ถอดรหัสเจ้าภาพโอลิมปิก : มหกรรมกีฬาอันแสนหวานที่แฝงไว้ด้วยยาพิษทางเศรษฐกิจ

ในเดือนกันยายน ปี 2017 คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญเกี่ยวกับการเลือกเมืองเจ้าภาพโอลิมปิกปี 2024 การตัดสินใจนี้ไม่เพียงแต่เป็นจุดเปลี่ยนสำหรับเกมส์การแข่งขัน แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการกีฬาโอลิมปิกโดยรวม

โอลิมปิกเกมส์ถือเป็นมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยผู้ชมกว่า 5 ล้านคนที่เข้าร่วมชมการแข่งขันโดยตรง และอีกกว่า 3 พันล้านคนที่รับชมผ่านทางโทรทัศน์ในทุก ๆ 4 ปี การได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันนี้จึงถือเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับเมืองใดเมืองหนึ่งที่จะได้แสดงศักยภาพของตนเองต่อสายตาชาวโลก

ในอดีต การแข่งขันเพื่อเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกมีความเข้มข้นสูงมาก ย้อนกลับไปในปี 2004 มีถึง 12 เมืองที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ก่อนที่สุดท้าย IOC จะเลือกกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เป็นเจ้าภาพ ต่อมาในปี 2008 มี 10 เมืองที่เสนอตัว และปักกิ่งได้รับเลือกในที่สุด อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นความสนใจในการเป็นเจ้าภาพก็เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในการคัดเลือกเจ้าภาพโอลิมปิกปี 2024 เหลือเพียงแค่ 2 เมืองเท่านั้นที่เสนอตัว

ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป IOC จึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือการมอบสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพให้กับทั้งสองเมืองที่เหลือพร้อมกัน โดยให้กรุงปารีสเป็นเจ้าภาพในปี 2024 และลอสแองเจลิสเป็นเจ้าภาพในปี 2028 การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของ IOC ที่กลัวว่าจะไม่มีเมืองใดสนใจเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในปี 2028 เลย

แต่เหตุใดจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้? ทำไมเมืองต่าง ๆ จึงไม่อยากเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกอีกต่อไป? คำตอบอยู่ที่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมา

ย้อนกลับไปในปี 1896 IOC ได้คิดค้นแนวคิดการหมุนเวียนสถานที่จัดการแข่งขันไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก เนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศและการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างประเทศ การกระจายสถานที่จัดงานจึงเป็นวิธีที่จะทำให้ทั่วโลกได้มีส่วนร่วมและสนุกกับมหกรรมกีฬานี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อการแข่งขันเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ IOC ก็ยังคงรักษาประเพณีนี้ไว้ โดยพัฒนาเป็นระบบการประมูลที่เมืองต่าง ๆ จะส่งใบสมัครและ IOC จะลงคะแนนเลือกผู้ชนะ แต่แล้วในช่วงการเปิดรับสมัครสำหรับการแข่งขันปี 1984 กลับไม่มีเมืองใดต้องการเป็นเจ้าภาพเลย

สาเหตุสำคัญมาจากปัญหาที่เกิดขึ้นในการจัดการแข่งขันก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงทางการเมืองที่ลุกลามเป็นความรุนแรงในเม็กซิโกซิตี้เมื่อปี 1968 หรือเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อผู้ก่อการร้ายสังหารนักกีฬาอิสราเอล 11 คนในการแข่งขันที่มิวนิกปี 1972 เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เมืองต่าง ๆ ตระหนักว่าการเป็นเจ้าภาพอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงทางการเมืองหรือแม้กระทั่งอันตรายถึงชีวิต

นอกจากนี้ ปัญหาการก่อสร้างและการทุจริตที่ทำให้มอนทรีออลต้องใช้จ่ายเกินงบประมาณถึง 13 เท่าในการเป็นเจ้าภาพ ก็ทำให้เมืองต่าง ๆ เริ่มมองว่าการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเป็นความเสี่ยงทางการเงินที่ไม่คุ้มค่าอีกด้วย

ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 IOC จึงเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ จนกระทั่งมีเมืองหนึ่งเสนอตัวที่จะช่วยพวกเขา นั่นคือลอสแองเจลิส แต่ด้วยเงื่อนไขพิเศษ คือพวกเขาไม่ต้องการใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลในการเป็นเจ้าภาพ

ลอสแองเจลิสเสนอที่จะใช้สถานที่ที่มีอยู่แล้วแทนการสร้างใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสนาม LA Coliseum ที่ทีมฟุตบอล USC ใช้แข่ง, Forum ที่ทีม Lakers เล่น, โรงยิมและศูนย์เทนนิสของ UCLA รวมถึงการให้นักกีฬาพักในหอพักของมหาวิทยาลัย เนื่องจาก IOC ไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาจึงตอบตกลง และในไม่ช้าก็พบว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

การแข่งขันที่ลอสแองเจลิสในปี 1984 ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเงิน มีค่าใช้จ่ายเพียงประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ (คิดเป็นมูลค่าในปี 2015) และยังสามารถทำกำไรได้อีกด้วย

ความสำเร็จนี้ควรจะกลายเป็นแบบอย่างสำหรับเมืองเจ้าภาพโอลิมปิกในอนาคต แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่รบกวนโอลิมปิกมาจวบจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากการที่ลอสแองเจลิสทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกปี 1984 ได้ดีมากจนสร้างแรงบันดาลใจให้เมืองต่าง ๆ อยากเป็นเจ้าภาพอีกครั้ง

โอลิมปิกที่ลอสแองเจลิสในปี 1984 ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น (CR:Wikipedia)
โอลิมปิกที่ลอสแองเจลิสในปี 1984 ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น (CR:Wikipedia)

สำหรับการแข่งขันปี 1992 มีถึงหกเมืองที่ยื่นประมูล จากนั้นก็หกเมืองอีกครั้งสำหรับปี 1996 แปดเมืองสำหรับปี 2000 และพุ่งสูงถึง 11 เมืองสำหรับปี 2004 เมื่อมีเมืองแข่งขันกันมากขึ้น IOC ก็ได้อำนาจต่อรองกับพวกเขากลับคืนมาอีกครั้ง

แต่แทนที่จะยึดติดกับโมเดลแบบประหยัดของลอสแองเจลิส IOC กลับเริ่มเรียกร้องมากขึ้น ระหว่างปี 1992 ถึง 2020 IOC ได้เพิ่มกีฬาใหม่เข้าสู่การแข่งขันหลายสิบประเภท ซึ่งต้องการสถานที่จัดการแข่งขันและที่พักสำหรับนักกีฬาเพิ่มมากขึ้น โดยเมืองเจ้าภาพเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่

เมื่อการแข่งขันทวีความเข้มข้นขึ้น เมืองต่าง ๆ รู้สึกกดดันมากขึ้นที่จะต้องทำให้การประมูลของตนน่าสนใจยิ่งขึ้น วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการสร้างสถานที่จัดการแข่งขันใหม่ ๆ ซิดนีย์สร้างสนามแข่งขันใหม่ถึง 15 แห่ง รวมทั้งที่พักสำหรับนักกีฬา 10,000 คน เอเธนส์สร้าง 22 แห่ง และปักกิ่งสร้าง 12 แห่ง

การก่อสร้างทั้งหมดนี้ทำให้การเป็นเจ้าภาพการแข่งขันมีค่าใช้จ่ายสูงลิบลิ่ว ต้นทุนของการแข่งขันพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าระหว่าง 10 ถึง 25 พันล้านดอลลาร์ในทศวรรษที่ผ่านมา และนี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ของเมือง เช่น ระบบการขนส่งสาธารณะใหม่

ซึ่งหากรวมเข้าไปด้วยแล้ว ตัวเลขค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นไปอีกมาก ยกตัวอย่างเช่น มีการประมาณการว่าปักกิ่งใช้จ่ายประมาณ 45 พันล้านดอลลาร์สำหรับการแข่งขันฤดูร้อนปี 2008 รัสเซียใช้จ่ายประมาณ 51 พันล้านดอลลาร์ในปี 2014 และโตเกียวมีค่าใช้จ่ายประมาณ 35 พันล้านดอลลาร์

ไม่ว่าจะใช้ตัวเลขใด เมืองเจ้าภาพเหล่านี้ทั้งหมดล้วนใช้จ่ายเกินงบประมาณอย่างมหาศาล ซึ่งกระบวนการประมูลมีส่วนกระตุ้นให้พวกเขาต้องประเมินค่าใช้จ่ายให้ต่ำเกินจริง

Andrew Zimbalist นักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของการกีฬา อธิบายว่า “สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ แถลงเจตนารมณ์และแผนงานเบื้องต้นที่ลดทอนจากความจริงไปมาก เมื่อนักการเมืองพูดว่า ‘ได้ เราจะทำตามนี้’ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเพิ่มส่วนประกอบเสริมเข้าไป ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงมาก”

น่าเสียดายที่รายได้ที่เมืองต่าง ๆ สร้างจากการขายตั๋ว ค่าลิขสิทธิ์ทางทีวี และการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น นั่นหมายความว่ารัฐบาลท้องถิ่น และที่จริงแล้วคือผู้เสียภาษีของพวกเขา ต้องรับผิดชอบส่วนที่เหลือทั้งหมด ซึ่งมักจะเป็นจำนวนมหาศาล

แม้ว่าเมืองเจ้าภาพจะรู้มาหลายทศวรรษแล้วว่าพวกเขาอาจจะขาดทุนในระยะสั้น แต่หลายคนได้รับการบอกเล่าว่าการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเป็นการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนในอนาคต IOC มักจะใช้คำว่า “legacy” (มรดกตกทอด) เพื่ออธิบายถึงประโยชน์ระยะยาวที่เมืองจะได้รับหลังจากการแข่งขันสิ้นสุดลง

ตัวอย่างเช่น ปักกิ่งอ้างเหตุผลในการใช้จ่ายเงินประมาณ 460 ล้านดอลลาร์สำหรับสนามกีฬาใหม่ขนาด 90,000 ที่นั่ง โดยวางแผนให้ทีมฟุตบอลอาชีพท้องถิ่นใช้หลังจากโอลิมปิก ลอนดอนก็ทำแบบเดียวกันเมื่อสร้างสนามกีฬาสำหรับโอลิมปิก 2012 ในตอนแรกดูเหมือนเป็นความคิดที่ดี

โครงการ legacy อื่น ๆ มีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนจำนวนมากยิ่งขึ้น เช่น รัสเซียใช้จ่าย 8.7 พันล้านดอลลาร์สำหรับเส้นทางรถไฟและทางหลวงใหม่เข้าสู่โซชิสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว และริโอ เดอ จาเนโรใช้จ่าย 4 พันล้านดอลลาร์สำหรับรถไฟใต้ดินสายใหม่ที่เชื่อมชุมชนชายหาดกับศูนย์กลางโอลิมปิก

ประโยชน์ของ legacy ที่มีการกล่าวถึงบ่อยที่สุดคือการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการกระตุ้นการเติบโตของเมือง Andrew Zimbalist อธิบายว่า “สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์จากการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโอลิมปิกคือ มันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับเมือง มันทำให้เมืองของคุณอยู่บนแผนที่โลก ดังนั้นมันจะเพิ่มการท่องเที่ยว เพิ่มการค้า เพิ่มการลงทุนจากต่างประเทศ”

ริโอ เดอ จาเนโรใช้จ่าย 4 พันล้านดอลลาร์สำหรับรถไฟใต้ดินสายใหม่ที่เชื่อมชุมชนชายหาดกับศูนย์กลางโอลิมปิก (CR:The conversation)
ริโอ เดอ จาเนโรใช้จ่าย 4 พันล้านดอลลาร์สำหรับรถไฟใต้ดินสายใหม่ที่เชื่อมชุมชนชายหาดกับศูนย์กลางโอลิมปิก (CR:The conversation)

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนั้นปรากฏว่าไม่เป็นความจริงเสมอไป เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบต่อการท่องเที่ยว การศึกษาในปี 2004 พบว่าหลังจากมีการเพิ่มขึ้นของการท่องเที่ยวในช่วงก่อนการแข่งขัน เมืองเจ้าภาพอย่างแอตแลนตา ซิดนีย์ และโซล ต่างก็เห็นการท่องเที่ยวลดลงหลังจากนั้น

นอกจากนี้ Andrew ยังอ้างถึงการศึกษาในปี 1996 เกี่ยวกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวสามครั้งซึ่งพบว่าผลกระทบระยะยาวต่อการท่องเที่ยวนั้นแทบจะไม่มีเลยไปจนถึงน้อยเอามาก ๆ และการศึกษาในปี 2010 ที่พบหลักฐานเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับประโยชน์ใด ๆ ต่อการท่องเที่ยวจากการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก

ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ มีหลักฐานมากมายที่แสดงถึงความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของเมืองเจ้าภาพ Andrew อธิบายว่า “ถ้าสภาพอากาศร้อนเกินไปหรือหนาวเกินไป ถ้ามีเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย ถ้ามีเรื่องราวที่ไม่ดีเกี่ยวกับการจราจร บางเมืองอาจสามารถช่วยภาพลักษณ์ของตนได้ แต่เมืองอื่น ๆ กลับทำร้ายภาพลักษณ์ของตัวเอง”

การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็น legacy หลายโครงการก็ไม่ได้คุ้มค่าเสมอไป โครงการรถไฟของรัสเซียถือว่าล้มเหลวอย่างยิ่งใหญ่ และ Andrew โต้แย้งว่าแม้ว่าสายรถไฟใต้ดินของริโอจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนบางส่วน แต่สิ่งที่เมืองต้องการจริง ๆ คือสายที่ให้บริการในย่านที่ประชากรมีรายได้ต่ำ แต่นั่นไม่ใช่ที่ที่โอลิมปิกจัดสร้างขึ้น

Andrew อธิบายว่า “โดยทั่วไปแล้ว IOC จะมาและพูดว่า ‘เราต้องการสถานที่ 30 แห่งนี้ เราต้องการให้คุณจัดวางมันในแบบที่อำนวยความสะดวกด้านการขนส่งและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ’ และดังนั้นสิ่งที่เมืองต้องทำคือหลอกตัวเองเพื่อตอบสนองความต้องการของ IOC”

สนามกีฬาที่ว่างเปล่าเป็นสัญญาณที่เห็นได้ชัดของความไม่สอดคล้องกันนี้ สนามกีฬาในปักกิ่งนั้นมีที่นั่งมากกว่าที่ทีมฟุตบอลท้องถิ่นจะเติมเต็มได้ประมาณ 80,000 ที่นั่ง ดังนั้นพวกเขาจึงถอนตัว ตอนนี้สนามกีฬาจึงว่างเปล่าเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เมืองต้องเสียค่าบำรุงรักษาประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี

สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “ช้างเผือก (white elephant)” และตอนนี้มีอยู่หลายสิบแห่งในเมืองเจ้าภาพโอลิมปิก เช่น สถานที่ที่เหลืออยู่จากการแข่งขันเอเธนส์ 2004 และ ESPN พบว่า 12 จาก 27 สถานที่ในริโอ เดอ จาเนโร ไม่ได้จัดกิจกรรมใด ๆ เลยหลังจากเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกไปแล้วหนึ่งปี

สำหรับผู้อยู่อาศัยจำนวนมาก ช้างเผือกเหล่านี้เป็นหลักฐานว่าการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันเป็นการสูญเสียเงินอย่างมหาศาล Andrew สรุปว่า “แนวคิดที่มีมาตลอดว่านี่เป็นข่าวดีสำหรับเมือง แต่บ่อยครั้งกลับพบว่ามันจะกลายเป็นสิ่งตรงกันข้าม”

ภายในปี 2015 ชาวเมืองในหลายประเทศเริ่มแสดงการต่อต้านอย่างชัดเจน IOC มีหกเมืองที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขันปี 2024 แต่การประท้วงของประชาชนบังคับให้บอสตันและฮัมบูร์กถอนตัว นายกเทศมนตรีคนใหม่ในโรมทำตามสัญญาที่จะยุติการเสนอตัวของเมือง จากนั้นมากกว่า 260,000 คนได้ลงชื่อในคำร้องที่นำไปสู่การถอนตัวของบูดาเปสต์ด้วย

ในที่สุดเหลือเพียงสองเมืองที่เสนอตัว และเป็นอีกครั้งที่ IOC มีอำนาจต่อรองน้อยมาก พวกเขาจึงได้ทำการปฏิรูปซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของการเป็นเจ้าภาพ ด้วยการกำหนดให้เจ้าภาพใช้สถานที่ที่มีอยู่และสถานที่ชั่วคราว เหมือนที่ลอสแองเจลิสทำในปี 1984 และอนุญาตให้พวกเขาร่วมมือกับเมืองอื่น ๆ ได้

ณ ตอนนี้ ปารีสดูเหมือนจะไม่ใช้งบประมาณเกินตัว และคณะกรรมการจัดงานของลอสแองเจลิสกำลังมองว่าเมืองสามารถจัดการแข่งขันโอลิมปิกได้ตามงบประมาณอีกครั้ง แต่คำถามสำคัญคือ ถ้าหากพวกเขาทำได้สำเร็จ มันจะจุดชนวนการแข่งขันในการประมูลอีกครั้งหรือไม่?

IOC ยังได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการคัดเลือกเมืองเจ้าภาพ โดยหยุดรับการเสนอตัวแบบเปิดและเจรจากับเมืองต่าง ๆ อย่างเป็นการส่วนตัวแทน พวกเขาเลือกมิลานและคอร์ติน่า ประเทศอิตาลี แทนสตอกโฮล์มสำหรับการแข่งขันฤดูหนาวปี 2026 และมอบการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2032 ให้กับบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย

อย่างไรก็ตาม บางคนกำลังเสนอทางออกที่ถาวรกว่านั้น Andrew เสนอแนวคิดว่า “ผมคิดว่ามันเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะคิดถึงการสร้างแดนสวรรค์โอลิมปิกด้วยสนามแข่งขัน 35 หรือ 40 แห่งสำหรับการแข่งขันฤดูร้อน จำนวนน้อยกว่านั้นสำหรับการแข่งขันฤดูหนาว ในสถานที่เดียว”

บางคนเชื่อว่ากรีซ บ้านเกิดทางประวัติศาสตร์ของโอลิมปิก จะเป็นเจ้าภาพถาวรที่ดี คนอื่น ๆ ได้กล่าวถึงลอสแองเจลิส เนื่องจากมีสถานที่จัดงานมากมายและทำได้ดีมากในอดีต

การมีสถานที่จัดการแข่งขันถาวรจะช่วยขจัดปัญหาโครงการช้างเผือก ช่วยให้เมืองไม่ต้องเป็นหนี้มหาศาล และลดปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการแข่งขัน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจลดความตื่นเต้นของโอลิมปิกแต่ละครั้งด้วยเช่นเดียวกัน

Andrew สรุปว่า “มันจะไม่ง่ายที่จะไปสู่โมเดลที่มีความเหมาะสมทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ แต่ผมคิดว่ามันมีเหตุผลที่จะพูดถึงมันและนำเสนอมัน เป็นสิ่งที่เราควรมุ่งไป ขึ้นอยู่กับว่าโอลิมปิกอีกไม่กี่ครั้งข้างหน้าจะเป็นอย่างไร มันอาจเป็นทิศทางเดียวที่เหลืออยู่”

ในท้ายที่สุด การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกได้เปลี่ยนแปลงจากความฝันอันยิ่งใหญ่ไปสู่ภาระทางการเงินที่หนักหน่วงสำหรับหลายเมือง ความท้าทายในอนาคตคือการหาสมดุลระหว่างการรักษาจิตวิญญาณของการแข่งขันและการสร้างความยั่งยืนทางการเงินและสิ่งแวดล้อม

การปฏิรูปของ IOC และแนวคิดเรื่องสถานที่จัดการแข่งขันถาวรอาจเป็นก้าวแรกสู่การแก้ปัญหานี้ แต่ยังคงต้องติดตามดูว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเพียงพอหรือไม่ในการรักษาอนาคตของมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้

References :

  1. Zimbalist, A. (2016). Circus Maximus: The Economic Gamble Behind Hosting the Olympics and the World Cup. Brookings Institution Press.
  2. Baade, R. A., & Matheson, V. A. (2016). Going for the Gold: The Economics of the Olympics. Journal of Economic Perspectives, 30(2), 201-218.
  3. Preuss, H. (2004). The Economics of Staging the Olympics: A Comparison of the Games, 1972-2008. Edward Elgar Publishing.
  4. International Olympic Committee. (2021). Olympic Agenda 2020+5: 15 Recommendations. IOC.
  5. Why no one wants to host the Olympics (Search Party Youtube Channel)

สรุปเนื้อหา THE MINDSET OF A WINNER ทัศนคติสู่การเป็นแชมป์โดย Kobe Bryant

“หากคุณต้องการเป็นผู้ชนะ มาเล่นกับผม หากคุณต้องการอันดับสอง ไสหัวไปที่อื่นเถอะ” – Kobe Bryant

เป็นอีกหนึ่งคลิปวีดีโอที่ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียวจากช่อง Motiversity ที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับ Kobe Bryant เกี่ยวกับทัศนคติของการเป็นแชมป์ เป็นที่หนึ่งเพียงเท่านั้น

โดย Bryant เน้นย้ำถึงความสำคัญของความทุ่มเท การทำงานหนัก และการเอาชนะอุปสรรคเพื่อให้ประสบความสำเร็จทั้งในวงการบาสเกตบอลและในชีวิต เขาพูดถึงทัศนคติของผู้ชนะ ความสำคัญของวินัยในตนเอง และความจำเป็นที่ต้องท้าทายตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อไปสู่ความเป็นเลิศในระดับที่สูงขึ้น

Highlights

🏀 Kobe Bryant เน้นย้ำถึงความสำคัญของความทุ่มเทและการทำงานหนักเพื่อให้ประสบความสำเร็จในวงการบาสเกตบอล

💪 Bryant พูดถึงความสำคัญของการรู้จักตนเองและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเอาชนะจุดอ่อน

📚 Bryant พูดถึงคนระดับท็อปอย่าง Michael Jordan , Magic Johnson ที่ทำสิ่งที่เหลือเชื่อได้ และจะทำอย่างไรที่เขาจะก้าวไปถึงจุด ๆ นั้นได้

🧠 Bryant ได้แบ่งปันทัศนคติเรื่องความเข้มแข็งทางด้านจิตใจและการมุ่งเน้นไปที่เกมการแข่งขัน โดยได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์อย่าง Gladiator

🤝 Bryant เน้นย้ำถึงการเสียสละและความมุ่งมั่นที่จำเป็นต่อการสร้างความเป็นเลิศในวงการบาสเกตบอล

🏆 Bryant อธิบายกระบวนการตัดสินใจและวิธีในการลงทุนทั้งแรงและเวลาให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

🏋️‍♂️ Bryant เล่าถึงการเอาชนะอาการบาดเจ็บและอุปสรรคด้วยความมุ่งมั่น

👨‍👧‍👦 Bryant สะท้อนถึงความสำคัญของการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ๆ

Key Insights

🏀 Kobe Bryant เน้นย้ำถึงความสำคัญของทัศนคติและความทุ่มเทในการประสบความสำเร็จ เขาชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องผลักดันตัวเองให้พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งและมุ่งมั่นสู่ความยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่อง

💪 Bryant เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานหนักและมีวินัยในการฝึกฝนทักษะ ความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละในการฝึกซ้อมและพัฒนาตนเอง แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความพยายามอย่างสม่ำเสมอในการบรรลุเป้าหมาย

📚 ตำนานบาสเกตบอลผู้นี้พูดถึงความสำคัญของการศึกษาเกมและทำความเข้าใจรายละเอียดต่าง ๆ การวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองทำให้ Bryant สามารถปรับเปลี่ยนการฝึกซ้อมและพัฒนาประสิทธิภาพการเล่นจริงในสนามได้

Bryant สะท้อนถึงการเสียสละและการตัดสินใจที่เขาทำเพื่อมุ่งสู่การเป็นแชมป์ รวมถึงการให้ความสำคัญกับอาชีพมากกว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวในบางครั้ง เขาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการตัดสินใจที่ยากลำบากและการมุ่งเน้นที่เป้าหมายระยะยาว

🤝 Bryant แบ่งปันแนวทางการตัดสินใจในธุรกิจ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวิจัย การประเมินอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น และการรายล้อมตัวเองด้วยบุคคลที่มีความหลงใหลและทุ่มเทให้กับสิ่ง ๆ นั้นจริง ๆ

💥 ไอคอนแห่งวงการ NBA พูดถึงความยืดหยุ่นและความมุ่งมั่นที่จำเป็นในการเอาชนะอุปสรรค เช่น การบาดเจ็บ ความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นของ Bryant ในความสามารถที่จะเอาชนะความท้าทายเป็นตัวอย่างอันทรงพลังของความอดทนและความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ

🌟 ความมุ่งมั่นของ Bryant ในการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ๆ และการวางตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแม้ในยามเผชิญกับความยากลำบาก แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทของเขาต่อการเป็นตัวอย่างที่ดีทั้งในและนอกสนาม

Opinion

ต้องบอกว่าทั้งทัศนคติและปรัชญาการใช้ชีวิตของ Kobe Bryant ไม่เพียงแต่ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในฐานะนักกีฬาบาสเกตบอลระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในการพัฒนาตนเองและเอาชนะอุปสรรคในชีวิตด้วย

แนวคิดของ Bryant เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีวินัย การทำงานหนัก และการมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศและต้องเป็นที่หนึ่งเท่านั้น ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน หรือการพัฒนาตนเอง

นอกจากนี้ ทัศนคติของเขาในการเผชิญหน้ากับความท้าทายและการเอาชนะอุปสรรคยังเป็นบทเรียนอันมีค่าสำหรับทุกคนที่กำลังเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต การยึดมั่นในเป้าหมายใหญ่ การเรียนรู้จากความผิดพลาด และการไม่ยอมแพ้แม้ในยามที่ดูเหมือนจะไม่มีทางออกเป็นคุณสมบัติที่ Bryant ได้แสดงให้เห็นตลอดอาชีพของเขา

ในท้ายที่สุด แนวคิดและปรัชญาของ Kobe Bryant จึงไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์สำหรับนักกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่ต้องการประสบความสำเร็จและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชีวิตของตนเองและผู้อื่นอีกด้วยนั่นเองครับผม

วัคซีน mRNA เกี่ยวข้องกับปัญหาหัวใจของนักฟุตบอลอาชีพในยุโรปหรือไม่

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องราวน่าสนใจมากทีเดียวกับปัญหาเรื่องหัวใจกับนักฟุตบอลชื่อดังสองคนทั้ง เซร์คิโอ อเกวโร่ และ คริสเตียน อีริคเซ่น ที่หนังสือพิมพ์เยอรมันอย่าง Berliner Zeitung ได้บอกเป็นนัยว่าปัญหาที่เกี่ยวกับหัวใจในนักกีฬาอาชีพทั่วโลก อาจเป็นผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตรายของวัคซีนที่ใช้ mRNA

ผู้ชายอายุต่ำกว่า 30 ปีมีความเสี่ยงสูง:

ที่น่าสนใจคือ ผลการวิจัยพบว่าวัคซีนจากทั้งไฟเซอร์และโมเดอร์นาเพิ่มความเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยเหล่านี้ภายในเจ็ดวันหลังจากฉีดวัคซีน ความเสี่ยงสูงขึ้นเล็กน้อยในผู้ชายอายุต่ำกว่า 30 ปี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากฉีดวัคซีนโมเดอร์นาเข็มที่สอง ซึ่งการศึกษาพบว่าอาจเป็นสาเหตุของโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ที่มีโอกาสการเกิดอยู่ที่ 132 รายต่อหนึ่งล้านโดสที่ได้รับ

ส่วนวัคซีนไฟเซอร์ดีกว่าเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนทั้งสองชนิด แต่ฝั่งล็อบบี้ยิสต์ของ ไฟเซอร์-โมเดอร์นา ก็ได้พยายามยกตัวอย่างกรณีการแข็งตัวของเลือดจำนวนหนึ่งจากผู้ที่ได้รับวัคซีน AstraZeneca เช่นเดียวกัน

Sergio Aguero, Christian Eriksen และนักกีฬาคนอื่นๆ ที่กำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ:

เนื่องจากนักกีฬาที่ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพ หนังสือพิมพ์เยอรมันยกตัวอย่างปัญหาสุขภาพหัวใจที่ต้องเผชิญหลังจากการเซ็นสัญญาย้ายมาสู่สโมสรบาร์เซโลน่าของ เซร์คิโอ อเกวโร่ นักเตะชาวอาร์เจนตินาที่ถูกบังคับให้ออกจากสนาม หลังจากที่เขารู้สึกไม่สบายในเกมที่เขาได้ลงสนามพบกับ Deportivo Alavés 

อเกวโร่ถูกถอดออกจากสนาม ในขณะที่เขาพยายามจับหน้าอกตัวเองและได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที เขาถูกพักการเล่นออกไปอย่างน้อยสามเดือน และอยู่ระหว่างการประเมินทางการแพทย์อื่นๆ และมีข่าวล่าสุดว่าเขาอาจจะต้องแขวนสตั๊ดจากปัญหานี้เลยทีเดียว

ในทำนองเดียวกัน คริสเตียน อีริคเซ่น ในช่วงระหว่างการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 ที่เพิ่งจบลงไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเกือบจะเสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย หากไม่ใช่เพราะการคิดอย่างรวดเร็วของผู้เล่น ผู้ตัดสิน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่อยู่ในสนาม

ภาพสุดช็อคของ คริสเตียน อีริคเซ่น ในศึกฟุตบอลยูโร 2020 (CR:siamrath)
ภาพสุดช็อคของ คริสเตียน อีริคเซ่น ในศึกฟุตบอลยูโร 2020 (CR:siamrath)

อาชีพนักฟุตบอลของ อีริคเซ่น สิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากไม่มีสโมสรฟุตบอลใดที่ต้องการผู้เล่นที่มีปัญหาเรื่องหัวใจในทีม อีริคเซ่นไม่เคยมีปัญหาเรื่องหัวใจมาก่อน แต่เขามีกลับมีประสบการณ์เฉียดตายบนสนามหญ้า

แม้ว่าหนังสือพิมพ์ไม่ได้เชื่อมโยงปัญหาสุขภาพหัวใจที่ผู้เล่นต้องเผชิญโดยตรงกับวัคซีนที่พวกเขาได้รับ แต่ก็พยายามค้นหาคำตอบโดยเปิดเผยรายชื่อนักกีฬาจำนวนมาก ที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหลังการฉีดวัคซีน

ประสิทธิภาพที่ไม่ชัดเจนของไฟเซอร์และวัคซีนอื่นๆ:

ตามรายงานในมาเลเซียจากจำนวนผู้เสียชีวิต 2,159 รายที่ได้รับวัคซีนครบสมบูรณ์ ซึ่ง 1,573 รายหรือ 72.8% ได้รับวัคซีนจาก Chinese Sinovac ที่น่าสนใจคือ มีผู้เสียชีวิตจำนวน 550 ราย หรือสูงถึง 25.5% ของผู้เสียชีวิตได้รับวัคซีนไฟเซอร์

ตามที่รายงานในเดือนมีนาคมอิสราเอล คิดว่าการระดมฉีดวัคซีน mRNA จะทำให้เส้นโค้งของจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 แบนราบลง เนื่องจากมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากร 9.3 ล้านคนในประเทศได้รับวัคซีนไฟเซอร์ครบสองโดสไปแล้ว 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ต่าง ๆ เลวร้ายลงอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น เนื่องจากมีการติดเชื้อจำนวนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ประเทศต่างๆ จึงเริ่มประกาศว่าอิสราเอลว่าเป็นจุดหมายปลายทางที่มีความเสี่ยงสูงสำหรับนักเดินทาง

ผลการศึกษาที่คล้ายกันในอิสราเอลกับของฝรั่งเศส:

ด้วยเหตุนี้ ในเดือนเมษายน กระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอลจึงเริ่มตรวจสอบกรณีของหัวใจอักเสบในผู้ที่ได้รับวัคซีนครบสองโดสจากไฟเซอร์ ในการศึกษาหนึ่งของผู้ป่วยมากกว่า 5 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์นั้น มีจำนวน 136 คนได้พบปัญหากล้ามเนื้อหัวใจตาย

ในขณะเดียวกัน ในการศึกษาอื่นจาก 2.5 ล้านคนที่ได้รับการฉีดวัคซีน พบผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 54 ราย โดยเด็กชายวัยรุ่นและชายหนุ่มมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มากที่สุด

เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสังเกตว่านักกีฬาส่วนใหญ่ที่ประสบปัญหา “การอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ” ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้อยู่ในกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะตามที่กล่าวไว้ในการศึกษาสองครั้งดังกล่าวในอิสราเอลและการศึกษาที่ดำเนินการในฝรั่งเศส

ไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนโควิด-19 เชื่อมโยงกับนักกีฬาที่เป็นประเด็นในโลกออนไลน์

สำนักข่าวรอยเตอร์นำเสนอโพสต์ต่อหน่วยงานกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (MHRA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและวัคซีนของอังกฤษ ซึ่งระบุว่าขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนที่จะสนับสนุนคำกล่าวอ้างดังกล่าวบนโลกออนไลน์

ดร.จูน เรน หัวหน้าผู้บริหารของ MHRA กล่าวว่า “MHRA ติดตามความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 อย่างใกล้ชิด รวมถึงรายงานที่น่าสงสัยเกี่ยวกับการอักเสบของหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

“โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบยังคงเป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้น้อยมากสำหรับวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา และเหตุการณ์ที่รายงานมักไม่รุนแรง โดยที่ผู้ป่วยมักจะฟื้นตัวภายในระยะเวลาอันสั้นด้วยการรักษาแบบมาตรฐานและการพักผ่อนเป็นหลัก หลักฐานในปัจจุบันไม่ได้บ่งชี้ว่าการเล่นกีฬาเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากเหล่านี้”

สำนักข่าวรอยเตอร์ยังได้นำเสนอวิดีโอต่อ FIFA ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลเรื่องการแข่งขันฟุตบอลทั่วโลกซึ่งกล่าวว่า: “FIFA ไม่ทราบว่ามีภาวะหัวใจหยุดเต้นตามที่ระบุไว้ และยังไม่มีกรณีใดที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับนักกีฬาที่ได้รับวัคซีน COVID”

“โดยทั่วไปแล้ว ฟีฟ่าติดต่อกับศูนย์วิจัยชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญเป็นประจำเพื่อทำวิจัยเกี่ยวกับหัวข้อทางการแพทย์ที่มีความหลากหลาย”

และที่สำคัญผู้อำนวยการของอินเตอร์ มิลาน กล่าวว่า คริสเตียน อีริคเซ่น ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 และนี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขาล้มลงระหว่างการแข่งขันยูโร 2020 ของเดนมาร์ก อย่างแน่นอน

บทสรุป

ต้องบอกว่าถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักฟุตบอลในเรื่องหัวใจ ที่มีปัญหาต่อเนื่องกันในระยะเวลาเพียงไม่นาน ทั้งรายของ อีริคเซ่น ที่กลายเป็นภาพข่าวโด่งดังในช่วงฟุตบอลยูโร 2020 รวมถึง อเกวโร่ ที่เหลือเชื่อมาก ๆ ที่มีข่าวว่าอาจจะต้องแขวนสตั๊ดจากปัญหานี้เลยทีเดียว

แม้เคสทั้งสองจะไม่ใช่เคสแรกที่นักฟุตบอลอาชีพต้องมามีปัญหาหรือจบชีวิตด้วยโรคหัวใจ ตัวอย่างของ มาร์ค-วิเวียน โฟเอ้ อดีตกองกลาง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ในทีมชาติแคเมอรูน ชุดทำศึกคอนเฟดเดอเรชันส์ คัพ 2003 ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งโฟเอ้ ล้มหมดสติในเกมพบ โคลอมเบีย โดยเจ้าตัวยังมีชีวิตระหว่างนำตัวไปโรงพยาบาล ก่อนทำการรักษาเป็นเวลา 45 นาทีถึงค่อยมีการประกาศเรื่องเสียชีวิตของดาวเตะวัย 28 ปี

มาร์ค-วิเวียน โฟเอ้ ที่เสียชีวิตจากปัญหาหัวใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับนักกีฬาทุกคน (CR:CNN)
มาร์ค-วิเวียน โฟเอ้ ที่เสียชีวิตจากปัญหาหัวใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับนักกีฬาทุกคน (CR:CNN)

หรือ ชีค ติโอเต้ อดีตกองกลาง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เสียชีวิตคาสนามด้วยวัยเพียง 30 ปีเท่านั้น หลังมีอาการหัวใจวายระหว่างฝึกซ้อมกับ ปักกิ่ง เอ็นเตอร์ไพรส์ กรุ๊ป ต้นสังกัดในลีกสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา แม้จะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ทว่าก็ยื้อชีวิตของเขาไว้ไม่สำเร็จ

แต่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสังเกตว่านักกีฬาส่วนใหญ่ที่ประสบปัญหา “การอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ” ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้อยู่ในกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงจากวัคซีน โดยเฉพาะตามที่กล่าวไว้ในการศึกษาทั้งจากประเทศอิสราเอลและฝรั่งเศส

เพราะฉะนั้นด้วยการที่ยังสรุปผลไม่ได้ชัดเจนนักว่าปัญหาเรื่องหัวใจนั้นเกิดจากวัคซีนโดยตรงจริงหรือไม่ ความกลัวก็อาจจะเกิดขึ้นกับนักฟุตบอลหลาย ๆ คน

ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ บิลด์ สื่อชั้นนำของประเทศเยอรมนี ที่ได้มี่การรายงานว่า บาเยิร์น มิวนิก ลงโทษขั้นเด็ดขาดกับผู้เล่น 5 รายที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีนโควิด-19 ประกอบด้วย แซร์จ กนาบรี, โยชัว คิมมิช, จามาล มูเซียลา, เอริก มักซิม ชูโป-โมติง และ มิคาเอล กุยซองซ์ ด้วยการไม่จ่ายค่าเหนื่อยทุกวันที่มีเกมการแข่งขันและมีการฝึกซ้อม

แต่ก็เป็นเรื่องน่าคิดนะครับ สำหรับนักฟุตบอลที่ไม่ต้องการรับวัคซีน พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะทำได้เพราะมันอาจจะส่งผลกระทบต่ออาชีพของพวกเขา รายได้หลักของพวกเขาได้เลย หากสุดท้ายแล้วมีการพิสูจน์ว่ามันมีผลจริง ๆ ซึ่งพวกเขาก็คงไม่อยากจะเสี่ยงอยู่แล้ว

และที่สำคัญตอนนี้ ข้อมูลต่างๆ บนโลกออนไลน์ มันทำให้เราที่เป็นคนทั่วไปแทบจะแยกไม่แล้วว่าเรื่องไหน เป็นเรื่องจริง หรือถูกปั่นแต่งเติมขึ้นมาโดยเฉพาะเรื่องวัคซีน ที่ทุกเว็บไซต์ทั้งใหญ่ทั้งเล็กต่างอ้างคำว่า Factcheck กันทั้งหมด

สุดท้ายเหล่านักกีฬาที่ต้องพึ่งพารายได้หลักจากการเล่นกีฬา ผมว่าคงไม่แปลกหากพวกเขาเลือกที่จะไม่ฉีดวัคซีนก่อน ในขณะที่ข้อมูลต่าง ๆ มันยังคลุมเครือไม่ชัดเจนอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.nature.com/articles/d41586-021-02740-y
https://tfiglobalnews.com/2021/11/10/pfizer-and-moderna-vaccines-are-probably-behind-heart-failures-of-professional-athletes-in-europe
https://www.berliner-zeitung.de/news/raetselhafte-herzerkrankungen-im-fussball-li.193554
https://www.thairath.co.th/sport/eurofootball/bundesliga/2248997
https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/french-health-authority-advises-against-moderna-covid-19-vaccine-under-30s-2021-11-09/
https://www.bmj.com/content/bmj/375/bmj.n2635.full.pdf
https://www.reuters.com/article/factcheck-soccer-denmark-idUSL2N2NW1BX

BeIn Sport vs BoutQ กับมหาศึกสงครามการเมืองในอ่าวเปอร์เซีย สู่การละเมิดลิขสิทธิ์ครั้งร้ายแรงในวงการกีฬาโลก

ต้องบอกว่าด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวไกลในปัจจุบัน มันก็ได้เกิดผลกระทบต่อวงการกีฬาอย่างชัดเจนมาก ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการถ่ายทอดสด ที่เรียกได้ว่าตอนนี้มีการละเมิดลิขสิทธิ์กันอย่างรุนแรงมาก ๆ

ตัวอย่างในบ้านเราเอง กีฬายอดฮิตอย่างฟุตบอล มีเว็บไซต์ หรือ เพจมากมายใน facebook เองที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์กัน และทำกันแบบง่ายมาก ๆ เนื่องจากการพัฒนาของระบบ live สดในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทำให้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อวงการกีฬา

นั่นเองที่ทำให้ในอนาคต หากมีบริษัทใดซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาเหล่านี้มา อาจจะต้องพินิจพิเคราะห์แบบละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้ัน เนื่องจากการละเมิดที่ทำได้ง่ายขึ้นในยุคปัจจุบัน

เราจะเห็นเทรนด์ที่ราคาลิขสิทธิ์ถ่ายทอดกีฬาชื่อดังราคาประมูลลดลงไปอย่างมาก เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ที่ยังไม่มีเทคโนโลยีที่ละเมิดลิขสิทธิ์ง่าย ๆ เหมือนในยุคปัจจุบัน

และนั่นเองที่ทำให้เกิดประเด็นใหญ่ขึ้นในวงการกีฬา กับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ beIn Sport ของทางประเทศซาอุดิอาระเบีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีการสร้างบริการ beoutQ มาขโมยสัญญาณและออกอากาศเป็นของตนเอง

มหาศึกสงครามการเมืองในอ่าวเปอร์เซีย

เช้าตรู่ของวันที่ 24 พฤษภาคม 2017 ได้มีคำแถลงที่เซอร์ไพรส์มาก ๆ จากประธานาธิบดีกาตาร์ ผ่านสำนักข่าวกาตาร์ (QNA)

สื่อระดับภูมิภาคในอาหรับ และที่อื่น ๆ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการรับข่าวดังกล่าว และได้ทำการเผยแพร่ให้ขยายวงกว้าง เพื่อให้ผู้คนนับล้านได้เห็นแถลงการณ์ครั้งนี้

“อิหร่านเป็นตัวแทนของอำนาจในภูมิภาค และอิสลามไม่สามารถละเลยได้ และไม่ฉลาดที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขา” ชีค ทามิม บิน ฮาหมัด อัลธานี ผู้ปกครองกาตาร์กล่าวในพิธีสำเร็จการศึกษาทางทหารเป็นภาษาอาหรับ

ราชวงศ์กาตาร์ รู้ตัวทันทีว่าระบบรัฐบาลของพวกเขากำลังถูกรุกราน และพวกเขามั่นใจว่ามันเป็นแผนการของ ซาอุดิอาระเบีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ทำเรื่องชั่ว ๆ ดังกล่าวนี้

ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่แสดงว่าระบบของพวกเขาถูก hack โดยกลุ่มนับรบไซเบอร์ของรัสเซียที่ได้รับการว่าจ้างให้ทำงานดังกล่าว

พวกเขาไม่เคยเห็นการลอบโจมตีในลักษณะดังกล่าวนี้เกิดขึ้นมาก่อน สถานการณ์ที่มีความตึงเครียดมานานหลายปี กำลังจะถึงจุดแตกหัก

ภายในสิบสามวัน ซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของพวกเขารวมถึงอียิปต์และหมู่เกาะโคโมโรเล็ก ๆ ได้เคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในการปิดกั้น เพื่อคว่ำบาตรกาตาร์แบบเต็มรูปแบบ

พวกเขาขับไล่ชาวกาตาร์ออกจากประเทศตัวเอง ตัดความสัมพันธ์ทางการเงิน และปฏิเสธที่จะให้เครื่องบินของกาตาร์ใช้น่านฟ้าของพวกเขา เหล่าร้านค้าในกาตาร์ต่างขาดแคลนอาหาร เนื่องจากประเทศนี้พึ่งพาการค้าทางบกกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก

ปัญหาใหญ่น่าจะเกิดจากกาตาร์ได้ทำการผูกมิตรกับศัตรูของซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เช่น กลุ่มภราดรภาพมุสลิม

ซึ่ง ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรน ต่างนำทูตของพวกเขาออกจากกาตาร์ในปี 2014 เนื่องจากกาตาร์ได้ไปสนับสนุนการประท้วงอาหรับสปริง

การประกาศคว่ำบาตรสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวกาตาร์จำนวนมาก ครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศบางครอบครัวเริ่มสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ส่วนตัวไว้ในบ้านพักตากอากาศและพระราชวังเพื่อเตรียมพร้อมหากมีการรุกรานขึ้นมาจริง ๆ

องบอกว่าสงครามเย็นกับกาตาร์นั้นมีเวลานานมาหลายปีแล้ว แต่กาตาร์เริ่มตีตัวออกห่างจากเพื่อนบ้านอย่างรวดเร็วเมื่อ ฮาหมัด บิน คาลิฟา โค่นล้มบิดาของตัวเองในการรัฐประหารที่ไร้การนองเลือดในปี 1995

ด้วยความที่ฮาหมัดเติบโตมาในโลกที่มีความสากล และด้วยความมั่งคั่งของประเทศในยุคนั้น ความผูกพันทางประวัติศาสตร์กับสหราชอาณาจักร เขาจึงเข้าเรียนที่ Royal Military Academy , Sandhurst ก่อนที่จะกลับไปโดฮาเพื่อเป็นนายทหารและในที่สุดก็ได้กลายเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

เขาได้เข้ามายึดอำนาจโดยความเห็นชอบของสมาชิกคนสำคัญในครอบครัว ฮาหมัดได้เข้ามาเปลี่ยนนโยบายกาตาร์ใหม่ แม้กระทั่งการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับอิสราเอล

เขาได้พัฒนาแหล่งก๊าซของประเทศซึ่งเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ เนื่องจากก๊าซธรรมชาติยังไม่ได้เป็นวัตถุดิบที่ทำกำไรได้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ซึ่งการเดิมพันครั้งนี้ทำให้กาตาร์ร่ำรวยมหาศาล ด้วยความมั่งคั่งที่เกิดขึ้น ฮาหมัด ได้กำหนดนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นไปที่บทบาทของกาตาร์ในส่วนที่เหลือของโลก ไม่ใช่แค่เหล่าประเทศเพื่อนบ้านในอ่าวเท่านั้น

หนึ่งในปัจจัยใหญ่ที่สุดคือการสร้าง Al Jazeera ช่องข่าวที่ใช้เวลาอย่างฟุ่มเฟือยในการสรรหานักข่าวต่างประเทศ และนำเสนอให้ครอบคลุมตะวันออกกลางมากที่สุด

โดยเป็นการแสดงให้เห็นว่ากาตาร์เป็นกลาง แต่ภายในช่อง Al Jazeera เองก็แทบจะไม่มีการรายงานประเด็นทางสังคมหรือการโต้เถียงภายในกาตาร์เองแต่อย่างใด

การถือกำเนิดของ Al Jazeera คืออีกหนึ่งชนวนสำคัญ (CR:Inside Arabia)
การถือกำเนิดของ Al Jazeera คืออีกหนึ่งชนวนสำคัญ (CR:Inside Arabia)

เพื่อนบ้านของกาตาร์มองว่า Al Jazeera ไม่เป็นกลาง และเมื่อเกิดเหตุการณ์อาหรับสปริง เมื่อเยาวชนชาวอียิปต์ประท้วงต่อต้านประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัคที่ซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเตส์หนุนหลัง

แต่หลังจากมูบารัคลงจากอำนาจ กาตาร์ก็ได้แต่งตั้งโมฮาเหม็ด มอร์ซี จากกลุ่มมุสลิมภราดรภาพให้กลายเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของอียิปต์ และนั่นเองที่ทำให้ซาอุดิอาระเบียและยูเออีโมโห และสนับสนุนนายพลในการโค่น มอร์ซี และปราบปรามกลุ่มมุสลิมภราดรภาพ

กาตาร์มีความเชี่ยวชาญมากกว่าซาอุฯ หรือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในการล็อบบี้และสื่อสารกับโลกภายนอก พวกเขาเปรียบเสมือนสวิตเซอร์แลนด์แห่งตะวันออกกลางที่รักษาการติดต่อกับทุกกลุ่มเพื่ออำนวยความสะดวกในการเจรจาและนำสันติภาพมาสู่ภูมิภาค

อีกปัจจัยหนึ่งที่ได้สร้างความขุ่นเคืองมายาวนานหลายปี คือ กาตาร์มีนิสัยขี้อิจฉาเพื่อนบ้านที่ใหญ่กว่า ด้วยความมั่งคั่งมหาศาล กองทุนความมั่งคั่งของกาตาร์ ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทในโลกตะวันตกที่มีชื่อเสียงมากมาย

ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากเยอรมันอย่าง Volkswagen Group หรือ Royal Dutch Shell รวมถึงการกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก โครงการพัฒนาสนามบิน Heathrow ย่านธุรกิจ Canary Wharf และสร้าง Shard ซึ่งเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในสหราชอาณาจักร

แถมกาตาร์ยังได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลก (FIFA World Cup) ในปี 2022 ซึ่งเป็นการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียงที่สุดรองจากโอลิมปิก

และสำหรับเหล่าเศรษฐีผู้ร่ำรวยของกาตาร์ การซื้อห้างสรรพสินค้า Harrods ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าชื่อดังบนถนน Old Brompton Road ในลอนดอนมูลค่า 1,500 ล้านปอนด์ในปี 2010 ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ภาษาอาหรับได้กลายเป็นภาษาที่สองของห้างดังเหล่านี้ เนื่องจากบรรดาลูกค้าผู้ร่ำรวยจากดูไบ ริยาด หรือ คูเวตซิตี้ จะมาช็อปปิ้งในช่วงวันหยุด

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็รู้สึกว่า การกระทำต่าง ๆ ของกาตาร์เกิดจากความหยิ่งผยองของพวกเขา กาตาร์มีฐานทัพ Al Udeid การสื่อสารกับชาติตะวันตกก็ดูราบรื่น แถมยังมีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าประเทศอื่น ๆ

นั่นเป็นเหตุให้เหล่าชีคที่เขี้ยวลากดินของเอมิเรตส์พร้อมกับเหล่าพันธมิตร มองหาข้ออ้างที่จะตัดกาตาร์ออกไป และถือเป็นการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวที่สุดในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้

แต่ดูเหมือนกาตาร์จะไม่แคร์ เพราะด้วยความมั่งคั่งของพวกเขา ห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดที่รองรับประชากรในประเทศจึงได้รับการออกแบบใหม่ โดยไม่แคร์เพื่อนบ้านชาวอาหรับอีกต่อไปนั่นเอง

การถือกำเนิดขึ้นของ beoutQ

ต้องบอกว่า beoutQ เป็นมากกว่าแค่การละเมิดลิขสิทธิ์แบบธรรมดา ๆ ทั่วไปที่เราได้เห็นกันทั่วโลก ที่มีการลักลอบนำสัญญาณไปใช้อย่างผิดกฏหมาย แต่ส่วนใหญ่ เป็นการกระทำแบบลับ ๆ ไม่ประเจิดประเจ้อเหมือนกับสิ่งที่ beoutQ ทำ

beoutQ เป็นองค์กรละเมิดลิขสิทธิ์ โดยมี 10 ช่องสัญญาณที่เริ่มออกอากาศทางผู้ให้บริการดาวเทียม Arabsat หลังจากข้อพิพาททางการทูตกระตุ้นให้ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ( UAE ) บาห์เรน และ  อียิปต์

ไม่นานหลังจากที่กาตาร์ถูกปิดล้อม ช่อง beIn ซึ่งเป็นช่องกีฬาชื่อดังได้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในประเทศคู่ขัดแย้งกับกาตาร์

การสอบสวนของ Al Jazeera ในปีที่แล้วเปิดเผยว่า  ผู้ให้บริการซาอุดีอาระเบีย 2 ราย คือ Selevision และ Shammas มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินงานที่ดำเนินการโดย beoutQ 

การสอบสวนพบว่า beoutQ ตั้งอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทสื่อแห่งหนึ่งในเขตอัล-กิราวัน กรุงริยาด เมืองหลวงของซาอุดิอาระเบีย แต่ทางซาอุดีอาระเบียได้ปฏิเสธการอ้างว่า beoutQ อยู่ในราชอาณาจักร

beoutQ กับการละเมิดลิขสิทธิ์แบบอื้อฉาวที่สุดครั้งนึงในวงการกีฬาโลก (CR:soupskotom.com)
beoutQ กับการละเมิดลิขสิทธิ์แบบอื้อฉาวที่สุดครั้งนึงในวงการกีฬาโลก (CR:soupskotom.com)

โดยสำนักข่าว Al Jazeera ได้รับเอกสารที่พิสูจน์ว่ามีการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างบริษัทซาอุดิอาระเบียและฝ่ายบริหารของ Arabsat

การสอบสวนยังแสดงให้เห็นว่าการดำเนินการละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ใช่การกระทำของแฮ็กเกอร์ทั่วไป เหมือนในประเทศอื่น ๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบบูรณาการที่มีการปกปิดอย่างเป็นทางการและได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากซาอุดิอาระเบีย

ในการให้สัมภาษณ์กับ Al Jazeera อัยการของกาตาร์กล่าวว่าจำเลยหนึ่งในสามคนที่ถูกกล่าวหาว่าสื่อสารกับซาอุดิอาระเบียและอียิปต์เกี่ยวกับปัญหานี้ได้เดินทางไปยังซาอุดิอาระเบียหลังจากการปิดล้อมดังกล่าว

จำเลยได้พบกับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของซาอุดิอาระเบีย Maher Mutreb และแชร์ข้อมูลลับและละเอียดอ่อนกับหน่วยข่าวกรองอียิปต์

Mutreb เป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของซาอุดิอาระเบียที่ทำงานให้กับที่ปรึกษาอาวุโสของมกุฎราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ของซาอุดิอาระเบีย (ผู้ที่เข้าซื้อสโมสรนิวคาสเซิล แห่งพรีเมียร์ลีก)

ตามรายงานจาก   ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการวิสามัญฆาตกรรม Mutreb มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดในการสังหาร Jamal Khashoggi นักข่าวชาวซาอุดีอาระเบีย   ในสถานกงสุลของประเทศในอิสตันบูลเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2018

บทสรุป

แม้ตอนนี้สถานการณ์จะคลี่คลาย เนื่องจากซาอุดิอาระเบียต้องการเข้ามาลงทุนในสโมสรฟุตบอลชื่อดังอย่าง นิวคาสเซิล ซึ่งมีการล็อบบี้จนสามารถปิดดีลดังกล่าวได้ในท้ายที่สุด

แต่จะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของ beoutQ ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจไม่แคร์สายตาชาวโลก ซึ่งทำให้ประเทศซาอุดิอาระเบียถูกจัดให้อยู่ใน Priority Watch List โดยผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เป็นเวลาถึงสองปี

นั่นเองที่ทำให้ซาอุดิอาระเบียกลายเป็นหนึ่งใน 10 ประเทศที่ล้มเหลวในการปกป้องและบังคับใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ทั่วโลก

ซึ่งทางการสหรัฐได้มีการบีบบังคับให้ ซาอุดิอาระเบียเพิ่มการบังคับใช้กฏหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับ beoutQ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ในเวทีการค้าโลกนั่นเองครับผม

แล้วคุณล่ะมีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร อย่าลืมมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับผม

References :
https://www.qatar-tribune.com/news-details/id/124128
https://www.broadbandtvnews.com/2021/10/07/saudi-arabia-to-lift-ban-on-bein-sports/
https://theathletic.com/news/saudi-arabia-reverses-bein-sport-ban/
https://www.aljazeera.com/economy/2020/6/16/explainer-the-piracy-case-against-saudis-beoutq-channel

โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ชายผู้เยือกเย็นไร้ความปราณี กับเส้นทางสู่การเถลิงบัลลังก์อำนาจราชวงศ์อัล ซาอุด

เป็นอีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่ผมค่อนข้างที่จะสนใจเส้นทางเรื่องราวชีวิตของตัวเขาเป็นพิเศษ สำหรับ โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ที่มีข่าวใหญ่ทำการเข้าซื้อกิจการสโมสรชื่อดังในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษอย่าง นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ด้วยมูลค่า 300 ล้านปอนด์

ก่อนหน้านี้ได้เขียนเรื่องราวของเขาแบบฉบับเต็ม ๆ (สามารถอ่านได้ตรงลิงค์ท้ายบทความ) ก็ต้องบอกว่าเรื่องราวเส้นทางเดินของชายคนนี้ก่อนเข้ามากุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จในราชวงศ์ของประเทศซาอุดิอาระเบียนั้นน่าสนใจเป็นอย่างมาก

จุดเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย

ในเดือนธันวาคมปี 2014 อับดุลลาห์ บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด สมาชิกคนที่หกของราชวงศ์อัล ซาอุด ที่สาม ที่กำลังปกครองซาอุดิอาระเบีย กำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลกลางทะเลทรายนอกกรุง ริยาด เมืองหลวงของประเทศ

ประเทศซาอุดิอาระเบีย มีอายุเพียงแค่ 83 ปี ซึ่งมีอายุน้อยกว่ากษัตริย์อับดุลลาห์ที่มีอายุ 90 ปี ตลอดชีวิตในวัยเด็กของอับดุลลาห์ อาณาจักรแห่งนี้มีประชากรอาศัยอยู่เบาบาง และมีการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเข้ามาแสวงบุญที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลามที่เมกกะ

เมื่ออับดุลลาห์ อายุได้ยี่สิบปีเศษ ๆ การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้นกับซาอุดิอาระเบีย มีการค้นพบมหาสมุทรน้ำมันใต้ทะเลทราย ช่วยให้สามารถเปลี่ยนเมืองที่มีแต่กำแพงโคลนให้กลายเป็นมหานครที่ทันสมัยที่มีตึกระฟ้าและห้างสรรพสินค้าเกิดขึ้นมากมาย

ในเดือนพฤศจิกายนปี 2014 มีความเห็นจากทางการแพทย์ที่อเมริกาว่า กษัตริย์อับดุลลาห์เป็นมะเร็งปอดในระยะที่สี่ ซึ่งหมอได้บอกว่าเขาอาจจะใช้ชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 3 เดือนเท่านั้น

ไม่ถึงแปดสัปดาห์ต่อมา อับดุลลาห์ ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลชั่วคราวกลางทะเลทราย ที่บนพื้นทรายนั้นได้ติดจอมอนิเตอร์ และ สายน้ำเกลือเข้าสู่เส้นเลือดของเขา

ในขณะที่ข้าราชบริพารและลูกชายอีกกว่าสิบคน ซึ่งส่วนมากก็เป็นชายวัยกลางคนที่มีนิสัยใจคอแตกต่างกันไป และพวกเขาเหล่านี้กำลังมองถึงอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังการจากไปของกษัตริย์อับดุลลาห์

คนเหล่านี้รู้ดีว่าการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ซาอุดิอาระเบียถือเป็นการเปลี่ยนผ่านความมั่งคั่งและอำนาจ การเปลี่ยนผ่านแต่ละครั้งในประวัติศาสตร์ของประเทศได้นำไปสู่การสั่นคลอนของเหล่าสายเลือดที่ต้องมาแข่งขันชิงอำนาจกัน

กษัตริย์อับดุลลาห์รวมถึงบุตรชายของเขา รู้ดีว่า ซัลมาน (ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด) เป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดและยังคงมีชีวิตอยู่ เป็นผู้ควบคุมวัง และมีความต้องการอย่างสูงที่จะผลักดันลูกชายของเขาโมฮัมเหม็ด (โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน เจ้าของทีมนิวคาสเซิลคนใหม่) เพื่อสืบทอดบัลลังก์ต่อไปในรุ่นหน้า

แผนผังราชวงศ์อัลซาอุด (CR:AlJAZEERA)
แผนผังราชวงศ์อัลซาอุด (CR:AlJAZEERA)

และแน่นอนว่าโมฮัมเหม็ดจะกลายเป็นหายนะสำหรับตระกูลอับดุลลาห์ มันเป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่โมฮัมเหม็ดเข้ามาปะทะกับพี่น้องและเจ้าหน้าที่ระดับสูง ตัวโมฮัมเหม็ดเองเคยแม้กระทั่งถ่มน้ำลายต่อเจ้าหน้าที่ข่าวกรองที่มีอำนาจสูงสุดคนหนึ่งของซาอุดิอาระเบีย

ซึ่งนั่นเองที่ทำให้บุตรชายของอับดุลลาห์ต้องพึ่งพาชายที่มีชื่อว่า คาลิด อัล ทูไวจรี ที่ตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าราชสำนักของอับดุลลาห์

บทบาทที่สำคัญมาก ๆ ของ ทูไวจรี คือ การควบคุมการเข้าถึงกษัตริย์อับดุลลาห์ แม้แต่เอกอัครราชทูตประจำสหรัฐอเมริกาก็ต้องบินมาจากวอชิงตัน ดี.ซี. ไปยังริยาดเพื่อสนทนาเพียงแค่สองชั่วโมง เนื่องจากอับดุลลาห์ไม่ชอบการคุยโทรศัพท์เป็นอย่างยิ่ง

และไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจระดับโลก หรือ รัฐมนตรีของรัฐบาลจากประเทศที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตามบนโลกใบนี้ ก็จำเป็นต้องติดต่อผ่านทูไวจรี มีคนถึงกับตั้งฉายาให้เขาว่า “King Khalid”

ต้องบอกว่านี่เป็นอำนาจที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนสำหรับบุคคลภายนอกราชวงศ์ และทำให้ทั้งซัลมานและโมฮัมเหม็ดรู้สึกโกรธแค้น ทูไวจรี เป็นอย่างยิ่ง

และตัวโมฮัมเหม็ดเองก็มีประสบการณ์ที่เลวร้ายโดยตรงกับ ทูไวจรี ซึ่งโมฮัมเหม็ดมองว่าทูไวจรีนั้นเป็นคนสองหน้า เพราะด้านหนึ่งนั้นทำเหมือนจะสนับสนุนเขา แต่ลับหลัง ทูไวจรี ทำทุกอย่างเพื่อป้องกันการก้าวขึ้นมามีอำนาจของโมฮัมเหม็ดในทุกวิถีทาง

ทูไวจรี ทำถึงขนาดที่ว่า พยายามขับไล่โมฮัมเหม็ดออกจากรัฐบาล หรือ ไม่ก็ติดสินบนจนเขาพอใจ และไม่กี่ปีก่อนหน้าก็ได้ลงโทษทางวินัยโมฮัมเหม็ดตามคำสั่งของกษัตริย์อับดุลลาห์ที่ดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูง

ต้องบอกว่าซัลมาน (บิดาของโมฮัมเหม็ด) เป็นคนที่แตกต่างจากเหล่าราชวงศ์คนอื่น ๆ ที่มักจ่ายเงินกันอย่างบ้าคลั่ง และสะสมเงินทองไว้มากมาย แต่ ซัลมานเป็นคนที่ไม่สนใจในความมั่งคั่งเหล่านี้ เขาใช้เงินส่วนพระองค์ใช้จ่ายสำหรับภรรยาและลูก ๆ ของเขา

ในฐานะผู้ว่าราชการเมืองริยาดเป็นเวลาถึงสี่สิบแปดปี ซัลมานได้ควบคุมพื้นที่หลายล้านเอเคอร์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเมืองริยาด ได้เปลี่ยนจากหมู่บ้านในช่วงเริ่มต้นของการปกครองของเขากลายเป็นเมืองที่ทันสมัยที่มีประชากรมากกว่า 5 ล้านคน

ซัลมานยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนักบวชวาฮาบิสต์ ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญของราชวงศ์ และมักจะเข้าไปพบกับเหล่านักบวชด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้ช่วยให้ราชวงศ์สามารถรักษาอำนาจไว้นับตั้งแต่การก่อตั้งอาณาจักร

แต่ความสัมพันธ์ของซัลมานกับลูกชายกับภรรยาคนแรกของเขาค่อนข้างห่างเหิน เพราะตอนที่เขาให้กำเนิดอายุคนแรกนั้นเขามีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น และเขาต้องการให้บุตรชายของเขาเรียนรู้ว่าโลกนี้มีอะไรที่มากกว่าความมั่งคั่ง น้ำมัน เขาต้องการให้บุตรชายของเขาได้รับความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในฐานะรัฐบุรุษในภายหลัง

ลูกชายจากภรรยาคนแรกของเขา ฟาห์ด และ อาเหม็ดกลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เลี้ยงม้าแข่งระดับโลก และเป็นหุ่นส่วนที่สำคัญกับ UPS ส่วนอับดุลอาซิซเป็นผู้เชี่ยวชาญน้ำมันที่คอยจัดการเรื่องความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนของรัฐบาลกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายอื่น ๆ

ไฟซาล เป็นนักวิชาการสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านการศึกษาทางการเมืองจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดด้วยวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในอ่าวและอิหร่าน

โมฮัมเหม็ดกับการถูกเลี้ยงดูที่แตกต่าง

ซัลมานได้มาแต่งงานอีกครั้งกับภรรยาสาวฟาดาห์ บินต์ ฟาลาห์ อัล ฮิธเลน ซึ่งเป็นลูกสาวของหัวหน้าเผ่าอัจมาน ซึ่งมีประวัติยาวนานในฐานะนักรบที่ต่อสู้เคียงข้างกับราชวงศ์ในอดีต

และสองปีถัดจากนั้น ฟาดาห์ ก็ให้กำเนิดบุตรชายอย่างโมฮัมเหม็ด ลูกชายคนแรกหัวแก้วหัวแหวนของเธอ และให้กำเนิดเพิ่มอีก 5 คนหลังจากนั้น

ต้องบอกว่าเด็กทั้ง 6 คนที่เป็นลูก ๆ ของฟาดาห์ภรรยาคนที่สองของซัลมาน ได้รับการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากกลุ่มพี่ชายของภรรยาคนแรกเป็นอย่างมาก

โมฮัมเหม็ดและน้อง ๆ ของเขา ไม่ได้ดูดซับความหลงใหลในด้านวิชาการและการใช้ชีวิตในต่างประเทศที่ปลูกฝังเหมือนกลุ่มพี่ ๆ ของภรรยาคนแรก ในขณะที่เหล่าพี่ชายกำลังสร้างอาชีพตามความฝัน

โมฮัมเหม็ดเป็นวัยรุ่นที่ดูเหมือนจะไร้จุดมุ่งหมาย เขามีนิสัยชอบฝันกลางวันระหว่างงาน หลายคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนเหม่อลอย ในวันหยุดพักผ่อนเขาและคาลิดน้องชายจะออกไปสำรวจหรือดำน้ำ เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเล่นวีดีโอเกม รวมถึงซีรียส์อย่าง Age of Empires

แต่เมื่อเวลาผ่านไปเจ้าชายวัยรุ่นอย่างโมฮัมเหม็ด ก็เริ่มสำนึกว่าควรจะเริ่มเปลี่ยนความเข้าใจเรื่องของเงินตรา และ อำนาจ เขาได้เริ่มซึมซับหลาย ๆ อย่างจากพระบิดาของเขา เพราะด้วยวัยที่ห่างกันมาก และ อยู่ด้วยกันบ่อย ๆ ทำให้ทั้งสองเริ่มมีความผูกพันกันมากยิ่งขึ้น

ในขณะที่พี่น้องของเขาส่วนใหญ่ได้รับการขัดเกลาจากครูที่พ่อของเขานำเข้ามาหรือออกไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ แต่โมฮัมเหม็ดกำลังเฝ้าดูซัลมานอย่างใกล้ชิดและเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของอำนาจและวิธีการที่จะใช้มัน

และเมื่อกษัตริย์อับดุลลาห์ใกล้สิ้นพระชนม์ โมฮัมเหม็ดก็อายุได้เกือบสามสิบปี และได้กลายเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามสำหรับ บุตรชายและข้าราชบริพารของอับดุลลาห์ เพราะเป็นคนที่คิดต่างมีความกระตือรือร้น ความคิดสร้างสรรค์ ความทะเยอทะยาน และมีความเชือดเฉือนมากกว่าที่ใคร ๆ คาดคิด

โมฮัมเหม็ดรู้ดีว่าประเทศต้องการอะไร เขามองว่าซาอุดิอาระเบียต้องไม่ใช่แค่เพื่ออยู่รอดไปวัน ๆ จากน้ำมันเท่านั้น แต่ต้องทำทุกอย่างเพื่อความเจริญรุ่งเรือง และด้วยการอยู่ใกล้ชิดกับพ่อของเขาตลอดในช่วงวัยยี่สิบ แทนที่จะออกจากซาอุดิอาระเบียเพื่อไปเรียนหนังสือเหมือนพี่ ๆ ของเขา มันทำให้โมฮัมเหม็ดได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความอ่อนแอของคู่แข่งในราชวงศ์

การก้าวขึ้นสู่อำนาจของกษัตริย์ซัลมาน

ภายในปี 2010 ห้าปีหลังการครองราชย์ของกษัตริย์อับดุลลาห์ ซัลมานมีอายุมากกว่าเจ็ดสิบปี และมีพี่ชายที่ประสบความสำเร็จใกล้เคียงกันสองคน คั่นกลางอยู่ระหว่างเขากับบัลลังก์ ซึ่งตลอดเวลาที่อับดุลลาห์ขึ้นครองราชย์ ไม่มีเหตุผลใดที่ทูไวจรี หัวหน้าราชสำนักจะมองว่าซัลมานหรือลูก ๆ ของเขาจะเป็นภัยคุกคาม

แต่การเสียชีวิตของพี่ชายทั้งสองที่คั่นกลางการขึ้นมาสืบทอดบัลลังก์ของซัลมานในปี 2011 และ 2012 มันก็ทำให้อนาคตของบัลลังก์นั้นตกมาอยู่ในมือของซัลมานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นั่นทำให้ ทูไวจรี เริ่มคิดแผนการชั่วร้าย โดยเริ่มมีการเผยแพร่ความคิดที่ว่า ซัลมาน กำลังทุกข์ทรมนจากภาวะสมองเสื่อม เขาได้พยายามแสวงหาเชื้อพระวงศ์ที่มีอิทธิพลคนอื่น ๆ เพื่อดำเนินการปฏิรูปที่ยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายในการส่งต่อมงกุฏไปยังคนรุ่นต่อไป

ซึ่งแผนการของทูไวจรีคือการผลักดันบุตรชายของกษัตริย์อับดุลลาห์ ซึ่งอาจเป็นมิเทบ หรือ ทูร์กี หรือ อาจจะเป็น โมฮัมเหม็ด บิน นาเยฟ หัวหน้าฝ่ายความมั่นคงในประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ CIA และกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา

บิน นาเยฟ ควบคุมกระทรวงมหาดไทยของซาอุดิอาระเบียที่มีอำนาจไม่แพ้ใคร ในขณะที่บุตรชายทั้งสองของอับดุลลาห์ควบคุมกองกำลังพิทักษ์ชาติของซาอุดิอาระเบียที่คอยปกป้องราชวงศ์

สำหรับแผนการของ ทูไวจรี ต้องจัดการทุกอย่างก่อนที่ซัลมานจะเข้ามาแทรกแซงได้ วิธีที่ดีที่สุดคือทำให้กษัตริย์อับดุลลาห์เสียชีวิตในทะเลทรายโดยไม่มีคนในครอบครัวอยู่รอบๆ ตัว นั่นจะทำให้ทูไวจรีมีเวลาอย่างน้อยหลายชั่วโมงในการปฏิบัติการยึดอำนาจ

ทูไวจรี ต้องการทำทุกอย่างเพื่อคงอำนาจไว้ (CR:alchetron.com)
ทูไวจรี ต้องการทำทุกอย่างเพื่อคงอำนาจไว้ (CR:alchetron.com)

ซึ่งลูกชายของอับดุลลาห์ก็สนับสนุนแนวคิดนี้ พวกเขาเชื่อว่า พวกเขาเองก็เหมาะสมที่จะปกครองประเทศต่อไป ซึ่งก่อนที่จะถึงวาระสุดท้ายของกษัตริย์อับดุลลาห์ มิเทบ ลูกชายบอกกับ โจ เวสต์ฟาล ทูตสหรัฐฯ ว่าเขากำลังช่วงชิงมงกุฏ

แต่สิ่งที่ทูไวจรีไม่ทันคิดไปก็คือ การที่ข่าวดังกล่าวได้รั่วไหลไปถึงหูของโมฮัมเหม็ด ซึ่งได้มีกลุ่มทีมงานที่ซื่อสัตย์ ที่คอยรวบรวมข้อมูลภายในราชสำนักมาให้เขาได้ และก็ได้แจ้งเตือนโมฮัมเหม็ดทันทีเกี่ยวกับอาการของกษัตริย์อับดุลลาห์

และตัวทูไวจรีเองก็ถูกกดดันจากครอบครัวในราชวงศ์ให้เคลื่อนย้ายอับดุลลาห์จากที่หลบภัยในทะเลทรายไปยังโรงพยาบาลในริยาด ซึ่งสุดท้ายได้ดำเนินการโดยกองกำลังพิทักษ์ชาติ ซึ่งทูไวจรีก็พยายามเก็บเป็นความลับมากที่สุด

สถานการณ์ในตอนนั้น ทูไวจรี และ ตระกูลอับดุลลาห์ ต่างเริ่มยอมแพ้ที่จะรักษาอำนาจของพวกเขาไว้แล้ว สิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาหวังได้ก็เพียงแค่ ซัลมาน จะไม่เกลียดชังพวกเขา และย้อนมาเล่นงานพวกเขาในภายหลังเพียงเท่านั้น

หลังจากย้ายกษัตริย์อับดุลลาห์มายังเมืองริยาด ราชสำนักได้กางเต๊นท์นอกโรงพยาบาล เพื่อให้ เพื่อน ๆ และญาติ ๆ มาเยี่ยมกษัตริย์ที่กำลังใกล้จะสิ้นพระชนม์ ชาวซาอุฯ หลายพันคนรวมตัวกันรอบ ๆ โรงพยาบาลและทำการอธิษฐานตลอดคืน

หลายวันที่อับดุลลาห์นอนอยู่ในโรงพยาบาล โมฮัมเหม็ดพยายามโทรไปหา ทูไวจรี เพื่อสอบถามสถานการณ์แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นเป็นเพียงคำโกหกหลอกลวงว่ากษัตริย์อับดุลลาห์ยังคงมีชีวิตอยู่

เพราะข่าวที่เขาได้รับมาจากลูกสาวคนหนึ่งของอับดุลลาห์ ที่มาพบบิดาของเธอ กลับไม่มีร่องรอยของลมหายใจหลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว กษัตริย์อับดุลลาห์ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว แต่ทูไวจรี กำลังพยายามทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อยืดเวลาออกไปให้นานที่สุดก่อนที่จะมีการสถาปนากษัตริย์องค์ใหม่

และไม่นานหลังจากนั้นโมฮัมเหม็ดก็ได้รับโทรศัพท์อย่างเป็นทางการว่ากษัตริย์อับดุลลาห์เสียชีวิตแล้ว เขารีบพาพ่อของเขาขึ้นขบวนรถและมุ่งตรงไปที่โรงพยาบาลทันที

พวกเขาพบทูไวจรีรออยู่ที่โถทางเดิน ซัลมานเหลือทนกับคนอย่างทูไวจรี เขาตบหน้าทูไวจรีอย่างรุนแรงและดังไปทั่วทางเดินของโรงพยาบาล ถึงจุดนี้ มันได้ถึงจุดเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของราชวงส์แล้ว ทูไวจรี รู้ตัวดีแล้วว่า อำนาจอันล้นฟ้าของเขากำลังจะสูญสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับศึกการแย่งชิงบัลลังก์ในครั้งนี้

สามารถติดเรื่องราวฉบับเต็ม ๆ ผ่าน Blog Series ชุด -> Blood Oil – The Rise to Power of Mohammed Bin Salman