จับตาดูม้ามืดฟุตบอลยูโร 2024 ทีมไหนจะช็อคโลก?

ศึกฟุตบอลยูโร 2024 จะมีการจัดขึ้นในช่วงวันที่ 14 มิถุนายนถึง 14 กรกฎาคม 2024 โดยมีเจ้าภาพจัดการแข่งขันเป็นประเทศเจ้าของแชมป์ 3 สมัยอย่างเยอรมนี โดยในขณะนี้ยังอยู่ในช่วงคัดเลือกหาทีมเข้าแข่งขันให้เลือก 24 ทีมจากทีมที่เข้าคัดเลือกทั้งหมด 53 ทีม ฟุตบอลยูโร 2024 รอบคัดเลือกจะสิ้นสุดลงในช่วงเดือนมีนาคม 2024 แน่นอนว่าในรายการแข่งขันฟุตบอลนานาชาติระดับทวีปอย่างฟุตบอลยูโร นอกจากจะมีทีมใหญ่ ๆ เข้ามาแข่งขันเพื่อเอาชนะถ้วยแชมป์ไปครองแล้ว ในแต่ละปีก็จะมีเรื่องราวสุดน่าประทับใจของ “ทีมม้ามืด” ที่เป็นทีมเล็กแต่ทำผลงานได้น่าประทับใจและสามารถเอาชนะทีมที่ใหญ่กว่าได้ เราจะมาดูกันว่าสำหรับยูโร 2024 ในปีหน้า จะมีทีมไหมเป็นทีมม้ามืดหรือไม่?

ย้อนรอยทีมม้ามืดในปีก่อน ๆ

ถือเป็นธรรมเนียมของรายการฟุตบอลครับที่จะต้องมี “ม้ามืด” ปรากฎขึ้นมาไม่ว่าจะก่อนหรือระหว่างทัวร์นาเมนต์ โดยรายชื่อในบทความนี้จะเป็นรายชื่อทีมม้ามืดที่ทำผลงานในทัวร์นาเมนต์ได้ดีเกินคาดหมายจริง ๆ และไม่อาศัยความเห็นของนักวิจารณ์ก่อนเริ่มการแข่งขันครับ

ยูโร 2020: เดนมาร์ก

                เดนมาร์กที่ต้องเจอโศกนาฎกรรมสุดระทึกขวัญของคริสเตียน เอริคเซ่นในเกมรอบแบ่งกลุ่มที่เจอกับฟินแลนด์ กลับสามารถทำผลงานอันน่าจดจำได้ด้วยการทะลุไปถึงรอบรองชนะเลิศโดยไปแพ้ให้กับรองแชมป์ในปีนั้นอย่างทีมชาติอังกฤษด้วยจุดโทษท้ายเกมครับ ระหว่างทาง เดนมาร์กสามารถเอาชนะสาธารณรัฐเช็กและเวลส์มาได้ พร้อมทั้งได้รับเสียงเชียร์จากแฟนบอลทั่วโลกไม่แพ้กับเรื่องราวในปี 1992 เลยทีเดียว

ยูโร 2016: เวลส์

                เวลส์ผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลระดับนานาชาติได้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 60 ปีสามารถทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจภายในการนำทีมของคริส โคลแมน และซูเปอร์สตาร์จากเรอัล มาดริด อย่างแกเร็ธ เบล เวลส์ผ่านเข้าไปได้ถึงรอบรองชนะเลิศและพ่ายแพ้ให้กับแชมป์ในปีนั้นอย่างโปรตุเกส พร้อมส่งให้คู่กองกลางอย่าง โจ อัลเลน และอารอน แรมซีย์ ก้าวขึ้นไปติดทีมยอดเยี่ยมประจำรายการ

ยูโร 2004: กรีซ

                แน่นอนครับว่าเราไม่สามารถพูดถึง “ม้ามืด” โดยข้ามนิยายกรีซในปี 2004 ไปไม่ได้เลย โดยกรีซได้ผ่านเข้ารอบมาเล่นฟุตบอลยูโรเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1980 ครับ และมุมมองของทุกคนก็มองว่ากรีซคงจะเข้ามาเป็นทีมไม้ประดับหรืออย่างมากสุดก็ผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปได้ แต่กรีซสามารถฝ่าฟันยอดทีมมากมายทั้งฝรั่งเศส สาธารณรัฐเช็ก และโปรตุเกสในรอบชิงชนะเลิศเพื่อคว้าแชมป์ยูโรสมัยแรกของตัวเองได้ในสนามในประเทศโปรตุเกสเองครับ และภาพของยูเซบิโอที่ยืนคอตกอยู่ข้างทีมชาติกรีซก็ยังคงเป็นภาพอันเปี่ยมมนต์ขลังของวงการฟุตบอลจนถึงวันนี้

หันดูม้ามืดยูโร 2024

ในตอนนี้ รอบคัดเลือกของฟุตบอลยูโร 2024 ยังไม่จบลงครับ ดังนั้นเราจึงยังไม่สามารถพิจารณาได้อย่างชัดเจนนักว่าทีมไหนจะสามารถคว้าตำแหน่ง “ม้ามืด” ประจำฟุตบอลยูโร 2024 ไปได้ แต่หากจะพิจารณาต่อเนื่องจากฟอร์มในฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์แล้ว ทีมชาติยุโรปที่ทำฟอร์มได้น่าประทับใจอย่างโครเอเชีย เนเธอร์แลนด์ และโปแลนด์ก็อาจจะเป็นทีมที่น่าจับตามองในปีนี้ครับ ส่วนทีมที่อาจจะช็อคโลกด้วยการผ่านเข้ารอบก็อาจจะได้แก่ จอร์เจีย อาร์มีเนีย แอลเบเนีย หรือแม้กระทั่งคาซัคสถานก็ดีครับ

วัคซีน mRNA เกี่ยวข้องกับปัญหาหัวใจของนักฟุตบอลอาชีพในยุโรปหรือไม่

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องราวน่าสนใจมากทีเดียวกับปัญหาเรื่องหัวใจกับนักฟุตบอลชื่อดังสองคนทั้ง เซร์คิโอ อเกวโร่ และ คริสเตียน อีริคเซ่น ที่หนังสือพิมพ์เยอรมันอย่าง Berliner Zeitung ได้บอกเป็นนัยว่าปัญหาที่เกี่ยวกับหัวใจในนักกีฬาอาชีพทั่วโลก อาจเป็นผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตรายของวัคซีนที่ใช้ mRNA

ผู้ชายอายุต่ำกว่า 30 ปีมีความเสี่ยงสูง:

ที่น่าสนใจคือ ผลการวิจัยพบว่าวัคซีนจากทั้งไฟเซอร์และโมเดอร์นาเพิ่มความเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยเหล่านี้ภายในเจ็ดวันหลังจากฉีดวัคซีน ความเสี่ยงสูงขึ้นเล็กน้อยในผู้ชายอายุต่ำกว่า 30 ปี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากฉีดวัคซีนโมเดอร์นาเข็มที่สอง ซึ่งการศึกษาพบว่าอาจเป็นสาเหตุของโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ที่มีโอกาสการเกิดอยู่ที่ 132 รายต่อหนึ่งล้านโดสที่ได้รับ

ส่วนวัคซีนไฟเซอร์ดีกว่าเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนทั้งสองชนิด แต่ฝั่งล็อบบี้ยิสต์ของ ไฟเซอร์-โมเดอร์นา ก็ได้พยายามยกตัวอย่างกรณีการแข็งตัวของเลือดจำนวนหนึ่งจากผู้ที่ได้รับวัคซีน AstraZeneca เช่นเดียวกัน

Sergio Aguero, Christian Eriksen และนักกีฬาคนอื่นๆ ที่กำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ:

เนื่องจากนักกีฬาที่ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพ หนังสือพิมพ์เยอรมันยกตัวอย่างปัญหาสุขภาพหัวใจที่ต้องเผชิญหลังจากการเซ็นสัญญาย้ายมาสู่สโมสรบาร์เซโลน่าของ เซร์คิโอ อเกวโร่ นักเตะชาวอาร์เจนตินาที่ถูกบังคับให้ออกจากสนาม หลังจากที่เขารู้สึกไม่สบายในเกมที่เขาได้ลงสนามพบกับ Deportivo Alavés 

อเกวโร่ถูกถอดออกจากสนาม ในขณะที่เขาพยายามจับหน้าอกตัวเองและได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที เขาถูกพักการเล่นออกไปอย่างน้อยสามเดือน และอยู่ระหว่างการประเมินทางการแพทย์อื่นๆ และมีข่าวล่าสุดว่าเขาอาจจะต้องแขวนสตั๊ดจากปัญหานี้เลยทีเดียว

ในทำนองเดียวกัน คริสเตียน อีริคเซ่น ในช่วงระหว่างการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 ที่เพิ่งจบลงไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเกือบจะเสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย หากไม่ใช่เพราะการคิดอย่างรวดเร็วของผู้เล่น ผู้ตัดสิน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่อยู่ในสนาม

ภาพสุดช็อคของ คริสเตียน อีริคเซ่น ในศึกฟุตบอลยูโร 2020 (CR:siamrath)
ภาพสุดช็อคของ คริสเตียน อีริคเซ่น ในศึกฟุตบอลยูโร 2020 (CR:siamrath)

อาชีพนักฟุตบอลของ อีริคเซ่น สิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากไม่มีสโมสรฟุตบอลใดที่ต้องการผู้เล่นที่มีปัญหาเรื่องหัวใจในทีม อีริคเซ่นไม่เคยมีปัญหาเรื่องหัวใจมาก่อน แต่เขามีกลับมีประสบการณ์เฉียดตายบนสนามหญ้า

แม้ว่าหนังสือพิมพ์ไม่ได้เชื่อมโยงปัญหาสุขภาพหัวใจที่ผู้เล่นต้องเผชิญโดยตรงกับวัคซีนที่พวกเขาได้รับ แต่ก็พยายามค้นหาคำตอบโดยเปิดเผยรายชื่อนักกีฬาจำนวนมาก ที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหลังการฉีดวัคซีน

ประสิทธิภาพที่ไม่ชัดเจนของไฟเซอร์และวัคซีนอื่นๆ:

ตามรายงานในมาเลเซียจากจำนวนผู้เสียชีวิต 2,159 รายที่ได้รับวัคซีนครบสมบูรณ์ ซึ่ง 1,573 รายหรือ 72.8% ได้รับวัคซีนจาก Chinese Sinovac ที่น่าสนใจคือ มีผู้เสียชีวิตจำนวน 550 ราย หรือสูงถึง 25.5% ของผู้เสียชีวิตได้รับวัคซีนไฟเซอร์

ตามที่รายงานในเดือนมีนาคมอิสราเอล คิดว่าการระดมฉีดวัคซีน mRNA จะทำให้เส้นโค้งของจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 แบนราบลง เนื่องจากมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากร 9.3 ล้านคนในประเทศได้รับวัคซีนไฟเซอร์ครบสองโดสไปแล้ว 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ต่าง ๆ เลวร้ายลงอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น เนื่องจากมีการติดเชื้อจำนวนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ประเทศต่างๆ จึงเริ่มประกาศว่าอิสราเอลว่าเป็นจุดหมายปลายทางที่มีความเสี่ยงสูงสำหรับนักเดินทาง

ผลการศึกษาที่คล้ายกันในอิสราเอลกับของฝรั่งเศส:

ด้วยเหตุนี้ ในเดือนเมษายน กระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอลจึงเริ่มตรวจสอบกรณีของหัวใจอักเสบในผู้ที่ได้รับวัคซีนครบสองโดสจากไฟเซอร์ ในการศึกษาหนึ่งของผู้ป่วยมากกว่า 5 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์นั้น มีจำนวน 136 คนได้พบปัญหากล้ามเนื้อหัวใจตาย

ในขณะเดียวกัน ในการศึกษาอื่นจาก 2.5 ล้านคนที่ได้รับการฉีดวัคซีน พบผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 54 ราย โดยเด็กชายวัยรุ่นและชายหนุ่มมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มากที่สุด

เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสังเกตว่านักกีฬาส่วนใหญ่ที่ประสบปัญหา “การอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ” ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้อยู่ในกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะตามที่กล่าวไว้ในการศึกษาสองครั้งดังกล่าวในอิสราเอลและการศึกษาที่ดำเนินการในฝรั่งเศส

ไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนโควิด-19 เชื่อมโยงกับนักกีฬาที่เป็นประเด็นในโลกออนไลน์

สำนักข่าวรอยเตอร์นำเสนอโพสต์ต่อหน่วยงานกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (MHRA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและวัคซีนของอังกฤษ ซึ่งระบุว่าขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนที่จะสนับสนุนคำกล่าวอ้างดังกล่าวบนโลกออนไลน์

ดร.จูน เรน หัวหน้าผู้บริหารของ MHRA กล่าวว่า “MHRA ติดตามความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 อย่างใกล้ชิด รวมถึงรายงานที่น่าสงสัยเกี่ยวกับการอักเสบของหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

“โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบยังคงเป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้น้อยมากสำหรับวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา และเหตุการณ์ที่รายงานมักไม่รุนแรง โดยที่ผู้ป่วยมักจะฟื้นตัวภายในระยะเวลาอันสั้นด้วยการรักษาแบบมาตรฐานและการพักผ่อนเป็นหลัก หลักฐานในปัจจุบันไม่ได้บ่งชี้ว่าการเล่นกีฬาเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากเหล่านี้”

สำนักข่าวรอยเตอร์ยังได้นำเสนอวิดีโอต่อ FIFA ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลเรื่องการแข่งขันฟุตบอลทั่วโลกซึ่งกล่าวว่า: “FIFA ไม่ทราบว่ามีภาวะหัวใจหยุดเต้นตามที่ระบุไว้ และยังไม่มีกรณีใดที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับนักกีฬาที่ได้รับวัคซีน COVID”

“โดยทั่วไปแล้ว ฟีฟ่าติดต่อกับศูนย์วิจัยชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญเป็นประจำเพื่อทำวิจัยเกี่ยวกับหัวข้อทางการแพทย์ที่มีความหลากหลาย”

และที่สำคัญผู้อำนวยการของอินเตอร์ มิลาน กล่าวว่า คริสเตียน อีริคเซ่น ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 และนี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขาล้มลงระหว่างการแข่งขันยูโร 2020 ของเดนมาร์ก อย่างแน่นอน

บทสรุป

ต้องบอกว่าถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักฟุตบอลในเรื่องหัวใจ ที่มีปัญหาต่อเนื่องกันในระยะเวลาเพียงไม่นาน ทั้งรายของ อีริคเซ่น ที่กลายเป็นภาพข่าวโด่งดังในช่วงฟุตบอลยูโร 2020 รวมถึง อเกวโร่ ที่เหลือเชื่อมาก ๆ ที่มีข่าวว่าอาจจะต้องแขวนสตั๊ดจากปัญหานี้เลยทีเดียว

แม้เคสทั้งสองจะไม่ใช่เคสแรกที่นักฟุตบอลอาชีพต้องมามีปัญหาหรือจบชีวิตด้วยโรคหัวใจ ตัวอย่างของ มาร์ค-วิเวียน โฟเอ้ อดีตกองกลาง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ในทีมชาติแคเมอรูน ชุดทำศึกคอนเฟดเดอเรชันส์ คัพ 2003 ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งโฟเอ้ ล้มหมดสติในเกมพบ โคลอมเบีย โดยเจ้าตัวยังมีชีวิตระหว่างนำตัวไปโรงพยาบาล ก่อนทำการรักษาเป็นเวลา 45 นาทีถึงค่อยมีการประกาศเรื่องเสียชีวิตของดาวเตะวัย 28 ปี

มาร์ค-วิเวียน โฟเอ้ ที่เสียชีวิตจากปัญหาหัวใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับนักกีฬาทุกคน (CR:CNN)
มาร์ค-วิเวียน โฟเอ้ ที่เสียชีวิตจากปัญหาหัวใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับนักกีฬาทุกคน (CR:CNN)

หรือ ชีค ติโอเต้ อดีตกองกลาง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เสียชีวิตคาสนามด้วยวัยเพียง 30 ปีเท่านั้น หลังมีอาการหัวใจวายระหว่างฝึกซ้อมกับ ปักกิ่ง เอ็นเตอร์ไพรส์ กรุ๊ป ต้นสังกัดในลีกสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา แม้จะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ทว่าก็ยื้อชีวิตของเขาไว้ไม่สำเร็จ

แต่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสังเกตว่านักกีฬาส่วนใหญ่ที่ประสบปัญหา “การอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ” ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้อยู่ในกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงจากวัคซีน โดยเฉพาะตามที่กล่าวไว้ในการศึกษาทั้งจากประเทศอิสราเอลและฝรั่งเศส

เพราะฉะนั้นด้วยการที่ยังสรุปผลไม่ได้ชัดเจนนักว่าปัญหาเรื่องหัวใจนั้นเกิดจากวัคซีนโดยตรงจริงหรือไม่ ความกลัวก็อาจจะเกิดขึ้นกับนักฟุตบอลหลาย ๆ คน

ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ บิลด์ สื่อชั้นนำของประเทศเยอรมนี ที่ได้มี่การรายงานว่า บาเยิร์น มิวนิก ลงโทษขั้นเด็ดขาดกับผู้เล่น 5 รายที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีนโควิด-19 ประกอบด้วย แซร์จ กนาบรี, โยชัว คิมมิช, จามาล มูเซียลา, เอริก มักซิม ชูโป-โมติง และ มิคาเอล กุยซองซ์ ด้วยการไม่จ่ายค่าเหนื่อยทุกวันที่มีเกมการแข่งขันและมีการฝึกซ้อม

แต่ก็เป็นเรื่องน่าคิดนะครับ สำหรับนักฟุตบอลที่ไม่ต้องการรับวัคซีน พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะทำได้เพราะมันอาจจะส่งผลกระทบต่ออาชีพของพวกเขา รายได้หลักของพวกเขาได้เลย หากสุดท้ายแล้วมีการพิสูจน์ว่ามันมีผลจริง ๆ ซึ่งพวกเขาก็คงไม่อยากจะเสี่ยงอยู่แล้ว

และที่สำคัญตอนนี้ ข้อมูลต่างๆ บนโลกออนไลน์ มันทำให้เราที่เป็นคนทั่วไปแทบจะแยกไม่แล้วว่าเรื่องไหน เป็นเรื่องจริง หรือถูกปั่นแต่งเติมขึ้นมาโดยเฉพาะเรื่องวัคซีน ที่ทุกเว็บไซต์ทั้งใหญ่ทั้งเล็กต่างอ้างคำว่า Factcheck กันทั้งหมด

สุดท้ายเหล่านักกีฬาที่ต้องพึ่งพารายได้หลักจากการเล่นกีฬา ผมว่าคงไม่แปลกหากพวกเขาเลือกที่จะไม่ฉีดวัคซีนก่อน ในขณะที่ข้อมูลต่าง ๆ มันยังคลุมเครือไม่ชัดเจนอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.nature.com/articles/d41586-021-02740-y
https://tfiglobalnews.com/2021/11/10/pfizer-and-moderna-vaccines-are-probably-behind-heart-failures-of-professional-athletes-in-europe
https://www.berliner-zeitung.de/news/raetselhafte-herzerkrankungen-im-fussball-li.193554
https://www.thairath.co.th/sport/eurofootball/bundesliga/2248997
https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/french-health-authority-advises-against-moderna-covid-19-vaccine-under-30s-2021-11-09/
https://www.bmj.com/content/bmj/375/bmj.n2635.full.pdf
https://www.reuters.com/article/factcheck-soccer-denmark-idUSL2N2NW1BX

BeIn Sport vs BoutQ กับมหาศึกสงครามการเมืองในอ่าวเปอร์เซีย สู่การละเมิดลิขสิทธิ์ครั้งร้ายแรงในวงการกีฬาโลก

ต้องบอกว่าด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวไกลในปัจจุบัน มันก็ได้เกิดผลกระทบต่อวงการกีฬาอย่างชัดเจนมาก ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการถ่ายทอดสด ที่เรียกได้ว่าตอนนี้มีการละเมิดลิขสิทธิ์กันอย่างรุนแรงมาก ๆ

ตัวอย่างในบ้านเราเอง กีฬายอดฮิตอย่างฟุตบอล มีเว็บไซต์ หรือ เพจมากมายใน facebook เองที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์กัน และทำกันแบบง่ายมาก ๆ เนื่องจากการพัฒนาของระบบ live สดในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทำให้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อวงการกีฬา

นั่นเองที่ทำให้ในอนาคต หากมีบริษัทใดซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาเหล่านี้มา อาจจะต้องพินิจพิเคราะห์แบบละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้ัน เนื่องจากการละเมิดที่ทำได้ง่ายขึ้นในยุคปัจจุบัน

เราจะเห็นเทรนด์ที่ราคาลิขสิทธิ์ถ่ายทอดกีฬาชื่อดังราคาประมูลลดลงไปอย่างมาก เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ที่ยังไม่มีเทคโนโลยีที่ละเมิดลิขสิทธิ์ง่าย ๆ เหมือนในยุคปัจจุบัน

และนั่นเองที่ทำให้เกิดประเด็นใหญ่ขึ้นในวงการกีฬา กับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ beIn Sport ของทางประเทศซาอุดิอาระเบีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีการสร้างบริการ beoutQ มาขโมยสัญญาณและออกอากาศเป็นของตนเอง

มหาศึกสงครามการเมืองในอ่าวเปอร์เซีย

เช้าตรู่ของวันที่ 24 พฤษภาคม 2017 ได้มีคำแถลงที่เซอร์ไพรส์มาก ๆ จากประธานาธิบดีกาตาร์ ผ่านสำนักข่าวกาตาร์ (QNA)

สื่อระดับภูมิภาคในอาหรับ และที่อื่น ๆ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการรับข่าวดังกล่าว และได้ทำการเผยแพร่ให้ขยายวงกว้าง เพื่อให้ผู้คนนับล้านได้เห็นแถลงการณ์ครั้งนี้

“อิหร่านเป็นตัวแทนของอำนาจในภูมิภาค และอิสลามไม่สามารถละเลยได้ และไม่ฉลาดที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขา” ชีค ทามิม บิน ฮาหมัด อัลธานี ผู้ปกครองกาตาร์กล่าวในพิธีสำเร็จการศึกษาทางทหารเป็นภาษาอาหรับ

ราชวงศ์กาตาร์ รู้ตัวทันทีว่าระบบรัฐบาลของพวกเขากำลังถูกรุกราน และพวกเขามั่นใจว่ามันเป็นแผนการของ ซาอุดิอาระเบีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ทำเรื่องชั่ว ๆ ดังกล่าวนี้

ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่แสดงว่าระบบของพวกเขาถูก hack โดยกลุ่มนับรบไซเบอร์ของรัสเซียที่ได้รับการว่าจ้างให้ทำงานดังกล่าว

พวกเขาไม่เคยเห็นการลอบโจมตีในลักษณะดังกล่าวนี้เกิดขึ้นมาก่อน สถานการณ์ที่มีความตึงเครียดมานานหลายปี กำลังจะถึงจุดแตกหัก

ภายในสิบสามวัน ซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของพวกเขารวมถึงอียิปต์และหมู่เกาะโคโมโรเล็ก ๆ ได้เคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในการปิดกั้น เพื่อคว่ำบาตรกาตาร์แบบเต็มรูปแบบ

พวกเขาขับไล่ชาวกาตาร์ออกจากประเทศตัวเอง ตัดความสัมพันธ์ทางการเงิน และปฏิเสธที่จะให้เครื่องบินของกาตาร์ใช้น่านฟ้าของพวกเขา เหล่าร้านค้าในกาตาร์ต่างขาดแคลนอาหาร เนื่องจากประเทศนี้พึ่งพาการค้าทางบกกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก

ปัญหาใหญ่น่าจะเกิดจากกาตาร์ได้ทำการผูกมิตรกับศัตรูของซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เช่น กลุ่มภราดรภาพมุสลิม

ซึ่ง ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรน ต่างนำทูตของพวกเขาออกจากกาตาร์ในปี 2014 เนื่องจากกาตาร์ได้ไปสนับสนุนการประท้วงอาหรับสปริง

การประกาศคว่ำบาตรสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวกาตาร์จำนวนมาก ครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศบางครอบครัวเริ่มสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ส่วนตัวไว้ในบ้านพักตากอากาศและพระราชวังเพื่อเตรียมพร้อมหากมีการรุกรานขึ้นมาจริง ๆ

องบอกว่าสงครามเย็นกับกาตาร์นั้นมีเวลานานมาหลายปีแล้ว แต่กาตาร์เริ่มตีตัวออกห่างจากเพื่อนบ้านอย่างรวดเร็วเมื่อ ฮาหมัด บิน คาลิฟา โค่นล้มบิดาของตัวเองในการรัฐประหารที่ไร้การนองเลือดในปี 1995

ด้วยความที่ฮาหมัดเติบโตมาในโลกที่มีความสากล และด้วยความมั่งคั่งของประเทศในยุคนั้น ความผูกพันทางประวัติศาสตร์กับสหราชอาณาจักร เขาจึงเข้าเรียนที่ Royal Military Academy , Sandhurst ก่อนที่จะกลับไปโดฮาเพื่อเป็นนายทหารและในที่สุดก็ได้กลายเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

เขาได้เข้ามายึดอำนาจโดยความเห็นชอบของสมาชิกคนสำคัญในครอบครัว ฮาหมัดได้เข้ามาเปลี่ยนนโยบายกาตาร์ใหม่ แม้กระทั่งการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับอิสราเอล

เขาได้พัฒนาแหล่งก๊าซของประเทศซึ่งเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ เนื่องจากก๊าซธรรมชาติยังไม่ได้เป็นวัตถุดิบที่ทำกำไรได้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ซึ่งการเดิมพันครั้งนี้ทำให้กาตาร์ร่ำรวยมหาศาล ด้วยความมั่งคั่งที่เกิดขึ้น ฮาหมัด ได้กำหนดนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นไปที่บทบาทของกาตาร์ในส่วนที่เหลือของโลก ไม่ใช่แค่เหล่าประเทศเพื่อนบ้านในอ่าวเท่านั้น

หนึ่งในปัจจัยใหญ่ที่สุดคือการสร้าง Al Jazeera ช่องข่าวที่ใช้เวลาอย่างฟุ่มเฟือยในการสรรหานักข่าวต่างประเทศ และนำเสนอให้ครอบคลุมตะวันออกกลางมากที่สุด

โดยเป็นการแสดงให้เห็นว่ากาตาร์เป็นกลาง แต่ภายในช่อง Al Jazeera เองก็แทบจะไม่มีการรายงานประเด็นทางสังคมหรือการโต้เถียงภายในกาตาร์เองแต่อย่างใด

การถือกำเนิดของ Al Jazeera คืออีกหนึ่งชนวนสำคัญ (CR:Inside Arabia)
การถือกำเนิดของ Al Jazeera คืออีกหนึ่งชนวนสำคัญ (CR:Inside Arabia)

เพื่อนบ้านของกาตาร์มองว่า Al Jazeera ไม่เป็นกลาง และเมื่อเกิดเหตุการณ์อาหรับสปริง เมื่อเยาวชนชาวอียิปต์ประท้วงต่อต้านประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัคที่ซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเตส์หนุนหลัง

แต่หลังจากมูบารัคลงจากอำนาจ กาตาร์ก็ได้แต่งตั้งโมฮาเหม็ด มอร์ซี จากกลุ่มมุสลิมภราดรภาพให้กลายเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของอียิปต์ และนั่นเองที่ทำให้ซาอุดิอาระเบียและยูเออีโมโห และสนับสนุนนายพลในการโค่น มอร์ซี และปราบปรามกลุ่มมุสลิมภราดรภาพ

กาตาร์มีความเชี่ยวชาญมากกว่าซาอุฯ หรือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในการล็อบบี้และสื่อสารกับโลกภายนอก พวกเขาเปรียบเสมือนสวิตเซอร์แลนด์แห่งตะวันออกกลางที่รักษาการติดต่อกับทุกกลุ่มเพื่ออำนวยความสะดวกในการเจรจาและนำสันติภาพมาสู่ภูมิภาค

อีกปัจจัยหนึ่งที่ได้สร้างความขุ่นเคืองมายาวนานหลายปี คือ กาตาร์มีนิสัยขี้อิจฉาเพื่อนบ้านที่ใหญ่กว่า ด้วยความมั่งคั่งมหาศาล กองทุนความมั่งคั่งของกาตาร์ ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทในโลกตะวันตกที่มีชื่อเสียงมากมาย

ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากเยอรมันอย่าง Volkswagen Group หรือ Royal Dutch Shell รวมถึงการกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก โครงการพัฒนาสนามบิน Heathrow ย่านธุรกิจ Canary Wharf และสร้าง Shard ซึ่งเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในสหราชอาณาจักร

แถมกาตาร์ยังได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลก (FIFA World Cup) ในปี 2022 ซึ่งเป็นการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียงที่สุดรองจากโอลิมปิก

และสำหรับเหล่าเศรษฐีผู้ร่ำรวยของกาตาร์ การซื้อห้างสรรพสินค้า Harrods ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าชื่อดังบนถนน Old Brompton Road ในลอนดอนมูลค่า 1,500 ล้านปอนด์ในปี 2010 ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ภาษาอาหรับได้กลายเป็นภาษาที่สองของห้างดังเหล่านี้ เนื่องจากบรรดาลูกค้าผู้ร่ำรวยจากดูไบ ริยาด หรือ คูเวตซิตี้ จะมาช็อปปิ้งในช่วงวันหยุด

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็รู้สึกว่า การกระทำต่าง ๆ ของกาตาร์เกิดจากความหยิ่งผยองของพวกเขา กาตาร์มีฐานทัพ Al Udeid การสื่อสารกับชาติตะวันตกก็ดูราบรื่น แถมยังมีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าประเทศอื่น ๆ

นั่นเป็นเหตุให้เหล่าชีคที่เขี้ยวลากดินของเอมิเรตส์พร้อมกับเหล่าพันธมิตร มองหาข้ออ้างที่จะตัดกาตาร์ออกไป และถือเป็นการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวที่สุดในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้

แต่ดูเหมือนกาตาร์จะไม่แคร์ เพราะด้วยความมั่งคั่งของพวกเขา ห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดที่รองรับประชากรในประเทศจึงได้รับการออกแบบใหม่ โดยไม่แคร์เพื่อนบ้านชาวอาหรับอีกต่อไปนั่นเอง

การถือกำเนิดขึ้นของ beoutQ

ต้องบอกว่า beoutQ เป็นมากกว่าแค่การละเมิดลิขสิทธิ์แบบธรรมดา ๆ ทั่วไปที่เราได้เห็นกันทั่วโลก ที่มีการลักลอบนำสัญญาณไปใช้อย่างผิดกฏหมาย แต่ส่วนใหญ่ เป็นการกระทำแบบลับ ๆ ไม่ประเจิดประเจ้อเหมือนกับสิ่งที่ beoutQ ทำ

beoutQ เป็นองค์กรละเมิดลิขสิทธิ์ โดยมี 10 ช่องสัญญาณที่เริ่มออกอากาศทางผู้ให้บริการดาวเทียม Arabsat หลังจากข้อพิพาททางการทูตกระตุ้นให้ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ( UAE ) บาห์เรน และ  อียิปต์

ไม่นานหลังจากที่กาตาร์ถูกปิดล้อม ช่อง beIn ซึ่งเป็นช่องกีฬาชื่อดังได้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในประเทศคู่ขัดแย้งกับกาตาร์

การสอบสวนของ Al Jazeera ในปีที่แล้วเปิดเผยว่า  ผู้ให้บริการซาอุดีอาระเบีย 2 ราย คือ Selevision และ Shammas มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินงานที่ดำเนินการโดย beoutQ 

การสอบสวนพบว่า beoutQ ตั้งอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทสื่อแห่งหนึ่งในเขตอัล-กิราวัน กรุงริยาด เมืองหลวงของซาอุดิอาระเบีย แต่ทางซาอุดีอาระเบียได้ปฏิเสธการอ้างว่า beoutQ อยู่ในราชอาณาจักร

beoutQ กับการละเมิดลิขสิทธิ์แบบอื้อฉาวที่สุดครั้งนึงในวงการกีฬาโลก (CR:soupskotom.com)
beoutQ กับการละเมิดลิขสิทธิ์แบบอื้อฉาวที่สุดครั้งนึงในวงการกีฬาโลก (CR:soupskotom.com)

โดยสำนักข่าว Al Jazeera ได้รับเอกสารที่พิสูจน์ว่ามีการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างบริษัทซาอุดิอาระเบียและฝ่ายบริหารของ Arabsat

การสอบสวนยังแสดงให้เห็นว่าการดำเนินการละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ใช่การกระทำของแฮ็กเกอร์ทั่วไป เหมือนในประเทศอื่น ๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบบูรณาการที่มีการปกปิดอย่างเป็นทางการและได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากซาอุดิอาระเบีย

ในการให้สัมภาษณ์กับ Al Jazeera อัยการของกาตาร์กล่าวว่าจำเลยหนึ่งในสามคนที่ถูกกล่าวหาว่าสื่อสารกับซาอุดิอาระเบียและอียิปต์เกี่ยวกับปัญหานี้ได้เดินทางไปยังซาอุดิอาระเบียหลังจากการปิดล้อมดังกล่าว

จำเลยได้พบกับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของซาอุดิอาระเบีย Maher Mutreb และแชร์ข้อมูลลับและละเอียดอ่อนกับหน่วยข่าวกรองอียิปต์

Mutreb เป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของซาอุดิอาระเบียที่ทำงานให้กับที่ปรึกษาอาวุโสของมกุฎราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ของซาอุดิอาระเบีย (ผู้ที่เข้าซื้อสโมสรนิวคาสเซิล แห่งพรีเมียร์ลีก)

ตามรายงานจาก   ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการวิสามัญฆาตกรรม Mutreb มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดในการสังหาร Jamal Khashoggi นักข่าวชาวซาอุดีอาระเบีย   ในสถานกงสุลของประเทศในอิสตันบูลเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2018

บทสรุป

แม้ตอนนี้สถานการณ์จะคลี่คลาย เนื่องจากซาอุดิอาระเบียต้องการเข้ามาลงทุนในสโมสรฟุตบอลชื่อดังอย่าง นิวคาสเซิล ซึ่งมีการล็อบบี้จนสามารถปิดดีลดังกล่าวได้ในท้ายที่สุด

แต่จะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของ beoutQ ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจไม่แคร์สายตาชาวโลก ซึ่งทำให้ประเทศซาอุดิอาระเบียถูกจัดให้อยู่ใน Priority Watch List โดยผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เป็นเวลาถึงสองปี

นั่นเองที่ทำให้ซาอุดิอาระเบียกลายเป็นหนึ่งใน 10 ประเทศที่ล้มเหลวในการปกป้องและบังคับใช้ทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ทั่วโลก

ซึ่งทางการสหรัฐได้มีการบีบบังคับให้ ซาอุดิอาระเบียเพิ่มการบังคับใช้กฏหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับ beoutQ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ในเวทีการค้าโลกนั่นเองครับผม

แล้วคุณล่ะมีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร อย่าลืมมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับผม

References :
https://www.qatar-tribune.com/news-details/id/124128
https://www.broadbandtvnews.com/2021/10/07/saudi-arabia-to-lift-ban-on-bein-sports/
https://theathletic.com/news/saudi-arabia-reverses-bein-sport-ban/
https://www.aljazeera.com/economy/2020/6/16/explainer-the-piracy-case-against-saudis-beoutq-channel

โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ชายผู้เยือกเย็นไร้ความปราณี กับเส้นทางสู่การเถลิงบัลลังก์อำนาจราชวงศ์อัล ซาอุด

เป็นอีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่ผมค่อนข้างที่จะสนใจเส้นทางเรื่องราวชีวิตของตัวเขาเป็นพิเศษ สำหรับ โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ที่มีข่าวใหญ่ทำการเข้าซื้อกิจการสโมสรชื่อดังในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษอย่าง นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ด้วยมูลค่า 300 ล้านปอนด์

ก่อนหน้านี้ได้เขียนเรื่องราวของเขาแบบฉบับเต็ม ๆ (สามารถอ่านได้ตรงลิงค์ท้ายบทความ) ก็ต้องบอกว่าเรื่องราวเส้นทางเดินของชายคนนี้ก่อนเข้ามากุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จในราชวงศ์ของประเทศซาอุดิอาระเบียนั้นน่าสนใจเป็นอย่างมาก

จุดเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย

ในเดือนธันวาคมปี 2014 อับดุลลาห์ บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอุด สมาชิกคนที่หกของราชวงศ์อัล ซาอุด ที่สาม ที่กำลังปกครองซาอุดิอาระเบีย กำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลกลางทะเลทรายนอกกรุง ริยาด เมืองหลวงของประเทศ

ประเทศซาอุดิอาระเบีย มีอายุเพียงแค่ 83 ปี ซึ่งมีอายุน้อยกว่ากษัตริย์อับดุลลาห์ที่มีอายุ 90 ปี ตลอดชีวิตในวัยเด็กของอับดุลลาห์ อาณาจักรแห่งนี้มีประชากรอาศัยอยู่เบาบาง และมีการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเข้ามาแสวงบุญที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลามที่เมกกะ

เมื่ออับดุลลาห์ อายุได้ยี่สิบปีเศษ ๆ การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้นกับซาอุดิอาระเบีย มีการค้นพบมหาสมุทรน้ำมันใต้ทะเลทราย ช่วยให้สามารถเปลี่ยนเมืองที่มีแต่กำแพงโคลนให้กลายเป็นมหานครที่ทันสมัยที่มีตึกระฟ้าและห้างสรรพสินค้าเกิดขึ้นมากมาย

ในเดือนพฤศจิกายนปี 2014 มีความเห็นจากทางการแพทย์ที่อเมริกาว่า กษัตริย์อับดุลลาห์เป็นมะเร็งปอดในระยะที่สี่ ซึ่งหมอได้บอกว่าเขาอาจจะใช้ชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 3 เดือนเท่านั้น

ไม่ถึงแปดสัปดาห์ต่อมา อับดุลลาห์ ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลชั่วคราวกลางทะเลทราย ที่บนพื้นทรายนั้นได้ติดจอมอนิเตอร์ และ สายน้ำเกลือเข้าสู่เส้นเลือดของเขา

ในขณะที่ข้าราชบริพารและลูกชายอีกกว่าสิบคน ซึ่งส่วนมากก็เป็นชายวัยกลางคนที่มีนิสัยใจคอแตกต่างกันไป และพวกเขาเหล่านี้กำลังมองถึงอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังการจากไปของกษัตริย์อับดุลลาห์

คนเหล่านี้รู้ดีว่าการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ซาอุดิอาระเบียถือเป็นการเปลี่ยนผ่านความมั่งคั่งและอำนาจ การเปลี่ยนผ่านแต่ละครั้งในประวัติศาสตร์ของประเทศได้นำไปสู่การสั่นคลอนของเหล่าสายเลือดที่ต้องมาแข่งขันชิงอำนาจกัน

กษัตริย์อับดุลลาห์รวมถึงบุตรชายของเขา รู้ดีว่า ซัลมาน (ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด) เป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดและยังคงมีชีวิตอยู่ เป็นผู้ควบคุมวัง และมีความต้องการอย่างสูงที่จะผลักดันลูกชายของเขาโมฮัมเหม็ด (โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน เจ้าของทีมนิวคาสเซิลคนใหม่) เพื่อสืบทอดบัลลังก์ต่อไปในรุ่นหน้า

แผนผังราชวงศ์อัลซาอุด (CR:AlJAZEERA)
แผนผังราชวงศ์อัลซาอุด (CR:AlJAZEERA)

และแน่นอนว่าโมฮัมเหม็ดจะกลายเป็นหายนะสำหรับตระกูลอับดุลลาห์ มันเป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่โมฮัมเหม็ดเข้ามาปะทะกับพี่น้องและเจ้าหน้าที่ระดับสูง ตัวโมฮัมเหม็ดเองเคยแม้กระทั่งถ่มน้ำลายต่อเจ้าหน้าที่ข่าวกรองที่มีอำนาจสูงสุดคนหนึ่งของซาอุดิอาระเบีย

ซึ่งนั่นเองที่ทำให้บุตรชายของอับดุลลาห์ต้องพึ่งพาชายที่มีชื่อว่า คาลิด อัล ทูไวจรี ที่ตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าราชสำนักของอับดุลลาห์

บทบาทที่สำคัญมาก ๆ ของ ทูไวจรี คือ การควบคุมการเข้าถึงกษัตริย์อับดุลลาห์ แม้แต่เอกอัครราชทูตประจำสหรัฐอเมริกาก็ต้องบินมาจากวอชิงตัน ดี.ซี. ไปยังริยาดเพื่อสนทนาเพียงแค่สองชั่วโมง เนื่องจากอับดุลลาห์ไม่ชอบการคุยโทรศัพท์เป็นอย่างยิ่ง

และไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจระดับโลก หรือ รัฐมนตรีของรัฐบาลจากประเทศที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตามบนโลกใบนี้ ก็จำเป็นต้องติดต่อผ่านทูไวจรี มีคนถึงกับตั้งฉายาให้เขาว่า “King Khalid”

ต้องบอกว่านี่เป็นอำนาจที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนสำหรับบุคคลภายนอกราชวงศ์ และทำให้ทั้งซัลมานและโมฮัมเหม็ดรู้สึกโกรธแค้น ทูไวจรี เป็นอย่างยิ่ง

และตัวโมฮัมเหม็ดเองก็มีประสบการณ์ที่เลวร้ายโดยตรงกับ ทูไวจรี ซึ่งโมฮัมเหม็ดมองว่าทูไวจรีนั้นเป็นคนสองหน้า เพราะด้านหนึ่งนั้นทำเหมือนจะสนับสนุนเขา แต่ลับหลัง ทูไวจรี ทำทุกอย่างเพื่อป้องกันการก้าวขึ้นมามีอำนาจของโมฮัมเหม็ดในทุกวิถีทาง

ทูไวจรี ทำถึงขนาดที่ว่า พยายามขับไล่โมฮัมเหม็ดออกจากรัฐบาล หรือ ไม่ก็ติดสินบนจนเขาพอใจ และไม่กี่ปีก่อนหน้าก็ได้ลงโทษทางวินัยโมฮัมเหม็ดตามคำสั่งของกษัตริย์อับดุลลาห์ที่ดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูง

ต้องบอกว่าซัลมาน (บิดาของโมฮัมเหม็ด) เป็นคนที่แตกต่างจากเหล่าราชวงศ์คนอื่น ๆ ที่มักจ่ายเงินกันอย่างบ้าคลั่ง และสะสมเงินทองไว้มากมาย แต่ ซัลมานเป็นคนที่ไม่สนใจในความมั่งคั่งเหล่านี้ เขาใช้เงินส่วนพระองค์ใช้จ่ายสำหรับภรรยาและลูก ๆ ของเขา

ในฐานะผู้ว่าราชการเมืองริยาดเป็นเวลาถึงสี่สิบแปดปี ซัลมานได้ควบคุมพื้นที่หลายล้านเอเคอร์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเมืองริยาด ได้เปลี่ยนจากหมู่บ้านในช่วงเริ่มต้นของการปกครองของเขากลายเป็นเมืองที่ทันสมัยที่มีประชากรมากกว่า 5 ล้านคน

ซัลมานยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนักบวชวาฮาบิสต์ ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญของราชวงศ์ และมักจะเข้าไปพบกับเหล่านักบวชด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้ช่วยให้ราชวงศ์สามารถรักษาอำนาจไว้นับตั้งแต่การก่อตั้งอาณาจักร

แต่ความสัมพันธ์ของซัลมานกับลูกชายกับภรรยาคนแรกของเขาค่อนข้างห่างเหิน เพราะตอนที่เขาให้กำเนิดอายุคนแรกนั้นเขามีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น และเขาต้องการให้บุตรชายของเขาเรียนรู้ว่าโลกนี้มีอะไรที่มากกว่าความมั่งคั่ง น้ำมัน เขาต้องการให้บุตรชายของเขาได้รับความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในฐานะรัฐบุรุษในภายหลัง

ลูกชายจากภรรยาคนแรกของเขา ฟาห์ด และ อาเหม็ดกลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เลี้ยงม้าแข่งระดับโลก และเป็นหุ่นส่วนที่สำคัญกับ UPS ส่วนอับดุลอาซิซเป็นผู้เชี่ยวชาญน้ำมันที่คอยจัดการเรื่องความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนของรัฐบาลกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายอื่น ๆ

ไฟซาล เป็นนักวิชาการสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านการศึกษาทางการเมืองจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดด้วยวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในอ่าวและอิหร่าน

โมฮัมเหม็ดกับการถูกเลี้ยงดูที่แตกต่าง

ซัลมานได้มาแต่งงานอีกครั้งกับภรรยาสาวฟาดาห์ บินต์ ฟาลาห์ อัล ฮิธเลน ซึ่งเป็นลูกสาวของหัวหน้าเผ่าอัจมาน ซึ่งมีประวัติยาวนานในฐานะนักรบที่ต่อสู้เคียงข้างกับราชวงศ์ในอดีต

และสองปีถัดจากนั้น ฟาดาห์ ก็ให้กำเนิดบุตรชายอย่างโมฮัมเหม็ด ลูกชายคนแรกหัวแก้วหัวแหวนของเธอ และให้กำเนิดเพิ่มอีก 5 คนหลังจากนั้น

ต้องบอกว่าเด็กทั้ง 6 คนที่เป็นลูก ๆ ของฟาดาห์ภรรยาคนที่สองของซัลมาน ได้รับการเลี้ยงดูที่แตกต่างจากกลุ่มพี่ชายของภรรยาคนแรกเป็นอย่างมาก

โมฮัมเหม็ดและน้อง ๆ ของเขา ไม่ได้ดูดซับความหลงใหลในด้านวิชาการและการใช้ชีวิตในต่างประเทศที่ปลูกฝังเหมือนกลุ่มพี่ ๆ ของภรรยาคนแรก ในขณะที่เหล่าพี่ชายกำลังสร้างอาชีพตามความฝัน

โมฮัมเหม็ดเป็นวัยรุ่นที่ดูเหมือนจะไร้จุดมุ่งหมาย เขามีนิสัยชอบฝันกลางวันระหว่างงาน หลายคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนเหม่อลอย ในวันหยุดพักผ่อนเขาและคาลิดน้องชายจะออกไปสำรวจหรือดำน้ำ เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเล่นวีดีโอเกม รวมถึงซีรียส์อย่าง Age of Empires

แต่เมื่อเวลาผ่านไปเจ้าชายวัยรุ่นอย่างโมฮัมเหม็ด ก็เริ่มสำนึกว่าควรจะเริ่มเปลี่ยนความเข้าใจเรื่องของเงินตรา และ อำนาจ เขาได้เริ่มซึมซับหลาย ๆ อย่างจากพระบิดาของเขา เพราะด้วยวัยที่ห่างกันมาก และ อยู่ด้วยกันบ่อย ๆ ทำให้ทั้งสองเริ่มมีความผูกพันกันมากยิ่งขึ้น

ในขณะที่พี่น้องของเขาส่วนใหญ่ได้รับการขัดเกลาจากครูที่พ่อของเขานำเข้ามาหรือออกไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ แต่โมฮัมเหม็ดกำลังเฝ้าดูซัลมานอย่างใกล้ชิดและเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของอำนาจและวิธีการที่จะใช้มัน

และเมื่อกษัตริย์อับดุลลาห์ใกล้สิ้นพระชนม์ โมฮัมเหม็ดก็อายุได้เกือบสามสิบปี และได้กลายเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามสำหรับ บุตรชายและข้าราชบริพารของอับดุลลาห์ เพราะเป็นคนที่คิดต่างมีความกระตือรือร้น ความคิดสร้างสรรค์ ความทะเยอทะยาน และมีความเชือดเฉือนมากกว่าที่ใคร ๆ คาดคิด

โมฮัมเหม็ดรู้ดีว่าประเทศต้องการอะไร เขามองว่าซาอุดิอาระเบียต้องไม่ใช่แค่เพื่ออยู่รอดไปวัน ๆ จากน้ำมันเท่านั้น แต่ต้องทำทุกอย่างเพื่อความเจริญรุ่งเรือง และด้วยการอยู่ใกล้ชิดกับพ่อของเขาตลอดในช่วงวัยยี่สิบ แทนที่จะออกจากซาอุดิอาระเบียเพื่อไปเรียนหนังสือเหมือนพี่ ๆ ของเขา มันทำให้โมฮัมเหม็ดได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความอ่อนแอของคู่แข่งในราชวงศ์

การก้าวขึ้นสู่อำนาจของกษัตริย์ซัลมาน

ภายในปี 2010 ห้าปีหลังการครองราชย์ของกษัตริย์อับดุลลาห์ ซัลมานมีอายุมากกว่าเจ็ดสิบปี และมีพี่ชายที่ประสบความสำเร็จใกล้เคียงกันสองคน คั่นกลางอยู่ระหว่างเขากับบัลลังก์ ซึ่งตลอดเวลาที่อับดุลลาห์ขึ้นครองราชย์ ไม่มีเหตุผลใดที่ทูไวจรี หัวหน้าราชสำนักจะมองว่าซัลมานหรือลูก ๆ ของเขาจะเป็นภัยคุกคาม

แต่การเสียชีวิตของพี่ชายทั้งสองที่คั่นกลางการขึ้นมาสืบทอดบัลลังก์ของซัลมานในปี 2011 และ 2012 มันก็ทำให้อนาคตของบัลลังก์นั้นตกมาอยู่ในมือของซัลมานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นั่นทำให้ ทูไวจรี เริ่มคิดแผนการชั่วร้าย โดยเริ่มมีการเผยแพร่ความคิดที่ว่า ซัลมาน กำลังทุกข์ทรมนจากภาวะสมองเสื่อม เขาได้พยายามแสวงหาเชื้อพระวงศ์ที่มีอิทธิพลคนอื่น ๆ เพื่อดำเนินการปฏิรูปที่ยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายในการส่งต่อมงกุฏไปยังคนรุ่นต่อไป

ซึ่งแผนการของทูไวจรีคือการผลักดันบุตรชายของกษัตริย์อับดุลลาห์ ซึ่งอาจเป็นมิเทบ หรือ ทูร์กี หรือ อาจจะเป็น โมฮัมเหม็ด บิน นาเยฟ หัวหน้าฝ่ายความมั่นคงในประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ CIA และกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา

บิน นาเยฟ ควบคุมกระทรวงมหาดไทยของซาอุดิอาระเบียที่มีอำนาจไม่แพ้ใคร ในขณะที่บุตรชายทั้งสองของอับดุลลาห์ควบคุมกองกำลังพิทักษ์ชาติของซาอุดิอาระเบียที่คอยปกป้องราชวงศ์

สำหรับแผนการของ ทูไวจรี ต้องจัดการทุกอย่างก่อนที่ซัลมานจะเข้ามาแทรกแซงได้ วิธีที่ดีที่สุดคือทำให้กษัตริย์อับดุลลาห์เสียชีวิตในทะเลทรายโดยไม่มีคนในครอบครัวอยู่รอบๆ ตัว นั่นจะทำให้ทูไวจรีมีเวลาอย่างน้อยหลายชั่วโมงในการปฏิบัติการยึดอำนาจ

ทูไวจรี ต้องการทำทุกอย่างเพื่อคงอำนาจไว้ (CR:alchetron.com)
ทูไวจรี ต้องการทำทุกอย่างเพื่อคงอำนาจไว้ (CR:alchetron.com)

ซึ่งลูกชายของอับดุลลาห์ก็สนับสนุนแนวคิดนี้ พวกเขาเชื่อว่า พวกเขาเองก็เหมาะสมที่จะปกครองประเทศต่อไป ซึ่งก่อนที่จะถึงวาระสุดท้ายของกษัตริย์อับดุลลาห์ มิเทบ ลูกชายบอกกับ โจ เวสต์ฟาล ทูตสหรัฐฯ ว่าเขากำลังช่วงชิงมงกุฏ

แต่สิ่งที่ทูไวจรีไม่ทันคิดไปก็คือ การที่ข่าวดังกล่าวได้รั่วไหลไปถึงหูของโมฮัมเหม็ด ซึ่งได้มีกลุ่มทีมงานที่ซื่อสัตย์ ที่คอยรวบรวมข้อมูลภายในราชสำนักมาให้เขาได้ และก็ได้แจ้งเตือนโมฮัมเหม็ดทันทีเกี่ยวกับอาการของกษัตริย์อับดุลลาห์

และตัวทูไวจรีเองก็ถูกกดดันจากครอบครัวในราชวงศ์ให้เคลื่อนย้ายอับดุลลาห์จากที่หลบภัยในทะเลทรายไปยังโรงพยาบาลในริยาด ซึ่งสุดท้ายได้ดำเนินการโดยกองกำลังพิทักษ์ชาติ ซึ่งทูไวจรีก็พยายามเก็บเป็นความลับมากที่สุด

สถานการณ์ในตอนนั้น ทูไวจรี และ ตระกูลอับดุลลาห์ ต่างเริ่มยอมแพ้ที่จะรักษาอำนาจของพวกเขาไว้แล้ว สิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาหวังได้ก็เพียงแค่ ซัลมาน จะไม่เกลียดชังพวกเขา และย้อนมาเล่นงานพวกเขาในภายหลังเพียงเท่านั้น

หลังจากย้ายกษัตริย์อับดุลลาห์มายังเมืองริยาด ราชสำนักได้กางเต๊นท์นอกโรงพยาบาล เพื่อให้ เพื่อน ๆ และญาติ ๆ มาเยี่ยมกษัตริย์ที่กำลังใกล้จะสิ้นพระชนม์ ชาวซาอุฯ หลายพันคนรวมตัวกันรอบ ๆ โรงพยาบาลและทำการอธิษฐานตลอดคืน

หลายวันที่อับดุลลาห์นอนอยู่ในโรงพยาบาล โมฮัมเหม็ดพยายามโทรไปหา ทูไวจรี เพื่อสอบถามสถานการณ์แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นเป็นเพียงคำโกหกหลอกลวงว่ากษัตริย์อับดุลลาห์ยังคงมีชีวิตอยู่

เพราะข่าวที่เขาได้รับมาจากลูกสาวคนหนึ่งของอับดุลลาห์ ที่มาพบบิดาของเธอ กลับไม่มีร่องรอยของลมหายใจหลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว กษัตริย์อับดุลลาห์ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว แต่ทูไวจรี กำลังพยายามทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อยืดเวลาออกไปให้นานที่สุดก่อนที่จะมีการสถาปนากษัตริย์องค์ใหม่

และไม่นานหลังจากนั้นโมฮัมเหม็ดก็ได้รับโทรศัพท์อย่างเป็นทางการว่ากษัตริย์อับดุลลาห์เสียชีวิตแล้ว เขารีบพาพ่อของเขาขึ้นขบวนรถและมุ่งตรงไปที่โรงพยาบาลทันที

พวกเขาพบทูไวจรีรออยู่ที่โถทางเดิน ซัลมานเหลือทนกับคนอย่างทูไวจรี เขาตบหน้าทูไวจรีอย่างรุนแรงและดังไปทั่วทางเดินของโรงพยาบาล ถึงจุดนี้ มันได้ถึงจุดเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของราชวงส์แล้ว ทูไวจรี รู้ตัวดีแล้วว่า อำนาจอันล้นฟ้าของเขากำลังจะสูญสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับศึกการแย่งชิงบัลลังก์ในครั้งนี้

สามารถติดเรื่องราวฉบับเต็ม ๆ ผ่าน Blog Series ชุด -> Blood Oil – The Rise to Power of Mohammed Bin Salman

BarcaGate คืออะไร? กับเรื่องอื้อฉาวที่ทำลายภาพลักษณ์ของสโมสร Barcelona ไปตลอดกาล

ต้องเรียกได้ว่าเป็นวิกฤติที่ถาโถมเข้าสู่สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่อย่าง Barcelona แบบเต็ม ๆ กับคดีที่เกิดขึ้นของ BarcaGate ที่กลายเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของสโมสรที่มีความยิ่งใหญ่แห่งนี้ไปตลอดกาลเลยก็ว่าได้

การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ทำให้วงการฟุตบอลเกิดวิกฤติ โดยเฉพาะรายได้ที่หายไปจำนวนมหาศาลจากแฟนบอลที่จะเข้ามาดูในสนาม ซึ่งถือเป็นรายได้หลักหล่อเลี้ยงสโมสรที่สำคัญของทุก ๆ แห่ง โดยเฉพาะ สโมสร Barcelona

มันได้ส่งผลกระทบให้เกิดการตัดค่าจ้างทั้งผู้เล่น และทีมงานของสโมสร เพื่อให้สโมสรสามารถเดินหน้าฝ่าวิกฤติไปให้ได้

BarcaGate เป็นการตั้งชื่อพาดพิงตามกระแสที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องอื้อฉาวในสหรัฐอเมริกาอย่าง คดี WaterGate

โดยมันเป็นเรื่องที่ไปพัวพันอย่างชัดเจนกับ Josep Maria Bartomeu โดยรวมถึง Oscar Grau ที่เป็น CEO ของ Barcelona และ Roman Gomez Ponti หัวหน้าฝ่ายกฏหมายของสโมสร รวมถึง Jaume Masferrer ซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของ Bartomeu

โดยทั้งหมดได้ถูกควบคุมตัวโดย Mossos de Esquadra (กองกำลังตำรวจของคาตาลัน)

BarcaGate คืออะไร?

ต้องบอกว่าการสอบสวนของ BarcaGate เริ่มต้นขึ้นหลังจากการร้องเรียนโดยกลุ่มสมาชิกที่ชื่อ Dignitat Blaugrana

พวกเขาได้ร้องเรียนหลังจากเรื่องราวของ I3 Ventures ถูกเปิดเผย ซึ่งกล่าวหาว่าสโมสร Barcelona จ่ายเงินให้กับบริษัทดังกล่าวในการดำเนินกลยุทธ์ในโลกโซเชียลมีเดีย

โดยเป็นการดำเนินการในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของ Bartomeu และ ที่แย่ที่สุดก็คือ การสร้างความเสียหายให้กับผู้เล่นและอดีตกรรมการบริหารของสโมสร Barcelo้na บางคน

โดย I3 Ventures นั้นได้รับการว่าจ้างจาก Barcelona ในการจัดการบัญชีโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Twitter และ Facebook ที่จะมีการโพสต์เรื่องราวเชิงลบเกี่ยวกับ Messi , ภรรยาของเขา Antonela , Pique , Guardiola , Xavi , Carles Puyol และอดีตประธานสโมสรอย่าง Joan Laporta

ตัวอย่างเรื่องราวของ Messi ก็เช่น การที่เขามีความล่าช้าในการเซ็นสัญญาฉบับใหม่ ซึ่ง มีการโจมตีในเรื่องดังกล่าว และการเป็นปัญหาที่สร้างความแตกแยกภายในสโมสรเมื่อฤดูกาลที่แล้ว

มีการอ้างว่า Barcelona ใช้บริการของ I3 Ventures มาตั้งแต่ปี 2017 โดยมีการเรียกเก็บรวมเกือบ 1 ล้านยูโร

I3 Ventures นั้นมีเจ้าของคือ Carlos Ibanez และมีการใช้บัญชี Facebook อย่างน้อย 6 บัญชีในการดูหมิ่นบุคคลในสโมสร Barcelona ที่ไม่เห็นด้วยกับ Bartomeu

I3 Ventures นั้นมีเจ้าของคือ Carlos Ibanez (CR:Today in 24 English)
I3 Ventures นั้นมีเจ้าของคือ Carlos Ibanez (CR:Today in 24 English)

โดยการชำระเงิน ถูกทำผ่านใบแจ้งหนี้ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ส่งผ่านแผนกต่าง ๆ ในสโมสร และมีมูลค่าครั้งละไม่เกิน 200,000 ยูโร ซึ่งหมายความว่ามันไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการนั่นเอง

ต่อมาได้มีการเปิดเผยบริษัทต่าง ๆ ที่ได้รับเงินดังกล่าว ซึ่งได้แก่ NSG Social Science Ventures SL , Tantra Soft SA, Digital Side SA , Big Data Solutions SA และ Futuric SA ซึ่งล้วนเชื่อมโยงกับตัวของ Carlos Ibanez แทบจะทั้งสิ้น

ซึ่งหลังจากเรื่องอื้อฉาวดังกล่าว Barcelona และ I3 Ventures ปฏิเสธข้อหาดังกล่าว และ มีการตรวจสอบโดย PricewaterhouseCoopers (PwC) พบว่า ไม่มีการเปิดตัวแคมเปญหมิ่นประมาทต่อบุคคลใด ๆ

รายการวิทยุของสเปนที่ชื่อว่า Que t’hi jugues รายงานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 ว่า ได้รับว่าจ้างให้ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของ Bartomeu ในขณะที่เขากำลังถูกไล่จากแฟนๆ ฟุตบอล Barcelona

รายงานจากหน่วยสืบสวนอาชญากรรมของกองกำลังตำรวจคาตาลันถูกส่งไปยังผู้พิพากษา Alejandra Gil Lima และเชื่อว่าได้มองเห็นถึงสัญญาณของการทุจริตโดยพิจารณาว่าสโมสรอาจจ่ายราคาค่าโปรโมตดังกล่าว “สูงกว่าอัตราตลาดถึงหกเท่า”

ก่อนหน้านี้ Pique ได้พูดถึงประสบการณ์ของเขาที่ถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงผ่านโซเชียลมีเดีย โดย I3 Ventures ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีดังกล่าว

“ผมไม่อยากมีเรื่องแย่ๆ กับใคร แต่มีหลายครั้ง เช่น ปัญหาของโซเชียลเน็ตเวิร์ก ในฐานะผู้เล่นของ Barca ผมเห็นว่าสโมสรของผมใช้เงิน เงินที่ไปวิพากษ์วิจารณ์ไม่เพียงแต่คนที่มีความสัมพันธ์ในอดีตกับสโมสรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้เล่นในยุคปัจจุบันอีกด้วย และนั่นเป็นเรื่องป่าเถื่อน” Pique กล่าวกับ La Vanguardia ในเดือนตุลาคม

Pique ที่ออกมาวิจารณ์เรื่องดังกล่าวอย่างรุนแรง (CR: AS English)
Pique ที่ออกมาวิจารณ์เรื่องดังกล่าวอย่างรุนแรง (CR: AS English)

“ผมถาม [Bartomeu] เพื่อขอคำอธิบายและสิ่งที่เขาบอกผมคือ: ‘Pique ผมไม่รู้’ และผมก็เชื่อ ต่อมาเราพบว่าผู้รับผิดชอบการว่าจ้างบริการเหล่านั้นยังคงทำงานอยู่ที่สโมสร”

การตอบสนองอย่างเป็นทางการของ Barcelona

Barcelona ออกแถลงการณ์บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของพวกเขาซึ่งกล่าวว่า: “เรื่องที่เกี่ยวกับการเข้าตรวจค้นโดยกองกำลังตำรวจคาตาลันตามคำสั่งของศาล สโมสร Barcelona ได้เสนอความร่วมมืออย่างเต็มที่กับหน่วยงานด้านกฎหมายและตำรวจเพื่อช่วยให้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนซึ่งอยู่ภายใต้การสอบสวนปรากฏออกมา”

“สโมสร Barcelona แสดงความเคารพอย่างสูงสุดต่อกระบวนการยุติธรรมในสถานที่และต่อหลักการสันนิษฐานว่าเจ้าหน้าที่สโมสรคนใดที่ได้รับผลกระทบจากการพิจารณาคดีนี้”

ปฏิบัติการ IO สู่โลกของฟุตบอล

ต้องบอกว่าในตอนนี้ การต่อสู้กันบนเครือข่ายโซเชียลมีเดียวนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งในสงครามที่สำคัญมาก ๆ ในหลากเลยวงการเลยทีเดียว

แน่นอนว่าแนวทางการสู้รบบนโลกออนไลน์อย่างที่เราได้เห็นในข่าวนี้ มันมีมาซักระยะหนึ่งแล้ว แม้กระทั่งอเมริกาเองก็ยังมีหน่วยงานในการปฏิบัติการด้าน IO ดำเนินการสนับสนุนโดยตรงและโดยอ้อมสำหรับกองทัพสหรัฐกันเลยทีเดียว หรือแม้กระทั่งข่าวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยก็ตามที

ในวงการฟุตบอลก็เช่นกัน การต่อสู้กัน บนเครือข่ายโซเชียลมีเดียเหล่านี้ ก็ส่งผลโดยตรงต่อฐานอำนาจ ตัวอย่างในเคสนี้ก็คือ Josep Maria Bartomeu ที่ใช้กลยุทธ์นี้ในการต่อสู้เพื่อรักษาฐานอำนาจของเขาไว้

แต่ดูเหมือนจะใช้ผิดทางไปหน่อย และที่สำคัญเป็นการยักยอกทรัพย์ของสโมสร เพื่อไปจัดการปัญหาส่วนตัว ที่กำลังถูกรุมต่อต้านจากเหล่าแฟนบอลโดยเฉพาะในเครือข่ายโซเชียลมีเดีย

ซึ่งถือเป็น case study ที่น่าสนใจนะครับ ที่ปฏิบัติการเหล่านี้ หากนำมาใช้ผิดที่ผิดทาง และ โดยการฉ้อฉลนั้น ก็อาจจะมีจุดจบแบบที่ Josep Maria Bartomeu พบเจอก็เป็นได้นั่นเองครับผม

References : https://www.republicworld.com/sports-news/football-news/what-is-barcagate-social-media-scandal-why-was-bartomeu-arrested.html
https://www.insider.com/fc-barcelona-barcagate-scandal-ex-president-arrested-stadium-raided-2021-3
https://www.goal.com/en/news/what-is-barcagate-barcelona-scandal-explained/fhhqmglmzbd1v0u7c1ywm57f
https://www.marca.com/en/football/barcelona/2021/03/01/603cdba422601da3538b45e5.html
https://laodong.vn/the-thao/toan-canh-vu-barcagate-khien-bartomeu-va-bo-sau-vuong-vong-lao-ly-884783.ldo