iTunes Phone เมื่อการร่วมสร้างมือถือเครื่องแรกของ Steve Jobs ไม่ใช่ iPhone

แม้ว่าทาง Apple จะสร้าง iPod ให้กลายเป็นสินค้ายอดฮิตยอดขายถล่มทลาย กลายเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วโลก แต่ในปี 2004 หากพูดถึงบริษัทอย่าง Apple กับธุรกิจโทรศัพท์มือถือนั้น คงไม่มีใครคาดคิดว่า Apple บริษัทที่เริ่มต้นด้วยการขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้นจะพลิกธุรกิจมาลุยในตลาดมือถืออย่างแน่นอน

สิ่งแรกคือเรื่องของ Knowhow ต่าง ๆ ในเรื่องมือถือ นั้น ต้องเรียกได้ว่า Apple แทบจะไม่เคยย่างกายเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้เลยด้วยซ้ำ และการครองตลาดอย่างเบ็ดเสร็จของ Nokia ที่มีทีมงานที่พร้อมทุกอย่างทั้งเรื่อง Hardware , Software รวมถึง Knowledge ด้านโทรคมนาคม คงเป็นเรื่องยากที่ใครจะสามารถล้ม Nokia ลงได้ในขณะนั้น

แนวคิดแรกของ Apple กับมือถือนั้น เป็นเพียงการร่วมเป็น Partner กับ Motorola ในการผลิตมือถือเพื่อนำ iTunes เข้าไปลงเป็นส่วนของ Software จัดการเพลงเพียงเท่านั้น

ตลาดโทรศัพท์มือถือนั้น เป็นตลาดที่ใหญ่โตมหาศาล เมื่อเทียบกับตลาดเครื่องเล่นเพลงแบบดิจิตอลที่ iPod สามารถเอาชนะได้สำเร็จนั้น เรียกได้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของตลาด Consumer Product เพียงเท่านั้น

ทั้ง Apple และ Motorola จึงได้ร่วมกันพัฒนา ROKR มือถือรุ่นใหม่ของ Motorola และยังได้ร่วมมือกับ  Cingular ซึ่ง ณ ขณะนั้นเป็นค่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดของอเมริกา และหวังจะลองชิมลาง เขาสู่ตลาดที่ใหญ่โตมหาศาลอย่างตลาดโทรศัพท์มือถือ

iPod Suffle บนโทรศัพท์ของคุณ

ในเดือนกันยายนปี 2005 ทั้งโลกได้ยลโฉมมือถือเครื่องแรกที่มี iTunes ของ Apple ซึ่งทำให้ผู้ใช้มีอินเทอร์เฟซการใช้งานแบบเดียวกับ iPod

ทั้งสองบริษัทต่างตั้งความหวังไว้กับมือถือรุ่นนี้สูงมาก ๆ เพราะมองว่ามันจะเป็นการมอบประสบการณ์ iTunes บนโทรศัพท์ ช่วยให้เจ้าของสามารถโหลดคลังเพลงใน iTunes ของตนหรือแม้กระทั่ง Audio book และ podcast บนมือถือเครื่องนี้ได้

ซึ่งตามคำพูดของจ็อบส์ระหว่างการเปิดตัว Motorola ROKR “มันคือ iPod Suffle บนโทรศัพท์ของคุณ”

มือถือที่หวังว่าจะเป็น iPod Suffle บนโทรศัพท์ (CR:GSMArena)
มือถือที่หวังว่าจะเป็น iPod Suffle บนโทรศัพท์ (CR:GSMArena)

แต่กระบวนการสร้าง มือถือ ROKR นั้น เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย ด้วยการที่ต้องมีการร่วมมือกันของหลาย ๆ บริษัทที่เกี่ยวข้อง ระบบบริหารที่ล้าหลังของ Motorola ก็เป็นหนึ่งในอุปสรรคที่สำคัญในการกีดขวางกระบวนการออกแบบ

ROKR เป็นเพียงแค่โทรศัพท์ดาด ๆ ในปี 2005 มีจอแสดงผลเล็กขนาด 1.9 นิ้วที่วางอยู่เหนือแผงปุ่มกดตัวอักษรและตัวเลข และมีกล้อง VGA ที่ด้านหลัง คุณสมบัติอื่น ๆ ได้แก่ ลำโพงสเตอริโอคู่ หูฟังสเตอริโอ ปุ่มเพลงเฉพาะที่ใช้เปิด iTunes ไฟด้านข้างแบบดิสโก้

นอกจากนี้ดูเหมือนว่า ROKR ไม่ได้เป็นโทรศัพท์รุ่นใหม่เลยซะทีเดียว แต่มันเป็นการเปลี่ยนโฉมจากรุ่น Motorola E398 ในปี 2004 เพียงเท่านั้น

และที่สำคัญมาก ๆ ก็คือวัฒนธรรมองค์กรของ Motorola นั้นมันต่างกันราวฟ้ากับเหวเมื่อเทียบกับฝั่งของ Apple ที่เน้นไปที่ประสบการณ์ของผู้ใช้งานเป็นหลัก สุดท้าย ROKR มันได้กลายเป็นมือถือที่ห่วยแตก เหมือนสินค้าด้อยคุณภาพ ไม่ต่างจาก iPod ห่วย ๆ ที่มีฟังก์ชั่นในการโทรศัพท์ได้นั่นเอง

รวมถึงรูปแบบการโอนเพลงเข้าโทรศัพท์ที่ใช้สาย USB กับคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมต่อกับ iTunes ซึ่งแน่นอนว่าจ็อบส์ อยากให้ Ecosystem ของ Apple นั้นคงไว้เหมือนกับที่ทำสำเร็จกับ iPod

แต่มันเป็นที่ถูกใจของบริษัทเครือข่ายมือถืออย่าง Cingular ที่ต้องการขายเพลงผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของพวกเขาเท่านั้น และมันได้ทำให้เรื่อง Promotion ที่ปรกติต้องทำกับเครือข่ายนั้นถูกตัดออกทันที ทำให้ผู้ซื้อที่ต้องการใช้ ROKR นั้นต้องจ่ายราคาเต็มของมือถือที่ 250 ดอลลาร์ แถมยังต้องจ่ายค่าบริการรายเดือนอีกด้วย

การร่วมมือกับ Cingular ที่ต้องการขายเพลงผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของพวกเขาเท่านั้น (CR:ebay)
การร่วมมือกับ Cingular ที่ต้องการขายเพลงผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของพวกเขาเท่านั้น (CR:ebay)

ซึ่งแน่นอนว่า ROKR นั้นมันคือหายนะอย่างสิ้นเชิง สำหรับ Apple ในการที่จะก้าวเข้าสู่ตลาดโทรศัพท์มือถือ ทำให้ จ็อบส์นั้นหงุดหงิดหัวเสียกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่ต้องการจะตัดคนกลางทั้งหลายออกจากวงจรนี้

Apple นั้นต้องการควบคุมทุกอย่างแบบเบ็ดเสร็จ แบบที่พวกเขาทำได้กับ iPod ทั้ง Hardware , Software หรือแม้กระทั่งเครือข่ายโทรศัพท์ก็ตาม และสามารถที่จะนำผลิตภัณฑ์ของ Apple ส่งไปถึงมือของลูกค้าได้โดยตรงนั่นเอง

และไม่ใช่ว่าในช่วงนั้นจะไม่มีคู่แข่งเลยเสียทีเดียวสำหรับ บริษัทมือถือที่ต้องการเข้ามาลุยในตลาดเพลง แน่นอนว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Nokia ก็ได้ออก Nokia N91 ที่สามารถเก็บเพลงได้กว่า 1,000 เพลง คล้าย ๆ iPod Mini แต่สุดท้าย Nokia ก็ไม่สามารถที่จะผลักดันตัวเองให้เข้าไปสู่ธุรกิจเพลงอย่างที่คาดหวังได้เช่นกัน เพราะเหล่าค่ายโทรศัพท์มือถือในสหรัฐอเมริกาไม่ยอมนั่นเอง

Nokia N91 ที่ออกมาท้าชนในตลาดเดียวกับ (CR:IMEI.info)
Nokia N91 ที่ออกมาท้าชนในตลาดเดียวกับ (CR:IMEI.info)

รวมถึงยังมีอีกหลายคนที่ตัดสินใจซื้อโทรศัพท์มือถือ และ iPod แยกกันยังดูจะคุ้มซะกว่า ซึ่ง Apple ก็ได้เปิดตัว iPod Nano ในช่วงเวลาเดียวกันพอดี โดยรุ่น 1 GB สามารถเก็บเพลงได้ 240 เพลง ซึ่งมากกว่า ROKR สองเท่า

ซึ่งเราจะเห็นได้ถึงบทสรุปของการลุยเข้าไปสู่ตลาดมือถือของ Apple ครั้งแรกนั้น ต้องจบลงด้วยความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะ ROKR ไม่ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีเหมือนที่ลูกค้าคาดหวังจาก Apple และเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความตกต่ำของ Motorola ในคราเดียวกัน

แต่อย่างน้อย ROKR ได้กลายเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าของทีมงาน Apple ทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะตัวจ็อบส์เอง และมันได้ทำให้จ็อบส์นั้นค้นพบว่า Apple ควรทำอะไรที่แท้จริงในตลาดโทรศัพท์มือถือ

ซึ่งแน่นอนว่าจ็อบส์จะไม่ยอมให้ใครมาครอบงำการสร้างผลิตภัณฑ์ของ Apple อีกต่อไปมันได้เป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ว่าหาก Apple ไม่สามารถ Control ทุกอย่างได้เหมือนที่พวกเขาเคยทำ หายนะก็มาเยือนอย่างที่ประสบพบเจอกับมือถือ ROKR นั่นเอง

References :
https://screenrant.com/motorola-rokr-itunes-phone-apple-history/
https://www.gsmarena.com/flashback_the_motorola_rokr_e1_was_a_dud_but_it_paved_the_way_for_the_iphone-news-38934.php
หนังสือ สตีฟ จ๊อบส์ : Steve Jobs
ผู้เขียน : Walter Isaacson (วอลเตอร์ ไอแซคสัน)
ผู้แปล : ณงลักษณ์ จารุวัฒน์ และคณะ

จาก Toutiao สู่ TikTok กับการเปลี่ยนโลกด้วยคอมพิวเตอร์อัลกอริทึม

การที่จะสร้างธุรกิจให้ impact ระดับโลกไม่ใช่เรื่องง่าย คีย์สำคัญของธุรกิจโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีนั้นส่วนใหญ่วัดกันที่คอมพิวเตอร์อัลกอริทึม เช่น PageRank ของ Google , NewsFeed ของ Facebook ซึ่งเป็นคีย์สำคัญในการพลิกจากบริษัทเล็ก ๆ ให้กลายเป็นธุรกิจขนาดยักษ์ขนาดใหญ่มหึมาระดับแสนล้านได้

โลกที่เต็มไปด้วยโปรแกรมเมอร์ยอดอัจฉริยะมากมาย หากใครคิดจะแหวกว่ายขึ้นไปอยู่ระดับท็อปได้นั้น มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่าย ๆ ต้องมีความฉลาดเป็นกรด และแน่นอนว่าองค์กรธุรกิจก็ต้องประกอบไปด้วยเหล่าทวยเทพแบบนี้เป็นจำนวนมาก จึงจะสามารถผลักดันองค์กรธุรกิจให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว

เคสของ TikTok เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจมาก ๆ ในเรื่องของคอมพิวเตอร์อัลกอริทึม ที่มันสามารถสร้างธุรกิจระดับแสนล้านเหรียญ และยังไม่มีทีท่าว่าความร้อนแรงจะลดลงไปเลย ด้วย Recommendation Engine ของพวกเขา

ในช่วงต้นปี 2012 วิศวกรที่แทบไม่มีใครรู้จักอย่าง Zhang Yiming กำลังหมกมุ่นอยู่กับแนวคิดเกี่ยวกับการทำเหมืองข้อมูลและการแนะนำข้อมูล ค้นคว้าเกี่ยวกับแพลตฟอร์มเนื้อหาออนไลน์ที่สำคัญทั้งหมดจากทั้งตลาดจีนและอเมริกา

เขาได้สังเกตเห็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างนึงก็คือ แอปอันดับต้น ๆ ที่ไม่ใช่เกมบน App Store ของจีนนั้นจะเน้นไปที่เรื่องของความบันเทิง

ก่อนที่จะจดทะเบียนบริษัท ByteDance อย่างเป็นทางการ ทีมงานชุดแรก ๆ ก็ได้ลองสร้างแอปแรกของพวกเขาในชื่อ “Hilarious Goofy Pics (ภาพตลกขบขัน)” ซึ่งเต็มไปด้วยมีมต่าง ๆ ที่สนุกสนานและรูปภาพที่ไร้สาระมากมาย

แอปที่สองชื่อ “Implied Jokes” โดยเน้นที่มีมในอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะ และมันก็โด่งดังเป็นกระแสขึ้นมาทันที มีผู้ใช้นับล้านรายภายในไม่กี่เดือน

โดยรวมแล้ว บริษัทได้ทดลองเผยแพร่แอปมากกว่าหนึ่งโหลสำหรับการทดสอบในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2012 โดยทดลองกับธีมและทิศทางที่หลากหลาย

ก่อนหน้านี้ที่ 99Fang ทีมงานของ Yiming ได้สร้างแอปอสังหาริมทรัพย์ห้าแอปเพื่อทดสอบตลาดต่าง ๆ ในขณะที่ ByteDance เขาได้ปรับปรุงกลยุทธ์นี้ให้กลายเป็นหนึ่งในการทดลองอย่างรวดเร็ว ผลักดันแนวคิดใหม่ ๆ และปล่อยออกสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว ทดสอบคุณสมบัติที่หลากหลาย และให้ตลาดตรวจสอบว่าสิ่งใดมีมูลค่า ซึ่งกลายเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของ ByteDance ในภายหลัง

เป็นเรื่องโชคดีของ ByteDance ในตอนนั้น เพราะการพัฒนาแอปในจีนยังเป็นเรื่องใหม่มาก แอปของคู่แข่งจำนวนมากมีขนาดที่ใหญ่เทอะทะ ทำให้กว่าจะดาวน์โหลดเสร็จใช้เวลานานมาก ๆ

แอปของ ByteDance นั้นเน้นไปที่ขนาดเล็กและเบา มีเพียงไม่กี่เมกะไบต์ โดยเนื้อหาของพวกเขาได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ด้วยระบบแบ็กเอนด์ที่รวบรวมข้อมูลและจัดประเภทเนื้อหาจากทั่วทั้งเว็บเป็นประจำ

การบริโภคเนื้อหา เช่น บทความ รูปภาพ หรือวีดีโอบนสมาร์ทโฟนเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างอย่างมากจากอินเทอร์เน็ตบนเดสก์ท็อปพีซี Yiming ได้ทำการวิเคราะห์ถึง painpoint ไว้สามจุด ก็คือ หน้าจอที่มีขนาดเล็ก เวลาดาวน์โหลดที่นานเกินรอ และจำนวนข้อมูลที่เกินพิกัด ซึ่งเท่าที่เขาเห็น ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดในจีนที่จัดการกับปัญหาทั้งสามนี้พร้อมกันได้

ทีมงานเริ่มสร้างแอปที่มีความทะเยอทะยานมากขึ้นด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเพื่อรวบรวมและจัดระเบียบรูปแบบเนื้อหามากมายจากอินเทอร์เน็ต แอปที่ขับเคลื่อนโดย Big Data และ Machine Learning ที่จะให้บริการผู้คนด้วยฟีดที่ปรับแต่งตามความชอบส่วนบุคคลด้วยเทคโนโลยี AI แบบไม่ต้องพึ่งพามนุษย์

สถานการณ์ในปี 2012 พอร์ทัลข่าวของจีนส่วนใหญ่จ้างบรรณาธิการที่เป็นมนุษย์และจัดการเนื้อหาด้วยตัวเอง Yiming เชื่อว่าสิ่งนี้จะใช้ไม่ได้อีกต่อไปในยุคมือถือ

ในขณะที่เทคโนโลยีกำลังก้าวไปข้างหน้า เขารู้สึกว่ามนุษย์จะถูกกำจัดออกจากกระบวนการจัดการข่าวทั้งหมด และแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติที่ใช้ประโยชน์จาก Big Data และ Machine Learning

Jinri Toutiao เป็นแอปใหม่ ซึ่งมีความหมายว่า “หัวข้อข่าวของวันนี้” และต่อมาถูกเรียกว่า “Toutiao” หรือ “หัวข้อข่าว” ซึ่งชื่อนี้ชนะเลิศจากการนำเสนอโดยทีมงานกว่าร้อยชื่อ

แอปข่าวถือเป็นธุรกิจที่สร้างเงินได้มหาศาล เพราะมีการใช้งานต่อเนื่อง เนื่องจากผู้คนเปิดแอปข่าว แม้ว่าจะมีเวลาว่างเพียงนาทีเดียวในการอ่านพาดหัวข่าว ความต้องการรับทราบข้อมูลใหม่ตลอดเวลาเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เมื่อสร้างนิสัยดังกล่าวแล้ว แอปข่าวจะไม่ถูกลบไปจากมือถือของผู้คน

เมื่อ Toutiao เปิดตัว ก็ได้รับผลตอบรับที่ดีมาก ด้วยประสบการณ์ใช้งานที่เหนือกว่า แม้จะอยู่ในหมวดหมู่ข่าวที่จำกัด แต่ก็ยังแซงหน้าแอปอื่น ๆ ในด้านนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ ทั้ง Weibo , Wechat หรือแม้กระทั่ง Baidu

Toutiao เปิดตัว ก็ได้รับผลตอบรับที่ดีมาก ด้วยประสบการณ์ใช้งานที่เหนือกว่า (CR:Nanjing Marketing Group)

กลยุทธ์ที่น่าสนใจของ Yiming ก็คือการรวมเครือข่ายของแอปต่างๆ ที่เขาปล่อยไปก่อนหน้านี้ แล้วแปลงผู้ใช้งานมายัง Toutiao ซึ่งแอปที่มีอยู่ก่อนหน้าของเขาทำหน้าที่ในการเป็นช่องทางการได้มาของกลุ่มลูกค้าเป็นหลัก

ตลอดปี 2012 พวกเขาใช้จ่ายเพียงแค่หนึ่งล้านหยวน (158,000 ดอลลาร์) ในการโปรโมตแอป และมีผู้ใช้งานมากกว่าหนึ่งล้านคนภายในสิ้นปี ต้นทุนการได้มาของผู้ใช้งานต่อผู้ใช้นั้นน้อยกว่า 0.1 หยวน การสร้างแอปมีมต่างๆ ก่อนหน้านี้เป็นวิธีที่โครตฉลาดในการดึงดูดผู้ใช้ในราคาถูก ซึ่งสามารถแปลงมาสู่แพลตฟอร์มหลักอย่าง Toutiao ได้ในภายหลัง

Recommendation Engine

ในปี 2011 Google ได้เริ่มใช้ระบบ Machine Learning ใหม่ที่เรียกว่า Sibyl เพื่อให้คำแนะนำบน Youtube ผลกระทบของ Sibyl นั้นเกิดขึ้นแทบจะทันที วิศวกรของ Youtube พบว่าตัวเลขการเข้าชมของ Youtube พุ่งกระฉูดขึ้นแบบฉุดไม่อยู่

Machine Learning ทำงานได้ดีจนในไม่ช้าผู้คนจำนวนมากเลือกว่าจะดูอะไรตาม “วีดีโอแนะนำ” มากกว่าวิธีการอื่น ๆ ในการเลือกวีดีโอ เช่น การค้นหาทางเว็บหรือการอ้างอิงทางอีเมล

Google พบขุมทรัพย์ทำเงินใหม่ผ่านอัลกอริธึม Machine Learning พวกเขาได้พัฒนาพวกมันขึ้นไปอีกขั้น โดยสิ่งที่เรียกว่า Google Brain ซึ่งพัฒนาโดยกลุ่ม Moonshot อันโด่งดังของบริษัท Google X ที่นำโดยศาสตราจารย์ Andrew Ng จากสแตนฟอร์ด

Andrew Ng มหาเทพด้าน Machine Learning อันดับต้น ๆ ของโลก (CR:Tech in Asia)
Andrew Ng มหาเทพด้าน Machine Learning อันดับต้น ๆ ของโลก (CR:Tech in Asia)

Google Brain ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าครั้งใหม่ของเทคโนโลยี Deep Learning แม้ผลกระทบจาก Sibyl นั้นจะน่าประทับใจ แต่ผลกระทบจาก Google Brain นั้นสร้าง Impact ที่สูงกว่ามาก

ในช่วงสามปี 2014-2017 เวลารวมที่ใช้ในการดูวีดีโอบนหน้าแรกของ Youtube เพิ่มขึ้น 20 เท่า คำแนะนำผลักดันมากกว่า 70% ของเวลาทั้งหมดบน Youtube วีดีโอแนะนำของ Youtube กลายเป็นเรื่องน่าขนลุกที่จะคาดเดาสิ่งที่คุณสนใจได้อย่างแม่นยำ

ที่ประเทศจีน Yiming ได้กลายเป็นผู้นำในเทคโนโลยีดังกล่าว เขาไม่เพียงแค่เห็นถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของมันเท่านั้น แต่ยังดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับมันอย่างรวดเร็วอีกด้วยเพื่อไม่ให้ยักษ์ใหญ่รายอื่น ๆ รู้ตัวทัน

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ขับเคลื่อนความสำเร็จของ ByteDance คือวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในช่วงต้นของ Yiming ที่พวกเขามุ่งมั่นที่จะใช้เทคนิคใหม่ ๆ เหล่านี้ และจังหวะเวลาของตัดสินใจนั้นมีองค์ประกอบร่วมกันก็คือ การเติบโตอย่างบ้าคลั่งของสมาร์ทโฟนและการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI

มันได้กลายเป็นเครื่องจักรที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ Yiming มองว่าสิ่งที่เขาจะต้องทำโดยด่วนก็คือ การเปลี่ยนจาก “คนที่กำลังมองหาข้อมูลเป็นข้อมูลกำลังหาผู้คน”

อัลกอริธึมคำแนะนำรูปแบบใหม่ จะฉีกหนีไปจากเดิมอย่างชัดเจน ที่สถานการณ์ในตอนนั้นโลกถูกขับเคลื่อนด้วยพลังของโซเชียลมีเดียที่ต้องการคำแนะนำเพียงเล็กน้อยแต่จะถูกขับเคลื่อนด้วยพลังของการเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างกลุ่มคนเพียงเท่านั้น

อัลกอริธึมคำแนะนำรูปแบบใหม่ กำลังใกล้จะสุกงอมเต็มที่ Yiming ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ เนื่องจากคำแนะนำแทบไม่ต้องการข้อกำหนดในการติดตามเพื่อการเชื่อมต่อเหมือนในเครือข่ายโซเชียลมีเดีย

คำแนะนำที่ดีต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ด้วย search engine ผู้ใช้จะแสดงเจตจำนงที่ชัดเจนโดยสิ่งที่พวกเขาพิมพ์ลงในแถบค้นหา และมีการตั้งค่าของผู้ใช้ตามพฤติกรรมก่อนหน้าเพียงอย่างเดียว

โดยทั่วไประบบการแนะนำต้องอาศัยกระบวนการหลักสองประการ : “content-based filtering (การกรองตามเนื้อหา)” และ “collaborative filtering (การกรองการทำงานร่วมกัน)”

แนวคิดทั้งสองนี้ค่อนข้างง่ายต่อการเข้าใจ ระบบการกรองตามเนื้อหาจะแนะนำเนื้อหาให้กับผู้ใช้ ในสิ่งที่คล้ายกับที่พวกเขาต้องการอยู่แล้ว หากผู้ใช้สนุกกับการดูวีดีโอสุนัขและถูกแท็กว่าเป็น “คนรักสุนัข” ระบบจะแนะนำวีดีโอสุนัขเพิ่มเติม

ส่วนระบบการกรองการทำงานร่วมกันจะยึดตามคำแนะนำในการค้นหากลุ่มผู้ใช้ที่ชอบเนื้อหาที่คล้ายคลึงกัน ตัวอย่างเช่น ความสนใจของ Jane และ Tracey มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก หาก Jane ดูวีดีโอซ้ำ ๆ จนจบ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความสนใจที่เชื่อถือได้ ระบบจะแนะนำวีดีโอนั้นให้กับ Tracey ด้วย

ในช่วงกลางปี 2012 Yiming ได้ส่งอีเมลไปยังทีมเทคนิคของ ByteDance ด้วยชื่อที่เป็นลางไม่ดี “Recommended Engine General Meeting”

Yiming มุ่งมันที่จะผลักดันในหัวข้อที่เขาเห็นว่ามีความสำคัญต่ออนาคตของบริษัท ในเนื้อหาอีเมลยังระบุด้วยว่า “ในการเป็นแพลตฟอร์มข้อมูล จำเป็นต้องทำงานได้ดีกับเครื่องมือแนะนำส่วนบุคคล พวกคุณต้องการเริ่มต้นสิ่งนี้ในตอนนี้หรือไม่”

ระบบการแนะนำเบื้องต้นของ Toutiao ซึ่งเรียกว่า “personalization technology (เทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนในแบบของคุณ)” โดยเมื่อเปิดแอปขึ้นมา แล้วผู้ใช้จะได้รับบทความที่อ่านแล้วติดอันดับต้น ๆ เพื่อให้พวกเขาติดใจในทันที

หลังจากนั้นจะเป็นการรวมบทความ clickbait ที่ตรงเป้าหมายมากขึ้นซึ่งดึงดูดผู้ใช้เฉพาะกลุ่มเพื่อทดสอบและตัดสินใจว่าใครคือผู้อ่าน ผู้ใช้ที่คลิกบทความที่มีภาพตัวอย่างขนาดใหญ่ของนางแบบรถยนต์น่าจะเป็นผู้ชาย ผู้ใช้รายอื่นที่อ่านบทความ “ซุปไก่เพื่อจิตวิญญาณ” น่าจะเป็นผู้สูงอายุ การเสริมการคาดเดานี้คือข้อมูลพื้นฐาน เช่น รุ่นโทรศัพท์ของผู้ใช้ ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ และวันเวลาที่พวกเขาเปิดแอป

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 2014 เมื่อ ByteDance ได้ไปขโมยตัว Yang Zhenyuan รองผู้อำนวยการฝ่ายการค้นหามาจาก Baidu ซึ่งเขาทำงานกับ Baidu มาเป็นเวลา 9 ปีแล้ว Yang ได้รับตำแหน่งรองประธานฝ่ายเทคโนโลยีของ ByteDance ทันที และเตรียมพร้อมสำหรับการอัปเกรดทางเทคนิคครั้งใหญ่

 Yang Zhenyuan มือดีที่คว้าตัวมาจาก Baidu (CR:PingWest)
Yang Zhenyuan มือดีที่คว้าตัวมาจาก Baidu (CR:PingWest)

การได้พนักงานระดับเรือธงอย่าง Yang เข้ามานั้น กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ ByteDance ซึ่งเปิดประตูให้กับวิศวกรของ Baidu คนอื่น ๆ ที่ติดตามเขามาร่วมงานด้วย

ด้วยความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคที่เพิ่มขึ้นจากทีมของ Baidu ภายในปี 2016 พวกเขาสามารถทดลองวิธีการต่าง ๆ ในการสร้างเนื้อหาด้วยอัลกอริธึม ในระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปีนั้น บอทที่พัฒนาโดย ByteDance ได้เขียนข่าวต้นฉบับ เผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญ ๆ ได้เร็วกว่าสื่อแบบดั้งเดิม และเพลิดเพลินกับระดับของการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้ที่เทียบได้กับบทความที่เขียนขึ้นโดยนักเขียนที่เป็นมนุษย์จริง ๆ

ในเดือนมกราคมปี 2018 ByteDance ได้จัดประชุมสาธารณะในกรุงปักกิ่งเพื่อเปิดเผยว่าอัลกอริธึมของพวกเขาทำงานอย่างไร เป้าหมายเพื่อบรรเทาการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อของรัฐและหน่วยเฝ้าระวังทางอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการเผยแพร่ภาพลามกอนาจารควบคู่ไปกับความกังวลเกี่ยวกับการขาดการดูแลของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

ในงานดังกล่าวผู้นำทีมอัลกอริธึมระดับอาวุโสของบริษัท Cao Huanhuan ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับหลักการของระบบการแนะนำของ ByteDance

ระบบของ ByteDance ใหม่นั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่ 3 โปรไฟล์ : content profile (โปรไฟล์เนื้อหา) , user profile (โปรไฟล์ผู้ใช้) และ environment profile (โปรไฟล์สภาพแวดล้อม)

สำหรับโปรไฟล์เนื้อหา Cao ได้ยกตัวอย่างบทความข่าวเกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยคำหลักจะถูกดึงออกมาจากบทความโดยใช้เทคโนโลยี Natural Language Processing (NLP)

ซึ่งในกรณีดังกล่าวก็คือ “สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล” “สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด” “พรีเมียร์ลีกอังกฤษ” และชื่อผู้เล่นหลักหลายคนจากเกมดังกล่าว เช่น “ดาวิด เด เคอา”

จากนั้นจะมีการกำหนดค่าความเกี่ยวข้องกับคำหลัก ในตัวอย่าง “สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด” เท่ากับ 0.9835 และ “ดาวิด เด เคอา” เท่ากับ 0.9973 ซึ่งทั้งคู่ถือว่าสูงมากตามที่คาดไว้ โปรไฟล์เนื้อหายังรวมถึงเวลาที่เผยแพร่บทความ ซึ่งช่วยให้ระบบคำนวณว่าบทความนั้นล้าสมัยเมื่อใดและหยุดการแนะนำ

โปรไฟล์ผู้ใช้สร้างขึ้นจากแหล่งต่าง ๆ รวมถึงประวัติการท่องเว็บ ประวัติการค้นหา ประเภทของอุปกรณ์ที่พวกเขาใช้ ตำแหน่งของอุปกรณ์ อายุ เพศ และลักษณะพฤติกรรม ผู้ใช้ถูกแบ่งออกเป็นละติจูดหลายหมื่นตามข้อมูลโซเชียลและการขุดพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อสร้างโปรไฟล์ที่แตกต่างกัน

เมื่อคุณอ่านโพสต์ที่แพลตฟอร์มแนะนำ มันจะเรียนรู้การตั้งค่าของคุณโดยติดตามพฤติกรรมของคุณ : สิ่งที่คุณเลือกอ่าน สิ่งที่คุณเลือกที่จะยกเลิกอ่าน คุณใช้เวลานานแค่ไหนกับเนื้อหา บทความที่คุณแสดงความคิดเห็น และเรื่องราวใดที่คุณ เลือกที่จะแชร์

สุดท้ายโปรไฟล์สภาพแวดล้อมจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ผู้ใช้เสพเนื้อหา เช่น ที่ทำงาน ที่บ้าน หรือระหว่างการเดินทางบนรถไฟใต้ดิน เนื่องจากความชอบของผู้คนแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ต่าง ๆ ลักษณะด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ได้แก่ สภาพอากาศและแม้กระทั่งความเสถียรของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของผู้ใช้และเครือข่ายที่พวกเขาใช้ ( เช่น Wi-Fi หรือ China Mobile 4G)

ระบบจะคำนวณการจับคู่ทางสถิติที่รัดกุมที่สุดระหว่างโปรไฟล์เนื้อหา โปรไฟล์ผู้ใช้ และโปรไฟล์สภาพแวดล้อม ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพเปอร์เซ็นต์ของบทความที่อ่านและเปอร์เซ็นต์ของบทความที่อ่านเสร็จสิ้นแล้ว (เช่นเวลาที่ใช้)

จากนั้นกระบวนการเผยแพร่เนื้อหาจะจัดสรร “ค่าคำแนะนำ” ให้กับเรื่องราวที่ตีพิมพ์ใหม่แต่ละรายการโดยพิจารณาจากคุณภาพและจำนวนผู้อ่านที่เป็นไปได้ ยิ่งมีมูลค่าสูงเท่าใด ก็จะยิ่งแจกจ่ายบทความให้คนที่เหมาะสมมากขึ้นเท่านั้น

ค่าการแนะนำจะเปลี่ยนไปเมื่อผู้ใช้ตอบโต้กับมัน ปฏิสัมพันธ์ในเชิงบวก เช่น การชอบ การแสดงความคิดเห็น และการแชร์ ช่วยเพิ่มมูลค่าของคำแนะนำ

ส่วนการกระทำเชิงลบ เช่น ไม่ชอบและเวลาในการอ่านสั้น ค่าจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไปเนื่องจากเนื้อหาเริ่มล้าสมัย สำหรับหมวดหมู่ข่าวด่วน เช่น ข่าวกีฬา หรือ ราคาหุ้น วันหรือสองวันอาจเพียงพอสำหรับมูลค่าที่จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับเนื้อหาหมวดหมู่ที่มีระยะเวลายืนยาว (Evergreen Content) เช่น ไลฟ์สไตล์หรือการทำอาหาร กระบวนการจะช้าลง

ความสวยงามของการพึ่งพาคำแนะนำในการปรับปรุงการมีส่วนร่วมคือการสร้างวัฏจักรที่ดีของการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งมักเรียกกันว่า “data network effect” ยิ่งใช้เวลากับแอปมากเท่าไหร่ โปรไฟล์ผู้ใช้ก็จะยิ่งสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเท่านั้น ซึ่งนำไปสู่การจับคู่เนื้อหาที่แม่นยำยิ่งขึ้นและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น

Recommendation Engine คือเครื่องจักรอันทรงพลังใหม่ของ ByteDance ที่พวกเขาสามารถที่จะคิดการณ์ใหญ่ มันผลักดันให้ Toutiao แอปอ่านข่าวของพวกเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับแพลตฟอร์มอื่นๆ และสามารถทำรายได้ให้กับพวกเขาอย่างเป็นกอบเป็นกำ

เหมือนตัว Yiming จะเห็นขุมทรัพย์ขนาดมหึมาจากคอมพิวเตอร์อัลกอริทึมนี้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้ ByteDance แตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่น ๆ ซึ่งการเริ่มทดลองกับ Toutiao นี่เองที่สุดท้าย เมื่อนำอัลกอริทึมนี้มาสร้างแอปอย่าง TikTok ก็สามารถผลักดันให้แพลตฟอร์มวีดีโอสั้นรูปแบบใหม่นี้เติบโตอย่างบ้าคลั่ง และยึดครองโลกเราอย่างที่ได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Attention Factory : The Story of TikTok & China’s ByteDance โดย Brennan Matthew
หนังสือ TikTok Boom : China’s Dynamite App and the Superpower Race for Social Media โดย Chris Stokel-Walker
https://pandaily.com/zhang-yiming-5-common-characteristics-outstanding-youth/


Apple Dream(Team) กับ 5 อรหันต์ผู้เปลี่ยนซากปรักหักพังสู่ความรุ่งโรจน์ครั้งใหม่ของ Apple

หลาย ๆ ท่านอาจจะคิดว่า iPhone เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของบริษัท Apple ให้กลายมาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้จวบจนถึงทุกวันนี้ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนนึงเท่านั้น แนวคิดของ Apple รูปแบบใหม่ ที่หันมาสร้างนวัตกรรมและเปลี่ยนจากบริษัทคอมพิวเตอร์ให้กลายมาเป็นบริษัทที่จำหน่ายสินค้า consumer product มันเริ่มมาจาก iPod 

ในปี 1985 สตีฟ จ็อบส์ ในวัยขึ้นเลขสาม เริ่มปีที่ 30 ของอายุด้วยการถูกไล่ออกจาก Apple บริษัทที่เขาสร้างมากับมือ แต่หลังจากนั้นในอีก 10 ปีต่อมา ในปี 1995 เมื่อ สตีฟ จ็อบส์ อายุครบ 40 ปีบริบูรณ์ เขาก็กลับมาสู่จุดที่รุ่งเรืองอีกครั้ง

ปีนั้นเป็นปีที่ภาพยนต์เรื่อง Toy Story ออกฉาย และในปีต่อมา Apple ก็ได้เข้ามาซื้อกิจการ NeXT ทำให้เขากลับมาสู่บริษัทที่เขาสร้างมากับมืออีกครั้ง 

ในขณะนั้น CEO ของ Apple คือ กิล เอเมลิโอ ซึ่งได้เป็นคนชักจูงนำ จ็อบส์ กลับมาที่ Apple โดยให้เข้ามารับตำแหน่งที่ปรึกษาแบบพาร์ทไทม์ แต่จ็อบส์นั้นหวังมากกว่านั้นเขาต้องการกลับมาทวงคืนตำแหน่งของเขา สภาพของ Apple ในช่วงเวลาดังกล่าว กลายเป็นซากปรักหักพัง สถานการณ์ทางการเงินก็ย่ำแย่ เป็นอย่างมาก

ในการกลับมาครั้งนี้ จ็อบส์ เริ่มจัดแจง คนที่เขาไว้ใจมารับตำแหน่งระดับสูงที่ Apple อย่างไม่รอช้า และเริ่มกำจัดคนที่เขาไม่ต้องการออกไป โดยจะนำคนที่เก่ง  ๆ จาก NeXT บริษัทเก่าของเขาเข้ามาแทนในตำแหน่งสำคัญ ๆ 

และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนครั้งที่เขาต้องก้าวออกจาก Apple ในครั้งแรก จ็อบส์ ก็ได้เสนอให้เปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัทใหม่ โดยจัดการคนที่เคยปลดเขาออกก่อน เพื่อคุมอำนาจเต็มที่ในการบริหารบริษัท

จ็อบส์ นั้นสามารถที่จะกลับควบคุมทุกอย่างของ Apple ได้อย่างเบ็ดเสร็จได้อีกครั้ง สถานการณ์ในตอนนั้น Apple ถูก Microsoft เบียดออกจากธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันถึงเวลาที่เขาต้องสร้างบริษัทขึ้นมาใหม่เพื่อทำอย่างอื่น อาจจะเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือหรือสินค้าเพื่อผู้บริโภคอะไรซักอย่างที่จะพา Apple กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

Jony Ive

ในวันที่จ็อบส์ เรียกเหล่าผู้บริหารระดับสูงมาชุมนุมปลุกใจ หลังเข้ารับตำแหน่ง CEO รักษาการ ในเดือนกันยายน 1997 นั้น หนึ่งในผู้ฟังจำนวนนั้นเป็นชายหนุ่มชาวอังกฤษ วัย 30 ปี ผู้มีอารมณ์ละเมียดละไม และมีควาทุ่มเทกับงานมากถึง มากที่สุด เขาคือ โจนาธาน ไอฟฟ์ หรือ ที่ทุกคนรู้จักในนาม “จอนนี่”

ในช่วงก่อน จ็อบส์ จะเข้ามาในรอบที่สองนั้น สถานการณ์ของบริษัทเรียกได้ว่าย่ำแย่ ไอฟฟ์ ในขณะนั้นกำลังคิดจะลาออกเพราะเบื่อหน่ายกับบริษัทที่มุ่งเน้นผลกำไรเพียงอย่างเดียว และไม่มีความสนใจในเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์เลย

แต่เป็นคำพูดของ จ็อบส์ ในวันที่ก้าวเข้ามากู้วิกฤติของ Apple รอบที่สอง ที่ทำให้ ไอฟฟ์ เปลี่ยนใจที่จะอยู่ต่อเพราะ จ็อบส์ นั้นชัดเจนอยู่แล้วว่า เป้าหมายของ Apple ไม่ใช่อยู่ที่เรื่องของการหาเงินเพียงอย่างเดียว แต่คือการสร้าง ผลิตภัณฑ์ชั้นเยี่ยม ซึ่งมันเป็นการเปลี่ยนวิสัยทัศน์จากการบริหารที่ผ่านมาของผู้บริหาร Apple คนก่อน ๆ 

ชีวิตของ ไอฟฟ์ นั้น เข้ามาโคจรเข้าสู่วงการคอมพิวเตอร์ เนื่องมาจากบริษัท แทงเจอรีน บริษัทเก่าของเขานั้น ได้ถูกว่าจ้างจากบริษัท Apple ให้ทำการออกแบบเครื่อง Powerbook โดยเขาได้แหกกฏพื้นฐานของการออกแบบหมดสิ้น เนื่องมาจากเขาคิดว่าอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์กำลังประสบปัญหากับเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพราะส่วนใหญ่เป็นการสร้างโดยเหล่าวิศวกรที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องการดีไซน์เลยด้วยซ้ำ

ก่อนหน้าที่ ไอฟฟ์ จะเข้ามาปฏิวัตินั้นคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องที่ดูน่ากลัวสำหรับผู้ใช้งาน มีขนาดใหญ่เทอะทะ และไม่มีความ friendly กับผู้ใช้งานเลยด้วยซ้ำ วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ดูไม่น่าใช้งานและแทบจะดีไซน์เหมือน ๆ กันหมดในทุก ๆ บริษัทที่ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขึ้นมา

หลังจากผลงานการออกแบบ Powerbook จึงทำให้ ไอฟฟ์ ถูกดึงตัวมาทำงานเต็มตัวที่ Apple ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ ซึ่ง Apple เดิมจะใช้บริษัทจากข้างนอกมาช่วยออกแบบให้ แต่ ไอฟฟ์ จะได้สร้างทีมของตัวเองขึ้นมา เพื่อปฏิวัติการออกแบบคอมพิวเตอร์เสียใหม่ทั้งหมด

ไอฟฟ์ ที่เข้ามาปฏิวัติการออกแบบคอมพิวเตอร์เสียใหม่ทั้งหมด (CR:Cult of Mac)
ไอฟฟ์ ที่เข้ามาปฏิวัติการออกแบบคอมพิวเตอร์เสียใหม่ทั้งหมด (CR:Cult of Mac)

และนั่นเป็นเหตุทำให้ทั้งคู่ได้เจอกันในที่สุด จ็อบส์ นั้นตระหนักดีว่าเขาจำเป็นต้องมีคนอย่าง ไอฟฟ์ เพื่อปฏิรูป Apple ขึ้นมาใหม่อีกครั้งและจึงเริ่มต้นกับโครงการ iMac รุ่นใหม่ และต่อมาก็ได้เป็นคนพลิกโฉมดีไซน์ของ iPod ที่ทำให้ทั้งโลกต้องตะลึง

Jon Rubinstein

จอน รูบินสไตน์ ถือได้ว่าเป็นขุนพลคู่ใจของ จ็อบส์ ที่ตามมาจาก NeXT ซึ่ง รูบินสไตน์เป็นผู้พัฒนา NeXT RISC Workstation โดยหลังจากที่ Apple ได้เข้าซื้อกิจการ NeXT จ็อบส์ก็ได้ดึงตัวรูบินสไตน์ให้มาช่วยงานที่ Apple ในตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมฮาร์ดแวร์

รูบินสไตน์ ได้เข้ามาช่วยจ็อบส์จัดการในเรื่องลดต้นทุน เนื่องจากทางจ็อบส์เองได้ยกเลิกผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวหลายรายการจากผลงานการสร้างจากเหล่าผู้บริหารในยุคที่เขาไม่อยู่

จอน รูบินสไตน์ ที่แพ็คกระเป๋าตามจ็อบส์มาจาก NeXT (CR:IEEE Spectrum)
จอน รูบินสไตน์ ที่แพ็คกระเป๋าตามจ็อบส์มาจาก NeXT (CR:IEEE Spectrum)

จ็อบส์เองได้มุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่เรียบง่ายสำหรับผู้บริโภคและเหล่ามืออาชีพ เช่น Power Mac G3 และ iMac G3 ซึ่งช่วยให้ Apple กลับมาแข่งขันในตลาดได้อีกครั้ง และเป็นรูบินสไตน์นี่เองที่ไปชักชวน โทนี่ ฟาเดลล์ ให้มาร่วมงานกับ Apple เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์พลิกโลกอย่าง iPod

Tim Cook

ใปี 1998 จ็อบส์ ได้เจอกับ ทิม คุก ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อและซัพพลายเชนของ Compaq Computers ซึ่งในขณะนั้นเป็นหนุ่มโสด วัย 37 ปี  คุก นั้นตกหลุมเสน่ห์ของจ็อบทันทีเมื่อได้สัมภาษณ์งานกับจ็อบ เขาใช้เวลาเพียง 5 นาที ในการตัดสินใจมาร่วมงานกับจ็อบส์ ซึ่งการร่วมงานกับ Apple นั้นเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่จะได้ทำงานกับ อัจฉริยะด้านความคิดสร้างสรรค์อย่าง จ็อบส์

บทบาทหลักของ คุก ที่ Apple คือการนำสิ่งที่จ็อบส์คิด มาลงมือปฏิบัติ การที่เขาเป็นหนุ่มโสดทำให้เขาสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เขาตื่นตีสี่ครึ่งในทุกวัน ออกกำลังกายเสร็จ เขาก็จะเข้ามาที่ office ของ Apple ในเวลาหกโมงเศษ

การได้จิ๊กซอว์ ชิ้นสำคัญอย่าง คุก มานั้น ทำให้ Apple สามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมหาศาล คุกนั้นได้ลดจำนวนซัพพลายเออร์รายสำคัญของ Apple จาก 100 รายให้เหลือเพียง 24 ราย เขาได้เกลี้ยกล่อมให้ซัพพลายเออร์หลายราย ย้ายโรงงานมาอยู่ใกล้ ๆ โรงงานของ Apple

สิ่งที่จ็อบส์ทำได้คือ เคยลดสินค้าคงคลังจากเดิมที่มีปริมาณเท่ากับ 2 เดือน ให้เหลือเพียงเดือนเดียวได้ในปี 1998 แต่ คุก นั้นสามารถทำให้ จ็อบส์ เซอร์ไพรซ์อย่างมาก ด้วยการทำให้มันลดเหลือเพียงแค่ 2 วัน ซึ่งนับว่าน่าทึ่งมาก และเขายังสามารถที่จะลดระยะเวลาในการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ของ Apple แต่ละเครื่องลงจาก 4 เดือน เหลือเพียงแค่ 2 เดือน ซึ่งทั้งหมดนี้นอกจากจะช่วยประหยัดเงินแล้วนั้น ยังทำให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องได้ใช้ชิ้นส่วนล่าสุดที่มีอยู่ในท้องตลาดอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างตลาดคอมพิวเตอร์

และที่สำคัญนั้น ทิม คุก นั้นเป็นคนเดียวที่รู้ว่า จ็อบส์ ต้องการอะไร มีวิสัยทัศน์ ในด้านการผลิตแบบเดียวกับจ็อบส์ และสามารถคุยสื่อสารเรื่องยุทธศาสตร์ระดังสูงได้ ทำให้ คุก กลายมาเป็นคนที่ จ็อบส์ ไว้ใจมากที่สุด

ทิม คุก ที่จ็อบส์ไว้ใจมากที่สุด (CR:Apple Insider)
ทิม คุก ที่จ็อบส์ไว้ใจมากที่สุด (CR:Apple Insider)

Tony Fadell

ถ้าโลกนี้ไม่มีคนที่ชื่อ โทนี่ ฟาเดลล์ มันก็ไม่อาจจะทำให้ สตีฟ จ็อบส์ สามารถพลิกฟื้น Apple กลับมาได้สำเร็จ โปรแกรมเมอร์หนุ่ม มาดกร่าง หน้าตา และการแต่งตัวออกไปทางแนว ไซเบอร์พังค์ เป็นคนมีสเน่ห์ที่รอยยิ้ม และมีหัวคิดแบบเจ้าของกิจการ และมีความเชี่ยวชาญทางด้าน ฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการฟังเพลง

และเป็น รูบินสไตน์ ที่เป็นไปค้นพบ โทนี่ ฟาเดลล์ เข้า ฟาเดลล์ นั้น เคยตั้งบริษัท ถึง 3 แห่งสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย มิชิแกน พอเรียนจบก็ได้เข้าไปทำงานที่ General Magic ผู้ผลิตอุปกรณ์อเล็กทรอนิกส์แบบพกพา แล้วย้ายข้ามห้วยไปยัง Philips บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก

ฟาเดลล์ นั้นมีไอเดียอย่างแรงกล้าที่จะทำเครื่องเล่นเพลงที่ดีกว่าเครื่องที่มีขายอยู่ในท้องตลาด เขาเคยไปนำเสนอ ไอเดียที่ RealNetwork , Sony และ Philips แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ  และในวันหนึ่งที่ฟาเดลล์กำลังเล่นสกีอยู่กับลุงที่เมือง เวล รัฐโคโลราโด ระหว่างที่นั่งลิฟต์ขึ้นเขา เพื่อไปเล่นสกี เหมือนอย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ

เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปลายสายคือ รูบินสไตน์ ที่เป็น ผู้อำนวยด้านด้านฮาร์ดแวร์ ของ Apple ซึ่งได้แจ้งเขาว่ากำลังหาคนที่จะมาช่วยทำ “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก” ซึ่งคนระดับฟาเดลล์นั้นมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว เขาทำอุปกรณ์พวกนี้เก่งในระดับที่หาตัวจับยาก รูบินสไตน์ จึงได้เชิญ ฟาเดลล์ เขาไปพบ ที่ office ของ Apple ใน คูเปอร์ติโน่

ฟาเดลล์ เข้าใจว่า Apple นั้นจะจ้างไปทำเครื่อง PDA แต่เมื่อได้พบตัวจริงกับ รูบินสไตน์ การสนทนาเปลี่ยนเป็นเรื่องเกี่ยวกับ iTunes ที่ Apple เพิ่งได้ทำเสร็จก่อนหน้านั้นไม่นาน ปัญหาในตอนนั้น คือ ทาง Apple พยายามที่จะใช้เครื่องเล่น mp3 ที่มีในตลาด เพื่อใช้งานกับ iTunes  ซึ่งพบว่า ไม่มีอุปกรณ์ไหนที่สามารถตอบโจทย์ของ Apple ได้เลย ตอนนั้น มีแต่อุปกรณ์เล่น mp3 ที่ห่วย ๆ อยู่เต็มตลาดไปหมด Apple อยากที่จะสร้างเวอร์ชั่นของตัวเองขึ้นมา

และมันทำให้ ฟาเดลล์ รู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ ฟาเดลล์ นั้นเป็นคนที่รักในเสียงดนตรี และเคยพยายามนำ idea ที่เขาคิด ไปเสนอที่ RealNetworks เหมือนกัน ตอนที่ RealNetworks กำลังนำเสนอเครื่องเล่นไฟล์ mp3 ให้กับ บริษัท Palm แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

ฟาเดลล์ เจ้าของฉายา
ฟาเดลล์ เจ้าของฉายา “บิดาแห่ง iPod” (CR:The Sydney Morning)

แต่ฟาเดลล์ นั้นเป็นคนที่รักอิสระ เขาไม่อยากที่จะเป็นพนักงานเต็มตัวของ Apple เขาแค่อยากร่วมงานในฐานะที่ปรึกษาเพียงเท่านั้น

แต่ รูบินสไตน์ นั้น บีบบังคับให้ ฟาเดลล์ ทิ้งไพ่ในมือ โดยจับมัดมือชกด้วยการยืนกรานว่าหากฟาเดลล์ต้องการที่จะเป็นหัวหน้าทีม ก็ต้องเข้ามาเป็นพนักงานเต็มตัวของ Apple เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และมีการเรียกทีมงานทั้งหมดที่จะทำโปรเจคนี้กว่า 20 คนเข้ามารวมตัว แล้วยื่นคำขาดกับ ฟาเดลล์ ว่าต้องให้ฟาเดลล์ นั้นตัดสินใจในโอกาสครั้งนี้เดี่ยวนั้น ซึ่ง มันก็เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธ แม้ตัวฟาเดลล์จะไม่ค่อยเต็มใจนักก็เสนอตอบรับมาร่วมทีมในที่สุด

และสุดท้าย Apple ก็ได้ว่าจ้าง ฟาเดลล์ ในปี 2001 และได้สร้างทีมพัฒนาขนาด 30 คนให้มีทั้ง Designer , Programmers รวมถึง Hardware Engineers เพื่อทำโครงการ iPod

Phil Schiller

ชิลเลอร์ เริ่มงานครั้งแรกกับ Apple ในปี 1987 ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดและผลิตภัณฑ์ และได้ลาออกไปทำงานกับ FirePower Systems และรองประธานฝ่ายการตลาดที่ Macromedia ก่อนที่จะกลับมาทำงานที่ Apple อีกรอบ

ชิลเลอร์ กลับมาร่วมงานกับ Apple ในตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดทั่วโลก ในปีเดียวกับที่ จ็อบส์ กลับมากุมบังเหียน Apple อีกครั้งในปี 1997

ฟิล ชิลเลอร์ นั้นได้รับเครดิตเป็นอย่างมากเพราะได้ออกไอเดียที่สำคัญที่สุดของ iPod ที่ทำให้แตกต่างจากเครื่องเล่น MP3 อื่น ๆ ในตลาด

ชิลเลอร์ ที่ออกมาในงานพรีเซ็นนต์ผลิตภัณฑ์ของ Apple อยู่เสมอ (CR:Reason Why)
ชิลเลอร์ ที่ออกมาในงานพรีเซ็นนต์ผลิตภัณฑ์ของ Apple อยู่เสมอ (CR:Reason Why)

โดยชิลเลอร์ นั้นเสนอ ล้อกลม ๆ สำหรับใช้เลือกเพลง ( trackwheel ) แค่ใช้นิ้วโป้งหมุนวงล้อ ผู้ใช้จะสามารถเลือกเพลงใน Playlist ได้ ยิ่งหมุนนานก็ยิ่งไล่เพลงได้เร็วขึ้น ถึงจะมีเพลงเป็นร้อยเป็นพันเพลง ก็สามารถไล่ดูได้ง่าย ซึ่งไอเดียนี้ จ็อบส์ถึงกับร้องอุทาน “นั่นแหละใช่เลย!!!” แล้วสั่งให้ฟาเดลล์ กับทีมวิศวกร ลงมือทำทันที

Dream Team

เมื่อจ็อบส์ได้ทีมงานที่เปรียบเสมือนดรีมทีมเขาก็ไม่เคยกลัวสิ่งใดอีกต่อไป ในเดือนเมษายนปี 2001 มีการประชุมนัดสำคัญ วันนั้นจ็อบส์ต้องตัดสินใจเลือกองค์ประกอบพื้นฐานสำหรับเครื่อง iPod ซึ่งฟาเดลล์เป็นคนนำเสนอโดยมี รูบินสไตน์ ,ชิลเลอร์ และผู้บริหารที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

การประชุมเริ่มด้วยการนำเสนอเรื่องของศักยภาพของตลาด และเนื้อหาทางการตลาดอื่น ๆ ที่เหล่านักการตลาดมักจะทำกัน แต่จ็อบส์ เป็นคนที่มีความอดทนต่ำ สไลด์ชุดไหน ที่มีความยาวเกินหนึ่งนาที เขาจะไม่สนใจทันที และเมื่อถึงฟาเดลล์ ที่ต้องกล่าวถึงเรื่องคู่แข่งในตลาด ที่ขณะนั้น มีทั้ง Sony  , Creative หรือ Rio ที่่อยู่ในตลาดเครื่องเล่น MP3 เหมือนกัน

แต่จ็อบส์โบกมืออย่างไม่แยแส จ็อบส์ไม่เคยสนใจคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ โปรเจค iPod ที่ยังเป็นความลับอยู่ เหล่าคู่แข่งยังไม่รู้ว่า Apple กำลังทำอะไรด้วยซ้ำ

จ็อบส์ชอบให้เอาสิ่งที่จับต้องได้มาโชว์ เพื่อเขาจะได้สัมผัส ลูบคลำ สำรวจ ฟาเดลล์จึงได้นำโมเดล 3 แบบเข้ามาในห้องประชุมด้วย รูบินสไตน์ ได้สอนเทคนิคให้จ็อบส์ดูเรียงตามลำดับเพื่อให้ชิ้นที่เขาชอบที่สุดเป็นชิ้นที่เด่นที่สุดทีมงานจึงซ่อนโมเดลที่ชอบไว้ใต้โต๊ะประชุม

จากนั้น ฟาเดลล์ เริ่มเอาโมเดลออกมาโชว์ ซึ่งโมเดลเหล่านี้ทำจากโฟมแบบเดียวกับที่ใช้ทำกล่องอาหาร ยัดไส้ตะกั่วเพื่อให้ได้น้ำหนักที่เหมาะสม ตัวอย่างแรกมีช่องใส่เมมโมรี่การ์ดสำหรับบันทึกเพลงแบบถอดได้ จ็อบส์ตัดตัวอย่างนี้ออกทันทีมันดูซับซ้อนไป

จากนั้นแบบที่สามคือ ฟาเดลล์ ได้ทำการจับชิ้นส่วนต่อกันเหมือนเลโก้เพื่อให้ดูว่าเครื่องเล่นบรรจุฮาร์ดไดร์ฟขนาด 1.8 นิ้วจะมีหน้าตาอย่างไร ซึ่งโมเดลนี้จ็อบส์ดูสนใจมาก ๆ  ซึ่งสุดท้ายจ็อบส์ก็เลือกแบบดังกล่าวซึ่งทำให้ฟาเดลล์ ถึงกับทึ่งมาก เพราะปรกติการประชุมแบบนี้ที่บริษัทอื่นจะต้องตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจอีก แต่กับ Apple จ็อบส์ ถือเป็นสิทธิ์ เด็ดขาด สามารถฟันธงได้ทันที ทำให้ทุกอย่างสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว

โดยหลังจากเริ่มโครงการอย่างเป็นทางการ จ็อบส์ ก็เข้ามาคลุกคลีด้วยทุกวัน จ็อบส์ให้ concept หลักของ iPod คือ “ทำให้ง่ายเข้าไว้!” ทุกฟังก์ชัน ต้องทำได้ภายใน 3 click ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะบางครั้งทีมงาน ต้องพยายามแก้ไขปัญหาในส่วนของ User Interface แบบไม่ได้หลับไม่ได้นอน

แต่จ็อบส์ก็พยายามหาจุดอ่อน ไปเรื่อย ๆ และให้ทีมงานไปคิดหาวิธีแก้มา ซึ่งบางครั้งทีมงานก็คิดไม่ออกว่าจะไปถึงสิ่งที่จ็อบส์ต้องการได้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่บ้ามาก ๆ ในหลายเรื่องที่ทีมงานต้องมานั่งแก้ไขเพื่อให้จ็อบส์นั้นพอใจ จนตอนนั้น มันทำให้ปัญหาเล็ก ๆ ต่าง ๆ แทบมลายหายไปเลยทีเดียว เพราะจ็อบส์จะเห็นรายละเอียดในทุก ๆ จุด และสั่งให้แก้ไขมันทันที

ในที่สุดจ็อบส์ได้เผยโฉมเครื่อง iPod ครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2001 ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจนเป็นแบบฉบับของตัวเอง ในบัตรเชิญที่ส่งไปยังสื่อนั้นมีข้อความยั่วยวนว่า “คำใบ้: คราวนี้ไม่ใช่ Mac” 

นาทีประวัติศาสตร์ที่จ๊อบส์ หยิบ เจ้า iPod ออกมาจากกระเป๋า (CR:Cult of Mac)
นาทีประวัติศาสตร์ที่จ๊อบส์ หยิบ เจ้า iPod ออกมาจากกระเป๋า (CR:Cult of Mac)

iPod ได้กลายเป็นแก่นสำคัญของทุกอย่างที่ apple ถูกชะตาได้กำหนดมาแล้ว ทั้งบทกวี ที่เชื่อมโยงกับวิศวกรรม ศิลปะ และ ความคิดสร้างสรรค์ มาบรรจบกับเทคโนโลยี การออกแบบที่กล้าแต่เรียบง่าย การใช้งานที่ง่ายมาก ๆ ซึ่งมันเป็นผลจากการทำงานอย่างหนัก และทำอย่างบูรณาการตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่ FireWire ถึงตัวเครื่อง ซอฟต์แวร์ และการจัดการคอนเทนต์ เมื่อลูกค้าหยิบเครื่อง iPod ออกจากกล่อง มันสวยจนดูคล้ายเรืองแสงได้ เทียบกันแล้วดูเหมือนเครื่องเล่นเพลงยี่ห้ออื่น ๆ ถูกออกแบบและผลิตในดินแดนที่ล้าหลังเลยทีเดียว

ต้องยอมรับว่า ตอนนั้น iPod โครตที่จะสมบูรณ์แบบเลย มันแทบจะสุดยอดนวัตกรรมใหม่ ที่คนทั่วโลกต่างตื่นเต้นกับเจ้า iPod เครื่องนี้ และเพียงไม่นาน ผู้บริโภคก็ทำให้มันกลายเป็นสินค้าขายดี และพลิกบริษัท Apple จากธุรกิจคอมพิวเตอร์ให้กลายมาเป็นบริษัทผลิตสินค้า consumer product ได้สำเร็จ เข้าสู่ยุครุ่งเรืองใหม่ของ Apple อย่างเป็นทางการ

… 

ต้องบอกว่าการเริ่มต้นยุคใหม่ของ จ็อบส์ โดยการเข้ามาคุม Apple ในคำรบที่สองนั้นแทบจะติดลบด้วยซ้ำ ตอนที่ จ็อบส์ เข้ามากู้วิกฤตินั้น สถานการณ์ของ Apple แทบจะเป็นซากปรักหักพังเป็นบริษัทที่รอวันล้มละลายเท่านั้น แต่ จ็อบส์ สามารถพลิก Apple กลับมาได้ โดยใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีด้วยนวัตกรรมที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่ล้วน ๆ 

และสิ่งสำคัญที่จ็อบส์ทำมาตลอดในช่วงดังกล่าว คือ การโฟกัส ซึ่ง เขาโฟกัส ในสิ่งที่ทำ การสร้าง iPod นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งทางด้านวิศวกรรม และ การออกแบบมากมาย แต่จ็อบส์ เชื่อมั่นว่า ทีมของเขาจะทำได้ เขาทำให้ทีมของเขาทำสิ่งที่ใครในโลก ไม่คิดว่าจะทำได้  iPod มันจึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่วิเศษที่สุด มันเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรีได้เลยด้วยซ้ำ และมันเป็นการพลิกโฉมของ Apple เข้าสู่ยุคใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบันได้อย่างแท้จริง

และเพราะ iPod นี่เอง ที่ทำให้ จ็อบส์ กล้าที่จะสร้าง iPhone หรือ iPad ตามมาได้ เพราะเขาสามารถทำเรื่องที่เหลือเชื่อ ด้วยทีมงานดรีมทีมที่มีความพร้อมขนาดนี้ได้แล้ว มันทำให้จ็อบส์ กล้าที่จะทำอะไรแหกกฏ ที่เคยมีมา

ลองจินตนาการกลับไปทั้งยุคของเครื่องเล่น MP3 ก่อน ที่จะมี iPod หรือมือถือสมาร์ทโฟนก่อนที่ iPhone จะเปิดตัวออกมา ไม่มีใครจินตนาการถึงมือถือสมาร์ทโฟนแบบ iPhone หรือเครื่องเล่น mp3 อย่าง iPod ในยุคก่อนหน้าได้เลยด้วยซ้ำ

จ็อบส์ ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะทำได้ทั้งนั้น เพราะมันแตกต่าง มันไม่เหมือนใคร และมันเป็น DNA ของการ Think Different ที่เป็น DNA หลักของ Apple เลยก็ว่าได้ เมื่อจ็อบส์ พร้อมจะลุย ลูกทีมของเขาก็พร้อมจะสู้กับจ็อบส์ เพราะไม่ว่าอุปสรรคจะยากหรือท้าทายมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยกลัวมันอีกต่อไปนั่นเองครับผม

References :
https://9to5mac.com/guides/phil-schiller/
https://www.apple.com/th/leadership/phil-schiller/
https://apple.fandom.com/wiki/Jon_Rubinstein
หนังสือ สตีฟ จ๊อบส์ : Steve Jobs
ผู้เขียน : Walter Isaacson (วอลเตอร์ ไอแซคสัน)
ผู้แปล : ณงลักษณ์ จารุวัฒน์ และคณะ
หนังสือ IPOD…แบรนด์ นวัตกรรมและจักรกลบันเทิง
ผู้เขียน : Dylan Jones
ผู้แปล : กรกฎ พงศ์พีระ


ศึกปะทะ ebay กับเคสตัวอย่างคลาสสิก แจ็ค(หม่า)ผู้ฆ่ายักษ์ใหญ่จากอเมริกา

ต้องบอกว่ามีการต่อสู้ทางธุรกิจหลายครั้งระหว่างแพลตฟอร์มทางด้านเทคโนโลยีของอเมริกาที่คิดจะบุกไปหยามเจ้าถิ่นอย่างประเทศจีน ซึ่งการปะทะกันที่ถือว่าเป็นศึกที่คลาสสิกที่สุดครั้งหนึ่งของวงการเทคโนโลยีโลกก็คือ ศึกระหว่าง ebay และ taobao ของ แจ็ค หม่า

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1999 ในบ้านธรรมดาหลังหนึ่งในหมู่บ้านริมทะเลสาบเมืองหังโจว ซึ่งเป็นบ้านของแจ็ค หม่า เป็นบ้านที่แสนธรรมดา มีเนื้อที่เพียง 150 ตารางเมตร มีโต๊ะเก่า ๆ และเก้าอี้อยู่ไม่กี่ตัว

แต่สำหรับพนักงานอาลีบาบาแล้วนั้น เป็นวันที่ควรแก่การรำลึก บ้านหลังนี้เป็นที่แห่งแรกที่ใช้ในการบ่มเพาะความฝันแรกเริ่มของอาลีบาบา และที่แห่งนี้ยังเคยเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจแรกของแจ็ค อย่าง ไชน่าเพจเจส

สำหรับผู้ร่วมการประชุมครั้งนี้ คือบรรดาผู้ก่อตั้ง อาลีบาบา จนกลายเป็นชื่อที่เรียกกันติดปากในภายหลังว่าคือ “เหล่า 18 อรหันต์” ซึ่งในวันนั้นไม่ได้มาทั้งหมด ที่ประชุมมีเพียง 16 คน (ส่วนอีก 2 คนร่วมการประชุมผ่านทางโทรศัพท์)

ในวันนั้น แจ็ค มองการณ์ไกล และได้มีการบันทึกภาพการประชุมดังกล่าวไว้ด้วย พระเอกของการประชุมครั้งนี้ก็คือ แจ็ค ผู้ร่วมประชุมต่างนั่งบ้าง ยืนบ้าน ห้อมล้อมท่านผู้นำแจ็ค อย่างใจจดจ่อ น้ำเสียงและท่าทางของแจ็คในวันนั้น มันช่างปลุกใจ ปลุกพลังให้กับคนรุ่นใหม่เหล่านี้ได้อย่างดียิ่ง

เหล่า 18 อรหันต์ เหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่อายุยังน้อย ซึ่งยังมีต้นทุนให้เสียได้ หากอาลีบาบามันไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่แจ็คหวังไว้ พวกเขาเหล่านี้ ก็สามารถที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ทันอยู่

แจ็คกับเหล่าทีมงาน 18 คน ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง อาลีบาบา (CR:alizila)
แจ็คกับเหล่าทีมงาน 18 คน ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง อาลีบาบา (CR:alizila)

แต่แจ็ค ค่อนข้างมั่นใจอย่างมาก เพราะแนวโน้มของ internet กำลังมาแรง รวมกับประสบการณ์ที่สั่งสมมาของเขา ที่ได้เห็นถึงช่องทางการตลาดที่ใหญ่มหาศาล ที่ยังไม่มีใครสนใจมันในขณะนั้น แจ็ค เปรียบเหมือนแม่ทัพ ที่กระตุ้นคนหนุ่มสาวเหล่านี้ ให้สู้ พร้อมที่จะบุกและตะลุยกับ อาลีบาบา โปรเจคใหม่ของแจ็ค

แต่แม้ว่าแจ็ค จะปลุกเร้าอย่างไรก็ตาม บรรยากาศของที่ประชุมนั้นเต็มไปด้วยความลังเล และความอ้างว้าง ขณะนั้นเหล่าทีมงานทุกคนที่เข้ามาร่วมฟัง เต็มไปด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด แทบจะไม่เห็นรอยยิ้มจากใครคนใด เพราะมันคือการตัดสินชะตาและอนาคตของพวกเขาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

แจ็คเริ่มวางพิมพ์เขียวให้กับบริษัทใหม่อย่าง อาลีบาบา โดยมีเป้าหมายใหญ่ 3 ประการคือ หนึ่งบริษัทที่เขาตั้งจะต้องอยู่ได้ถึง 80 ปี สองคืออาลีบาบาจะเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซเพื่อให้บริการกับเหล่า SME ของจีน และสุดท้ายที่ทำให้ทีมงานทุกที่ร่วมประชุมแทบอึ้งไปตาม ๆ กัน คือ แจ็คต้องการสร้างอาลีบาบาให้กลายเป็นเว๊บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก และจะต้องอยู่ใน top สิบอันดับแรกของเว๊บไซต์ทั่วโลก 

เขากล่าวกับทีมงานทุกคนอย่างมั่นอกมั่นใจว่า อีก 3-5 ปีข้างหน้า เมื่ออาลีบาบากลายเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สิ่งที่ทุกคนได้จ่ายไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน หรือ แรงกายแรงใจที่ทุ่มเทให้กับ อาลีบาบา จะได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าอย่างแน่นอน

จากเงินลงทุนเริ่มแรกที่ทุกคนสมทบกันได้ 500,000 หยวน อาลีบาบา ก็เริ่มการต่อสู้อย่างยากลำบากเลยทีเดียว ต้องประหยัดอดออมในทุก ๆ สิ่ง เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของแจ็คในวันข้างหน้า

….

ตัดภาพมาในปี 2003 มันได้เป็นดั่งคำทำนายของแจ็คไว้จริง ๆ เพราะมันเป็นช่วงเวลาขาขึ้นสุด ๆ สำหรับอาลีบาบา หลังจากเจอขุมทรัพย์ใหม่คือเหล่าพ่อค้าส่งทั้งหลายที่กำลังแห่แหนกันเข้ามาใช้บริการของอาลีบาบา เพียงไม่นานนักหลังจากเปลี่ยนกลยุทธ์หลักมา focus ที่เหล่าพ่อค้าคนกลาง อาลีบาบาก็สามารถที่จะกินรวบตลาด B2B ได้แบบเบ็ดเสร็จ 

แต่ปัญหาก็คือ แล้วตลาด C2C ล่ะ ( customer to customer) ในตอนนั้น EachNet เป็นผู้นำในตลาด C2C ของประเทศจีน บริษัทซึ่งก่อตั้งในปี 1999 สามารถกินรวบตลาด C2C ได้กว่า 90% ซึ่งช่วงแรก EachNet นั้นให้บริการทุกอย่างฟรี แต่มีโมเดลรายได้จากการโฆษณาเพียงเท่านั้น โดยไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ แบบที่ อาลีบาบาทำ

และมันทำให้ไปแตะจมูกยักษ์ใหญ่ทางด้าน C2C จากอเมริกาอย่าง ebay ซึ่งตอนนั้นต้องบอกว่าเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ebay นั้นขยายอาณาจักรไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยใช้ โมเดล การ takeover กิจการเป็นหลักเพื่อใช้ในการบุกตลาดได้อย่างรวดเร็ว และ เป็นผู้นำในตลาดในทุก ๆ ประเทศที่บุกไปไม่ว่าจะเป็น ออสเตรเลีย แคนาดา เยอรมัน หรือ อังกฤษ ebay ขยายอาณาจักรเป็นว่าเล่น จนไปถึงประเทศยักษ์ใหญ่ในเอเชียอย่าง ญี่ปุ่น

และญี่ปุ่นนี่เองที่เป็นประเทศแรกที่ ebay พ่ายแพ้ ให้กับ YAHOO ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตอนนั้นทำบริการหลากหลายใน online ไม่ใช่แค่เพียงเฉพาะ เว็บไดเร็คทอรี่เพียงเท่านั้น และ พาร์ตเนอร์คนสำคัญของ YAHOO ญี่ปุ่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาก็คือ มาซาโยชิ ซัน แห่งซอฟต์แบงค์นั่นเอง

และการพ่ายแพ้ของ ebay ที่ญี่ปุ่นนี่เอง ที่ทำให้ มาซาโยชิ ซัน ได้เรียกแจ๊คมาคุยที่โตเกียว เพื่ออัพเดทสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งมันคือการแจ้งให้แจ๊ค เตรียมรับมือกับ ebay ที่กำลังจะไปบุกประเทศจีนในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งมาซาโยชิ เองก็คิดว่า ในเมื่อเขาเอาชนะ ebay ที่ญี่ปุ่นได้ ก็ย่อมที่จะสามารถชนะในจีนได้เช่นกัน ทั้งนี้เพราะเขาพบว่าการดำเนินธุรกิจและการตลาดของ ebay ในเอเชียนั้น มีปัญหาคือเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ได้

 มาซาโยชิ ซัน ได้เรียกแจ๊คมาคุยที่โตเกียว เพื่ออัพเดทสถานการณ์เตรียมสู้กับ ebay (CR:Twitter)
มาซาโยชิ ซัน ได้เรียกแจ๊คมาคุยที่โตเกียว เพื่ออัพเดทสถานการณ์เตรียมสู้กับ ebay (CR:Twitter)

กำเนิด taobao

และแล้ววันหนึ่งในเดือนมีนาคม ปี 2003 มันเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งเหมือนทุก  ๆ วัน ภายในออฟฟิสใหม่ของอาลีบาบา แต่มันมีบางอย่างผิดปรกติ มีพนักงานกว่า 10 คนถูกเรียกตัวไปยังห้องทำงานของแจ๊คที่ชั้นแปดของอาคารหัวซิง ซึ่งตอนนั้นผู้บริหารระดับสูงรวมถึงแจ๊คต่างนั่งกันอยู่ครบ

แจ๊คให้พนักงานเข้ามาทีละคน เพื่อรับทราบภารกิจลับบางอย่าง และเซ็นสัญญาไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกสู่ภายนอก แม้กระทั่งครอบครัวของตัวเองก็ห้าม หลังจากเซ็นกันครบทุกคน แจ๊คก็ต้องเปิดเผยภารกิจอันเร้นลับนี้ ซึ่งมันก็คือ อาลีบาบาจะบุกตลาด C2C แล้วสู้กันซึ่ง ๆ หน้ากับ ebay โดยให้พนักงานเหล่านี้ไปทำเว็บไซต์เลียนแบบ ebay ขึ้นมาเว็บหนึ่ง และเส้นตายคือ 1 เดือนเท่านั้น เว็บต้องพร้อมออนไลน์ในเดือนพฤษภาคม เล่นเอาหนุ่มสาวทั้งสิบคนตกใจจนอ้าปากค้างกันเลยทีเดียว

ซึ่งหลังจากนั้นทีมงานลับทั้ง 10 คนก็หายไปจากบริษัททันที เพราะแจ็ค ใช้ออฟฟิศเก่าคือบ้านริมทะเลสาบหังโจวของเขาเป็นฐานบัญชาการของเว๊บไซต์ C2C ตัวใหม่ที่จะทำมาแข่งกับ ebay 

ใน 10 คนนั้น สามคนเป็นวิศวกรด้านเทคนิคมือดี ที่ได้รับการคัดเลือกมาอย่างดีแล้ว ส่วนอีกเจ็ดคนนั้นรับผิดชอบส่วนของเว็บไซต์ และ บริการลูกค้า และโปรเจคลับที่ทั้ง 10 คนต้องร่วมกันพัฒนา นี้ถูกตั้งชื่อว่า taobao นั่นเอง

ผู้ดูแลหลักของโครงการ taobao คือ ซุนถงอวี่ ซึ่งแจ๊ค ส่งให้มาดูแลโปรเจคนี้โดยเฉพาะ และเป็นคนที่ช่วยกำหนดทิศทางของเว็บ เนื่องจากเหล่าทีมงานทั้ง 10 คนนั้นเคยทำมาแต่เว็บ B2B อย่างอาลีบาบา ไม่เคยเข้าใจธุรกิจของ C2C สุดท้ายจึงตัดสินใจร่วมกันว่ารูปแบบของ ebay นั้นดีที่สุด พวกเขารู้สึกว่าการประมูลคือรูปแบบหนึ่งเดียวของ C2C

ในที่สุดหลังจากทำงานกันอย่างหนักแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน วันที่ 10 พฤษภาคม 2003 เว็บ taobao ก็ออนไลน์ได้สำเร็จ แจ๊คกับซุนถงอวี่ และผู้บริหารระดับสูงก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำว่ามันจะออนไลน์ได้สำเร็จในเพียงแค่เดือนเดียว

และแน่นอนในตอนนั้นพนักงานส่วนใหญ่ใน อาลีบาบา แทบจะไม่มีใครล่วงรู้ถึงการแอบพัฒนา taobao อย่างลับ ๆ แจ็คปล่อยให้มันเป็นปริศนาในโลกออนไลน์ ในช่วงแรกของการเปิดตัว taobao ซึ่งแม้กระทั่งพนักงานอาลีบาบาเอง ก็คิดว่า taobao จะมาเป็นคู่แข่งกับ อาลีบาบา ด้วยซ้ำไป

และในที่สุดหลังจากปล่อยให้เป็นปริศนากว่า 2 เดือน ตอนนั้นเริ่มมีสมาชิกเข้ามาใช้งาน taobao จำนวนหนึ่งแล้ว แจ็คก็ทำการเฉลยให้เหล่าพนักงานอาลีบาบาได้รับรู้ว่า taobao นั้นเป็นผลงานภารกิจลับของทีมที่หายไปนั่นเอง และ ทารกน้อยตัวใหม่อย่าง taobao ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยอาลีบาบาประกาศจะทุ่มเงิน 100 ล้านหยวน บุกตลาด C2C ต่อหน้าสื่อที่เข้ามาทำข่าวการเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งนี้

แจ็คแอบทำโปรเจค taobao โดยไม่บอกแม้กระทั่ง มาซาโยชิ ซัน ที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการอาลีบาบาในขณะนั้น ทำให้ มาซาโยชิ นั้นร้อนใจจนต้องไปลงทุนกว่า 40 ล้านเหรียญในเว๊บ snda.com ซึ่งเป็นเว๊บ C2C ที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนั้น โดยเป็นการลงทุนสูงที่สุดของมาซาโยชิในประเทศจีน เพราะเขาไม่รู้ว่าแจ็คกำลังแอบสร้าง taobao อยู่

หลังจากรู้ข่าวเรื่อง taobao จึงทำให้มาซาโยชิ อยากลงทุนเพิ่มในอาลีบาบาเพื่ออัดฉีดเงินเข้าไปยัง taobao ในการสู้ศึก C2C กับ ebay ที่ขณะนั้นกำลังเข้าสู่ตลาดจีนผ่านการ take over EachNet เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตอนนี้ทารกน้อยคนใหม่อย่าง taobao ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว พร้อมแรงสนับสนุนด้านเงินทุนแบบไม่มีอั้นจากป๋าใจใหญ่อย่าง มาซาโยชิ ซัน ทำให้ตอนนี้ ebay ซึ่งในขณะนั้นเป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการ C2C ซึ่งแทบจะไม่เคยแพ้ใครที่ไหนนอกจากในญี่ปุ่น ได้เจอกับศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว

สภาพแวดล้อมในธุรกิจค้าปลีกของจีนนั้นมีพัฒนาการแตกต่างจากหลาย ๆ ประเทศ วิวัฒนาการปรกติของธุรกิจค้าปลีกมักจะเริ่มต้นขึ้นจากร้านโชว์ห่วย พัฒนามาเป็นห้างสรรพสินค้า เป็นดิสเค้าท์สโตร์ เป็นร้านค้าเฉพาะทาง และจบลงด้วยธุรกิจรูปแบบใหม่คือ อีคอมเมิร์ซ

แต่สำหรับประเทศจีนนั้นมันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากประเทศจีนนั้นเปิดประเทศมาเพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น และมีการเติบโตของชนชั้นกลางที่รวดเร็วที่สุดประเทศหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก ย่อมทำให้เกิดการก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วของพัฒนาการในธุรกิจค้าปลีกเหล่านี้ และจีนเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ที่กระโดดจากร้านโชว์ห่วยข้ามมาเป็น อีคอมเมิร์ซ ได้รวดเร็วและรุนแรงที่สุด

และหลังจากที่แจ็ค หม่า ได้สร้าง taobao ขึ้นมาออนไลน์ได้เรียบร้อยแล้วนั้น มันคือจุดเริ่มต้นของการสู้รบระหว่างธุรกิจ C2C ของ อาลีบาบา และผู้นำในตลาดอีคอมเมิร์ซจากอเมริกาอย่าง ebay ซึ่งในตอนนั้นต้องบอกว่า ebay เป็นยักษ์ใหญ่ที่สุดในวงการอีคอมเมิร์ซโลกเลยก็ว่าได้ 

ebay นั้นบุกไปที่ประเทศไหน ก็สามารถยึดครองตลาดได้แทบเบ็ดเสร็จ มีเพียงแค่ญี่ปุ่นที่เดียวเท่านั้น ที่ ebay ไม่สามารถยึดครองได้ เนื่องจากพ่ายแพ้ต่อ YAHOO Japan แต่อย่างไรก็ดี ebay ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถยึดตลาดจีนได้ เพราะตอนนั้นเอง taobao ก็ยังเล็กเกินกว่าที่จะต่อสู้กับ ebay  

ซึ่งหลังจาก ebay เข้าตลาดจีนได้สำเร็จจากการ take over EachNet โดย Meg Whitman ที่ดำรงตำแหน่ง CEO ของ ebay ในขณะนั้น ได้กล่าวไว้ว่าประเทศจีนคือตลาดที่สำคัญที่สุดอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา และเขาคาดว่าในอีก 10-15 ปี ตลาดจีนจะกลายเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของ ebay และที่สำคัญยังประกาศท้ารบกับคู่แข่งโดยกล่าวไว้ว่าจะทำการยุติสงครามอีคอมเมิร์ซให้ได้ภายใน 18 เดือน ซึ่งถือเป็นคำขู่จากบริษัทที่ถือเป็นยักษ์ใหญ่วงการอีคอมเมิร์ซโลก

ebay take over EachNet เพื่อเริ่งเข้าสู่ตลาด C2C จีน (CR:GettyImage)
ebay take over EachNet เพื่อเริ่งเข้าสู่ตลาด C2C จีน (CR:GettyImage)

กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง

ตอนนั้น ebay ทุ่มหมดหน้าตัก ทำการโฆษณาสัมพันธ์ไปทั่วทั้งจีน โดยเว็บไซต์ใหญ่ ๆ ในประเทศจีนในตอนนั้น ได้ถูก ebay ซื้อพื้นที่โฆษณาไปแทบจะหมดแล้ว แล้วแจ็คตัวน้อยกับ taobao ของเขาจะทำอย่างไร ด้วยทุนรอนที่น้อยกว่า แถมเครือข่ายเว็บใหญ่ ๆ นั้นได้ถูก ebay ยึดครองไปหมดแล้ว

แต่เนื่องจากหลังปี 2000 จำนวนผู้ใช้ internet ในจีนเพิ่มมากขึ้นและต้นทุนการทำเว็บก็ลดลงไปมาก เว็บไซต์ขนาดเล็กจึงเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด เว็บเหล่านี้ส่วนมากทำโดยบุคคลทั่วไป และเป็นเว็บไซต์เจาะจงในความสนใจหรือความต้องการของเจ้าของเว็บเป็นหลัก

ซึ่งเครือข่ายเว็บไซต์เหล่านี้ล้วนเสนอราคาค่าโฆษณาที่ต่ำมาก และมีการผูกโยงเป็นเครือข่ายไว้บ้างแล้ว ซึ่งทำให้ taobao นั้นจะไปโฆษณาอยู่ในเครือข่ายเว็บเหล่านี้แทนเว็บไซต์ขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อเทียบจากผลลัพธ์แล้วนั้น พบว่าได้ผลดีกว่าเว็บไซต์ใหญ่ ๆ เสียอีก โดยใช้เงินทุนที่น้อยกว่ามาก

Localization

กลยุทธ์อีกอย่างที่สำคัญของ taobao คือ ความเข้าใจในพื้นที่ ซึ่ง taobao มีสูงกว่า ebay มาก แจ็คได้ปรับ taobao ให้เป็นเว็บไซต์ที่มีหน้าตาแบบจีนแท้ ๆ คือมีตัวหนังสือเต็มไปหมดทั้งหน้าจอ เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีพื้นที่ว่างเลยด้วยซ้ำ

ในสายตาของ ebay ที่คิดแบบฝรั่งนั้น มันคือความรกชัด ๆ ebay ต้องการหน้าจอที่ใช้งานได้แบบเรียบง่ายตามสไตล์อเมริกา ที่เน้นหน้าจอที่ดูสะอาดใช้งานง่าย ๆ แต่นี่คือประเทศจีน มันคือความเคยชิน ที่เหล่าลูกค้าคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน

การเรียงหมวดหมู่สินค้าก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ  taobao นั้นเรียงหมวดหมู่ของสินค้าตามสไตล์จีนแท้ ๆ คือเรียงหมวดหมู่สินค้าแบบห้างสรรพสินค้าในจีน ในขณะที่ ebay นั้นจัดเรียงแบบบริษัทแม่ที่อยู่ในอเมริกา ทำให้ลูกค้าชาวจีนที่เข้ามาใช้บริการใหม่ ๆ จะรู้สึกคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มของ taobao มากกว่า

หน้าเว๊บไซต์ สไตล์จีนแท้ รวมถึงการเรียงหมวดหมู่สินค้าแบบวัฒนธรรมจีน (CR:SlideServe)
หน้าเว๊บไซต์ สไตล์จีนแท้ รวมถึงการเรียงหมวดหมู่สินค้าแบบวัฒนธรรมจีน (CR:SlideServe)

ebay นั้นได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดอีกอย่างนึงที่ไม่เข้าใจถึงวัฒนธรรมจีนเลย ก็คือ การทำให้ แพลตฟอร์มของ ebay ทั่วโลกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้ต้องมีการปรับหน้าเว็บจาก EachNet เดิมที่คนจีนคุ้นเคย เปลี่ยนมาเป็น ebay แบบเดียวกับที่อเมริกา ทำให้ ขั้นตอนการซื้อขาย กลไกการประเมินราคา และอื่น  ๆ อีกมากมาย ซึ่งทำให้ลูกค้าเก่าในประเทศจีนที่ชินกับลักษณะเดิม ๆ ปรับตัวไม่ได้

ebay พยายามมาคั่นกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายด้วยความกลัวว่าจะไม่ได้ค่าธรรมเนียม ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัท แต่ taobao ปล่อยให้ผู้ซื้อและผู้ขายคุยกันได้อย่างอิสระ แถมยังมีโปรแกรม Messenger ให้คุยกันง่ายขึ้นด้วย เพราะ taobao นั้นไม่มีค่าธรรมเนียมจึงไม่ต้องกลัวว่าผู้ซื้อและผู้ขายจะไปขายกันเองโดยไม่ผ่านแพลตฟอร์ม

สุดท้ายคนก็ใช้ แพลตฟอร์มของ taobao ที่ง่ายกว่า เพราะไม่ว่าจะซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มหรือไม่ก็ไม่ได้เสียเงินอยู่แล้ว ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ลูกค้าของ taobao รู้สึกว่า taobao จริงใจในการช่วยเหลือพวกเขาและไม่หน้าเลือด มุ่งแต่จะเก็บแต่ค่าธรรมเนียมเหมือน ebay

และลำพังการให้บริการฟรีเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะ ebay ได้อย่างแน่นอน แจ็คจึงต้องสร้างระบบให้บริการบนเว็บที่ดีด้วย เขาจึงทุ่มเทอย่างหนักเพื่อปรับปรุงการบริการให้ตอบสนองลูกค้าให้ดีที่สุด เขามุ่งมั่นที่จะทำระบบบริการลูกค้าสำหรับเว็บที่ให้ใช้ฟรีอย่าง taobao ให้ได้ดียิ่งกว่าเว็บที่คิดค่าธรรมเนียมอย่าง ebay อีกด้วย

นั่นมันทำให้ลูกค้าเริ่มหลั่งไหลมาใช้งาน taobao แทน แต่ทางผู้บริหาร ebay ก็ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดของตน โดย ทำการเผาเงินเพื่อทุ่มโฆษณาขนานใหญ่เพื่อหวังฆ่า taobao ให้ตาย ด้วยเงินทุนที่มากกว่า

แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นการโฆษณาที่ไร้ตรรกะสิ้นเชิง ผู้บริหารระดับสูงของ ebay นั้นละเลยความจริงพื้นฐานข้อหนึ่งที่ว่า taobao ของ อาลีบาบานั้นกำลังกลายเป็นหนุ่มใหญ่วัยกำลังเจริญเติบโต

ในขณะนั้นการซื้อขายออนไลน์ยังไม่ฝังลึกลงในใจชาวจีน โฆษณาทั้งหมดเกี่ยวกับการซื้อขายออนไลน์จึงล้วนกลายเป็นการทำตลาดให้ธุรกิจ C2C ทั้งหมดของจีนไปด้วย ดังนั้น ebay จึงกลายเป็นฮีโร่ในตลาด C2C การโฆษณาแบบเหวี่ยงแหของ ebay กลับกลายเป็นการทำโฆษณาฟรีให้ taobao ไปด้วย

และไม่ว่าจะด้วยตรรกะของแจ็ค หรือความจริงที่ปรากฏในภายหลังล้วนพิสูจน์ได้ว่า ในการแข่งขันทางธุรกิจนั้นการเผาเงินอย่างบ้าคลั่งของ ebay ไม่มีคุณค่าเลยแม้แต่น้อย และสำหรับตลาดประมูลของประเทศจีนแล้ว ebay ดูเหมือนจะกลายเป็นผู้เสียสละด้วยซ้ำโดยเฉพาะการสละเงินจำนวนมากในการทุ่มโฆษณาครั้งนี้

ในเดือนพฤษภาคม 2005 ส่วนแบ่งการตลาดของ taobao คือ 67.3% แซงหน้า ebay ที่ครอง 29.1% สมาชิกลงทะเบียน taobao 19 ล้านราย ในปี 2006 สามาชิกของ taobao เพิ่มเป็น 22.5 ล้านรายมากกว่า ebay ในที่สุด taobao ก็ครองแชมป์ตลาด C2C ของจีนทั้งด้านจำนวนสมาชิกและยอดเงินจากการซื้อขาย

และในที่สุดในช่วงฤดูหนาวปี 2006 ebay ก็ต้องถอนตัวจากประเทศจีน โดยขายกิจการให้กับ กลุ่ม TOM เป็นอันสิ้นสุดสงคราม C2C ของประเทศจีนที่ฝ่าย taobao เอาชนะไปได้อย่างขาดลอย

ต้องบอกว่า สงครามระหว่าง taobao กับ ebay ในประเทศจีนครั้งนี้ ถือเป็น case study ที่สำคัญของวงการธุรกิจโลก ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้นำทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด และกำลังบูมสุดขีดในขณะนั้น แต่ฝ่ายหลังที่สร้างเว๊บไซต์ขึ้นมาใหม่ใช้เวลาแค่ 2 ปีก็แย่งส่วนแบ่งการตลาดมาได้ถึง 70% 

และสุดท้ายมันก็พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนแล้วว่าสงครามในครั้งนี้ taobao เอาชนะไปได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และทำให้ท้ายที่สุดแพลตฟอร์มจากอเมริกาเริ่มเข็ดขยาดที่จะคิดมาบุกประเทศจีนไปในที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Alibaba : The House That Jack Ma Built by Duncan Clark
หนังสือ ชีวประวัติ แจ็ค หม่า มีชีวิตอยู่เพื่อสะท้านโลก
ผู้เขียน หลิวซื่ออิง
ผู้แปล ชาญ ธนประกอบ
https://www.brandinginasia.com/alibaba-founder-jack-ma-stars-in-short-martial-arts-film-by-alibaba-pictures/

บทเรียนการทำธุรกิจกับเพื่อน จาก Death Note สู่เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของการก่อตั้ง Facebook

การทำธุรกิจกับเพื่อนถือว่าเป็น case study ในเรื่องปัญหาที่มักจะตามมาในภายหลังซึ่งมีน้อยคนนักที่สามารถทำธุรกิจร่วมกับเพื่อนแล้วจะประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สบาย ๆ อย่างที่หลายคนคิด โดยเฉพาะปัจจัยเรื่องเงินและความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มักจะเข้ามารบกวนการทำธุรกิจอยู่เสมอ

ซึ่งเคสที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คงเป็นเรื่องของการก่อตั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอันดับหนึ่งของโลกในทุกวันนี้อย่าง facebook ที่เรียกได้ว่า ไม่ต่างจากศึกเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดกันเลยทีเดียว

ถ้าย้อนกลับไปในช่วงปี 2004 นั้น เว็บไซต์ social network ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วและมีเจ้าตลาดอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น friendster หรือ myspace  หรือในไทยเรา ก็เริ่มใช้ Hi5 กันแล้ว ถ้าหลาย ๆ คนยังคงจำได้

แล้ว facebook จะแจ้งเกิดได้อย่างไร ในวันที่ ระบบ social network เต็มไปหมดแล้ว ซึ่งถ้าใครหลายคนยังจำได้ การเข้าใช้งาน facebook ในช่วงแรก ๆ ที่เปิดให้คนทั่วไปใช้งานนั้น ต้องมีการ invite เข้าไปเล่น ไม่สามารถสมัครได้โดยตรง

เราอาจจะเคยได้ยินข่าวเมื่อไม่นานมานี้ สำหรับการลอกไอเดียจาก snapchat ของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก โดยนำมาพัฒนาของตัวเองในฟีเจอร์อย่าง Stories ที่ตอนนี้มีทั้งใน facebook และ instragram ผลิตภัณฑ์หลักทั้งสองตัวของเขา

ก็ต้องบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับคนอย่าง มาร์ค ที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ

การ copy ไอเดียนั้นเป็นเรื่องปรกติของมาร์ค มีผลิตภัณฑ์ startup หลายตัวมากที่ มาร์ค ทำการลอกเลียนแบบเพื่อหวังจะฆ่าทิ้ง หากไม่ยอมให้ซื้อกิจการแบบที่ snapchat ปฏิเสธการเข้าซื้อของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

มาร์ค นั้นไม่ได้มีแนวคิดที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ social network อะไรมาก่อนเลย ทำ facemash โปรเจ็กต์ทดลองเล่น ๆ ในหอพักมหาวิทยาลัยก็เละไม่เป็นท่า กลายเป็นสาว ๆ ยี้กันทั้งมหาลัย

เพราะฉะนั้น แนวคิด เริ่มต้นมีความชัดเจนว่ามาจากสองพี่น้อง winklevoss ที่ มาร์ค ไปพบเพื่อเข้าร่วม project harvard connection ซึ่งเรื่องนี้มีหลักฐานมากมายในการส่ง email ระหว่าง มาร์ค กับ เหล่าสองพี่น้อง winklevoss เพื่ออัพเดทสถานะของ โปรเจค harvard connection

แต่สิ่งที่ สองพี่น้องไม่รู้ถึงความแสบของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ก็คือมาร์คนั้นได้สร้างโปรเจค social network ขึ้นมาอีกตัวโดยใช้ชื่อว่า thefacebook ซึ่งเป็นชื่อแรกก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็น facebook จนถึงทุกวันนี้

แม้ idea หลาย ๆ อย่างจะไม่เหมือนกันเลยซะทีเดียว เพราะทาง harvard connection นั้นจะมีส่วนของเว็บที่เป็นการหาคู่เดท แต่ฟีเจอร์หลัก ๆ ที่เหมือนกันก็คือ ความเป็น exclusive network ซึ่งเป็นฟีเจอร์หลักของทั้ง thefacebook และ harvard connection

แต่หลาย ๆ ฟีเจอร์นั้นมาร์ค ก็ได้ใส่เพิ่มเข้าไปเองใน thefacebook โดยเน้นให้เป็น social network แบบ exclusive จริง ๆ มีการสร้าง profile มีการ invite friend การ share รูปภาพ และความสนใจต่าง  ๆ  , class เรียน ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของเหล่านักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น

โดยนำทุกสิ่งยัดมาไว้ในระบบ online ทั้งหมด ซึ่งความเป็น social นั้น thefacebook ของ มาร์ค มีมากกว่า harvard connection ของสองพี่น้อง winklevoss อย่างเห็นได้ชัด ที่มาร์ค มองเป็นแค่เว็บหาคู่เดท online เท่านั้น

สร้างธุรกิจกับเพื่อน Love เพียงคนเดียวของเขา

ต้องบอกว่าในมหาลัย นั้น มาร์ค ก็แทบจะมีเพื่อนอยู่ไม่กี่คน แต่บุคคลที่มาร์ค สนิทที่สุด น่าจะเป็น เอดูอาร์โด ซาเวริน

ไม่มีใครรู้ว่า ทำไม มาร์ค ถึง ไม่ยอมสร้าง harvard connection กับทีมงานของ winklevoss ทั้งที่มีทั้งทุนทรัพย์ รวมถึง connection มากมาย เนื่องจากเป็นลูกมหาเศรษฐี ส่วนนี้ไม่มีใครที่รู้แน่จริงชัดเจน อาจจะเพราะไม่ได้ถูกชะตา หรือ มองว่าตัวเขาเองสามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าสองพี่น้องคู่นี้ได้ด้วยตัวของเขาเอง

สำหรับ เอดูอาร์โด ซาเวริน นั้นในขณะนั้นได้เข้าร่วมกับชมรม ฟินิกซ์ ซึ่งเป็นชมรมชื่อดังแห่งหนึ่งของ harvard เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในวันสุดท้ายของการคัดเลือกเข้าชมรมนั่นเอง ที่มาร์ค ได้มาคุยเรื่อง idea ของ thefacebook ให้ เอดูอาร์โด ซาเวริน ฟัง

ซึ่ง เอดูอาร์โด ซาเวริน นั้นก็งงว่าทำไมต้องเลือกเขาเพราะเพื่อนร่วมห้องของมาร์ค อย่าง ดัสติน มอสโควิช นั้นก็เป็นโปรแกรมเมอร์มือดี ฝืมือไม่ต่างจากมาร์ค น่าจะช่วยเหลือได้ดีกว่า เอดูอาร์โด ที่ไม่มีความรู้ทางด้านการเขียนโปรแกรมเลย

แต่ทุกอย่างก็เฉลย ด้วยเรื่องของเงินทุนตั้งต้นนั่นเอง เอดูอาร์โด เป็นเซียนเรื่องเกี่ยวกับอุตุนิยมวิทยาซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันที่ผันผวน โดยเขาสามารถทำนายพายุเฮอริเคนที่จะพัดเข้าฝั่งได้

ส่วนนี้ทำให้ในช่วงปิดเทอมเขาสามารถทำกำไรจากการซื้อขายน้ำมันได้กว่า 300,000 เหรียญ ซึ่งเรื่องนี้ดังพอสมควร และเป็นส่วนหนึ่งให้เขาสามารถเข้าชมรมฟินิกซ์ที่เข้ายากแสนยากชมรมหนึ่งได้

นอกจากเรื่องเงินแล้ว มาร์ค ซึ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใคร แทบจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ แล้วจะมาสร้าง social network โดยที่ไม่มีความรู้เรื่องการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างมันก็ค่อนข้างแปลกอยู่

การมี เอดูอาร์โดนั้น จะช่วยเหลือทั้งเรื่องเงินรวมถึงคอยเป็นที่ปรึกษาในฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ thefacebook ใน version แรกได้อย่างดี ว่าควรมีฟีเจอร์ใดบ้าง สังคมในมหาลัยนั้นขับเคลื่อนด้วยเรื่องเซ็กส์การลุ้นที่จะหาคู่เดท ซึ่งเป็นสิ่งที่มาร์ค ไม่ถนัดเป็นอย่างยิ่ง

ซึ่งมีการตกลงกันชัดเจนตั้งแต่แรก โดยมาร์ค จะให้ส่วนแบ่ง 70:30 โดยจะให้ เอดูอาร์โด 30 เปอร์เซ็นต์ สำหรับเงินทุนตั้งต้น 1,000 เหรียญ ไว้เป็นค่า server รวมถึง software ต่าง ๆ ให้ระบบสามารถ online ได้ และมาร์คได้ มอบตำแหน่ง CFO ให้กับ เอดูอาร์โด ซาเวริน เพื่อดูแลส่วนของธุรกิจ ซึ่งเป็นงานที่ เอดูอาร์โด ซาเวริน นั้นถนัดอยู่แล้ว

หลังจากเปิดตัวเวอร์ชั่นแรกที่ตอนนั้นชื่อ thefacebook เว็บไซต์ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและความนิยมก็เริ่มกระจายไปยังมหาวิทยาลัยชื่อดังต่าง ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา และทำให้ thefacebook นั้นเนื้อหอมและสามารถดึงดูดนักลงทุนจำนวนมากที่กำลังได้กลิ่นเงิน ที่ thefacebook จะเจริญรอยตามความสำเร็จของบริษัทรุ่นพี่ อย่าง yahoo หรือ google ทำได้

thefacebook เปิดตัวก็พุ่งทะยานสู่ความสำเร็จอย่างรวดเร็ว (CR:drishtiias.com)
thefacebook เปิดตัวก็พุ่งทะยานสู่ความสำเร็จอย่างรวดเร็ว (CR:drishtiias.com)

ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ๆ ฌอน บาร์คเกอร์ อดีตผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มแชร์ไฟล์ mp3 อย่าง Napster ก็ได้ตามหามาร์คจนพบและได้เข้ามาร่วมชายคาเดียวกับมาร์คในฐานะที่ปรึกษาและมองเห็นถึงศักยภาพของ facebook ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงโลกได้อีกครั้ง

สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของมาร์ค ให้ตัดสินใจรับเงินลงทุนเร็วขึ้น สาเหตุมากจากการทะเลาะกันกับเอดูอาร์โด ที่พยายามการอายัดบัญชีทั้งหมดรวมถึงยกเลิกเช็คทั้งหมดของ thefacebook ที่มาร์คใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจที่ ซิลิกอน วัลเลย์

เอดูอาร์โด ไม่พอใจที่มาร์ค ที่ให้ฌอนนัดแนะไปพบเหล่านักลงทุนต่าง ๆ โดยไม่มีเขาอยู่ด้วย เพราะเขาเป็นผู้ดูแลเรื่องธุรกิจของ thefacebook ตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งบริษัท ซึ่งเอดูอาร์โด มองว่าต้องยึดมั่นตรงนั้น หากต้องการทำธุรกิจร่วมกัน

และที่สำคัญฌอนนั้นเป็นแค่ที่ปรึกษา ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับบริษัทเลยด้วยซ้ำและมาร์ค ก็ควรจะทำหน้าที่ของตัวเองคือดูแลส่วนของเทคโนโลยี หรือ การพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ  แทนและให้ตัวเขานั้นจัดการเรื่องธุรกิจทั้งหมด

ด้วยสถานการณ์ทุกอย่าง รวมถึงการเติบโตอย่างฉุดไม่อยู่ของ thefacebook มันก็ถึงเวลาที่ต้องมีการเลือกนักลงทุน เพื่อมาสานต่อให้บริษัทนี้ กลายเป็นบริษัทหน้าใหม่ที่จะช่วยพลิกโฉมวิถีชีวิตของคนทั้งโลกได้ผ่านเครือข่ายสังคมอันทรงพลังอย่าง thefacebook

ปีเตอร์ ธีล ผู้ร่วมก่อตั้ง paypal หนึ่งในบุคคลที่ได้ยอมรับในฐานะผู้ปฏิวัติระบบการชำระเงิน online ซึ่งตอนนั้นเป็น ประธานของบริษัท คลาเรียม แคปปิตอล กองทุนเพื่อผู้ประกอบการหรือ startup หน้าใหม่ ซึ่งมีเงินลงทุน กว่าหลายพันล้านเหรียญในมือ

ในที่สุดการพบกันของ มาร์ค  , ฌอน และ ปีเตอร์ ธีล ก็มาถึง เป็นการพบกันครั้งแรกของหนึ่งผู้ปฏิวัติที่เคยทำกับ paypal สำเร็จมาแล้ว กับอีกหนึ่งอัจฉริยะ อย่าง มาร์ค ที่กำลังจะดำเนินรอยตาม ปีเตอร์ ธีล ด้วยการปฏิวัติเครือข่ายสังคมออนไลน์ซึ่ง ธีล ก็พอจะมองเห็นและเข้าใจได้ถึงศักยภาพของ thefacebook ว่าจะเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไร

ส่วนเรื่องเงินนั้น ปีเตอร์ ธีล ให้ทุนตั้งต้นมา 500,000 เหรียญ แม้จะดูไม่มากมาย แต่มันก็พอให้สามารถหล่อเลี้ยง thefacebook ไปได้ 3-4 เดือนก่อนที่จะมีการระดมทุนรอบใหม่ ซึ่งหากยังเติบโตในลักษณะนี้ก็มีโอกาสที่มูลค่าบริษัทจะสูงขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ

โดยหลังจากตกลงร่วมทุนกับธีล บริษัทจะถูกเรียกชื่อใหม่ว่า facebook ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งบริษัทใหม่ Facebook,Inc  โดยสิ่งที่ธีลจะได้จากเงินลงทุนแรกเริ่ม 500,000 เหรียญ คือ หุ้น 7%  และ 1 ที่นั่งในเก้าอี้กรรมการอำนวยการ โดยส่วนที่เหลือจะถูกควบคุมโดยมาร์ค   ซึ่งมาร์คยังถือว่ามีอำนาจเบ็ดเส็จใน facebook เหมือนเดิม

ฌอน บาร์คเกอร์ ที่เข้ามามีบทบาทในการระดมทุนของ facebook (CR:denverpost.com)
ฌอน บาร์คเกอร์ ที่เข้ามามีบทบาทในการระดมทุนของ facebook (CR:denverpost.com)

ปัญหาใหญ่คือ เอดูอาร์โด ไม่มีส่วนรับรู้เห็นกับการกระทำดังกล่าวของมาร์คเลย เพราะมาร์คทำในนามบริษัทใหม่ที่แอบไปจดใหม่หลังจากการถูกระงับเงินจากเอดูอาร์โด ซึ่งมองจากตรงนี้นั้นเหมือน เอดูอาร์โด จะไม่ข้องเกี่ยวกับ facebook อีกต่อไปแล้ว

แต่สุดท้ายเพื่อนก็ยังคือเพื่อน ยังไงมาร์ค ก็ยังคงให้ เอดูอาร์โด คงสัดส่วนการถือหุ้นไว้ 30%  รวมถึงฌอนก็จะได้หุ้นจากการปรับโครงสร้างใหม่ครั้งนี้ด้วย

แต่มันมีข้อแม้ว่าจะมีการออกหุ้นเพิ่มทุนตามความจำเป็นของสถานการณ์ เพื่อให้บริษัทเดินหน้าต่อไปได้  ซึ่งตอนนี้กลายเป็นบริษัท facebook ที่เป็นมืออาชีพเต็มตัวไม่ใช่โครงการโปรเจคนักศึกษาที่ทำเล่น ๆ กันที่ harvard อีกต่อไป

แม้ทุกอย่างที่มาร์คแสดงออกมาตอนพบกับ เอดูอาร์โด มันดูเหมือนปรกติ แม้กระทั่งยังแนะนำให้ เอดูอาร์โดกลับไปเรียนต่อที่ harvard ให้จบ ปล่อยหน้าที่การจัดการเรื่อง facebook ให้มาร์ค ที่จะดร็อปเรียนที่ harvard แล้วมาทุ่มเทให้กับ facebook เต็มตัว

เอดูอาร์โด เดินเข้ามาพบกับทีมทนายบริษัทที่เขาคิดว่าเป็นทนายของเขาเองด้วยซ้ำ และได้รับเอกสารจำนวนหนึ่ง ซึ่งดูข้อความทางกฏหมายแล้วมันมีความซับซ้อนอยู่มาก

เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการจดทะเบียนบริษัทใหม่ “facebook” ซึ่งจะมาแทนที่ “thefacebook”  และจะมีการแปลงหุ้นเดิมของผู้ถือหุ้นเดิมใน thefacebook มาที่บริษัทใหม่รวมถึงตัวเอดูอาร์โดเองด้วย

ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วนั้น เอดูอาร์โด ก็ไม่ได้เข้าใจเอกสารทั้งหมดด้วยความเคลียร์แต่อย่างใด แต่คิดเพียงว่าทุกอย่างมันโอเคแล้ว ความสัมพันธ์ของเขากับมาร์คก็กลับมาปรกติแล้ว รวมถึงทนายก็น่าจะเป็นทนายฝ่ายเขาเอง น่าจะจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว

โครงสร้างใหม่ ทำให้เอดูอาร์โด มีหุ้นถือครองอยู่ 34.4% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มี อยุ่ 30% และมีข้อแม้ในเรื่องความจำเป็นในอนาคตในการปรับลดสัดส่วนหุ้น ที่จะเกิดขึ้นหากมีข้อเสนอจากนักลงทุนรายอื่นๆ

ส่วนของมาร์คนั้นลดลงเหลือ 51% ดัสตินนั้นได้ไป 6.81% และ ฌอนที่ 6.47% ส่วน ปีเตอร์ ธีล นั้นจะถือครองไว้ที่ 7%

และที่สำคัญคือ เอดูอาร์โดไม่สามารถนำหุ้นของตัวเองออกขายได้ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งตอนแรกเขาก็คิดว่ามาร์ค และ ดัสติน น่าจะมีเงื่อนไขดังกล่าวเช่นกัน

Death Note

เอดูอาร์โด อ่านเอกสารเหล่านี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเขาน่าจะมีทนายส่วนตัวเพื่อปรึกษาเรื่องเอกสารเหล่านี้  แต่ก็อย่างว่า ทนายของ facebook ก็เหมือนทนายของเขาอยู่แล้ว ในฐานะหุ้นส่วนใหญ่ตั้งกว่า 30%

มาร์คก็ได้บอกเอดูอาร์โด ถึงความจำเป็น และข้อดีของเอกสารเหล่านี้ ที่ เอดูอาร์โด ต้องเซ็นต์

แม้เขาจะรู้สึกตะหงิด ๆ ใจอยู่บ้างที่มาร์ค สื่อสารบางอย่างเหมือนที่จะไม่ให้เขายุ่งเกี่ยวกับ facebook อีกแล้ว เช่น การให้มุ่งไปที่การเรียนเพียงอย่างเดียว , บริษัทจำเป็นต้องจ้างฝ่ายขายใหม่มาดูแลส่วนที่เอดูอาร์โดเคยทำ

แม้ทุกอย่างจะดูแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่สุดท้ายเอกสารทั้งหมดเหล่านี้ก็ดูเหมือนทำให้เขายังกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่อย่างที่เคยเป็น แต่เอกสารก็มีเปิดประเด็นไว้ว่าจะมีการปรับสัดส่วนหุ้นหากมีนักลงทุนเพิ่มและอาจจะมีการปรับโครงสร้างเมื่อจำเป็น

และมาร์คได้บอกกับ เอดูอาร์โด ว่าตอนนี้จำนวนสมาชิกกำลังใกล้แตะหลักล้านคนแล้ว ปีเตอร์ ธีล จะจัดงานฉลองใหญ่ขึ้น ให้เอดูอาร์โด บินกลับมาอีกครั้ง

ในใจเอดูอาร์โด ทุกอย่างมันดูเหมือนว่าจะราบรื่นไปหมด facebook ก็กำลังโตอย่างรวดเร็วจนจำนวนสมาชิกจะถึงล้านแล้ว มันถือว่ามาไกลมากจากจุดเริ่มต้นที่ห้องพักใน harvard ยังไงเขาก็ต้องบินกลับมาเพื่อฉลองกับทีมอย่างแน่นอน

และในที่สุด เขาก็ได้ทำการหยิบปากกาจากทนาย และเริ่มเซ็นต์ในเอกสารทั้งหมด จนทุกอย่างเรียบร้อย

ซึ่งหารู้ไม่ว่า สิ่งที่เอดูอาร์โดเพิ่งจะทำไปนั้นเปรียบเสมือนการเซ็นต์ชื่อตัวเองลงใน สมุด deathnote หรือ การตัดตัวเองออกจากการมีส่วนร่วมกับ facebook อีกต่อไปนั่นเอง

เอดูอาร์โดที่เปรียบเสมือนการเขียนชื่อตัวเองลงไปสมุด death note (CR:Alibaba)
เอดูอาร์โดที่เปรียบเสมือนการเขียนชื่อตัวเองลงไปสมุด death note (CR:Alibaba)

สิ่งที่เอดูอาร์โดรู้สึกประหลาดใจที่สุดน่าจะเป็นเรื่องที่มาร์คแจ้งมาว่า ทางตัว มาร์ค , ฌอน และ ดัสติน  กำลังจะขายหุ้นออกไปประมาณคนละ 2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดที่น่าจะสะกิดใจเอดูอาร์โดที่สุด ทำให้เขาคิดว่าทำไมในรายละเอียดของเขาที่ได้เซ็นต์ไปนั้นไม่สามารถขายหุ้นของตัวเองได้ในเร็ว ๆ นี้อย่างที่มาร์ค , ฌอน และ ดัสติน กำลังจะทำ

แล้วเอกสารที่เขาได้เซ็นต์ไปในรอบที่แล้วนั้น มันไม่ใช่รูปแบบเดียวกับที่มาร์ค , ฌอน รวมถึง ดัสติน ได้เซ็นต์ไปหรือ?  และที่ไม่แฟร์ที่สุดคือ ทำไม ฌอน ที่มาหลังสุด ถึงสามารถทำเงินจาก facebook ได้แล้วถึง 2 ล้านเหรียญทั้งที่มาร่วมงานกับ facebook จริง ๆ จัง ๆ เพียงแค่ 3-4 เดือนเพียงเท่านั้น มันต้องมีอะไรที่ผิดปรกติอย่างแน่นอน

Relationship Status

มันเป็นวันที่ เอดูอาร์โด จะจดจำไปตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้ กับการได้เห็นเอกสารที่ทางทนาย ได้ส่งให้ ในขณะเดินเข้ามาที่ออฟฟิศใหม่ของ facebook

มันเป็นสำนักงานใหม่ที่เป็นบริษัทจริง ๆ ครั้งแรกของ facebook ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจของ พาโล อัลโต โต๊ะทำงานถูกสั่งซื้อใหม่เอี่ยมทั้่งหมด ไม่มี โต๊ะเก่า ๆ ที่ซื้อมือสองจาก เครกลิสต์ อีกต่อไป

แถมยังมีการตกแต่งอย่างหรูหรา มีทั้งภาพกราฟิตี้ที่ให้ศิลปินท้องถิ่นวาดให้เป็นจุดเด่นของออฟฟิศแห่งนี้

ทนายคนใหม่ ที่อยู่ระหว่าง เอดูอาร์โด และ มาร์ค ซึ่งก็เหมือน ทุก ๆ ครั้ง มาร์ค แทบจะไม่สนใจอะไร นั่งอยู่แต่หน้าจอคอมเขียนแต่โค้ดเพื่อกลบเกลื่อนทุกสิ่ง

ซึ่งหลังจากเอดูอาร์โดได้อ่านเนื้อหาในเอกสารต่าง ๆ  มันไม่เกี่ยวอะไรกับที่มาร์คอ้างเลยที่บอกให้มาเรื่องประชุมธุรกิจ หรือการเทรนพนักงานใหม่อะไรทั้งสิ้น

เพราะมันคือการหักหลังมันคือการลอบทำร้ายกัน เอดูอาร์โด ต้องใช้เวลาหลายนาทีในการทำความเข้าใจเอกสารทั้งหมด

ทำให้เขาได้รู้ตัวว่ากำลังโดนหยามอย่างที่สุด มันเหมือนถูกยิงเข้าที่กลางอกไม่มีผิด มันไม่สามารถบรรยายอะไรได้เลย กับความรู้สึกเช่นนี้ เขาเสียท่า เสียรู้ เขาควรจะรู้ตัวก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ มันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง

แต่เขาเพียงไม่คิดว่า มันจะมาจาก มาร์ค มาจากเพื่อนสนิท เขาแทบจะเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของมาร์ค ตอนที่อยู่ harvard ร่วมกันต่อสู้ฝ่าฟันกันมาทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้น

มันคือการทรยศชัด ๆ ทรยศต่อความไว้ใจของเพื่อน มาร์คทรยศเขา ทำลายเขา และชัดเจนว่า ต้องการเอาทุกสิ่งไปทั้งหมด ทุกอย่างมันชัดเจนในเอกสารทั้งหมดที่อยู่ในมือเขาในตอนนั้น

มีการเพิ่มหุ้นสามัญ จำนวน 19 ล้านหุ้น หลังจากนั้นมีการออกหุ้น อีกจำนวนถึงกว่า 20 ล้านหุ้น  และมีการอนุมัติให้มีการจัดสรรหุ้นเพิ่มเติมให้กับมาร์ค 3.3 ล้านหุ้น ส่วน ฌอน และ ดัสติน ได้ไปคนละ 2 ล้านหุ้น

ซึ่งทำให้ เอดูอาร์โด เหลือหุ้นแทบจะไม่ถึง 10% และหากมีการกระทำแบบนี้ต่อไปอีก โดยการออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ไปเรื่อย ๆ สัดส่วนหุ้นของเขาจะถูกลดจนแทบจะเหลือ 0% 

ในช่วงแรกของการเปิด thefacebook ฟีเจอร์ที่สำคัญที่สุดของ thefacebook ที่เป็นจุดสำคัญในการแจ้งเกิดเลยก็คือ Relationship Status ที่เหมือนป้ายห้อยคอบอกสถานะว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร ซึ่งมันเป็นการขับเคลื่อนชีวิตในมหาลัย

แต่ดูเหมือนว่า Relationship Status ระหว่าง ผู้ก่อตั้งทั้งสองระหว่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก อัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์ กับ เอดูอาร์โด ซาวาริน ผู้ซึ่งเหมือนเป็นคนลงทุนก่อร่างสร้าง thefacebook มาตั้งแต่วันแรก ๆ แต่ถูกเพื่อนที่เขาคิดว่าเป็นเพื่อนรัก ทรยศ ซึ่งไม่ว่ามาร์คจะไปปรึกษาใครมาก็ตาม แต่การตัดสินใจสุดท้ายที่ทำสิ่งเลวร้ายทั้งหมดกับ เอดูอาร์โด เพื่อนที่ออกทุนเริ่มต้นให้กับ facebook จนเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็คือชายที่ชื่อ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก นั่นเองครับผม

Reference
https://medium.com/@rkarthik3cse/the-friendship-between-mark-zuckerberg-and-eduardo-saverin-8870ab412063
https://www.independent.co.uk/news/world/americas/billionaire-facebook-founder-eduardo-saverin-defriends-united-states-to-keep-more-of-his-fortune-7743506.html
หนังสือ The Accidental Billionaires by Ben Mezrich
หนังสือ แบบว่า…บังเอิญรวย
ผู้เขียน : เบน เมซริช
แปลโดย : ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
หนังสือ มาร์ค ยอดคนเหนืออัจฉริยะ
ผู้เขียน ถนอมศักดิ์ จิรายุสวัสดิ์