วันที่ eBay แตกหักกับ PayPal หายนะ 2,000 ล้านเหรียญ ที่เกือบทำบริษัทล้มละลาย

ย้อนกลับไปในเดือนกันยายนปี 2014 คณะกรรมการของ eBay ได้รวมตัวกันในห้องประชุม เพื่อตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท

ตลอดปีนั้น เกิดสงครามลุกลามภายในองค์กร คำถามสำคัญคือ eBay และ PayPal ควรจะแยกกัน หรือควรจะอยู่ร่วมกัน

ฝั่งหนึ่ง นักลงทุนที่นำโดยผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal เรียกร้องให้แยกทั้งสองบริษัทออกจากกัน ส่วนอีกฝั่ง John Donahoe CEO ของ eBay ในตอนนั้น และพนักงานอีกหลายคน ต่อสู้อย่างหนัก เพื่อรักษาทั้งสองบริษัทไว้ด้วยกัน

หลังจากการประชุมที่ยาวนาน คณะกรรมการก็มีคำตัดสิน “ทั้งสองบริษัทจะแยกออกจากกัน”

สำหรับ PayPal นี่คือชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ แต่สำหรับ eBay มันคือข่าวที่น่ากังวลอย่างยิ่ง

ในชั่วข้ามคืน รายได้กว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ที่เคยมาจาก PayPal ได้หายวับไปกับตาแทบจะทันที กำไรของ eBay ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องในแต่ละไตรมาส ลดลงถึง 44%, 48% และ 51% ตามลำดับ

eBay ถูกทิ้งให้เผชิญกับชะตากรรมโดยลำพัง และเมื่อเวลาผ่านไป ก็ถูกคู่แข่งอย่าง Amazon แซงหน้าไปไกลจนแทบไม่เห็นฝุ่น

หลายคนมองว่า eBay เป็นเพียงแบรนด์เก่าแก่ ที่กำลังจะตายอย่างช้าๆ แต่เรื่องราวไม่เป็นอย่างนั้น

นี่คือเรื่องราวการกลับมาอีกครั้งของ eBay หลังจากที่สูญเสียรายได้มหาศาล และสูญเสียผู้นำ พวกเขาพลิกเกมกลับมาได้อย่างไร

สถานการณ์ในตอนนั้น ยิ่งกว่าเลวร้าย วันถัดจากการประกาศแยกตัว John Donahoe ก็ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO

eBay ในเวลานั้น สูญเสียทั้งทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด สูญเสียรายได้เกือบครึ่ง และสูญเสียผู้นำคนสำคัญ

ตำแหน่ง CEO ถูกแทนที่อย่างรวดเร็วด้วย Devin Wenig อดีตประธานตลาดโลกของ eBay ภารกิจเร่งด่วนของเขา คือการหาทางทดแทนรายได้ ที่หายไปจาก PayPal

ต้องเข้าใจก่อนว่า รายได้หลักของ eBay มาจากค่าธรรมเนียมในการลงประกาศขายสินค้า และค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม

เมื่อไม่มี PayPal พวกเขาก็ได้รับส่วนแบ่งน้อยลง Devin Wenig รู้ดีว่า การเพิ่มอัตราค่าธรรมเนียม มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา เพราะจะสร้างความไม่พอใจให้ผู้ขาย

ทางเลือกที่ดีกว่า คือการ “เพิ่มปริมาณการขาย” ให้มากขึ้น แต่ eBay กำลังเผชิญกับปัญหาใหม่ ที่ขัดขวางการเติบโตของพวกเขา

นั่นคือปัญหาเรื่อง “ข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง” หรือ Unstructured Data

ลองนึกภาพเปรียบเทียบง่ายๆ Amazon เปรียบเหมือนซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ ที่จัดของเป็นระเบียบ ทุกอย่างมีบาร์โค้ด มีชั้นวางชัดเจน ค้นหาง่าย

ส่วน eBay เปรียบเหมือน “ตลาดนัด” ขนาดมหึมา หรือโกดังเก็บของเก่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ขายแต่ละคน ป้อนข้อมูลในรูปแบบของตัวเอง เขียนคำบรรยายสินค้าตามใจชอบ

ทำให้ข้อมูลมันยุ่งเหยิงและไร้ระเบียบอย่างยิ่ง ที่สำคัญ มันทำให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google ไม่สามารถเข้าใจได้ว่า สินค้าใน eBay คืออะไร ส่งผลให้ผู้ใช้ใหม่ หาสินค้าใน eBay ได้ยากมาก

Devin Wenig จึงเริ่มโครงการปรับปรุงข้อมูลครั้งใหญ่ ที่เรียกว่า Structure Data Initiative โดยกำหนดให้ผู้ขาย ต้องเพิ่มข้อมูลมาตรฐาน สำหรับสินค้าใหม่ทั้งหมด เช่น รหัสชิ้นส่วนของผู้ผลิต หรือรหัสผลิตภัณฑ์ที่เป็นสากล

เป้าหมายคือการจัดกลุ่มและจัดหมวดหมู่สินค้าใหม่ เพื่อปรับปรุงการค้นหา และทำให้ Google ค้นเจอได้ง่ายขึ้น

ทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปตามแผน eBay กำลังค้นพบทางออกที่เหมาะสม ในโลกยุคดิจิทัล

แต่ความจริงแล้ว มันมีปัญหาใหญ่ซ่อนอยู่ และสถานการณ์กำลังแย่ลงกว่าที่ใครจะคาดคิด

ในเดือนพฤษภาคมปี 2016 eBay เปิดตัว eBay 5.0 ซึ่งเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ ที่ช่วยให้ผู้ใช้ค้นพบสินค้าได้ง่ายขึ้น ผลลัพธ์เริ่มดีขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอ

eBay จึงก้าวไปสู่ขั้นตอนต่อไปของแผน โดยเริ่มใช้สิ่งที่เรียกว่า Product Based Shopping หรือ PBS ซึ่งเป็นการปรับปรุงที่เข้มงวดขึ้นอีกครั้ง

แนวคิดของ PBS คือการ “เลียนแบบ Amazon” อย่างเต็มรูปแบบ

ทุกรายการสินค้า ต้องมี Product Identifier เพื่อจัดกลุ่มรายการต่างๆ ภายใต้ “สินค้าเดียวกัน” ตัวอย่างเช่น หากลูกค้าค้นหาอะไหล่ไมโครเวฟ แทนที่จะเจอรายการสินค้ากระจัดกระจาย PBS จะจัดกลุ่มทุกรายการของอะไหล่ชิ้นนั้นไว้ด้วยกัน แยกเป็นหมวดสินค้าใหม่ สินค้าใช้แล้ว

หน้าการค้นหาของ eBay เพิ่มตัวเลือกมากมาย และพวกเขาเริ่มเรียกหน้าผลิตภัณฑ์นี้ว่า “Buy Box” ซึ่งเป็นคำที่ Amazon ใช้อย่างชัดเจน

เป้าหมายสุดท้าย คือการเปลี่ยน eBay จาก “ตลาดนัด” ที่มีความหลากหลาย ให้กลายเป็น “ร้านค้าปลีก” ที่เป็นระบบระเบียบ เหมือนกับ Amazon

มันดูเหมือนเป็นการพัฒนาที่ดี แต่ปัญหาใหญ่ได้เกิดขึ้น

ผู้ใช้ใหม่ อาจจะชอบการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ผู้ใช้ eBay ที่ใช้มาอย่างยาวนาน หรือกลุ่ม “แฟนพันธุ์แท้” กลับรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง

เพราะมันทำลายแนวคิดดั้งเดิม และ “เสน่ห์” ของ eBay ไปจนหมดสิ้น

Devin Wenig และผู้บริหาร มองเห็นความผิดพลาดนี้ช้าเกินไป

แก่นแท้ของ eBay คือ “ความไร้ระเบียบ” แต่มันคือจุดแข็ง ไม่ใช่จุดอ่อน eBay มีสินค้าหลายล้านรายการที่ไม่เหมือนใคร จากผู้ขายนับล้านราย

มันคือที่สำหรับของหายาก ของสะสม อะไหล่แปลกๆ หรือของมือสองที่มีชิ้นเดียวในโลก การพยายามบังคับให้ผู้ขายเหล่านี้ อยู่ในกรอบที่เคร่งครัดเหมือน Amazon มันจึงเป็นไปไม่ได้

ปัญหายิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เพราะข้อมูลของ eBay มันซับซ้อนเกินไป หมวดหมู่ต่างๆ เริ่มแสดงสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกัน หน้าผลิตภัณฑ์แสดงข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ต่างรู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ eBay เปลี่ยนไป

ในเดือนตุลาคมปี 2018 ระหว่างการประชุมกับนักลงทุน Devin Wenig พยายามอธิบายว่า ทำไมโครงการนี้จึงไม่ประสบความสำเร็จ และยืนยันว่าทุกอย่างจะดีขึ้น

แต่เหล่านักลงทุนไม่เชื่อ พวกเขาเริ่มเทขายหุ้น ราคาหุ้นของ eBay ที่เคยแตะจุดสูงสุดที่ 44 ดอลลาร์ ร่วงลงมาเหลือเพียง 28 ดอลลาร์

ในท้ายที่สุด ผู้บริหารก็ยอมรับความจริง แผนการของพวกเขาไม่ได้ผล

eBay ไม่ใช่ Amazon และไม่ว่า Devin Wenig จะพยายามแค่ไหน มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ได้

3 เดือนต่อมา eBay ประกาศยกเลิกโครงการ Product Based Shopping ทั้งหมด eBay กลับมาอยู่ที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

แต่คราวนี้ สถานการณ์แย่กว่าเดิม เพราะพวกเขายังทำให้ผู้ใช้และผู้ถือหุ้น รู้สึกผิดหวังไปด้วย

และเรื่องมันก็ยิ่งแย่ลง เมื่อ Facebook เปิดตัว Marketplace ซึ่งมีฟีเจอร์ที่ดีกว่าสำหรับผู้ขายในท้องถิ่น สถานการณ์ในตอนนั้นดูเหมือนว่า eBay กำลังจะหมดเวลาลงทุกที

ถึงแม้ปี 2017 และ 2018 จะเต็มไปด้วยความผิดพลาด แต่มันก็มีความหวังที่ซ่อนอยู่

ในขณะที่ผู้บริหารกำลังพยายามปรับปรุง eBay ให้เหมือน Amazon แผนกอื่นๆ กลับได้สร้าง “ทางรอด” ให้บริษัทโดยไม่ได้ตั้งใจ

ทางออกแรก มาจากสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิด นั่นคือ “กระเป๋าถือแบรนด์หรู”

การซื้อสินค้าหรูมือสองบนแพลตฟอร์มออนไลน์ มีความเสี่ยงสูง ผู้ซื้อไม่มั่นใจว่า สินค้าเป็นของแท้หรือของปลอม

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ eBay จึงได้เปิดตัวบริการ Authenticate ที่ทำให้ผู้ซื้อสามารถมั่นใจได้ว่าผู้ขายน่าเชื่อถือ พร้อมกับการรับประกันคืนเงิน 200% หากพบว่าเป็นของปลอม

eBay เริ่มใช้บริการนี้กับกระเป๋าถือหรู และมันประสบความสำเร็จอย่างมาก จึงได้ขยายไปยังสินค้าแฟชั่นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาและเครื่องประดับ ตามด้วยสินค้าสะสมมูลค่าสูง อย่างบัตรเบสบอล หรือการ์ด Pokemon

อีกบริการที่สำคัญคือบริการ Manage Payment ซึ่งช่วยทดแทน PayPal โดยจะมีการรวมระบบการชำระเงินไว้ภายใน eBay ทำให้การชำระเงินมันง่ายขึ้น และที่สำคัญที่สุด ระบบนี้ ช่วยให้ eBay ได้รับรายได้กลับคืนมาส่วนหนึ่ง ที่พวกเขาเคยสูญเสียไป

แน่นอนว่าผู้บริหารของ eBay กำลังไล่ตามความสำเร็จของ Amazon ทั้งที่จริงๆ แล้ว พวกเขาควรเน้นไปที่จุดแข็ง ของตัวพวกเขาเอง

มันถึงเวลาแล้ว ที่ eBay ต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น

วันที่ 25 มิถุนายน 2019 Scott Mitan รองประธานฝ่ายวิศวกรรมของ eBay ได้ขึ้นเวทีเพื่อนำเสนอสัมมนาภายในบริษัท เหล่า Developer และพนักงานเต็มไปด้วยความกังวล เพราะขวัญกำลังใจในตอนนั้นตกต่ำอย่างยิ่ง

ทันใดนั้น Scott Mitan ก็ได้เปลี่ยนไปยังสไลด์ ที่ทำให้ทั้งห้องตกตะลึง เขาเขียนว่า “เราผิด… ผิดมาก”

Scott Mitan อธิบายเพิ่มเติมว่า การสร้างแคตตาล็อกที่สมบูรณ์แบบ มันไม่จำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมด

นั่นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ที่ผู้บริหารของ eBay ตระหนักคิดได้ ว่าพวกเขามีบางสิ่งที่ Amazon ไม่มี

หากลูกค้าต้องการอะไรสำหรับไมโครเวฟรุ่นเก่า ลูกค้าก็ต้องไปหาที่ eBay หรือหากลูกค้าต้องการเกมเก่าที่มันไม่มีขายแล้ว ลูกค้าก็ต้องไปที่ eBay และหากต้องการรองเท้า Jordan รุ่นที่ขายหมดในทุกที่ ลูกค้าก็ต้องไปหา eBay

หลังจากวันนั้น ปรัชญาของ eBay จึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาจะไม่พยายามลอกเลียนแบบ Amazon อีกต่อไป แต่จะเน้นที่ความหลากหลายและความเป็นเอกลักษณ์ ของตลาดของพวกเขาเอง

แต่ก็ยังมีปัญหาอื่นที่ต้องเผชิญ Facebook Marketplace กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีข้อได้เปรียบที่สำคัญคือรูปแบบการขายในท้องถิ่น

แต่ถ้ามองในอีกด้านหนึ่ง Facebook Marketplace ก็มีความเสี่ยงสูงกว่า ในแง่ของความปลอดภัย โอกาสถูกหลอกลวงมีมากกว่า

eBay มีความปลอดภัยมากกว่า ผู้ซื้อสามารถตรวจสอบคะแนนความน่าเชื่อถือของผู้ขาย และดูว่าบัญชีของผู้ขาย เปิดมานานแค่ไหนแล้ว

การต่อสู้เพื่อครองตลาดการซื้อขายระหว่างบุคคลทั่วไป มันได้เริ่มขึ้นแล้ว และ eBay ต้องพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

อันดับแรก พวกเขาต้องโฟกัสไปที่ธุรกิจหลัก พวกเขาต้องการเงินทุนเพิ่ม จึงได้เริ่มขายบริษัทที่พวกเขาเคยซื้อมา

ในเดือนพฤศจิกายนปี 2019 พวกเขาได้ขาย StubHub ในราคากว่า 4,000 ล้านดอลลาร์ ต่อมาจึงขาย Classifieds Group ในราคา 9,200 ล้านดอลลาร์

ในช่วงเวลานี้เอง eBay ก็มี CEO คนใหม่ นั่นก็คือ Jamie Iannone เขาเข้ามาพร้อมกับวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนมาก ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

เขาต้องการเสริมพลังให้กับผู้ขาย และตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มลูกค้า ที่หลงใหลในการซื้อขาย

eBay เริ่มยอมรับว่าพวกเขาเป็นแพลตฟอร์มซื้อขาย ระหว่างบุคคล และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ พวกเขาเข้าใจว่ามี “กลุ่มเฉพาะ” ของการซื้อขาย ที่ไม่มีใครสามารถแข่งขันได้ดีเท่าพวกเขา

จากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ซื้อทั้งหมด 147 ล้านคน eBay พบว่ามีประมาณ 16-17 ล้านคน ที่เป็น “ผู้ซื้อมูลค่าสูง” หรือผู้ที่หลงใหลในแพลตฟอร์มนี้

นี่คือการใช้หลักการ Pareto หรือกฎ 80/20 กลุ่มคนเล็กๆ นี้ แม้จะมีสัดส่วนเพียง 10-12% แต่กลับสร้างยอดขายถึง 71% ของปริมาณธุรกรรมทั้งหมดบน eBay

พวกเขาซื้อสินค้ามากกว่าผู้ซื้อทั่วไป 9 เท่า และโดยเฉลี่ย ใช้จ่ายประมาณ 3,000 ดอลลาร์ต่อปี

ผู้ซื้อกลุ่มนี้ คือกุญแจสู่ความสำเร็จของ eBay พวกเขาจึงเริ่มพัฒนาบริการพิเศษ ที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มนี้โดยเฉพาะ โดยเน้นไปที่หมวดหมู่สินค้าที่คนกลุ่มนี้คลั่งไคล้ เช่น Sneakers, นาฬิกา, กระเป๋าแบรนด์หรู, และ Trading Cards

หนึ่งในบริการใหม่นี้คือสิ่งที่เรียกว่า PSA Vault เปรียบเสมือนห้องเก็บของที่มีความปลอดภัยสูง ขนาด 31,000 ตารางฟุต สำหรับเก็บการ์ดสะสมมูลค่าสูงๆ เช่นการ์ดบาสเกตบอลหรือการ์ด Pokemon

หากลูกค้ากลุ่มนี้ ซื้อการ์ดสะสมมูลค่าสูง ผู้ขายจะส่งไปยัง PSA Vault จากนั้น eBay จะช่วยดูแลและจัดการการ์ดของลูกค้า ทำให้การซื้อขายของสะสมที่หายาก มีความปลอดภัยมากขึ้น

นอกจากนี้ eBay ยังได้ขยายบริการ Authenticity Guarantee ไปยังหมวดหมู่สินค้าอื่นๆ มากขึ้น และปรับประสบการณ์การใช้งานให้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ขาย

ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ eBay สามารถสร้างความแตกต่างจาก Facebook Marketplace ได้อย่างชัดเจน และครองตลาดการซื้อขายระหว่างบุคคลได้

ถ้าคุณจะซื้อโซฟามือสองในละแวกบ้าน คุณอาจจะไปที่ Facebook Marketplace แต่ถ้าคุณจะซื้อการ์ด Pokemon หายาก หรือนาฬิกา Rolex มือสอง ที่ต้องการความมั่นใจ 100% ว่าเป็นของแท้ คุณต้องมาที่ eBay

ปัจจุบัน eBay กำลังเติบโตอย่างมั่นคง ทั้งเรื่องของรายได้และปริมาณสินค้ารวม กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น คือราคาหุ้นของ eBay ที่เคยตกต่ำ ก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำจุดสูงสุดในรอบหลายปี

แถม eBay ยังได้ร่วมมือกับ Meta โดยผู้ใช้ Facebook Marketplace สามารถเรียกดูรายการสินค้าจาก eBay ได้ ซึ่งจะทำให้ eBay เข้าถึงผู้ใช้มากกว่า 1,000 ล้านคนต่อเดือน แต่ทุกธุรกรรม จะเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มของ eBay

เรื่องราวของ eBay เป็นตัวอย่างของการพลิกฟื้นทางธุรกิจ จากบริษัทที่เคยถูกมองว่ากำลังจะตาย กลายเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งในตลาดเฉพาะทาง ที่พวกเขาเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง

พวกเขาไม่ได้เป็นผู้นำในตลาดอีคอมเมิร์ซโดยรวม แต่ได้สร้างตำแหน่งที่มั่นคงในพื้นที่ ที่พวกเขาทำได้ดีที่สุด

ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงมากๆ บางครั้ง การเป็นตัวของตัวเอง และทำในสิ่งที่เราถนัดที่สุด อาจจะเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดกว่า การพยายามแข่งขันกับผู้นำตลาดในทุกๆ ด้าน

ความสำเร็จ ไม่ได้วัดจากขนาดของส่วนแบ่งการตลาดเสมอไป แต่วัดจากความสามารถในการสร้างคุณค่า ให้กับลูกค้าของเรา และการทำกำไรอย่างยั่งยืน

แม้ว่า eBay อาจจะไม่ใหญ่เท่า Amazon แต่ในที่สุด พวกเขาก็ได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริง และสามารถสร้างเส้นทาง ที่สามารถเติบโตได้บนเส้นทางของตัวเอง

References : [valueaddedresource,eseller365,investopedia,ebayinc,economictimes]

Apple เสียหน้า หรือ ฉลาด? ดีลลับพันล้านกับ Google Gemini เพื่อเปลี่ยนสมองใหม่ให้ Siri

ถ้าเราพูดถึง Apple เรานึกถึงอะไร

ส่วนใหญ่คงนึกถึง นวัตกรรม, Design ที่สวยงาม, iPhone, Steve Jobs และความเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก

Apple คือบริษัทที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการเทคโนโลยีมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล, เครื่องเล่นเพลง, หรือสมาร์ตโฟน

แต่มีอยู่หนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่หลายคนรู้สึกว่า Apple “สอบตก” และมันติดอยู่ในอุปกรณ์เกือบทุกชิ้นของพวกเขา

สิ่งนั้นคือ “Siri”

ย้อนกลับไปตอนที่ Siri เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 มันคือเวทมนตร์ มันคืออนาคตที่เราได้คุยกับคอมพิวเตอร์ในหนัง Sci-Fi

เราตื่นเต้นที่ได้สั่งการมันด้วยเสียง แต่เวลาผ่านไปสิบกว่าปี…

Siri ก็ยังคงเป็น Siri มันเก่งเรื่องการตั้งนาฬิกาปลุก, เช็คสภาพอากาศ, หรือโทรหาแม่

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราถามอะไรที่ซับซ้อนขึ้นมาหน่อย คำตอบที่เรามักจะได้ยินคือ “นี่คือสิ่งที่ฉันพบบนเว็บ” ซึ่งก็คือการโยนเราไปให้ Google หาคำตอบต่ออยู่ดี

Siri กลายเป็นเหมือนผู้ช่วยที่ยังทำงานไม่เสร็จ เก่งแค่บางอย่าง แต่ไม่สามารถเป็น “ผู้ช่วย” ที่แท้จริงได้

ในขณะที่ Apple กำลังพอใจกับความสามารถเดิมๆ ของ Siri โลกภายนอกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ปลายปี 2022 โลกได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า Generative AI การมาถึงของ ChatGPT จาก OpenAI เขย่าโลกทั้งใบ

มันไม่ใช่แค่การถามตอบธรรมดา แต่มันคือ AI ที่สามารถเขียนโค้ด, แต่งบทกวี, วิเคราะห์บทความที่ซับซ้อน, และโต้ตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ

หลังจากนั้นไม่นาน Google ก็เปิดตัว Gemini Microsoft ก็ทุ่มเงินมหาศาลให้ OpenAI จู่ๆ โลกก็เข้าสู่สงคราม AI อย่างเต็มรูปแบบ ทุกคนกำลังสร้าง “ยานอวกาศ” ในขณะที่ Siri ของ Apple ยังคงเป็น “จักรยาน”

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องน่าอายสำหรับ Apple แต่มันคือ “วิกฤต”

ลองคิดดูว่า iPhone คือหัวใจที่ทำเงินให้ Apple มหาศาล แต่ถ้า “สมอง” ของ iPhone หรือก็คือ AI มันสู้คู่แข่งไม่ได้ อะไรจะเกิดขึ้น?

เมื่อ Samsung ประกาศจับมือกับ Google เอา Gemini ไปใส่ในมือถือ เมื่อ Microsoft เอา Copilot ที่มีสมอง ChatGPT ไปใส่ใน Windows

Apple ที่เคยเป็นผู้นำมาตลอด กำลังจะกลายเป็น “ผู้ตาม” ในสงครามที่สำคัญที่สุดในทศวรรษนี้

แน่นอนว่า Apple มีทีม AI ของตัวเอง พวกเขาเปิดตัว “Apple Intelligence” ที่พยายามยกระดับ AI ในระบบ แต่มันชัดเจนว่า… มันยังไม่ทันเกม

โดยเฉพาะ AI ที่ต้องประมวลผลเรื่องยากๆ บนคลาวด์ Apple ยังตามหลังคู่แข่งอยู่หลายก้าว

เมื่อคุณพัฒนาเองไม่ทัน แต่สงครามมันรอไม่ได้ คุณจะทำอย่างไร?

คำตอบก็คือ… ถ้าสร้างมันไม่ทัน ก็ต้อง “ซื้อ” มันมา

แต่มันมีปัญหาอยู่ว่า บริษัทที่มีเทคโนโลยี AI ที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้ ก็ดันเป็นบริษัทที่เป็น “ศัตรู” ตลอดกาลของ Apple

เรื่องนี้ นำมาสู่หนึ่งในดีลที่แปลกประหลาด และน่าสนใจที่สุดในประวัติศาสตร์วงการเทคโนโลยี

เมื่อยักษ์ใหญ่ที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีที่สุด ต้องยอมก้มหัวไปขอความช่วยเหลือจากคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันมาตลอด

แต่ก็ต้องบอกว่าเรื่องราวนี้มันซับซ้อนกว่าที่เราคิด

เมื่อบ้านของคุณกำลังไฟไหม้ คุณคงไม่สนว่ารถดับเพลิงที่มาช่วยนั้น เป็นของบริษัทอะไร

ตอนนี้ “บ้าน” ของ Apple กำลังถูกไฟ “AI” ลาม และบริษัทที่เป็นเจ้าของ “รถดับเพลิง” ที่ดีที่สุด ก็คือ Google

นี่ไม่ใช่แค่คู่แข่งธรรมดา แต่นี่คือ Google… เจ้าของ Android ระบบปฏิบัติการที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ iOS ของ Apple

ย้อนกลับไปในอดีต Steve Jobs เคยประกาศ “สงครามศักดิ์สิทธิ์” (Thermonuclear War) กับ Android เพราะเขามองว่า Google ลอกเลียนแบบ iPhone

ความขัดแย้งระหว่างสองยักษ์ใหญ่นี้ เป็นเหมือนมหากาพย์ที่ขับเคลื่อนวงการเทคโนโลยีมาตลอด

แต่ในวันนี้ Tim Cook ต้องทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป

มีรายงานจากแหล่งข่าววงในว่า Apple กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทำข้อตกลง ที่จะจ่ายเงินให้ Alphabet หรือบริษัทแม่ของ Google เป็นเงินราว 1 พันล้านดอลลาร์… ต่อปี

เงินหนึ่งพันล้านดอลลาร์ หรือประมาณสามหมื่นกว่าล้านบาทต่อปี ไม่ได้จ่ายเพื่อค่าโฆษณา แต่จ่ายเพื่อ “เช่าสมอง” ของ Google

Apple กำลังจะเอาโมเดล AI ที่ทรงพลังที่สุดของ Google ที่ชื่อว่า Gemini มาเป็นสมองให้กับ Siri เวอร์ชันใหม่

นี่ไม่ใช่ Gemini เวอร์ชันที่เราใช้กันทั่วไป แต่เป็นโมเดลที่ “custom” หรือปรับแต่งมาเป็นพิเศษสำหรับ Apple

สิ่งที่น่าตกใจคือ “ขนาด” ของมัน โมเดลนี้มีสิ่งที่เรียกว่า “พารามิเตอร์” สูงถึง 1.2 ล้านล้าน ตัว

เพื่อให้เห็นภาพว่ามันต่างจากเดิมแค่ไหน ถ้าเราอธิบายง่ายๆ “พารามิเตอร์” ก็เหมือน “จุดเชื่อมต่อ” ในสมองของ AI ยิ่งมีเยอะ ก็ยิ่งซับซ้อน ยิ่งฉลาด ยิ่งเข้าใจบริบทที่ยากๆ ได้ดี

โมเดล AI บนคลาวด์ที่ Apple ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีพารามิเตอร์ประมาณ 1.5 แสนล้าน ตัว จาก 1.5 แสนล้าน กระโดดไปเป็น 1.2 ล้านล้าน

นี่ไม่ใช่การอัปเกรดธรรมดา ๆ แต่นี่แทบไม่ต่างกับการ “เปลี่ยนสปีชีส์” มันคือการเอาสมองของอัจฉริยะ มาใส่แทนสมองของ Siri คนเดิม

ความจริง Apple ได้ทดสอบ AI จากทุกค่าย ทั้ง ChatGPT ของ OpenAI และ Claude ของ Anthropic แต่สุดท้าย Apple ก็ “ล็อคเป้า” ไปที่ Google

แสดงว่า Gemini 2.5 Pro ที่ Google เสนอให้ มันต้องดีที่สุดจริงๆ

แต่… ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด มันไม่ได้อยู่ที่ราคา 1 พันล้านดอลลาร์ คำถามที่ใหญ่กว่านั้นคือ… “แล้วความเป็นส่วนตัวล่ะ?”

นี่คือจุดยืนที่แข็งแกร่งที่สุดของ Apple

“What happens on your iPhone, stays on your iPhone” “สิ่งที่เกิดขึ้นใน iPhone ของคุณ จะอยู่ใน iPhone ของคุณตลอดไป”

Apple ขายเรื่องนี้มาตลอด โฆษณามาตลอดว่าข้อมูลของคุณเป็นของคุณ Apple ไม่ยุ่ง iPhone คือป้อมปราการที่ปลอดภัยที่สุด

ในขณะที่โมเดลธุรกิจของ Google คือการทำมาหากินกับ “ข้อมูล” และ “การโฆษณา” แล้วจู่ๆ Apple จะยอมให้ Siri ผู้ช่วยที่เข้าถึงทุกอย่างในชีวิตเรา ทั้งข้อความ รูปภาพ ปฏิทิน อีเมล ส่งข้อมูลคำสั่งเสียงของเราทั้งหมด ไปให้ “Google” ประมวลผล… อย่างนั้นหรือ?

ถ้าทำแบบนั้น นี่มันคือการ “ฆ่าตัวตาย” ทางการตลาดชัดๆ

แต่… นี่คือจุดที่ Apple แสดงความอัจฉริยะออกมา

Apple ไม่ได้โง่ พวกเขารู้อยู่แล้วว่าจุดยืนนี้สำคัญแค่ไหน ดีลนี้จึงมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนและฉลาดมากซ่อนอยู่

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Apple จะไม่ส่งข้อมูลของเราไปที่เซิร์ฟเวอร์ของ Google แต่ Apple จะเอาโมเดล Gemini ของ Google มาติดตั้งบน “เซิร์ฟเวอร์ของ Apple เอง”

ระบบนี้มีชื่อเรียกเท่ๆ ว่า “Private Cloud Compute” หรือ PCC

หลักการทำงานของมัน ถ้าให้เล่าง่ายๆ ก็คือ…

Apple สร้าง “ห้องนิรภัย” ของตัวเองขึ้นมา โดยใช้ฮาร์ดแวร์เซิร์ฟเวอร์ที่ Apple สร้างเอง จากนั้น Apple ก็เอา “สมอง” ของ Google หรือโมเดล Gemini 1.2 ล้านล้านตัว ไป “ขัง” ไว้ในห้องนิรภัยนี้

เมื่อเราสั่งงาน Siri ที่มันยากๆ เกินกว่าที่ AI ในเครื่อง iPhone จะรับไหว คำสั่งนั้นจะถูกส่งไปที่ “ห้องนิรภัย” PCC นี้ ข้อมูลของเราจะถูกเข้ารหัส โมเดล Gemini ก็จะประมวลผลคำสั่งนั้น ภายใน ห้องนิรภัยของ Apple

เมื่อได้คำตอบ มันก็จะส่งคำตอบกลับมาที่ iPhone ของเรา และที่สำคัญที่สุด… Google ไม่มีทางเห็นข้อมูลนี้ และแม้แต่ตัว Apple เองก็ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้

พูดง่ายๆ คือ Apple ไปยืมสมองของ Google มาใช้ แต่เอามาใส่ไว้ใน “ตู้เซฟ” ของตัวเองอีกทีหนึ่ง

นี่คือทางออกที่เรียกได้ว่า Win-Win Apple ได้ AI ที่ฉลาดที่สุดในโลกมาใช้ โดยที่ไม่ต้องยอมเสียจุดยืนเรื่องความเป็นส่วนตัวเลย

นี่คือการแก้ปัญหาที่ฉลาดหลักแหลมมาก

ความพยายามในการ “ผ่าตัดสมอง” Siri ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ภายใน Apple

โครงการนี้มีชื่อรหัสภายในว่า “Glenwood” ซึ่งคนที่คุมโปรเจกต์นี้คือเบอร์ใหญ่ระดับท็อปของบริษัท คนแรกคือ Mike Rockwell อัจฉริยะที่อยู่เบื้องหลังการสร้างแว่นตา Vision Pro และอีกคนคือ Craig Federighi หัวหน้าใหญ่ฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ที่เราเห็นหน้าบ่อยๆ นั่นเอง

การที่ Apple ต้องเอาผู้บริหารระดับนี้มาคุมโปรเจกต์ มันก็บอกได้ชัดเจนว่า… วิกฤตครั้งนี้มันหนักหนาจริง

ทีนี้… เรามาถึงคำถามสุดท้ายที่สำคัญที่สุด แล้วเรา… ในฐานะคนใช้… จะได้อะไรจากดีลนี้?

Siri ใหม่ (ที่มีชื่อรหัสว่า “Linwood”) ที่จะมาพร้อมกับ iOS 26.4 ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า มันจะเก่งขึ้นแค่ไหน?

สิ่งที่โมเดล Gemini 1.2 ล้านล้านพารามิเตอร์ จะเข้ามาทำ ไม่ใช่แค่การตอบคำถามทั่วไป แต่ Apple จะให้มันรับผิดชอบ 2 หน้าที่หลัก ที่สำคัญที่สุด

หน้าที่แรกคือ “Summarizer” หรือ “นักสรุป”

ลองจินตนาการว่า เราสามารถบอก Siri ได้ว่า “ช่วยสรุปอีเมลยาวๆ 10 ฉบับล่าสุดจากเจ้านายให้หน่อย” หรือ “สรุปบทความที่ฉันเปิดค้างไว้เมื่อคืนนี้ให้ฟังที” Siri จะสามารถอ่านและย่อยข้อมูลที่ซับซ้อน แล้วสรุปมาให้เราฟังได้เลย

และหน้าที่ที่สอง ซึ่งเป็น “Game-Changer” ที่แท้จริง คือหน้าที่ “Planner” หรือ “นักวางแผน”

Siri ในปัจจุบัน มันทำงานได้ทีละอย่าง (single-task) เช่น “ตั้งนาฬิกาปลุก” หรือ “ส่งข้อความหาแม่” แต่ Siri ใหม่ ที่มีสมองของ Gemini จะสามารถเข้าใจคำสั่งที่ “ซับซ้อน” และต้องทำ “หลายขั้นตอน” ได้

ตัวอย่างเช่น… เราอาจจะบอก Siri ได้ว่า…

“เฮ้ Siri, ช่วยหา 5 รูปที่ดีที่สุดจากทริปภูเก็ตเมื่อเดือนที่แล้ว แล้วส่งไปให้พ่อทาง iMessage พร้อมกับพิมพ์ข้อความว่า ‘คิดถึงนะครับ'”

ลองคิดดูว่าคำสั่งนี้ Siri ต้องทำอะไรบ้าง

มันต้องเข้าใจคำว่า “ทริปภูเก็ต” และ “เดือนที่แล้ว” มันต้องเข้าไปในแอป Photos มันต้องไป “วิเคราะห์” รูปทั้งหมดจากทริปนั้น แล้ว “คัดเลือก” รูปที่มันคิดว่า “ดีที่สุด” 5 รูป

มันต้องเปิดแอป iMessage มันต้องรู้ว่า “พ่อ” คือใครในคอนแทค มันต้องแนบรูป 5 รูปนั้น และมันต้องพิมพ์ข้อความ แล้วกดยืนยันเพื่อส่ง

นี่คือความสามารถระดับ “Planner” ที่ AI เดิมๆ ของ Apple ทำไม่ได้

และนี่คือสิ่งที่ Apple ยอมจ่ายปีละ 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้ได้มา นี่คือผู้ช่วย AI ที่เราฝันหามาตั้งแต่ปี 2011

เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ตลาดหุ้นก็ตอบรับในทันที

หุ้นของ Apple ขยับขึ้นไปที่ $271.70 ในขณะที่หุ้นของ Alphabet (Google) ก็พุ่งไปถึง $286.42 นักลงทุนเข้าใจดีว่า นี่ไม่ใช่การ “ยอมแพ้” ของ Apple แต่นี่คือการ “ซื้อเวลา” ที่ชาญฉลาด

และประเด็นสุดท้ายที่สำคัญที่สุด

Apple ไม่ได้วางแผนที่จะพึ่งพา Google ไปตลอดกาล พวกเขาเกลียดการพึ่งพาคนอื่นที่สุด แหล่งข่าวระบุชัดเจนว่า ดีลนี้เป็นเพียง “Interim Solution” หรือ “ทางออกชั่วคราว” เท่านั้น

ในขณะที่ Siri กำลังทำงานด้วยสมองของ Gemini ทีมวิศวกร AI ของ Apple เอง ก็กำลังซุ่มพัฒนาโมเดลของตัวเองอย่างหนัก

เป้าหมายของพวกเขาคือการสร้างโมเดล AI ระดับ 1 ล้านล้านพารามิเตอร์ ของตัวเองขึ้นมาให้ได้ เพื่อที่วันหนึ่ง จะสามารถไล่ตาม Gemini ได้ทัน และเมื่อถึงวันนั้น… Apple ก็จะ “ไล่” Google ออกไปจากระบบ

Apple ต้องการเป็นเจ้าของทุกอย่างใน Supply Chain ตั้งแต่ชิปประมวลผล Apple Silicon ระบบปฏิบัติการ iOS และสุดท้ายคือ “สมอง” AI

เรื่องนี้เราจะเห็นภาพชัดขึ้น เมื่อมองไปที่ตลาดใหญ่อย่าง “ประเทศจีน”

ในจีน Google ถูกแบน Apple ไม่สามารถใช้ Gemini ได้ ที่นั่น Apple จึงต้องใช้โมเดลของตัวเอง ร่วมกับฟิลเตอร์จาก Alibaba และกำลังเจรจากับ Baidu เพื่อมาช่วยเสริมทัพ

มันแสดงให้เห็นว่าสงคราม AI ในยุคนี้ มันซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับภูมิรัฐศาสตร์โลก

เรื่องราวของ Apple และ Google ในครั้งนี้ จึงเป็นบทเรียนทางธุรกิจที่คลาสสิกมาก

มันคือเรื่องราวของ “ความถ่อมตน” (Humility) การที่บริษัทยิ่งใหญ่ที่หยิ่งทะนงที่สุดในโลก ยอมรับความจริงว่าตัวเอง “ตามหลัง”

มันคือเรื่องราวของ “การปฏิบัติจริง” (Pragmatism) การยอมจับมือกับศัตรูตัวฉกาจ เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า คือการรักษาลูกค้าของตัวเองไว้

นวัตกรรม ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องสร้างเองทุกอย่างเสมอไป แต่มันคือการหาทางออกที่ “ฉลาดที่สุด” เพื่อไปต่อให้ได้

Apple อาจจะแพ้ใน “สมรภูมิ AI” รอบแรก แต่ด้วยเช็คมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ พวกเขาได้ซื้อตั๋วกลับเข้ามาสู่ “สงคราม” รอบต่อไปได้สำเร็จ

และสงครามครั้งนี้… มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

References : [bloomberg,theverge,reuters,ft,arstechnica]

การทรยศครั้งประวัติศาสตร์ จากพันธมิตรสู่ศัตรู เมื่อ Apple เลือก TSMC แทน Samsung

ในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2015 มีคนนับล้านกำลังแกะกล่อง iPhone 6S ใหม่เอี่ยม ภายนอกของมันคือความสมบูรณ์แบบของอะลูมิเนียมและกระจกที่ไร้รอยต่อ ซึ่งทุกเครื่องหน้าตาแทบจะเหมือนกันหมด

แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความงามนั้น คือการต่อสู้ระดับจุลภาคที่กำลังเกิดขึ้นอย่างดุเดือด

ในโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง สมองซิลิคอน หรือโปรเซสเซอร์ A9 ถูกสร้างขึ้นจากโรงงานในเกาหลีใต้ โดย Samsung คู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Apple

แต่อีกเครื่องหนึ่ง ที่หน้าตาเหมือนกันเป๊ะ สมองของมันกลับมาจากผู้ผลิตในไต้หวัน บริษัทที่ชื่อว่า TSMC

ผู้บริโภคอย่างเราไม่มีทางรู้เลย…

แต่การซื้อ iPhone ในปีนั้น ทำให้พวกเขาได้เข้าร่วม “การทดลอง” ครั้งสำคัญขององค์กรที่มีเดิมพันสูงลิบมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์โดยไม่รู้ตัว

มันคือการ “ประชัน” กันอย่างเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน เพื่อตอบคำถามเพียงข้อเดียว

ซัพพลายเออร์รายใดของ Apple ที่เหนือกว่ากันแน่?

การทดลองนี้จะมีผู้ชนะที่ชัดเจน และผู้แพ้… ที่หลังจากเป็นพันธมิตรที่ซับซ้อนกันมาหนึ่งทศวรรษ กำลังจะถูกหักหลังครั้งใหญ่

และเพื่อที่จะเข้าใจการหักหลังครั้งนี้ เราต้องย้อนกลับไปดูความสัมพันธ์ของพวกเขาก่อน

เป็นเวลาหลายปีที่ Apple และ Samsung เป็นสุดยอด “Frenemies” ของโลกเทคโนโลยี คำนี้แทบจะอธิบายความยิ่งใหญ่ของการพึ่งพาอาศัยกัน และความขัดแย้งของทั้งคู่ได้ไม่หมด

ลองนึกภาพตาม พวกเขากำลังทำสงครามกฎหมายกันทั่วโลก เรื่องการออกแบบสมาร์ทโฟน แต่ในขณะเดียวกัน เบื้องหลังพวกเขากลับเป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของกันและกัน

พันธมิตรนี้เริ่มต้นในปี 2005

ในตอนนั้น Apple ยังเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งฟื้นตัว และ Steve Jobs กำลังเตรียมผลิตภัณฑ์ที่จะเปลี่ยนโลก นั่นคือ iPod Nano และ iPhone ที่ยังเป็นความลับสุดยอด

อุปกรณ์เหล่านี้ไม่สามารถใช้ Hard drives ที่เทอะทะได้ พวกเขาต้องการ Flash memory หรือหน่วยความจำแฟลช จำนวนมหาศาล

ตลาดชิปเหล่านี้ขึ้นชื่อเรื่องความผันผวน แต่มีบริษัทหนึ่งที่เป็นยักษ์ใหญ่ นั่นคือ Samsung ซึ่งควบคุมอุปทานเกือบ 50% ของทั้งโลก

สำหรับ Apple อุปทานที่มั่นคงคือความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ มีรายงานว่า Steve Jobs กล่าวในตอนนั้นว่า “ใครก็ตามที่ควบคุม Flash จะควบคุมตลาดนี้”

ข้อตกลงจึงเกิดขึ้น ความร่วมมือนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากจนลึกซึ้งยิ่งขึ้น Samsung กลายเป็นผู้ผลิตแต่เพียงผู้เดียวสำหรับชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุด

นั่นคือ Application processor หรือสมองซิลิคอนที่ Apple ออกแบบเองสำหรับ iPhone และ iPad

นี่คือความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันอย่างแท้จริง

Apple ที่มี Tim Cook ปรมาจารย์ด้านซัพพลายเชน ต้องการพันธมิตรที่มีทั้งเงินทุนและความเชี่ยวชาญในการสร้างโรงงานผลิตชิป หรือที่เรียกว่า Fabs ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์และทักษะทางเทคนิคขั้นสูง

ในทางกลับกัน Samsung ก็ต้องการลูกค้ารายใหญ่ที่รับประกันยอดสั่งซื้อ เพื่อให้คุ้มค่ากับการลงทุนมหาศาล

ในปี 2012 เพียงปีเดียว Samsung ใช้เงินลงทุนสูงถึง 21,000 ล้านดอลลาร์ แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Intel ไปไกล

ยอดสั่งซื้อมหาศาลของ Apple ช่วยลดความเสี่ยงให้ Samsung ทำให้พวกเขากล้าสร้าง Fabs ที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก ด้วยความมั่นใจว่าสายการผลิตจะไม่ว่างงาน

แต่ความร่วมมือนี้มี “ข้อบกพร่องร้ายแรง” ซ่อนอยู่

Samsung ไม่ได้เป็นแค่ซัพพลายเออร์ แต่กำลังกลายเป็นคู่แข่งที่อันตรายที่สุดของ Apple อย่างรวดเร็ว

ในฐานะผู้ผลิตโปรเซสเซอร์ A-series แต่เพียงผู้เดียว Samsung มีข้อมูลเชิงลึกทั้งหมดของ Apple

พวกเขารู้แผนงานผลิตภัณฑ์ หรือ Product roadmap รู้การคาดการณ์ยอดขาย

พวกเขารู้แน่ชัดว่า Apple ต้องการชิปกี่ล้านชิ้น เทคโนโลยีใหม่อะไรกำลังจะมา และ Apple คิดว่าตลาดสมาร์ทโฟนจะใหญ่แค่ไหน

นักวิเคราะห์คนหนึ่งกล่าวว่า ตำแหน่งนี้ช่วยให้ Samsung “มองเห็นว่าทิศทางของอุตสาหกรรมมือถือกำลังจะไปทางไหน” ทำให้ได้เปรียบอย่างมหาศาลในการทุ่มเงินให้กับแผนกมือถือของตัวเอง

นี่ไม่ใช่แค่ความเสี่ยงทางทฤษฎี

หลังจากที่ Samsung ออกมาปฏิเสธความสำเร็จของ iPhone ในช่วงต้นปี 2010 โดยบอกว่ามันเป็นแค่ “ความตื่นเต้นของพวกคลั่งไคล้ Apple”

แต่ในทางลับ หัวหน้าฝ่ายมือถือของ Samsung กลับส่งอีเมลบอกพนักงานในทิศทางตรงกันข้าม “การเกิดขึ้นของ iPhone หมายความว่า ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนวิธีการของเราแล้ว”

ต่อมาในปีนั้น Samsung ก็ได้เปิดตัว Galaxy S

โทรศัพท์ Android รุ่นนี้ มีรูปลักษณ์และความรู้สึกที่คล้ายกับ iPhone มากเสียจนส่งคลื่นกระแทกไปถึง Cupertino

แน่นอนว่า Steve Jobs โกรธมาก

บริษัทที่เขากำลังจ่ายเงินหลายพันล้าน เพื่อผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุด กลับกำลังใช้ข้อมูลที่ได้จากความสัมพันธ์นั้น มา “โคลน” ผลิตภัณฑ์ที่ปฏิวัติวงการที่สุดของเขา

ปัญหานี้ยิ่งซับซ้อนขึ้นด้วยกลยุทธ์ของ Apple เอง ในปี 2010 Apple ได้เปิดตัวชิป A4 ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์ตัวแรกที่ออกแบบเองทั้งหมดภายในบริษัท

นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ โปรเซสเซอร์ไม่ใช่ชิ้นส่วนที่หาซื้อจากใครก็ได้อีกต่อไป มันคือ “สูตรลับ” ของ Apple เป็นทรัพย์สินทางปัญญาหลักที่ทำให้ iPhone มีประสิทธิภาพที่เป็นเอกลักษณ์

การมอบหมายการผลิตเทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์นี้ให้กับคู่แข่งโดยตรง จึงเป็นมากกว่าความเสี่ยงทางธุรกิจ มันคือ “ภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่”

โครงสร้างซัพพลายเชนของ Apple ไม่ใช่แค่ช่องโหว่ แต่มันกำลังติดอาวุธให้กับคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของตัวเอง

ในเดือนเมษายน 2011 สงครามเย็นก็ร้อนระอุ Apple ยื่นฟ้องคดีละเมิดสิทธิบัตรครั้งใหญ่ต่อ Samsung ในสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่ายักษ์ใหญ่เกาหลี “ลอกเลียนแบบ” การออกแบบและอินเทอร์เฟซของ iPhone

นี่คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระดับโลก มีคดีฟ้องร้องมากกว่า 50 คดีใน 10 ประเทศ

การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ในเดือนสิงหาคม 2012 คณะลูกขุนสหรัฐฯ สั่งให้ Samsung จ่ายค่าเสียหายให้ Apple กว่า 1,000 ล้านดอลลาร์

คดีความเหล่านี้ได้ตีแผ่ความย้อนแย้งที่ไม่อาจดำเนินต่อไปได้

Apple กำลังฟ้องร้องคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดของตนเป็นเงินหลายพันล้าน ในขณะเดียวกันก็ต้องเขียนเช็กจ่ายเงินให้พวกเขาอีกหลายพันล้าน เพื่อผลิตหัวใจของ iPhone

ภายใน Apple เอง การตัดสินใจฟ้องก็เป็นที่ถกเถียง มีรายงานว่า Tim Cook ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการทางกฎหมาย เพราะรู้ดีว่า Apple พึ่งพา Samsung มากแค่ไหน

แต่ความอดทนของ Steve Jobs หมดลงแล้ว สถานการณ์นี้ไม่สามารถไปต่อได้ Apple ต้องหาทางออก

พวกเขาต้องการพันธมิตรใหม่ ที่สามารถเทียบเคียงเทคโนโลยีและขนาดของ Samsung ได้ แต่ปราศจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่ร้ายแรง พวกเขาต้องการ “แผนการหลบหนี”

เพื่อทำความเข้าใจเส้นทางหลบหนีนี้ เราต้องเข้าใจภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรม Semiconductor กันก่อน

การผลิตชิปมี 2 โมเดลธุรกิจหลัก

หนึ่งคือ IDMs หรือ Integrated Device Manufacturers บริษัทอย่าง Intel และ Samsung คือพวกนี้ พวกเขาออกแบบชิปของตัวเอง และผลิตในโรงงาน Fabs ของตัวเอง ควบคุมทั้งกระบวนการ

สองคือ Pure Play Foundry หรือโรงหล่อชิปแบบรับจ้างผลิตอย่างเดียว ซึ่งบุกเบิกโดยบริษัทชื่อ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company หรือ TSMC

โรงหล่อชิปแบบ Pure Play ทำสิ่งเดียว คือผลิตชิปที่บริษัทอื่นออกแบบ พวกเขาคือผู้ผลิตตามสัญญา โมเดลธุรกิจทั้งหมดสร้างขึ้นบนความไว้วางใจและความเป็นกลาง

พวกเขาไม่ออกแบบผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่เคยแข่งขันกับลูกค้า

ความแตกต่างนี้สำคัญมาก สำหรับบริษัทอย่าง Apple ที่การออกแบบชิปกลายเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีค่าที่สุด โรงหล่อชิปแบบ Pure Play จึงเปรียบเสมือน “Safe Zone”

การเป็นพันธมิตรกับ TSMC จะเป็นแค่พันธมิตร ไม่ใช่ Frenemy ความเสี่ยงที่คู่แข่งจะล่วงรู้การออกแบบก็จะหายไป

มีเรื่องเล่าว่า Tim Cook เคยบอกกับ Morris Chang ผู้ก่อตั้ง TSMC เมื่อพูดถึงดีลกับ Intel ว่า “Intel แค่ไม่รู้วิธีที่จะเป็น Foundry” พวกเขาขาดวัฒนธรรมที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นหัวใจของ TSMC

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน มันเป็นกลยุทธ์ที่วางแผนมาหลายปี และไม่ได้เริ่มที่ A9 แต่เริ่มที่ชิป A8 ในปี 2014

สำหรับ iPhone 6 นั้น Apple ได้เดินเกมครั้งสำคัญเพื่อทำลายการผูกขาดของ Samsung โดยมอบคำสั่งซื้อโปรเซสเซอร์ A8 ส่วนใหญ่ให้กับ TSMC

นี่คือภารกิจครั้งใหญ่และเป็นความเสี่ยงที่คำนวณไว้แล้ว การย้ายการออกแบบชิปที่ซับซ้อนไปสู่ผู้ผลิตรายใหม่และกระบวนการผลิตใหม่ หรือ Process node ที่ 20nm ซึ่งล้ำสมัยในตอนนั้น เป็นเรื่องที่ยากและแพงมหาศาล

มันต้องใช้ความร่วมมือหลายปีและการลงทุนมหาศาลจากทั้งสองบริษัท มีรายงานว่า TSMC ต้องทุ่มเทโรงงานแห่งใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับปริมาณมหาศาลของ Apple

การเปิดตัว iPhone 6 จึงเปรียบเสมือนการทดสอบ Stress test ครั้งใหญ่ในโลกความจริง

Apple ต้องการรู้ว่า TSMC ไม่เพียงแค่มีเทคโนโลยี แต่ยังสามารถดำเนินการผลิตในระดับ Scale และ Speed ที่การเปิดตัว iPhone ต้องการได้หรือไม่

TSMC ผ่านการทดสอบอย่างฉลุย ชิป A8 ที่มีทรานซิสเตอร์ 2 พันล้านตัว ประสบความสำเร็จ

การเปิดตัว iPhone 6 พิสูจน์แล้วว่า TSMC เป็นทางเลือกที่เป็นไปได้แทน Samsung มันคือกระสุนเตือน การซ้อมใหญ่จบลงแล้ว

และเวทีก็พร้อมสำหรับการแสดงหลัก… การแข่งขันแบบตัวต่อตัว

ในเดือนกันยายน 2015 พร้อมกับการเปิดตัว iPhone 6S นั้น Apple ทำในสิ่งที่ไ่ม่เคยทำมาก่อน

พวกเขาสั่งชิป A9 โดยแบ่งครึ่งตรงกลาง หรือ Dual sourcing จากทั้ง Samsung และ TSMC

นี่ไม่ใช่แค่การประกันอุปทาน แต่มันคือการ “ประชัน” กันอย่างจงใจ ต่อหน้าสาธารณชน ระหว่างสองโรงหล่อชิปที่ล้ำที่สุดในโลก

การต่อสู้ครั้งนี้น่าสนใจมาก ชิป A9 ของ Samsung ถูกสร้างบนกระบวนการ 14nm FinFET ที่ใหม่เอี่ยมและเหนือกว่าในทางทฤษฎี

ส่วนของ TSMC ถูกสร้างบนกระบวนการ 16nm FinFET

เราต้องมาขยายความคำศัพท์เหล่านี้ Process node ที่วัดเป็นนาโนเมตร หรือ nm คือคำทางการตลาดที่บอกขนาดทรานซิสเตอร์ ยิ่งเลขน้อยอย่าง 14nm หมายความว่าอัดทรานซิสเตอร์ได้มากขึ้น ซึ่งควรจะแรงกว่าและประหยัดไฟกว่า

ส่วน FinFET คือสถาปัตยกรรมทรานซิสเตอร์ 3 มิติ ที่ปฏิวัติวงการ ช่วยควบคุมกระแสไฟและลดการรั่วไหลของพลังงานได้ดีกว่าแบบ 2 มิติเดิมๆ

ดังนั้น “บนหน้ากระดาษ” Samsung มีข้อได้เปรียบที่ชัดเจน 14nm ควรจะดีกว่า 16nm

แต่ความจริงไม่ได้ถูกค้นพบในห้องแล็บของ Apple มันถูกค้นพบบนอินเทอร์เน็ต

ไม่นานหลัง iPhone 6s เปิดตัว ผู้ใช้ในฟอรัมอย่าง Reddit และ MacRumors เริ่มสังเกตเห็นเรื่องแปลกๆ

พวกเขาใช้แอป Benchmark และพบว่า iPhone ที่หน้าตาเหมือนกัน กลับรายงานรหัสฮาร์ดแวร์ต่างกัน เผยให้เห็นการมีอยู่ของสองโปรเซสเซอร์

วงการเทคโนโลยีตื่นตัวทันที บริษัทชำแหละชิ้นส่วนอย่าง Chipworks ผ่าเครื่องและยืนยันการค้นพบนี้

ชิป A9 ของ Samsung มีขนาดเล็กกว่าของ TSMC จริงตามคาด คือ 96 ตารางมิลลิเมตร เทียบกับ 104.5 ตารางมิลลิเมตร

ขนาดที่เล็กกว่าคือข้อได้เปรียบในการผลิต เพราะหมายความว่าได้ชิปมากขึ้นจาก Silicon wafer แผ่นเดียว ซึ่งช่วยลดต้นทุน

แต่แล้ว… การทดสอบประสิทธิภาพก็มาถึง และผลลัพธ์ก็น่าตกตะลึง

ในการทดสอบ Benchmark ที่หลากหลาย รูปแบบที่ชัดเจนก็ปรากฏขึ้น

เมื่อต้องประมวลผล CPU หนักๆ ต่อเนื่อง iPhone ที่ใช้ชิปของ TSMC กลับมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ในการทดสอบบางรายการ ความแตกต่างนั้นน่าทึ่งมาก คือนานกว่าเครื่องที่ใช้ชิป Samsung ถึง 2 ชั่วโมง

การทดสอบเพิ่มเติมยังพบว่าชิป TSMC ทำงานได้เย็นกว่าภายใต้ภาระงาน ซึ่งบ่งชี้ถึงการจัดการความร้อนที่เหนือกว่า

ข้อได้เปรียบ “บนหน้ากระดาษ” พลิกกลับโดยสิ้นเชิงใน “โลกความจริง”

ชิป 16nm ของ TSMC ที่ควรจะด้อยกว่าและใหญ่กว่า กลับทำงานได้ดีกว่าชิป 14nm ที่เล็กกว่าและล้ำหน้ากว่าของ Samsung

ปรากฏการณ์ “Chipgate” จึงถือกำเนิดขึ้น

ผลลัพธ์นี้เผยความจริงที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการผลิตชิป ปรากฏว่า “ตัวเลขนาโนเมตร” เป็นเครื่องมือการตลาดมากกว่าตัววัดคุณภาพที่แม่นยำ

Samsung อาจจะ “รีบ” ไปสู่ 14nm แต่กระบวนการ 16nm ของ TSMC นั้น “มีประสิทธิภาพ” มากกว่า ได้รับการปรับจูนมาดีกว่า และ “รั่ว” น้อยกว่า

มันสูญเสียพลังงานไปเป็นความร้อนน้อยกว่า ส่งผลให้ชิปประหยัดพลังงานกว่า แม้ทรานซิสเตอร์จะใหญ่กว่าก็ตาม

Samsung ชนะการแข่งขันด้านการตลาด แต่ TSMC ชนะการวิ่งมาราธอนด้านวิศวกรรม

เมื่อเรื่อง Chipgate ระเบิดบนโลกออนไลน์ สร้างกระแสว่ามี “iPhone เครื่องดี” (TSMC) และ “iPhone เครื่องห่วย” (Samsung) Apple ก็ถูกบีบให้ต้องตอบสนอง

บริษัทออกแถลงการณ์อย่างระมัดระวัง โดยลดความสำคัญของการค้นพบนี้

Apple อ้างว่าการทดสอบสังเคราะห์ที่รันงานหนักต่อเนื่อง ไม่ได้สะท้อนการใช้งานจริง และข้อมูลภายในของบริษัทพบว่าแบตเตอรี่ต่างกันแค่ 2-3% เท่านั้น

แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว การรับรู้ของสาธารณะได้ถูกตัดสินไปแล้ว

และเบื้องหลัง… Apple ก็มีข้อมูลเชิงประจักษ์กองเท่าภูเขาที่ผ่านการตรวจสอบโดยสาธารณะแล้ว

การปล่อยสองเวอร์ชันออกสู่ตลาด Apple ได้ใช้ลูกค้าหลายล้านคนของตนเป็นทีมประกันคุณภาพ หรือ QA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เสียงโวยวายของสาธารณชน เป็นเพียงต้นทุนในการได้มาซึ่งข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า… ใครดีกว่ากันแน่

ข้อพิสูจน์นั้น ถูกนำไปใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท

ผลกระทบจาก Chipgate นั้นรวดเร็วและเด็ดขาด

ในเดือนกันยายน 2016 เมื่อ Apple เปิดตัว iPhone 7 โปรเซสเซอร์ภายใน A10 Fusion มีผู้ผลิตเพียงรายเดียว

Apple “ตัด” Samsung ออกจากเกมโดยสิ้นเชิง และมอบสัญญาสั่งผลิต 100% ให้กับ TSMC

การตัดสินใจแบบ “ผู้ชนะกินรวบ” นี้ ไม่ได้มาจากแค่ข้อมูลประสิทธิภาพของ A9 เท่านั้น TSMC ยังมีไพ่ตายอีกใบ เป็นหมัดน็อกทางเทคโนโลยีที่ Samsung ไม่มีทางสู้ได้

นั่นคือเทคโนโลยีการบรรจุ หรือ Packaging แบบใหม่ที่ปฏิวัติวงการชื่อว่า INFO หรือ Integrated Fan-Out

ตามปกติ โปรเซสเซอร์จะถูกติดตั้งบนแผ่นวงจรย่อย หรือ Substrate ก่อนจะวางบนแผงวงจรหลัก เทคโนโลยี INFO นี้กำจัดแผ่น Substrate นั้นทิ้งไป ทำให้สามารถเชื่อมต่อชิปได้โดยตรง

สิ่งนี้ทำให้ TSMC สามารถซ้อนโปรเซสเซอร์ A10 และ DRAM หรือหน่วยความจำ เข้าด้วยกันในแพ็กเกจเดียวที่บางกว่ามาก

ผลลัพธ์คือ ความหนาลดลง 20% ความเร็วเพิ่มขึ้น 20% และระบายความร้อนดีขึ้น 10%

สำหรับ Apple ที่หมกมุ่นกับการทำให้ iPhone บางลงและแรงขึ้น INFO คือตัวเปลี่ยนเกม

Samsung ไม่มีเทคโนโลยีที่เทียบเคียงได้ซึ่งพร้อมสำหรับการผลิตจำนวนมากในตอนนั้น

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม Semiconductor นั้นสั่นสะเทือน

สำหรับ TSMC การได้ผลิตชิป A10 ทั้งหมด และสัญญาผู้ผลิตแต่เพียงผู้เดียวสำหรับ A11, A12 และรุ่นต่อๆ มา คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ ตอกย้ำสถานะผู้นำที่ไม่มีใครโต้แย้งได้

ตัวเลขเป็นเครื่องยืนยันเรื่องราว ในไตรมาสที่สี่ของปี 2024 ส่วนแบ่งตลาดโรงหล่อชิปทั่วโลกของ TSMC พุ่งไปถึง 67.1%

ในขณะที่ส่วนแบ่งของ Samsung ลดลงเหลือเพียง 8.1% และในไตรมาสแรกของปี 2025 ช่องว่างก็ยิ่งถ่างออกเป็น 67.6% ต่อ 7.7%

ธุรกิจของ Apple กลายเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนความยิ่งใหญ่ของ TSMC ให้เงินทุนมหาศาลสำหรับ R&D เพื่อก้าวล้ำนำหน้าอยู่เสมอ

สำหรับ Samsung การสูญเสียครั้งนี้คือหายนะต่อความทะเยอทะยานในธุรกิจโรงหล่อชิป

ไม่เพียงแต่เสียลูกค้ารายใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดไป แต่ยังพ่ายแพ้ในด้านเทคโนโลยีอย่างโจ่งแจ้ง

ผลกระทบครั้งนั้นบีบให้ Samsung ต้องรื้อกลยุทธ์ใหม่ ถึงขั้นพิจารณาแยกธุรกิจ Foundry ออกมาเป็นบริษัทใหม่ เพื่อสร้างความไว้วางใจกลับคืนมา

ราชาองค์ใหม่แห่งวงการโรงหล่อชิป… ได้รับการสวมมงกุฎแล้ว…

และพิธีราชาภิเษกครั้งนี้… ก็ได้รับการสนับสนุนทางการเงินโดยตรงจาก Apple นั่นเองครับผม

References : [anandtech, macrumors, arstechnica, bloomberg, techinsights]

วิกฤต Samsung? โดนบีบ 2 ทาง! เมื่อ Apple ยึดตลาดบน ส่วนแบรนด์จีนรุมกินโต๊ะล่าง

ทุกวันนี้ หากเราลองเปิดดูข่าวเทคโนโลยี เราอาจจะเห็นการวิพากษ์วิจารณ์ Apple หนาหู บ้างก็ว่า Apple กลายเป็นบริษัทที่ไร้นวัตกรรม บ้างก็ว่า Apple Intelligent ที่เพิ่งเปิดตัวมาก็ดูยังไม่สมบูรณ์ หรือ AI ของ Apple นั้น ยังตามหลังคู่แข่งอยู่หลายก้าว

แต่เมื่อหันไปมองตัวเลขยอดขาย iPhone กลับพบความจริงที่น่าประหลาดใจ ยอดขายไม่เพียงไม่ลดลง แต่กลับพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง นี่คือปรากฏการณ์ที่น่าทึ่งซึ่งน้อยบริษัทจะทำได้

แม้ว่าตัวผลิตภัณฑ์ในวันนี้อาจจะยังสู้คู่แข่งในบางจุดไม่ได้ แต่สิ่งที่เรียกว่า Ecosystem หรือระบบนิเวศของ Apple นั้น แข็งแกร่งจนไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้

ดูเหมือนว่ากลยุทธ์ของ Tim Cook ที่พยายามสร้างทุกอย่างแบบ “ปิด” กำลังส่งผลให้ลูกค้าที่หลงเข้ามาแล้ว ย้ายออกไปใช้แบรนด์อื่นได้ยากอย่างยิ่ง

ในทางกลับกัน เรื่องที่เราจะคุยกันในวันนี้ กลับเป็นแบรนด์คู่แข่งตลอดกาลอย่าง Samsung ที่ดูเหมือนกำลังเผชิญมรสุมจากทุกทิศทาง

แม้ว่าผลิตภัณฑ์ของ Samsung จะเต็มไปด้วยสเปคที่ยอดเยี่ยม AI ก็ดูล้ำหน้า กล้องก็ดูเหมือนจะดีกว่า แต่สถานการณ์ในปัจจุบัน กลับกลายเป็นว่า Samsung เริ่มสูญเสียการทรงตัว

เกิดอะไรขึ้นกับอดีตแชมป์อย่าง Samsung? กลยุทธ์ที่เคยส่งให้พวกเขาขึ้นสู่จุดสูงสุด กำลังย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองอยู่หรือเปล่า และในสงครามครั้งใหม่นี้ พวกเขาจะกลับมาทวงบัลลังก์ได้หรือไม่

เรื่องราวทั้งหมดนี้ ต้องย้อนกลับไปในปี 2007 ปีแห่งการปฏิวัติวงการโทรศัพท์มือถืออย่างแท้จริง เมื่อ Steve Jobs เปิดตัว iPhone เครื่องแรก อุตสาหกรรมทั้งใบก็สั่นสะเทือน

ทุกค่ายต่างตื่นตระหนก เหมือนถูกบังคับให้ลงสนามแข่งขันที่ตนไม่คุ้นเคย ในขณะที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Nokia หรือ BlackBerry ที่เคยครองตลาด กลับปรับตัวไม่ทัน และค่อยๆ ก้าวเข้าสู่ยุคเสื่อมถอย

แต่ Samsung เลือกเดินในเส้นทางที่แตกต่างออกไป พวกเขาไม่รีบร้อนปล่อยผลิตภัณฑ์ออกมาสู้แบบลวกๆ Samsung เลือกที่จะเฝ้าดู ศึกษา และเรียนรู้

พวกเขามองเห็นเกมที่ใหญ่กว่านั้น พวกเขารู้ว่าสงครามนี้ ไม่ได้วัดกันที่ฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียว แต่มันคือสงครามของสิ่งที่เรียกว่า Ecosystem

Samsung ตัดสินใจเดิมพันครั้งใหญ่กับ Android ระบบปฏิบัติการแบบเปิดของ Google ซึ่งในเวลานั้น ยังถือเป็นม้านอกสายตา

นี่คือการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของบริษัทไปตลอดกาล เพราะในขณะที่ค่ายอื่นพยายามสร้างระบบของตัวเองขึ้นมาแข่งกับ iOS ของ Apple แต่ก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ

Samsung กลับใช้ประโยชน์จากความ “เปิดกว้าง” และฐานนักพัฒนาขนาดใหญ่ของ Android มาเป็นอาวุธสำคัญ ประกอบกับความแข็งแกร่งดั้งเดิมที่พวกเขามีอยู่แล้ว นั่นคือการเป็น “เจ้าแห่งเทคโนโลยีการผลิต”

Samsung คือผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่ที่สุดของโลก พวกเขาสามารถผลิตหน้าจอ หน่วยความจำ ชิปเซต ได้ด้วยตัวเอง ทำให้สามารถควบคุมทั้งต้นทุนและคุณภาพได้อย่างสมบูรณ์

โดยเฉพาะเทคโนโลยีหน้าจอ AMOLED ที่ให้สีสันสดใสและสวยงามกว่าคู่แข่งทุกรายในตลาด เมื่ออาวุธครบมือ ในปี 2010 “iPhone Killer” ตัวจริงก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

นั่นคือ Samsung Galaxy S รุ่นแรก สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมทุกสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ สเปคที่จัดเต็ม หน้าจอที่สวยที่สุด และระบบ Android ที่ปรับแต่งมาอย่างดี

Galaxy S กลายเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับ iPhone ได้ในทันที แต่ Samsung ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น

พวกเขาใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า “หว่านแห” ด้วยการออกสมาร์ทโฟนหลากหลายรุ่นในทุกระดับราคา ตั้งแต่รุ่นเรือธงอย่าง Galaxy S และ Galaxy Note ที่มาพร้อมปากกา S Pen ไปจนถึงรุ่นระดับกลางและล่างอย่าง Galaxy A, Galaxy J และอีกนับไม่ถ้วน

กลยุทธ์นี้ได้ผลอย่างงดงาม โดยเฉพาะในตลาดโลกและประเทศกำลังพัฒนา ที่ผู้คนมีกำลังซื้อแตกต่างกัน

Samsung มีโทรศัพท์สำหรับทุกคน ทุกกลุ่มเป้าหมาย และแล้ว ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็มาถึง ราวปี 2013 Samsung สามารถโค่น Apple ลงจากบัลลังก์

ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับ 1 ของโลกได้อย่างสมศักดิ์ศรี พวกเขามียอดขายถล่มทลาย ครองส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกสูงสุดถึง 33% ในปี 2014

ในขณะที่ Apple ยังเป็นเจ้าตลาดในสหรัฐอเมริกา แต่ในภาพรวมของทั้งโลก Samsung คือราชาแห่งวงการสมาร์ทโฟนในยุคนั้นอย่างไม่มีข้อกังขา

แต่ใครจะรู้ว่า บนจุดสูงสุดนั้น คือจุดเริ่มต้นของความท้าทายครั้งใหม่ที่กำลังรออยู่

ในขณะที่ Samsung กำลังเฉลิมฉลองความสำเร็จ คู่แข่งกลุ่มใหม่กำลังซุ่มพัฒนาฝีมืออย่างเงียบๆ ในอีกฟากหนึ่งของโลก

แบรนด์จากประเทศจีนอย่าง Huawei, Xiaomi, OPPO และ Vivo ได้ก้าวเข้ามาในตลาด พร้อมสมาร์ทโฟนสเปคดี ในราคาที่เข้าถึงง่ายจนน่าตกใจ

พวกเขาไม่ได้ทำแค่ “ของถูก” แต่เป็นการตั้งราคาถูกอย่างมีกลยุทธ์

Huawei ทุ่มงบมหาศาลไปกับการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะเทคโนโลยีกล้องที่ร่วมมือกับ Leica จนสร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก

ขณะที่ Xiaomi ใช้กลยุทธ์สเปคชนเรือธง ในราคาที่ถูกกว่าเกือบครึ่ง ช่องว่างระหว่างสมาร์ทโฟนพรีเมียมและระดับกลาง เริ่มลดน้อยลง

ผู้บริโภคเริ่มตั้งคำถาม ว่าทำไมต้องจ่ายแพงกว่าเป็นหมื่น เพื่อฟีเจอร์ที่ดีกว่าเพียงนิดเดียว และนี่คือปัญหาใหญ่ที่กระทบ Samsung โดยตรง

โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ อย่างอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เคยเป็นฐานที่มั่นสำคัญ Samsung เริ่มสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้แบรนด์จีนอย่างต่อเนื่อง

จนในปี 2017 Xiaomi ก็สามารถแซงหน้า Samsung ขึ้นเป็นผู้นำตลาดในอินเดียได้สำเร็จ แต่ปัญหาของ Samsung ไม่ได้มาจากคู่แข่งภายนอกเท่านั้น

กลยุทธ์ “หว่านแห” ที่เคยเป็นจุดแข็ง ก็เริ่มย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง การมีสมาร์ทโฟนหลายสิบรุ่นในตลาด ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Product Cannibalization

หรือการที่สินค้าแบรนด์เดียวกัน แย่งส่วนแบ่งการตลาดกันเอง ผู้บริโภคเริ่มสับสน Galaxy A55, M35, F15 มันต่างกันอย่างไร รุ่นไหนดีกว่ากันแน่

ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือความสับสนที่หลายคนเคยเจอ เมื่อไปยืนดูมือถือ Samsung ที่มีสเปคหลากหลายเต็มไปหมด ถ้าไม่นับเรือธงอย่าง Galaxy S รุ่นล่างลงมาแทบจะแยกไม่ออกว่าเจาะตลาดไหน

ความหลากหลายที่มากเกินไป กลับสร้างความสับสน และทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ในภาพรวม ดูไม่พรีเมียมเท่าที่ควร

ในทางกลับกัน Apple ใช้กลยุทธ์ที่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง พวกเขามีสินค้าไม่กี่ชิ้นในแต่ละปี แต่ทุกชิ้นชัดเจน iPhone, iPhone Plus, iPhone Pro, iPhone Pro Max มันง่ายต่อการเลือกและตัดสินใจ

แต่ที่สำคัญกว่านั้น Apple ไม่ได้ขายแค่โทรศัพท์ พวกเขาขาย “ประสบการณ์” พวกเขาสร้างป้อมปราการที่เรียกว่า Ecosystem ขึ้นมาได้อย่างเหนียวแน่น

ไม่ว่าจะเป็น App Store, iCloud, Apple Music, iMessage หรืออุปกรณ์เสริมอย่าง AirPods, Apple Watch, MacBook ทุกอย่างเชื่อมต่อและทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ

มันสร้างประสบการณ์ที่สะดวกสบายและน่าพึงพอใจ จนลูกค้าที่หลงเข้ามาแล้ว ยากที่จะย้ายออกไปได้ ในขณะที่ Samsung มีเพียง “ผลิตภัณฑ์” แต่ Apple มี “จักรวาลของตัวเอง” นี่คือความแตกต่างที่สำคัญอย่างยิ่ง

และแล้ว พายุก็เริ่มก่อตัวรุนแรงขึ้น ในช่วงปี 2022-2023 ตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกที่เคยเติบโตอย่างร้อนแรง ก็เริ่มเข้าสู่สภาวะอิ่มตัวและชะลอตัว

นี่เป็นข่าวร้ายสำหรับทุกค่าย แต่ดูเหมือน Samsung ซึ่งติดอยู่ตรงกลางระหว่างสงครามนี้ จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด

จนในที่สุด ปลายปี 2022 Apple ก็สามารถกลับมาทวงบัลลังก์เบอร์ 1 ของโลกคืนได้สำเร็จ Samsung หล่นมาเป็นอันดับ 2 เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

สถานการณ์ของ Samsung ในวันนี้ เปรียบเสมือนการถูกบีบจากทั้งสองด้าน ในตลาดบน ต้องต่อสู้กับ Apple ที่มีแบรนด์และ Ecosystem ที่แข็งแกร่งกว่า

ส่วนในตลาดล่างและตลาดกลาง ก็ต้องเจอกับแบรนด์จีนที่ดาหน้าเข้ามาด้วยราคาและสเปคที่คุ้มค่ากว่า

นอกจากนี้ ยังมีอีกปัจจัยเงียบที่เข้ามาเปลี่ยนเกม นั่นคือการเติบโตของ “ตลาดสมาร์ทโฟนมือสอง” ผู้คนเริ่มฉลาดในการใช้เงินมากขึ้น

พวกเขาเห็นว่าการซื้อ iPhone หรือ Samsung รุ่นเรือธง ที่ตกรุ่นไปปีหรือสองปี ในราคาที่ถูกกว่าครึ่ง ก็ยังได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีเยี่ยมไม่แพ้กัน

ตลาดนี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และกัดกินส่วนแบ่งการตลาดมือหนึ่งไปเรื่อยๆ คำถามคือ แล้ว Samsung จะทำอย่างไรต่อไป

นี่คือคำถามมูลค่าหลายล้านล้านบาท สิ่งแรกที่หลายฝ่ายมองว่า Samsung ต้องทำ คือ “หยุดแข่งขันกับตัวเอง”

พวกเขาจำเป็นต้องจัดทัพผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ชัดเจน ลดจำนวนรุ่นที่ทับซ้อนกัน สร้างความแตกต่างที่ชัดเจนให้สมาร์ทโฟนแต่ละซีรีส์ เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคสับสนอีกต่อไป

ลำดับต่อมา คือการสร้าง “นวัตกรรมที่จับต้องได้” แม้ Samsung จะเป็นผู้นำในตลาดมือถือจอพับ อย่าง Galaxy Z Fold และ Z Flip แต่ตลาดนี้ก็ยังถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม

พวกเขาจำเป็นต้องผลักดันนวัตกรรมนี้ให้กลายเป็นกระแสหลัก หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่น่าตื่นเต้นพอ จนผู้ใช้รู้สึกว่าขาดมันไปไม่ได้

และหัวใจที่สำคัญที่สุด คือการสร้าง “Ecosystem ที่แข็งแกร่งของตัวเอง” ให้ได้ Samsung อยู่ในจุดที่ได้เปรียบ เพราะพวกเขามีผลิตภัณฑ์หลากหลาย

ตั้งแต่ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หูฟัง ไปจนถึง Smart Watch หากพวกเขาสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้ เชื่อมต่อและทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง SmartThings ให้มันใช้ง่ายและเสถียรเหมือนที่ Apple ทำได้

มันก็จะกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลัง ในการดึงดูดและรักษาลูกค้าไว้กับแบรนด์

สงครามสมาร์ทโฟนในยุคต่อไป จะไม่ใช่แค่การแข่งขันที่สเปคหรือราคาอีกต่อไป แต่มันคือการแข่งขันกันที่ “การรักษาลูกค้า” หรือ Customer Retention

ใครที่สามารถสร้างความผูกพัน และทำให้ลูกค้าอยู่กับตัวเองได้นานที่สุด คนนั้นคือผู้ชนะตัวจริง

เรื่องราวของ Samsung มันแสดงให้เห็นว่า การเป็นผู้นำ ไม่ได้การันตีความสำเร็จตลอดไป

โดยเฉพาะในโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คู่แข่งหน้าใหม่เกิดขึ้นได้ทุกวัน และผู้ที่ไม่ปรับตัว สุดท้ายก็อาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

คำถามสุดท้ายคือ คุณคิดว่า Samsung จะสามารถปรับกลยุทธ์ และกลับมาทวงบัลลังก์คืนได้หรือไม่ หรือนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่ Apple และแบรนด์จากจีน จะขึ้นมาครองความเป็นใหญ่ในวงการนี้อย่างถาวร

References : [counterpointresearch, statcounter, investors, androidauthority, reuters]

เมื่อ “นักการเงิน” คุม “นักนวัตกรรม” บทเรียนเลือด Commodore จากราชา PC สู่ตำนานที่ล้มละลาย

ถ้าถามว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ PC รุ่นไหน ที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์โลก หลายคนคงนึกถึงเครื่อง Mac หรือ PC สักรุ่นจากค่ายยักษ์ใหญ่

แต่คำตอบที่แท้จริงคือเครื่องที่ชื่อว่า Commodore 64

เครื่องคอมพิวเตอร์บ้านจากยุค 80 เครื่องนี้ ขายไปได้มากกว่า 15 ล้านเครื่อง เป็นสถิติที่ Guinness Book of World Records ต้องจดบันทึกไว้ และยังไม่มีใครทำลายได้

ในยุครุ่งเรือง Commodore คือบริษัทคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Apple และ IBM แบบไม่เห็นฝุ่น พวกเขาคือราชา คือยักษ์ใหญ่ที่ดูเหมือนจะไม่มีใครล้มได้

แต่เรื่องที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นคือ… ภายในเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษ จากจุดสูงสุดนั้น บริษัทที่เกือบจะครองโลกได้ กลับล้มละลาย หายไปจากประวัติศาสตร์

มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมบริษัทที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถึงจบลงแบบนี้?

เรื่องราวทั้งหมดนี้ ต้องเริ่มจากชายคนหนึ่งชื่อ Jack Tramiel

Jack ไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ เขาเป็นผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกันในสงครามโลกครั้งที่สอง และมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอเมริกาด้วยการ… ซ่อมเครื่องพิมพ์ดีด

ใช่… เครื่องพิมพ์ดีด จากธุรกิจซ่อมแซมเล็กๆ เขาก็ค่อยๆ ขยับขยายไปสู่การนำเข้าและจำหน่ายเครื่องพิมพ์ดีด และอุปกรณ์สำนักงานอื่นๆ

จนกระทั่งในยุค 70 เขาได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจที่กำลังบูมสุดขีด นั่นคือ “เครื่องคิดเลข”

Commodore กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดเครื่องคิดเลข แต่พวกเขาก็เจอกับจุดเปลี่ยนสำคัญครั้งแรก ที่เกือบทำให้บริษัทต้องเจ๊ง

ในตอนนั้น Commodore ไม่ได้ผลิตชิปเอง พวกเขาซื้อชิปหลักจากบริษัทในเท็กซัสที่ชื่อว่า Texas Instruments หรือ TI

แล้ววันหนึ่ง TI ก็ตัดสินใจว่า “ทำไมเราต้องขายชิปให้คนอื่น? เราทำเครื่องคิดเลขขายเองเลยดีกว่า”

สิ่งที่ TI ทำต่อจากนั้น ถือว่า “โหด” มากในโลกธุรกิจ TI ผลิตเครื่องคิดเลขของตัวเองออกมาขาย ในราคาที่ “เท่ากับ” ราคาชิปที่พวกเขาขายให้บริษัทอื่น

ลองนึกภาพตาม… ถ้าเราเป็น Commodore ต้นทุนชิปของเรา ก็คือราคาขายของคู่แข่งไปแล้ว แล้วเราจะเหลือกำไรอะไร?

นี่คือการบีบให้คู่แข่งตายทั้งเป็น บริษัทเครื่องคิดเลขหลายแห่งต้องล้มหายตายจากไปในตอนนั้นเลย

Commodore เกือบจะเจ๊งไปด้วย… แต่ Jack Tramiel ไม่ยอมแพ้

เขารู้แล้วว่า บทเรียนที่เจ็บปวดที่สุดคือ… “ห้ามพึ่งพาซัพพลายเออร์ที่อาจจะเป็นคู่แข่งของคุณ” และที่สำคัญกว่านั้นคือ “คุณต้องควบคุมเทคโนโลยีหลักด้วยตัวเอง”

บทเรียนนี้กำลังจะเปลี่ยนโชคชะตาของ Commodore ไปตลอดกาล

Jack Tramiel เริ่มมองหาบริษัทชิปทันที เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพึ่งพา TI อีกต่อไป และเขาก็ไปเจอเพชรในตม บริษัทนั้นชื่อ MOS Technology

MOS เป็นบริษัทเล็กๆ ที่กำลังมีปัญหาการเงิน แต่พวกเขามีของดีซ่อนอยู่ นั่นคือชิปที่ชื่อว่า 6502 microprocessor

ถ้าชื่อนี้ไม่คุ้น 6502 ก็คือ “สมอง” อัจฉริยะ ที่ขับเคลื่อนเครื่องในตำนานอย่าง Apple II, เครื่องเกม Atari และแม้แต่เครื่อง Nintendo Famicom ในยุคต่อมา

Jack Tramiel ไม่รอช้า เขาตัดสินใจ “ซื้อ” บริษัท MOS Technology ทั้งหมด ทีนี้ Commodore กลายเป็นเจ้าของเทคโนโลยีชิป 6502 เรียบร้อย และวิศวกรที่ออกแบบชิป 6502 ที่ชื่อ Chuck Pedal ก็เดินมาบอก Jack Tramiel

“เจ้านายครับ… ยุคเครื่องคิดเลขมันจบแล้ว อนาคตคือคอมพิวเตอร์ต่างหาก” ซึ่งในตอนแรก พวกเขาก็คิดจะซื้อคอมพิวเตอร์จากคนอื่นมาขาย

มีเรื่องเล่ากันว่า ในปี 1976 สองหนุ่มที่ชื่อ Steve Jobs กับ Steve Wozniak ได้เอาเครื่องต้นแบบ Apple II มาเสนอขายให้ Commodore

แต่ Jack Tramiel หลังจากพิจารณาแล้วก็บอกว่า “แพงเกินไป!”

เขาหันไปหาทีมของ Chuck Pedal และบอกว่า “เรามีชิป 6502 อยู่ในมือ… เราสร้างเองเลยดีกว่า”

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของพวกเขา… The Commodore PET ซึ่งรุ่น PET นี้อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบนัก โดยเฉพาะคีย์บอร์ดที่เล็กเหมือนเครื่องคิดเลข

แต่ทีมงานก็ติดต่อ Bill Gates เพื่อขอซื้อภาษา Microsoft BASIC มาใส่ในเครื่อง

Bill Gates เสนอค่าลิขสิทธิ์ 1 ดอลลาร์ต่อเครื่องที่ขายได้ แต่ Jack Tramiel ต่อรองจนจ่ายเงินก้อนเดียว 50,000 ดอลลาร์ และจบ… ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ Bill Gates คงเสียดายไปอีกนาน

PET ประสบความสำเร็จอย่างดีในตลาดการศึกษา ด้วยแคมเปญการตลาดที่ชาญฉลาด คือ “ซื้อ 2 แถม 1” ให้โรงเรียน Commodore ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว

Jack Tramiel ไม่ได้มองตลาดเหมือนคนอื่น เขาไม่ได้จะขายคอมพิวเตอร์ให้วิศวกร หรือนักธุรกิจที่ร่ำรวย

แต่วิสัยทัศน์ของเขาคือ “Computers for the masses” หรือ “คอมพิวเตอร์สำหรับมวลชน”

เขาต้องการสร้างคอมพิวเตอร์ที่ “คนธรรมดา” ซื้อได้, ลูกๆ ใช้เล่นเกมได้, และต้องวางขายใน “ร้านขายของเล่น” ไม่ใช่แค่ร้านอิเล็กทรอนิกส์แพงๆ

ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริงเครื่องแรกคือ Commodore VIC-20 ในปี 1980 VIC-20 คือตัวเปลี่ยนเกม… มันมี “สี” ในขณะที่คู่แข่งหลายเจ้ายังเป็นจอขาว-ดำ

มันต่อเข้ากับทีวีที่บ้านได้เลย และที่สำคัญคือ “ราคา” มันเปิดตัวในราคาแค่ 299 ดอลลาร์ ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Atari 400 ราคา 399 หรือ TRS-80 ราคา 499

ผลลัพธ์คืออะไร? VIC-20 กลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่ขายได้ “เกิน 1 ล้านเครื่อง”

มันคือความสำเร็จมหาศาล… แต่นี่เป็นแค่การอุ่นเครื่อง

Jack Tramiel รู้สึกว่ายังไปได้อีก… เขาสั่งทีมงานให้สร้างเครื่องรุ่นต่อไป โจทย์ของเขาคือ “เครื่องนี้ต้องมี RAM 64 กิโลไบต์”

ตอนนั้นทีมงานคงคิดว่า Jack บ้าไปแล้ว… เพราะ RAM ขนาด 64KB แพงมหาศาล แค่ค่า RAM อย่างเดียวก็อาจจะปาไป 100 ดอลลาร์แล้ว

แต่ Jack Tramiel เดิมพัน… เขาเดิมพันว่า เมื่อถึงเวลาที่เครื่องนี้เข้าสู่สายการผลิตเต็มรูปแบบ ราคาชิป RAM จะต้อง “ลดลง” อย่างฮวบฮาบ

และเขาคิดถูก…

ในปี 1982 โลกก็ได้รู้จักกับ… Commodore 64 หรือ C64

C64 คือ “อสูรกาย” ในยุคของมัน มันมีชิปเสียงที่ล้ำหน้าที่สุด ที่เรียกว่าชิป SID ทำให้เสียงเกมบน C64 มันเพราะกว่าเครื่องอื่นแบบเทียบไม่ติด มันมีกราฟิกสีที่สวยงาม และมันมี RAM 64KB ตามที่ Jack ต้องการ

Commodore เปิดตัว C64 ที่ราคา 595 ดอลลาร์ แต่พวกเขาก็ใช้กลยุทธ์ “การตั้งราคาเชิงรุก” ที่ Jack ถนัด พวกเขาหั่นราคาลงมาเรื่อยๆ จนเหลือแค่ประมาณ 300 ดอลลาร์

ทีนี้แหละ… “สงคราม” ที่แท้จริงก็บังเกิด

C64 ไม่ได้แค่ฆ่าคู่แข่งในตลาดคอมพิวเตอร์… แต่มัน “ฆ่า” ตลาดวิดีโอเกมคอนโซลด้วย นี่คือสิ่งที่หลายคนเรียกว่า The Video Game Crash of 1983

ทำไมผู้ปกครองจะต้องซื้อเครื่องเกม Atari ที่เล่นได้แต่เกม?

ในเมื่อพวกเขาสามารถซื้อ Commodore 64 ที่เป็น “คอมพิวเตอร์” จริงๆ ทำงานได้, ลูกใช้เรียนเขียนโปรแกรมได้, และ “เล่นเกม” ได้เหมือนกัน แถมภาพสวยกว่า… ในราคาที่ใกล้เคียงกัน

ตลาดเกมคอนโซลในอเมริกาพังพินาศ Atari เกือบล้มละลาย

และที่สะใจ Jack Tramiel ที่สุด…

Texas Instruments ที่เคยเกือบฆ่าเขาในตลาดเครื่องคิดเลข

ก็พยายามลงมาเล่นในตลาดคอมพิวเตอร์บ้านเหมือนกัน…

…และก็โดน C64 ถล่มจนต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไปเลย

นี่คือ “การล้างแค้น” ที่สมบูรณ์แบบ

Commodore 64 กลายเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นเดียวที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์โลก Commodore คือราชา… คือยักษ์ใหญ่ที่ไม่มีใครหยุดได้

แต่ในขณะที่ภายนอกดูเหมือนจะรุ่งโรจน์สุดขีด…

ภายในของ Commodore กลับมี “รอยร้าว” ที่ร้ายแรงกำลังก่อตัว รอยร้าวนี้เกิดจากคนสองคน หนึ่งคือ Jack Tramiel ผู้ก่อตั้ง, CEO, ผู้มีวิสัยทัศน์, คนที่เชื่อว่า “ธุรกิจคือสงคราม” หรือ Business is war

และสองคือ Irving Gould นักลงทุน, ประธานบอร์ด, และ “เจ้าของเงิน” ตัวจริง Gould คือคนที่เคยให้เงินกู้ช่วยชีวิต Commodore ไว้ในอดีต แลกกับการถือหุ้นใหญ่ในบริษัท

ทั้งคู่ไม่ลงรอยกันอย่างรุนแรงมาตลอด

Jack Tramiel ต้องการทุ่มงบประมาณไปกับการวิจัยและพัฒนา, สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ, และลุยตลาดแบบถึงลูกถึงคน

ส่วน Irving Gould ซึ่งเป็นนักการเงิน… สนใจเรื่อง “ราคาหุ้น” และผลกำไรในระยะสั้นมากกว่า เขาคิดว่า Jack ใช้เงินเปลืองเกินไป

มันคือความขัดแย้งคลาสสิก ระหว่าง “ผู้ก่อตั้งที่มีวิสัยทัศน์” กับ “นักลงทุนที่กุมอำนาจการเงิน”

ความตึงเครียดนี้ดำเนินมาหลายปี จนกระทั่งถึงจุดแตกหัก…

ในเดือนกันยายน 1984 มีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงในที่ประชุมบอร์ด ว่ากันว่าเป็นเรื่องที่ Jack Tramiel ไม่พอใจที่ Irving Gould ใช้ทรัพยากรของบริษัท อย่างเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว เพื่อเรื่องส่วนตัว

Jack ยื่นคำขาดกับ Gould… เขาท้าทายอำนาจของ Gould

และ Irving Gould ผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็ตอบกลับสั้นๆ แต่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ไปตลอดกาลว่า…

“Goodbye.”

Jack Tramiel ลุกออกจากห้องประชุมในวันนั้น… เขา “ลาออก” จากบริษัทที่เขาสร้างมากับมือ และไม่เคยกลับมาอีกเลย

หัวใจและวิญญาณของ Commodore ได้เดินออกจากบริษัทไปแล้ว

นี่คือจุดเริ่มต้นของจุดจบ… แม้ว่าในตอนนั้น Commodore จะยังอยู่บนจุดสูงสุดของโลกก็ตาม หลังจาก Jack Tramiel ออกไป Commodore ก็เหมือนเรือลำยักษ์ที่ “ไร้กัปตัน”

แน่นอนว่าบริษัทยังคงเดินหน้าต่อไปได้ด้วยแรงเฉื่อย พวกเขาออกเครื่อง C128 ในปี 1985 ซึ่งก็ยังขายดี เพราะมันยังใช้ซอฟต์แวร์เก่าๆ ของ C64 ได้ และยังมุ่งเป้าไปที่ตลาดมืออาชีพมากขึ้น

แต่ก้าวที่สำคัญที่สุดในยุคหลัง Jack Tramiel… คือการ “ซื้อกิจการ” Commodore ได้ซื้อบริษัทเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยวิศวกรอัจฉริยะ ชื่อว่า Amiga

นี่คือการซื้อที่ “อัจฉริยะ” ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี เพราะเทคโนโลยีของ Amiga ในปี 1985 นั้น… มัน “ล้ำยุค” กว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้

ในยุคที่ PC ของ IBM ยังเป็นจอดำๆ ตัวอักษรเขียวๆ

ในยุคที่ Mac ของ Apple เพิ่งจะเป็นจอขาว-ดำ…

Amiga มีกราฟิกสีหลายพันสี, มีเสียงสเตอริโอ

และที่สำคัญที่สุด… มันสามารถทำงานแบบ “Multitasking” หรือการทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างแท้จริง… ซึ่งเป็นสิ่งที่ PC และ Mac ในยุคนั้นยังทำไม่ได้

Amiga คือคอมพิวเตอร์แห่งอนาคต ที่หลุดมาอยู่ในยุค 80 Commodore ได้ CEO คนใหม่ชื่อ Thomas Rattigan เข้ามา

Rattigan เป็นนักบริหารที่เก่งกาจ เขามองเห็นศักยภาพของ Amiga และวางแผนแยกมันเป็น 2 สายผลิตภัณฑ์

คือ Amiga 2000 รุ่นไฮเอนด์ สำหรับมืออาชีพด้านกราฟิกและวิดีโอ

และ Amiga 500 รุ่นลดต้นทุน สำหรับตลาดมวลชน เพื่อมาแทนที่ C64

แผนนี้ “เวิร์ค” มาก

Amiga 500 กลายเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะในยุโรป มันขายดีถล่มทลาย กลายเป็นเครื่องเกมและคอมพิวเตอร์สร้างสรรค์ยอดนิยม

Thomas Rattigan สามารถพลิกฟื้นบริษัทที่กำลังเริ่มขาดทุน ให้กลับมา “ทำกำไร” ได้อีกครั้ง

ดูเหมือนว่า Commodore จะรอดแล้วใช่ไหม?

พวกเขาได้ม้าตัวใหม่ที่แข็งแกร่งอย่าง Amiga มานำทัพแทน C64 ที่เริ่มแก่แล้ว แต่… พวกเขาลืมไปว่า “ตัวปัญหา” ที่แท้จริงยังอยู่

Irving Gould… ประธานบอร์ดคนเดิม

Gould ไม่พอใจ Rattigan อีกแล้ว…

อาจจะด้วยเหตุผลเรื่องการแย่งชิงอำนาจ หรือไม่พอใจเรื่องผลกำไรที่ไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวัง และในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจครั้งนี้… Gould “ไล่” Thomas Rattigan ออกจากตำแหน่ง CEO

ใช่… เขาไล่คนเก่งๆ ออกเป็นครั้งที่สอง

หลังจาก Rattigan ออกไป… Commodore ก็เข้าสู่ยุค “เคออส” หรือความโกลาหลอย่างสมบูรณ์แบบ

บริษัทนี้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่ไร้หัว ไร้วิสัยทัศน์ ถูกบริหารโดยนักการเงินที่สนใจแต่ตัวเลขระยะสั้น พวกเขาเริ่มทำการตัดสินใจที่ “ผิดพลาด” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

พวกเขายกเลิกโปรเจกต์คอมพิวเตอร์ขั้นสูงที่เกือบจะเสร็จสมบูรณ์ พวกเขาออกผลิตภัณฑ์แปลกๆ ที่ไม่สมเหตุสมผล พวกเขาขึ้นราคา Amiga จนคนหันไปซื้ออย่างอื่นแทน

ในขณะเดียวกัน… โลกภายนอกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว PC Clones หรือคอมพิวเตอร์เลียนแบบ IBM เริ่มมีราคาถูกลงเรื่อยๆ และที่สำคัญ… Microsoft Windows เริ่มพัฒนาขึ้นมาจน “ดีพอ”

แม้ว่าในทางเทคนิค Amiga จะยัง “เหนือกว่า” Windows อยู่หลายขุม แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว… โลกได้เลือกมาตรฐานของ IBM PC และ Windows ไปแล้ว

Commodore ที่เคยเป็นเจ้าแห่งการ “ตัดราคา” คู่แข่ง กลับกลายเป็นบริษัทที่ไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับเหล่าผู้ผลิต PC Clones ได้

และในขณะที่บริษัทกำลัง “เลือดไหล” ขาดทุนอย่างหนัก

รู้หรือไม่ว่าผู้บริหารระดับสูงของ Commodore รับเงินเดือนกันเท่าไหร่

“มากกว่า 2 ล้านดอลลาร์” ต่อปี

พวกเขารับเงินเดือน “สูงกว่า” ผู้บริหารของ Apple และ IBM เสียอีก ในขณะที่บริษัทของตัวเองกำลังจะจมน้ำ นี่คือการบริหารจัดการที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

และความพยายามครั้งสุดท้ายของพวกเขาก็มาถึง… Amiga CD32

มันคือความพยายามที่จะเปลี่ยน Amiga ให้กลายเป็น “เครื่องเกมคอนโซล 32-bit” เพื่อมาสู้กับเครื่องเกมยุคใหม่

แต่มัน “สายเกินไป” แล้ว

ณ จุดนั้น Commodore อยู่ในภาวะล้มละลายทางการเงินแล้ว พวกเขา “ไม่มีเงิน” จ่ายค่าชิ้นส่วนให้ซัพพลายเออร์

บริษัทที่เคยควบคุมการผลิตชิปได้เองในยุคของ Jack Tramiel ตอนนี้กลับไม่มีใครยอมส่งของให้ พวกเขาติดหนี้ซัพพลายเออร์มานานหลายปี… จนซัพพลายเออร์หมดความอดทน

Amiga CD32 ไม่สามารถเปิดตัวในอเมริกาได้ เพราะโดนฟ้องร้องเรื่อง “ไม่จ่ายค่าสิทธิบัตร” พวกเขาพลาดช่วงเวลาขายดีที่สุดของปี คือ คริสต์มาส 1993

และหลังจากที่ขายเครื่อง CD32 ไปได้แค่หยิบมือ… เงินของบริษัทก็ “หมด” เกลี้ยง

ในวันที่ 6 พฤษภาคม 1994 Commodore… อดีตราชาแห่งวงการ PC ผู้สร้างคอมพิวเตอร์ที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้ยื่นเรื่อง “ล้มละลาย” อย่างเป็นทางการ

ยักษ์ใหญ่แห่งวงการคอมพิวเตอร์… ได้ตายลงแล้ว

เรื่องราวของ Commodore ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่มันคือบทเรียนทางธุรกิจราคาแพง มันคือบทเรียนว่า วิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งนั้นสำคัญแค่ไหน

Jack Tramiel คือคนที่ดุดันและทำธุรกิจแบบ “สงคราม” แต่เขาก็คือคนที่มองเห็นอนาคตของ “คอมพิวเตอร์สำหรับมวลชน”

มันคือบทเรียนของความขัดแย้งภายใน การต่อสู้ระหว่าง Jack Tramiel และ Irving Gould, และต่อมาระหว่าง Rattigan และ Gould มันทำลายบริษัทจากภายใน

และมันคือบทเรียนของการ “ไม่ปรับตัว” Commodore หลงระเริงอยู่กับความสำเร็จของ C64 และ Amiga จนไม่ทันสังเกตว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปสู่มาตรฐานของ PC และ Windows

พวกเขาเคยเป็นผู้ล่า… แต่สุดท้ายก็กลายเป็นผู้ถูกล่า

และท้ายที่สุด… จากยักษ์ใหญ่ที่เกือบจะครองโลก

พวกเขาก็เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ “ตำนาน” ให้คนรุ่นหลังได้จดจำ

References : [wikipedia, arstechnica, computerhistory, commodore .ca, computinghistory]