เริ่มจากศูนย์ สู่ธุรกิจหมื่นล้าน : เรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจจากนักลงทุนระดับตำนาน Warren Buffet

ในโลกของการเป็นผู้ประกอบการ มีเรื่องราวมากมายที่สร้างแรงบันดาลใจ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จล้วนมีจุดร่วมที่สำคัญ นั่นคือการตระหนักถึงศักยภาพของตนเอง และความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปให้ไกลกว่าจุดที่เป็นอยู่ พวกเขาพร้อมทุ่มเทเวลาและพลังงานเพื่อพัฒนาตนเอง และเมื่อได้รับการพัฒนาทักษะแล้ว สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้นั้นเกินกว่าที่จะจินตนาการ

บทความวันนี้ จะเป็นเป็นเรื่องราวที่ถูกเปิดเผยโดยนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Warren Buffet ที่มาคุยถึง case study ของธุรกิจที่น่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณได้

เรื่องราวแรกคือ Rose Blumkin หรือที่รู้จักกันในนาม Mrs. B ผู้อพยพชาวยิวรัสเซียที่เดินทางมาถึง Seattle ในปี 1917 โดยไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย

เธอมาพร้อมกับป้ายแขวนคอที่เขียนว่า Fort Dodge, Iowa Red Cross เพื่อไปพบสามีที่มาถึงอเมริกาก่อนหน้านั้นสองปี หลังจากใช้ชีวิตที่ Fort Dodge เป็นเวลาสองปีด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะไม่สามารถสื่อสารได้ เธอตัดสินใจย้ายไปเมือง Omaha ในปี 1919

ที่ Omaha เธอพบชุมชนชาวยิวรัสเซียเล็กๆ ที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้น Francis ลูกสาวคนโตของเธอเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนและกลับมาสอนแม่

Rose ใช้เวลา 20 ปีในการเก็บเงินทีละเล็กละน้อยจากการขายเสื้อผ้ามือสอง เพื่อนำพี่น้องและพ่อแม่มาอเมริกา ในระหว่างนั้นเธอมีลูกถึง 4 คน

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1937 เมื่อ Rose มีเงินเก็บ 2,500 ดอลลาร์ เธอตัดสินใจเดินทางไปชิคาโกเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์มาขาย ด้วยความฝันที่จะเปิดร้านเฟอร์นิเจอร์เป็นของตัวเอง

ผู้หญิงที่ไม่เคยได้รับการศึกษาในระบบคนนี้ ได้สร้างธุรกิจที่เติบโตอย่างน่าทึ่ง จนกระทั่งขายให้กับ Berkshire ในปี 1983 ด้วยมูลค่าประมาณ 60 ล้านดอลลาร์ และในปีที่ผ่านมาธุรกิจนี้ทำยอดขายได้ถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบันมีทายาทรุ่นที่ 4 กำลังสืบทอดกิจการ

Mrs. B ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนอายุ 103 ปี ก่อนจะเกษียณและเสียชีวิตในปีถัดมา เธอไม่ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ในวงการเฟอร์นิเจอร์ แต่สิ่งที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จคือความมุ่งมั่น การทำงานหนักกว่าใคร การใส่ใจลูกค้า และการยอมรับกำไรขั้นต้นที่ต่ำเพื่อสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่

อีกเรื่องราวที่น่าสนใจคือ Jack Taylor ผู้ก่อตั้ง Enterprise ชายผู้เกิดในปี 1922 แม้จะเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถ แต่เขาไม่ใช่คนที่ชอบการเรียน เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพียงปีเดียวก่อนลาออกในปี 1941 เมื่อสหรัฐฯ ถูกโจมตี

แม้จะถูกปฏิเสธจากกองทัพอากาศเพราะแพ้เกสรดอกไม้ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ และได้เข้าร่วมกองทัพเรือแทน จนได้รับเหรียญ Distinguished Flying Cross ถึงสองครั้ง

หลังจากสงคราม Jack กลับมาที่ Midwest และผ่านงานหลายตำแหน่งก่อนจะมาเป็นพนักงานขายรถมือสองที่ตัวแทนจำหน่าย Cadillac ใน St. Louis เมื่ออายุ 35 ปี เขาตัดสินใจขอเป็นหุ้นส่วนธุรกิจให้เช่ารถกับเจ้านาย โดยยอมลดเงินเดือนลงครึ่งหนึ่งและกู้เงิน 25,000 ดอลลาร์

จุดเริ่มต้นของ Enterprise นั้นเริ่มจากรถเพียง 7 คัน ธุรกิจในช่วงแรกค่อนข้างเงียบเหงา จนบางครั้ง Jack ต้องปล่อยให้โทรศัพท์ดังหลายครั้งเพื่อให้ดูเหมือนว่ามีลูกค้าติดต่อเข้ามามาก ทั้งที่บางวันอาจมีเพียงสายเดียว

เมื่ออายุ 40 ปี Jack ตัดสินใจก้าวเข้าสู่ธุรกิจให้เช่ารถอย่างจริงจังด้วยรถเพียง 17 คัน ท่ามกลางการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่าง Hertz, Avis และ National ที่มีรถในครอบครองนับแสนคัน

แม้ว่ารถของเขาจะไม่ได้แตกต่างจากคู่แข่งเพราะซื้อจากผู้ผลิตเดียวกัน และไม่มีสาขาในสนามบินเหมือนบริษัทใหญ่ แต่สิ่งที่เขามุ่งมั่นคือการมอบบริการที่เป็นมิตรและประทับใจลูกค้ามากกว่าที่เคยได้รับจากที่ไหน

หลักการทำธุรกิจของ Jack นั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เขาเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งพนักงานและลูกค้า เขาเชื่อว่าถ้าพนักงานมีความสุขและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ พวกเขาจะส่งต่อความรู้สึกดีๆ นั้นไปยังลูกค้า

ปัจจุบัน Enterprise มีมูลค่ามากกว่า Hertz, Avis และบริษัทให้เช่ารถอื่นๆ รวมกัน โดยมี Andy Taylor ลูกชายของ Jack บริหารธุรกิจต่อ พร้อมด้วยหลานที่เข้ามาร่วมงาน และคาดว่าจะมีทายาทรุ่นที่ 4 สืบทอดกิจการต่อไป

บทเรียนสำคัญจากความสำเร็จของทั้ง Mrs. B และ Jack Taylor คือการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาไม่ได้กังวลกับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ แต่มุ่งเน้นที่การสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทุกคนที่มาใช้บริการ

เช่นเดียวกับ Henry Ford ที่ล้มเหลวถึง 2 ครั้งก่อนจะประสบความสำเร็จกับ Ford Motor Company ในปี 1903 ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่การคิดไอเดียที่ยิ่งใหญ่ได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่อยู่ที่การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องว่าจุดแข็งของคุณคืออะไร และคุณจะสร้างคุณค่าอะไรให้กับลูกค้าได้บ้าง

การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยทั้งความรู้และความปรารถนาที่จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทุกวัน เพราะประสบการณ์ที่ดีจะอยู่ในความทรงจำของลูกค้าไปตลอด ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือการเลือกคบหาสมาคมกับคนที่จะช่วยผลักดันให้คุณก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัว การรายล้อมตัวเองด้วยคนที่ดีกว่าจะช่วยให้คุณเติบโตและพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง

ความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้วัดจากเงินลงทุนเริ่มต้น แต่อยู่ที่ความมุ่งมั่น การเรียนรู้ และการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก ดังจะเห็นได้จากทั้ง Rose Blumkin และ Jack Taylor ที่เริ่มต้นจากเงินทุนไม่มาก แต่สามารถสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ได้ด้วยหลักการง่ายๆ คือการทำให้ลูกค้าประทับใจในทุกการบริการ

การสร้างความประทับใจให้กับลูกค้านั้นต้องทำผ่านพนักงานทุกคนในองค์กร ผู้นำธุรกิจจึงต้องใส่ใจในการดูแลพนักงาน ให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม และความคิดเห็นของพวกเขามีคุณค่า เพราะพนักงานที่มีความสุขและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรจะส่งต่อความรู้สึกดีๆ นั้นไปยังลูกค้า

การเติบโตของธุรกิจที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการเพิ่มทุนหรือการกู้ยืม แต่เกิดจากการที่ธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรและเติบโตได้ด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับ Nebraska Furniture Mart ของ Mrs. B และ Enterprise ของ Jack Taylor ที่แทบไม่ต้องเพิ่มทุนเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา

สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจ สิ่งสำคัญไม่ใช่การคิดค้นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่หรือการมีเงินทุนมหาศาล แต่อยู่ที่ความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองและธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การทำงานหนักควบคู่ไปกับการเพิ่มพูนทักษะ และที่สำคัญที่สุดคือการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าในทุกจุดสัมผัส

เมื่อคุณสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้อย่างสม่ำเสมอ พวกเขาจะกลับมาใช้บริการซ้ำและแนะนำธุรกิจของคุณต่อไป นี่คือรากฐานของความสำเร็จที่ยั่งยืน และเป็นบทเรียนสำคัญที่เราได้เรียนรู้จากผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้นั่นเองครับผม

References Image : https://ccnull.de/index.php/foto/portrait-von-warren-buffett-in-nahaufnahme-und-elegantem-anzug/1094154

ทำไมถึงต้อง Blockdit : แพลตฟอร์มที่ยืนหยัดเพื่อคอนเทนต์คุณภาพ ท่ามกลางกระแส Short Video

ต้องเรียกได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ส่วนตัวผมใช้ประจำมาตั้งแต่เริ่มต้นก็ว่าได้สำหรับ blockdit เครือข่ายโซเชียลมีเดียของคนไทยแท้ ๆ

ซึ่งก่อนที่ blockdit จะกลายมาเป็นแพลตฟอร์มอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ ต้องเรียกได้ว่ามีการพัฒนาปรับปรุงแพลตฟอร์มมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลาย ๆ ฟีเจอร์ผมมองว่าพัฒนาได้ดีกว่ายักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียจากต่างประเทศเสียด้วยซ้ำ

ส่วนตัวก็เป็นแฟนเพจลงทุนแมนเหมือนกับหลาย ๆ ท่าน และได้มาเห็นแพลตฟอร์มนี้ตั้งแต่ช่วงที่มีการโปรโมตช่วงแรก ๆ เลยก็ว่าได้ ซึ่งจำได้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงปลายปี 2018 ยังมีสมาชิกยังไม่มากนัก ในตอนนั้นยังมีผู้ใช้งานหลักหมื่นคน

แต่ผมได้เห็นถึงพลังอันเหลือล้นของผู้พัฒนาแพลตฟอร์มที่ต้องการนำสิ่งที่ดี่ที่สุดมาสำหรับผู้เสพคอนเทนต์เชิงลึกจริง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างจากที่มีอยู่ในตลาดในขณะนั้น

การเติบโตของ blockdit นั้นเริ่มต้นจากการได้รับความไว้วางใจจากนักเขียนที่มีชื่อเสียงหลาย ๆ ท่าน อย่างเช่น ลงทุนแมน วิเคราะห์บอลจริงจัง ฯลฯ ที่เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการสร้างเนื้อหาบนแพลตฟอร์มนี้ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม การมีนักเขียนคุณภาพเข้ามาร่วมสร้างเนื้อหาทำให้ blockdit กลายเป็นแหล่งรวมความรู้และมุมมองที่หลากหลาย

ในยุคปัจจุบันที่โซเชียลมีเดียต่างชาติกำลังผลักดันรูปแบบการนำเสนอแบบวิดีโอสั้น ที่เน้นความรวดเร็ว ฉาบฉวย และไวรัล blockdit ยังคงยืนหยัดในจุดยืนของการเป็นพื้นที่สำหรับเนื้อหาที่มีคุณภาพและความลึกของเนื้อหา

สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความผูกพันกับการอ่านมาตลอดหลายพันปี และจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปแม้ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม แม้แพลตฟอร์มอื่น ๆ จะพยายามลดความสำคัญในเรื่องการอ่าน และไปโฟกัสกับสิ่งที่ฉาบฉวยอย่างรูปแบบของวีดีโอสั้นและสร้างรายได้ให้กับแพลตฟอร์มของพวกเขาให้ได้มากที่สุด

แต่เรายังมีแพลตฟอร์มอย่าง blockdit ที่ไม่เคยเปลี่ยนจุดยืนในเรื่องนี้เลย เป็นแพลตฟอร์มที่ให้คุณค่ากับการเขียนและอ่าน ที่ส่วนตัวมองว่าดีที่สุดในตลาดในตอนนี้แล้ว

และที่สำคัญที่ทำให้แพลตฟอร์มเติบโตอย่างต่อเนื่องนั่นก็คือการไม่หยุดพัฒนา มีฟีเจอร์ต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Topics , Tag , Podcast หรือ Community ที่สร้างพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น นวัตกรรมเหล่านี้ล้วนเกิดจากการรับฟังความต้องการของผู้ใช้งานและการวิเคราะห์แนวโน้มการบริโภคเนื้อหาในอนาคต

ต้องบอกว่าถึงตอนนี้ blockdit ก็เติบโตขึ้นมาอีกขั้นนึงแล้ว นักเขียนหลาย ๆ ท่านก็อยู่กันมาตั้งแต่ในยุคที่สมาชิกยังไม่มากมายเหมือนในยุคปัจจุบัน ซึ่งหลาย ๆ ท่านก็เป็นแรงผลักดันให้ blockdit ก้าวขึ้นมาได้ถึงวันนี้ และผมเองก็คิดว่า blockdit นั้นยังมีช่องว่างให้เติบโตได้อีกมาก

ส่วนตัวผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อในศักยภาพของคนไทย โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี ที่ผมมองว่าคนไทยเราก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก

ต้องบอกว่าปัจจุบันแพล็ตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียนั้น เราถูกบุกรุกจากต่างชาติ จนเข้ามากลืนกินพฤติกรรมของคนไทยในหลาย ๆ ด้าน จนแทบจะไม่เหลือที่ยืนให้ผู้ประกอบการชาวไทย

ในวันนี้พวกเราคนไทยยังมีพื้นที่อย่าง blockdit ซึ่งยังเป็นสถานที่ ๆ เปิดโอกาสให้ทุกท่านได้มาแสดงฝีมือในการเขียน หรือสร้างสรรค์คอนเทนต์ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งบทความ , Podcast หรือ VDO ตามความชอบของแต่ละท่าน

blockdit ถือเป็นสังคมที่มีความแตกต่าง ที่ท่านจะไม่ได้เห็นในแพล็ตฟอร์มอื่น ๆ มี เนื้อหา สาระ หลากหลายรูปแบบ หรือ ข้อถกเถียงมากมายที่เกิดขึ้นที่แพล็ตฟอร์มนี้ ที่ส่วนใหญ่จะมีการยอมรับเหตุผลซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในแพล็ตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ในยุคปัจจุบัน

ในฐานะคนไทย เราควรภาคภูมิใจที่มีแพลตฟอร์มที่พัฒนาโดยคนไทย และมีศักยภาพไม่แพ้แพลตฟอร์มจากต่างประเทศ Blockdit ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่สำหรับการแบ่งปันความรู้และความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าคนไทยมีความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลก

และในอนาคต ส่วนตัวผมเองก็อยากเห็นภาพที่คนไทยหันมาสนับสนุนโซเชียลมีเดีย ของไทยอย่าง blockdit กันมากยิ่งขึ้น เหมือนกับที่เราสนับสนุนแพล็ตฟอร์มจากต่างชาติ เพราะอย่างน้อยทั้งในเรื่องของเงินทอง และข้อมูลต่างๆ  ของเรานั้นมันไม่ได้รั่วไหลไปไหน แต่ฝากไว้กับ blockdit ที่ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยแท้ ๆ นั่นเองครับผม

Human-First x AI-First กับกลยุทธ์ Transformation ของ KBTG ในยุค Agentic AI

ในช่วงเวลาที่เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลก KBTG หรือกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป ได้วางรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต โดยมุ่งเน้นการผสานพลังระหว่างศักยภาพของมนุษย์และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ภายใต้วิสัยทัศน์ “Human-First x AI-First Transformation” พร้อมตั้งเป้าสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่มากกว่า 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปีข้างหน้า

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งในองค์กรที่น่าสนใจมาก ๆ ในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีของประเทศไทยสำหรับ KBTG ซึ่งถือเป็นองค์กรทางด้านเทคโนโลยีระดับท็อปที่ดึงดูดเอาบุคลากรมากความสามารถไปรวมตัวกันอยู่ในองค์กรแห่งนี้

ส่วนตัวมองว่าประเทศไทยเราก็มีคนศักยภาพด้านเทคโนโลยีอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าสังเกตในภาพปัจจุบันจะเห็นได้ว่าคนเก่ง ๆ มักจะไปกองรวมตัวกันที่อุตสาหกรรมทางด้านการเงินซะเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงกว่าในอุตสาหกรรมอื่น ๆ

นายเรืองโรจน์ พูนผล (คุณกระทิง) ประธานกลุ่มบริษัท KBTG ได้เผยถึงความสำเร็จในปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งองค์กรได้สร้างนวัตกรรม AI ที่หลากหลาย ตั้งแต่ AINU ระบบตรวจสอบและยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า, THaLLE แบบจำลองภาษาที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับภาษาไทย, Future You แอปพลิเคชันวางแผนการเงินส่วนบุคคล, คู่คิด ผู้ช่วยอัจฉริยะสำหรับเยาวชน, AI-Enabled VDO Analytics ระบบวิเคราะห์วิดีโอ และ Document OCR ระบบแปลงเอกสารให้เป็นข้อมูลดิจิทัล

คุณเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท KBTG ที่มาเล่าถึงการ Transformation องค์กรครั้งใหญ่
คุณเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท KBTG ที่มาเล่าถึงการ Transformation องค์กรครั้งใหญ่

ความสำเร็จที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งคือการพัฒนา AthenaMind แพลตฟอร์มสร้าง AI Agent ที่ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาโมเดล AI เฉพาะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย AI Agent ตัวแรกที่เปิดให้พนักงานใช้งานคือ HR Chat Agent ที่ช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของพนักงาน

จะเห็นได้ว่าหลากหลายเทคโนโลยีเหล่านี้ เป็นผลงานระดับท็อปแทบจะทั้งสิ้น และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ มีการไปตีพิมพ์ในวารสารทางด้านวิชาการระดับนานาชาติ

ผลงานวิจัยของ KBTG ยังได้รับการตีพิมพ์ในการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ The 62nd Annual Meeting of the Association for Computational Linguistics (ACL 2024) พร้อมทั้งมีผลงานตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติรวม 30 ฉบับ รวมถึงสื่อยักษ์ใหญ่มากมายทั่วโลกที่ให้การยอมรับผลงานของ KBTG

ดร. มนต์ชัย เลิศสุทธิวงค์ Principal Research Engineer and Head of AI Research ที่มาเล่าถึงผลงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากมาย
ดร. มนต์ชัย เลิศสุทธิวงค์ Principal Research Engineer and Head of AI Research ที่มาเล่าถึงผลงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากมาย

และ KBTG ยังเป็นองค์กรไทยเพียงแห่งเดียวที่ได้รับรางวัล The Innovators 2024 จาก Global Finance ในสาขา Compliance/Risk Innovation จากผลงาน Face Liveness Detection ที่ช่วยยกระดับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน

การสร้างพันธมิตรทางวิชาการและนวัตกรรมทั้งในและต่างประเทศก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สำคัญ โดย KBTG ได้ร่วมมือกับหน่วยงานชั้นนำมากมาย เช่น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย, AI Singapore, Google Research, MIT Media Lab และ AI Fund

สำหรับปี 2568 KBTG ได้วางยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์กรผ่านสามแกนหลักที่น่าสนใจมาก ๆ ได้แก่ Agentic Platformization การพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับสร้างและจัดการ AI Agent, Agentic Orchestration การออกแบบกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI และ Agentic Humanization การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้พร้อมทำงานร่วมกับ AI

ในด้านการพัฒนาบุคลากร KBTG ได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน AI อย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดตั้งชุมชนแห่งการเรียนรู้ภายในองค์กร เช่น M.A.D. Guild และ K-DAI Council ที่ช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างพนักงาน และพนักงานภายใต้องค์กรของ KBTG 100% ได้มีการอัพเกรดความรู้ในด้านเทคโนโลยี AI ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือว่าโหดมาก ๆ เมื่อเทียบกับองค์กรส่วนใหญ่ในประเทศไทยในขณะนี้

ผมมองว่าส่วนนี้ค่อนข้างน่าสนใจเพราะองค์กรใหญ่อย่าง KBTG ที่มีพนักงานระดับท็อปมากมายในสาขานี้ ได้ทำการทดลองแล้วว่าผลของการใช้ AI First เพียงอย่างเดียวนั้นมันไม่ work ในบริบทงานด้านอุตสาหกรรมการเงินของประเทศไทย ซึ่งสุดท้ายต้องมีการผสานระหว่าง AI และ Human ที่จะได้ผลลัพธ์จริงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

วิสัยทัศน์ “KBTG AI For Thailand” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาสังคมไทย ผ่านโครงการต่างๆ เช่น AI เพื่อการศึกษา AI เพื่อเป็นที่ปรึกษาสำหรับเยาวชน และ AI เพื่อการแพทย์ โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้าน AI ในระดับภูมิภาค

การเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ KBTG ไม่เพียงแต่จะสร้างประโยชน์ทางธุรกิจ แต่ยังเป็นต้นแบบให้กับองค์กรอื่นๆ ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน โดยคำนึงถึงการพัฒนาทั้งด้านเทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์ไปพร้อมกันนั่นเองครับผม

#KBTG
#KBTGHumanFirstxAlFirst
#AgenticAl
#KBTGTheYearOfAgenticAl2025

หลักคิดพิชิตความสำเร็จแบบ Elon Musk : 5 บทเรียนจากเจ้าพ่อเทคโนโลยีที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จเร็วขึ้น

ในโลกของนวัตกรรมและเทคโนโลยี หากมีบุคคลที่สร้างปรากฏการณ์และเป็นที่จับตามองมากที่สุดคนหนึ่ง คงหนีไม่พ้น Elon Musk ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง Tesla และ SpaceX ความสำเร็จของเขาไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่เป็นผลจากแนวคิดและหลักการทำงานที่โดดเด่น

จากการศึกษาชีวประวัติที่เขียนโดย Ashlee Vance รวมถึงบทสัมภาษณ์และการตอบคำถามบน Reddit AMAs พบว่ามีบทเรียนสำคัญ 5 ประการที่ทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้

การให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง: จุดเริ่มต้นของวันที่มีประสิทธิภาพ

เมื่อมีผู้ถามถึงนิสัยประจำวันที่ส่งผลดีต่อชีวิตมากที่สุดใน Reddit AMA ปี 2015 Musk ตอบสั้นๆ เพียงว่า “การอาบน้ำ” คำตอบที่ดูเรียบง่ายนี้แฝงไปด้วยปรัชญาที่ลึกซึ้ง นั่นคือการให้ความสำคัญกับการเริ่มต้นวันใหม่อย่างมีคุณภาพ การดูแลตัวเองให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ จะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานตลอดทั้งวัน แม้จะทำงานที่บ้านที่ไม่มีใครเห็น การรักษาระเบียบวินัยในการดูแลตัวเองก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ

การเป็นแบบอย่าง: ผู้นำที่นำด้วยการกระทำ

Musk ขึ้นชื่อในฐานะผู้บริหารที่มีความเข้มงวดและโหดกับทีมงาน เขาคาดหวังให้พนักงานทุ่มเทกับงานอย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่ทำให้พนักงานยอมรับและเคารพเขา คือการที่เขาไม่เคยเรียกร้องในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ ด้วยการทำงาน 85-100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ทุกวันตลอด 7 วัน Musk แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทที่มากกว่าคำพูด

การวางโต๊ะทำงานของเขาที่ Tesla ไว้กลางโรงงาน ท่ามกลางวิศวกรคนอื่นๆ ไม่เพียงแต่แสดงถึงความเป็นผู้นำที่เข้าถึงได้ แต่ยังสะท้อนถึงปรัชญาการทำงานที่ว่า “ผู้นำต้องอยู่แถวหน้าพร้อมกับทีม”

การตั้งเป้าหมายท้าทาย: กุญแจสู่การพัฒนาที่ก้าวกระโดด

แนวทางการตั้งเป้าหมายของ Musk มักถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้ แต่กลับเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยผลักดันให้ทีมงานก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง ดังเช่นกรณีของ SpaceX ที่สามารถพัฒนาจรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเคยกล่าวว่าเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้

การตั้งเป้าหมายที่ท้าทายของ Musk เปรียบเสมือนการผลักดันให้ทีมวิ่งระยะทางไกลเกินกว่าที่พวกเขาคิดว่าทำได้ แม้อาจไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็มักเกินความคาดหมายของทุกคน

การพัฒนาฐานความรู้ที่กว้างขวาง: กุญแจสู่การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

สิ่งที่ทำให้ Musk แตกต่างจากซีอีโอคนอื่นๆ คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังผลิตภัณฑ์ของบริษัท เขาไม่เพียงแต่บริหารงาน แต่ยังเข้าใจรายละเอียดทางเทคนิคและสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวคิดการเป็นคนแบบ “T-shaped” ที่มีความรู้ลึกในด้านหนึ่งและกว้างในหลายด้าน ช่วยให้ Musk สามารถมองเห็นโอกาสและแนวทางแก้ปัญหาที่คนอื่นมองข้าม การผสมผสานความรู้จากหลากหลายสาขาทำให้เกิดนวัตกรรมที่แหวกแนว

การเชื่อในการพัฒนา: หัวใจของการเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“การมีระบบ feedback loop และการคิดตลอดเวลาว่าจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร” คือหลักการสำคัญที่ Musk ยึดถือ การมีกรอบความคิดแบบ growth mindset ทำให้เขาไม่เคยหยุดพัฒนาและมองหาวิธีที่ดีกว่าเสมอ

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของอุปกรณ์ electromechanical actuator ที่มีราคาสูงถึง 120,000 ดอลลาร์ แทนที่จะยอมรับราคานี้ Musk กลับท้าทายทีมให้สร้างขึ้นเองด้วยงบประมาณเพียง 5,000 ดอลลาร์ และสุดท้ายทีมก็ทำสำเร็จด้วยต้นทุนเพียง 3,900 ดอลลาร์

การนำแนวคิดและหลักการเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ ไม่เพียงแต่จะช่วยพัฒนาตนเองและองค์กร แต่ยังเป็นแนวทางสู่การสร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกได้เช่นเดียวกับที่ Elon Musk ได้ทำสำเร็จมาแล้วนั่นเองครับผม

References:
How to Be as Productive as Elon Musk – 5 Essential Practices
https://youtu.be/q4cjNYGUaoA?si=cyGlUIqAB0k76NEY

ธุรกิจคือเกมที่ไม่มีวันจบ : 3 เคล็ดลับจาก Simon Sinek สร้างธุรกิจที่ยืนหยัดได้ในทุกวิกฤต

ในโลกธุรกิจที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด เราอาจหลงคิดว่าเป้าหมายสูงสุดคือการ “ชนะ” เหนือคู่แข่ง แต่จริงๆ แล้ว ธุรกิจก็เหมือนกับชีวิต – มันคือเกมที่ไม่มีวันจบ

Simon Sinek นักคิดและผู้เขียนหนังสือขายดี “The Infinite Game” ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจว่า เราควรมองธุรกิจเป็นเกมที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ใช่การแข่งขันเพื่อชิงชัยชนะแบบสั้นๆ

แนวคิดนี้อาจฟังดูแปลกหูสำหรับหลายคน เพราะในโลกธุรกิจ แม้คุณจะทำกำไรได้ตามเป้า ก็ไม่มีใครหยุดเกมแล้วมอบถ้วยรางวัลให้คุณ ธุรกิจยังคงดำเนินต่อไป มีความท้าทายใหม่ๆ รอคุณอยู่เสมอ

แล้วเราจะเปลี่ยนมุมมองจากเกมที่มีจุดจบ มาเป็นเกมที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้อย่างไร? Sinek เสนอว่าเราควรให้ความสำคัญกับ “สิ่งที่เอื้อให้เกิดมุมมองแบบไม่มีที่สิ้นสุด” 3 ประการ ซึ่งจะช่วยให้เราสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว

1. อุดมการณ์อันชอบธรรมของคุณ (Your Just Cause)

อุดมการณ์อันชอบธรรม คือวิสัยทัศน์ที่เราต้องการสร้างให้เกิดขึ้นจริงเพื่อผู้คนที่เราให้บริการ มันไม่ใช่แค่พันธกิจองค์กรที่เน้นแต่เรื่องกำไร แต่เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น Henry Ford ผู้ก่อตั้งบริษัท Ford มีอุดมการณ์ที่จะสร้างยานพาหนะที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพให้กับทุกคน เขาไม่ได้แค่อยากขายรถยนต์ให้ได้มากๆ แต่ต้องการเปิดโลกแห่งการเดินทางให้กับผู้คน

หรืออย่าง CBS ร้านขายยาและร้านค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ที่มีอุดมการณ์ในการนำพาผู้คนไปสู่เส้นทางสุขภาพที่ดีขึ้น พวกเขาไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นแค่ร้านขายของ แต่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมที่มีสุขภาพดี

การมีอุดมการณ์ที่แข็งแกร่งจะช่วยให้เรามีพลังในการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ แม้ในยามที่ธุรกิจเผชิญกับความท้าทาย เราก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะเรามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่ตัวเลขกำไร

ลองถามตัวเองดูว่า:

  1. เราจะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่อะไรให้กับชีวิตของลูกค้าได้บ้าง?
  2. อะไรคือสิ่งที่เราพร้อมจะเสียสละเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย?
  3. วิสัยทัศน์แบบไหนที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นอยากเข้าร่วมกับเรา?

เมื่อคุณมีอุดมการณ์ที่ชัดเจนแล้ว ให้ลองนึกภาพว่า ถ้าวันหนึ่งคุณค้นพบวิธีที่ดีกว่าในการบรรลุวิสัยทัศน์ระยะยาวของคุณ แม้ว่ามันจะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงธุรกิจครั้งใหญ่และอาจต้องสละผลกำไรระยะสั้น คุณพร้อมจะทำหรือไม่?

ถ้าคุณตอบว่า “พร้อม” นั่นแสดงว่าคุณมีอุดมการณ์ที่แท้จริง และมันจะเป็นเข็มทิศนำทางให้คุณในการตัดสินใจทางธุรกิจต่อไป

2. คู่แข่งที่มีค่าของคุณ (Your Worthy Rival)

ในเกมที่ไม่มีที่สิ้นสุด คู่แข่งไม่ใช่ศัตรูที่ต้องกำจัด แต่เป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ลองนึกถึงการแข่งขันเทนนิสระหว่าง Roger Federer และ Rafael Nadal สองนักเทนนิสระดับตำนาน พวกเขาเป็นคู่แข่งกันในสนาม แต่นอกสนามกลับเป็นเหมือนพี่น้องที่คอยผลักดันกันและกันให้ก้าวหน้า พวกเขาศึกษาและเรียนรู้จากกันตลอดเวลา การแข่งขันของพวกเขาไม่ใช่แค่เรื่องของการเอาชนะ แต่เป็นการพัฒนาวงการเทนนิสไปด้วยกัน

ในโลกธุรกิจก็เช่นกัน เราควรมองคู่แข่งเป็นแรงบันดาลใจ ไม่ใช่ภัยคุกคาม อย่างเช่น Ford ที่มอง Toyota เป็นคู่แข่งที่มีค่า Toyota ทำให้ Ford เชื่อว่าเป็นไปได้ที่จะผลิตรถยนต์คุณภาพสูงด้วยต้นทุนต่ำ ซึ่งผลักดันให้ Ford พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ การมีคู่แข่งที่มีค่ายังช่วยให้ฉายภาพอุดมการณ์ของเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ในยุค 80 Apple ใช้ IBM เป็นจุดเปรียบเทียบเพื่อบอกโลกว่า Apple เป็นแบรนด์สำหรับคนนอกกรอบและนักสร้างสรรค์นวัตกรรม ในขณะที่ IBM ให้อำนาจกับกลุ่มองค์กรธุรกิจ Apple ก็มุ่งเน้นการให้อำนาจกับคนทั่วไป

ลองคิดดูว่าใครคือคู่แข่งที่มีค่าของคุณ ใครที่สามารถผลักดันให้คุณพัฒนาตัวเองได้มากที่สุด และพวกเขาจะช่วยเสริมสร้างอุดมการณ์ของคุณได้อย่างไร

3. การคิดใหม่เกี่ยวกับกฎ (Rethinking the Rules)

ในเกมที่ไม่มีที่สิ้นสุด กฎไม่ใช่สิ่งตายตัว แต่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่ยึดติดกับกฎเก่าๆ มักจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ Blockbuster ร้านเช่าวิดีโอยักษ์ใหญ่ที่เคยครองตลาดมาอย่างยาวนาน พวกเขายึดติดกับโมเดลธุรกิจแบบเดิมๆ คือให้ลูกค้ามาเช่าหนังที่ร้าน และจ่ายค่าปรับเมื่อคืนช้า แต่แล้ว Netflix ก็เข้ามาในตลาดด้วยแนวคิดใหม่ ลูกค้าไม่ต้องออกจากบ้านเพื่อเช่าหนัง และไม่มีค่าปรับเมื่อคืนช้า Blockbuster ปรับตัวไม่ทันกับกฎใหม่เหล่านี้ จึงต้องปิดตัวลงในที่สุด

ในทางกลับกัน Netflix ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะพวกเขาพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงกฎของตัวเองอยู่เสมอ จากบริการให้เช่า DVD ทางไปรษณีย์ มาสู่การสตรีมมิ่งออนไลน์ และปัจจุบันก็ผลิตคอนเทนต์เป็นของตัวเอง

ในฐานะผู้ประกอบการ เราควรมองตัวเองเป็นเหมือนนักปีนเขาที่มองหาเส้นทางใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ใช่แค่เดินตามเส้นทางเดิมๆ ที่คนอื่นทำไว้ เราสามารถสร้างกฎใหม่ๆ เพื่อให้บรรลุอุดมการณ์ของเราได้ดียิ่งขึ้น

การนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ในบริบทของธุรกิจไทย

ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของไทย การนำแนวคิดเรื่องเกมที่ไม่มีที่สิ้นสุดมาปรับใช้อาจมีความท้าทาย แต่ก็มีโอกาสมากมาย ให้ลองนึกถึงธุรกิจครอบครัวที่มีมาหลายรุ่น หรือบริษัทที่มีประวัติยาวนานในประเทศไทย พวกเขาสามารถอยู่รอดและเติบโตได้เพราะมีวิสัยทัศน์ระยะยาว ไม่ใช่แค่มุ่งเน้นกำไรระยะสั้น

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ที่เริ่มต้นจากร้านขายเมล็ดพันธุ์พืชเล็กๆ แต่มีวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาภาคการเกษตรของไทย จนปัจจุบันกลายเป็นบริษัทระดับโลก CP ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นแค่ผู้ขายอาหารสัตว์หรือเกษตรกรรม แต่เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและผู้บริโภค

หรืออย่างธนาคารกสิกรไทย ที่ปรับตัวจากธนาคารแบบดั้งเดิมสู่การเป็นผู้นำด้านดิจิทัลแบงกิ้ง พวกเขาไม่ได้ยึดติดกับกฎเก่าๆ แต่กล้าที่จะคิดใหม่และสร้างนวัตกรรมทางการเงินเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่

แล้วธุรกิจของคุณล่ะ? คุณมีอุดมการณ์อะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่การทำกำไร? คุณเห็นคู่แข่งเป็นแรงบันดาลใจให้พัฒนาตัวเองหรือไม่? และคุณพร้อมที่จะท้าทายกฎเกณฑ์เดิมๆ เพื่อสร้างคุณค่าใหม่ให้กับลูกค้าและสังคมหรือเปล่า?

บทสรุป: มุมมองใหม่สู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

การมองธุรกิจเป็นเกมที่ไม่มีที่สิ้นสุดไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ตั้งเป้าหมายหรือวัดผลสำเร็จ แต่เป็นการเปลี่ยนมุมมองจากการมุ่งเน้นชัยชนะระยะสั้น มาเป็นการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

เมื่อเรามีอุดมการณ์ที่ชัดเจน เราจะมีแรงขับเคลื่อนที่มากกว่าแค่ตัวเลขกำไร เราจะมีพลังในการฝ่าฟันอุปสรรคและความท้าทายต่างๆ

เมื่อเรามองคู่แข่งเป็นแรงบันดาลใจ เราจะไม่หยุดพัฒนาตัวเอง และยังสามารถสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

และเมื่อเราพร้อมที่จะคิดใหม่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ต่างๆ เราจะสามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ

ในท้ายที่สุด การมองธุรกิจเป็นเกมที่ไม่มีที่สิ้นสุดจะช่วยให้เราสร้างองค์กรที่แข็งแกร่ง มีความหมาย และสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ผู้บริหารบริษัทใหญ่ หรือผู้ประกอบการหน้าใหม่ การนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้จะช่วยให้คุณมองเห็นโอกาสและความท้าทายในมุมที่แตกต่างออกไป

จำไว้ว่า ในเกมที่ไม่มีที่สิ้นสุด เป้าหมายไม่ใช่การเอาชนะคนอื่น แต่เป็นการเอาชนะตัวเองและสร้างผลงานที่ดีกว่าเดิมอยู่เสมอ เมื่อคุณให้ความสำคัญกับอุดมการณ์และผู้คนที่คุณให้บริการ ความสำเร็จทางธุรกิจก็จะตามมาเอง

References :
หนังสือ The Infinite Game โดย Simon Sinek
How Great Leaders Inspire Action | Simon Sinek | TED -> https://youtu.be/qp0HIF3SfI4?si=2GUFZqTx6kXHAwtW