เมื่อรองเท้าจีนบุกตลาด NBA ‘เมดอินไชน่า’ ท้าชน Jordan Brand ใครจะอยู่ใครจะไป?

เคยสงสัยไหมว่าทำไมนักบาสระดับซูเปอร์สตาร์ถึงยอมทิ้งแบรนด์ดังอย่าง Nike หรือ Adidas มาใส่รองเท้าแบรนด์จีนที่คุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อ? เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเงิน แต่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการรองเท้าบาสเกตบอลโลก

จากหลายพันคนที่เข้าสู่ NBA มีเพียงไม่กี่คนที่โชคดีได้เซ็นสัญญารองเท้า และยิ่งน้อยลงไปอีกที่จะมีรองเท้าซิกเนเจอร์เป็นของตัวเอง ทุกคนรู้จัก Michael Jordan กับ Kobe Bryant แต่มีหนึ่งชื่อที่น่าสนใจกว่า นั่นคือ Dwyane Wade ผู้บุกเบิกเส้นทางสำหรับนักบาสรุ่นหลัง

Dwyane Wade ทำในสิ่งที่หลายคนคิดว่าบ้า เขาทิ้ง Jordan Brand มาเซ็นสัญญากับ Li-Ning แบรนด์จากจีนที่แทบไม่มีใครรู้จักในอเมริกา

Wade บอกว่าเขาต้องการสร้างตำนานของตัวเองเหมือน Jordan Li-Ning ให้โอกาสเขาในการสร้างแบรนด์ “Way of Wade” ซึ่งปัจจุบันมีรองเท้าซิกเนเจอร์ออกมาแล้ว 10 รุ่น แต่ละรุ่นล้ำสมัยและมีเทคโนโลยีที่โหดไม่แพ้ยักษ์ใหญ่อย่าง Nike

ขณะที่ Li-Ning กำลังสร้างชื่อกับ Wade อีกแบรนด์จากจีนอย่าง Anta ก็ไม่รอช้า พวกเขาเซ็นสัญญากับ Klay Thompson ด้วยมูลค่ามหาศาลถึง 80 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเวลา 10 ปี แม้จะแบรนด์น้องใหม่ในอเมริกา แต่ Anta เริ่มต้นในจีนตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1990

ปัจจุบัน Anta อยู่อันดับ 4 ของบริษัทสินค้ากีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลก และแซงหน้า Nike ในยอดขายในจีนปี 2022 เหมือนฟ้าลิขิตให้พวกเขาพุ่งทะยานในวงการบาสเกตบอล

การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของ Anta เกิดขึ้นในปี 2023 เมื่อพวกเขาเซ็นสัญญากับ Kyrie Irving ซูเปอร์สตาร์ที่พึ่งเลิกรากับ Nike หลังจากมีปัญหาฉาวโฉ่จากการโพสต์เนื้อหาต่อต้านชาวยิว Irving กลายเป็นประธานฝ่ายสร้างสรรค์ของแผนกบาสเกตบอลของ Anta

ก่อนหน้านี้ Irving มีรองเท้าซิกเนเจอร์กับ Nike ถึง 8 รุ่น และประสบความสำเร็จอย่างมาก ขึ้นชื่อเรื่องพื้นรองเท้ายึดเกาะดีเยี่ยม รองเท้า Kyrie 5 คอลเลคชั่น SpongeBob เป็นที่ต้องการมาก เรียกได้ว่าขายดีแบบสุด ๆ

แต่หลังจากความสัมพันธ์กับ Nike ขาดสะบั้น Anta ไม่รอช้าที่จะฉกฉวยโอกาสนี้ รองเท้ารุ่นแรกของ Irving กับ Anta ดูเหมือนเป็นส่วนต่อของไลน์ Nike เดิม แต่มีการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่โคตรเจ๋ง

ไม่เพียงแค่ Anta และ Li-Ning แบรนด์ Peak ก็เริ่มมองนักกีฬาที่ไม่ได้รับโอกาสจากแบรนด์ใหญ่ อย่าง Andrew Wiggins และ Lou Williams ที่มีรองเท้าซิกเนเจอร์กับ Peak สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กับแบรนด์ดั้งเดิม

อะไรที่ทำให้แบรนด์จีนเหล่านี้ประสบความสำเร็จในตลาด NBA? ขนาดของตลาดในจีนเป็นคำตอบสำคัญ ประเทศที่มีประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคนเป็นตลาดที่ใหญ่มหาศาลสำหรับรองเท้าบาสเกตบอล

ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักบาสที่มองเห็นโอกาสทองในการขยายแบรนด์ของตนในจีน จึงร่วมมือกับแบรนด์รองเท้าจีนเพื่อคว้าโอกาสนี้ เป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่ฉลาดมาก ๆ

แต่เราจะพูดถึงอิทธิพลของจีนใน NBA โดยไม่พูดถึง Yao Ming ไม่ได้ ยักษ์ใหญ่สูง 7 ฟุต 6 นิ้วผู้ได้รับการบรรจุเข้า Hall of Fame คนนี้คือผู้เชื่อมโยงระหว่างจีนกับ NBA

Yao Ming ไม่ใช่แค่นักกีฬาที่มีทักษะเทพ แต่เป็นทูตทางวัฒนธรรมให้กับประเทศบ้านเกิด เขาได้รับเลือกเป็น NBA All-Star 8 ครั้งในช่วง 8 ฤดูกาลที่เขาเล่น สถิติที่แทบไม่มีใครทำได้

ความสำเร็จของ Yao Ming ทำให้กีฬาบาสเกตบอลเริ่มเป็นที่นิยมในจีน และจากจุดนั้นตลาดรองเท้าผ้าใบก็บูมอย่างไม่เคยมีมาก่อน สร้างสะพานให้นักกีฬารุ่นต่อๆ มาข้ามไปได้อย่างง่ายดาย

ในช่วงแรก Yao เซ็นสัญญากับ Nike และ Reebok แต่ในช่วงท้ายอาชีพ เขาย้ายไปอยู่กับ Li-Ning ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการยอมรับแบรนด์รองเท้าจีนในวงการ NBA

เมื่อ Yao สร้างความเชื่อมโยงระหว่างจีนกับ NBA ลีกก็เริ่มส่งทีมไปทัวร์บาสเกตบอลประจำปีทั่วประเทศจีน มีฝูงชนมหาศาลที่งานพบปะแฟนๆ และโอกาสถ่ายภาพบนกำแพงเมืองจีน

David Stern ผู้บริหาร NBA ในขณะนั้นมุ่งเป้าขยาย NBA ในระดับโลกอย่างแน่วแน่ จัดตั้ง NBA China ขึ้น การตัดสินใจครั้งนี้ช่วยให้ NBA เพิ่มรายได้มากโข และเปิดโอกาสให้นักกีฬาสร้างชื่อในตลาดจีน

สำหรับนักกีฬา NBA ยุคปัจจุบัน Jimmy Butler ทำให้ Li-Ning เป็นบ้านของเขาหลังจากเคยอยู่กับ Jordan Brand โดยแทบไม่เคยได้รับรองเท้าซิกเนเจอร์เป็นของตัวเอง Li-Ning รีบออก JB1 และล่าสุดคือ JB2 ให้กับเขา

แม้ว่าแบรนด์รองเท้าจีนจะยังไม่อาจแข่งกับยักษ์ใหญ่อย่าง Nike และ Adidas ในอเมริกา แต่การเติบโตของพวกเขาน่าทึ่งมาก แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของวัฒนธรรมบาสเกตบอลจีน

ในขณะเดียวกัน Chinese Basketball Association (CBA) ก็เป็นลีกที่ดีที่สุดรองจาก NBA สำหรับนักบาสต่างชาติ ตำนานอย่าง Stephon Marbury และ Tracy McGrady ก็สามารถสร้างรายได้ที่ดีจากการเล่นที่นั่น

การเติบโตของแบรนด์รองเท้าจีนใน NBA ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ แต่เป็นผลจากการวางแผนอย่างรอบคอบและการลงทุนต่อเนื่อง พวกเขารู้ดีว่าการสร้างแบรนด์ระดับโลกต้องใช้เวลาและความอดทน

แบรนด์เหล่านี้มักเสนอโอกาสที่ดีกว่าให้กับนักกีฬาที่อาจไม่ได้รับความหมายปองจากแบรนด์ใหญ่ เช่น การมีรองเท้าซิกเนเจอร์เป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นความฝันของนักกีฬาทุกคน

แม้ว่าพวกเขายังต้องเผชิญกับอคติและความไม่คุ้นเคยจากผู้บริโภคตะวันตก รวมถึงการแข่งขันจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน แต่อนาคตของแบรนด์รองเท้าจีนใน NBA ดูสดใสเหลือเกิน

การลงทุนต่อเนื่องในการวิจัยและการตลาดอย่างชาญฉลาด ทำให้พวกเขากำลังสร้างตำแหน่งที่แข็งแกร่งในตลาดโลก สั่นคลอนอำนาจของแบรนด์ดั้งเดิมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ความสำเร็จของแบรนด์รองเท้าจีนสะท้อนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมกีฬาและแฟชั่นโลก แบรนด์จากประเทศกำลังพัฒนาเริ่มท้าทายการครอบงำของแบรนด์ตะวันตก เพิ่มทางเลือกและกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ

สำหรับนักกีฬา NBA การมีตัวเลือกมากขึ้นเรื่องสปอนเซอร์รองเท้าคือข่าวดี หมายถึงโอกาสในการสร้างแบรนด์ตัวเองและมีส่วนร่วมในการออกแบบ ซึ่งอาจนำไปสู่รองเท้าที่ตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน แฟนบาสและผู้บริโภคก็ได้รับประโยชน์จากความหลากหลายในตลาดรองเท้า มีตัวเลือกมากขึ้นทั้งราคาและสไตล์ เป็นโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆ ผ่านกีฬาและแฟชั่น

แม้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าแบรนด์รองเท้าจีนจะครองตลาดโลกได้หรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ พวกเขามาไม่ได้มาเล่น ๆ แต่ต้องการอยู่อย่างถาวร และพวกเขาก็ได้สร้างผลกระทบสำคัญต่อวงการ NBA และอุตสาหกรรมรองเท้ากีฬาโลกแล้ว

การปรากฏตัวของแบรนด์รองเท้าจีนใน NBA ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจหรือกีฬา แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกใหม่ ที่ประเทศต่างๆ แข่งขันและร่วมมือกันบนเวทีระดับโลกได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้น

ในปี 2023 Anta รายงานรายได้รวมกว่า 49.3 พันล้านหยวน (ประมาณ 6.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 15.3% จากปีก่อน ส่วน Li-Ning มีรายได้ 14 พันล้านหยวน (ประมาณ 1.93 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ในปี 2023

ปัจจุบัน Anta มีส่วนแบ่งการตลาดในจีนประมาณ 15% เทียบกับ Nike ที่ 25% แสดงให้เห็นว่าแบรนด์จีนกำลังไล่ตามแบรนด์ระดับโลกอย่างใกล้ชิด เรื่องราวของพวกเขายังไม่จบแน่นอน

ความสำเร็จนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับธุรกิจทุกอุตสาหกรรม: ความสำเร็จระดับโลกไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในมือของผู้เล่นรายใหญ่ แต่เปิดกว้างสำหรับทุกคนที่กล้าฝัน กล้าลงมือทำ และมุ่งมั่นสร้างความแตกต่าง

เหมือนกับที่ Dwyane Wade ได้บุกเบิกทางให้กับนักกีฬารุ่นหลัง แบรนด์รองเท้าจีนก็กำลังรังสรรค์เส้นทางใหม่ในวงการรองเท้าบาสเกตบอลโลก ที่ซึ่งความเป็นเลิศไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตะวันตกอีกต่อไป

3 บทเรียนสำคัญจาก Winning : เคล็ดลับที่ทำให้ Jordan และ Kobe กลายเป็นตำนาน

ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของการทุ่มเทและความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ

Tim Grover ผู้เขียนหนังสือ Winning ได้ใช้เวลากว่าสองทศวรรษในการศึกษาและทำงานร่วมกับนักกีฬาระดับตำนานอย่าง Michael Jordan และ Kobe Bryant ในฐานะเทรนเนอร์ส่วนตัว ประสบการณ์อันล้ำค่านี้ทำให้เขาได้เรียนรู้และเข้าใจถึงแก่นแท้ของการเป็นผู้ชนะอย่างลึกซึ้ง

จากสนามบาสสู่สนามชีวิต

การเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้กับ Michael Jordan ยาวนานถึง 15 ปี และ Kobe Bryant อีก 9 ปี ทำให้ Grover ได้เห็นการพัฒนาและการเติบโตของพวกเขาในทุกแง่มุม ไม่เพียงแค่การเตรียมความพร้อมทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฝึกฝนทางจิตใจและการสร้างทัศนคติของผู้ชนะ

หลักการและแนวคิดที่พวกเขาใช้ในการก้าวขึ้นสู่ความเป็นเลิศนั้นสามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกแง่มุมของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การแข่งขันในธุรกิจ หรือการบรรลุเป้าหมายส่วนตัวที่ท้าทาย

บทเรียนสำคัญที่ Grover ได้เรียนรู้คือ ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์หรือโชคชะตา แต่เป็นผลมาจากการตัดสินใจและการกระทำที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกๆ วัน

การเลือกที่จะลุกขึ้นมาซ้อมในขณะที่คนอื่นยังนอนหลับ การยอมอดทนกับความเจ็บปวดในขณะที่คนอื่นเลือกความสบาย และการมุ่งมั่นฝึกฝนต่อไปแม้จะเหนื่อยล้าในขณะที่คนอื่นยอมแพ้

รหัสลับสู่ชัยชนะ

Grover อธิบายถึงการชนะด้วยอุปมาอุปไมยที่น่าสนใจ โดยเปรียบเสมือนว่าชัยชนะครั้งต่อไปของเราถูกเก็บไว้ในตู้เซฟ และมีสิ่งที่เรียกว่า “การชนะ” เป็นผู้ถือรหัสลับ “การชนะ” นี้จะคอยสังเกตและประเมินการกระทำของเราตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อพิจารณาว่าเราคู่ควรกับชัยชนะหรือไม่ โดยมีคำถามสำคัญสามข้อที่เราต้องตอบให้ได้

1. ความกล้าที่จะเดิมพันกับตนเอง

ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จล้วนต้องผ่านช่วงเวลาแห่งความไม่เชื่อมั่นจากผู้อื่น เหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความกล้าที่จะเดิมพันกับตนเองเกิดขึ้นในปี 1990

หลังจากที่ทีม Chicago Bulls พ่ายแพ้ต่อ Detroit Pistons ในรอบเพลย์ออฟ นักวิจารณ์มากมายต่างลงความเห็นว่า Jordan ไม่มีทางรับมือกับสไตล์การเล่นที่หนักหน่วงของ Pistons ได้

แทนที่จะย่อท้อ Jordan กลับทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักจนสามารถเพิ่มกล้ามเนื้อได้ถึง 15 ปอนด์ในช่วงซัมเมอร์เดียว แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลเสียต่อการยิง แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นพัฒนาตนเองต่อไป จนในที่สุดสามารถปรับปรุงเปอร์เซ็นต์การยิงให้ดีขึ้น และนำทีมเอาชนะ Pistons จนคว้าแชมป์แรกได้สำเร็จ

เช่นเดียวกับ Kobe Bryant ที่ตัดสินใจก้าวกระโดดเข้าสู่ NBA ทันทีหลังจบมัธยมปลาย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง เพียงสี่ปีต่อมา เขาก็สั่งสมประสบการณ์มากพอที่จะนำทีม Lakers คว้าแชมป์สามสมัยติดต่อกัน

เมื่อถูกท้าทายว่าไม่สามารถคว้าแชมป์ได้โดยปราศจาก Shaquille O’Neal เขาก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยการปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นจนสามารถคว้าแชมป์เพิ่มได้อีกสองสมัย

และแม้กระทั่งหลังเกษียณจากวงการบาสเกตบอล Kobe ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและความกล้าที่จะท้าทายตัวเองในวงการใหม่ ด้วยการคว้ารางวัล Oscar จากภาพยนตร์สั้นเรื่อง “Dear Basketball” ที่เขาเป็นทั้งผู้บรรยายและผู้ผลิต

2. การยอมรับและใช้ประโยชน์จากด้านมืด

หนึ่งในแนวคิดที่น่าสนใจที่สุดในหนังสือ Winning คือการมองด้านมืดในตัวเองในแง่บวก Grover เชื่อว่าทุกคนมีด้านมืดในตัวเอง แต่สิ่งที่แยกผู้ชนะออกจากคนทั่วไปคือความกล้าที่จะยอมรับและใช้ประโยชน์จากมัน

Kobe เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ประโยชน์จากด้านมืด เขาสร้างบุคลิกภาพที่แยกต่างหากในชื่อ “Black Mamba” ซึ่งเป็นเสมือนหน้ากากที่เขาสวมใส่เมื่อต้องการตัดขาดจากสิ่งรบกวนและยกระดับผลงานของตนเอง

Black Mamba ไม่ใช่แค่ฉายา แต่เป็นการแปลงร่างทางจิตวิทยาที่ช่วยให้ Kobe สามารถแยกตัวตนส่วนตัวออกจากนักกีฬามืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์

Jordan เองก็ใช้ด้านมืดเป็นแรงผลักดัน โดยเฉพาะความผิดหวังจากการถูกตัดตัวจากทีมบาสเกตบอลมัธยมปลาย ความเจ็บปวดนั้นฝังลึกจนกระทั่งเขายังกล่าวถึงในสุนทรพจน์ตอนเข้าหอเกียรติยศหลังผ่านไป 31 ปี แสดงให้เห็นว่าประสบการณ์ด้านลบสามารถกลายเป็นเชื้อเพลิงอันทรงพลังได้หากรู้จักใช้มันอย่างถูกต้อง

Grover เปรียบเทียบด้านมืดกับพลังพิเศษของซูเปอร์ฮีโร่ เช่น ชุดเกราะของ Iron Man กำไลข้อมือของ Wonder Woman โล่ของ Captain America ค้อนของ Thor และหน้ากากของ Batman ด้านมืดเป็นเสมือนพลังลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายใน รอเวลาที่จะถูกปลดปล่อยออกมาในยามที่ต้องการ

3. การใช้ชีวิตที่ไม่สมดุล

หนึ่งในบทเรียนที่ยากที่สุดของการเป็นผู้ชนะคือการยอมรับว่าความสำเร็จมักมาพร้อมกับการเสียสละ Grover เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่สะเทือนใจ เมื่อลูกสาววัย 5 ขวบถามว่า “คุณพ่อคะ ทำไมพ่อต้องเดินทางบ่อยจัง?” เขาอธิบายว่าเขาเดินทางเพื่อทำงานและหาเลี้ยงครอบครัว แต่คำตอบของลูกสาวที่ว่า “ถ้าหนูกินน้อยลง พ่อจะอยู่บ้านมากขึ้นไหมคะ?” ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกรถชน จนต้องหันหน้าหนีเพื่อซ่อนน้ำตาของลูกผู้ชาย

Grover ยอมรับว่าถ้าเป็นในภาพยนตร์ พ่อคนหนึ่งอาจจะตัดสินใจเลือกครอบครัวและยุติการเดินทาง แต่ในความเป็นจริง การชนะเรียกร้องความทุ่มเทอย่างไม่มีขีดจำกัด บางครั้งอาจถูกมองว่าคลั่งไคล้ เห็นแก่ตัว หรือละเลยด้านอื่นๆ ของชีวิต แต่นี่คือความจริงที่ผู้ต้องการความสำเร็จต้องเผชิญ

ความไม่สมดุลนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการกีฬา แต่ปรากฏในทุกสาขาอาชีพที่ต้องการความเป็นเลิศ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นนวัตกรรม ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานระดับโลก ล้วนต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากระหว่างการไล่ตามความฝันกับการใช้เวลากับครอบครัวและชีวิตส่วนตัว

การยอมรับความไม่สมดุลไม่ได้หมายความว่าเราต้องละทิ้งทุกสิ่ง แต่หมายถึงการเข้าใจว่าในช่วงเวลาสำคัญของการไล่ตามเป้าหมาย เราอาจต้องให้ความสำคัญกับบางด้านของชีวิตมากกว่าด้านอื่นๆ เป็นการชั่วคราว ความท้าทายอยู่ที่การหาจุดที่เหมาะสมระหว่างการทุ่มเทเพื่อความสำเร็จกับการรักษาความสัมพันธ์ที่สำคัญในชีวิต

ราคาของชัยชนะ

Grover เน้นย้ำว่าการชนะไม่ใช่สิ่งที่จะครอบครองได้ถาวร แต่เปรียบเสมือนการเช่าที่ต้องจ่ายค่าเช่าใหม่ทุกวัน แม้จะประสบความสำเร็จแล้ว ก็ต้องพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่และฝ่าฟันอุปสรรคอีกครั้งเพื่อรักษาความสำเร็จนั้นไว้

เขาอธิบายว่า “การชนะไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ เราแค่เช่ามันได้เท่านั้น และไม่ว่าเราจะจ่ายเท่าไหร่ เราก็ต้องจ่ายทั้งหมดอีกครั้งเมื่อตื่นขึ้นหลังจากชัยชนะ”

ความสำเร็จเปรียบเสมือนการปีนเขา เมื่อถึงยอดเขาลูกหนึ่ง เรามักจะเห็นยอดเขาที่สูงกว่ารออยู่เบื้องหน้า การรักษาตำแหน่งผู้นำหรือแชมป์มักจะยากกว่าการก้าวขึ้นไปถึงจุดนั้นเสียอีก เพราะทุกคนต่างจับจ้องและพยายามที่จะแซงขึ้นมา

บทเรียนสุดท้าย: เวลาคือทรัพยากรที่มีจำกัด

ท้ายที่สุด Grover เตือนว่าเวลาและโอกาสนั้นมีจำกัด เขามักพูดคุยกับ Kobe เสมอว่าไม่ควรคิดว่าเรามีเวลาเหลือเฟือ ซึ่งการจากไปอย่างกะทันหันของ Kobe ในปี 2020 ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของการลงมือทำในวันนี้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร

การรอคอยเวลาที่เหมาะสมอาจเป็นข้ออ้างที่อันตรายที่สุดในการไม่ลงมือทำ เพราะความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตคือการคิดว่าเรามีเวลาเหลือเฟือ ทักษะและโอกาสของเรามีวันหมดอายุ และบางครั้งเราอาจไม่ได้รับโอกาสที่สองให้แก้ตัวอีกต่อไป

บทสรุป

หนังสือ Winning ไม่เพียงแต่เป็นคู่มือสู่ความสำเร็จ แต่ยังเป็นการเปิดเผยความจริงอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับราคาที่ต้องจ่ายเพื่อก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด Grover ได้ถ่ายทอดบทเรียนอันล้ำค่าที่ได้เรียนรู้จากการทำงานร่วมกับนักกีฬาระดับตำนาน ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกแง่มุมของชีวิต

หนังสือเล่มนี้อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน แต่สำหรับผู้ที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจและแนวทางในการยกระดับตัวเองสู่ความเป็นเลิศ Winning จะเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นว่าเราพร้อมที่จะจ่ายเพื่อความสำเร็จมากแค่ไหน และช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมบางคนถึงประสบความสำเร็จในขณะที่คนส่วนใหญ่ยังคงติดอยู่กับความฝัน

References :
หนังสือ Winning: The Unforgiving Race to Greatness โดย Tim Grover

Ego คือศัตรู : ทำไมคนเก่งถึงพังในวันสำคัญ เผยวิธีรับมือแบบนักกีฬามืออาชีพ

ณ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว Sochi 2014 Craig Manning ยืนอยู่ท่ามกลางโค้ชและนักกีฬาทีมชาติสหรัฐอเมริกาในพื้นที่ที่พวกเขาเรียกว่า “the pit” ขณะชมการแข่งขันรายการแรก คำถามหนึ่งผุดขึ้นในความคิด: อะไรคือปัจจัยที่ทำให้นักกีฬาประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดเช่นนี้?

การได้เป็นตัวแทนประเทศในกีฬาโอลิมปิกนั้นถือเป็นจุดสูงสุดของนักกีฬาอยู่แล้ว แต่พวกเขายังต้องแข่งขันกับนักกีฬาที่เก่งที่สุดจากทั่วโลก นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องเป็นที่สุดในบรรดาผู้ที่เป็นที่สุดอยู่แล้ว แล้วเมื่อก้าวมาถึงจุดนี้ พวกเขาจะทำอย่างไรให้ไม่เพียงแค่ได้เหรียญ แต่ต้องเป็นเหรียญทองด้วย?

จากประสบการณ์หลายทศวรรษในการสังเกตและทำงานร่วมกับนักกีฬาเหล่านี้ Manning ได้เรียนรู้ว่ากุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่พรสวรรค์หรือความรู้ที่สั่งสมมา แต่อยู่ที่ความสามารถในการใช้จิตใจให้เป็น

เพราะจะมีประโยชน์อะไรหากคุณมีพรสวรรค์และความรู้มากมาย แต่ไม่สามารถปลดล็อกศักยภาพเหล่านั้นออกมาใช้ได้? ในแวดวงวิทยาศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า “cognitive control” หรือ “grit” แต่ Manning ชอบเรียกมันว่า “ความเข้มแข็งทางจิตใจ”

Ego : ศัตรูตัวร้ายในใจเรา

Ego เป็นตัวการสำคัญที่สร้างความวุ่นวายในชีวิตของเรา มันคอยเรียกร้องการยอมรับอยู่ตลอดเวลา ลองนึกดู หากคุณต้องการการยอมรับจากคนเพียงคนเดียว คุณต้องการมันบ่อยแค่ไหนต่อวัน? แล้วถ้าเป็นสองคน สามคน หรือห้าคนล่ะ? สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จิตใจของคุณจะกลายเป็นที่อยู่ของความกระวนกระวาย หรือแม้กระทั่งความคลั่งไคล้ในการแสวงหาการยอมรับ

แล้ว Ego จะได้รับการยอมรับที่ต้องการได้อย่างไร? คำตอบคือ ผ่านผลลัพธ์ เพราะผลลัพธ์คือเส้นทางลัดสู่การได้รับการยอมรับ แต่ปัญหาของการมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์คือ ผลลัพธ์มาจากอนาคต และนั่นคือที่มาของความกลัว

ทุกสิ่งที่เราหวาดกลัวล้วนมาจากอนาคตทั้งสิ้น Manning ได้ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ส่วนตัว ในฐานะคนออสเตรเลียที่อาศัยอยู่ในดินแดนของจระเข้ เมื่อครั้งที่เขาเข้าพบที่ปรึกษา และถูกถามว่าเขากลัวอะไร Manning ตอบว่า “จระเข้”

ที่ปรึกษาจึงชวน Manning วิเคราะห์ลึกลงไปว่า ถ้าจระเข้เข้ามาทางประตูตอนนี้ จะทำอย่างไร? คำตอบคือ ทุกคนคงวิ่งหนีออกประตูทันที แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ความกลัวไม่ได้เกิดจากจระเข้ที่อยู่ตรงหน้า แต่เกิดจากความคิดที่ว่าจระเข้อาจจะทำอะไรเราในอนาคต

เช่นเดียวกับคนที่กลัวการบิน พวกเขาไม่ได้กลัวการนั่งเครื่องบินจริงๆ แต่กลัวความคิดที่ว่าเครื่องบินอาจจะตก นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าความกลัวทั้งหมดมาจากอนาคต และนี่คือปัญหาของการมีจิตใจที่มุ่งเน้นแต่ผลลัพธ์

ความสมบูรณ์แบบ: อีกด้านของ Ego

สำหรับผู้ที่กำลังสงสัยว่า “ฉันเป็นคนที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ แสดงว่าฉันมี Ego มากเกินไปหรือไม่?” คำตอบคือ ไม่เสมอไป คนที่เป็น Perfectionist ในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นคนดีที่เพียงแค่ต้องการการยอมรับจากผู้อื่น พวกเขามักจะแสดงพฤติกรรมคล้ายคนที่ยึดติดกับ Ego เพราะต่างก็มุ่งเน้นที่ผลลัพธ์เช่นกัน

จากการศึกษาทางจิตวิทยาการกีฬาพบว่า นักกีฬาที่มีลักษณะ Perfectionist มักจะมีความเครียดและความวิตกกังวลสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญ

เรื่องราวของ Olga: บทเรียนแห่งความมุ่งมั่น

Manning ยกตัวอย่างที่ชัดเจนจากประสบการณ์การเป็นโค้ชที่มหาวิทยาลัย BYU เป็นเวลาหนึ่งทศวรรษ เรื่องราวของ Olga นักเทนนิสจากรัสเซียที่เขาได้คัดตัวมา เธอไม่ได้มีพรสวรรค์โดดเด่น และไม่มีลูกตบแบบสมัยใหม่ แต่เธอมีคุณสมบัติที่สำคัญกว่านั้น นั่นคือความถ่อมตัวและจิตใจที่มุ่งเน้นที่งานจริง ๆ

Manning เริ่มพัฒนาเกมของเธอโดยอาศัยจุดแข็งที่มีอยู่ ด้วยการมุ่งเน้นที่งานและประสิทธิภาพ เธอพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จนกระทั่งในปีสุดท้าย เธอขึ้นมาอยู่อันดับที่ 61 ของประเทศ และผ่านเข้ารอบ 32 คนสุดท้ายในการแข่งขันที่ Columbus รัฐ Ohio โดยต้องเผชิญหน้ากับนักเทนนิสอันดับที่ 25 ของประเทศ

ในการแข่งขันนัดนั้น Olga เล่นตามแผนได้อย่างยอดเยี่ยม เธอใช้จุดแข็งในการรับลูกเร็วและเล่นแต้มระยะสั้น จนนำ 4-1 แต่แล้วจิตใจของเธอก็เปลี่ยนไป

เมื่อความคิดที่ว่า “เดี๋ยวนะ ฉันอาจจะชนะได้” แทรกเข้ามา นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนจากจิตใจที่มุ่งเน้นที่งานไปสู่จิตใจที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ ความวิตกกังวลเข้าครอบงำ กลไก fight-or-flight เริ่มทำงาน เธอเกร็งและเล่นแบบเคยชิน จนแพ้ห้าเกมรวดและตามหลัง 1-4 ในเซตที่สอง

การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจในช่วงเวลาวิกฤตนี้เป็นปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยในวงการกีฬา นักจิตวิทยาการกีฬาเรียกว่า “choking under pressure” ซึ่งเกิดจากการที่นักกีฬาให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อการแสดงความสามารถ

การกลับคืนสู่จิตใจที่มุ่งเน้นที่งาน

ในฐานะโค้ช Manning พยายามช่วยดึง Olga กลับมาสู่สภาวะจิตใจที่เหมาะสม แต่วิธีปกติไม่ได้ผล เขาจึงใช้จิตวิทยาแบบย้อนกลับ เมื่อเธอนั่งลงตอนเปลี่ยนข้าง Manning พูดว่า “Olga รีบๆ จบเกมนี้หน่อย ผมหิวแล้ว” เธอหันมามองอย่างไม่พอใจ เขาจึงพูดต่อ “เธอเล่นแย่มาก ร้าน Outback ปิดแล้ว รีบๆ จบซะ ผมอยากกินสเต็ก”

กลยุทธ์นี้ได้ผล เมื่อความโกรธของเธอเปลี่ยนจากการโกรธตัวเองไปเป็นโกรธเขาแทน เธอกลับมามุ่งเน้นที่งานอีกครั้ง และสามารถพลิกเกมกลับมาชนะได้ด้วยสกอร์ 6-1, 4-6, 6-4, 6-1 นี่คือพลังของจิตใจเมื่ออยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง

การท้าทายครั้งใหญ่: เผชิญหน้ากับมือหนึ่งของประเทศ

หลังจบเกม ขณะที่ Manning ตรวจดูสายการแข่งขัน และพบว่าคู่ต่อไปของ Olga คือมือหนึ่งของประเทศ เขาอดคิดไม่ได้ว่า “โอ้ นี่จะเป็นงานที่ยากมาก”

ในคืนถัดมา Olga ลงแข่งในแมตช์สุดท้าย เธอเล่นเทนนิสได้อย่างยอดเยี่ยมแม้จะแพ้เซตแรกไป 6-4 แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ เธอไม่ได้ท้อแท้หรือยอมแพ้ แม้จะทำดีที่สุดแล้วแต่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่หวัง เธอยังคงมุ่งเน้นที่งานและถาม Manning ว่า “ฉันต้องทำอะไรให้ดีขึ้น?” นี่คือลักษณะของจิตใจที่มุ่งเน้นที่การพัฒนา

การรักษาสมาธิและความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองแม้ในยามที่เผชิญความท้าทายเป็นคุณลักษณะสำคัญที่พบในนักกีฬาระดับโลก พวกเขามักจะมองความพ่ายแพ้เป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา มากกว่าจะมองว่าเป็นความล้มเหลว

บทเรียนสุดท้าย: มั่นใจและถ่อมตัว

จากประสบการณ์ในโอลิมปิกและการทำงานกับนักกีฬาระดับยอดเยี่ยมมาหลายปี Manningได้ข้อสรุปสำคัญสองประการที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับชีวิตประจำวัน นั่นคือ เราต้องมั่นใจในทักษะของตัวเอง ไม่ใช่ทักษะของคนอื่น และในขณะเดียวกัน เราต้องถ่อมตัว

“Confident Humility” หรือ “อ่อนน้อมถ่อมตนแบบมั่นใจ” คือกุญแจสำคัญที่ Manning หวังว่าทุกคนจะจดจำไว้ จงมั่นใจในทักษะของคุณ แต่ถ่อมตัวพอที่จะตระหนักว่าความสำเร็จไม่ได้มาฟรีๆ เราต้องทำงานเพื่อมัน และเราต้องมุ่งเน้นที่งานหากต้องการใช้ศักยภาพของเราได้อย่างเต็มที่

การรักษาสมดุลระหว่างความมั่นใจและความถ่อมตัวเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่นักกีฬาต้องฝึกซ้อมทักษะทางกายภาพ การพัฒนาทักษะทางจิตใจก็ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

บทสรุป

ความสำเร็จในระดับสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นในวงการกีฬาหรือในชีวิตประจำวัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์หรือความรู้เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความสามารถในการรักษาสมดุลระหว่างความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองและการควบคุม Ego การมีจิตใจที่มุ่งเน้นที่งานไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นหรือดึงดูดความสนใจ แต่เป็นหนทางที่แท้จริงสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

References :
Overcoming Our Egos | Craig Manning | TEDxBYU
https://youtu.be/SalS7dlNKRU?si=4kUA_EvVJE4NwbvU

ถอดรหัสเจ้าภาพโอลิมปิก : มหกรรมกีฬาอันแสนหวานที่แฝงไว้ด้วยยาพิษทางเศรษฐกิจ

ในเดือนกันยายน ปี 2017 คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญเกี่ยวกับการเลือกเมืองเจ้าภาพโอลิมปิกปี 2024 การตัดสินใจนี้ไม่เพียงแต่เป็นจุดเปลี่ยนสำหรับเกมส์การแข่งขัน แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการกีฬาโอลิมปิกโดยรวม

โอลิมปิกเกมส์ถือเป็นมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยผู้ชมกว่า 5 ล้านคนที่เข้าร่วมชมการแข่งขันโดยตรง และอีกกว่า 3 พันล้านคนที่รับชมผ่านทางโทรทัศน์ในทุก ๆ 4 ปี การได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันนี้จึงถือเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับเมืองใดเมืองหนึ่งที่จะได้แสดงศักยภาพของตนเองต่อสายตาชาวโลก

ในอดีต การแข่งขันเพื่อเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกมีความเข้มข้นสูงมาก ย้อนกลับไปในปี 2004 มีถึง 12 เมืองที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ก่อนที่สุดท้าย IOC จะเลือกกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เป็นเจ้าภาพ ต่อมาในปี 2008 มี 10 เมืองที่เสนอตัว และปักกิ่งได้รับเลือกในที่สุด อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นความสนใจในการเป็นเจ้าภาพก็เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในการคัดเลือกเจ้าภาพโอลิมปิกปี 2024 เหลือเพียงแค่ 2 เมืองเท่านั้นที่เสนอตัว

ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป IOC จึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือการมอบสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพให้กับทั้งสองเมืองที่เหลือพร้อมกัน โดยให้กรุงปารีสเป็นเจ้าภาพในปี 2024 และลอสแองเจลิสเป็นเจ้าภาพในปี 2028 การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของ IOC ที่กลัวว่าจะไม่มีเมืองใดสนใจเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในปี 2028 เลย

แต่เหตุใดจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้? ทำไมเมืองต่าง ๆ จึงไม่อยากเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกอีกต่อไป? คำตอบอยู่ที่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมา

ย้อนกลับไปในปี 1896 IOC ได้คิดค้นแนวคิดการหมุนเวียนสถานที่จัดการแข่งขันไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก เนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศและการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างประเทศ การกระจายสถานที่จัดงานจึงเป็นวิธีที่จะทำให้ทั่วโลกได้มีส่วนร่วมและสนุกกับมหกรรมกีฬานี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อการแข่งขันเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ IOC ก็ยังคงรักษาประเพณีนี้ไว้ โดยพัฒนาเป็นระบบการประมูลที่เมืองต่าง ๆ จะส่งใบสมัครและ IOC จะลงคะแนนเลือกผู้ชนะ แต่แล้วในช่วงการเปิดรับสมัครสำหรับการแข่งขันปี 1984 กลับไม่มีเมืองใดต้องการเป็นเจ้าภาพเลย

สาเหตุสำคัญมาจากปัญหาที่เกิดขึ้นในการจัดการแข่งขันก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงทางการเมืองที่ลุกลามเป็นความรุนแรงในเม็กซิโกซิตี้เมื่อปี 1968 หรือเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อผู้ก่อการร้ายสังหารนักกีฬาอิสราเอล 11 คนในการแข่งขันที่มิวนิกปี 1972 เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เมืองต่าง ๆ ตระหนักว่าการเป็นเจ้าภาพอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงทางการเมืองหรือแม้กระทั่งอันตรายถึงชีวิต

นอกจากนี้ ปัญหาการก่อสร้างและการทุจริตที่ทำให้มอนทรีออลต้องใช้จ่ายเกินงบประมาณถึง 13 เท่าในการเป็นเจ้าภาพ ก็ทำให้เมืองต่าง ๆ เริ่มมองว่าการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเป็นความเสี่ยงทางการเงินที่ไม่คุ้มค่าอีกด้วย

ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 IOC จึงเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ จนกระทั่งมีเมืองหนึ่งเสนอตัวที่จะช่วยพวกเขา นั่นคือลอสแองเจลิส แต่ด้วยเงื่อนไขพิเศษ คือพวกเขาไม่ต้องการใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลในการเป็นเจ้าภาพ

ลอสแองเจลิสเสนอที่จะใช้สถานที่ที่มีอยู่แล้วแทนการสร้างใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสนาม LA Coliseum ที่ทีมฟุตบอล USC ใช้แข่ง, Forum ที่ทีม Lakers เล่น, โรงยิมและศูนย์เทนนิสของ UCLA รวมถึงการให้นักกีฬาพักในหอพักของมหาวิทยาลัย เนื่องจาก IOC ไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาจึงตอบตกลง และในไม่ช้าก็พบว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

การแข่งขันที่ลอสแองเจลิสในปี 1984 ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเงิน มีค่าใช้จ่ายเพียงประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ (คิดเป็นมูลค่าในปี 2015) และยังสามารถทำกำไรได้อีกด้วย

ความสำเร็จนี้ควรจะกลายเป็นแบบอย่างสำหรับเมืองเจ้าภาพโอลิมปิกในอนาคต แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่รบกวนโอลิมปิกมาจวบจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากการที่ลอสแองเจลิสทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกปี 1984 ได้ดีมากจนสร้างแรงบันดาลใจให้เมืองต่าง ๆ อยากเป็นเจ้าภาพอีกครั้ง

โอลิมปิกที่ลอสแองเจลิสในปี 1984 ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น (CR:Wikipedia)
โอลิมปิกที่ลอสแองเจลิสในปี 1984 ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น (CR:Wikipedia)

สำหรับการแข่งขันปี 1992 มีถึงหกเมืองที่ยื่นประมูล จากนั้นก็หกเมืองอีกครั้งสำหรับปี 1996 แปดเมืองสำหรับปี 2000 และพุ่งสูงถึง 11 เมืองสำหรับปี 2004 เมื่อมีเมืองแข่งขันกันมากขึ้น IOC ก็ได้อำนาจต่อรองกับพวกเขากลับคืนมาอีกครั้ง

แต่แทนที่จะยึดติดกับโมเดลแบบประหยัดของลอสแองเจลิส IOC กลับเริ่มเรียกร้องมากขึ้น ระหว่างปี 1992 ถึง 2020 IOC ได้เพิ่มกีฬาใหม่เข้าสู่การแข่งขันหลายสิบประเภท ซึ่งต้องการสถานที่จัดการแข่งขันและที่พักสำหรับนักกีฬาเพิ่มมากขึ้น โดยเมืองเจ้าภาพเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่

เมื่อการแข่งขันทวีความเข้มข้นขึ้น เมืองต่าง ๆ รู้สึกกดดันมากขึ้นที่จะต้องทำให้การประมูลของตนน่าสนใจยิ่งขึ้น วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการสร้างสถานที่จัดการแข่งขันใหม่ ๆ ซิดนีย์สร้างสนามแข่งขันใหม่ถึง 15 แห่ง รวมทั้งที่พักสำหรับนักกีฬา 10,000 คน เอเธนส์สร้าง 22 แห่ง และปักกิ่งสร้าง 12 แห่ง

การก่อสร้างทั้งหมดนี้ทำให้การเป็นเจ้าภาพการแข่งขันมีค่าใช้จ่ายสูงลิบลิ่ว ต้นทุนของการแข่งขันพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าระหว่าง 10 ถึง 25 พันล้านดอลลาร์ในทศวรรษที่ผ่านมา และนี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ของเมือง เช่น ระบบการขนส่งสาธารณะใหม่

ซึ่งหากรวมเข้าไปด้วยแล้ว ตัวเลขค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นไปอีกมาก ยกตัวอย่างเช่น มีการประมาณการว่าปักกิ่งใช้จ่ายประมาณ 45 พันล้านดอลลาร์สำหรับการแข่งขันฤดูร้อนปี 2008 รัสเซียใช้จ่ายประมาณ 51 พันล้านดอลลาร์ในปี 2014 และโตเกียวมีค่าใช้จ่ายประมาณ 35 พันล้านดอลลาร์

ไม่ว่าจะใช้ตัวเลขใด เมืองเจ้าภาพเหล่านี้ทั้งหมดล้วนใช้จ่ายเกินงบประมาณอย่างมหาศาล ซึ่งกระบวนการประมูลมีส่วนกระตุ้นให้พวกเขาต้องประเมินค่าใช้จ่ายให้ต่ำเกินจริง

Andrew Zimbalist นักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของการกีฬา อธิบายว่า “สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ แถลงเจตนารมณ์และแผนงานเบื้องต้นที่ลดทอนจากความจริงไปมาก เมื่อนักการเมืองพูดว่า ‘ได้ เราจะทำตามนี้’ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเพิ่มส่วนประกอบเสริมเข้าไป ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงมาก”

น่าเสียดายที่รายได้ที่เมืองต่าง ๆ สร้างจากการขายตั๋ว ค่าลิขสิทธิ์ทางทีวี และการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น นั่นหมายความว่ารัฐบาลท้องถิ่น และที่จริงแล้วคือผู้เสียภาษีของพวกเขา ต้องรับผิดชอบส่วนที่เหลือทั้งหมด ซึ่งมักจะเป็นจำนวนมหาศาล

แม้ว่าเมืองเจ้าภาพจะรู้มาหลายทศวรรษแล้วว่าพวกเขาอาจจะขาดทุนในระยะสั้น แต่หลายคนได้รับการบอกเล่าว่าการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเป็นการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนในอนาคต IOC มักจะใช้คำว่า “legacy” (มรดกตกทอด) เพื่ออธิบายถึงประโยชน์ระยะยาวที่เมืองจะได้รับหลังจากการแข่งขันสิ้นสุดลง

ตัวอย่างเช่น ปักกิ่งอ้างเหตุผลในการใช้จ่ายเงินประมาณ 460 ล้านดอลลาร์สำหรับสนามกีฬาใหม่ขนาด 90,000 ที่นั่ง โดยวางแผนให้ทีมฟุตบอลอาชีพท้องถิ่นใช้หลังจากโอลิมปิก ลอนดอนก็ทำแบบเดียวกันเมื่อสร้างสนามกีฬาสำหรับโอลิมปิก 2012 ในตอนแรกดูเหมือนเป็นความคิดที่ดี

โครงการ legacy อื่น ๆ มีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนจำนวนมากยิ่งขึ้น เช่น รัสเซียใช้จ่าย 8.7 พันล้านดอลลาร์สำหรับเส้นทางรถไฟและทางหลวงใหม่เข้าสู่โซชิสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว และริโอ เดอ จาเนโรใช้จ่าย 4 พันล้านดอลลาร์สำหรับรถไฟใต้ดินสายใหม่ที่เชื่อมชุมชนชายหาดกับศูนย์กลางโอลิมปิก

ประโยชน์ของ legacy ที่มีการกล่าวถึงบ่อยที่สุดคือการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการกระตุ้นการเติบโตของเมือง Andrew Zimbalist อธิบายว่า “สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์จากการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโอลิมปิกคือ มันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับเมือง มันทำให้เมืองของคุณอยู่บนแผนที่โลก ดังนั้นมันจะเพิ่มการท่องเที่ยว เพิ่มการค้า เพิ่มการลงทุนจากต่างประเทศ”

ริโอ เดอ จาเนโรใช้จ่าย 4 พันล้านดอลลาร์สำหรับรถไฟใต้ดินสายใหม่ที่เชื่อมชุมชนชายหาดกับศูนย์กลางโอลิมปิก (CR:The conversation)
ริโอ เดอ จาเนโรใช้จ่าย 4 พันล้านดอลลาร์สำหรับรถไฟใต้ดินสายใหม่ที่เชื่อมชุมชนชายหาดกับศูนย์กลางโอลิมปิก (CR:The conversation)

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนั้นปรากฏว่าไม่เป็นความจริงเสมอไป เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบต่อการท่องเที่ยว การศึกษาในปี 2004 พบว่าหลังจากมีการเพิ่มขึ้นของการท่องเที่ยวในช่วงก่อนการแข่งขัน เมืองเจ้าภาพอย่างแอตแลนตา ซิดนีย์ และโซล ต่างก็เห็นการท่องเที่ยวลดลงหลังจากนั้น

นอกจากนี้ Andrew ยังอ้างถึงการศึกษาในปี 1996 เกี่ยวกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวสามครั้งซึ่งพบว่าผลกระทบระยะยาวต่อการท่องเที่ยวนั้นแทบจะไม่มีเลยไปจนถึงน้อยเอามาก ๆ และการศึกษาในปี 2010 ที่พบหลักฐานเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับประโยชน์ใด ๆ ต่อการท่องเที่ยวจากการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก

ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ มีหลักฐานมากมายที่แสดงถึงความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของเมืองเจ้าภาพ Andrew อธิบายว่า “ถ้าสภาพอากาศร้อนเกินไปหรือหนาวเกินไป ถ้ามีเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย ถ้ามีเรื่องราวที่ไม่ดีเกี่ยวกับการจราจร บางเมืองอาจสามารถช่วยภาพลักษณ์ของตนได้ แต่เมืองอื่น ๆ กลับทำร้ายภาพลักษณ์ของตัวเอง”

การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็น legacy หลายโครงการก็ไม่ได้คุ้มค่าเสมอไป โครงการรถไฟของรัสเซียถือว่าล้มเหลวอย่างยิ่งใหญ่ และ Andrew โต้แย้งว่าแม้ว่าสายรถไฟใต้ดินของริโอจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนบางส่วน แต่สิ่งที่เมืองต้องการจริง ๆ คือสายที่ให้บริการในย่านที่ประชากรมีรายได้ต่ำ แต่นั่นไม่ใช่ที่ที่โอลิมปิกจัดสร้างขึ้น

Andrew อธิบายว่า “โดยทั่วไปแล้ว IOC จะมาและพูดว่า ‘เราต้องการสถานที่ 30 แห่งนี้ เราต้องการให้คุณจัดวางมันในแบบที่อำนวยความสะดวกด้านการขนส่งและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ’ และดังนั้นสิ่งที่เมืองต้องทำคือหลอกตัวเองเพื่อตอบสนองความต้องการของ IOC”

สนามกีฬาที่ว่างเปล่าเป็นสัญญาณที่เห็นได้ชัดของความไม่สอดคล้องกันนี้ สนามกีฬาในปักกิ่งนั้นมีที่นั่งมากกว่าที่ทีมฟุตบอลท้องถิ่นจะเติมเต็มได้ประมาณ 80,000 ที่นั่ง ดังนั้นพวกเขาจึงถอนตัว ตอนนี้สนามกีฬาจึงว่างเปล่าเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เมืองต้องเสียค่าบำรุงรักษาประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี

สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “ช้างเผือก (white elephant)” และตอนนี้มีอยู่หลายสิบแห่งในเมืองเจ้าภาพโอลิมปิก เช่น สถานที่ที่เหลืออยู่จากการแข่งขันเอเธนส์ 2004 และ ESPN พบว่า 12 จาก 27 สถานที่ในริโอ เดอ จาเนโร ไม่ได้จัดกิจกรรมใด ๆ เลยหลังจากเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกไปแล้วหนึ่งปี

สำหรับผู้อยู่อาศัยจำนวนมาก ช้างเผือกเหล่านี้เป็นหลักฐานว่าการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันเป็นการสูญเสียเงินอย่างมหาศาล Andrew สรุปว่า “แนวคิดที่มีมาตลอดว่านี่เป็นข่าวดีสำหรับเมือง แต่บ่อยครั้งกลับพบว่ามันจะกลายเป็นสิ่งตรงกันข้าม”

ภายในปี 2015 ชาวเมืองในหลายประเทศเริ่มแสดงการต่อต้านอย่างชัดเจน IOC มีหกเมืองที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขันปี 2024 แต่การประท้วงของประชาชนบังคับให้บอสตันและฮัมบูร์กถอนตัว นายกเทศมนตรีคนใหม่ในโรมทำตามสัญญาที่จะยุติการเสนอตัวของเมือง จากนั้นมากกว่า 260,000 คนได้ลงชื่อในคำร้องที่นำไปสู่การถอนตัวของบูดาเปสต์ด้วย

ในที่สุดเหลือเพียงสองเมืองที่เสนอตัว และเป็นอีกครั้งที่ IOC มีอำนาจต่อรองน้อยมาก พวกเขาจึงได้ทำการปฏิรูปซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของการเป็นเจ้าภาพ ด้วยการกำหนดให้เจ้าภาพใช้สถานที่ที่มีอยู่และสถานที่ชั่วคราว เหมือนที่ลอสแองเจลิสทำในปี 1984 และอนุญาตให้พวกเขาร่วมมือกับเมืองอื่น ๆ ได้

ณ ตอนนี้ ปารีสดูเหมือนจะไม่ใช้งบประมาณเกินตัว และคณะกรรมการจัดงานของลอสแองเจลิสกำลังมองว่าเมืองสามารถจัดการแข่งขันโอลิมปิกได้ตามงบประมาณอีกครั้ง แต่คำถามสำคัญคือ ถ้าหากพวกเขาทำได้สำเร็จ มันจะจุดชนวนการแข่งขันในการประมูลอีกครั้งหรือไม่?

IOC ยังได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการคัดเลือกเมืองเจ้าภาพ โดยหยุดรับการเสนอตัวแบบเปิดและเจรจากับเมืองต่าง ๆ อย่างเป็นการส่วนตัวแทน พวกเขาเลือกมิลานและคอร์ติน่า ประเทศอิตาลี แทนสตอกโฮล์มสำหรับการแข่งขันฤดูหนาวปี 2026 และมอบการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2032 ให้กับบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย

อย่างไรก็ตาม บางคนกำลังเสนอทางออกที่ถาวรกว่านั้น Andrew เสนอแนวคิดว่า “ผมคิดว่ามันเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะคิดถึงการสร้างแดนสวรรค์โอลิมปิกด้วยสนามแข่งขัน 35 หรือ 40 แห่งสำหรับการแข่งขันฤดูร้อน จำนวนน้อยกว่านั้นสำหรับการแข่งขันฤดูหนาว ในสถานที่เดียว”

บางคนเชื่อว่ากรีซ บ้านเกิดทางประวัติศาสตร์ของโอลิมปิก จะเป็นเจ้าภาพถาวรที่ดี คนอื่น ๆ ได้กล่าวถึงลอสแองเจลิส เนื่องจากมีสถานที่จัดงานมากมายและทำได้ดีมากในอดีต

การมีสถานที่จัดการแข่งขันถาวรจะช่วยขจัดปัญหาโครงการช้างเผือก ช่วยให้เมืองไม่ต้องเป็นหนี้มหาศาล และลดปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการแข่งขัน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจลดความตื่นเต้นของโอลิมปิกแต่ละครั้งด้วยเช่นเดียวกัน

Andrew สรุปว่า “มันจะไม่ง่ายที่จะไปสู่โมเดลที่มีความเหมาะสมทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ แต่ผมคิดว่ามันมีเหตุผลที่จะพูดถึงมันและนำเสนอมัน เป็นสิ่งที่เราควรมุ่งไป ขึ้นอยู่กับว่าโอลิมปิกอีกไม่กี่ครั้งข้างหน้าจะเป็นอย่างไร มันอาจเป็นทิศทางเดียวที่เหลืออยู่”

ในท้ายที่สุด การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกได้เปลี่ยนแปลงจากความฝันอันยิ่งใหญ่ไปสู่ภาระทางการเงินที่หนักหน่วงสำหรับหลายเมือง ความท้าทายในอนาคตคือการหาสมดุลระหว่างการรักษาจิตวิญญาณของการแข่งขันและการสร้างความยั่งยืนทางการเงินและสิ่งแวดล้อม

การปฏิรูปของ IOC และแนวคิดเรื่องสถานที่จัดการแข่งขันถาวรอาจเป็นก้าวแรกสู่การแก้ปัญหานี้ แต่ยังคงต้องติดตามดูว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเพียงพอหรือไม่ในการรักษาอนาคตของมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้

References :

  1. Zimbalist, A. (2016). Circus Maximus: The Economic Gamble Behind Hosting the Olympics and the World Cup. Brookings Institution Press.
  2. Baade, R. A., & Matheson, V. A. (2016). Going for the Gold: The Economics of the Olympics. Journal of Economic Perspectives, 30(2), 201-218.
  3. Preuss, H. (2004). The Economics of Staging the Olympics: A Comparison of the Games, 1972-2008. Edward Elgar Publishing.
  4. International Olympic Committee. (2021). Olympic Agenda 2020+5: 15 Recommendations. IOC.
  5. Why no one wants to host the Olympics (Search Party Youtube Channel)

สรุปเนื้อหา THE MINDSET OF A WINNER ทัศนคติสู่การเป็นแชมป์โดย Kobe Bryant

“หากคุณต้องการเป็นผู้ชนะ มาเล่นกับผม หากคุณต้องการอันดับสอง ไสหัวไปที่อื่นเถอะ” – Kobe Bryant

เป็นอีกหนึ่งคลิปวีดีโอที่ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียวจากช่อง Motiversity ที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับ Kobe Bryant เกี่ยวกับทัศนคติของการเป็นแชมป์ เป็นที่หนึ่งเพียงเท่านั้น

โดย Bryant เน้นย้ำถึงความสำคัญของความทุ่มเท การทำงานหนัก และการเอาชนะอุปสรรคเพื่อให้ประสบความสำเร็จทั้งในวงการบาสเกตบอลและในชีวิต เขาพูดถึงทัศนคติของผู้ชนะ ความสำคัญของวินัยในตนเอง และความจำเป็นที่ต้องท้าทายตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อไปสู่ความเป็นเลิศในระดับที่สูงขึ้น

Highlights

🏀 Kobe Bryant เน้นย้ำถึงความสำคัญของความทุ่มเทและการทำงานหนักเพื่อให้ประสบความสำเร็จในวงการบาสเกตบอล

💪 Bryant พูดถึงความสำคัญของการรู้จักตนเองและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเอาชนะจุดอ่อน

📚 Bryant พูดถึงคนระดับท็อปอย่าง Michael Jordan , Magic Johnson ที่ทำสิ่งที่เหลือเชื่อได้ และจะทำอย่างไรที่เขาจะก้าวไปถึงจุด ๆ นั้นได้

🧠 Bryant ได้แบ่งปันทัศนคติเรื่องความเข้มแข็งทางด้านจิตใจและการมุ่งเน้นไปที่เกมการแข่งขัน โดยได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์อย่าง Gladiator

🤝 Bryant เน้นย้ำถึงการเสียสละและความมุ่งมั่นที่จำเป็นต่อการสร้างความเป็นเลิศในวงการบาสเกตบอล

🏆 Bryant อธิบายกระบวนการตัดสินใจและวิธีในการลงทุนทั้งแรงและเวลาให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

🏋️‍♂️ Bryant เล่าถึงการเอาชนะอาการบาดเจ็บและอุปสรรคด้วยความมุ่งมั่น

👨‍👧‍👦 Bryant สะท้อนถึงความสำคัญของการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ๆ

Key Insights

🏀 Kobe Bryant เน้นย้ำถึงความสำคัญของทัศนคติและความทุ่มเทในการประสบความสำเร็จ เขาชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องผลักดันตัวเองให้พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งและมุ่งมั่นสู่ความยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่อง

💪 Bryant เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานหนักและมีวินัยในการฝึกฝนทักษะ ความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละในการฝึกซ้อมและพัฒนาตนเอง แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความพยายามอย่างสม่ำเสมอในการบรรลุเป้าหมาย

📚 ตำนานบาสเกตบอลผู้นี้พูดถึงความสำคัญของการศึกษาเกมและทำความเข้าใจรายละเอียดต่าง ๆ การวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองทำให้ Bryant สามารถปรับเปลี่ยนการฝึกซ้อมและพัฒนาประสิทธิภาพการเล่นจริงในสนามได้

Bryant สะท้อนถึงการเสียสละและการตัดสินใจที่เขาทำเพื่อมุ่งสู่การเป็นแชมป์ รวมถึงการให้ความสำคัญกับอาชีพมากกว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวในบางครั้ง เขาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการตัดสินใจที่ยากลำบากและการมุ่งเน้นที่เป้าหมายระยะยาว

🤝 Bryant แบ่งปันแนวทางการตัดสินใจในธุรกิจ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวิจัย การประเมินอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น และการรายล้อมตัวเองด้วยบุคคลที่มีความหลงใหลและทุ่มเทให้กับสิ่ง ๆ นั้นจริง ๆ

💥 ไอคอนแห่งวงการ NBA พูดถึงความยืดหยุ่นและความมุ่งมั่นที่จำเป็นในการเอาชนะอุปสรรค เช่น การบาดเจ็บ ความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นของ Bryant ในความสามารถที่จะเอาชนะความท้าทายเป็นตัวอย่างอันทรงพลังของความอดทนและความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ

🌟 ความมุ่งมั่นของ Bryant ในการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ๆ และการวางตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแม้ในยามเผชิญกับความยากลำบาก แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทของเขาต่อการเป็นตัวอย่างที่ดีทั้งในและนอกสนาม

Opinion

ต้องบอกว่าทั้งทัศนคติและปรัชญาการใช้ชีวิตของ Kobe Bryant ไม่เพียงแต่ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในฐานะนักกีฬาบาสเกตบอลระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในการพัฒนาตนเองและเอาชนะอุปสรรคในชีวิตด้วย

แนวคิดของ Bryant เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีวินัย การทำงานหนัก และการมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศและต้องเป็นที่หนึ่งเท่านั้น ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน หรือการพัฒนาตนเอง

นอกจากนี้ ทัศนคติของเขาในการเผชิญหน้ากับความท้าทายและการเอาชนะอุปสรรคยังเป็นบทเรียนอันมีค่าสำหรับทุกคนที่กำลังเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต การยึดมั่นในเป้าหมายใหญ่ การเรียนรู้จากความผิดพลาด และการไม่ยอมแพ้แม้ในยามที่ดูเหมือนจะไม่มีทางออกเป็นคุณสมบัติที่ Bryant ได้แสดงให้เห็นตลอดอาชีพของเขา

ในท้ายที่สุด แนวคิดและปรัชญาของ Kobe Bryant จึงไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์สำหรับนักกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่ต้องการประสบความสำเร็จและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชีวิตของตนเองและผู้อื่นอีกด้วยนั่นเองครับผม