขึ้น เพื่อต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แต่การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ไม่ได้หมายความว่าใครก็สามารถทำอะไรก็ได้กับเทคโนโลยีของบริษัท มีเงื่อนไขสำคัญ คือผู้ที่ใช้เทคโนโลยีของ Tesla ต้องทำด้วยความสุจริต ไม่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของ

Tesla ไม่ท้าทายการใช้เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทอื่น และไม่ขายหรือช่วยขายผลิตภัณฑ์ Tesla ปลอม นี่เป็นวิธีที่ชาญฉลาดในการแบ่งปันความรู้ แต่ยังคงปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท

น่าสนใจที่ Elon ไม่ได้เชื่อมั่นในระบบสิทธิบัตรมาตลอด ในช่วงแรกของอาชีพ เขาเคยคิดว่าสิทธิบัตรเป็นสิ่งที่ดีและได้รับสิทธิบัตรมากมาย แต่ประสบการณ์ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด เขาเปรียบเทียบสิทธิบัตรกับการซื้อสลากกินแบ่งเพื่อการฟ้องร้อง โดยอ้างถึงคดีความระหว่าง Apple และ Samsung ที่ในที่สุดแล้วผู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆ คือทนายความเท่านั้น

แต่ทำไม Elon ถึงกล้าเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla? คำตอบอยู่ที่ปรัชญาของเขาเกี่ยวกับนวัตกรรม Elon เชื่อว่าวิธีที่แท้จริงในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาคือการสร้างนวัตกรรมให้เร็วพอต่างหาก

เขากล่าวว่าถ้าอัตราการสร้างนวัตกรรมของคุณสูง คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เพราะคู่แข่งจะกำลังลอกเลียนแบบสิ่งที่คุณทำเมื่อหลายปีก่อน ไม่ใช่สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน

นี่เป็นมุมมองที่น่าสนใจและท้าทายเป็นอย่างมาก มันแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจอย่างสูงในความสามารถของทีมงานและวิสัยทัศน์ของบริษัท Tesla ไม่กลัวที่จะแบ่งปันความรู้ เพราะเชื่อว่าจะยังคงเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมต่อไป

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของ Elon ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงสุญญากาศ มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมยานยนต์

ในปี 2014 เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน Toyota ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรของ Tesla ได้หันไปสนใจการผลิตรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนแทน

การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจาก Toyota ประกาศยุติความร่วมมือกับ Tesla และเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ Toyota จะเปิดตัวรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนรุ่นแรก นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการตอบโต้เชิงกลยุทธ์ของ Elon เพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า

การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ส่งผลให้บริษัทได้เปรียบในระยะยาว เพราะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ มีแนวโน้มที่จะนำเทคโนโลยีของ Tesla ไปใช้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนและบริษัทพลังงานลงทุนในเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นด้วย นี่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม

แต่กลยุทธ์นี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เสี่ยงเลยซะทีเดียว เราสามารถเห็นตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ของ IBM PC ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบเปิดเช่นกัน ในตอนแรก IBM ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ในที่สุดก็สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งที่ผลิตคอมพิวเตอร์ที่เข้ากันได้กับ PC จนต้องขายธุรกิจ PC ทั้งหมดให้กับ Lenovo ในปี 2005

แต่ Elon และทีมงานของ Tesla ดูเหมือนจะไม่กังวลกับความเสี่ยงนี้ พวกเขามีความมั่นใจในความสามารถและเทคโนโลยีของตนเอง และเชื่อว่าจะยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าต่อไป นี่คือความมั่นใจที่มาจากการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอย่างแท้จริง

การตัดสินใจของ Elon ในการเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla เป็นการเดิมพันที่กล้าหาญ มันแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลที่มองเห็นประโยชน์ของการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมมากกว่าผลประโยชน์ระยะสั้นของบริษัท นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการคิดนอกกรอบและการกล้าท้าทายแนวปฏิบัติทางธุรกิจแบบเดิมๆ

แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่บริษัทอื่นๆ จะทำตามแนวทางนี้ เพราะระบบสิทธิบัตรยังคงมีข้อได้เปรียบหลายประการ แต่การกระทำของ Elon ก็ได้จุดประกายการสนทนาที่สำคัญเกี่ยวกับบทบาทของทรัพย์สินทางปัญญาในโลกที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว มันท้าทายให้เราคิดใหม่เกี่ยวกับวิธีที่เราสามารถส่งเสริมนวัตกรรมและความร่วมมือ โดยยังคงรักษาแรงจูงใจสำหรับการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา

ในท้ายที่สุด การตัดสินใจของ Elon Musk ในการเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทเดียว แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมและได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า มันแสดงให้เห็นว่าบางครั้งการแบ่งปันความรู้และการร่วมมือกันอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างให้เกิดขึ้นได้นั่นเองครับผม