AI x Big Four เมื่อ PwC ทดลองแชทบอท ChatGPT เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงานของทนายความ

สงครามของโลกธุรกิจยุคใหม่มันได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อการเกิดขึ้นของ ChatGPT แม้ในตอนนี้มันอาจจะไม่สมบูรณ์ 100% แต่หากธุรกิจใดเริ่มก่อน ก็สามารถที่ช่วงชิงความได้เปรียบก่อนอย่างแน่นอน

ในอุตสาหกรรม Consultant หรือ บริษัทตรวจสอบบัญชีก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้เริ่มนำเอาเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT 4 เข้ามาช่วยเหลือพวกเขา โดยเฉพาะเกี่ยวกับงานด้านเอกสารต่าง ๆ

PricewaterhouseCoopers (PwC) ได้ประกาศการทดลองแชทบอทที่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความเร็วการทำงานของทนายความ 4,000 คน ซึ่งเป็นสัญญาณล่าสุดที่บริษัทผู้ให้บริการมืออาชีพต่างเร่งนำ AI มาใช้จริงในการดำเนินธุรกิจ

PwC ได้ทำสัญญา 12 เดือนกับสตาร์ทอัพที่มีชื่อว่า Harvey ซึ่งจะช่วยให้นักกฎหมายเข้าถึง AI ทางกฎหมาย ซึ่ง PwC กล่าวว่าจะช่วยให้พวกเขาทำงานได้เร็วขึ้น เช่น การวิเคราะห์สัญญาและดำเนินการตรวจสอบสถานะต่าง ๆ ของคดีความ

บริษัท Big Four กล่าวว่ามีแผนที่จะหาวิธีใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการปฏิบัติงานด้านภาษีด้วยเช่นกัน

นับตั้งแต่เปิดตัว ChatGPT แชทบอท AI ที่พัฒนาโดย OpenAI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft ได้กระตุ้นความสนใจในศักยภาพของเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพ

ซอฟต์แวร์ของ Harvey สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีล่าสุดของ OpenAI นั่นคือ GPT-4 ซึ่งบริษัทกล่าวว่าดูเหมือนจะมีความสามารถในการให้เหตุผลทางกฎหมายที่ดีกว่ารุ่นก่อนเป็นอย่างมาก

Carol Stubbings ผู้บริหารที่ดูแลด้านภาษีและกฎหมายระดับโลกของ PwC กล่าวว่า เทคโนโลยีดังกล่าว “ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในบริการด้านภาษีและกฎหมายทั่วทั้งอุตสาหกรรม”

บริษัทกล่าวว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยเร่งการตัดสินใจโดยการสร้างคำตอบสำหรับคำถาม ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบและเพิ่มเข้าไปข้อมูลที่ได้รับมาเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ChatGPT สามารถวิเคราะห์ข้อความจำนวนมหาศาลและเขียนคำตอบที่น่าเชื่อถือสำหรับคำถามได้ จึงสามารถใช้สรุปสาระสำคัญจากชุดสัญญาต่างๆ ได้ และท้ายที่สุดเพื่อจัดทำรายงานการตรวจสอบสถานะเบื้องต้นตามคำแนะนำจากทนายความ

บริษัท Big Four กล่าวว่ามีแผนที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ของตนเองสำหรับลูกค้าด้านภาษีและกฎหมายโดยใช้แพลตฟอร์มของ Harvey

ไม่แทนที่แค่นำมาช่วยเหลือ

PwC จะไม่ใช้ AI เพื่อให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและจะไม่แทนที่นักกฎหมาย แน่นอนว่าการมองหาวิธีการใช้ AI ของอุตสาหกรรมบริการระดับมืออาชีพถือเป็นพัฒนาการที่น่าสนใจในการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องสู่ระบบอัตโนมัติของงานที่มีลักษณะซ้ำซากจำเจ

ทั้งนี้ Bain & Co และ Boston Consulting Group กำลังทดลองใช้ OpenAI เช่นเดียวกัน รวมถึงบริษัทกฎหมาย Allen & Overy ที่มีการใช้ Harvey อยู่แล้ว และได้ออกมายืนยันว่าเทคโนโลยีนี้จะไม่แทนที่พนักงานคนใด พวกเขามองว่ามันจะช่วยลดต้นทุนของธุรกิจได้ในอนาคต

Robin AI ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Harvey กล่าวว่าได้ให้บริการแก่ที่ปรึกษา Big Four สองแห่งและสำนักงานกฎหมาย Clifford Chance ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์เพื่อตรวจสอบและแก้ไขสัญญา บริการของพวกเขาสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีที่พัฒนาโดย Anthropic บริษัทสตาร์ทอัพของสหรัฐฯ

“เป้าหมายคือทำให้งานที่มีปริมาณมากที่ซ้ำซากจำเจเป็นไปโดยอัตโนมัติซึ่งไม่ควรใช้มนุษย์มาทำสิ่งเหล่านี้” Richard Robinson ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Robin กล่าว

กลัวความลับรั่วไหล

แม้จะมีความสนใจอย่างกว้างขวาง แต่ที่ปรึกษาบางคนกังวลเกี่ยวกับผลที่ตามมาของข้อมูลและการรักษาความลับ

บริษัทด้าน Consultant ชื่อดังอย่าง Accenture ได้ห้ามไม่ให้พนักงานใช้ ChatGPT และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่คล้ายกัน โดยไม่ได้รับอนุญาต 

บริษัทซึ่งมีพนักงานมากกว่า 700,000 คน แจ้งพนักงานในอีเมล โดยได้มีการปรับปรุงนโยบายเกี่ยวกับการรักษาความลับและการใช้เทคโนโลยีเพื่อป้องกันการเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน นอกจากนี้ยังกล่าวว่าบริษัทกำลังจัดตั้ง “centre of excellence” ด้าน AI เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าว

สำนักงานกฎหมายของเมือง Mishcon de Reya ได้บอกกับพนักงานว่าอย่าอัปโหลดข้อมูลลูกค้าไปยังเครื่องมือแชทบอทเหล่านี้ บริษัทกล่าวว่าทีมวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักกฎหมายบางคนกำลังหารือกันว่าบริษัทจะใช้เทคโนโลยีนี้ได้อย่างไร

บทสรุป

ลองจินตนาการสิ่งที่เกิดขึ้นจริงสำหรับเหล่าพนักงานในองค์กรต่าง ๆ หากได้ใช้งาน ChatGPT อย่างจริงจัง แน่นอนว่ามันต้องมีข้อมูลความลับของบริษัทที่อาจจะรั่วไหลออกไปได้เป็นเรื่องปรกติอยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับ ที่เราต้องไปค้นหาสิ่งต่าง ๆ ใน Google เราก็มักจะไม่ได้คำนึงถึงจุดเหล่านี้เช่นเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับองค์กรธุรกิจเป็นอย่างมาก

แต่อย่างไรก็ดี แม้เทคโนโลยีจะยังไม่พร้อมสมบูรณ์แบบ 100% อย่างที่หลายๆ คนคาดหวัง แต่ธุรกิจไหนเริ่มต้นก่อน ก็มีโอกาสได้เปรียบก่อน และได้เห็นถึงศักยภาพมันได้ก่อนใคร ซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจในยุค AI First ในวันข้างหน้านั่นเองครับผม

References :
https://www.ft.com/content/463f8cc1-9feb-46ac-a14e-7826c87e2bf4
https://www.ft.com/content/baf68476-5b7e-4078-9b3e-ddfce710a6e2
https://techcrunch.com/2022/11/23/harvey-which-uses-ai-to-answer-legal-questions-lands-cash-from-openai/
https://rivaltimes.com/ai-reaches-the-big-four-4000-professionals-from-one-of-the-large-consultancies-receive-a-text-generator-similar-to-chatgpt-to-streamline-their-work/

BYD (The New Toyota) กับแนวทางการเป็น Toyota ในแบบฉบับรถยนต์ EV

Tesla อาจเป็นผู้ผลิต รถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก และตามที่ Elon Musk ได้คุยโวไว้ว่าพวกเขาล้ำหน้ากว่าคู่แข่งมากจนแทบมองไม่เห็นใครที่จะมาต่อกรพวกเขา

ในขณะที่บริษัทยานยนต์ยักษ์ใหญ่ยุคเครื่องยนต์สันดาปอย่าง Toyota ก็ไม่ได้สนใจภัยร้ายที่ย่องมาเงียบ ๆ จากผู้ผลิตชาวจีนอย่าง BYD ซึ่งในปีนี้อาจแซงหน้า Tesla ในฐานะผู้ขายรถยนต์ EV รายใหญ่ที่สุดของโลก (ไม่รวมถึงรถไฮบริดซึ่งพวกเขาก็ผลิตด้วยเช่นกัน)

ความน่าสนใจก็คือ BYD และ Toyota พวกเขาเป็นพันธมิตรกันในประเทศจีน ที่สำคัญกว่านั้น BYD ได้เลียนแบบคุณลักษณะหลายอย่างของ Toyota ที่ได้กลายเป็นบริษัทรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกมานานหลายทศวรรษ

บริษัททั้งสองมีความคล้ายคลึงกันทางประวัติศาสตร์ พวกเขาไม่ได้เริ่มต้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ Toyota เริ่มต้นธุรกิจด้วยการผลิตเครื่องทอผ้าแบบอัตโนมัติ

ผลิตภัณฑ์แรกของ BYD คือแบตเตอรี่สำหรับโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเมื่อมองจากจุดเริ่มต้นพวกเขาตามหลังคู่แข่งด้านการผลิตรถยนต์ระดับโลกในยุคของตัวเองเป็นอย่างมาก

BYD ใช้ความเชี่ยวชาญด้านแบตเตอรี่และมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้าและรถปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเป็นที่รู้จักในจีนว่าเป็นรถยนต์พลังงานใหม่ ( NEV ) ทั้ง Toyota และ BYD ฝึกปรือฝีมือด้วยตลาดภายในประเทศและเมื่อพวกเขาเริ่มออกไปตีตลาดต่างประเทศก็เริ่มต้นในตลาดรถยนต์ในประเทศที่ค่อนข้างด้อยพัฒนา

แต่จุดเริ่มต้นในการผลิตรถยนต์ได้ยกระดับธุรกิจของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ในช่วงหกปีตั้งแต่ปี 1955 ถึง 1961 การส่งออกของ Toyota เติบโตมากกว่า 40 เท่า และนั่นคือจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ของ Toyota

ฟากฝั่ง BYD ต้องใช้เวลา 13 ปีในการผลิตรถยนต์ NEV หนึ่งล้านคันแรก ใช้เวลาอีกหนึ่งปีกว่าจะได้ล้านที่สอง หกเดือนต่อมาก็สามารถผลิตได้ถึงสามล้านคัน พวกเขามีฐานการผลิตหลายแห่งตั้งแต่จีนไปจนถึงบราซิล ฮังการี อินเดีย และอื่นๆ ทั่วทุกมุมโลก

ปัจจุบัน BYD เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนรายใหญ่อันดับสองของโลก รองจาก CATL ของจีน เป็นผู้ผลิตยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ เช่น รถบรรทุกและแท็กซี่ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งเหล่านี้ทำให้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขยายตัวไปยังทั่วโลก

ปัญหาที่พวกเขาพบเจอก็คล้ายคลึงกัน Toyota ได้ตกเป็นเหยื่อของ สงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯและญี่ปุ่นในช่วงปี 1980 ฟากฝั่ง BYD ก็ต้องประสบพบเจอกับสงครามการค้าระหว่างจีน-อเมริกันที่ใกล้จะถึงจุดเดือดอยู่ในตอนนี้

Tu Le จาก Sino Auto Insights ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านยานยนต์ EV ได้ขนานนาม BYD ว่าเป็น “The New Toyota” ซึ่ง Toyota นั้นถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะด้านการผลิตของอุตสาหกรรมมานานหลายทศวรรษ “วิถีแห่งโตโยต้า” คือการรวมกันของการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องหรือไคเซ็น การผลิตแบบลีน และการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่เหนือชั้น

BYD ทำสิ่งต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกัน พวกเขาเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการบูรณาการในแนวดิ่งมากที่สุดในโลก ทำทุกอย่างตั้งแต่ที่นั่งของตัวเองไปจนถึงแบตเตอรี่และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งทาง Le ได้ใช้คำว่า Get shit done (GSD) เพื่ออธิบายความสามารถในการผลิตของ BYD

“มีเพียงมนุษย์ไม่กี่คนที่ทำการตรวจสอบในขั้นตอนสุดท้าย หุ่นยนต์ของ BYD ได้สร้างนิยามใหม่ให้กับการผลิตรถยนต์เช่นเดียวกับที่ Toyota เคยทำได้สำเร็จ” Warren Buffett ไอคอนด้านการลงทุนของอเมริกาเป็นแฟนตัวยงของ BYD รวมถึงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่

BYD ให้ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับผลการดำเนินงานที่น่าตกใจ แต่ในวันที่ 30 มกราคม บริษัทได้ประมาณการกำไรสุทธิเบื้องต้นในปี 2022 ที่ 2.4-2.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าปี 2021 มากกว่าห้าเท่า

จากข้อมูลนี้ บริษัทบ่งบอกเป็นนัยว่าในไตรมาสที่ผ่านมา อัตรากำไรของธุรกิจรถยนต์ของ BYD นั้นได้แซงหน้า Tesla ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่ทำกำไรได้มากที่สุดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า BYD ที่เติบโตมาจากการสร้างรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดสำหรับตลาด mass กำลังขายรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมที่มีกำไรสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแตกต่างจาก Tesla ตรงที่พวกเขามีรุ่นและสไตล์ที่หลากหลายและมีการออกรถรุ่นใหม่เป็นประจำ

บุกตลาดอเมริกา

ยังมีโอกาสใหญ่มาก ๆ สำหรับ BYD ในตลาดอเมริกา ซึ่งปัจจุบันพวกเขายังไม่ได้บุกไปยังตลาดนี้มากนัก แต่อุปสรรคใหญ่ในการเข้าสู่ตลาดอเมริกาคือภาษีศุลกากร ซึ่งเป็นนโยบายสมัยประธานาธิบดี Donald Trump ที่มีปัญหาอย่างหนักกับประเทศจีน และมีการกีดกันการค้าโดยเฉพาะส่วนประกอบ EV ที่ผลิตในจีน เช่น แบตเตอรี่

ในที่สุดการเปิดตัวในอเมริกาของ BYD คงเกิดขึ้นแน่ ๆ เหล่าผู้ผลิตรถยนต์อเมริกันก็ต้องพึ่งพายอดขายในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขาไม่สามารถกีดกันให้ BYD บุกเข้ามาในประเทศเขาได้เช่นเดียวกัน

BYD อาจนำเสนอรถยนต์ EV ที่ราคาต่ำกว่า 40,000 ดอลลาร์ ที่จะกระตุ้นตลาด mass ในสหรัฐอเมริกา และหากพวกเขาล้มเหลว BYD ก็สามารถที่จะขอความช่วยเหลือผ่านองค์ความรู้ของ Toyota ในการเจาะตลาดอเมริกา เพราะพวกเขามีความร่วมมือกันอยู่แล้วในประเทศจีน

สำหรับตอนนี้ Toyota ได้เริ่มตระหนักถึงความท้าทายจาก BYD ซึ่งก็มาก พอๆ กับโอกาสที่เกิดขึ้น พวกเขาทั้งสองมีคุณลักษณะหลายๆ อย่างที่คล้ายคลึงกันมาก Toyota และ BYD ไม่ได้คุยโม้โอ้อวดถึงจุดแข็งของตัวเองอย่างที่ Elon Musk ทำกับ Tesla แต่ให้ตัวเลขเป็นบทพิสูจน์ทางธุรกิจให้โลกได้เห็นนั่นเอง

References :
https://nepaldrives.com/byd-and-toyota-launch-joint-venture-to-conduct-battery-electric-vehicle-rd/
https://www.economist.com/business/2023/02/02/chinas-byd-is-overtaking-tesla-as-the-carmaker-extraordinaire

ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่ Youtube ควรจะแยกตัวออกจาก Alphabet

ธุรกิจวีดีโอสตรีมมิ่งกำลังถึงจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการกลับมาของ Bob Iger สู่ตำแหน่งผู้บริหารของ Disney และการกลับมาอีกครั้งของ Reed Hastings ที่ Netflix รวมถึงข่าวล่าสุดที่ว่า Susan Wojcicki จะลาออกจาก YouTube หลังจากเก้าปี นั่นถือได้ว่าเป็นสัญญาณที่สำคัญของธุรกิจนี้ 

สถานการณ์ที่เริ่มสั่นคลอนของบริษัทแม่อย่าง Alphabet เมื่อ Sundar Pichai กำลังต่อสู้กับสงครามในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก ChatGPT ของ Microsoft ซึ่งกำลังทำให้เกิดการรุกล้ำในธุรกิจที่เป็นเครื่องจักรทำเงินอย่างการค้นหาของ Google

ด้วยสถานการณ์ที่ตลาดโฆษณาออนไลน์ที่เริ่มชะลอตัวและการแข่งขันจาก TikTok ซึ่งเป็นแอปวิดีโอสั้นที่กำลังร้อนแรง ทำให้รายรับจากโฆษณาของ Youtube ลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สองเมื่อเทียบเป็นรายปี

YouTube ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของโลกของความบันเทิง ซึ่งสำหรับหลาย ๆ คนแล้ว มันเป็นทั้ง คู่มือdiy ตำราทำอาหาร ตู้เพลง ครูสอนโยคะ ช่องข่าว และสถานีด้านกีฬา ซึ่งทั้งหมดนี้รวมเป็นหนึ่งเดียวภายใต้แพลตฟอร์ม Youtube 

Youtube มีผู้ใช้ที่ใช้งานอยู่ 2.6 พันล้านคนต่อเดือนและมีรูปแบบการแบ่งรายได้ที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพที่ creator หลายล้านคนพึ่งพาเพื่อสร้างเนื้อหาออกมาอย่างต่อเนื่อง การตอบสนองต่อ TikTok โดยออกเวอร์ชั่น YouTube Shorts นั้นสามารถสร้างผู้ชมเฉลี่ยได้สูงถึง 5 หมื่นล้านครั้งต่อวัน

ข้อมูลที่เผยแพร่ในสัปดาห์นี้โดย Benedict Evans นักวิจารณ์ด้านเทคโนโลยี ตอกย้ำว่าแพลตฟอร์มนี้สามารถก้าวไปได้ไกลเกินกว่าสถานะที่อยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก

YouTube ได้บดบังความยิ่งใหญ่ของ Netflix ซึ่งตามการประมาณการของ Evans Youtube ได้จ่ายเงินให้กับเหล่า creator เกือบเท่าๆ กับที่ Netflix จ่ายให้กับการผลิตเนื้อหาที่ใช้งบประมาณมหาศาล ผู้ใช้ YouTube ระดับท็อปอย่าง MrBeast ได้สร้างฐานแฟนคลับที่ไม่ต่างจากรายการยอดนิยมของ Netflix

MrBeast ที่เป็น Youtuber ระดับท็อปได้สร้างฐานแฟนคลับที่ไม่ต่างจากรายการยอดนิยมของ Netflix (CR:Tubefilter)
MrBeast ที่เป็น Youtuber ระดับท็อปได้สร้างฐานแฟนคลับที่ไม่ต่างจากรายการยอดนิยมของ Netflix (CR:Tubefilter)

แม้ว่ารายได้ 29,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้วจะคิดเป็นประมาณ 1 ใน 10 ของรายได้ของ Alphabet แต่ Richard Broughton จากบริษัทวิจัย Ampere Analysis ชี้ให้เห็นว่ารายได้จากตลาดโฆษณาออนไลน์เหล่านี้เทียบเท่ากับเม็ดเงินก้อนใหญ่มาก ๆ เมื่อเทียบกับตลาดโฆษณาทางโทรทัศน์และธุรกิจ broadcast ทั่วโลกที่มีมูลค่า 140,000 ล้านดอลลาร์

ยิ่งไปกว่านั้น YouTube ยังมีรูปแบบรายได้จากเพลง , พอดคาสต์ และ YouTube TV และเช่นเดียวกับ Amazon และ Apple บริการสมัครสมาชิกบริการสตรีมมิ่งของพวกเขาก็สร้างรายได้มหาศาลเช่นกัน และพวกเขาเพิ่งควักเงิน 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดอเมริกันฟุตบอลในคืนวันอาทิตย์มาอีกด้วย 

เรียกได้ว่า Youtube สร้างกำแพงที่แข็งแกร่งในการปกป้องธุรกิจของตนเอง ทั้งภัยคุกคามของ TikTok จากจีน และพวกเขาจะเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับวิดีโอหน้าจอขนาดเล็กทั่วโลก ตั้งแต่คลิปที่ผู้ใช้สร้างขึ้นและการสตรีมไปจนถึงการถ่ายทอดสดกีฬาชั้นนำ

Wojcicki มีความผูกพันกับ Sergey Brin และ Larry Page เป็นอย่างมาก เพราะ Google ยุคแรก ๆ ได้เริ่มสร้างเครื่องมือค้นหาในโรงรถของเธอ ซึ่งเธอช่วยดึงความเป็นมืออาชีพของ Google มาสู่ YouTube อย่างไม่ต้องสงสัย 

หลังจากความยุ่งเหยิงในช่วงแรก ๆ ของ YouTube ที่ก่อตั้งขึ้นเพียงหนึ่งปีก่อนที่ Google จะเข้าซื้อในปี 2006 เมื่อ Wojcicki จากไป มันเป็นคำถามสำคัญที่ว่า YouTube ซึ่งตอนนี้เปรียบเสมือนได้ผ่านช่วงวัยรุ่นไปแล้ว จะได้รับประโยชน์จากความผูกพันกับยานแม่อย่าง Alphabet มากเท่าที่เคยเป็นมาหรือไม่ 

Tim Mulligan จาก MIDiA ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยอีกแห่งหนึ่งคิดว่า Alphabet อาจขัดขวางการเติบโตของ YouTube มากกว่าช่วยเหลือ 

ถึงเวลา spin off แล้วหรือยัง?

สำหรับ YouTube มีแรงสนับสนุนให้พวกเขาแยกตัวมากมาย อย่างแรกคือการโฟกัสที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมบันเทิง ไล่มาตั้งแต่ TikTok และสงครามการสตรีม ความเข้มข้นของการแข่งขันนั้นเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งสถานการณ์ในขณะนี้ของ Alphabet มีสิ่งอื่นๆ มากมายเกินกว่าจะให้ความสนใจ YouTube ได้อย่างเต็มที่ 

รวมถึงรูปแบบของธุรกิจ หากไม่มียักษ์ใหญ่ด้านการโฆษณาคอยครอบงำ Youtube ก็จะมีอิสระในการทดลองรายได้จากโมเดลธุรกิจอื่น ๆ ได้มากขึ้น

ส่วนเรื่องน่าปวดหัวที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานกำกับดูแล คดีที่ศาลสูงสุดตัดสินเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ว่า YouTube ละเมิดกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายโดยใช้อัลกอริทึมที่แนะนำวิดีโอของกลุ่มหัวรุนแรงหรือไม่  หรือแม้กระทั่ง Facebook เองก็ได้รับความเดือดร้อนจากเนื้อหาทางการเมืองมากมายในแพลตฟอร์มของพวกเขา 

แต่การเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่ใหญ่กว่า Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook ทำให้ YouTube เป็นเป้าหมายที่น่าสนใจกว่า เนื่องด้วยความสามารถในการขยายบริการต่างๆ เช่น YouTube TV ไปทั่วโลกอาจถูกตัดแข้งตัดขาโดยข้อกังวลด้านกฎระเบียบเกี่ยวกับขนาดของ Alphabet ที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ

และการตอบสนองอย่างตื่นตระหนกของ Sundar Pichai ต่อ ChatGPT ซึ่งเป็นหุ้นส่วนด้าน AI ระหว่าง Microsoft และสตาร์ทอัพชื่อดังอย่าง Open AI ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของเขา 

สถานการณ์ของ ChatGPT ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของ Sundar Pichai (CR:vnexpress)
สถานการณ์ของ ChatGPT ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของ Sundar Pichai (CR:vnexpress)

การแยกตัวออกจาก Alphabet ของ Youtube จะส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า Alphabet สามารถทุ่มเทสรรพกำลังไปยังเทคโนโลยี AI ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังช่วยให้ Alphabet สามารถแก้ข้อขรหาจากกระทรวงยุติธรรม ( doj ) ซึ่งในเดือนมกราคมได้ฟ้อง Google เกี่ยวกับการผูกขาดเทคโนโลยีโฆษณาดิจิทัลซึ่ง Alphabet ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าว 

การประเมินมูลค่าของ YouTube ในฐานะบริษัทมหาชนอาจจะพุ่งสูงขึ้นมาก ด้วยยอดขายโฆษณาใกล้เคียงกับรายได้ของ Netflix ที่ 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ไม่นับรวมคลังเพลงกว่า 80 ล้านรายการและสมาชิกระดับพรีเมียมหรือรายได้จาก Youtube TV

Laura Martin จาก Needham ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุน ประเมินว่ามูลค่าของ Youtube อาจมีมูลค่าอย่างน้อย 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมีมูลค่ามากกว่า Disney และ Netflix ถึงสองเท่า

แต่มันก็จะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญทางธุรกิจของผู้ก่อตั้งทั้งสองนั่นเพราะว่า Page และ Brin ควบคุมสิทธิ์ในการออกเสียงของ Alphabet มากกว่าครึ่งหนึ่ง และ Alphabet คงไม่ต้องการเป็นยักษ์ใหญ่แห่งเทคโนโลยีรายแรกที่เริ่มเทขายแหล่งทำเงินหลักของตัวเอง 

ฟากฝั่งของ TikTok ซึ่งเป็นของชาวจีน ดูเหมือนจะไม่เร่งรีบที่จะทำ IPO ออกสู่สาธารณะ นักลงทุนน่าจะชอบที่จะได้ครอบครองหุ้นบริษัทของชาวอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นบริษัทที่ครอบครองตั้งแต่คลิปที่ผู้ใช้สร้างขึ้น ,การสตรีม , การถ่ายทอดสดกีฬาชั้นนำไปจนถึงรายการโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ของโลกดั่งที่เราได้เห็นในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.cnbc.com/2019/10/29/analyst-alphabet-should-spin-off-youtube-would-be-worth-300-billion.html
https://fourweekmba.com/who-owns-youtube/
https://www.economist.com/business/2023/02/23/its-time-for-alphabet-to-spin-off-youtub
https://tek2day.com/2023/02/21/spin-off-youtube-and-google-cloud/
https://www.gizmodo.com.au/2023/02/youtubes-ceo-resigns/

Ecommerce x Livestreamed เมื่ออนาคตของการค้าปลีกกำลังก้าวไปสู่ยุคของการสตรีมแบบไลฟ์สด

เราได้เห็นกระแสที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันที่รูปแบบของการช็อปปิ้งผ่านการสตรีมสด หรือ ไลฟ์สดนั้น การเป็นเทรนด์ที่มาแรงมาก ๆ และตอนนี้สถานการณ์มันไม่ได้เกิดเฉพาะในฝั่งเอเชีย แต่โลกตะวันตกรูปแบบการช็อปปิ้งใหม่นี้กำลังทำลายกำแพงที่ขวางกั้นของสไตล์การช็อปปิ้งเดิม ๆ ที่นำโดย Amazon

การช็อปปิ้งที่ขับเคลื่อนด้วยโซเชียลมีเดียไม่ใช่เรื่องใหม่ เกือบสองในสามของผู้บริโภคกล่าวว่าพวกเขาซื้อของบางอย่างผ่านโซเชียลมีเดีย จากการสำรวจของ Accenture จากผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 10,000 คน

การศึกษาใหม่โดย Accenture พบว่าอุตสาหกรรมโซเชียลคอมเมิร์ซทั่วโลกมูลค่า 4.92 แสนล้านดอลลาร์คาดว่าจะเติบโตเร็วกว่าอีคอมเมิร์ซแบบดั้งเดิมถึง 3 เท่าเป็น 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 การเติบโตคาดว่าจะได้รับแรงหนุนหลักจาก ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย Gen Z และ Millennial ซึ่งคิดเป็น 62% ของการใช้จ่ายในโซเชียลคอมเมิร์ซทั่วโลกภายในปี 2025 

แฮชแท็ก #TikTokMadeMeBuyIt ได้รับการคลิกมากกว่า 18.5 พันล้านครั้ง และการอัปโหลดเฉลี่ยต่อวันบน YouTube ที่มีคำว่า “Shop With Me” ในชื่อนั้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ในปี 2022 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ในอดีต ผู้บริโภคออกจากแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อซื้อสินค้าโดยใช้ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ต่างๆ เช่น Amazon แต่โซเชียลเน็ตเวิร์กต้องการให้ธุรกรรมเกิดขึ้นภายในแอป ทำให้พวกเขาสามารถตัดรายได้ของ Amazon ซึ่งเป็นผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซมาอย่างยาวนาน

“โดยพื้นฐานแล้ว เรามองว่า YouTube เป็นสถานที่ที่กิจกรรมการช็อปปิ้งเกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน และเป้าหมายของเราคือ . . ทำให้กิจกรรมการช็อปปิ้งนั้นราบรื่นและเป็นธรรมชาติมากขึ้น” David Katz รองประธานฝ่ายการจัดการผลิตภัณฑ์ของ YouTube Shopping กล่าว

ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้คลิกลิงก์เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ขณะรับชมการถ่ายทอดสดบน YouTube มีให้บริการในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ซึ่ง Katz ยอมรับว่ายังอยู่ในช่วง “ทดลอง” การโต้ตอบกับเครื่องมือในประเทศเหล่านี้ยังตามหลังประเทศอื่นๆ เช่น เกาหลีใต้ บราซิล และอินเดีย

“มันยังเร็วไปที่จะได้ข้อสรุป” เขากล่าวเสริม “พฤติกรรมนี้มีความก้าวหน้ากว่าในบางตลาด . . และเราจะต้องเรียนรู้ว่ามีความแตกต่างที่แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงเรื่องของการพัฒนาความเข้าใจและความกระตือรือร้นของผู้ใช้ในตลาดนั้น ๆ ”

เหตุการณ์สตรีมมิงแบบสดบน YouTube ครั้งสำคัญก็คือเมื่อ Gordon Ramsay ที่ได้แสดงให้ผู้ชมเห็นวิธีการปรุงอาหารมื้อค่ำตามเทศกาลโดยใช้ “กระทะที่เขาชอบ” ซึ่งผู้ใช้สามารถซื้อได้โดยคลิกที่ลิงก์ในวิดีโอ กิจกรรมตลอดทั้งสัปดาห์สร้างการเข้าชมกว่า 2 ล้านครั้ง ซึ่งแม้จะเป็นสัดส่วนที่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับผู้ใช้ 2 พันล้านคนของ YouTube และ Katz ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ

YouTube, TikTok และ Instagram ต่างก็พูดว่าการช็อปปิ้งแบบไลฟ์สดเป็นฟีเจอร์ที่เพิ่งเริ่มต้น และไม่มีใครให้ตัวเลขเกี่ยวกับยอดขายหรือรายได้ที่เกิดจากการรูปแบบดังกล่าวได้ชัดเจนมากนัก

Ashley Yuki หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Instagram กล่าวว่า “ความหวังของเราคือการขายสินค้ายังคงเป็นโอกาสสำหรับ creator ในการหาเลี้ยงชีพอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะผ่านพันธมิตรด้านเนื้อหาที่มีแบรนด์หรือสายผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเอง” Ashley Yuki หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Instagram กล่าว

แม้ว่า TikTok Shop จะไม่ได้รับความสนใจมากนักตั้งแต่เปิดตัวในสหราชอาณาจักรเมื่อปี 2021 ซึ่งเป็นตลาดการช็อปปิ้งแบบไลฟ์สดแห่งแรกนอกเอเชีย

พนักงานพูดถึงการปะทะกันของวัฒนธรรมจาก ByteDance ซึ่งมีเจ้าของบริษัทชาวจีนในความพยายามที่จะนำรูปแบบอีคอมเมิร์ซและหลักปฏิบัติในการทำงานมาสู่ตลาดตะวันตก 

พนักงานในลอนดอนบ่นถึงสภาพที่ย่ำแย่และเป้าหมายที่เว่อร์เกินจริง มีดราม่าครั้งใหญ่เมื่อหัวหน้าแผนกชาวจีนบอกเพื่อนร่วมงานของเขาว่าเขาไม่เชื่อเรื่องการลาคลอดของพนักงานในแผนกของเขา

การเริ่มต้นที่ช้าในตลาดสหราชอาณาจักรนั้นตรงกันข้ามกับในประเทศจีน ซึ่งเป็นที่ยอมรับในแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Taobao, Pinduoduo และ Douyin แอป TikTok เวอร์ชั่นจีน ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้น 300% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยมีผู้ใช้ทำการซื้อผลิตภัณฑ์มากกว่า 10,000 ล้านรายการ พิสูจน์ให้เห็นว่ามันสามารถเป็นธุรกิจที่ร่ำรวยได้หากเข้าใจการทำงานของมัน

อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มในจีนได้รับการสนับสนุนโดยระบบนิเวศการค้าแบบไลฟ์สดที่มีความซับซ้อน เช่น ในสถานศึกษาหลายแห่งที่มีการจัดหลักสูตรพิเศษสำหรับพ่อค้าแม่ค้าไลฟ์สด ตลอดจนสตูดิโอชื่อดังต่าง ๆ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศดังกล่าวนี้

การค้าขายเชิงรุก

หัวใจสำคัญของการสตรีมสดที่ประสบความสำเร็จคือผู้คนที่อยู่หน้ากล้อง อินฟลูเอนเซอร์ที่โด่งดังที่สุดของจีน เช่น Austin Li ขายสินค้ามูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในการออกอากาศเพียงแค่ครั้งเดียว 

Austin Li ขายสินค้ามูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในการออกอากาศเพียงแค่ครั้งเดียว (CR:Time Out Shanghai)
Austin Li ขายสินค้ามูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในการออกอากาศเพียงแค่ครั้งเดียว (CR:Time Out Shanghai)

อินฟลูเอนเซอร์จะได้รับค่าคอมมิชชั่น ซึ่งจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์ม จำนวนผู้ติดตาม และจำนวนยอดขายที่พวกเขาทำได้

การไลฟ์สดสามารถเกิดขึ้นที่บ้านของอินฟลูเอนเซอร์หรือในสตูดิโอแบบมืออาชีพ โดยมักจะมีการจัดแสงไฟ ฉากหลังที่น่าดึงดูดใจ และผลิตภัณฑ์หลากสีสันในพื้นหลัง ซึ่งอินฟลูเอนเซอร์สามารถดึงออกมาและโต้ตอบด้วยได้รูปแบบการนำเสนอเป็นแบบแอนิเมชั่น พร้อมข้อเสนอมากมาย เช่น สินค้าแบบบันเดิล กล่องของขวัญสุ่ม และของรางวัลเพื่อดึงดูดยอดขาย อินฟลูเอนเซอร์สามารถตอบคำถามในความคิดเห็นและเรียกชื่อผู้ใช้เพื่อขอบคุณสำหรับคำสั่งซื้อของพวกเขาได้แบบทันที

Scott Guthrie หัวหน้าของ Influencer Marketing Trade Body กล่าวว่าอินฟลูเอนเซอร์ในการช้อปปิ้งแบบไลฟ์สดนั้นต้องการชุดทักษะเฉพาะ อินฟลูเอนเซอร์ที่เก่งในการสร้างเนื้อหาที่สร้างแรงบันดาลใจ หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ในวิดีโอที่มีการตัดต่อ อาจจะไม่เก่งในเรื่องการขายตรง เพราะมันใช้คนละทักษะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

อินฟลูเอนเซอร์ในประเทศอังกฤษบ่นว่าการ Livestreams บน TikTok ซึ่งอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมงนั้นเป็นเรื่องซ้ำซากจำเจ ทำให้พวกเขาเหนื่อยล้า และยากต่อการจัดการ หลาย ๆ คนเลิกทำโดยบอกว่าเวลาที่ลงทุนไปไม่คุ้มกับค่าคอมมิชชั่น ในขณะเดียวกัน ผู้ขายเช่น Manrika Khaira และน้องสาวสองคนที่รู้จักในชื่อ McLoughlin Girls ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 3.1 ล้านคน สามารถสร้างยอดขายได้หลายหมื่นปอนด์

“หากคุณเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสม พวกเขาจะเข้าถึงได้มากกว่าที่เราทำได้บนแพลตฟอร์มของเราเอง . . พวกเขาเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้” Luke Williams ผู้ก่อตั้ง Justmylook ร้านค้าปลีกด้านความงามในสหราชอาณาจักรที่มีส่วนร่วมใน TikTok Shop กล่าว “การช็อปปิ้งแบบไลฟ์สดเป็นเรื่องใหม่และน่าตื่นเต้น แต่ก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เป็นที่น่าจับตามอง แต่หนทางก็ยังอีกยาวไกล”

การเปิดตัวของ TikTok ในสหราชอาณาจักรสามารถรวบรวมปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตกได้ดีที่สุด การขาดโครงสร้างพื้นฐานและพนักงานสตูดิโอที่มีประสบการณ์ในสหราชอาณาจักร ทำให้ร้านค้า TikTok ที่กำลังไลฟ์สดต้องหยุดกะทันหันเนื่องจากความผิดพลาดทางเทคนิคในบางครั้ง 

อินฟลูเอนเซอร์คนหนึ่งกล่าวว่าพวกเขามาถึงสตูดิโอและพบว่ากล้องและไฟเสีย ผู้ช่วยที่ไม่มีประสบการณ์จึงเลือกถ่ายทำพวกเขาโดยใช้คอมพิวเตอร์แบบตะแคง เพื่อสร้างรูปแบบวิดีโอสไตล์แนวตั้งของ TikTok ซึ่งมันเป็นเรื่องที่บ้าบอมาก ๆ  

Too big to fail

Olly Lewis จาก The Fifth ซึ่งเป็นเอเจนซีด้านอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง คาดการณ์ว่าอีคอมเมิร์ซบนโซเชียลมีเดียของสหราชอาณาจักรจะเติบโตจาก 4.2 พันล้านปอนด์ในปี 2021 เป็นประมาณ 6.1 พันล้านปอนด์ในปี 2023 โดยการช้อปปิ้งออนไลน์จะมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจาก 29 เปอร์เซ็นต์เป็น 45 เปอร์เซ็นต์”

“เทคโนโลยีบางอย่างค่อนข้างใช้งานยาก ไม่มีพันธมิตรที่ดีพอในการช่วยดำเนินการ” เขากล่าวเสริม “แต่ประเด็นหลัก คือความต้องการของผู้บริโภคที่จะซื้อภายในคลิกเดียว”

ความง่ายในการซื้อเป็นพื้นฐานในการทำให้การช็อปปิ้งแบบไลฟ์สดทำงาน ซึ่งผู้ใช้ควรจะสามารถรับชมเนื้อหาที่มีรายการแนะนำและซื้อได้แบบทันที ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นที่สุด อย่างที่อุตสาหกรรมนี้ต้องการ

ในการออกแบบเว็บ มี “กฎสามคลิก” ที่กำหนดไว้ เว้นแต่ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ภายในการคลิกเมาส์สามครั้ง ไม่เช่นนั้นผู้ใช้จะออกจากไซต์ทันที 

กฎนี้ถูกปฏิวัติโดยเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเช่น Amazon ซึ่งลดขั้นตอนนี้ให้เหลือเพียงคลิกเดียว สำหรับธุรกิจที่เข้าสู่เกมอีคอมเมิร์ซ มีงานวิจัยจำนวนมากขึ้นที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่ายิ่งคลิกน้อยลงในการทำธุรกรรมให้เสร็จสมบูรณ์ โอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสำเร็จก็จะยิ่งมีมากขึ้น

การปฏิวัติโดยเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเช่น Amazon ซึ่งลดขั้นตอนนี้ให้เหลือเพียงคลิกเดียว (CR:How-To Geek)
การปฏิวัติโดยเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเช่น Amazon ซึ่งลดขั้นตอนนี้ให้เหลือเพียงคลิกเดียว (CR:How-To Geek)

แบรนด์และผู้ค้าปลีกที่ปรับตัวเข้ากับกระแสการช็อปปิ้งออนไลน์ได้ช้า ซึ่งบางรายอาจต้องการเปิดตัวเว็บไซต์ของตนเอง  ตอนนี้พวกเขาถกเถียงกันว่าจะกระโดดเข้าสู่อีคอมเมิร์ซแบบไลฟ์สดดีหรือไม่ แน่นอนว่าพวกเขาต้องการให้สินค้าของพวกเขาปรากฏบนแพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยมในหมู่คนหนุ่มสาว แต่พวกเขากลับไม่เห็นยอดขายตามที่หวังไว้

แพลตฟอร์มยังมาตัดกำไรของพวกเขาไปอีกด้วย แม้ YouTube จะไม่เปิดเผยค่าธรรมเนียม แต่ TikTok และ Meta ซึ่งเป็นเจ้าของ Facebook และ Instagram จะคิดค่าคอมมิชชั่น 5 เปอร์เซ็นต์ของการขายแต่ละครั้งบนแพลตฟอร์ม

การนำการช็อปปิ้งเข้าสู่โลกโซเชียลมีเดียมีศักยภาพในการสร้างกระแสรายได้จำนวนมหาศาล สำหรับแพลตฟอร์มต่างๆ ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้บริโภค ซึ่งสามารถใช้ไม่เพียงแค่เพื่อขายสินค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการโฆษณาด้วย

Yuki จาก Instagram กล่าวว่าฟีเจอร์การช็อปปิ้งสามารถสร้างข้อมูลเชิงลึกเพื่อ “ปรับประสบการณ์ผู้ใช้ในแบบของคุณ” บนแพลตฟอร์ม รวมถึงสำหรับการโฆษณา

แม้จะเริ่มต้นอย่างคร่าวๆ แต่แพลตฟอร์มต่างๆ ยังคงผลักดันฟีเจอร์เหล่านี้ต่อไป โดยหวังว่าการทดลองสตรีมแบบสดจะได้ผลในท้ายที่สุด

“มันเป็นการปฏิวัตครั้งที่สองของโลกโซเชียลมีเดีย ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า” แบรนด์ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งกล่าว โดยพูดภายใต้เงื่อนไขของการไม่เปิดเผยตัวตนเพราะกลัวว่าจะตกเป็นเป้าหมายของบริษัทโซเชียลมีเดีย

“ในฐานะแบรนด์ คุณต้องมีส่วนร่วม: แพลตฟอร์มเหล่านี้ใหญ่มาก พวกเขาจะทำให้มันสำเร็จในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน”

References :
https://food.chemlinked.com/news/food-news/china-to-regulate-live-streaming-e-commerce-starting-in-july
https://www.ft.com/content/3ad7595b-557d-4086-a01e-be5d54b28b45
https://www.freepik.com/free-photo/young-asian-lady-fashion-designer-using-mobile-phone-receiving-purchase-order-show-clothes-live-streaming_14404911.htm
https://newsroom.accenture.com/news/shopping-on-social-media-platforms-expected-to-reach-1-2-trillion-globally-by-2025-new-accenture-study-finds.htm
https://www.forbes.com/sites/forbesbusinesscouncil/2022/05/09/the-rise-of-live-video-shopping-and-how-e-commerce-businesses-can-get-started/?sh=43d22e345594

AI Revolution กับบทเรียนจากประวัติศาสตร์เทคโนโลยีใหม่ที่ทรงพลังเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจได้อย่างไร

ด้วยกระแส ChatGPT แชทบ็อตที่มีความสามารถระดับเทพซึ่งได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายตั้งแต่เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน มันอาจจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแรงงานได้อย่างมากหรืออาจจะมาแทนที่ได้เลยด้วยซ้ำในบางงานเช่นเดียวกัน 

GPT ซึ่งชื่อย่อมาจาก “generative pre-trained transformer” ซึ่งเป็นรูปแบบภาษาเฉพาะ หมายถึงเทคโนโลยีที่ใช้งานทั่วไป

ก่อนหน้านี้เหล่านวัตกรรมที่สั่นสะเทือนโลกซึ่งหมายถึงนวัตกรรมที่สามารถเพิ่มผลผลิตในอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น เครื่องจักรไอน้ำ ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์ นั่นก็ทำให้เราสามารถจินตนาการได้ว่า AI ที่มีประสิทธิภาพอาจเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในอีกหลายปีข้างหน้าได้เช่นเดียวกัน

ในบทความที่ตีพิมพ์ในปี 1995 Timothy Bresnahan จาก Stanford University และ Manuel Trajtenberg จาก Tel Aviv University ได้กำหนดสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็นลักษณะของเทคโนโลยีที่ใช้งานทั่วไป ที่ต้องใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม มีศักยภาพสำหรับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และก่อให้เกิด “ส่วนเสริมทางนวัตกรรม” นั่นคือ กระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมในอุตสาหกรรมที่ใช้ AI ในอนาคต

แล้วการปฏิวัติทางเศรษฐกิจด้วย AI ยุคใหม่จะเริ่มขึ้นเมื่อใด?

บทเรียนแรกจากประวัติศาสตร์คือแม้แต่เทคโนโลยีใหม่ที่ทรงพลังที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาในการที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง  

James Watt จดสิทธิบัตรเครื่องจักรไอน้ำของเขาในปี 1769 แต่พลังงานไอน้ำไม่สามารถแซงหน้าพลังงานน้ำที่คอยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมได้จนกระทั่งช่วงทศวรรษที่ 1830 ในสหราชอาณาจักรและในช่วงปี 1860 ของอเมริกา 

James Watt จดสิทธิบัตรเครื่องจักรไอน้ำของเขาในปี 1769 (CR:Exploring Capitalism)
James Watt จดสิทธิบัตรเครื่องจักรไอน้ำของเขาในปี 1769 (CR:Exploring Capitalism)

เครื่องยนต์ไอน้ำในยุคแรกนั้นเรียกได้ว่ามันไร้ประสิทธิภาพอย่างมากและใช้กองถ่านหินที่มีราคาแพงอย่างยิ่ง 

ในสหราชอาณาจักร การมีส่วนร่วมของไอน้ำต่อการเติบโตของผลผลิตทางอุตสาหกรรมพุ่งขึ้นสูงสุดหลังปี 1850 ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งศตวรรษหลังจากการจดสิทธิบัตรของ Watt

Robert Allen แห่ง New York University Abu Dhabi ได้กล่าวว่าการเติบโตของผลผลิตทางอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมของสหราชอาณาจักร สะท้อนถึงการขาดเงินทุนในการสร้างโรงงานและเครื่องจักร ซึ่งมันค่อยๆ เอาชนะได้เมื่อเหล่านายทุนนำกำไรอันมากล้นของพวกเขากลับมาลงทุนใหม่

ตัดภาพมาที่ยุคของซิลิกอน การเติบโตของอเมริกากลับชะลอตัวลงจากปี 1888 ถึง 1907 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเกือบสามทศวรรษหลังจากวงจรรวมซิลิกอนตัวแรกได้ถือกำเนิดขึ้น

ในทำนองเดียวกัน ประสิทธิภาพที่น่าทึ่งของเครื่องมือ AI ล่าสุด แสดงถึงการก้าวกระโดดครั้งใหญ่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เริ่มจุดประกายเทคโนโลยี AI ที่เปิดตัวออกมาเมื่อประมาณทศวรรษที่แล้ว (เช่น Siri ผู้ช่วยเสมือนของ Apple เปิดตัวในปี 2011 เป็นต้น)  

Erik Brynjolfsson จาก Stanford University, Daniel Rock จาก Massachusetts Institute of Technology และ Chad Syverson จาก University of Chicago แนะนำว่าเทคโนโลยีใหม่ที่จะเข้ามา disrupt อาจเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า “productivity J-curve” การเติบโตของผลิตภาพการผลิตรวมที่วัดได้จริงอาจลดลงในช่วงหลายปีหรือหลายทศวรรษหลังจากที่เทคโนโลยีใหม่ปรากฏขึ้น

ตัวอย่างของ productivity J-curve (CR:ide.mit.edu)
ตัวอย่างของ productivity J-curve (CR:ide.mit.edu)

เนื่องจากบริษัทและพนักงานต้องใช้ทั้งเวลาและทรัพยากรเพื่อศึกษาเทคโนโลยีและออกแบบกระบวนการทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องใหม่แทบจะทั้งหมด ซึ่งต่อมาเมื่อการลงทุนเหล่านี้เกิดผลค่า J ก็จะพุ่งสูงขึ้น 

คำถามเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ตามมาด้วยความกังวลเกี่ยวกับผลที่ตามมาสำหรับเหล่าแรงงาน ซึ่งเทคโนโลยีสามารถส่งผลกระทบกับแต่ละอาชีพได้

ในช่วงต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรม การใช้เครื่องจักรได้เพิ่มความต้องการแรงงานที่ค่อนข้างไร้ทักษะเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำให้รายได้ของช่างฝีมือที่เคยทำงานส่วนใหญ่มาก่อนลดลงไปมากเช่นเดียวกัน

ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมบางคนจึงเลือกที่จะเข้าร่วมขบวนการ Luddite ซึ่งเป็นขบวนการต่อต้านการปฏิวัติดังกล่าว พวกเขาพร้อมที่จะบุกโรงงานและทำลายเครื่องจักรจนพังพินาศ 

ในทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ระบบต่าง ๆ ที่เริ่มเป็นแบบอัตโนมัติขึ้นทั้งในโรงงานและในสำนักงานได้แทนที่คนงานไร้ฝีมือจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการจ้างงานสำหรับเหล่าคนงานทักษะสูงเช่นเดียวกัน

AI Revolution

AI อาจช่วยเพิ่มผลิตภาพการผลิตของคนงานในทุกระดับทักษะที่แตกต่างกัน แม้กระทั่งอาชีพอย่างนักเขียน แต่เมื่อมองถึงอาชีพโดยรวมนั้นขึ้นอยู่กับว่าผลผลิตที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนที่ลดลงนำไปสู่ความต้องการโดยรวมที่เพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด

ตัวอย่าง เช่น การเกิดขึ้นของระบบสายพานการผลิต ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่มีลักษณะคล้ายกับ GPT ทำให้ Henry Ford สามารถลดต้นทุนในการผลิตรถยนต์ นั่นทำให้ความต้องการเพิ่มสูงขึ้น และเหล่าพนักงานต่างได้รับประโยชน์ เฉกเช่นเดียวกัน หาก AI ช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนด้านการแพทย์ นั่นอาจนำไปสู่ความต้องการบริการทางการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญที่สูงขึ้นอีกมาก

AI ที่ทรงพลังมีโอกาสที่จะกลายเป็นเทคโนโลยีที่สามารถจัดการงานเกือบทุกอย่างที่คนทั่วไปสามารถทำได้ ซึ่งจะนำมนุษยชาติเข้าสู่รูปแบบเศรษฐกิจที่ไม่ยึดติดกับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์อีกต่อไป 

การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนซึ่งมาพร้อมกับการปฏิวัติด้วยไอน้ำ และการเร่งสปีดความเร็วในการพัฒนาที่เพิ่มขึ้นมาพร้อมกับพลังงานไฟฟ้าและนวัตกรรมอื่น ๆ ในภายหลังนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดการแข่งขันและแย่งชิงกันอย่างมากในการคิดค้นรูปแบบทางธุรกิจใหม่ ๆ

และเพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจแบบถอนรากถอนโคนจะนำไปสู่เป็นความเจริญรุ่งเรืองในวงกว้างมากกว่าที่จะสร้างความโกลาหล การปฏิวัติครั้้งใหญ่ของ AI ในครั้งนี้คงทำให้มีเวลาอีกไม่นานที่พวกเราเหล่ามนุษยชาติอาจถึงเวลาที่ต้องแข่งขันแย่งชิงกันอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้

References :
https://ide.mit.edu/sites/default/files/publications/2019-04JCurvebrief.final2_.pdf
https://www.economist.com/finance-and-economics/2023/02/02/the-ai-boom-lessons-from-history
https://www.blockdit.com/posts/6185079f3148110ca85b535f
https://www.economist.com/business/2023/01/30/the-race-of-the-ai-labs-heats-up
https://www.bostonglobe.com/2023/02/01/opinion/steam-engine-changed-world-artificial-intelligence-could-destroy-it/
https://www.nafcu.org/nafcuservicesnafcu-services-blog/ai-tech-revolution-what-steam-engine-was-industrial-revolution