From Nothing to Something : ถอดรหัสความสำเร็จ Carl Pei กับการปฏิวัติวงการสมาร์ทโฟน

ในโลกของเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การสร้างสตาร์ทอัพด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสมาร์ทโฟน เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ แต่ Carl Pei ผู้ร่วมก่อตั้ง OnePlus และปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Nothing ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามันเป็นไปได้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ

Carl Pei เริ่มต้นเส้นทางในวงการเทคโนโลยีตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยความหลงใหลในอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ เขาเล่าว่า “ผมเป็นคนชอบเครื่องมือเทคโนโลยีมาตั้งแต่เด็ก ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นคนแรกๆ ในสวีเดนที่มี iPod และผมแน่ใจว่าผมเป็นคนแรกในกลุ่มเพื่อนๆ ที่มี iPhone” ความหลงใหลนี้นำพาเขาไปสู่การทำงานในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนที่กำลังเติบโตในประเทศจีน

การเดินทางของ Carl ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เขาเผชิญกับความท้าทายมากมายในการสร้างธุรกิจของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาตัดสินใจก่อตั้ง Nothing หลังจากออกจาก OnePlus

ในปี 2020 เขาเล่าถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากในการระดมทุนและหาพันธมิตรทางธุรกิจ “เรายังถูกปฏิเสธจากโรงงานหลายแห่งที่ผลิตโทรศัพท์ด้วย อย่าง Foxconn ตอนนั้น Foxconn เคยทำงานกับสตาร์ทอัพที่ทำโทรศัพท์มาแล้ว 5 ราย และทั้ง 5 รายนั้นล้มเหลวหมด”

แม้จะเจอกับอุปสรรคมากมาย Carl ไม่ยอมแพ้ เขาตัดสินใจเริ่มต้นด้วยการผลิตหูฟังไร้สายก่อน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเรียนรู้กระบวนการผลิต แต่แม้แต่การผลิตหูฟังก็ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย “โรงงานเดียวที่ยอมทำงานกับเราคือโรงงานที่ไม่มีลูกค้าอื่นเลย ถ้าไม่มีเรา พวกเขาก็จะล้มละลาย” Carl เล่า

ความยากลำบากไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น เมื่อผลิตภัณฑ์แรกของ Nothing คือหูฟัง Ear (1) เริ่มวางจำหน่าย พวกเขาพบว่าประมาณ 90% ของสินค้าในล็อตแรกมีปัญหาในการชาร์จ

นี่เป็นช่วงเวลาวิกฤตที่ Carl และทีมต้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน “เราเช่าอพาร์ตเมนต์สองห้องใกล้ๆ โรงงานทันที และเราส่งวิศวกร 15 คนไปอยู่ที่นั่น โดยพื้นฐานแล้ววิศวกรของเรากลายเป็นผู้จัดการโรงงานไปโดยปริยาย คอยดูแลทุกส่วนของโรงงานให้ผลิตตามข้อกำหนดของเรา” Carl เล่าถึงวิธีที่พวกเขาจัดการกับวิกฤตครั้งนั้น

ความพยายามของพวกเขาไม่สูญเปล่า ในที่สุด Nothing ก็สามารถขายหูฟัง Ear (1) ได้ถึง 600,000 ชิ้นในปีแรก นี่เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้พวกเขาสามารถก้าวไปสู่การผลิตสมาร์ทโฟนได้ในที่สุด

Carl เน้นย้ำถึงความสำคัญของการอยู่รอดในธุรกิจฮาร์ดแวร์ “ในการไม่มีทางเลือกอื่น มันบังคับให้คุณต้องอยู่รอด” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าแต่ละครั้งที่พวกเขาเผชิญกับอุปสรรค พวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น มีกระบวนการทำงานที่ดีขึ้น และมีทีมที่ดีขึ้น

นอกจากการเอาชนะความท้าทายด้านการผลิตแล้ว Nothing ยังให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์และชุมชนผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง

Carl อธิบายว่า “ผู้ใช้ปัจจุบันของเราบางส่วนเป็นคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยี และบางส่วนเป็นคนสร้างสรรค์ คนที่ชอบการออกแบบ ชอบแฟชั่นและดนตรี” การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการออกแบบที่สวยงามเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ Nothing

หนึ่งในนวัตกรรมที่โดดเด่นของ Nothing คือ อินเตอร์เฟซ Glyph บนสมาร์ทโฟนของพวกเขา Carl อธิบายแนวคิดเบื้องหลังว่า “เราต้องการให้ผู้คนสามารถพลิกโทรศัพท์และรู้ถึงสิ่งสำคัญทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นผ่านไฟที่ด้านหลังของโทรศัพท์ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องเปิดหน้าจอหรือปลดล็อคตลอดเวลา” นี่เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานของผู้ใช้เป็นหลัก

Carl ยังแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการสร้างสมดุลระหว่างการบริหารจัดการและความคิดสร้างสรรค์ในธุรกิจฮาร์ดแวร์ เขาแนะนำว่าผู้ประกอบการควรเน้นที่การอยู่รอดและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ (แบบ Tim Cook) ประมาณ 80% และใช้ความคิดสร้างสรรค์ (แบบ Jony Ive) ประมาณ 20% โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น และค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนของความคิดสร้างสรรค์เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจจะเริ่มต้นสตาร์ทอัพฮาร์ดแวร์ Carl มีคำแนะนำว่า “มันจะยากแน่ๆ แต่มันทำได้ถ้าคุณอยากทำ” เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนและการสร้างความน่าเชื่อถือไปทีละขั้น “ให้คิดว่าเราจะสร้างความน่าเชื่อถือไปสู่สิ่งต่อไปได้อย่างไร” เขากล่าว

Carl ยังเน้นย้ำถึงความพึงพอใจในการเห็นผู้คนใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขามีส่วนร่วมในการสร้าง โดยเฉพาะเมื่อแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เส้นทางของ Carl Pei และ Nothing แสดงให้เห็นว่าแม้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย การสร้างสตาร์ทอัพฮาร์ดแวร์ก็เป็นไปได้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ความมุ่งมั่น และความสามารถในการปรับตัว สตาร์ทอัพสามารถก้าวผ่านอุปสรรคและสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้

บทเรียนจากประสบการณ์ของ Carl ไม่เพียงแต่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่สนใจในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการในทุกสาขาอีกด้วย

References :
How Nothing Founder Carl Pei Built A Multi-Million Dollar Smartphone Brand In Just 2 Years
https://youtu.be/uZVyBc1CKN0?si=M7Q_q6Wqe9z5022u

เบื้องหลังภาษี 36.3% : ยุโรปจะรับมืออย่างไร? เมื่อรถไฟฟ้าจีนราคาถูกกำลังบุกทะลักเข้ามา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสู่ยุโรปได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สร้างความท้าทายใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับยุโรป

จากข้อมูลล่าสุด มูลค่าการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสู่ยุโรปได้พุ่งสูงขึ้นจาก 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 เป็น 11.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023

แม้ว่าตัวเลขนี้อาจดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตลาดรถยนต์ยุโรปโดยรวม แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ได้สร้างความกังวลให้กับผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปและผู้กำหนดนโยบายเป็นอย่างมาก

ส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์จีนและแบรนด์ที่จีนเป็นเจ้าของในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ายุโรปได้เพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี 2019 เป็นประมาณ 15% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหภาพยุโรป (EU) กำลังพยายามบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ท้าทาย โดยต้องการให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน จีนก็กำลังผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากในราคาที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ สถานการณ์นี้ได้สร้างความขัดแย้งระหว่างความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่สะอาดขึ้น กับความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในท้องถิ่น

ในการตอบโต้ต่อสถานการณ์นี้ สหภาพยุโรปได้เสนอให้เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36.3% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากภาษี 10% ที่เก็บอยู่แล้วสำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด

มาตรการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตยุโรปกับคู่แข่งจากจีน โดยคำนึงถึงความได้เปรียบด้านต้นทุนที่บริษัทจีนได้รับจากการสนับสนุนของรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์ในยุโรป ประเทศสมาชิก EU มีความเห็นแตกต่างกันในประเด็นนี้ โดยบางประเทศสนับสนุนมาตรการดังกล่าว ในขณะที่บางประเทศคัดค้านหรืองดออกเสียง ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์และความกังวลที่หลากหลายของแต่ละประเทศ

ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปเองก็มีท่าทีที่แตกต่างกันต่อมาตรการภาษีนี้ บางบริษัทสนับสนุนการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ในขณะที่บางบริษัทกังวลว่าภาษีอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนของพวกเขาในจีน ความขัดแย้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างยุโรปและจีนในปัจจุบัน

ในแง่ของความสามารถในการแข่งขัน ผู้ผลิตจากจีนมีข้อได้เปรียบอย่างมากในด้านต้นทุน โดยสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาประมาณ 5,500 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ผู้ผลิตยุโรปที่ถูกที่สุดทำได้ประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ความแตกต่างนี้เกิดจากหลายปัจจัย รวมถึงการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน การประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ที่สูงกว่า ต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า และความได้เปรียบในห่วงโซ่อุปทานของแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ จีนยังควบคุมกำลังการผลิตแบตเตอรี่มากกว่า 80% ของโลก ทำให้แม้แต่รถยนต์ที่ผลิตในยุโรปก็ต้องพึ่งพาแบตเตอรี่จากจีน สถานการณ์นี้ยิ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของจีนในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าโลก

การตัดสินใจของสหภาพยุโรปในการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล อุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจยุโรป โดยจ้างงานหลายล้านคนและรับผิดชอบงานการผลิตเกือบหนึ่งในสิบของงานภาคการผลิตทั้งหมด การปกป้องอุตสาหกรรมนี้จึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง

อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีนำเข้าก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยง หนึ่งในนั้นคือผลกระทบต่อเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของยุโรป

การทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพงขึ้นอาจชะลอการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขนส่งที่สะอาดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรปภายในปี 2030

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการตอบโต้ทางการค้าจากจีน ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าจีนมักจะตอบโต้เมื่อเผชิญกับมาตรการทางการค้าที่พวกเขามองว่าไม่เป็นธรรม

การตอบโต้อาจมาในรูปแบบของการเพิ่มภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากยุโรป หรือการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อสร้างอุปสรรคให้กับบริษัทยุโรปที่ดำเนินธุรกิจในจีน

ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือการหาจุดสมดุลระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศกับการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีกับจีน

ประเทศต่างๆ ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในจีน การดำเนินมาตรการที่รุนแรงเกินไปอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีมายาวนานและซับซ้อนเหล่านี้

ในขณะเดียวกัน การไม่ดำเนินการใดๆ ก็อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรยานยนต์ยุโรปในระยะยาว ความได้เปรียบด้านต้นทุนของจีนและความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดอาจทำให้ผู้ผลิตยุโรปสูญเสียส่วนแบ่งตลาดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ราคาย่อมเยาว์ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีนอาจกระตุ้นให้ผู้ผลิตยุโรปต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการผลิตของตนเอง ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปโดยรวม

ในท้ายที่สุด การตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรกับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นและระยะยาว ระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศกับการส่งเสริมการแข่งขันและนวัตกรรม และระหว่างเป้าหมายทางเศรษฐกิจกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่อุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสะอาดและพลังงานทดแทน เช่น การผลิตแผงโซลาร์และแบตเตอรี่ ความสำเร็จของจีนในการครองตลาดเหล่านี้เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวและการลงทุนอย่างมหาศาลของรัฐบาล

ในท้ายที่สุด การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจีนและการตอบสนองของยุโรปเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่กว้างขึ้นในระเบียบเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงนี้นำมาซึ่งทั้งความท้าทายและโอกาส และวิธีที่ประเทศต่างๆ จัดการกับมันจะมีผลกระทบอย่างมากต่ออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ เศรษฐกิจโลก และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทศวรรษที่จะมาถึง

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่ผู้บริโภคไปจนถึงแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ การจัดการกับผลกระทบเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมจะเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับรัฐบาลและภาคธุรกิจในอนาคต

เปิดกล่องดำ Tesla : กลยุทธ์เด็ดพลิกเกมอุตสาหกรรม กับเบื้องหลังการแจกสิทธิบัตรฟรีของ Elon Musk

ในปี 2014 โลกต้องตะลึงกับการประกาศครั้งสำคัญของ Elon Musk สุดยอดซีอีโอแห่ง Tesla เขาได้เปิดเผยว่าสิทธิบัตรทั้งหมดของบริษัทจะกลายเป็น “open source” ซึ่งต้องบอกว่านี่ไม่ใช่แค่การตัดสินใจทางธุรกิจธรรมดา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อวงการยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด

Elon ประกาศด้วยความมุ่งมั่นว่า “สิทธิบัตรทั้งหมดของเราเป็นของคุณ” เขาอธิบายว่า Tesla จะไม่ฟ้องร้องใครที่ต้องการใช้เทคโนโลยีของบริษัทโดยสุจริต

ต้องบอกว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญและน่าประหลาดใจเป็นอย่างมากสำหรับผู้คนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมรถยนต์ เพราะโดยทั่วไปแล้วบริษัทมักจะปกป้องสิทธิบัตรของตนอย่างเข้มงวด แต่ Elon มีเหตุผลที่น่าสนใจ

เขาเชื่อว่าการเปิดเผยสิทธิบัตรจะช่วยเร่งการพัฒนาการขนส่งที่ยั่งยืน ในมุมมองของ Elon คู่แข่งที่แท้จริงของ Tesla ไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้ออื่น แต่เป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินที่ผลิตออกมามหาศาลทุกวัน เขาต้องการให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตเร็วขึ้น เพื่อต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แต่การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ไม่ได้หมายความว่าใครก็สามารถทำอะไรก็ได้กับเทคโนโลยีของบริษัท มีเงื่อนไขสำคัญ คือผู้ที่ใช้เทคโนโลยีของ Tesla ต้องทำด้วยความสุจริต ไม่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของ

Tesla ไม่ท้าทายการใช้เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทอื่น และไม่ขายหรือช่วยขายผลิตภัณฑ์ Tesla ปลอม นี่เป็นวิธีที่ชาญฉลาดในการแบ่งปันความรู้ แต่ยังคงปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท

น่าสนใจที่ Elon ไม่ได้เชื่อมั่นในระบบสิทธิบัตรมาตลอด ในช่วงแรกของอาชีพ เขาเคยคิดว่าสิทธิบัตรเป็นสิ่งที่ดีและได้รับสิทธิบัตรมากมาย แต่ประสบการณ์ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด เขาเปรียบเทียบสิทธิบัตรกับการซื้อสลากกินแบ่งเพื่อการฟ้องร้อง โดยอ้างถึงคดีความระหว่าง Apple และ Samsung ที่ในที่สุดแล้วผู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆ คือทนายความเท่านั้น

แต่ทำไม Elon ถึงกล้าเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla? คำตอบอยู่ที่ปรัชญาของเขาเกี่ยวกับนวัตกรรม Elon เชื่อว่าวิธีที่แท้จริงในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาคือการสร้างนวัตกรรมให้เร็วพอต่างหาก

เขากล่าวว่าถ้าอัตราการสร้างนวัตกรรมของคุณสูง คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เพราะคู่แข่งจะกำลังลอกเลียนแบบสิ่งที่คุณทำเมื่อหลายปีก่อน ไม่ใช่สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน

นี่เป็นมุมมองที่น่าสนใจและท้าทายเป็นอย่างมาก มันแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจอย่างสูงในความสามารถของทีมงานและวิสัยทัศน์ของบริษัท Tesla ไม่กลัวที่จะแบ่งปันความรู้ เพราะเชื่อว่าจะยังคงเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมต่อไป

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของ Elon ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงสุญญากาศ มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมยานยนต์

ในปี 2014 เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน Toyota ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรของ Tesla ได้หันไปสนใจการผลิตรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนแทน

การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจาก Toyota ประกาศยุติความร่วมมือกับ Tesla และเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ Toyota จะเปิดตัวรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนรุ่นแรก นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการตอบโต้เชิงกลยุทธ์ของ Elon เพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า

การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ส่งผลให้บริษัทได้เปรียบในระยะยาว เพราะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ มีแนวโน้มที่จะนำเทคโนโลยีของ Tesla ไปใช้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนและบริษัทพลังงานลงทุนในเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นด้วย นี่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม

แต่กลยุทธ์นี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เสี่ยงเลยซะทีเดียว เราสามารถเห็นตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ของ IBM PC ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบเปิดเช่นกัน ในตอนแรก IBM ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ในที่สุดก็สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งที่ผลิตคอมพิวเตอร์ที่เข้ากันได้กับ PC จนต้องขายธุรกิจ PC ทั้งหมดให้กับ Lenovo ในปี 2005

แต่ Elon และทีมงานของ Tesla ดูเหมือนจะไม่กังวลกับความเสี่ยงนี้ พวกเขามีความมั่นใจในความสามารถและเทคโนโลยีของตนเอง และเชื่อว่าจะยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าต่อไป นี่คือความมั่นใจที่มาจากการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอย่างแท้จริง

การตัดสินใจของ Elon ในการเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla เป็นการเดิมพันที่กล้าหาญ มันแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลที่มองเห็นประโยชน์ของการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมมากกว่าผลประโยชน์ระยะสั้นของบริษัท นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการคิดนอกกรอบและการกล้าท้าทายแนวปฏิบัติทางธุรกิจแบบเดิมๆ

แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่บริษัทอื่นๆ จะทำตามแนวทางนี้ เพราะระบบสิทธิบัตรยังคงมีข้อได้เปรียบหลายประการ แต่การกระทำของ Elon ก็ได้จุดประกายการสนทนาที่สำคัญเกี่ยวกับบทบาทของทรัพย์สินทางปัญญาในโลกที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว มันท้าทายให้เราคิดใหม่เกี่ยวกับวิธีที่เราสามารถส่งเสริมนวัตกรรมและความร่วมมือ โดยยังคงรักษาแรงจูงใจสำหรับการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา

ในท้ายที่สุด การตัดสินใจของ Elon Musk ในการเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทเดียว แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมและได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า มันแสดงให้เห็นว่าบางครั้งการแบ่งปันความรู้และการร่วมมือกันอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างให้เกิดขึ้นได้นั่นเองครับผม

สร้างธุรกิจด้วยหัวใจ : จากทะเลทรายโกบีสู่แบรนด์ร้อยล้าน เส้นทางสุดผจญภัยของแบรนด์ Naadam

ในโลกของการเริ่มต้นธุรกิจ บางครั้งเส้นทางสู่ความสำเร็จอาจไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ แต่กลับเป็นการผจญภัยที่พาเราไปสู่จุดหมายปลายทางที่ไม่คาดคิด นี่คือเรื่องราวของ Matt Scanlan ผู้ก่อตั้ง Naadam แบรนด์เสื้อผ้าแคชเมียร์ที่ไม่เพียงแต่สร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตในอุตสาหกรรมแฟชั่นอีกด้วย

Matt เริ่มต้นเส้นทางของเขาในวัย 24 ปี ด้วยความรู้สึกว่าชีวิตขาดจุดหมาย แม้จะมีงานในแวดวงการเงินที่มั่นคง แต่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่เส้นทางที่จะนำไปสู่ความสุขที่แท้จริง การตัดสินใจครั้งสำคัญของเขาคือการลาออกจากงานและออกเดินทาง ซึ่งนำพาเขาไปพบกับ Diederik Rijsemus เพื่อนร่วมวิทยาลัยที่มีความสนใจในการพัฒนาเศรษฐกิจของมองโกเลีย

การเดินทางครั้งนั้นพาพวกเขาไปสู่ทะเลทรายโกบี ที่ซึ่งพวกเขาได้ใช้เวลาสามสัปดาห์อาศัยอยู่กับครอบครัวผู้เลี้ยงแพะ ประสบการณ์นี้ไม่เพียงแต่เปิดโลกทัศน์ของพวกเขา แต่ยังทำให้พวกเขาเห็นถึงความไม่เป็นธรรมในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมแคชเมียร์ ผู้เลี้ยงแพะซึ่งเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบตั้งต้นกลับได้รับผลตอบแทนน้อยที่สุด ในขณะที่คนกลางกลับได้รับส่วนแบ่งที่มากเกินไป

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ Matt และ Diederik ตัดสินใจที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่การเริ่มต้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาต้องหาเงินทุน 2.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งในที่สุดก็ได้มาจากการกู้ยืมโดยใช้บ้านของพ่อแม่ Matt เป็นหลักประกัน นี่เป็นการเสี่ยงครั้งใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของครอบครัวในวิสัยทัศน์ของพวกเขา

การซื้อขนแกะโดยตรงจากผู้เลี้ยงแพะในมองโกเลียเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการผจญภัยอันยาวนาน พวกเขาต้องจัดการกับความท้าทายมากมาย ตั้งแต่การขนส่งขนแกะออกจากทะเลทรายโกบี ไปจนถึงการแปรรูปในจีนและอิตาลี แต่ละขั้นตอนเต็มไปด้วยอุปสรรคที่ต้องเอาชนะ

เมื่อได้ผลิตภัณฑ์แรกออกมา Matt ไม่รอช้าที่จะนำออกไปเสนอขาย เขาขับรถจาก Maine ไปจนถึง Charleston แวะตามร้านค้าต่างๆ เพื่อนำเสนอเสื้อกันหนาวของพวกเขา การเล่าเรื่องราวเบื้องหลังผลิตภัณฑ์กลายเป็นจุดขายสำคัญ ทำให้ลูกค้าเข้าใจถึงคุณค่าและความพิเศษของสินค้า

Naadam เติบโตอย่างรวดเร็วจากธุรกิจเล็กๆ ที่ดำเนินการจากอพาร์ตเมนต์ กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกที่มียอดขายกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 ความสำเร็จนี้มาจากหลายปัจจัย ทั้งคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การตั้งราคาที่สมเหตุสมผล และเรื่องราวที่น่าสนใจของแบรนด์

แม้ว่า Naadam จะขายเสื้อกันหนาวแคชเมียร์ในราคาเพียง 98 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ แต่พวกเขายังคงสามารถจ่ายให้ผู้เลี้ยงแพะในราคาที่สูงกว่าคู่แข่งถึงสองเท่า นี่เป็นผลมาจากการตัดคนกลางออกและการควบคุมทุกขั้นตอนในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้สามารถลดต้นทุนและส่งต่อประโยชน์นี้ให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่ความสำเร็จไม่ได้ราบรื่นเสมอไป Matt เผชิญกับความท้าทายมากมาย รวมถึงความพยายามที่ล้มเหลวในการควบรวมกิจการกับแบรนด์อื่นๆ ในปี 2023 แต่ประสบการณ์เหล่านี้กลับทำให้เขาเห็นความสำคัญของการโฟกัสที่ความสามารถในการทำกำไรและการสร้างอัตลักษณ์ของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

Matt มองว่าการเป็นผู้ประกอบการเป็นประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกถ่อมตัวมากที่สุด เขาเปรียบเทียบมันกับการนั่งรถไฟเหาะที่บางครั้งก็ท้าทายและยากลำบาก แต่เมื่อทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี มันก็เป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นและน่าทึ่งที่สุด

สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง บทเรียนสำคัญที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากเรื่องราวของ Naadam คือ:

  1. มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่มากกว่าแค่การทำกำไร
  2. กล้าที่จะท้าทายวิธีการดั้งเดิมและมองหาโอกาสในการสร้างนวัตกรรม
  3. ให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้ผลิตไปจนถึงผู้บริโภค
  4. เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายและมีความยืดหยุ่นในการปรับตัว

ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสร้างธุรกิจที่มีความหมายและยั่งยืนอาจเป็นความท้าทาย แต่เรื่องราวของ Naadam แสดงให้เห็นว่า ด้วยความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และความรับผิดชอบต่อสังคม เราสามารถสร้างธุรกิจที่ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จ แต่ยังสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับโลกของเราได้

การเดินทางของ Matt Scanlan และ Naadam เป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคนกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะลงมือทำ และกล้าที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในจุดไหนของการเดินทางในโลกธุรกิจ จงจำไว้ว่าทุกการเดินทางเริ่มต้นด้วยก้าวแรก และด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน คุณก็สามารถสร้างความสำเร็จที่มีความหมายและยั่งยืนได้เช่นกัน

References :
I Took A $2.5 Million Loan To Start A Fashion Brand — Now It Brings In $100 Million/Year
https://youtu.be/2C0rPOlIZzw?si=gdffwnlmMeP7alJ8

จากเด็กไร้บ้านสู่เจ้าพ่อแฟชั่นโลก : หนีออกจากบ้านด้วยมือเปล่า สู่แบรนด์หรูระดับโลก เรื่องจริงของ Louis Vuitton

Louis Vuitton เป็นแบรนด์แฟชั่นหรูที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ซีอีโอของบริษัท Bernard Arnault ยังเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ห้าของโลกด้วยทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 170 พันล้านดอลลาร์ หากมองความสำเร็จของ Louis Vuitton ในปัจจุบัน หลายท่านคงไม่มีวันเดาได้เลยว่าบริษัทนี้ก่อตั้งโดยชายคนหนึ่งที่เคยไร้บ้านในวัยรุ่น ไม่ได้รับการศึกษา และต้องนอนในป่า

Louis Vuitton เป็นเรื่องราวที่แท้จริงของการต่อสู้จากความยากจนสู่ความร่ำรวย แต่บริษัทก็ต้องเผชิญกับการเข้าครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตร คดีความมากมาย และข้อถกเถียงอื่นๆ อีกมากมาย

นี่คือเรื่องราวอันน่าทึ่งของ Louis Vuitton และวิธีที่ธุรกิจครอบครัวเล็กๆ พัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในโลก

Louis Vuitton เกิดในปี 1821 และเติบโตมาโดยทำงานในฟาร์มของครอบครัวในฝรั่งเศส ในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Anchay ซึ่งอยู่ห่างไกลความเจริญ ที่นั่นไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา พ่อของ Louis ชื่อ Xavier ทำงานเป็นช่างโม่แป้งและชาวนา ส่วนแม่ของเขาชื่อ Corrine ทำหมวกเพื่อหารายได้เสริม

ไม่มีบันทึกใดๆ ที่แสดงว่า Louis เคยได้รับการศึกษา โรงเรียนที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไป 6 ไมล์ และเชื่อกันว่าเขาทำงานเต็มเวลาในฟาร์มของครอบครัวโดยไม่ได้เรียนรู้การอ่านหรือการเขียนเสียด้วยซ้ำ

Louis ต้องทำงานในทุ่งนาทุกวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำเพียงเพื่อให้มีอาหารพอเลี้ยงปากท้องครอบครัว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าครอบครัว Vuitton กำลังประสบปัญหาทางการเงิน และ Louis วัยเยาว์เกิดมาในสถานการณ์ที่น่าจะทำให้เขาไม่มีโอกาสที่จะมีอนาคตที่สดใสเลย

แต่แล้วสถานการณ์ก็ยิ่งแย่ลงไปอีก แม่ของ Louis เสียชีวิตตอนเขาอายุเพียง 10 ขวบ พ่อของเขารีบแต่งงานใหม่กับผู้หญิงอีกคน แต่แม่เลี้ยงของ Louis กลับควบคุมและหลอกใช้เขาอย่างมาก เขาทะเลาะกับเธอบ่อยครั้ง ดังนั้นเมื่ออายุเพียง 13 ปี เขาจึงหนีออกจากบ้านโดยมีแผนจะไปปารีส เขาแอบออกจากบ้านในตอนกลางคืนโดยไม่ได้บอกลาใคร

แต่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง ปารีสอยู่ห่างออกไป 225 ไมล์ และ Louis ไม่มีทั้งเงินและอาหารติดตัว เขาจึงถูกบังคับให้เดินไปตามถนนดิน ในแต่ละคืนเขาต้องนอนในป่าด้วยท้องที่ว่างเปล่าและมีเพียงเสื้อคลุมคอยให้ความอบอุ่น

ทุกครั้งที่เขาเดินทางมาถึงหมู่บ้านใหม่ เขาจะทำงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแลกกับอาหารหรือเศษเหรียญ อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเงินเหลือพอที่จะจ่ายค่าที่พัก จึงยังคงต้องนอนในป่าหรือที่ใดก็ตามที่เขาพอจะหาที่พักพิงได้

และจากการได้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ Louis สามารถเรียนรู้ทักษะจากช่างฝีมือและเรียนรู้วิธีการทำงานกับโลหะ หิน ผ้า และไม้ การสั่งสมทักษะต่างๆ เหล่านี้จะเปลี่ยนชีวิตของเขาในภายหลัง แต่ในขณะนั้นการเดินทางช้ามาก ต้องใช้เวลาถึงสามปีกว่าจะถึงปารีส

ไม่นานหลังจากมาถึงปารีส Louis ได้ทำงานเป็นผู้ฝึกงานทำกล่องและบรรจุหีบห่อ ช่างทำกล่องจะทำกล่องขนาดพิเศษตามความต้องการของลูกค้า รวมทั้งบรรจุและเปิดหีบห่อเมื่อลูกค้ากำลังจะเดินทาง

งานนี้ทำให้เขาได้พบปะผู้คนจากชนชั้นสูงที่กำลังมองหากระเป๋าเดินทางที่ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการเดินทางของพวกเขา Louis ทำงานที่นี่หลายปี เรียนรู้งานฝีมือและทำงานอย่างหนัก

จนกระทั่งในปี 1851 พระจักรพรรดินีแห่งฝรั่งเศสได้มาเป็นลูกค้าและสังเกตเห็นฝีมือชั้นเลิศของเขา พระองค์จึงแต่งตั้งให้เขาเป็นช่างทำกล่องและบรรจุหีบห่อส่วนพระองค์ สำหรับช่างทำกล่องส่วนใหญ่ นี่คือเกียรติยศสูงสุดที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันในอาชีพของตน

Louis ได้ก้าวจากเด็กวัยรุ่นไร้บ้านที่ไม่มีอะไรติดตัวมาสู่การทำงานที่มีเกียรติท่ามกลางราชวงศ์ นั่นเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ Louis Vuitton มีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นสำหรับอนาคตของเขา

หลังจากแต่งงานเมื่ออายุ 33 ปี Louis ใช้เงินเก็บของเขาเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง และเปิดโรงงานทำกล่องของตัวเองในปารีสเพื่อเริ่มขายผลิตภัณฑ์ของเขาเอง

Louis สังเกตเห็นข้อบกพร่องสำคัญในกระเป๋าเดินทางในยุคนั้น กล่องทั้งหมดทำจากหนังและมีฝาโค้งนูนเพื่อให้น้ำฝนไหลออกจากด้านบนของกระเป๋า ปัญหาสำคัญคือไม่สามารถวางซ้อนกันได้ ดังนั้นคนขนกระเป๋าจึงต้องขนกล่องทีละใบ

Louis เริ่มทดลองใช้วัสดุต่างๆ แทน และพบว่าผ้าใบนั้นเบากว่า ทนทาน และกันน้ำได้ดีกว่า ซึ่งหมายความว่ากระเป๋าเดินทางสามารถมีฝาแบนได้ นี่ทำให้ทุกอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะทำให้สามารถวางซ้อนกันเป็นกองและบรรจุกระเป๋าเดินทางได้หลายใบพร้อมกัน และที่สำคัญยังมีขนาดกะทัดรัดกว่าด้วย การออกแบบกระเป๋าเดินทางใหม่ของ Louis นำมาสู่ยุคของกระเป๋าเดินทางสมัยใหม่

การออกแบบกระเป๋าเดินทางฝาแบนใหม่ของ Louis นำมาสู่ยุคของกระเป๋าเดินทางสมัยใหม่ (CR:CEO Moddle East)
การออกแบบกระเป๋าเดินทางฝาแบนใหม่ของ Louis นำมาสู่ยุคของกระเป๋าเดินทางสมัยใหม่ (CR:CEO Moddle East)

ในจุดนี้ Louis ได้สร้างชื่อเสียงทางวิชาชีพของเขา รวมถึงการติดต่อกับชนชั้นสูง ดังนั้นเมื่อเขาเปิดตัวกระเป๋าเดินทางรุ่นใหม่ มันจึงประสบความสำเร็จอย่างมากในทันที เขายังสร้างแคตตาล็อก Louis Vuitton เพื่อให้ลูกค้าสามารถดูผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายและสั่งทำก่อนที่จะส่งไปที่บ้านของพวกเขา

ภายในสองปีหลังจากสร้างกระเป๋าเดินทางใหม่ของเขา ผลิตภัณฑ์ของ Louis Vuitton ได้ถูกมองว่าเป็นเครื่องประดับที่สง่างามและจำเป็นต้องมีในหมู่คนร่ำรวย เพราะมันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสถานะ และแบรนด์นี้กลายเป็นที่นิยมมากจนเขาได้รับคำสั่งซื้อจากทั่วโลก เขายังเริ่มได้รับคำสั่งซื้อจากราชวงศ์จากแดนไกลอย่างอียิปต์

ในปี 1859 Louis ทำกำไรได้มากพอที่จะจ้างทีมช่างฝีมือมาช่วยทำตามคำสั่งซื้อ เขาเปิดโรงงานใหม่นอกปารีสโดยจ้างพนักงาน 20 คน

ในช่วงเวลานั้น ผู้คนเริ่มเดินทางด้วยรถไฟและเรือมากขึ้น ทำให้จำนวนลูกค้าที่มีศักยภาพของเขาเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ การเดินทางไม่ได้เป็นงานอดิเรกที่จำกัดอยู่แค่คนรวยอีกต่อไป ผู้คนจากทุกสาขาอาชีพต่างก็ต้องการกระเป๋าเดินทางคุณภาพสูง

ดูเหมือนว่า Louis จะประสบความสำเร็จและมีอนาคตที่สดใสตลอดชีวิตที่เหลือของเขา แต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นเช่นนั้น ฝรั่งเศสกำลังเข้าสู่สงคราม และโศกนาฏกรรมกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งสำหรับ Louis Vuitton

ในปี 1870 เมื่อ Louis อายุ 49 ปี สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียก็ปะทุขึ้น Louis ต้องหนีออกจากบ้านและอาศัยอยู่ในที่พักแออัดกับคนอื่นๆ อีกหลายพันคน เสบียงอาหารมีน้อยมาก และเขากลัวว่าจะเอาชีวิตไม่รอด

เมื่อ Louis สามารถกลับไปที่ร้านของเขาได้ในปี 1871 ทุกอย่างถูกทำลาย หน้าต่างแตกกระจาย อุปกรณ์ที่ใช้ในการหากินถูกขโมย และเขาสูญเสียทุกสิ่งที่เขาทำงานหนักเพื่อให้ได้มา

แต่แทนที่จะยอมแพ้ เขาตัดสินใจใช้เงินเก็บของเขาเพื่อสร้างธุรกิจขึ้นมาใหม่ และปฏิญาณกับตัวเองว่าทุกอย่างมันจะต้องดีกว่าเดิม

ด้วยความที่มีผู้คนมากมายพลัดถิ่นจากสงคราม จึงมีร้านค้าว่างให้เช่าในเมืองมากขึ้น Louis Vuitton จึงฉวยโอกาสนี้เปิดร้านใหม่ในทำเลที่มีชนชั้นสูงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในปารีส มันเป็นทำเลที่สมบูรณ์แบบเพราะอยู่ติดกับสถานีรถไฟและโรงแรมหรู ทำให้นักเดินทางที่ต้องการกระเป๋าเดินทางใหม่ไม่ต้องไปไกลเพื่อหาร้าน Louis Vuitton

ภายในปี 1872 เขาออกแบบกระเป๋าเดินทางรูปแบบใหม่ที่ทำจากผ้าใบสีเบจลายทาง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก และผู้คนต่างก็ชอบอวดสไตล์ที่มีรูปแบบทันสมัยนี้

แบรนด์อื่นๆ หลายแบรนด์พยายามเลียนแบบสไตล์ของเขา แต่กระเป๋าของเขามีคุณภาพสูงมากจนลูกค้ายังคงชอบกระเป๋า Louis Vuitton ของแท้มากกว่า

ในช่วง 20 ปีต่อมา Louis ยังคงทำงานที่ร้านใหม่ของเขาในปารีสจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่ออายุ 70 ปี แต่มรดกของเขายังคงอยู่ต่อผ่านลูกชายของเขา Georges ซึ่งรับช่วงต่อธุรกิจครอบครัว Georges มุ่งมั่นที่จะขยายแบรนด์ไปทั่วโลก และได้มีการเปิดร้านในเมืองใหญ่ ๆ เช่น ในลอนดอน

ณ จุดนี้ กระเป๋าเดินทาง Louis Vuitton เป็นที่นิยมมากจนช่างทำกระเป๋ารายอื่นๆ เริ่มทำของปลอมเลียนแบบ ดังนั้นในปี 1896 Georges Vuitton จึงนำเสนอโลโก้ LV แบบลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ในปัจจุบันเพื่อให้ยากต่อการลอกเลียนแบบ

LV เป็นอักษรย่อชื่อของบิดาผู้ก่อตั้งแบรนด์ แต่เขายังคิดค้นแม่กุญแจแบบใหม่ที่ปฏิวัติวงการสำหรับหีบเดินทาง ซึ่งทำให้ขโมยไม่สามารถไขมันได้

Georges Vuitton ผู้คิดค้นโลโก้ LV ที่เป็นตำนานมาถึงทุกวันนี้ (CR:esquiremag)
Georges Vuitton ผู้คิดค้นโลโก้ LV ที่เป็นตำนานมาถึงทุกวันนี้ (CR:esquiremag)

ภายในปี 1900 บริษัทมีพนักงาน 100 คน และยังคงเติบโตขึ้นทุกปี พนักงานทุกคนได้รับการฝึกอบรมเป็นเวลานานเพื่อให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำกระเป๋า

แม้แต่ทุกวันนี้ พนักงาน Louis Vuitton ก็ยังต้องฝึกอบรมเป็นเวลา 18 เดือนถึง 2 ปีก่อนที่จะได้รับความไว้วางใจให้ทำผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่งด้วยตัวเอง

บริษัทยังเริ่มขยายไปสู่สายผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมด เนื่องจากไอคอนด้านแฟชั่นอีกคนหนึ่งคือ Coco Chanel โดยในปี 1925 เธอสั่งทำกระเป๋าถือทรงโดมขนาดเล็ก ในตอนแรกนี่เป็นดีไซน์ที่เธอคิดขึ้นมาเองและทำเฉพาะสำหรับเธอ

อย่างไรก็ตาม ในภายหลังมันก็ถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมากและได้รับการตั้งชื่อว่า Alma กระเป๋ารุ่นนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้ Louis Vuitton ตัดสินใจทำกระเป๋าหนังขนาดเล็กเพิ่มขึ้น เช่น Keepall และ Speedy

ก่อนหน้านี้ กระเป๋าถือ Louis Vuitton มักถูกมองว่าไม่สง่างามและใหญ่เทอะทะ แต่บริษัทมีบทบาทสำคัญในการทำให้กระเป๋าถือกลายเป็นแฟชั่นมากขึ้น

Georges Vuitton เสียชีวิตในปี 1936 และบริษัทถูกส่งต่อไปยังลูกชายของเขา Gaston-Louis อย่างไรก็ตาม Gaston-Louis เข้ามาบริหารบริษัทในช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก เพราะในอีกไม่กี่ปีต่อมา ฝรั่งเศสก็กำลังเข้าสู่สงครามอีกครั้ง

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Gaston-Louis ถูกบังคับให้ปิดโรงงาน Louis Vuitton ปารีสที่อยู่ภายใต้การล้อมของศัตรู

วิธีเดียวที่ Gaston-Louis Vuitton จะสามารถช่วยธุรกิจได้คือการร่วมมือกับนาซีเยอรมนี นักเขียนชื่อ Stephanie Bonvicini เขียนหนังสือชื่อ “Louis Vuitton: A French Saga” ระหว่างการวิจัยจดหมายเหตุของบริษัท เธอได้ขอดูบันทึกจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแน่นอนว่าตัวแทนจากบริษัทพยายามหลีกเลี่ยงการแสดงข้อมูลให้เธอได้เห็น

พวกเขาอ้างว่าเอกสารทั้งหมดจากปี 1930 ถึง 1945 ถูกทำลายในเหตุเพลิงไหม้ แต่หลังจากขุดคุ้ยเอกสารทางประวัติศาสตร์อื่นๆ เป็นจำนวนมาก

Stephanie ค้นพบว่า Louis Vuitton สามารถเปิดหน้าร้านหรูหราบนชั้นล่างในโรงแรม Du Parc ตลอดช่วงการปกครองของนาซี เนื่องจากพวกเขาร่วมมือกับนาซี ในขณะที่แบรนด์อื่นๆ อีกหลายแบรนด์ถูกบังคับให้ปิดตัวลงเพราะปฏิเสธที่จะร่วมมือกับนาซี

เห็นได้ชัดว่าบริษัทละอายใจกับประวัติศาสตร์ส่วนนี้ แต่พวกเขาก็จะโต้แย้งว่า Gaston-Louis ทำในสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้บริษัทอยู่รอด

นักออกแบบแฟชั่นคนอื่นๆ เช่น Coco Chanel ก็ร่วมมือกับนาซีเช่นกันเพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจของเธอในปารีสจะไม่ถูกทำลาย หากไม่ใช่เพราะการตัดสินใจทำงานร่วมกับศัตรู แบรนด์ของพวกเขาอาจไม่มีอยู่ในปัจจุบัน

Gaston-Louis เสียชีวิตในปี 1970 ลูกเขยของเขา Henry Racamier เข้ามาจัดการแบรนด์ Louis Vuitton แบรนด์ได้เดินทางมาถึงรุ่นที่สี่ แต่ไม่เหมือนบรรพบุรุษของเขา Henry มีประสบการณ์ทางธุรกิจมากมายจากบริษัทที่เขาเคยบริหารมาก่อน ดังนั้นเมื่อเขาเข้ามาดูแล Louis Vuitton เขาจึงสามารถยกระดับแบรนด์ให้สูงขึ้นไปอีก

Henry เริ่มทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับแบรนด์ Louis Vuitton เพื่อพัฒนาจากบริษัทครอบครัวไปสู่บริษัทขนาดใหญ่อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เขาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของ Louis Vuitton จากการขายส่งเป็นการขายปลีก ภายในปี 1978 เขาขยาย Louis Vuitton ไปยังประเทศอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงญี่ปุ่น และในช่วงเวลาหกปี หากคิดตามอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน ยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 20 ล้านดอลลาร์เป็น 260 ล้านดอลลาร์

ดังนั้นในปี 1984 Henry จึงตัดสินใจนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ และ Louis Vuitton ขายหุ้น 1 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 63.63 ดอลลาร์

Henry ใช้โมเมนตัมนี้และเงินทุนที่ไหลเข้ามาเปิดร้านค้าเพิ่มขึ้นทั่วโลก ภายในปี 1987 Louis Vuitton มียอดขายถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเกินกว่าที่ Louis ผู้ก่อตั้งจะฝันถึงตอนเปิดร้านแรกในปารีส

Henry ยังตัดสินใจว่าบริษัทควรควบรวมกิจการกับ Moët Hennessy ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องดื่มหรูที่ผลิตแชมเปญและคอนยัค และร่วมกันก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ LVMH ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว การรวมตัวกันจะช่วยให้พวกเขาสามารถรวมทรัพยากรและขยายตัวได้เร็วขึ้น

น่าเสียดายที่หลังการควบรวมกิจการ Henry ไม่สามารถเข้ากับได้ดีกับประธานของ Moët Hennessy ดังนั้น Henry จึงขอให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จที่เขารู้จักชื่อ Bernard Arnault เข้ามาช่วยจัดการสถานการณ์นี้ แต่การเชิญเสือร้ายอย่าง Bernard เข้ามาเป็นนักลงทุนกลับส่งผลร้ายแรง

Bernard แอบซื้อหุ้น 43% ของ Louis Vuitton และได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว Moët และ Hennessy เพื่อให้ได้อำนาจมากขึ้นใน LVMH

Henry รู้สึกว่าถูกหักหลังโดยคนที่เขานำเข้ามาช่วย จึงทำการฟ้องร้อง Bernard โดยเรียกร้องว่าเขาไม่ควรมีหุ้นส่วนใหญ่ใน Louis Vuitton อีกต่อไป

แต่ศาลตัดสินเข้าข้าง Bernard ในที่สุด Henry โกรธมากที่ถูกเพื่อนหักหลัง จึงตัดสินใจลาออกจากการทำงานให้ Louis Vuitton อย่างสิ้นเชิง

เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบเกือบร้อยปีที่ไม่มีใครจากครอบครัว Vuitton เกี่ยวข้องกับแบรนด์อีกต่อไป หลังจากเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการเข้าครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตรของ Bernard ยอดขายของ Louis Vuitton เริ่มตกต่ำ นักข่าวไม่ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับแบรนด์อีกต่อไป และดูเหมือนว่าบริษัทอาจใกล้ถึงจุดจบ

Bernard Arnault ผู้นำพา LVMH ก้าวขึ้นไปสู่อีกระดับ (CR: history.info)
Bernard Arnault ผู้นำพา LVMH ก้าวขึ้นไปสู่อีกระดับ (CR: history.info)

อย่างไรก็ตาม Bernard รู้วิธีที่จะพลิกโชคชะตาของบริษัท Louis Vuitton สามารถกลับมาได้เมื่อเริ่มร่วมมือกับนักออกแบบแฟชั่นหลายคนในช่วงคอลเลกชันครบรอบ 100 ปี ตัวอย่างเช่น Vivienne Westwood และ Isaac Mizrahi ซึ่งได้สร้างสรรค์มุมมองของตัวเองบนโลโก้ LV แบบลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ พวกเขาสร้างผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าไม่เคยเห็นมาก่อน และผู้คนต่างโหยหาที่จะได้กระเป๋า Louis Vuitton มาครอบครองอีกครั้ง

ในท้ายที่สุด การลงทุนของ Bernard ใน Louis Vuitton ก็ให้ผลตอบแทนอย่างมหาศาล ปัจจุบันเขาเป็นซีอีโอของ LVMH และในปี 2021 Forbes ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเขาเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 180 พันล้านดอลลาร์

แน่นอนว่าเมื่อราคาหุ้นเปลี่ยนแปลง อันดับคนรวยเหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลงไป แต่เขก็อยู่ใน 5 อันดับแรกของคนที่รวยที่สุดในโลกเสมอ

อย่างไรก็ตาม ในบรรดาคนที่ร่ำรวยที่สุดอย่าง Bezos, Musk, Gates, Buffett นั้น Bernard Arnault เป็นคนที่เป็นที่รู้จักน้อยที่สุดอย่างแน่นอน เนื่องจากเขาชอบอยู่นอกแสงสปอตไลท์

สิ่งที่เรารู้ก็คือเขามีชื่อเสียงที่โหดร้ายในวงการธุรกิจจนได้รับฉายาว่า “หมาป่าในเสื้อคลุมผ้าแคชเมียร์ (The Wolf in Cashmere)” นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมปัจจุบัน LVMH จึงมีแบรนด์มากกว่า 70 แบรนด์ภายใต้การควบคุม ผ่านการเข้าซื้อกิจการและควบรวมกิจการทั้งหมดที่ Bernard ทำสำเร็จ

บริษัทเดียวนี้เป็นเจ้าของแบรนด์หรูหลายแบรนด์ที่สุดในโลก และทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากวัยรุ่นที่ยากจนและไร้บ้าน

ในโลกสมัยใหม่ Louis Vuitton ยังคงขยายแบรนด์ด้วยสไตล์ใหม่ๆ ที่มีสีสันซึ่งเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่อายุน้อยลง

ในปี 1997 Marc Jacobs ได้เป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ เขาออกแบบไลน์เสื้อผ้าพร้อมสวมใส่ชุดแรกและยังสร้างไลน์กระเป๋าถือ Monogram Vernis ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง

Marc Jacobs ยังขยาย LV ไปสู่นาฬิกา เครื่องประดับ และแว่นตากันแดด แม้ว่าในที่สุดเขาจะออกจาก Louis Vuitton และออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องประดับในแบรนด์ของตัวเอง

แน่นอนว่าบริษัทไม่ได้ปราศจากปัญหา Louis Vuitton มีทีมทนายความที่คอยค้นหาการละเมิดลิขสิทธิ์ และพวกเขาไม่ลังเลที่จะฟ้องร้องใครก็ตามที่พวกเขาเชื่อว่ากำลังลอกเลียนแบบโลโก้ของแบรนด์

พวกเขาถึงกับฟ้อง Google เกี่ยวกับผลการค้นหาและโฆษณาที่นำผู้คนไปสู่กระเป๋าปลอม อย่างไรก็ตาม Google ชนะคดี โดยโต้แย้งว่าพวกเขาไม่สามารถควบคุมสิ่งที่ผู้ใช้ของพวกเขาใส่ลงในอินเทอร์เน็ตได้

Louis Vuitton ยังได้ร่วมมือกับแบรนด์อย่าง Supreme เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าของพวกเขาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่เชื่อไหมว่า Louis Vuitton เคยฟ้อง Supreme ด้วยเช่นกันในข้อหาลอกเลียนโลโก้ของพวกเขา จนกระทั่งพวกเขาตระหนักว่าการร่วมมือกันจะทำกำไรได้มากกว่า

ปัจจุบัน สินค้า Louis Vuitton x Supreme ขายต่อในราคาที่แพงมาก เช่น หีบหนังขายในราคา 125,000 ดอลลาร์ หรือแม้แต่เสื้อฮู้ด LV x Supreme ก็มีราคากว่า 5,000 ดอลลาร์

แน่นอนว่าปัญหาการปลอมแปลงที่ Louis Vuitton เผชิญมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ของธุรกิจยังคงเป็นปัญหาสำหรับแบรนด์จนถึงทุกวันนี้

พวกเขาประมาณการว่าทุกปีพวกเขาสูญเสียรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ให้กับสินค้าปลอมแปลง อย่างไรก็ตาม แม้จะดำเนินธุรกิจมา 168 ปี แบรนด์ของพวกเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดความร้อนแรงแต่อย่างใด

Louis Vuitton ยังคงเป็นแบรนด์ที่หลายคนใฝ่ฝันที่จะได้สวมใส่ และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนดังและคนรวย ปัจจุบันพวกเขาเป็นแบรนด์แฟชั่นอันดับหนึ่งของโลก มีมูลค่า 39 พันล้านดอลลาร์ โดยมีร้านค้ามากกว่า 400 แห่ง ในเกือบทุกเมืองใหญ่ทั่วโลก

ท้ายที่สุด เรื่องราวของ Louis Vuitton เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการผสมผสานระหว่างศิลปะ การค้า และวัฒนธรรม จากจุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายในฐานะช่างทำกระเป๋าเดินทาง สู่การเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราระดับโลก

Louis Vuitton ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์แฟชั่นและวัฒนธรรมการบริโภค การศึกษาเรื่องราวของแบรนด์นี้จึงไม่เพียงแต่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของบริษัทเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในช่วงกว่าศตวรรษที่ผ่านมา

ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เรื่องราวของ Louis Vuitton จะยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ฝันถึงความสำเร็จ และเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับนักธุรกิจ นักการตลาด และนักประวัติศาสตร์ในอีกหลายปีข้างหน้า จากเด็กชายที่เดินทางด้วยเท้าเปล่าสู่ปารีส สู่แบรนด์ระดับโลกที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ เรื่องราวของ Louis Vuitton จะยังคงเป็นตำนานแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในโลกของแฟชั่นและธุรกิจต่อไป

References :
https://www.esquiremag.ph/the-good-life/pursuits/8-things-you-didn-t-know-about-the-founder-of-louis-vuitton-a00184-20170705
https://eu.louisvuitton.com/eng-e1/magazine/articles/a-legendary-history
https://en.wikipedia.org/wiki/Louis_Vuitton
https://www.richdiamonds.com/inspiration/the-history-of-louis-vuitton
https://youtu.be/v2OYxD_7uuI?si=NUU1I9G5hJMBez3P
https://www.savoirflair.com/article/louis-vuitton-history/c353baa3-84bd-4e60-ae12-affe813e9453