เมื่อเหล่าอัจฉริยะทางด้านเทคโนโลยีที่ถูกยกยอ กำลังเฝ้าดูอาณาจักรแสนล้านของพวกเขาดำดิ่งลงสู่งเหว เมื่อต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป อัตราดอกเบี้ยที่กำลังเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และเป็นที่แน่ชัดว่าบริษัทเทคโนโลยี ที่โด่งดังที่สุดไปจนถึงที่เพ้อฝันที่สุด มีบางแห่งต้องล่มสลาย
เป็นบทความที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับจาก Business Insider ที่วิเคราะห์เรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว ซึ่งเราได้เคยเห็นฟองสบู่เทคโนโลยีที่แตกสลายมาแล้วในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 แต่มาถึงวันนี้ระดับในการทำลายล้างจะแตกต่างจากยุค 90 เป็นอย่างมาก
Jim Chanos ผู้ก่อตั้ง Kynikos Associates ที่สร้างชื่อให้กับบริษัทของเขาด้วยการพูดถึงความเฟื่องฟูของเทคโนโลยีล่าสุด ซึ่งเขามองว่าบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ อาจพังทลายครั้งยิ่งใหญ่ และจะส่งผลกระทบในวงกว้าง
Chanos ที่ถนัดในเรื่องการชอร์ตบริษัท ได้กล่าวว่า “การชอร์ตโดยทั่วไปของเราในช่วงต้นปี 2000 เป็นบริษัทที่มีมูลค่า 2-3 พันล้านดอลลาร์ที่กำลังจะเลิกกิจการ แต่ในรอบนี้จะเกิดขึ้นกับบริษัทมูลค่า 20-30 พันล้านดอลลาร์ และบริษัทหลายแห่งกำลังจะมีมูลค่ากลายเป็นศูนย์”
ช่วงเวลา Honeymoon ได้จบลงแล้ว
ไล่มาตั้งแต่ปี 2012 มันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมสำหรับบริษัทเทคโนโลยีส่วนใหญ่ Facebook (ปัจจุบันคือ Meta) เผยแพร่สู่สาธารณะและมีผู้ใช้งานถึง 1 พันล้านคนทั่วโลก
Facebook และ Twitter ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยประชาชนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในช่วงอาหรับสปริง คำสัญญาของ Mark Zuckerberg ที่จะเชื่อมโยงโลกเข้าด้วยกันดูเป็นสิ่งที่สวยงาม
Elon Musk เองก็ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจำนวนมากเพื่อเริ่มต้นการปฏิวัติรถยนต์ไฟฟ้า Uber และ Lyft คือสิ่งใหม่ที่ทำให้ sharing economy เกิดขึ้น ส่วน crypto ดูเหมือนของเล่นที่สนุกสำหรับมือสมัครเล่น
แต่สิบปีต่อมา โลกเราแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง ทุกคนต่างสัยสัยกันว่าเราเชื่อมต่อกันมากเกินไปหรือเปล่า มีการใช้โซเชียลมีเดียในทางที่ผิด ทั้งในเรื่องการเลือกตั้ง การจราจล ประท้วง
ในสงครามเรียกรถ เกิดคำถามขึ้นมากมายว่าธุรกิจนี้มันจะอยู่รอดได้จริง ๆ หรือ ไม่มีวี่แววของการที่บริษัทจะทำกำไรในอนาคตได้เลย หรือ ในวงการ crypto ที่กลายเป็นเหมือนความคลั่งในลัทธิสุดโต่ง
สิ่งที่ตรงกันข้ามก็คือ ผลตอบแทนทางด้านการเงินที่ดิ่งลงเหว อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินทำให้บริษัทสตาร์ทอัพและบริษัทเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูงน่าดึงดูดนั้นหมดไป
บริษัทร่วมทุนใหญ่ที่สุดอย่าง Softbank ก็พบกับความเจ็บปวดในการลงทุนในธุรกิจเพ้อฝัน เช่น WeWork สตาร์ทอัพที่ดู Cool ตอนนี้แทบไม่เหลือความ Cool อีกต่อไป ธุรกิจอย่าง Roku,Pinterest,Uber ดูไม่มีอนาคตที่ยั่งยืนเลย และรอเพียงวันที่จะล่มสลาย
ความน่าสนใจก็คือ โมเดลธุรกิจของ Silicon Valley ไม่ได้ขับเคลื่อนโดยอัจฉริยะทางด้านเทคโนโลยี แต่มาจากการโฆษณาชวนเชื่อเสียมากกว่า Chanos ได้กล่าวว่า มันเป็นสถานการณ์เดียวกันกับตอนฟองสบู่ดอทคอมแตกในยุค 90 เป็นอย่างมาก
ในตอนนี้ คำบางคำ มันได้กลายเป็นเวทย์มนตร์สำหรับดึงดูดนักลงทุน คุณสามารถขายอะไรก็ได้ตราบที่มีความเกี่ยวข้องกับคำไม่กี่คำ เช่น “Blockchain” , “Machine Learning” , “AI” หรือ “Algorithm”
เมื่อ Silicon Valley สิ้นมนต์ขลัง
ยิ่งตลาดร่วงลงนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากขึ้นที่จะยอมรับเรื่องเล่าที่ว่าการระดมเงินอย่างต่อเนื่องใน Silicon Valley ต่อไปจะส่งผลให้เกิดการแก้ปัญหาในที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Buy Now Pay Later มันไม่ใช่การปฏิวัติใหม่แต่อย่างใด บริษัทอย่าง Klarna และ Affirm มีความเพ้อฝันว่าอัลกอริธึมอันแสนวิเศษของพวกเขาสามารถทำนายได้ว่าใครสามารถจ่ายหนี้ได้อย่างน่าเชื่อถือและจะจ่ายเมื่อใด
มันฟังดูวิเศษมาก แต่ความเป็นจริงกลับกลายเป็นสิ่งตรงกันข้าม บริษัทเหล่านี้มีปัญหากับการตามหนี้ แต่พวกเขากลับกลายเป็น Unicorn ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
แต่มาถึงตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยน บริษัทเหล่านี้กำลังเลิกจ้างพนักงานและมูลค่าบริษัทของพวกเขาก็ลดลง 3 เท่า เนื่องจากพบว่าเวทมนตร์ที่เขาคิดว่าเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ ไม่ได้สร้างผลกำไรอะไรเลย
ยิ่งในธุรกิจ Crypto ยิ่งหนักกว่า มีบริษัทร่วมทุนจำนวนมากใน Silicon Valley กระโดดเข้าไปลงทุนด้วยความคิดที่ว่ามันจะกลายเป็นอนาคตทางการเงินของโลก
Project บาง Project ของ fork code กันไปมาแต่งเติมอีกนิดหน่อย สามารถระดมทุนได้หลายสิบล้านเหรียญ หรือ บริษัทที่ใช้แนวคิดเดิมของบริการบนอินเทอร์เน็ตแต่ไม่มีอะไรใหม่ แค่คุณบอกว่า นี่คือ x ของโลก crypto หรือ blockchain ก็สามารถระดมทุนได้หลายล้านเหรียญ
บริษัทอย่าง Coinbase ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ที่กำลังเสี่ยงต่อการล้มละลาย ลูกค้าของบริษัทอาจจะต้องสูญเสียทรัพย์สินทั้้งหมดของพวกเขา
Amazon ของ Jeff Bezos ที่เป็น Ecommerce ยักษ์ใหญ่เบอร์หนึ่งของโลก ที่ไม่ได้ทำกำไรมาหลายทศวรรษ disrupted ธุรกิจต่าง ๆ มามากมาย ผู้คนสูญเสียงานไปหลายล้านตำแหน่ง แต่ตอนนี้ Amazon เองยังต้องไปพึ่งพาจากบริการอื่นที่สร้างกำไรได้มากกว่าอย่าง AWS
ทุกคนมักพูดถึง Elon Musk เพราะเขารวยที่สุด (บนกระดาษ) และขี้บ่นที่สุด (บน Twitter) ที่สร้าง Tesla มาเป็น 20 ปีแล้ว แต่ก็เพิ่งเริ่มสร้างรายได้จริง ๆ จัง ๆ ในปี 2020 นี่เอง แถมตอนนี้ยังเจอการแข่งขันใหม่จากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศจีน
หรือ Mark Zuckerberg ที่ตั้ง Facebook ขึ้นในหอพักฮาร์วาร์ด มันเป็นแนวคิดที่ดีในช่วงแรกของการก่อตั้งเพื่อเชื่อมต่อคนทั้งโลกเข้าหากัน
แต่ตอนนี้ Facebook ได้กลายเป็นแหล่งของการเหยียดเชื้อชาติ การ Bully ทฤษฎีสมคบคิด บริษัทได้ใช้วิธีการซื้อกิจการและลอกเลียนคู่แข่งแบบแทนการสร้างนวัตกรรมออกมาสู้
และตอนนี้ Mark Zuckerberg เรียกได้ว่าทุ่มเทหมดหน้าตักให้กับโลก Metaverse และดูเหมือนมันจะเป็นโลกที่น้อยคนคิดว่ามันจะประสบความสำเร็จจริง ๆ และ Mark ยังต้องทุ่มเงินจำนวนมหาศาล เพื่อเทคโนโลยีที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะแก้ปัญหาอะไรได้จริง ๆ ให้กับโลกใบนี้
บทสรุป
ในอนาคตเราจะมีบริการอย่าง รถยนต์บินได้ หรือ การเดินทางสู่อวกาศสำหรับเหล่ามหาเศรษฐี แต่คำถามคือแม้มันจะเป็นแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้มีสิ่งใดที่เป็นการปฏิวัติเพื่อแก้ปัญหาที่แท้จริงให้กับโลกของเรา
ในทุกวันนี้เราเชื่อมต่อกันมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็แตกแยกกันมากขึ้นกว่าเดิมเช่นเดียวกัน มีความโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้น ความไม่เท่าเทียมกันยังคงเพิ่มขึ้น วิกฤติที่อยู่อาศัยก็เลวร้ายลง วิกฤตสภาพภูมิอากาศก็ยังคงโหมกระหน่ำ
เหล่าบริษัทเทคโนโลยีระดับเทพ ได้รับเงินทุนมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ให้กับพวกเรา แต่ตอนนี้มันดูเหมือนยังไม่เข้าใกล้จุดนั้นเลย
โลกเราหวังให้บริษัทเหล่านี้ช่วยแก้ปัญหาในชีวิตของพวกเราได้อย่างแท้จริง มากกว่าเพียงแค่การเป็นบริษัทที่ตามเทรนด์ เพื่อสูบเงินจากนักลงทุน สร้างความร่ำรวยของกลุ่มผู้ก่อตั้งให้ไปใช้ชีวิตอย่างเสพสุข เหมือนที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับผม
References : https://bit.ly/3t4Gxmj