Geek Story EP510 : เปิดโปงปฏิบัติการ Shotgiant เมื่อยักษ์ใหญ่จีนโดน NSA ล้วงตับ

เราคงเคยได้ยินข่าวที่รัฐบาลหลายประเทศรายงานว่าโดนจีนสอดแนมผ่านอุปกรณ์ของ Huawei

เรื่องของเรื่องคือ… Huawei เอง ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของจีนในตอนนั้น… ก็ถูกแฮ็กเหมือนกัน

บริษัทถูกเจาะโดยผู้โจมตีที่มีเป้าหมายชัดเจน คือต้องการเข้าถึงคอมพิวเตอร์แบบนี้ และเครื่องอื่นๆ อีกหลายพันเครื่อง

เหตุการณ์นี้ ต่อมาถูกเรียกว่า Operation Shotgiant

และมันคือหนึ่งในปฏิบัติการจารกรรมข้อมูล ที่ทะเยอทะยานที่สุดของ National Security Agency หรือ NSA ของสหรัฐอเมริกา

หนึ่งในปฏิบัติการแฮ็กที่ซับซ้อนที่สุดในยุคของเรา และเป็นปฏิบัติการที่เปลี่ยนโลกไปสู่จุดที่… ไม่มีวันหวนกลับไปเป็นเหมือนเดิม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3bvw9f5m

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/fvrtkt6w

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/m8ujkv8h

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/F0FHHJUXTpE

Geek Story EP509 : เทคโนโลยีจีน ครองโลกไปถึงไหนแล้ว? (แบบเงียบๆ)

ต้องบอกว่าประเทศจีนเอง ค่อยๆ ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา

การเติบโตนี้ ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Tencent และ Huawei กลายเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก

ผู้คนนับล้านใช้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาในทุกวัน ตั้งแต่เกมออนไลน์ การช้อปปิ้งออนไลน์ ไปจนถึงโทรศัพท์มือถือ และในอนาคตอันใกล้ ก็จะเพิ่มเป็นอีกหลายพันล้านคน

แต่การเติบโตเหล่านี้ มันเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ

ผู้คนรู้ว่าพวกเขาพึ่งพาสินค้าที่ผลิตในจีน แต่ยังไม่ค่อยทราบว่าแพลตฟอร์มที่ใช้อยู่นั้นเป็นของประเทศจีน

ยกตัวอย่างเช่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในแพลตฟอร์ม e-commerce ที่ใหญ่ที่สุดก็คือ Lazada ซึ่ง Alibaba เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

ในยุโรป แบรนด์รถยนต์ชื่อดังอย่าง Volvo ก็เป็นของบริษัทจีนอย่าง Geely

และที่เห็นได้ชัดก็คือ ByteDance บริษัทเจ้าของ TikTok ที่กลายมาเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก

เรื่องราวของเส้นทางการขึ้นมาครองโลกเทคโนโลยีของประเทศจีนมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3uvtmtvf

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yfeuprku

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3dm62jvs

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/sdWJGLycoxM

คุณกำลังถูกมัดมือชก! เจาะลึกปัญหา “ผูกขาดขนส่ง” ทำไมเราถึง “เลือกขนส่ง” เองไม่ได้?

ถ้าเราย้อนเวลากลับไปราว ๆ ซักสิบปีก่อน การซื้อของออนไลน์ในไทยยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ หลายคนยังกลัวการจ่ายเงินก่อน ยังไม่มั่นใจว่าจะได้รับสินค้าจริงหรือไม่

แต่ในวันนี้ ภาพเหล่านั้นได้หายไปหมดแล้ว เศรษฐกิจดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน คนไทยคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce ยักษ์ใหญ่ จนกลายเป็น New Normal

ความสะดวกสบายคือสิ่งที่แพลตฟอร์มเหล่านี้มอบให้ แค่กดไม่กี่ครั้ง ของก็มาส่งถึงหน้าบ้าน แตท่ามกลางความสะดวกสบายนี้ มีบางอย่างที่ค่อยๆ หายไป นั่นคือ “สิทธิ์ในการเลือก”

เคยสังเกตกันมั๊ยครับว่า เวลาที่เรากดสั่งซื้อสินค้า เราแทบไม่มีสิทธิ์เลือกเลยว่าจะใช้บริการขนส่งของบริษัทไหน แพลตฟอร์มจะเป็นคนจัดการเลือกให้เราเสร็จสรรพ

ทั้งที่ในความเป็นจริง ผู้ให้บริการขนส่งในไทยมีมากมายหลายเจ้า แต่ละเจ้าก็มีจุดแข็งจุดอ่อนต่างกัน บางเจ้าส่งเร็วในกรุงเทพ บางเจ้าเชี่ยวชาญพื้นที่ต่างจังหวัด บางเจ้าบริการดี บางเจ้าค่าส่งถูก

ในอดีตยุคแรกเริ่มของ E-commerce ร้านค้ามักจะมีตัวเลือกให้เราเสมอ อยากส่งด่วนเลือก EMS, อยากประหยัดเลือกส่งลงทะเบียน หรือเลือกใช้บริการขนส่งเอกชนเจ้าที่เราไว้ใจ

แต่ทำไมวันนี้ อำนาจในการตัดสินใจนั้น ถึงไม่อยู่ในมือเราอีกต่อไป

คำตอบของเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่เราคิด มันเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ของแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ ที่ไม่ได้ต้องการเป็นแค่ “ตลาดนัดออนไลน์” หรือ E-Marketplace แต่พวกเขาต้องการสร้าง “Ecosystem” ที่สมบูรณ์แบบของตัวเอง

Ecosystem นี้ หมายถึงการควบคุมทุกอย่างตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ตั้งแต่ชั้นวางสินค้าดิจิทัล ระบบการชำระเงิน บริการสินเชื่ออย่าง Pay Later และที่สำคัญที่สุด คือ ธุรกิจขนส่ง

เมื่อแพลตฟอร์มสามารถคุมบริการได้ทั้งหมด มันก็ง่ายต่อการบริหารจัดการ และสร้างรายได้จากหลายทาง

แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็คือการ “รวมศูนย์อำนาจ” ไว้ที่คนเดียว และอำนาจนี้เอง ที่กำลังสร้างคำถามตัวใหญ่ขึ้นมาว่า นี่คือการแข่งขันที่เป็นธรรม หรือเป็นการ “ผูกขาด” รูปแบบใหม่

เมื่อแพลตฟอร์มมีอำนาจเบ็ดเสร็จ พวกเขาจึงสามารถกำหนดกติกาหลายอย่างได้ตามต้องการ เช่น การขึ้นค่าธรรมเนียมการขาย หรือค่า GP ที่บางครั้งก็ปรับขึ้นปีละ 2-3 ครั้ง ผลักภาระต้นทุนไปให้ผู้ประกอบการรายย่อย

และประเด็นที่ใหญ่ที่สุด คือการบังคับให้ทุกคนต้องใช้บริการขนส่งที่แพลตฟอร์มเลือก ซึ่งส่วนใหญ่ ก็มักจะเป็นบริษัทขนส่งในเครือ หรือบริษัทที่มีผลประโยชน์เชื่อมโยงกัน

สถานการณ์นี้ กำลังสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ในวงกว้าง และคนที่ได้รับผลกระทบกลุ่มแรก ก็คือผู้ประกอบการ หรือ SME ไทย ที่ฝากชีวิตไว้กับแพลตฟอร์มเหล่านี้

ลองมาฟังเสียงของผู้ประกอบการตัวจริง คุณคุณัชญ์ เฉลยกุล ตัวแทนผู้ค้าออนไลน์ เล่าว่าเขาเคยส่งเรื่องร้องเรียนไปยังแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ถึง 18 ครั้ง เกี่ยวกับปัญหาคุณภาพการขนส่ง

ปัญหาที่เจอก็มีสารพัด ตั้งแต่ขนส่งมารับของช้า, ส่งของถึงลูกค้าล่าช้า พนักงานบริการไม่สุภาพ หรือแม้กระทั่งไม่โทรหาลูกค้า

ทุกครั้งที่ร้องเรียน คำตอบที่ได้กลับมาก็คือ “ไม่สามารถเปลี่ยนผู้ให้บริการขนส่งได้” พร้อมกับคำยืนยันว่าบริษัทขนส่งเจ้านั้นได้พัฒนาบริการแล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริง ปัญหาก็ยังเกิดขึ้นซ้ำๆ

ผู้ขายเหล่านี้ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พวกเขาจำเป็นต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มเพื่อเข้าถึงลูกค้าจำนวนมหาศาล แต่กลับไม่สามารถควบคุมคุณภาพการบริการที่สำคัญที่สุด อย่างการส่งมอบสินค้าให้ถึงมือลูกค้าได้

สุดท้าย นอกจากจะต้องแบกรับต้นทุนที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ พวกเขายังต้องรับมือกับคำตำหนิจากลูกค้า ที่ได้รับประสบการณ์แย่ๆ จากการขนส่งอีกด้วย

แน่นอนว่า ผลกระทบไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ผู้ขาย แต่มันส่งตรงมาถึงผู้บริโภคอย่างเราๆ ทุกคน

ต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้น หรือบริการที่ไม่ได้คุณภาพ สุดท้ายมันก็ถูกแฝงเข้ามาอยู่ในราคาสินค้าที่เราต้องจ่าย กลายเป็นว่า เราอาจต้องจ่ายแพงขึ้น เพื่อบริการที่เราไม่ได้เลือก และอาจจะไม่ได้พอใจด้วยซ้ำ

นี่คือสถานการณ์ที่หลายคนเรียกว่า “การมัดมือชก” เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมรับสิ่งที่แพลตฟอร์มกำหนดมา

แต่เหยื่อของเกมนี้ ไม่ได้มีแค่ผู้ค้าและผู้ซื้อ ยังมีอีกกลุ่มที่เจ็บปวดอย่างหนัก นั่นคือ ธุรกิจขนส่งสัญชาติไทยรายอื่นๆ

บริษัทขนส่งที่ไม่ได้อยู่ในเครือข่ายของแพลตฟอร์ม กำลังถูกบีบให้หายไปจากตลาดทีละน้อย เพราะไม่สามารถเข้าถึง “ออเดอร์” จำนวนมหาศาลได้

ภาพที่น่าสนใจถูกฉายออกมาโดย นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร

เขาชี้ให้เห็นข้อมูลที่น่าตกใจของ ไปรษณีย์ไทย ในยุคที่ E-commerce เติบโตแบบก้าวกระโดด ธุรกิจขนส่งควรจะต้องเติบโตตามไปด้วย

แต่รายได้ของไปรษณีย์ไทย กลับสวนทาง ลดลงจาก 3 หมื่นล้านบาท เหลือ 2 หมื่นล้านบาท และขาดทุนถึง 100 กว่าล้านบาทในปีที่แล้ว

มันเกิดอะไรขึ้น คำตอบก็ง่ายๆ คือ เพราะไปรษณีย์ไทย ไม่ใช่ตัวเลือกที่แพลตฟอร์มเลือกใช้ นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนว่า ตลาดขนส่งกำลังถูกบิดเบือน การแข่งขันไม่ได้วัดกันที่คุณภาพหรือราคา แต่วัดกันที่ว่า คุณ “เป็นพวกใคร”

เมื่อเสียงร้องเรียนจากทั้งผู้ค้า ผู้บริโภค และผู้ประกอบการขนส่งดังขึ้น จนกลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ในที่สุด ภาครัฐก็ต้องกระโดดเข้ามาตรวจสอบ

คณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ ได้กลายเป็นหัวหอกในการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาหารือ ไม่ว่าจะเป็น ETDA หรือ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า หรือ กขค. และกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์

โจทย์ที่อยู่ตรงหน้ามี 3 ข้อหลัก หนึ่ง คือต้องยุติการผูกขาดขนส่ง ร้านค้าและลูกค้าต้องมีสิทธิ์เลือกผู้ขนส่งได้อย่างเสรี

สอง คือต้องกำกับดูแลราคา ไม่ให้ค่าขนส่งแพงเกินจริงจนกระทบผู้บริโภค

สาม คือต้องเร่งผลักดันกฎหมายและบทลงโทษที่ชัดเจน เพื่อกำกับดูแลแพลตฟอร์มไม่ให้ใช้อำนาจเหนือตลาดเอาเปรียบคนอื่น

ฟังดูเหมือนเป็นทางออกที่ชัดเจน แต่การต่อสู้กับยักษ์ใหญ่ระดับโลกนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย

ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA อธิบายว่า การจะออกกฎหมายใหม่ภายใต้ พ.ร.ฎ. การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล หรือกฎหมาย DPS เพื่อบังคับให้แพลตฟอร์มต้องมีตัวเลือกขนส่ง 3-5 ราย เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเชิงนโยบายให้รอบด้าน

เพราะมันไม่ได้เกี่ยวข้องแค่หน่วยงานเดียว แต่เชื่อมโยงทั้งกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง เรียกได้ว่าเป็นวาระแห่งชาติ

นอกจากเรื่องขนส่ง ETDA ยังอยู่ระหว่างศึกษาการกำกับดูแล “ค่า GP” ที่ได้รับมอบหมายมาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ซึ่งก็ต้องหารือกับ กขค. อีกว่า ใครมีอำนาจทางกฎหมายในการกำหนดเพดานค่า GP กันแน่

นี่สะท้อนให้เห็นว่า เทคโนโลยีกำลังวิ่งเร็วจนกฎหมายตามไม่ทัน

ในขณะที่ ETDA กำลังศึกษาความซับซ้อนเชิงนโยบาย ทางฝั่งของ กขค. ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันโดยตรง ก็กำลังเร่งเครื่องอย่างเต็มที่

ผศ.ดร.วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการ กขค. ได้เปิดเผยความคืบหน้าของร่างประกาศฉบับใหม่ ที่พุ่งเป้าไปที่การปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และการผูกขาดของแพลตฟอร์มหลายด้าน หรือ Multi-sided Platform

กขค. ยืนยันว่ากำลังเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการไทย แต่ยังรวมถึงตัวแทนจากต่างประเทศ อย่าง American Bar Association เพื่อให้ร่างประกาศนี้มีมาตรฐานสากล

เป้าหมายของ กขค. ชัดเจน กฎหมายนี้ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อเล่นงานใครคนใดคนหนึ่ง แต่เพื่อสร้าง E-commerce ที่เป็นธรรมสำหรับทุกคน

และ กขค. ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาที่น่าสนใจว่า จะเร่งผลักดันให้ร่างประกาศนี้ มีผลบังคับใช้ภายในปี 2025 อย่างแน่นอน

มาถึงตรงนี้ เราจะเห็นภาพการต่อสู้ที่ชัดเจนขึ้น ระหว่างผู้ประกอบการรายย่อยและผู้บริโภคที่ต้องการความเป็นธรรม กับแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ที่ต้องการรักษาโมเดลธุรกิจของตน โดยมีภาครัฐเป็นกรรมการที่กำลังพยายามเขียนกติกาใหม่

หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ก็คือ “ร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า” ที่กำลังถูกปรับปรุงให้ทันโลกยุคดิจิทัล

กฎหมายฉบับนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของการควบคุม แต่มันคือการ “เปิดประตู” สู่การค้าเสรีอย่างแท้จริง ทั้งในโลกออนไลน์ และในธุรกิจขนส่ง

ถ้าการผลักดันนี้สำเร็จ ภาพที่คนไทยจะได้เห็นคืออะไร

ผู้ขาย จะมีอิสระในการเลือกใช้บริการขนส่ง ที่ตอบโจทย์สินค้าและลูกค้าของตัวเองมากที่สุด อยากส่งของสด ก็เลือกเจ้าที่ส่งเร็ว อยากทำโปรโมชัน ก็เลือกเจ้าที่ค่าส่งถูก

ผู้ซื้ออย่างเราๆ ก็จะมีอำนาจในการเลือกกลับมา เราสามารถเลือกบริษัทขนส่งที่เราไว้ใจ หรือเลือกจ่ายถูกลง ถ้าเราไม่ได้รีบใช้ของ

และที่สำคัญ ธุรกิจขนส่งสัญชาติไทย จะมีโอกาสกลับมาแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม ในสนามที่วัดกันด้วยคุณภาพบริการและราคาจริงๆ ไม่ใช่การถูกกีดกันจากแพลตฟอร์ม

แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงย่อมมีผู้ได้รับผลกระทบ แต่ในภาพรวม นี่คือการสร้างสมดุลใหม่ เพื่อให้อุตสาหกรรมทั้งหมดเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน

เรื่องราวทั้งหมดนี้ยังไม่จบ เรายังคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า การต่อสู้เพื่อทวงคืน “สิทธิ์ในการเลือก” ครั้งนี้ จะจบลงอย่างไร

เพราะผลลัพธ์ของมัน ไม่ได้หมายถึงแค่ค่าขนส่งที่จะถูกลง แต่มันคืออนาคตของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยทั้งระบบ

ว่าสุดท้ายแล้ว ตลาดนี้จะเป็นตลาดที่ “เสรี” สำหรับทุกคน หรือเป็นเพียง “อาณาจักร” ของผู้ชนะไม่กี่รายเท่านั้น

References : [thansettakij, prachachat, dailynews, mgronline, otcc]

Geek Story EP508 : ชิปที่สำคัญกว่า CPU รู้จัก “เซ็นเซอร์รับภาพ” ที่ Sony คือราชาตัวจริง

เคยสงสัยกันไหมครับว่าในทุกๆ 1 นาทีที่ผ่านไปบนโลกใบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ก็ต้องบอกว่าใน 1 นาทีมันมีคนอัปโหลดรูปภาพขึ้น Facebook มากกว่า 240,000 รูป มีคนดูวีดีโอบน YouTube กับ Netflix รวมกันนานถึง 700,000 ชั่วโมง ซึ่งทั้งหมดนี้เนี่ย มันเกิดขึ้นภายในเวลาแค่ 60 วินาทีเท่านั้น

เราอยู่ในยุคที่การบันทึกทุกอย่างมันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ตั้งแต่เรื่องราวความสำเร็จ เรื่องเศร้า ไปจนถึงมื้ออาหารต่างๆ ที่เรารับประทานกัน แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่ทราบก็คือ เบื้องหลังภาพถ่ายและวีดีโอที่เราเห็นกันอยู่ทุกวัน ผ่านหน้าจอฟีดในโซเชียลมีเดียต่างๆ มันมีสงครามทางธุรกิจซ่อนอยู่ มันสู้กันด้วยชิปซิลิคอนขนาดเล็กจิ๋วบนแผ่นเวเฟอร์ที่ทำมาจากทราย เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในการสร้าง Image Sensor ที่ทำให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ของเรามันมองเห็นโลกได้

แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ สงครามนี้เนี่ย มันมีผู้ชนะแบบเบ็ดเสร็จไปแล้ว ไม่ใช่ Startup หน้าใหม่ไฟแรงจาก Silicon Valley ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่รัฐบาลหนุนหลัง แต่กลับเป็นบริษัทที่เมื่อเราพูดถึงชื่อแล้วเนี่ย หลายคนอาจจะนึกถึงเครื่องเล่นเกม หรือเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา บริษัทนั้นก็คือ Sony

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yx97483b

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mrxzjrty

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2m6tyff3

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/7ybIzTBReG4

Microsoft ฆ่า Netscape อย่างไร? เบราว์เซอร์แรกที่ทำให้เรารู้จักเน็ต กับเบื้องหลังคดีผูกขาดสะเทือนโลก

เมื่อเรานึกถึงเว็บเบราว์เซอร์ในปัจจุบัน เราคงคิดถึง Google Chrome, Safari หรือ Microsoft Edge

เบราว์เซอร์เหล่านี้คือผู้ครองตลาดส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ Chrome ที่แทบจะผูกขาดบนคอมพิวเตอร์

แต่หากเราย้อนเวลากลับไปในยุคบุกเบิกของ World Wide Web ช่วงกลางทศวรรษที่ 90 มีชื่อหนึ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือใครในตอนนั้น เรียกได้ว่ากินขาดแทบจะเบ็ดเสร็จ

ชื่อนั้นคือ “Netscape Navigator”

Netscape ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ แต่สำหรับหลายคน มันคือ “อินเทอร์เน็ต”

ถ้าท่านผู้อ่านเคยเข้าอินเทอร์เน็ตในยุคนั้น เป็นไปได้สูงมากว่าโปรแกรมนี้คือประตูบานแรกที่คุณใช้เปิดสู่โลกอินเทอร์เน็ต

ในยุครุ่งเรือง Netscape เป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีสำนักงานใน 14 ประเทศทั่วโลก พวกเขามีรายได้รายไตรมาสสูงถึง 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ดูเหมือนว่าในตลาดเว็บเบราว์เซอร์ ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งพลังขับเคลื่อนของ Netscape ได้เลย

แต่เวลาผ่านไปไม่นาน หลังเริ่มต้นสหัสวรรษใหม่ ส่วนแบ่งการตลาดของ Netscape ก็ดิ่งลงเหว

การผงาดขึ้นมาของ Internet Explorer จาก Microsoft ทำให้ Netscape สูญเสียอิทธิพลที่เคยมีไปจนหมด

ภายในปี 2003 บริษัทแม่ต้องเลิกจ้างพนักงานส่วนใหญ่ และยุบเลิกบริษัทอย่างที่เราเคยรู้จัก

คำถามที่น่าสนใจก็คือมันเกิดอะไรขึ้นกับราชาแห่งโลกอินเทอร์เน็ต? ทำไมบริษัทที่ดูเหมือนจะไร้เทียมทาน ถึงล่มสลายลงอย่างรวดเร็ว?

วันนี้ เราจะย้อนเวลากลับไปในยุค 90 เพื่อค้นหาคำตอบของเรื่องราวการรุ่งโรจน์และล่มสลายของ Netscape

เรื่องราวของเราเริ่มต้นในปี 1993 กับการเปิดตัวเบราว์เซอร์ที่ชื่อว่า Mosaic ที่ถูกพัฒนาโดย National Center for Supercomputing Applications ที่ University of Illinois

ต้องบอกก่อนว่า Mosaic ไม่ใช่เบราว์เซอร์ตัวแรกสุดของโลก แต่เป็นเบราว์เซอร์ชื่อ WorldWideWeb ที่พัฒนาโดย Tim Berners-Lee

เขาคือคนเดียวกันกับที่สร้าง World Wide Web ขึ้นมา

Mosaic เปิดตัวหลังจากนั้นไม่กี่ปี และมันมาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่มากมายที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน

เบราว์เซอร์ WorldWideWeb ทำได้แค่ท่องเว็บจริงๆ และหน้าตาก็ซับซ้อน ไม่ได้ออกแบบมาให้คนทั่วไปใช้

แต่ Mosaic แตกต่างออกไป มันมาพร้อมกับ Graphical User Interface หรือ GUI ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ มีไอคอน มีกราฟิก และนำเสนอแนวคิดอย่าง “บุ๊กมาร์ก”

มันถูกปล่อยให้ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ และด้วยความที่มีเวอร์ชันสำหรับ Windows และ Mac OS ทำให้มันดังเป็นพลุแตก ยอดดาวน์โหลดทะลุ 5,000 ครั้งต่อเดือน ซึ่งถือว่ามหาศาลมากในยุคนั้น

และแน่นอน เมื่อมีของดี ก็มีคนมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ

หนึ่งในนั้นคือ Marc Andreessen ผู้ร่วมสร้าง Mosaic หลังจากเรียนจบ เขาย้ายไปแคลิฟอร์เนีย และได้พบกับ Jim Clark ผู้ร่วมก่อตั้ง Silicon Graphics

Jim Clark ประทับใจ Mosaic อย่างมาก และกำลังมองหา “สิ่งใหญ่” ชิ้นต่อไปที่จะลงทุน

ในตอนแรก พวกเขาไม่ได้คิดจะทำเบราว์เซอร์ ไอเดียแรกคือการสร้างบริษัทเกมออนไลน์ คล้ายๆ Xbox Live หรือ PlayStation Network ในปัจจุบัน โดยพวกเขาวางแผนจะทำร่วมกับ Nintendo สำหรับเครื่อง N64

แต่ปัญหาก็คือ นี่มันปี 1994 แต่ N64 มีกำหนดวางจำหน่ายปี 1996 ไอเดียนั้นเลยต้องพับไป

ในที่สุด Marc Andreessen ก็เสนอไอเดียว่า “ทำไมเราไม่สร้างเบราว์เซอร์ที่ดีกว่า Mosaic”

ทั้งสองตัดสินใจลุยทันที

พวกเขาจ้างทีมงานที่เคยทำ Mosaic และอดีตพนักงานบางส่วนจาก Silicon Graphics มาร่วมทีม Jim Clark ลงทุนเงินก้อนแรก 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

บริษัทสตาร์ทอัพใหม่นี้ ในตอนแรกใช้ชื่อว่า Mosaic Communications Corporation ชื่อนี้เองที่นำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายกับ University of Illinois โดยทางมหาวิทยาลัยอ้างว่าพวกเขาขโมยชื่อและทรัพย์สินทางปัญญา

แม้ว่าทีมของ Andreessen จะไม่ได้นำโค้ดเก่ามาใช้เลยแม้แต่บรรทัดเดียว ปัญหาจึงเป็นแค่เรื่องของชื่อเท่านั้น

ณ จุดนั้น โครงการเบราว์เซอร์ลับๆ นี้มีชื่อรหัสว่า Mozilla ซึ่งเป็นคำผสมระหว่าง “Mosaic” และ “Godzilla” หรืออาจจะย่อมาจาก “Mosaic Killer”

ชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ ใช่ไหมครับ? มันคือรากเหง้าของเบราว์เซอร์ที่เราใช้กันในปัจจุบัน

ในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจใช้ชื่อ “Netscape” สำหรับเบราว์เซอร์ และใช้เป็นชื่อบริษัทในเวลาต่อมา

เพียง 6 เดือนหลังก่อตั้งบริษัท ในเดือนตุลาคม 1994 Netscape Navigator ก็เปิดตัวสู่สาธารณะ มันนำเสนอฟีเจอร์ที่ล้ำหน้าในยุคนั้น เช่น การสตรีมเอกสารอย่างต่อเนื่อง และการรองรับไฟล์ภาพ JPEG

ที่สำคัญที่สุดคือ มันถูกประกาศให้ใช้งาน “ฟรี” สำหรับผู้ใช้ทั่วไป สถาบันการศึกษา และนักวิจัย แม้ว่าบริษัทจะยังไม่ทำกำไรเลย และมีเงินสดเหลือน้อยก็ตามที

แต่โมเดลธุรกิจของพวกเขาคือการเก็บเงินจากภาคธุรกิจที่ต้องการใช้งาน โดยคิดค่าลิขสิทธิ์ 99 ดอลลาร์ต่อผู้ใช้

นี่คือแหล่งรายได้หลักที่ทำให้ Netscape เติบโตอย่างก้าวกระโดด รายได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกไตรมาส

เพียง 16 เดือนหลังจากการก่อตั้ง ในเดือนสิงหาคม 1995 Netscape ก็เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์

การเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนั้นประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย เงินลงทุนเริ่มต้น 4 ล้านดอลลาร์ของ Jim Clark กลายเป็นมีมูลค่ากว่า 600 ล้านดอลลาร์ในพริบตา

Netscape Navigator กลายเป็นเบราว์เซอร์ที่นิยมสูงสุดอย่างไม่มีข้อกังขา

เวอร์ชัน 2.0 ที่ออกมาในปี 1995 ได้นำเสนอ Frames และที่สำคัญที่สุดคือเป็นเบราว์เซอร์แรกที่รองรับ JavaScript

ณ จุดนี้ Netscape ไม่ใช่แค่ราชา แต่กำลังกำหนดทิศทางของอนาคตอินเทอร์เน็ต

แต่ในปี 1995 เดียวกันนั้นเอง ก็มีเหตุการณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เมื่อ Microsoft ได้เปิดตัว Windows 95 และที่มาพร้อมกันนั้น คือโปรแกรมเล็กๆ ที่ชื่อว่า Internet Explorer

Microsoft กระโดดเข้าสู่สนามรบนี้แล้ว และพวกเขาตั้งเป้าหมายไว้ที่ Netscape Navigator

แผนการของ Microsoft คือการทำลายล้างส่วนแบ่งการตลาดของ Netscape ให้สิ้นซาก

Internet Explorer 1.0 นั้นพัฒนามาจากโค้ดที่ได้รับอนุญาตจากบริษัท Spyglass ซึ่งเป็นอีกบริษัทที่ได้สิทธิ์ Mosaic มา มันยังไม่มีฟีเจอร์หวือหวาเท่า Netscape

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Internet Explorer 2.0 ถูก “มัดรวม” หรือติดตั้งมาล่วงหน้าพร้อมกับ Windows

นี่คือกลยุทธ์ที่เปลี่ยนเกมไปตลอดกาล

ลองคิดดูว่าในยุคนั้น Netscape เริ่มไม่ได้แจกฟรีสำหรับทุกคนแล้ว

ในขณะที่คนส่วนใหญ่ที่ซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ ก็ได้ Windows ที่มี Internet Explorer ติดตั้งมาให้เลยฟรีๆ ทำไมพวกเขาจะต้องไปดิ้นรนหาดาวน์โหลด หรือจ่ายเงินเพื่อเบราว์เซอร์อื่น?

นี่คือสิ่งที่ Netscape ไม่สามารถแข่งขันด้วยได้เลย

แนวทางปฏิบัติทางธุรกิจของ Microsoft ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการเอาเปรียบอย่างไม่เป็นธรรม Microsoft ใช้ประโยชน์จากการมัดรวมนี้อย่างเต็มที่

ในทางเทคนิค พวกเขาขายระบบปฏิบัติการ ไม่ได้ขายเบราว์เซอร์ ทำให้พวกเขาไม่ต้องจ่ายค่าสิทธิให้กับ Spyglass สำหรับเบราว์เซอร์ที่แถมไป

เรื่องนี้จบลงด้วยการที่ Microsoft จ่ายเงิน 8 ล้านดอลลาร์ให้ Spyglass และได้สิทธิ์ในการมัดรวม Internet Explorer ต่อไปโดยไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มอีก

สงครามเบราว์เซอร์ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

ในปี 1998 เมื่อ Windows 98 เปิดตัวพร้อม Internet Explorer 4.0 ที่ฝังลึกในระบบ ปีเดียวกันนั้นเอง รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ก็ฟ้องร้อง Microsoft ในคดีการต่อต้านการผูกขาด

นี่คือหนึ่งในคดีประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของ Microsoft พวกเขาเกือบจะถูกศาลสั่งให้แยกบริษัทออกเป็นสองส่วน

มีการตัดสินในปี 2000 ว่า Microsoft เป็นผู้ผูกขาด และละเมิดกฎหมาย Sherman Antitrust Act แต่หลังจากการยื่นอุทธรณ์ ในปี 2001 รัฐบาลก็ประกาศลดบทลงโทษลง

แม้ว่าคดีนี้จะตีแผ่พฤติกรรมของ Microsoft ให้โลกเห็น

มีคำให้การจากพนักงาน Intel ที่อ้างว่าผู้บริหาร Microsoft มีแผนที่จะ “ฆ่า” Netscape และ “ตัดท่อหายใจ” ของพวกเขา

Bill Gates เองก็ระบุในบันทึกภายในว่า Netscape คือคู่แข่งสำคัญ แต่สุดท้าย Microsoft ก็ไม่เคยถูกบังคับให้หยุดการมัดรวม Internet Explorer

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของจุดจบสำหรับ Netscape Navigator เพราะส่วนแบ่งการตลาดของ Netscape เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง

แต่ก็ต้องบอกว่าในตอนนั้นบริษัทยังคงมีมูลค่ามหาศาล ในปี 1998 ท่ามกลางสงครามที่กำลังดุเดือด America Online หรือ AOL ก็ได้เข้าซื้อ Netscape Communications

มูลค่าการซื้อขายในตอนนั้นสูงถึง 4.2 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อข้อตกลงเสร็จสิ้น มูลค่าก็พุ่งไปแตะ 1 หมื่นล้านดอลลาร์

ในเวลานั้น Netscape ยังคงมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า Internet Explorer แต่การเติบโตของ IE นั้นรวดเร็วมาก จนกระทั่งปี 1999 ที่ส่วนแบ่งของทั้งสองเท่ากันที่ประมาณ 40%

หลังจากนั้น Internet Explorer ก็แซงหน้าไปอย่างไม่เห็นฝุ่น

ภายในปี 2002 เบราว์เซอร์ที่เคยครองโลกอย่าง Netscape ต้องดิ้นรนเพื่อรักษาส่วนแบ่งให้ได้แม้เพียง 10%

ดูเหมือนว่านี่คือจุดจบของ Netscape … แต่เรื่องราวมันไม่ได้จบแค่นั้น

หนึ่งปีก่อนที่จะถูก AOL ซื้อกิจการ Netscape ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และกล้าหาญมาก ๆ พวกเขานำ Netscape Communicator ซึ่งเป็นชุดโปรแกรมทั้งหมด มาเปิดเป็นซอฟต์แวร์ “โอเพนซอร์ส” และแจกฟรี

การตัดสินใจครั้งนี้ นำไปสู่การก่อตั้งองค์กรใหม่ที่ชื่อว่า Mozilla Organization โดยใช้ชื่อรหัสเดิมของ Netscape Navigator นั่นเอง

หลังจากการซื้อกิจการของ AOL องค์กร Mozilla ก็ได้แยกตัวออกมาเป็นมูลนิธิอิสระ Mozilla Foundation และ AOL ถึงกับบริจาคเงิน 2 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยให้มูลนิธิใหม่นี้เริ่มต้นได้

ใช่แล้วครับ มูลนิธิ Mozilla ในปัจจุบัน มีรากเหง้ามาจาก Netscape

องค์กรใหม่นี้ได้นำโค้ดโอเพนซอร์สของ Netscape ไปพัฒนาต่อยอด และในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจโฟกัสไปที่การสร้างแอปพลิเคชันใหม่สองตัว

แอปพลิเคชันที่หลายคนน่าจะรู้จักกันดีในชื่อ Firefox และ Thunderbird

ดังนั้น แม้ว่า Netscape จะพ่ายแพ้ในสงครามเบราว์เซอร์ แต่วิญญาณและ DNA ของมันได้ถูกส่งต่อ และถือกำเนิดใหม่ในชื่อ Firefox

เบราว์เซอร์ที่ในเวลาต่อมา ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับ Internet Explorer และทวงคืนส่วนแบ่งการตลาดกลับมาได้

มันเหมือนกับพล็อตหนังแก้แค้นที่สมบูรณ์แบบ

คำถามคือ แล้วชะตากรรมของแบรนด์ Netscape ล่ะ?

AOL ยังคงพัฒนา Netscape ต่อไปจนถึงประมาณปี 2008 เวอร์ชันสุดท้าย Netscape 9 นั้นน่าสนใจมาก เพราะมันถูกพัฒนาบนพื้นฐานของ Firefox นั่นเอง เหมือนกับว่าลูกได้กลับมาช่วยพ่อ

แต่เรื่องราวยังไม่จบ

ในปี 2012 AOL ได้ขายบริษัทย่อย Netscape และสิทธิบัตรกว่า 800 รายการ

ลองทายสิครับว่าขายให้ใคร?

คำตอบคือ Microsoft … ใช่แล้วครับ Microsoft ศัตรูตัวฉกาจของพวกเขานั่นเอง โดยจ่ายเงินไปประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์

และเรื่องก็ยิ่งแปลกขึ้นไปอีก เมื่อไม่กี่ปีต่อมา Microsoft ขายบริษัทและสิทธิบัตรเหล่านั้นต่อไปให้ Facebook

ปัจจุบันแบรนด์ Netscape ยังคงเป็นของ AOL (ซึ่งตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Verizon) และพวกเขาก็ยังใช้งานมันอยู่

ถ้าลองเข้าไปที่ netscape .com จะพบกับหน้าเว็บพอร์ทัลที่มีข่าวสารและสภาพอากาศที่เป็นปัจจุบัน ไม่ใช่ภาพเก่าเก็บแต่อย่างใด

แต่ถ้าคุณอยากย้อนอดีตจริงๆ ลองไปที่ mcom .com นั่นคือ URL ดั้งเดิมของบริษัทสมัยที่ยังชื่อ Mosaic Communications

คุณจะเห็นหน้าตาเว็บไซต์ในปี 1994 ที่ถูกเก็บรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ โดยมันเกิดจากอดีตพนักงานคนหนึ่งไปโน้มน้าวให้ AOL ช่วยโฮสต์มันไว้เป็นอนุสรณ์

เรื่องราวของ Netscape จึงเป็นมากกว่าแค่ความล้มเหลวทางธุรกิจ แม้ว่าตัวผลิตภัณฑ์จะหายไปจากความทรงจำของผู้คน

แต่ผลกระทบของมันยังคงอยู่กับเราทุกวันนี้

เทคโนโลยีอย่าง JavaScript ที่เป็นหัวใจของเว็บสมัยใหม่ หรือ SSL ที่เป็นรากฐานของความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต (ตัว S ใน HTTPS)

ทั้งหมดนี้ล้วนถือกำเนิดขึ้นที่ Netscape

และที่สำคัญที่สุด มันได้ให้กำเนิด Firefox

Netscape อาจจะแพ้สงคราม แต่ตำนานของมันได้เปลี่ยนแปลงโลกเราไปตลอดกาล…

References : [wikipedia, computerhistory, wired, arstechnica, webfoundation]