ย้อนกลับไปในปี 2005 จีนเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก ความเจริญแบบพุ่งทะยานทำให้ชนชั้นกลางกว่าร้อยล้านคนได้เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ผ่านคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
ตลาดที่เนื้อหอมเช่นนี้ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกให้มาลองชิมลางกับตลาดใหญ่อย่างจีน Microsoft เป็นหนึ่งในนั้นที่ลงทุนในจีนด้วยการจ้างงานกว่าพันตำแหน่ง
Google ก็เป็นอีกบริษัทเทคโนโลยีที่หมายปองตลาดที่ใหญ่โตนี้เช่นกัน Sergey Brin และ Larry Page ต้องการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในจีนโดยเฉพาะ ทำให้ตลาดจีนมีความหมายกับ Google มาก
ในสนามรบอเมริกา Google ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายชนะในทุกครั้งที่ Microsoft พยายามออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาสกัดกั้นการเติบโตของคู่แข่ง แม้ความโหดของ Microsoft ยังไม่เสื่อมคลาย ด้วยขนาดบริษัทที่ใหญ่กว่า 3 เท่า
Microsoft ยังคงมีรายได้มั่นคงในตลาดที่ครองแบบเบ็ดเสร็จทั้งระบบปฏิบัติการ Windows และโปรแกรมชุดสำนักงานอย่าง Microsoft Office
ทั้งสองบริษัทเติบโตมาในยุคที่แตกต่างกัน Google ที่เติบโตมาทีหลังถูกมองว่าเป็นขวัญใจชาวอินเทอร์เน็ตมากกว่า ด้วยภาพลักษณ์ความเจ๋ง วัฒนธรรมองค์กรรูปแบบใหม่ที่ Google สร้างขึ้น มันดึงดูดเหล่าวิศวกรอัจฉริยะยุคใหม่ได้อย่างล้นหลาม
สถานการณ์นี้ส่งผลโดยตรงต่อ Microsoft ทำให้ Bill Gates ต้องตั้งกรรมการชุดพิเศษขึ้นมา โดยมีหน้าที่เดียวคือหาทางกำจัด Google โดยเฉพาะ ไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตาม เพราะวิศวกรจาก Microsoft เริ่มถูกพลังดูดจากบริษัทอินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ออกไปเรื่อยๆ
Microsoft ต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะรั้งวิศวกรเหล่านี้ไว้ ซึ่งต้องใช้ทั้งแรงกายและเงินทุนมากขึ้น ต้องเสนอเงินและโบนัสพิเศษที่สูงลิ่ว อาการสมองไหลแบบนี้ Microsoft แทบไม่เคยเจอมาก่อนไม่ว่าจะแข่งกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งเพียงใด
และคนที่ Microsoft โกรธแค้นที่สุด เป็นใครไม่ได้นอกจาก Dr. Kai-Fu Lee ซึ่งมีดีกรีด็อกเตอร์จาก Carnegie Mellon ผู้ที่เริ่มทำงานกับ Microsoft ประเทศจีนในปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่ Google ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นมานั่นเอง
Dr. Lee จบปริญญาเอกที่ Carnegie Mellon ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เขาเป็นหนึ่งในบุคลากรระดับเทพด้านเทคโนโลยี speech recognition
ในปี 1986 Lee และ Sanjoy Mahajan พัฒนา Bill ซึ่งเป็นระบบการเรียนรู้สำหรับการเล่นเกม Othello ที่สามารถเอาชนะผู้เล่นระดับชาติของสหรัฐอเมริกาได้ในปี 1989
Lawrence Rabiner ศาสตราจารย์ในภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ที่ Rutgers University กล่าวว่า ระบบของ Lee สามารถจดจำคำพูดของคนมากกว่าหนึ่งคน ช่วยให้พูดได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีความต่อเนื่อง และจัดการกับคำศัพท์ที่มีจำนวนนับหมื่นคำ
“มันเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในยุคนั้น” Rabiner กล่าว
หลังจากเป็นอาจารย์ที่ Carnegie Mellon สองปี Lee ได้ร่วมงานกับ Apple Computer ในปี 1990 ในตำแหน่งหัวหน้านักวิทยาศาสตร์การวิจัย ซึ่งในช่วงนั้น Lee เป็นหัวหน้ากลุ่ม R&D ที่รับผิดชอบผลิตภัณฑ์อย่าง Apple Pippin, Casper (อินเทอร์เฟซเกี่ยวกับคำพูด), GalaTea (ระบบแปลงข้อความเป็นคำพูด) สำหรับเครื่อง Mac
ต่อมา Lee ย้ายไปร่วมงานกับ Silicon Graphics ในปี 1996 และใช้เวลาหนึ่งปีในตำแหน่งรองประธานแผนกผลิตภัณฑ์บนเว็บ และอีกปีในตำแหน่งประธานแผนกซอฟต์แวร์ด้านมัลติมีเดีย Cosmo Software
ในปี 1998 Lee ได้ร่วมงานกับ Microsoft โดยได้รับตำแหน่งดูแลการดำเนินงานและยุทธศาสตร์หลักทั้งหมดในจีน เขายังมี connection ที่ยอดเยี่ยมกับทางรัฐบาลจีน เป็นคนริเริ่มก่อตั้งศูนย์วิจัย Microsoft ขึ้นในปักกิ่ง
แต่แล้วในปี 2005 เมื่อ Google ต้องการรุกเข้าสู่ตลาดจีน และนี่เป็นสิ่งที่ Lee ถวิลหาความท้าทายใหม่ที่จะได้ทำงานกับ Google แม้ตอนนั้นเขาจะเป็นลูกจ้างของ Microsoft อยู่ก็ตาม ซึ่ง Google นั้นก็ต้องการได้มือดีอย่างเขาเพื่อมาเป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยในประเทศจีนเช่นกัน
มันเป็นการแย่งชิงตัวบุคลากรระดับสูงสุดรายแรกที่ Google สามารถช่วงชิงมาจาก Microsoft ได้ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ Microsoft โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลยทีเดียว และพร้อมจะโจมตีกลับด้วยการดำเนินการทางกฎหมายกับ Google
Microsoft คาดหวังกับ Lee มากโข และเขาเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่ได้รับผลตอบแทนสูงระดับต้นๆ ของบริษัท Lee เคยเป็นหัวหน้าแผนก Natural Interactive Services ของ Microsoft ซึ่งรับผิดชอบในการพัฒนาเทคโนโลยีและบริการเพื่อให้อินเทอร์เฟซผู้ใช้เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ซึ่ง Microsoft มองว่ามันรวมถึงเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์สำหรับการค้นหาขั้นสูงที่จะถูกรวมกับเครื่องมือค้นหาของ MSN ในท้ายที่สุด
แต่คำขู่จาก Microsoft ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะในเดือนกรกฎาคม ปี 2005 Lee ก็เดินตามคนอื่นๆ ที่ทิ้ง Microsoft เข้าหา Google ซึ่งทำให้ Google ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น เพราะได้ฉกเอาพนักงานระดับสูงที่มีความรู้และ Connection ที่ดีกับรัฐบาลจีน รวมถึงชุมชนนักพัฒนาในประเทศจีนอีกด้วย
เมื่อถูก Google หยามถึงเพียงนี้ Microsoft จึงต้องเล่นไม้แรง ด้วยการฟ้องร้องทางกฎหมายต่อ Google และ Lee ทันที Microsoft กล่าวหาว่า Google นั้นได้ยั่วยุให้ Lee ฉีกสัญญาจ้างที่ได้เซ็นไว้ทั้งที่รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ซึ่ง Lee นั้นเป็นผู้บริหารระดับสูงที่เอื้อต่อการเข้าสู่จีนหรือการพัฒนาเทคโนโลยีค้นหาของ Google ในประเทศจีน
สุดท้าย Microsoft ได้ชัยชนะชั่วคราว จากคำสั่งศาลที่ห้าม Lee ร่วมงานที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาข้อมูล แต่ผู้พิพากษายังยอมให้ Lee สามารถทำงานในจีนต่อได้ และช่วยส่งสารไปยังเหล่าพนักงานอาวุโสของ Microsoft ไม่ให้ย้ายไปอยู่กับ Google
ขณะที่คดีของ Lee ยังอยู่ในกระบวนการคลี่คลาย ตลาดอินเทอร์เน็ตในจีนก็ได้เกิดความร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ Yahoo ได้ประกาศลงทุนหนึ่งพันล้านเหรียญใน Alibaba บริษัทอินเทอร์เน็ตชั้นนำของจีน
หลังจากคดีของ Lee Google จึงต้องหาแผนสำรองด้วยการซื้อหุ้น Search Engine ชื่อดังของจีนอย่าง Baidu.com ที่มี Design และ Concept เรียบง่ายแบบเดียวกับที่ Google รังสรรค์ขึ้นมาในอเมริกา
และเมื่อ Baidu ทำ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ มันได้เพิ่มมูลค่าตลาดนับพันล้านเหรียญให้แก่ Google และทำให้มูลค่าของ Google ในขณะนั้นมีมูลค่ามากกว่า Amazon และ eBay รวมกันเสียอีก ตอนนี้ Google เติบโตจนเหลือเพียงแค่ Microsoft เท่านั้นที่พวกเขายังล้มไม่ได้
ในขณะที่ Google คิดว่าตัวเองเป็นบริษัททางด้านเทคโนโลยี แต่ความจริงแล้วนั้น Google ทำเงินด้วยการโฆษณา ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับสื่อแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่ ปีแรกที่เข้าตลาดนั้น Google มีมูลค่าในตลาดมากกว่าบริษัทสื่อที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Time Warner เสียด้วยซ้ำ
การที่ Google ทำให้ข้อมูลทั่วโลกเข้าถึงได้ผ่านทางออนไลน์ และการที่ Google สามารถดึงดูดเอาวิศวกรที่ฉลาดที่สุดจากทั่วโลกได้พร้อมกันนั้น มันส่งผลอย่างชัดเจนต่อการเติบโตขึ้นและพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของพวกเขามาจนถึงปัจจุบัน
การแย่งชิงตัว Kai-Fu Lee เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี แสดงให้เห็นว่าในโลกของธุรกิจเทคโนโลยี ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดไม่ใช่เงินทุนหรือเทคโนโลยี แต่เป็นคนที่มีความสามารถโครตเทพแบบ Lee
Microsoft พยายามใช้กฎหมายเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและบุคลากรของตน ในขณะที่ Google ใช้ภาพลักษณ์ที่เจ๋งและวัฒนธรรมองค์กรที่ดึงดูดใจเพื่อล่อลวงเหล่าผู้มีความสามารถให้มาร่วมงาน
การเข้าสู่ตลาดจีนของ Google เป็นความท้าทายที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ไม่เพียงแต่การแข่งขันกับคู่แข่งท้องถิ่นอย่าง Baidu แต่ยังต้องเผชิญกับการควบคุมเนื้อหาที่เข้มงวดจากรัฐบาลจีนอีกด้วย
Google จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์และเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นให้ลึกซึ้ง การได้ Kai-Fu Lee มาร่วมงานจึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาบุกตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การแข่งขันระหว่าง Google และ Microsoft ในตลาดจีนไม่ใช่เพียงการชิงส่วนแบ่งตลาด แต่เป็นการแข่งขันเพื่อชิงอิทธิพลในการกำหนดทิศทางของอินเทอร์เน็ตในอนาคต
ทั้งสองบริษัทต่างทุ่มเททรัพยากรมหาศาลเพื่อขยายอิทธิพลในตลาดที่มีศักยภาพสูงนี้ Microsoft เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของตลาดจีน ในขณะที่ Google พยายามนำเสนอบริการค้นหาที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ
แม้สุดท้ายฝั่ง Google จะล้มเหลวและถอนตัวออกจากตลาดจีนไปในท้ายที่สุดก็ตาม แต่กรณีของ Kai-Fu Lee แสดงให้เห็นว่าในโลกของเทคโนโลยี บุคลากรที่มีความสามารถเฉพาะทางและมีเครือข่าย Connection ที่แข็งแกร่งมีค่ามากกว่าทองคำ
ในที่สุด การที่ Google สามารถทำให้ข้อมูลทั่วโลกเข้าถึงได้ง่ายผ่านทางออนไลน์ และความสามารถในการดึงดูดวิศวกรที่ฉลาดที่สุดจากทั่วโลก ได้ส่งผลให้พวกเขาเติบโตอย่างก้าวกระโดดมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะเผชิญกับความท้าทายและการแข่งขันที่ดุเดือดก็ตาม