Geek Story EP369 : การตัดสินใจครั้งเดียวที่ล้ม IBM เมื่อยักษ์ใหญ่ประมาท กับดีลที่ทำให้ Microsoft ครองโลก

ชีวิตของคนเรานั้นประกอบด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญเพียงไม่กี่ครั้ง การตัดสินใจบางอย่างอาจส่งผลกระทบมหาศาลต่ออนาคต

ในโลกธุรกิจก็เช่นกัน บางครั้งมีการตัดสินใจเพียงครั้งเดียวที่สามารถเปลี่ยนโชคชะตาของบริษัทหรือแม้กระทั่งอุตสาหกรรมทั้งหมด ข้อตกลงระหว่าง Microsoft และ IBM ในปี 1980 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการตัดสินใจที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์เทคโนโลยีไปตลอดกาล

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/3d5u475y

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mpav7c3d

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/5n8vwuvu

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/ewEtotrkbak

Geek Story EP368 : ทำไม Bittorrent จึงไม่มีวันตาย? จากไอเดียเล็กๆ สู่ประวัติศาสตร์การละเมิดลิขสิทธิ์ทั่วโลก

ในยุคที่บริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix, Disney+ และ Apple TV+ กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เราอาจลืมไปว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน การดูหนังและซีรีส์ต้องพึ่งพาวิธีการที่แตกต่างออกไป หนึ่งในเทคโนโลยีที่มีอิทธิพลมากที่สุดในการแบ่งปันและดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่คือ BitTorrent โปรโตคอลที่เปลี่ยนโฉมหน้าอินเทอร์เน็ตและการแบ่งปันเนื้อหาออนไลน์อย่างสิ้นเชิง

BitTorrent คือโปรโตคอลการแบ่งปันไฟล์แบบ peer-to-peer ที่มีความพิเศษตรงที่ไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลางในการแจกจ่ายไฟล์ แทนที่จะดาวน์โหลดไฟล์จากเซิร์ฟเวอร์เพียงแห่งเดียว ผู้ใช้ BitTorrent จะดาวน์โหลดและอัปโหลดชิ้นส่วนของไฟล์ระหว่างกันและกัน ทำให้ไฟล์ยิ่งเป็นที่นิยม การดาวน์โหลดก็จะยิ่งเร็วขึ้น นี่คือเหตุผลที่เว็บไซต์อย่าง The Pirate Bay และอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องเก็บไฟล์ไว้เอง พวกเขาเพียงแค่เก็บลิงก์ทอร์เรนต์ที่ช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อกัน

เรื่องราวของ BitTorrent คือเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่สร้างเทคโนโลยีอันทรงพลัง โดยไม่ได้คาดคิดว่ามันจะกลายเป็นเครื่องมือหลักในการละเมิดลิขสิทธิ์ นี่คือเรื่องราวของ Bram Cohen และการเดินทางที่นำเขาจากโปรแกรมเมอร์อัจฉริยะสู่ผู้สร้างจิตวิญญาณแห่งการแบ่งปันไฟล์

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/bwbcvpfr

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/35ancwd2

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3fvca337

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/vUgSrQhN7og

จุดจบของ Google? เมื่อ AI สั่นสะเทือนบัลลังก์บิ๊กเทค ราคาหุ้นร่วง 7% ใน 24 ชั่วโมง

ต้องบอกว่าภาพตลาดหุ้นในวันที่ 7 พฤษภาคม 2025 ถึงกับทำให้วงการเทคโนโลยีสั่นสะเทือน หุ้น Google ดิ่งลงเหวไปกว่า 7% ภายในวันเดียว ทำให้เงินหายวับไปถึง 155,000 ล้านดอลลาร์!

เรื่องราวเริ่มจากคำให้การที่สั่นสะเทือนวงการของ Eddy Cue รองประธานอาวุโสฝ่ายบริการของ Apple ระหว่างการพิจารณาคดีต่อต้านการผูกขาดกับ Alphabet บริษัทแม่ของ Google

Cue เปิดเผยข้อมูลว่า การค้นหาผ่าน Google บนเบราว์เซอร์ Safari ของ Apple ลดลงเป็นครั้งแรกในเดือนเมษายน 2025 เพราะผู้ใช้กำลังหันไปใช้เครื่องมือ AI แทน

แต่นั่นยังไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญที่สุด เพราะ Cue ยังเผยอีกว่า Apple กำลังคิดที่จะรวมความสามารถในการค้นหาด้วย AI เข้ากับอุปกรณ์ของตัวเองโดยตรง

คำให้การนี้เหมือนการถีบส่ง Google เพราะที่ผ่านมา Apple ได้รับเงินมากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีจาก Google เพื่อรักษาสถานะเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้นบนอุปกรณ์ Apple

ถ้าคนเลิกค้นหาผ่าน Google จริงๆ ดีลมูลค่ามหาศาลนี้ก็คงเกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไป นี่คือจุดพีคของความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้น

ท่ามกลางสถานการณ์เลวร้าย Google ไม่ได้อยู่เฉยๆ พวกเขาออกแถลงการณ์โต้กลับข้อกล่าวอ้างของ Cue ว่าบริษัทยังคงเติบโตในภาพรวม

Sundar Pichai ซีอีโอของ Google มองบวกเกี่ยวกับการริเริ่มด้าน AI ของบริษัทตัวเอง เขาเชื่อว่า AI Overviews ที่ใช้กันมาเกือบปีในสหรัฐฯ กำลังเข้าที่เข้าทาง ผู้คนเริ่มเห็นประโยชน์มากขึ้น

แต่คำให้การของ Cue กำลังท้าทายเรื่องราวนี้ โดยชี้ว่าความพยายามของ Google ไม่อาจปกป้องตลาดหลักได้ทั้งหมด AI กำลังเป็นภัยคุกคามของจริง

นักวิเคราะห์จาก Jefferies มองว่าตลาดกำลัง panic เกินไป พวกเขากล่าวว่าความก้าวหน้าด้าน AI ของ Google ถูกมองข้าม AI Overviews ที่มีผู้ใช้มากกว่า 1.5 พันล้านคนเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

ยิ่งไปกว่านั้น Safari เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ในตลาดการค้นหา เทียบไม่ได้กับ Chrome ที่ครองส่วนแบ่งถึง 66% ขณะที่ Safari มีแค่ 17% แอป Google บน iOS ก็ยังเติบโต 15% เทียบกับปีที่แล้ว

การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่อยู่ภายใต้เงาของคดีต่อต้านการผูกขาดที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ฟ้อง Google ข้อตกลงระหว่าง Google และ Apple ได้กลายเป็นประเด็นร้อนในคดีนี้

Google กำลังฝ่าฝันต่อสู้กับคู่แข่งใหม่อย่าง ChatGPT และแพลตฟอร์ม AI อื่นๆ พวกเขาปรับกลยุทธ์ผสมผสาน AI เข้ากับการค้นหา ทั้ง Gemini (เดิมคือ Bard) และ SGE (Search Generative Experience)

อุตสาหกรรมเทคโนโลยีรอดูว่า Google จะปรับตัวอย่างไร ความสามารถในการผสมผสาน AI เข้ากับการค้นหาอย่างลงตัวจะเป็นกุญแจสำคัญของการอยู่รอด

ไม่ใช่แค่ Google เท่านั้นที่ต้องปรับตัว แต่บริษัทอื่นๆ ก็ต้องปรับด้วย Apple เองก็เริ่มหันมามองโลกที่ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการค้นหา

Apple ลงทุนด้าน AI มากโข ทั้งปรับปรุง Siri และพัฒนา Apple Intelligence ที่ทำงานบนอุปกรณ์ ไม่แปลกเลยหากในอนาคต Apple จะพัฒนาเครื่องมือค้นหาของตัวเอง

สำหรับพวกเราทั่วไป การเปลี่ยนแปลงนี้หมายถึงทางเลือกที่มากขึ้น แทนที่จะพิมพ์คำค้นหาและเลือกดูผลลัพธ์เยอะแยะวุ่นวาย เราจะได้คำตอบตรงๆ จาก AI เลย ซึ่งเป็นการประหยัดเวลาได้แบบสุดๆ

แต่คำถามเรื่องความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลก็ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ การค้นหาแบบเดิมให้ผลหลากหลายและอ้างอิงได้ ขณะที่ AI ให้ประสบการณ์ที่สะดวกและเป็นธรรมชาติกว่า

อนาคตของการค้นหาอาจไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างสองเทคโนโลยี แต่เป็นการหลอมรวมจุดแข็งของทั้งคู่เข้าด้วยกัน

สำหรับนักลงทุน เหตุการณ์นี้เตือนว่าแม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ก็เจอความท้าทายได้ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีสามารถทำให้ธุรกิจที่มั่นคงสั่นคลอนได้ในชั่วข้ามคืน

Alphabet รู้ดีถึงความท้าทายนี้ พวกเขาเลยลงทุนหนักในเทคโนโลยี AI ทั้ง Gemini, SGE และโครงการอื่นๆ อีกมากมาย พวกเขาไม่อยากจบเห่เหมือนบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ในอดีต

การต่อสู้ระหว่าง Google และคู่แข่งด้าน AI ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเมามัน แต่สิ่งที่ชัดเจนคือการตัดกันระหว่าง AI และการค้นหาแบบดั้งเดิมกำลังเกิดขึ้นแล้ว

เหตุการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ Google และ Apple แต่ส่งคลื่นกระเพื่อมไปทั่ววงการเทคโนโลยี บริษัทที่พึ่งรายได้จากโฆษณาบนการค้นหาแบบเดิมต้องปรับกลยุทธ์

นักพัฒนาเว็บคงต้องคิดใหม่เกี่ยวกับการทำ SEO เมื่อ AI พุ่งทะยาน ผู้สร้างเนื้อหาก็ต้องปรับวิธีนำเสนอข้อมูลให้เข้าถึงได้ทั้งโดยมนุษย์และ AI

เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงในการตลาดดิจิทัลแล้ว การทำ SEO ไม่ใช่แค่ปรับแต่งเว็บให้ติดอันดับ Google แต่ขยายไปถึงการทำเนื้อหาให้เป็นมิตรกับ AI ด้วย

เทคโนโลยี AI เองก็ยังพัฒนาแบบก้าวกระโดด แพลตฟอร์ม AI รุ่นใหม่เจ๋งขึ้นเรื่อยๆ ในการเข้าใจบริบท ประมวลผลข้อมูลซับซ้อน และให้คำตอบที่ตรงใจผู้ใช้

นอกจาก OpenAI, Anthropic และ Perplexity ที่ Cue พูดถึง ยังมีอีกหลายบริษัทที่กำลังรังสรรค์เทคโนโลยี AI สำหรับการค้นหา เช่น Cohere, AI21 Labs แต่ละบริษัทมีความเจ๋งที่แตกต่างกันไป

ภาครัฐทั่วโลกก็กำลังจับตามองพัฒนาการเหล่านี้เช่นเดียวกัน การผูกขาดในตลาดการค้นหาเป็นประเด็นร้อน AI อาจนำมาซึ่งคำถามใหม่ๆ เกี่ยวกับการแข่งขันที่เป็นธรรม

สหภาพยุโรปเริ่มบังคับใช้ Digital Markets Act แล้ว มีเป้าหมายควบคุมอำนาจบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ รวมถึง Google กฎหมายนี้บังคับให้พวกเขาให้การเข้าถึงที่เป็นธรรมแก่คู่แข่ง

ย้อนกลับไปปี 2007 Nokia เป็นลูกพี่ใหญ่ในตลาดมือถือที่ดูเหมือนไม่มีใครสั่นคลอนได้ แต่หลัง iPhone เปิดตัวไม่กี่ปี บริษัทก็สูญเสียตำแหน่งและไม่กลับมาอีกเลย

บทเรียนจาก Nokia สอนว่าการยึดติดกับโมเดลธุรกิจเดิมและการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงช้าอาจทำให้จบเห่ได้ Google จะเดินซ้ำรอยนี้หรือไม่?

ในท้ายที่สุด การตัดกันระหว่าง AI และการค้นหาแบบดั้งเดิมเป็นมากกว่าการแข่งขันทางธุรกิจ แต่เป็นจุดเปลี่ยนในวิวัฒนาการของวิธีที่เราเข้าถึงข้อมูลในโลกดิจิทัล

เราอาจกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการค้นหาที่ AI มีบทบาทโครตเทพ และบริษัทอย่าง Google ต้องปรับตัวหรือเสี่ยงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เส้นทางข้างหน้ายังไม่ชัดเจน

โลกเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เรื่องราวของ Google กับวิกฤตครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนในวงการค้นหาอย่างไร เรายังต้องติดตามกันต่อไป

ระหว่างที่บริษัทต่างๆ ยังแข่งขันกันอย่างดุเดือดต่อไป สิ่งที่แน่นอนคือผู้ใช้อย่างเราๆ จะได้เห็นประสบการณ์การค้นหาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะด้วย AI หรือการค้นหาแบบดั้งเดิม การแข่งขันนำมาซึ่งนวัตกรรม และในที่สุด ผู้ใช้ก็คือผู้ชนะที่แท้จริง

References: [techcrunch, cnbc, theverge, bloomberg, engadget]

Geek Story EP367 : เมื่อ 2 วัยรุ่นล้มอุตสาหกรรมดนตรีแสนล้าน เรื่องราวของ Napster ผู้ปฏิวัติวงการเพลงที่ถูกลืม

นึกภาพย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1990s คุณกำลังขับรถและได้ยินเพลงใหม่ในวิทยุ เสียงที่ทำให้คุณหยุดคิด คุณชอบมันมาก และอยากฟังซ้ำอีกครั้ง แต่ตัวเลือกของคุณมีจำกัด คุณอาจบันทึกจากวิทยุลงเทปเปล่า ซึ่งคุณภาพเสียงมักไม่ดีนัก หรือไปที่ร้านเพลงเพื่อซื้ออัลบั้มทั้งอัลบั้มในราคา 20 ดอลลาร์ เพียงเพื่อเพลงเดียวที่คุณชอบ

นี่คือปัญหาที่ผู้บริโภคดนตรีในยุคนั้นเผชิญ อัลบั้มมีราคาแพงและคุณต้องซื้อทั้งอัลบั้มเพื่อให้ได้เพลงที่ชอบเพียงไม่กี่เพลง ไม่มีทางเลือกที่คุ้มค่า ในขณะเดียวกัน อินเทอร์เน็ตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ สำหรับการเชื่อมต่อและแบ่งปันความคิดระหว่างผู้คน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/y9uh6cwr

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bdfcb6ud

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/29956yyy

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Oy8iulBj7YE

Richard Montañez กับการพลิกชีวิตด้วย 1 idea ที่เปลี่ยนจากภารโรงให้กลายเป็นผู้บริหารที่ PepsiCo

ก่อนที่จะเกิดความคิดที่พลิกชีวิตของเขาไปตลอดกาล Richard Montañez ลูกชายของผู้อพยพชาวเม็กซิกันเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่แสนจะลำบาก เขาและพี่น้องอีกสิบคนอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ แค่หนึ่งห้องนอนกับพ่อแม่ที่ฝ่าฟันต่อสู้เพื่อครอบครัว

ชีวิตของ Montañez ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เขากลับมองว่านี่คือจุดเริ่มต้นของปัญญาอันล้ำค่า “ผมมีปริญญาเอกของการเป็นคนที่น่าสงสาร ความหิวโหย และความมุ่งมั่น” อดีตภารโรงผู้นี้เคยให้สัมภาษณ์กับวอชิงตันโพสต์ด้วยความภาคภูมิใจ

“ผมเชื่อว่าเมื่อคุณได้สัมผัสทั้งสามสิ่งนี้แล้ว คุณจะเกิดปัญญามากมาย ความยากจนไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นแรงผลักดันให้เกิดนวัตกรรมหลายอย่าง” คำพูดที่เต็มไปด้วยพลังและแรงบันดาลใจจากชายผู้มีชีวิตโชกโชนวัย 67 ปี

จิตวิญญาณของนักสร้างสรรค์ในตัว Montañez เริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่เขายังเด็ก วันแรกที่เขาไปโรงเรียนประถมปีที่ 3 แม่ของเขาเตรียมเบอร์ริโตให้เป็นอาหารกลางวัน แต่เขากลับรู้สึกอายเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นมีอาหารกลางวันที่แตกต่างจากเขา

“ในช่วงทศวรรษ 1960 มีคนเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นเบอร์ริโต” เขาเล่าในหนังสือของเขา “เด็กชายเบอร์ริโตและคุกกี้” “ทุกคนจ้องมองมาที่ผม ผมรีบใส่มันกลับเข้าไปในกระเป๋าและซ่อนมันไว้”

วันต่อมา เขาขอให้แม่ทำ “แซนวิชโบโลน่าและคัพเค้กเหมือนเด็กคนอื่นๆ” แทน แต่แม่กลับตอบสนองด้วยวิธีที่แตกต่าง เธอเตรียมเบอร์ริโตให้ถึงสองชิ้น หนึ่งสำหรับให้เขากิน และอีกชิ้นสำหรับให้เขาหาเพื่อน

เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ ผู้ประกอบการวัย 7 ขวบรายนี้เริ่มขายเบอร์ริโตในราคาชิ้นละ 0.25 ดอลลาร์ นี่คือจุดเริ่มต้นของการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่หลายคนมองข้าม ความเทพของเด็กน้อยที่หลายคนไม่เคยนึกถึง

หลังจากดิ้นรนกับการเรียนรู้การอ่านและการเขียนขั้นพื้นฐาน Montañez ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน ชีวิตพาเขาไปพบกับงานหลากหลายที่มีรายได้ต่ำ ทั้งการเชือดไก่และการทำสวน การขาดการศึกษาอย่างเป็นทางการไม่ได้ทำให้เขาถอดใจ แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้เขาพยายามมากขึ้น

วันหนึ่งขณะที่เขากำลังทำงานที่ร้านล้างรถ เพื่อนของเขามาบอกข่าวที่เปลี่ยนชีวิตเขา Frito-Lay กำลังเปิดรับสมัครพนักงาน โอกาสที่จะเปลี่ยนชีวิตกำลังมาถึง

ด้วยความหวังและความกล้า Montañez ไปที่โรงงาน Frito-Lay ในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ เขาขอใบสมัครแม้จะอ่านหรือเขียนแทบไม่ได้ เขาขอให้ภรรยาในอนาคตช่วยกรอกเอกสารแทน และส่งใบสมัครไปในวันนั้นเลย บริษัทตอบรับให้เขาเริ่มงานในตำแหน่งภารโรง

ความคิดสุดเจ๋งที่นำไปสู่การสร้าง Flamin’ Hot Cheetos เกิดขึ้นโดยบังเอิญในวันที่เครื่องจักรเกิดขัดข้องในสายการผลิต Cheetos บางส่วนไม่ได้รับการโรยด้วยผงชีสสีส้มมาตรฐาน นี่คือจุดเริ่มต้นของไอเดียสุดล้ำ

Montañez นำ Cheetos ธรรมดากลับบ้านและเริ่มทดลองใส่พริกป่นลงไป แรงบันดาลใจของเขามาจากพ่อค้าแม่ค้าข้างถนนในละแวกบ้านที่ขายข้าวโพดย่างแบบเม็กซิกันราดด้วยมะนาวและพริก เพื่อนและครอบครัวของเขาต่างชื่นชอบรสชาตินี้เป็นอย่างมาก

ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 PepsiCo กำลังเผชิญกับความท้าทายทางธุรกิจ คู่แข่งมากมายและการขาดแคลนไอเดียใหม่ๆ ทำให้ Roger Enrico ซีอีโอของบริษัทต้องประกาศต่อพนักงานกว่า 300,000 คนว่าพวกเขาต้องการความคิดสร้างสรรค์เพื่อรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่

นี่คือโอกาสที่ Montañez รอคอย เขาตัดสินใจติดต่อ CEO โดยตรง ซึ่งหลังจากได้รับฟังไอเดียคร่าวๆ แล้ว Enrico ให้เวลาเขาสองสัปดาห์เพื่อเตรียมการนำเสนอกับผู้บริหารบริษัท การตัดสินใจครั้งนี้เปรียบเสมือนการเข้าถ้ำเสือ แต่เขาไม่ลังเล

ด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ Montañez มุ่งตรงไปที่ห้องสมุดเพื่อศึกษาเรื่องการตลาดและการออกแบบผลิตภัณฑ์ เขาสร้างบรรจุภัณฑ์ต้นแบบ และเดินเข้าห้องประชุมด้วยความมั่นใจด้วยเน็คไทราคาเพียง 3 ดอลลาร์

“พวกเขาทึ่งกับการออกแบบผลิตภัณฑ์” เขาเล่าด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ และแล้ว Flamin’ Hot Cheetos ก็ถือกำเนิดขึ้น จนถึงทุกวันนี้ สแน็คเผ็ดร้อนนี้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของ Frito-Lay และกลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่

การนำเสนอครั้งนั้นไม่เพียงแต่สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับบริษัท แต่ยังเปิดประตูสู่เส้นทางอาชีพอันรุ่งโรจน์ของ Montañez Montañez สามารถไต่เต้าตำแหน่งจากภารโรงไปสู่ระดับผู้บริหารของ PepsiCo ได้อย่างน่าทึ่ง ความฝันที่หลายคนอาจมองว่าเป็นสิ่งเพ้อฝันกลับกลายเป็นความจริง

ทุกวันนี้ เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ นำเสนอเรื่องราวและแนวคิดเกี่ยวกับความสำคัญของความหลากหลายในธุรกิจต่อบริษัทชั้นนำต่างๆ Fox Searchlight Pictures ยังได้สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตที่น่าทึ่งของเขาอีกด้วย เรื่องราวของเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอีกมากมาย

Montañez มักจะย้อนคิดว่าชีวิตของเขาคงแตกต่างออกไปมากหากเขาไม่กล้าที่จะนำเสนอไอเดียกับ CEO โดยตรง ประสบการณ์นี้ทำให้เขาได้บทเรียนสำคัญที่เขาแบ่งปันกับผู้อื่นอยู่เสมอ

“อย่ามองตำแหน่งของคุณอย่างไร้ค่า ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรก็ตาม” Montañez กล่าว “จะเป็น CEO หรือภารโรง ก็จงทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของบริษัท”

อย่างไรก็ตาม มีเรื่องราวอีกด้านที่ต้องรู้ เพราะคำกล่าวอ้างของ Richard Montañez ว่าเขาเป็นผู้คิดค้น Flamin’ Hot Cheetos ถูกโต้แย้งในรายงานปี 2021 ของ LA Times ทางบริษัท Frito-Lay ได้ออกแถลงการณ์ว่า:

“เราให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของ Richard ต่อบริษัทของเรา โดยเฉพาะข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคชาวฮิสแปนิก แต่เราไม่ได้ให้เครดิตการสร้าง Flamin’ Hot Cheetos หรือผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของ Flamin’ กับเขาเพียงคนเดียว”

ในการตอบโต้ Montañez ยืนยันความถูกต้องของเรื่องราวของเขาใน Variety .com โดยอธิบายว่าเขาไม่รู้ว่าแผนกอื่นๆ ของบริษัทกำลังดำเนินการทดลองคล้ายๆ กันอยู่ในขณะนั้นเช่นกัน

ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เรื่องราวของ Montañez ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนมากมาย มันแสดงให้เห็นว่าความกล้าหาญ ความคิดสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่นสามารถพลิกชีวิตคนธรรมดาให้กลายเป็นเรื่องราวความสำเร็จที่น่าทึ่งได้

อดีตภารโรงผู้ซึ่งแทบจะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ได้กลายเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทระดับโลก เป็นเรื่องราวที่เป็นที่เตือนใจเราว่าไม่มีอุปสรรคใดที่ไม่สามารถก้าวผ่านได้หากมีความตั้งใจจริง

โลกธุรกิจและการตลาดเต็มไปด้วยความท้าทายและการแข่งขัน แต่เรื่องราวของ Montañez สอนให้เรารู้ว่า บางครั้งไอเดียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจมาจากสถานที่หรือบุคคลที่คาดไม่ถึงที่สุด

Richard Montañez ไม่ใช่แค่เรื่องราวของความสำเร็จทางธุรกิจ แต่เป็นตัวอย่างของพลังแห่งการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งไหนหรือมีภูมิหลังอย่างไร คุณสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หากคุณกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะลงมือทำ และกล้าที่จะไม่ยอมแพ้

References: [washingtonpost, latimes, variety, forbes, biography]