Bolt x Uber บริษัท Startup เล็ก ๆ ของเอสโตเนียเอาชนะ Uber ในเกมของตัวเองได้อย่างไร

เป็นเคสที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับบริษัท Startup ขนาดเล็กที่ต้องการสู้กับทุนใหญ่ ที่ผ่านการระดมทุนจำนวนมหาศาล และมีเม็ดเงินที่จะเผาผลาญเล่นในธุรกิจอย่างไม่จำกัดแบบ Uber

Markus Villig ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับบริการ Bolt ของเขาด้วยงบประมาณอันน้อยนิด เข้าได้สร้างธุรกิจมูลค่า 8.4 พันล้านดอลลาร์ และผลักดันตัวเองให้กลายเป็นมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 700 ล้านดอลลาร์

Bolt ซึ่งมีฐานหลักอยู่ในเอสโตเนียซึ่งมีเงินทุนเพียงแค่ 2 ล้านดอลลาร์ เข้าสู่การแข่งขันโดยตรงกับ Uber ซึ่งในปีก่อนหน้าระดัมทุนได้ 1.2 พันล้านดอลลาร์จากการประเมินมูลค่า 17 พันล้านดอลลาร์

เนื่องจาก Villig มีเงินทุนเพียงแค่ 0.01% ของ Uber นั่นทำให้การต่อสู้ต้องใช้วิธีที่แตกต่างกันมาก แทนที่จะไปดวลตัวต่อตัวกับ Uber ในตลาดที่พัฒนาแล้ว Bolt เริ่มกำหนดเป้าหมายไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น โปแลนด์ ซึ่งในช่วงแรกมีการแข่งขันเพียงเล็กน้อยหรือแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ

Markus Villig ได้ร่วมกับ Martin พี่ชายของเขา ซึ่งแก่กว่า Markus 15 ปี และมีประสบการณ์ในแวดวงบริษัท Startup ในเอสโตเนีย เพื่อสร้างบริการเรียกรถขึ้นในเอสโตเนีย

Markus Villig ได้ร่วมกับ Martin พี่ชายของเขา ซึ่งแก่กว่า Markus 15 ปี (CR:Estonian World)
Markus Villig ได้ร่วมกับ Martin พี่ชายของเขา ซึ่งแก่กว่า Markus 15 ปี (CR:Estonian World)

ส่วนใหญ่ Bolt พึ่งพาการแฮ็ก เช่น การรับสมัครพนักงานขับรถผ่าน Facebook มากกว่าจะอัดเงินไปกับการโฆษณาอย่างบ้าคลั่งเหมือนกับ Uber การจ้าง programmer ชาวเอสโตเนีย ซึ่งมีค่าจ้างเพียงเศษเสี้ยวของพนักงานในแถบ Bay Area และการทำงานในอพาร์ตเมนต์ราคาถูกในทาลลินน์ เมืองหลวงของเอสโตเนีย

ในขณะที่นักลงทุนพยายามกระตุ้นให้ Villig พยายามที่จะเจาะเข้าไปยังตลาดสหรัฐฯ แต่ Villig กลับไปเปิดตัวในแอฟริกาใต้แทน โดยจ้างพนักงานท้องถิ่นทั้งหมดผ่าน Skype ซึ่งคนขับรถชาวแอฟริกาใต้และลูกค้าส่วนใหญ่แทบจะไม่มีบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคาร ดังนั้นเขาจึงติดตามการชำระเงินด้วยเงินสดแทน รายได้จากประเทศในแอฟริกา ซึ่งรวมถึงแอฟริกาใต้ ไนจีเรีย และกานา คิดเป็นสัดส่วนหนึ่งในสามของธุรกิจ Bolt

ระหว่างปี 2015-2019 Bolt มีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 730,000 ดอลลาร์เป็น 142 ล้านดอลลาร์ Villig ไม่สามารถดำเนินธุรกิจแบบเดียวกับ Uber ได้ ไม่สามารถที่จะขาดทุนก้อนใหญ่ ดังนั้นเขาจึงบริหารบริษัทให้ใกล้ถึงจุดคุ้มทุน ในทางกลับกัน Uber ใช้เงินไป 19.8 พันล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 6.3 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ก่อนที่จะมีการทำ IPO ในปี 2019

ซึ่งหลังจากทำงานด้วยข้อจำกัดอยู่หลายปี ในที่สุด Villig ก็ได้รับการสนับสนุนจาก Didi บริษัทเรียกรถยักษ์ใหญ่ของจีน รวมถึง Mercedes-Benz ก่อนที่ Sequoia Capital และ Fidelity จะอัดฉีดเงินลงทุน 1.4 พันล้านดอลลาร์ในรอบการระดมทุนระหว่างเดือนสิงหาคม 2021 ถึง มกราคม 2022

แม้สถานการณ์ของ Bolt จะดีขึ้นจากเงินลงทุนที่เข้ามา แต่ Villig เองก็ยังต้องระวังตัวไม่ให้ตกหลุมพรางเดียวกันกับ Uber เขาใช้เวลากับเงินส่วนใหญ่ไปกับความพยายามในการสร้าง Super App ของ Bolt ซึ่งนำเสนอสกู๊ตเตอร์และรถเช่า รวมถึงบริการส่งอาหารและของชำ

ความประหยัดถือเป็น key สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ Bolt ประสบความสำเร็จมาจวบจนถึงทุกวันนี้ Bolt แทบไม่ออกบัตรเครดิต โทรศัพท์ หรือสินค้าองค์กรอื่นๆ ให้กับพนักงาน และจนถึงปี 2019 Villig ยังแชร์ห้องพักร่วมกันกับพนักงานเมื่อมีการเดินทางเพื่อประหยัดค่าโรงแรม

Villig ที่สูง 6 ฟุต 4 แทบจะบินด้วยสายการบิน Low Cost ตลอดทุกการเดินทาง “เราประหยัดมากตั้งแต่วันแรกเพราะเราไม่มีเงิน” เขากล่าว “ตอนนี้ Bolt มีพนักงาน 4,000 คน พวกเขาคิดถึงสิ่งที่พวกเขาใช้จ่ายทุกวัน และนั่นคือข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดข้อเดียวของเรา”

ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีหลายรายต่างเลิกจ้างพนักงานในช่วงปีที่ผ่านมา Villig ไม่มีแผนที่จะปลดพนักงานแต่อย่างใด การลดเงินเดือนโดยสมัครใจและเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลช่วยให้พนักงานของ Bolt รอดจากเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19

แต่ก็ยังมีความท้าทายที่เกิดขึ้นกับ Bolt เฉกเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับ Uber เหล่ารัฐบาลท้องถิ่นทั่วโลกเริ่มมองเห็นปัญหาเดียวกันกับแอปเรียกรถ รวมถึงการประท้วงที่เกิดขึ้นจากเหล่า Rider และการรณรงค์ให้จัดประเภทคนขับให้กลายเป็นพนักงานประจำไม่ใช่อาชีพอิสระอีกต่อไป

ในเอสโตเนีย Villig เองได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในฐานะหนึ่งในนายจ้างรายใหญ่ที่สุดของประเทศแถบบอลติก แต่ Bolt ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในสภาพแวดล้อมที่ใหญ่ขึ้นและมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นในอนาคต

ความน่าสนใจของเอสโตเนียกับ Startup

เอสโตเนียเป็นหนึ่งในประเทศเล็ก ๆ ที่สร้างบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็น Skype ที่ขายให้ Microsoft แอปแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Wise หรือ Bolt ในเคสล่าสุด

ประธานาธิบดี Kersti Kaljulaid ของเอสโตเนีย กล่าวว่า บริษัทข้ามชาติมักจะตั้งสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่มีระบบภาษีที่เกื้อหนุนพวกเขา แต่เอสโตเนียไม่เคยเป็นแหล่งหลบเลี่ยงภาษีให้บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้

ประธานาธิบดี Kersti Kaljulaid ของเอสโตเนีย (CR: The Nomad Today)
ประธานาธิบดี Kersti Kaljulaid ของเอสโตเนีย (CR: The Nomad Today)

นั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่เอสโตเนียมีธุรกิจ Startup จากบ้านเกิดจำนวนมาก และได้เห็น Unicorn ถือกำเนิดจากประเทศนี้บ่อยขึ้น

และโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเอสโตเนียได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นมิตรกับเทคโนโลยีมากที่สุดในโลก รัฐบาลได้ดำเนินการหลายอย่างทางออนไลน์ก่อนประเทศอื่น ๆ มีการลงคะแนนเสียงออนไลน์ บัตรประชาชนแบบดิจิทัล และมีบริการ Wi-Fi ฟรีทั่วประเทศ

ซึ่งนั่นล้วนเป็น key สำคัญที่เราจะได้เห็น Unicorn Startup จากเอสโตเนียเพิ่มมากขึ้นในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
https://www.forbes.com/sites/iainmartin/2023/04/12/how-this-estonian-startup-beat-uber-at-its-own-game
https://3seaseurope.com/a-bolt-in-the-sky-the-meteoric-rise-of-an-estonian-mobility-company/
https://cnbc.com/2021/09/17/estonia-president-skype-wise-bolt-thrive-in-absence-of-tech-giants.html
https://startupuniversal.com/e-stonia-the-most-digitally-advanced-startup-ecosystem-in-the-world/
https://saartehaal.postimees.ee/7658128/markus-villig-bolt-saab-kahe-aasta-parast-borsikupseks

ตัวเร่งวิกฤตสุขภาพจิตเด็ก เมื่อโรงเรียนรัฐในอเมริกาเตรียมล่ารายชื่อฟ้อง Meta,Google และ TikTok

มันได้กลายเป็นปัญหาไปทั่วโลกเสียแล้วนะครับ สำหรับวิกฤตสุขภาพจิตของเด็กวัยรุ่น ที่กำลังหลงอยู่ในโลกเครือข่ายโซเชียลมีเดีย โดยมีรายงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมากมายที่พบว่าสิ่งเหล่านี้กำลังสร้างหายนะให้เกิดขึ้นกับเด็ก

ในขณะนี้เหล่าโรงเรียนในระบบรัฐของสหรัฐอเมริกา ที่นำโดยเขตการศึกษาของรัฐแมรี่แลนด์ กำลังเตรียมฟ้องร้อง Meta ,Google , Snap และ TikTok เนื่องจากมีส่วนทำให้เกิด “วิกฤตสุขภาพจิต” ในหมู่นักเรียน

โดยคดีที่ฟ้องร้องโดย Howard County Public School System อ้างว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ดำเนินการโดยบริษัทเหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ “เสพติดและอันตราย” ซึ่งได้ “ให้รางวัล” กับวิธีที่เด็ก ๆ “คิด รู้สึก และประพฤติ”

คดีดังกล่าวได้อ้างถึงปัญหาใน Instagram , Facebook , Youtube, Snapchat และ TikTok ที่กำลังทำร้ายเด็กซึ่งเป็นอนาคตของชาติ และยังถูกกล่าวหาว่า ในแต่ละแอปมีการกระตุ้นโดพามีน โดยเสนอรางวัลเป็นเหยื่อล่อ

ตัวอย่างเช่น หน้า For You ของ TikTok ซึ่งใช้ประโยชน์จากข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของผู้ใช้เพื่อนำเสนอเนื้อหาแนะนำที่ไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนี้ยังกล่าวถึงอัลกอริธึม recommendation ของ Facebook และ Instagram เป็นคุณสมบัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างรูปแบบที่อันตรายของการใช้ผลิตภัณฑ์ซ้ำ ๆ และมากเกินไป

แพลตฟอร์ม Social Media ส่วนใหญ่ที่ออกแบบมาหลอกล่อกลุ่มเด็ก ๆ (CR:Theinvestor)
แพลตฟอร์ม Social Media ส่วนใหญ่ที่ออกแบบมาหลอกล่อกลุ่มเด็ก ๆ (CR:Theinvestor)

นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่าแต่ละแพลตฟอร์มส่งเสริม การเปรียบเทียบทางสังคมที่ไม่ดีต่อสุขภาพจิตของเด็กเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของร่างกายและความผิดปรกติทางร่างกายและจิตใจที่เกี่ยวข้องกับเด็ก

รวมถึงส่วนอื่น ๆ ที่คดีได้กล่าวถึงส่วนของการควบคุมโดยผู้ปกครองที่มีความบกพร่องของแต่ละแอป รวมถึงปัญหาเรื่องความปลอดภัยที่อ้างว่าส่งเสริมการแสวงหาประโยชน์ในเรื่องทางเพศกับเด็ก

“ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จำเลยได้ดำเนินกลยุทธ์การเติบโตโดยไม่ลดละค่าใช้จ่ายใด ๆ โดยไม่สนใจผลกระทบของผลิตภัณฑ์ที่มีต่อสุขภาพจิตและร่างกายของเด็ก” คำฟ้องระบุ “ในการแข่งขันเพื่อแย่งชิงตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล แต่ไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ กับผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่น จำเลยแต่ละคนได้ออกแบบคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์เพื่อส่งเสริมการใช้งานซ้ำ ๆ และควบคุมไม่ได้โดยเด็ก”

การตอบโต้จากจำเลย

“เราได้ลงทุนในเทคโนโลยีค้นหาและลบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตาย การทำร้ายตัวเอง หรือผิดปรกติของการกิน ก่อนที่จะมีการรายงานจากผู้ใช้เสียด้วยซ้ำ” Antigone Davis หัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยของ Meta กล่าวในแถลงการณ์

“สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่ซับซ้อน แต่เราจะทำงานร่วมกับผู้ปกครอง ผู้เชี่ยวชาญ และหน่วยงานกำกับดูแลต่อไป เช่น อัยการสูงสุดของรัฐ เพื่อพัฒนาเครื่องมือ ฟีเจอร์ และนโยบายการใช้งานใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของวัยรุ่นและครอบครัวของพวกเขา”

Google ได้ออกมาปฏิเสธข้อหาดังกล่าวที่ระบุไว้ในคดี โดย Jose Castaneda โฆษกของบริษัทที่ได้ออกมาแถลงการณ์ว่า “ด้วยความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก เราได้สร้างประสบการณ์ที่เหมาะสมกับวัยสำหรับเด็กและครอบครัวบน Youtube และให้เครื่องมือในการควบคุมที่มีประสิทธิภาพแก่ผู้ปกครอง”

ในขณะเดียวกับ Peter Boogaard โฆษกของ Snap กล่าวว่า “บริษัทได้ตรวจสอบเนื้อหาทั้งหมดก่อนที่จะเข้าถึงผู้ชมจำนวนมาก ซึ่งช่วยป้องกันการโปรโมตและการค้นพบเนื้อหาที่อาจเป็นอันตราย”

ในขณะที่ ByteDance เจ้าของ TikTok ยังไม่ตอบสนองต่อเรื่องการฟ้องร้องดังกล่าว

ทางออกคือกฎหมาย

เหล่านักวิจารณ์ให้ความสนใจกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสื่อสังคมออนไลน์ต่อเด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ Frances Haugen อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ Facebook ได้ออกมาแฉผ่านสื่อ

ซึ่งทาง Haugen ระบุว่า Facebook รู้อยู่เต็มออกว่าแพลตฟอร์มสร้างปัญหาในสังคม ทั้งข้อความแสดงความเกลียดชัง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตในเด็ก แต่ Facebook ไม่ยอมจัดการเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพราะเกรงว่ายอด Engagement จะลดลง หรือเลือกผลประโยชน์มากกว่าความปลอดภัยในการใช้งาน

ซึ่ง Haugen บอกว่าต้นตอของปัญหาเริ่มในปี 2018 ที่ Facebook เริ่มใช้อัลกอริธึมแบบใหม่ เริ่มที่จะควบคุมการมองเห็เนื้อหาในแพลตฟอร์ม เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมหรือ Engagement ซึ่งบริษัทพบว่าการมีส่วนร่วมที่ดีที่สุดคือการปลูกฝังความกลัวและความเกลียดชังในหมู่ผู้ใช้งาน

Frances Haugen อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ Facebook ได้ออกมาแฉผ่านสื่อ (CR:Rolling Stone)
Frances Haugen อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ Facebook ได้ออกมาแฉผ่านสื่อ (CR:Rolling Stone)

 Dr. Vivek Murthy ศัลยแพทย์ทั่วไปของสหรัฐฯ ได้ออกคำแนะนำว่า “สื่อสังคมออนไลน์มีความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กและวัยรุ่น”

บางรัฐของอเมริกาได้ตอบสนองต่อปัญหาด้านความปลอดภัยที่เกิดจากสื่อสังคมออนไลน์โดยการออกกฎหมายที่ปกป้องไม่ให้เด็ก ๆ ลงชื่อเพื่อสมัครใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ รัฐยูทาห์จะห้ามไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีใช้โซเชียลมีเดียโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง

ในปีหน้ารัฐอาร์คันซอได้ออกกฎหมายที่คล้ายคลึงกันเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะลงชื่อสมัครใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ ในขณะเดียวกันกฎหมายความปลอดภัยทางออนไลน์ระดับประเทศบางฉบับอาจใช้ระบบตรวจสอบที่รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเด็ก แม้จะมีคำเตือนจากกลุ่มผู้ปกป้องสิทธิเสรีภาพและความเป็นส่วนตัวก็ตาม

บทสรุป

เรียกได้ว่าแทบจะเป็นครั้งแรกที่สถาบันการศึกษาเริ่มออกมาหาวิธีปกป้องเยาวชนจากปัญหาเรื่องสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ทั้งหลาย ซึ่งแสดงว่าพวกเขาได้มองเห็นผลกระทบของปัญหานี้จริง ๆ ภายในสถานศึกษาที่เกิดขึ้นบ่อยจนต้องออกมาฟ้อง

เมื่ออินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายสังคมออนไลน์เหล่านี้ ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ใหญ่ ทำให้นโยบายของรัฐ กฎหมาย และกลไกที่ใช้กำกับดูแลของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้นยังไม่ปกป้องเด็กมากเพียงพอ หรืออาจะถูกมองข้ามไป

แพลตฟอร์มที่เป็น Global แทบจะทั้งหมดที่ถูกกล่าวหานั้น แน่นอนว่าพวกเขาต้องรีดศักยภาพทุกอย่างเพื่อสร้างรายได้สูงสุดให้กับพวกเขา และเน้นไปที่การเติบโตเพื่อให้เหล่านักลงทุนพอใจ

แต่การเติบโตนั้นสวนทางกับปัญหาสังคม ที่เต็มไปด้วยสิ่ง Toxic โดยเฉพาะกับเด็ก มันมีทางเลือกไม่มากสำหรับรัฐบาลทั่วโลก หรือแม้กระทั่งรัฐบาลในประเทศไทยเอง ที่ต้องมีความจริงจังในการออกกฎหมายเพื่อมาจัดการสิ่งเหล่านี้ เพราะเด็กคือผู้ใหญ่ในวันหน้า และเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศในยุคหน้า ซึ่งหากไม่แก้อย่างจริงจัง จะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาวได้อย่างแน่นอนครับผม

References :
https://www.theverge.com/2023/6/2/23746904/maryland-school-meta-google-tiktok-snap-lawsuit
https://www.theverge.com/22740969/facebook-files-papers-frances-haugen-whistleblower-civic-integrity
https://www.blognone.com/node/125084
https://blogs.lse.ac.uk/medialse/2017/06/28/digital-media-challenge-childrens-rights-around-the-world-the-case-for-a-general-comment-on-the-un-convention-on-the-rights-of-the-child/
https://vator.tv/news/2022-11-09-the-impact-of-social-media-on-children-who-is-responsible-for-making-sure-theyre-safe

แพลตฟอร์ม Diia กับการปฏิวัติระบบราชการของยูเครนเพื่อการเป็น GovTech ต้นแบบของโลก

ผู้คนหลายพันคนรวมตัวกันที่ Warner Theatre ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อร่วมงานพิเศษที่อุทิศให้กับ Diia แพลตฟอร์มรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับรางวัลของยูเครน

“ชาวยูเครนไม่เพียงแต่ต้องต่อสู้กับสงครามเพียงเท่านั้น ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้สร้างอนาคตของประชาธิปไตย” Samantha Power ผู้บริหารของ USAID (องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา) กล่าวในงานประกาศรางวัล

เมื่อ 3 ปีที่แล้ว กระทรวงดิจิทัลของยูเครนที่นำโดย Mykhailo Fedorov ได้เปิดตัวแอปเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของภาคเอกชนและรัฐบาลได้ผ่านมือถือ

ต้องบอกว่าเป็นเคสการปฏิวัติทางดิจิทัลของรัฐบาลยูเครนที่น่าสนใจมาก ๆ ด้วยแพลตฟอร์ม Diia ทำให้ประชาชนชาวยูเครนสามารถเข้าถึงบริการรัฐในรูปแบบดิจิทัลที่พลเมืองสหรัฐฯ ทำได้เพียงแค่ฝันถึงได้

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการข้ามพรมแดน การขอใบอนุญาตก่อสร้าง และการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ แพลตฟอร์มดังกล่าวยังลดโอกาสในการเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นด้วยการขจัดระบบราชการที่ซ้ำซ้อน ที่ต้องมีการจ่ายส่วย ยัดเงินใต้โต๊ะให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ และยังช่วยให้รัฐบาลยูเครนตอบสนองต่อวิกฤติต่าง ๆ เช่น การระบาดใหญ่ของโควิดและการรุกรานของรัสเซีย

“มรดกของสหภาพโซเวียตคือการคอรัปชั่น ถ้าคุณต้องการขอใบอนุญาตก่อสร้างหรือเปลี่ยนทะเบียนรถ คุณต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ แต่ Diia กำจัดสิ่งนั้นออกไป” Fedorov กล่าว

“เราทำตัวเหมือนสตาร์ทอัพมากกว่า ไม่ใช่บริษัทภาครัฐ” Federov กล่าวโดยสนับสนุนวัฒนธรรมการจัดการที่คล่องตัว ซึ่งนำโดยนักพัฒนาเพียง 25 คนเท่านั้น

“เรามองไปที่ Uber, Airbnb, Booking.com, ธนาคารบนมือถือ คุณสามารถพูดคุยเกี่ยวกับการศึกษาด้านดิจิทัล แต่ต้องดูว่าผู้สูงอายุคุ้นเคยกับเทคโนโลยีอย่างไร พวกเขาอาจบอกว่าไม่ต้องการทำธุรกรรมกับธนาคารทางออนไลน์ แต่พวกเขาใช้ WhatsApp เพื่อส่งโปสการ์ดตลกๆ ให้ลูกหลานได้อย่างรวดเร็ว” เขากล่าว

Mykhailo Fedorov รัฐมนตรีดิจิทัลและรองนายกของยูเครน (CR:ukranews)
Mykhailo Fedorov รัฐมนตรีดิจิทัลและรองนายกของยูเครน (CR:ukranews)

ตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ 2022 แพลตฟอร์ม Diia มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการตอบสนองของยูเครนต่อการรุกรานอย่างเต็มรูปแบบของรัสเซีย

ในวันแรกของการโจมตี แพลตฟอร์มดังกล่าวทำให้สามารถจัดเตรียมเอกสารการอพยพพร้อมกับความสามารถในการรายงานความเสียหายต่อทรัพย์สิน

มีการพัฒนาฟีเจอร์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ฟังก์ชั่น e-enemy ช่วยให้ผู้อาศัยในยูเครนสามารถรายงานตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของกองทัพรัสเซียได้

ฟังก์ชั่นวิทยุและโทรทัศน์ช่วยแจ้งให้ผู้ที่ถูกตัดขาดจากโครงสร้างพื้นฐานของสื่อดั้งเดิม (วิทยุ/โทรทัศน์) หรือในพื้นที่ที่โครงสร้างพื้นฐานการออกอากาศได้รับความเสียหายหรือถูกทำลายสามารถรับรู้ข้อมูลจากภาครัฐได้

ต้นแบบ GovTech

ปัจจุบันต้องบอกว่า Diia พัฒนาไปไกลยิ่งกว่าแนวคิดของ e-government ที่มีการใช้งานในหลายประเทศ

Diia นำเสนอหนังสือเดินทางดิจิทัลเล่มแรกของโลก และ สามารถเข้าถึงเอกสารดิจิทัลอื่น ๆ อีก 14 ฉบับ พร้อมบริการสาธารณะ 25 รายการ

แอปนี้ได้รับการติดตั้งบนโทรศัพท์มือถือของชาวยูเครนประมาณ 70% และพลเมือง 19 ล้านคน หรือ ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด เข้าถึงบริการต่าง ๆ ของรัฐและเอกชนได้กว่า 100 รายการ

นอกจากฟังก์ชั่นที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มประชากรทั่วไปแล้ว ระบบยังรวบรวมข้อมูลสำหรับสำนักงานสถิติแห่งชาติและทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับเจ้าหน้าที่

Diia ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นแพลตฟอร์มรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ยุคหน้าแห่งแรกของโลก และได้รับการยกย่องจากการนำสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นรูปแบบการบริการของรัฐบาลที่มีลักษณะแบบ human-centric มากยิ่งขึ้น

เรียกได้ว่าเป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสอย่างแท้จริงของรัฐบาลยูเครน เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน

แต่เดิมนั้นรัฐบาลพบว่ามีระบบที่แยกจากกันจำนวนมาก โดยแต่ละระบบจะอิงตามฐานข้อมูลของตนเอง ทำให้ผู้คนประสบปัญหาจากระบบราชการ และจำเป็นต้องติดต่อประสานงานกับองค์กรทางราชการต่าง ๆ ซ้ำ ๆ และบางครั้งต้องยัดเงินใต้โต๊ะเพื่อให้กระบวนการต่างๆ รวดเร็วขึ้น

โครงการริเริ่มรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาเดียวกันทั่วโลก เช่น ความเหลื่อมล้ำทางด้านเทคนิคของระบบรัฐ ความปลอดภัยของข้อมูลและระบบป้องกันข้อมูลที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

การประสานงานที่ไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการต่าง ๆ ทำให้ยูเครนเป็นประเทศแรก ๆ ที่บุกเบิกแนวทางแก้ไขปัญหาที่มีลักษณะแบบ human-centric มากขึ้นสำหรับปัญหาทั่วไปเหล่านี้

ต้องบอกว่าหนึ่งในความท้าทายหลักบนเส้นทางสู่การสร้างรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่ยั่งยืนคือ การผสานรวมระหว่างความเป็นมิตรต่อผู้ใช้เข้ากับความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับสูง

หากมองถึงดัชนีที่เกี่ยวข้อง เช่น ดัชนีบริการออนไลน์และดัชนีความปลอดภัยทางไซเบอร์พื้นฐาน มีเพียงไม่กี่ประเทศในยุโรปเท่านั้นที่สามารถบรรลุความสมดุลที่เหมาะสมได้ เช่น เอสโตเนีย เดนมาร์ก ฝรั่งเศส สเปน และลิทัวเนีย นอกเหนือจากยุโรปแล้ว ปัจจุบันมีเพียงสิงคโปร์และมาเลเซียเท่านั้นที่เป็นไปได้

ยูเครนเองมีสถิติที่แข็งแกร่งในด้านความปลอดภัย นับตั้งแต่การรุกรานของรัสเซียเริ่มขึ้น ระบบ Diia ถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยกองกำลังไซเบอร์รัสเซีย และพวกเขาสามารถต้านทานการโจมตีเหล่านี้ได้สำเร็จ

Diia ถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยกองกำลังไซเบอร์รัสเซีย (CR:news.northeastern.edu)
Diia ถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยกองกำลังไซเบอร์รัสเซีย (CR:news.northeastern.edu)

มันเป็นข้อบ่งชี้ว่าแพลตฟอร์มของยูเครนมีระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีความพร้อมสูงรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่งและปลอดภัย

ความสำเร็จของอุตสาหกรรมไอทีของยูครนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้เปลี่ยนมุมมองที่ต่างชาติมองมายังยูเครนใหม่ ซึ่งแทนที่จะถูกมองว่าเป็นผู้ส่งออกโลหะและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเป็นหลัก ปัจจุบันยูเครนถูกมองว่าเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นทางด้านเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้มากขึ้นเรื่อย ๆ

ขณะนี้กระทรวงการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลกำลังทำงานเพื่อทำให้ Diia เป็นแบบอย่างระดับโลกสำหรับ GovTech

ซึ่งจากข้อมูลของ Samantha Power หน่วยงานของยูเครนสนใจที่จะแบ่งปันประสบการณ์กับชุมชนระหว่างประเทศเพื่อให้ผู้อื่นสามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับพลเมืองของตนบนหลักการเดียวกัน

โอกาสของประเทศอื่น ๆ (รวมถึงประเทศไทย)

USAID ได้ประกาศโครงการพิเศษเพื่อสนับสนุนประเทศที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Diia เพื่อช่วยในการพัฒนาระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของตนเอง

โครงการริเริ่มดังกล่าวนี้จะเปิดตัวครั้งแรกในประเทศโคลอมเบีย โคโซโว และแซมเบีย ระบบ Diia ของยูเครนอาจใช้เป็นแบบอย่างทั่วโลกสำหรับการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในอนาคตอันใกล้นี้

มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับประเทศไทยเราเอง ที่จะเข้าร่วมขบวนการเปลี่ยนแปลง โดยดูโมเดลที่ประสบความสำเร็จจากยูเครนมาแล้ว

เพราะรัฐบาลที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวนี้จะสามารถลดการทุจริตที่เชื่อมโยงกับอุปสรรคของระบบราชการได้อย่างมาก ตัวอย่างระบบส่วยที่เป็นข่าวดังในประเทศไทยขณะนี้มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนมาก ๆ ว่าประเทศเรายังมีปัญหานี้ซึมลึกอยู่ในโครงสร้างของประเทศ และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศมาก ๆ และ GovTech ก็เป็นอีกวิธีแก้ไขหนึ่งที่น่าสนใจที่มีเคสของยูเครนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วเป็นตัวอย่างให้เราได้เห็นนั่นเองครับผม

References :
https://www.atlanticcouncil.org/blogs/ukrainealert/ukraines-diia-platform-sets-the-global-gold-standard-for-e-government/
https://www.theguardian.com/world/2023/may/26/meet-diia-the-ukrainian-app-used-to-do-taxes-and-report-russian-soldiers
https://www.ft.com/content/2c73dfbc-a25f-420b-bf2b-41fbb17e5ddb
https://www.kyivpost.com/post/7769
https://www.ukrweekly.com/uwwp/zelenskyy-administration-launches-state-in-a-smartphone-app/

กฎหมายควบคุม AI กับความท้าทายใหม่ของรัฐบาลทั่วโลกที่ต้องเข้ามาจัดการอย่างเร่งด่วน

มันได้กลายเป็นปัญหาใหม่ และปัญหาใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับรัฐบาลทั่วโลก เมื่อเทคโนโลยีอย่าง Generative AI กำลังแพร่กระจายไปยังคนหมู่มากได้ใช้งาน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ยังไม่ได้รับการประเมินอย่างถี่ถ้วน ว่าจะกระทบกับวิถีการดำเนินชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมโลกอย่างไรบ้าง

Sam Altman CEO ของ OpenAI เรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญติพิจารณาควบคุม AI ในระหว่าง การให้ปากคำกับวุฒิสภา เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2023 ที่ผ่านมา คำแนะนำดังกล่าว ทำให้เกิดคำถามในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

สำหรับ โซลูชั่นที่ Altman เสนอนั้น คือการสร้างหน่วยงานกำกับดูแลด้าน AI และกำหนดให้บริษัทต่าง ๆ ต้องได้รับใบอนุญาติ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่า แม้กระทั่ง OpenAI ซึ่งเป็นคนสร้างเทคโนโลยีดังกล่าว ก็ยังแสดงความกังวลกับผลกระทบที่จะตามมา

มีผู้เชี่ยวชาญมากมายได้ให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวที่มีความสำคัญพอ ๆ กัน ทั้งความโปร่งใสในการฝึกอบรมข้อมูล และ การกำหนดกรอบที่ชัดเจนสำหรับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ AI

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจที่ยังไม่มีการพูดถึงก็คือ เมื่อคำนึงถึงเศรษฐศาสตร์ของการสร้างโมเดล AI ขนาดใหญ่ อุตสาหกรรมอาจได้เห็นการเกิดขึ้นของการผูกขาดทางเทคโนโลยีประเภทใหม่นี้ได้เช่นเดียวกัน

หน่วยงานที่ควบคุม AI

ฝ่ายนิติบัญญัติและผู้กำหนดนโยบายทั่วโลก (ยังไม่เห็นในไทย) ได้เริ่มกล่าวถึงประเด็นบางประเด็นในคำให้การของ Altman แล้ว

พระราชบัญญัติ AI ของสหภาพยุโรป ได้อิงตามแบบจำลองความเสี่ยงที่กำหนดให้แอปพลิเคชั่น AI มีความเสี่ยงสามประเภท ได้แก่ ความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้ ความเสี่ยงสูง และ ความเสี่ยงต่ำหรือความเสี่ยงที่น้อยที่สุด

การจัดหมวดหมู่ดังกล่าวนี้ทำให้ตระหนักถึงเครื่องมือต่าง ๆ ที่กำลังใช้เทคโนโลยี AI เช่น Social Credit ที่ถูกใช้โดยรัฐบาลบางประเทศ และเครื่องมืออัตโนมัติต่าง ๆ สำหรับการคัดกรองการจ้างงาน ซึ่งล้วนมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป

สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIST) ก็ได้จัดทำกรอบการจัดการความเสี่ยงด้าน AI ที่สร้างขึ้นด้วยข้อมูลจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียหลายกลุ่ม รวมถึงหอการค้าสหรัฐ , สมาพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน ตลอดจนสมาคมธุรกิจและวิชาชีพอื่น ๆ บริษัททางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ

หน่วยงานของรัฐบาลกลาง เช่น คณะกรรมการการจ้างงานที่เท่าเทียม และ คณะกรรมาธิกาการค้าแห่งสหพันธรัฐ ได้ออกแนวทางเกี่ยวกับความเสี่ยงบางประการที่มีอยู่ใน AI แม้กระทั่ง คณะกรรมการความปลอดภัยของสินค้าอุปโภคบริโภค และหน่วยงานอื่น ๆ ก็กำลังมีบทบาทเช่นเดียวกัน

ซึ่งแทนที่จะสร้างหน่วยงานใหม่ที่จะมาจัดการเรื่องราวเหล่านี้ รัฐสภาพได้นำกรอบจัดการความเสี่ยงของ NIST ไปใช้ทั้งในภาครัฐและเอกชน และออกกฎหมายต่าง ๆ เช่น พระราชบัญญัติความรับผิดชอบต่ออัลกอริธึม เช่นเดียวกับกฎหมายอย่าง กฎหมาย Sarbanes-Oxley และข้อบังคับอื่น ๆ รวมถึง สภาคองเกรสยังสามารถใช้ กฎหมายที่ครอบคลุมเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล

ซึ่งการควบคุม AI นั้น ควรเป็นความร่วมมือระหว่างนักวิชาการ อุตสาหกรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบาย และหน่วยงานระหว่างประเทศ

ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเปรียบเทียบแนวทางดังกล่าวนี้กับ องค์กรระหว่างประเทศ เช่น European Organization for Nuclear Research หรือที่รู้จักกันในชื่อ CERN หรือ องค์กรพัฒนาเอกชนที่เกี่ยวข้องกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ภาคประชาสังคม อุตสาหกรรม และผู้กำหนดนโยบาย เช่น Internet Corporation for Assigned Names and Numbers และ World Telecommunication Standardization Assembly ตัวอย่างเหล่านี้เป็นแบบจำลองสำหรับอุตสาหกรรมและผู้กำหนดนโยบายในปัจจุบัน

ผู้ออกใบอนุญาต ไม่ควรเป็นองค์กรธุรกิจ

แม้ว่า Altman จาก OpenAI จะแนะนำว่าบริษัทต่าง ๆ สามารถได้รับอนุญาตให้เผยแพร่เทคโนโลยี AI สู่สาธารณะ แต่เขาก็ชี้แจงว่าเขาหมายถึง เทคโนโลยี AI ทั่วไป

เทคโนโลยี AI ที่ควรได้รับการออกใบอนุญาติ คือ AI ในอนาคตที่มีศักยภาพซึ่งจะมีสติปัญญาเหนือกว่ามนุษย์ซึ่งอาจจะเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ มันคล้ายกับบริษัทที่ได้รับสัมปทาน หรือ ใบอนุญาตในเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เป็นอันตราย เช่น พลังงานนิวเคลียร์

ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ได้กล่าวว่า ปัญหาเรื่องความลำเอียงและความเป็นธรรมของ AI ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องมีแนวทางปฏิบัติในการลดความเสี่ยงที่ครอบคลุมมากขึ้น

การเสริมสร้างกฎหมายที่มีอยู่เกี่ยวกับความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และการคุ้มครองผู้บริโภค จะช่วยให้ระบบ AI ซับซ้อนน้อยลง สิ่งที่สำคัญก็คือต้องมีความตระหนักว่าความรับผิดชอบและความโปร่งใสของข้อมูลที่มากขึ้นอาจะกำหนดข้อจำกัดใหม่ๆ ให้กับองค์กรเช่นเดียวกัน

ต้องมีกรอบการทำงานเพื่อรับรู้ถึงอันตรายของการทำงานของ AI ในสาขาต่าง ๆ เช่น การจ้างงาน การประกันภัย และการดูแลสุขภาพ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับใบอนุญาต เพื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการยุติธรรมมีความยุติธรรมเพียงพอและปกป้องในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล

อย่างไรก็ตาม ก็ต้องมีการถกเถียง ระหว่าง นักพัฒนา AI และผู้กำหนดนโยบาย และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการนำ AI ไปใช้ในวงกว้าง เช่นเดียวกัน

AI ผูกขาด?

ประเด็นนี้ค่อนข้างมีความสำคัญมาก ๆ สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าข้อมูลการฝึกอบรมทั้งหมดสำหรับเครื่องมือต่าง ๆ เช่น ChatGPT มันยังไปรุกล้ำข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของมนุษย์คนอื่น ๆ เช่น ผู้ร่วมเขียน wikipedia บล็อกเกอร์ และผู้แต่งหนังสือ แต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากเครื่องมือเหล่านี้ จะตกอยู่กับบริษัทเทคโนโลยี ที่มาหากินที่ปลายทางเพียงเท่านั้น

ในอนาคต มันจะยิ่งเป็นเรื่องที่ยากขึ้น ในการพิสูจน์อำนาจการผูกขาดของบริษัทเทคโนโลยี เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้ยิ่งพัฒนาขึ้น ก็จะมีความได้เปรียบจากการเรียนรู้ข้อมูลที่มากขึ้น

ทั้งที่ฐานข้อมูลหลักนั้น มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของคนจำนวนมาก แต่พวกเขากลับมาหากิน ในขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการ ผ่านการเรียนรู้ของ AI ซึ่งถือว่าเป็นการเอาเปรียบบุคคลอื่นค่อนข้างมาก

กฎระเบียบที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ และรัฐบาลทั่วโลกต้องเริ่มให้ความสำคัญ แม้กระทั่งรัฐบาลไทย ที่เราเป็นเพียงผู้ใช้งานฝั่งปลายน้ำ เพียงเท่านั้น

เพราะหากไม่ทำอะไรเลย มันจะส่งผลอย่างมาก ต่อโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ของประเทศนั้น ๆ เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้ ไม่ได้รับการตรวจสอบผลกระทบอย่างดีเพียงพอ ทั้งในแง่บวก หรือ แง่ลบ

เพราะนโยบายต่าง ๆ ที่ทางรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งวาดฝันไว้ ก็อาจจะไม่สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นจริงได้ เพราะโครงสร้างทางด้านสังคม และเศรษฐกิจ ที่มันกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงนั่นเองครับผม

References :
https://www.fastcompany.com/90902547/pov-heres-how-congress-can-regulate-ai
https://www.washingtonpost.com/opinions/2023/05/26/ai-regulation-congress-risk/
https://hbr.org/2023/05/who-is-going-to-regulate-ai
https://www.nytimes.com/2023/05/16/technology/openai-altman-artificial-intelligence-regulation.html

เมื่อ Yuval Noah Harari กล่าวว่า AI กำลังแฮ็กระบบปฏิบัติการของอารยธรรมมนุษย์

เป็นอีกหนึ่งบทความที่น่าสนใจจาก The Economist ที่รอบนี้ เป็นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI จาก Yuval Noah Harari นักเขียนชื่อดังจากหนังสือยอดนิยมอย่าง Sapiens: A Brief History of Humankind

Yuval มองว่า AI ได้ทำการหลอกหลอนมนุษยชาติตั้งแต่เริ่มยุคของคอมพิวเตอร์ ความกลัวในยุคเก่า ๆ นั้นอาจจะมองมันเป็นหุ่นยนต์เหมือนในภาพยนต์ hollywood ชื่อดัง ที่จะมาเข่นฆ่ามนุษย์เรา

แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเครื่องมือ AI ใหม่ ๆ กำลังคุกคามความอยู่รอดของอารยธรรมมนุษย์ในสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึง

AI ยุคใหม่โดยเฉพาะเทคโนโลยีอย่าง Generative AI มีความสามารถที่โดดเด่นในการสร้างภาษา ไม่ว่าจะเป็น คำพูด เสียง หรือภาพ มันจึงเปรียบเสมือนการที่ AI กำลังเจาะระบบปฏิบัติการของอารยธรรมมนุษย์เรา

ต้องบอกว่า ภาษา นั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากวัฒนธรรมเกือบทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากสิ่งอื่น ๆ เช่น สิทธิมนุษยชนที่ไม่ได้อยู่ใน DNA ของมนุษย์เรา แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมที่เราสร้างขึ้นโดยการบอกเล่าเรื่องราวและเขียนกฎหมายเพื่อสร้างมันขึ้นมา

หรือแม้กระทั่งเรื่องราวของพระเจ้าเองนั้น มันก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมที่เราสร้างขึ้นมาเช่นเดียวกัน โดยอ้างอิงจากพระคัมภีร์ในศาสนาต่าง ๆ

เงินก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมเช่นกัน เพราะธนบัตรที่เราใช้กันอยู่นั้นเป็นเพียงแค่กระดาษ และปัจจุบันอาจจะเป็นเพียงแค่ข้อมูลดิจิทัลในคอมพิวเตอร์เพียงเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เงินมีค่า คือ เรื่องราวที่ถูกปั้นแต่งขึ้นจากเหล่า นายธนาคาร รัฐมนตรีคลัง และกูรูด้านคริปโตที่บอกเราเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้

เมื่อ AI กำลังจะมีสติปัญญาสูงกว่ามนุษย์ในการเล่าเรื่อง

การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีอย่าง Generative AI นั้น มันทำให้เกิดคำถามสำคัญที่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสติปัญญาที่ไม่ใช่มนุษย์ (AI) จะมีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปในการเล่าเรื่อง แต่งทำนอง วาดภาพ เขียนกฎหมาย และ พระคัมภีร์

เมื่อเรานึกถึงเครื่องมือใหม่ ๆ เช่น ChatGPT เราจะนึกถึงตัวอย่างเช่น นักเรียนที่ใช้ AI ในการเขียนเรียงความ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับระบบโรงเรียนเมื่อเด็กทำเช่นนั้น?

ลองนึกถึงการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาครั้งต่อไปในปี 2024 และลองจินตนาการถึงผลกระทบของเครื่องมือ AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาทางการเมือง ข่าวปลอม และคัมภีร์สำหรับลัทธิใหม่จำนวนมากได้อย่างง่ายดาย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลัทธิอย่าง QAnon ได้สร้างความปวดหัวให้เกิดขึ้นกับเรื่องราวทางการเมืองในการสร้างข้อความบนออนไลน์ ด้วยข้อมูลที่ผิดเพี้ยนต่างๆ มากมาย โดยเป็นทฤษฎีสมคบคิดที่ปราศจากมูลความจริง โดยมีความเชื่อหลัก ๆ ว่าประธานาธิบดีทรัมป์กำลังทำสงครามกับพวกใคร่เด็กที่บูชาซาตาน ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มชนชั้นนำที่แฝงอยู่ในรัฐบาล ธุรกิจ และสื่อต่าง ๆ

ผู้ที่เชื่อใน QAnon คาดว่า การต่อสู้นี้จะนำไปสู่การจับตัวคนผิดมาลงทัณฑ์ โดยหนึ่งในบุคคลมีชื่อเสียงที่สาวก QAnon กล่าวหาว่าเป็นวายร้ายในขบวนการค้ากามเด็กก็คือ ฮิลลารี คลินตัน อดีตคู่ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทรัมป์ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2016

ลัทธิอย่าง QAnon ได้สร้างความปวดหัวให้เกิดขึ้นกับเรื่องราวทางการเมืองอเมริกา (CR:FT.com)
ลัทธิอย่าง QAnon ได้สร้างความปวดหัวให้เกิดขึ้นกับเรื่องราวทางการเมืองอเมริกา (CR:FT.com)

ซึ่งเคสที่เกิดขึ้นนกับ QAnon มันยังเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะอย่างน้อยมันก็ยังถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ และมีบอทช่วยในการเผยแพร่พวกมันเพียงเท่านั้น

แต่ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นลัทธิแรกในประวัติศาสตร์ที่เขียนเรื่องราวที่น่าเชื่อถือ ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องจริง แต่มันถูกสร้างโดย AI แทบจะทั้งสิ้น เปรียบเสมือนกับศาสนาที่ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้อ้างอิงสิ่งที่เว่อร์เกินจริงในพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ซึ่งอีกไม่นานเรื่องราวเหล่านี้กำลังจะเกิดง่ายดายยิ่งขึ้นผ่าน AI

ในไม่ช้า มนุษย์เราอาจพบว่าตัวเองกำลังถกเถียงบนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำแท้ง การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การรุกรานยูเครน หรือแม้กระทั่งเรื่องของการฝักใฝ่ในเรื่องการเมือง กับสิ่งที่เราคิดว่าเป็นมนุษย์ แต่แท้จริงแล้วคือ AI

ในขณะที่เราถกเถียง แน่นอนว่า มันเป็นเรื่องยากที่เราจะไปถกเถียงกับ AI ที่มีความคิดที่ลึกซึ้งและเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีกว่าเรามาก ๆ แต่ในขณะเดียวกัน AI สามารถหลอกล่อโดยปรับแต่งเรื่องราวได้อย่างแม่นยำจนพวกมันจะมีอิทธิพลต่อความคิดของเราในท้ายที่สุด

ด้วยความเชี่ยวชาญด้านภาษาระดับเทพของ AI นั้น ทำให้พวกมันสามารถสร้างความใกล้ชิดกับผู้คน และใช้พลังของความใกล้ชิดเพื่อเปลี่ยนความคิดและโลกทัศน์ของเรา

ในการต่อสู้ทางการเมือง ความใกล้ชิดเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุดและ AI มีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้คนนับล้าน

เราทุกคนต่างทราบดีว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สื่อสังคมออนไลน์ได้กลายเป็นสมรภูมิในการควบคุมความสนใจของมนุษย์ และด้วย AI ยุคใหม่ มันจะเปลี่ยนจากความสนใจไปสู่ความใกล้ชิด

จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมมนุษย์และจิตวิทยาของมนุษย์ เมื่อ AI ต้องต่อสู้กันเพื่อแกล้งสร้างความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับเรา ซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่อโน้มน้าวให้เราลงคะแนนให้นักการเมืองคนใดคนหนึ่งหรือซื้อผลิตภัณฑ์บางอย่างได้

เครื่องมือ AI ใหม่จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิดเห็นและโลกทัศน์ของเรา ผู้คนอาจใช้ที่ปรึกษา AI เป็นเหมือนเทพยากรณ์ที่มีความรอบรู้ในที่เดียว

วงการข่าวและโฆษณาก็ต้องเตรียมรับแรงกระแทกเช่นเดียวกัน ทำไมต้องอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อเทพยากรณ์ส่วนตัวของเราสามารถบอกข่าวล่าสุดได้ และโฆษณาจะมีไว้เพื่ออะไรเมื่อเทพยากรณ์สามารถทำนายได้ว่าเราควรที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ใด

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์มนุษย์

จะเกิดอะไรขึ้นกับประวัติศาสตร์เมื่อ AI เข้าครอบงำวัฒนธรรมและเริ่มสร้างเรื่องราว ท่วงทำนอง กฎหมาย และศาสนา?

เครื่องมือที่มนุษย์ใช้ก่อนหน้านี้ เช่น แท่นพิมพ์ หรือ วิทยุที่ช่วยเผยแพร่แนวคิดทางวัฒนธรรมของมนุษย์ แต่แทบไม่เคยสร้างแนวคิดทางวัฒนธรรมใหม่ของตนเอง ซึ่งเมื่อเทียบกับ AI แล้วนั้นมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะพวกมันสามารถสร้างความคิดใหม่ ๆ วัฒนธรรมใหม่ ๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ในช่วงแรก AI อาจจะเลียนแบบต้นแบบของมนุษย์ที่ได้รับการฝึกฝนในวัยเด็ก ในขณะที่ผ่านไปแต่ละปี วัฒนธรรม AI จะก้าวไปสู่จุดที่มนุษย์ไม่เคยไปถึงมาก่อน

ความกลัว AI ได้หลอกหลอนมนุษยชาติในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา แต่เป็นเวลาหลายพันปีที่มนุษย์ถูกหลอกหลอนด้วยความกลัวที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก เรามักจะชื่นชมในพลังของเรื่องราวและรูปภาพในการบงการจิตใจของเราและสร้างภาพลวงตาขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่สมัยโบราณมนุษย์จึงหวาดกลัวการติดอยู่ในโลกแห่งมายา

ในศตวรรษที่ 17 เรอเน เดส์การตส์กลัวว่าบางทีปีศาจร้ายอาจกำลังขังเขาไว้ในโลกแห่งภาพลวงตา สร้างทุกสิ่งที่เขาเห็นและได้ยิน

ในยุคกรีกโบราณ เพลโตเล่านิทานเปรียบเทียบเรื่องถ้ำอันเลื่องชื่อ ซึ่งคนกลุ่มหนึ่งถูกล่ามโซ่ไว้ในถ้ำตลอดชีวิต โดยหันหน้าเข้าหากำแพงที่ว่างเปล่า และทำให้พวกเขาเห็นเงาต่าง ๆ ที่ฉายภาพออกมา ซึ่งเหล่านักโทษเข้าใจผิดว่าภาพลวงตาที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นความจริง

เพลโตได้เล่าเรื่องคนกลุ่มหนึ่งถูกล่ามโซ่ไว้ในถ้ำตลอดชีวิต โดยหันหน้าเข้าหากำแพงที่ว่างเปล่าจนหลอน (CR:StudioBinder)
เพลโตได้เล่าเรื่องคนกลุ่มหนึ่งถูกล่ามโซ่ไว้ในถ้ำตลอดชีวิต โดยหันหน้าเข้าหากำแพงที่ว่างเปล่าจนหลอน (CR:StudioBinder)

ในยุคอินเดียโบราณ นักปราชญ์ชาวพุทธและฮินดูชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ทุกคนติดอยู่ในโลกมายา โลกแห่งมายา สิ่งที่เรามักคิดว่าเป็นจริงมักจะเป็นเพียงเรื่องสมมติในความคิดของเราเอง ผู้คนอาจเข้าร่วมสงคราม ฆ่าผู้อื่นและเต็มใจที่จะถูกฆ่าตายเพราะความเชื่อของพวกเขาในภาพลวงตาเหล่านี้

การปฏิวัติ AI กำลังนำพามนุษย์เราเผชิญหน้ากับปีศาจของเดส์การตส์ ถ้ำของเพลโต และโลกแห่งมายา หากเราไม่ระวัง เราอาจติดอยู่หลังม่านแห่งภาพลวงตา ซึ่งเราไม่สามารถที่แยกออกได้ หรือแม้แต่ตระหนักว่ามันมีอยู่จริง

แต่แน่นอนว่า AI สามารถช่วยเราได้มากมายนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ การค้นหาวิธีรักษามะเร็งใหม่ ๆ ไปจนถึงการค้นพบวิธีแก้ไขวิกฤติทางนิเวศวิทยา

เรายังสามารถควบคุม เครื่องมือ AI ใหม่ได้ แต่เราต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพราะ AI สามารถที่จะสร้าง AI ใหม่ที่ทรงพลังขึ้นแบบทวีคูณ ขั้นตอนสำคัญอันดับแรกคือต้องตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดก่อนที่เครื่องมือ AI อันทรงพลังเหล่านี้ จะเผยแพร่ออกไปสู่คนหมู่มาก

มันไม่ต่างจากบริษัทยาที่ไม่สามารถออกผลิตภัณฑ์ยาชนิดใหม่ได้ก่อนที่จะทำการทดสอบผลข้างเคียงทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้นบริษัทเทคโนโลยีจึงไม่ควรออก เครื่องมือ AI ใหม่ ก่อนที่มันจะถูกตรวจสอบว่ามีความปลอดภัยเพียงพอ

การใช้งาน AI ที่ไม่ได้รับการควบคุมจะสร้างความสับสนวุ่นวายในสังคม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีอำนาจเผด็จการและทำลายระบอบประชาธิปไตย

เพราะประชาธิปไตยคือการสนทนา และการสนทนาต้องอาศัยภาษา เมื่อ AI เข้าแฮ็กภาษาของมนุษย์เราได้ พวกมันอาจจะทำลายความสามารถของเราในการสนทนาที่มีความหมาย ซึ่งจะเป็นการทำลายประชาธิปไตยในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

Refernces :

เรียบเรียงจากบทความ Yuval Noah Harari argues that AI has hacked the operating system of human civilisation ของ The Economist
https://www.ynharari.com/yuval-noah-harari-argues-that-ai-has-hacked-the-operating-system-of-human-civilisation/
https://www.bbc.com/thai/international-54528077
https://www.timesofisrael.com/yuval-noah-harari-warns-ai-can-create-religious-texts-may-inspire-new-cults/