Geek Story EP367 : เมื่อ 2 วัยรุ่นล้มอุตสาหกรรมดนตรีแสนล้าน เรื่องราวของ Napster ผู้ปฏิวัติวงการเพลงที่ถูกลืม

นึกภาพย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1990s คุณกำลังขับรถและได้ยินเพลงใหม่ในวิทยุ เสียงที่ทำให้คุณหยุดคิด คุณชอบมันมาก และอยากฟังซ้ำอีกครั้ง แต่ตัวเลือกของคุณมีจำกัด คุณอาจบันทึกจากวิทยุลงเทปเปล่า ซึ่งคุณภาพเสียงมักไม่ดีนัก หรือไปที่ร้านเพลงเพื่อซื้ออัลบั้มทั้งอัลบั้มในราคา 20 ดอลลาร์ เพียงเพื่อเพลงเดียวที่คุณชอบ

นี่คือปัญหาที่ผู้บริโภคดนตรีในยุคนั้นเผชิญ อัลบั้มมีราคาแพงและคุณต้องซื้อทั้งอัลบั้มเพื่อให้ได้เพลงที่ชอบเพียงไม่กี่เพลง ไม่มีทางเลือกที่คุ้มค่า ในขณะเดียวกัน อินเทอร์เน็ตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ สำหรับการเชื่อมต่อและแบ่งปันความคิดระหว่างผู้คน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/y9uh6cwr

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bdfcb6ud

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/29956yyy

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Oy8iulBj7YE

Richard Montañez กับการพลิกชีวิตด้วย 1 idea ที่เปลี่ยนจากภารโรงให้กลายเป็นผู้บริหารที่ PepsiCo

ก่อนที่จะเกิดความคิดที่พลิกชีวิตของเขาไปตลอดกาล Richard Montañez ลูกชายของผู้อพยพชาวเม็กซิกันเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่แสนจะลำบาก เขาและพี่น้องอีกสิบคนอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ แค่หนึ่งห้องนอนกับพ่อแม่ที่ฝ่าฟันต่อสู้เพื่อครอบครัว

ชีวิตของ Montañez ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เขากลับมองว่านี่คือจุดเริ่มต้นของปัญญาอันล้ำค่า “ผมมีปริญญาเอกของการเป็นคนที่น่าสงสาร ความหิวโหย และความมุ่งมั่น” อดีตภารโรงผู้นี้เคยให้สัมภาษณ์กับวอชิงตันโพสต์ด้วยความภาคภูมิใจ

“ผมเชื่อว่าเมื่อคุณได้สัมผัสทั้งสามสิ่งนี้แล้ว คุณจะเกิดปัญญามากมาย ความยากจนไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นแรงผลักดันให้เกิดนวัตกรรมหลายอย่าง” คำพูดที่เต็มไปด้วยพลังและแรงบันดาลใจจากชายผู้มีชีวิตโชกโชนวัย 67 ปี

จิตวิญญาณของนักสร้างสรรค์ในตัว Montañez เริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่เขายังเด็ก วันแรกที่เขาไปโรงเรียนประถมปีที่ 3 แม่ของเขาเตรียมเบอร์ริโตให้เป็นอาหารกลางวัน แต่เขากลับรู้สึกอายเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นมีอาหารกลางวันที่แตกต่างจากเขา

“ในช่วงทศวรรษ 1960 มีคนเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นเบอร์ริโต” เขาเล่าในหนังสือของเขา “เด็กชายเบอร์ริโตและคุกกี้” “ทุกคนจ้องมองมาที่ผม ผมรีบใส่มันกลับเข้าไปในกระเป๋าและซ่อนมันไว้”

วันต่อมา เขาขอให้แม่ทำ “แซนวิชโบโลน่าและคัพเค้กเหมือนเด็กคนอื่นๆ” แทน แต่แม่กลับตอบสนองด้วยวิธีที่แตกต่าง เธอเตรียมเบอร์ริโตให้ถึงสองชิ้น หนึ่งสำหรับให้เขากิน และอีกชิ้นสำหรับให้เขาหาเพื่อน

เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ ผู้ประกอบการวัย 7 ขวบรายนี้เริ่มขายเบอร์ริโตในราคาชิ้นละ 0.25 ดอลลาร์ นี่คือจุดเริ่มต้นของการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่หลายคนมองข้าม ความเทพของเด็กน้อยที่หลายคนไม่เคยนึกถึง

หลังจากดิ้นรนกับการเรียนรู้การอ่านและการเขียนขั้นพื้นฐาน Montañez ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน ชีวิตพาเขาไปพบกับงานหลากหลายที่มีรายได้ต่ำ ทั้งการเชือดไก่และการทำสวน การขาดการศึกษาอย่างเป็นทางการไม่ได้ทำให้เขาถอดใจ แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้เขาพยายามมากขึ้น

วันหนึ่งขณะที่เขากำลังทำงานที่ร้านล้างรถ เพื่อนของเขามาบอกข่าวที่เปลี่ยนชีวิตเขา Frito-Lay กำลังเปิดรับสมัครพนักงาน โอกาสที่จะเปลี่ยนชีวิตกำลังมาถึง

ด้วยความหวังและความกล้า Montañez ไปที่โรงงาน Frito-Lay ในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ เขาขอใบสมัครแม้จะอ่านหรือเขียนแทบไม่ได้ เขาขอให้ภรรยาในอนาคตช่วยกรอกเอกสารแทน และส่งใบสมัครไปในวันนั้นเลย บริษัทตอบรับให้เขาเริ่มงานในตำแหน่งภารโรง

ความคิดสุดเจ๋งที่นำไปสู่การสร้าง Flamin’ Hot Cheetos เกิดขึ้นโดยบังเอิญในวันที่เครื่องจักรเกิดขัดข้องในสายการผลิต Cheetos บางส่วนไม่ได้รับการโรยด้วยผงชีสสีส้มมาตรฐาน นี่คือจุดเริ่มต้นของไอเดียสุดล้ำ

Montañez นำ Cheetos ธรรมดากลับบ้านและเริ่มทดลองใส่พริกป่นลงไป แรงบันดาลใจของเขามาจากพ่อค้าแม่ค้าข้างถนนในละแวกบ้านที่ขายข้าวโพดย่างแบบเม็กซิกันราดด้วยมะนาวและพริก เพื่อนและครอบครัวของเขาต่างชื่นชอบรสชาตินี้เป็นอย่างมาก

ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 PepsiCo กำลังเผชิญกับความท้าทายทางธุรกิจ คู่แข่งมากมายและการขาดแคลนไอเดียใหม่ๆ ทำให้ Roger Enrico ซีอีโอของบริษัทต้องประกาศต่อพนักงานกว่า 300,000 คนว่าพวกเขาต้องการความคิดสร้างสรรค์เพื่อรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่

นี่คือโอกาสที่ Montañez รอคอย เขาตัดสินใจติดต่อ CEO โดยตรง ซึ่งหลังจากได้รับฟังไอเดียคร่าวๆ แล้ว Enrico ให้เวลาเขาสองสัปดาห์เพื่อเตรียมการนำเสนอกับผู้บริหารบริษัท การตัดสินใจครั้งนี้เปรียบเสมือนการเข้าถ้ำเสือ แต่เขาไม่ลังเล

ด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ Montañez มุ่งตรงไปที่ห้องสมุดเพื่อศึกษาเรื่องการตลาดและการออกแบบผลิตภัณฑ์ เขาสร้างบรรจุภัณฑ์ต้นแบบ และเดินเข้าห้องประชุมด้วยความมั่นใจด้วยเน็คไทราคาเพียง 3 ดอลลาร์

“พวกเขาทึ่งกับการออกแบบผลิตภัณฑ์” เขาเล่าด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ และแล้ว Flamin’ Hot Cheetos ก็ถือกำเนิดขึ้น จนถึงทุกวันนี้ สแน็คเผ็ดร้อนนี้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของ Frito-Lay และกลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่

การนำเสนอครั้งนั้นไม่เพียงแต่สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับบริษัท แต่ยังเปิดประตูสู่เส้นทางอาชีพอันรุ่งโรจน์ของ Montañez Montañez สามารถไต่เต้าตำแหน่งจากภารโรงไปสู่ระดับผู้บริหารของ PepsiCo ได้อย่างน่าทึ่ง ความฝันที่หลายคนอาจมองว่าเป็นสิ่งเพ้อฝันกลับกลายเป็นความจริง

ทุกวันนี้ เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ นำเสนอเรื่องราวและแนวคิดเกี่ยวกับความสำคัญของความหลากหลายในธุรกิจต่อบริษัทชั้นนำต่างๆ Fox Searchlight Pictures ยังได้สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตที่น่าทึ่งของเขาอีกด้วย เรื่องราวของเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอีกมากมาย

Montañez มักจะย้อนคิดว่าชีวิตของเขาคงแตกต่างออกไปมากหากเขาไม่กล้าที่จะนำเสนอไอเดียกับ CEO โดยตรง ประสบการณ์นี้ทำให้เขาได้บทเรียนสำคัญที่เขาแบ่งปันกับผู้อื่นอยู่เสมอ

“อย่ามองตำแหน่งของคุณอย่างไร้ค่า ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรก็ตาม” Montañez กล่าว “จะเป็น CEO หรือภารโรง ก็จงทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของบริษัท”

อย่างไรก็ตาม มีเรื่องราวอีกด้านที่ต้องรู้ เพราะคำกล่าวอ้างของ Richard Montañez ว่าเขาเป็นผู้คิดค้น Flamin’ Hot Cheetos ถูกโต้แย้งในรายงานปี 2021 ของ LA Times ทางบริษัท Frito-Lay ได้ออกแถลงการณ์ว่า:

“เราให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของ Richard ต่อบริษัทของเรา โดยเฉพาะข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคชาวฮิสแปนิก แต่เราไม่ได้ให้เครดิตการสร้าง Flamin’ Hot Cheetos หรือผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของ Flamin’ กับเขาเพียงคนเดียว”

ในการตอบโต้ Montañez ยืนยันความถูกต้องของเรื่องราวของเขาใน Variety .com โดยอธิบายว่าเขาไม่รู้ว่าแผนกอื่นๆ ของบริษัทกำลังดำเนินการทดลองคล้ายๆ กันอยู่ในขณะนั้นเช่นกัน

ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เรื่องราวของ Montañez ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนมากมาย มันแสดงให้เห็นว่าความกล้าหาญ ความคิดสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่นสามารถพลิกชีวิตคนธรรมดาให้กลายเป็นเรื่องราวความสำเร็จที่น่าทึ่งได้

อดีตภารโรงผู้ซึ่งแทบจะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ได้กลายเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทระดับโลก เป็นเรื่องราวที่เป็นที่เตือนใจเราว่าไม่มีอุปสรรคใดที่ไม่สามารถก้าวผ่านได้หากมีความตั้งใจจริง

โลกธุรกิจและการตลาดเต็มไปด้วยความท้าทายและการแข่งขัน แต่เรื่องราวของ Montañez สอนให้เรารู้ว่า บางครั้งไอเดียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจมาจากสถานที่หรือบุคคลที่คาดไม่ถึงที่สุด

Richard Montañez ไม่ใช่แค่เรื่องราวของความสำเร็จทางธุรกิจ แต่เป็นตัวอย่างของพลังแห่งการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งไหนหรือมีภูมิหลังอย่างไร คุณสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หากคุณกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะลงมือทำ และกล้าที่จะไม่ยอมแพ้

References: [washingtonpost, latimes, variety, forbes, biography]

Geek Story EP366 : ทำไม Google ถึงไล่ผู้ก่อตั้ง Android ออก? กับเรื่องราวของเจ้าพ่อระบบปฏิบัติการที่ถูกลืม

แอนดรอยด์เป็นหนึ่งในระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก มีผู้ใช้งานมากกว่า 3.5 พันล้านคน หลายคนยืนยันว่าจะใช้แอนดรอยด์ไปจนวันตายและไม่มีทางที่จะหันไปใช้ iOS เพราะความหลากหลายและเสรีภาพที่แอนดรอยด์มอบให้ เมื่อนึกถึงความนิยมมหาศาลและฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นเช่นนี้ ใครหลายคนอาจคิดว่าผู้ก่อตั้งแอนดรอยด์คงเป็นไอคอนในวงการธุรกิจเทคโนโลยีเทียบชั้น Bill Gates หรือ Steve Jobs แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ที่น่าแปลกกว่านั้นคือมีคนจำนวนไม่น้อยที่เกลียดผู้ก่อตั้งแอนดรอยด์นาม Andy Rubin นี่คือชายที่ Google ยอมจ่ายเงินถึง 90 ล้านดอลลาร์เพื่อให้เขาออกจากบริษัทในเดือนตุลาคม 2014 และเมื่อรายละเอียดเกี่ยวกับการลาออกของเขาถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ พนักงาน Google กว่า 20,000 คนได้รวมตัวกันประท้วงหยุดงาน สถานการณ์ร้อนแรงถึงขนาดที่ผู้ถือหุ้นหลายรายฟ้องร้อง Google จนทำให้บริษัทต้องจ่ายเงินยุติคดีถึง 310 ล้านดอลลาร์ในปี 2020

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/3c2zdr8h

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mryymn6s

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2rmfxt6c

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/9rLrDj5Siq8

Apple ล้างสมองคุณอย่างไร? กับวิธีการเปลี่ยนเทคโนโลยีให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนเรา

Apple บริษัทที่มูลค่าพุ่งทะยานถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์! จนขึ้นทำเนียบเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก มีคนใช้ iPhone มากถึง 1.3 พันล้านคนทั่วโลก

ทุกปี Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่บอกว่าเจ๋งที่สุดเท่าที่เคยมีมา และทุกครั้งก็มีคนแห่แหนไปซื้อราวกับถูกมนต์สะกด แม้ว่ารุ่นใหม่จะดีขึ้นเพียงเล็กน้อยจากรุ่นก่อนหน้าก็ตามที

คำถามที่น่าสนใจก็คือ Apple สามารถสร้างความจงรักภักดีระดับบ้าคลั่งแบบนี้ได้ยังไง ซึ่งเหตุผลอาจไม่ใช่อย่างที่หลายคนคิด และเมื่อเข้าใจจิตวิทยาเบื้องลึกของ Apple แล้ว คุณอาจจะมองบริษัทนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ภาพยนตร์ชีวประวัติ Steve Jobs ที่สร้างในปี 2015 (ดัดแปลงจากหนังสือของ Walter Isaacson) เผยให้เห็นบุคลิกที่สุดยอดของ Jobs ทั้งแรงบันดาลใจ อารมณ์ และวิสัยทัศน์ที่ผลักดันการตัดสินใจของเขา

มีฉากเจ๋งๆ ตอนที่มีคนพยายามกล่าวหา Jobs ว่าเขาไม่ได้เขียนโค้ด ไม่ใช่วิศวกร ไม่ใช่นักออกแบบ แม้แต่ตอกตะปูก็ยังทำไม่เป็น แต่ Jobs ตอบกลับว่าเขาเป็น “วาทยกร” คนที่ควบคุมวงดนตรีให้บรรเลงเพลงอย่างลงตัว

สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ บริษัทเจ๋งๆ ถูกสร้างโดยคนเจ๋ง ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักเริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง แม้ว่าต่อมาหลายแห่งจะเติบโตจนกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ หลังจากหัวใจและจิตวิญญาณของผู้ก่อตั้งได้จากไปแล้ว

ไม่มีใครสร้างผลกระทบต่อวงการเทคโนโลยีมากกว่า Steve Jobs ผลงานของเขามีตั้งแต่ Mac, iPod, iPhone, iPad, App Store, iCloud ไปจนถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมสตรีมมิ่งผ่าน iTunes

ผลงานของ Apple อยู่ในทุกซอกทุกมุมของโลกเทคโนโลยี ทั้งการกำหนดทิศทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทอื่นและการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค

Jobs มีแนวคิดว่าการให้ลูกค้าในสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่เป็นการค้นหาว่าพวกเขา “จะ” ต้องการอะไรก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวเสียอีก

เขาอ้างคำพูดของ Henry Ford ที่ว่าหากถามลูกค้าว่าต้องการอะไร พวกเขาคงตอบว่าต้องการม้าที่วิ่งเร็วกว่าเดิม ไม่ใช่รถยนต์ Jobs เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าต้องการอะไรจนกว่าจะได้เห็นของจริง

น่าเสียดายที่ปัจจุบันเราไม่ได้เห็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์เหมือนในยุคสมัย Jobs อีกต่อไป ความจริงก็คือไม่มีใครทดแทน Steve Jobs ได้ Apple ในยุคนี้จึงต้องควบคุมเรื่องราวของแบรนด์ด้วยวิธีอื่น

เมื่อแบรนด์ผูกติดกับบุคคลเพียงคนเดียว นักธุรกิจเรียกว่า “ความเสี่ยงจากบุคคลสำคัญ” หรือ key person risk Apple จึงต้องสร้างภาพลักษณ์สุดแข็งแกร่งเพื่อทดแทนการจากไปของ Jobs

เมื่อมอง Apple ในปัจจุบัน คุณจะเห็นแบรนด์พรีเมียมที่เป็นมากกว่าบริษัทเทคโนโลยีทั่วไป เป็นแบรนด์สำหรับคนที่ “เหนือกว่า” ไม่ว่าจะเป็นนักสร้างสรรค์ นวัตกร และพวกที่ “คิดต่าง”

Apple นำเสนอตัวเองในฐานะบริษัทที่ใส่ใจความเป็นส่วนตัว ผลิตสินค้าระดับเทพที่คงทนถาวร ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีวันพังง่ายๆ และให้คุณค่ากับความเรียบง่ายและประสิทธิภาพมากกว่าตัวเลือกมากมายเหมือนแบรนด์อื่น ๆ

Apple ได้ทำการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ในปี 1997 เมื่อพวกเขาเปิดตัวแคมเปญโฆษณาสุดเจ๋งภายใต้ชื่อ “Think Different” และแม้จะไม่ได้ใช้วลีนี้อย่างเป็นทางการอีกต่อไป แต่แนวคิดนี้ยังคงฝังลึกอยู่ในทุกสิ่งที่ Apple ทำ

พวกเขาสื่อสารโดยนัยว่าลูกค้าของ Apple “แตกต่าง” ไม่ยอมเข้ากับกรอบของสังคมทั่วไป เหมือนเป็นกลุ่มพิเศษที่มีความคิดและรสนิยมเหนือคนทั่วไป

สิ่งที่ Apple ทำได้อย่างแยบยลคือการทำให้ผู้บริโภคเชื่อมโยงคุณลักษณะพิเศษเหล่านี้กับผลิตภัณฑ์และแบรนด์ ทำให้คนคิดว่าหากพวกเขาซื้อ iPhone, Mac หรือ AirPods พวกเขาจะมีคุณลักษณะพิเศษเหล่านั้นด้วย

นี่คือจิตวิทยาเบื้องหลังที่ Apple ได้ปลูกฝังมาหลายปี จนทำให้คนรู้สึกว่าหากต้องการประสบความสำเร็จและเป็นเหมือนคนเจ๋งๆ เหล่านั้น จำเป็นต้องมีผลิตภัณฑ์ของ Apple

เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ แต่สัมผัสได้ เช่นเดียวกับที่เมื่อนึกถึงกีฬา เราจะนึกถึง Nike และ Adidas หรือเมื่อนึกถึงน้ำอัดลม ก็จะนึกถึง Coke และ Pepsi Apple ตอกย้ำความรู้สึกนี้มาหลายทศวรรษจนฝังในจิตใต้สำนึกของผู้คน

ทุกครั้งที่มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประจำปี Apple จะไม่เน้นที่สเปคของสินค้า แต่จะแสดงให้เห็นว่าคุณจะทำอะไรได้บ้างกับผลิตภัณฑ์ของพวกเขา

สิ่งที่น่าทึ่งคือ Apple แทบไม่เคยพูดถึงคู่แข่งโดยตรง พวกเขามักเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ใหม่กับผลิตภัณฑ์ Apple รุ่นก่อนหน้าเท่านั้น เพื่อสื่อว่า Apple อยู่ในลีกของตัวเอง ไม่มีคู่แข่ง

ทุกอย่างที่ Apple ทำถูกรังสรรค์อย่างพิถีพิถันตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ แม้แต่บรรจุภัณฑ์ที่หลายคนมองข้าม พวกเขาเป็นผู้บุกเบิกบรรจุภัณฑ์หรูหราระดับพรีเมียม

Steve Jobs เคยพูดตรงๆ ว่าเมื่อคุณเปิดกล่อง iPhone หรือ iPad ประสบการณ์การสัมผัสนั้นจะกำหนดว่าคุณจะรับรู้ผลิตภัณฑ์อย่างไร บรรจุภัณฑ์ของ Apple จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอกย้ำความเป็นพรีเมียม

กระบวนการแกะกล่องทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ ทั้งความรู้สึกของกล่อง ความเรียบง่าย ความเร็วในการเปิด วิธีที่ทุกอย่างลงตัวอย่างแม่นยำ การจัดวางในกล่อง โลโก้ที่แฝงอยู่ แม้แต่วิธีที่พลาสติกคลี่ออก

ความพิถีพิถันนี้ปรากฏในทุกผลิตภัณฑ์ของ Apple จนมีช่อง YouTube เกิดขึ้นมากมายที่ทำเนื้อหาเกี่ยวกับการแกะกล่องผลิตภัณฑ์ Apple โดยเฉพาะ (Unboxing) จนกลายเป็นวัฒนธรรมย่อยไปแล้ว

บรรจุภัณฑ์สวยๆ จะไม่มีความหมายถ้าตัวผลิตภัณฑ์ไม่ได้ออกแบบมาอย่างโคตรเทพ สิ่งที่ทำให้คนหลงใหลใน Apple คือดีไซน์ที่สะกดใจ

ทุกสิ่งที่พวกเขาผลิตให้ความรู้สึกว่าทำมาจากชิ้นเดียว จากแม่พิมพ์เดียว ไม่มีสกรูเกะกะหรือพลาสติกถูกๆ แต่เป็นวัสดุคุณภาพสูงอย่างไทเทเนียมระดับอวกาศ อลูมิเนียม และสแตนเลสสตีล

การออกแบบของ Apple มีความเรียบหรูและเน้นความเรียบง่าย มีความประณีตทางวิศวกรรม ขอบที่เรียบลื่น การสัมผัสที่ให้ความรู้สึกดี และความสม่ำเสมอที่เป๊ะทุกรายละเอียด

ในแง่หนึ่ง ผลิตภัณฑ์ของ Apple ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นงานศิลปะชิ้นเอก จนมีคนจำนวนไม่น้อยที่สะสมผลิตภัณฑ์ Apple เหมือนสะสมงานศิลปะชั้นสูง

ผลิตภัณฑ์ของ Apple ถูกสร้างมาให้ทนทาน แข็งแรง และใช้ได้นาน แต่เหตุผลหนึ่งที่พวกเขาทำการออกแบบที่สะอาดเรียบร้อยได้คือผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้แก้ไขดัดแปลงได้ง่ายๆ

คุณไม่สามารถซ่อมผลิตภัณฑ์ Apple ได้ด้วยตัวเอง คุณซื้อด้วยความเชื่อว่ามันจะทำงานได้อย่างราบรื่นไปตลอด และส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

สิ่งที่คนมักมองข้ามเกี่ยวกับ Apple คือระบบนิเวศแบบปิดของพวกเขา ที่ทำให้คุณไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ของ Apple ได้อย่างอิสระ

ในวงการเทคโนโลยี เราเรียกสิ่งนี้ว่า “Walled Garden” ซึ่งปัจจุบันหลายบริษัทเทคโนโลยีใช้กลยุทธ์นี้ แต่ก็ไม่ได้ผลเหมือนที่ Apple ทำ

เมื่อ 50 ปีก่อน ในยุคที่ Microsoft และ IBM เป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ โมเดลธุรกิจของพวกเขาเน้นการให้ตัวเลือกแก่ลูกค้าและความยืดหยุ่น Apple เป็นบริษัทแรกที่กล้าเอาตัวเลือกไปจากผู้บริโภคอย่างจงใจ

ความแตกต่างที่โคตรสำคัญระหว่าง Apple กับบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ คือ Apple เป็นเจ้าของและออกแบบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของตัวเอง

iOS ถูกสร้างมาให้ทำงานบน iPhone และ iPad เท่านั้น Safari ถูกสร้างมาให้ทำงานบน Mac โดยเฉพาะ เมื่อเทียบกับ Windows และ Android ที่ทำงานได้บนอุปกรณ์หลากหลายจากหลายบริษัท

Microsoft เน้นทางเลือกและความยืดหยุ่น ในขณะที่ Apple เน้นคุณภาพ ความปลอดภัย และประสบการณ์ผู้ใช้ที่เหนือชั้น Alan Kay นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ชื่อดังเคยกล่าวว่า “คนที่จริงจังกับซอฟต์แวร์ควรสร้างฮาร์ดแวร์ของตัวเอง”

ประเด็นนี้บอกว่าคุณไม่สามารถสร้างซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ที่เจ๋งได้จริงๆ เว้นแต่คุณจะสร้างทั้งสองอย่างควบคู่กันไป นี่คือเหตุผลที่คนหลงรัก Apple—พวกมันใช้งานได้ทันทีและลื่นไหลสุดๆ

ฮาร์ดแวร์ของ Apple ถูกสร้างขึ้นโดยเฉพาะเพื่อรันซอฟต์แวร์ของ Apple และซอฟต์แวร์ก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำงานบนฮาร์ดแวร์ของ Apple โดยเฉพาะ ทำให้พวกเขาสามารถปรับแต่งทุกรายละเอียดเพื่อประสิทธิภาพสูงปรี๊ด

นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ Apple รักษาภาพลักษณ์แบรนด์แข็งแกร่งได้ตลอดมา แต่มีกลยุทธ์สำคัญอีกอย่างคือการที่ผลิตภัณฑ์ของ Apple ถูกออกแบบให้ไม่สามารถใช้งานร่วมกับสิ่งอื่นนอกระบบนิเวศได้ดี

แต่กลับมีการออกแบบให้ผลิตภัณฑ์ Apple ทำงานร่วมกันเองได้อย่างไร้ที่ติ คุณจะติดอยู่กับบริการต่างๆ เช่น iMessage, FaceTime, iCloud, AirDrop และอุปกรณ์เสริมอย่าง AirPods, Apple Watch และ HomePod

สิ่งเหล่านี้มีอยู่เฉพาะในระบบนิเวศของ Apple เท่านั้น คุณไม่สามารถย้ายทุกอย่างจาก iPhone ไปยัง Android ได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นโดยที่คุณไม่ทันรู้ตัว Apple ได้สร้างความจงรักภักดีผ่านการทำให้คุณ “ติดกับดัก” ในระบบนิเวศของพวกเขา

ก่อนที่คุณจะรู้ตัว คุณก็มีทั้ง Mac, iPhone, AirPods, HomePod และ Apple Watch เหมือนถูกล็อคไว้ในสวนสวยที่คุณออกไปไม่ได้ และแทบไม่อยากออกไปเลย

แม้แต่การที่ข้อความจาก Android แสดงเป็นสีเขียวบน iMessage ก็เป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาสุดแสบ เพื่อตอกย้ำว่า iPhone เจ๋งกว่า เป็นการเตือนตลอดเวลาว่าคนที่คุณกำลังคุยด้วยไม่ใช่สมาชิกในชมรมคนพิเศษของ Apple

การล็อคผู้ใช้ไว้ในระบบนิเวศนี้ได้ผลอย่างน่าทึ่ง ข้อมูลแสดงว่า Apple มีอัตราการรักษาลูกค้าสูงถึง 92% กับผู้ใช้ iPhone และควบคุมส่วนแบ่งการตลาดสมาร์ทโฟนในสหรัฐฯ ถึง 57%

นี่คือตัวอย่างของความจงรักภักดีต่อแบรนด์และอำนาจในตลาดที่บริษัทส่วนใหญ่เพียงแค่ฝันถึง ระบบนิเวศแบบปิดไม่ได้เกี่ยวกับการล็อคลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยให้ Apple สามารถรักษามาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยได้ด้วย

ทุกแอพที่อยู่ใน App Store ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดจาก Apple และที่น่าสนใจก็คือ Google ยอมจ่ายเงินให้ Apple มากกว่า 20 พันล้านดอลลาร์ต่อปีเพียงเพื่อให้เป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้นบน Safari

นอกจากนี้ ทุกแอพใน App Store ต้องแบ่งรายได้ให้กับ Apple และเนื่องจาก Apple เป็นทั้งเจ้าของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ พวกเขาจึงสามารถเก็บข้อมูลได้อย่างครบถ้วน

ไม่เพียงแค่ประวัติการเข้าชมเว็บและการใช้แอพ แต่รวมถึงข้อมูลสุขภาพและข้อมูลการขับขี่ พวกเขารู้แม้กระทั่งตำแหน่งที่อยู่ของคุณและลักษณะของใบหน้าคุณ

แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือไม่มีใครรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้มากนัก เพราะ Apple ได้สร้างความไว้วางใจกับผู้บริโภคอย่างแยบยล โดยสร้างภาพลักษณ์ว่ามีเพียง Apple เท่านั้นที่เข้าถึงข้อมูลของคุณและพวกเขาไม่แบ่งปันข้อมูลนั้นกับใคร

เป้าหมายของ Apple ไม่ใช่การเป็นเพียงบริษัทเทคโนโลยีธรรมดาๆ แต่เป็นการก้าวไปสู่การเป็นบริษัทที่ครอบคลุมทุกด้านของชีวิตผู้คน หนึ่งในเหตุผลที่ Apple ประสบความสำเร็จมากมายก็คือพวกเขาไม่ได้คิดแบบระยะสั้นเหมือนบริษัททั่วไป

พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องการทำกำไรสูงสุดในไตรมาสหน้า แต่มุ่งสร้างบางสิ่งที่จะคงอยู่ยาวนาน ไม่ใช่เรื่องของการมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดเท่านั้น แต่เป็นการส่งมอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีที่สุด

Apple กำลังเล่นเกมที่ยาวกว่าและใหญ่กว่ามาก เราเห็นได้จากการที่พวกเขาลงทุนในแพลตฟอร์มใหม่ๆ อย่าง Vision Pro และ Apple TV+ รวมถึงขยายไปสู่บริการทางการเงินผ่าน Apple Pay และ Apple Card

Apple เข้าใจดีว่าเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะสร้างป้อมปราการในระยะยาว พวกเขาจำเป็นต้องเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มทั้งหมด เพราะการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มหมายถึงการเป็นผู้กำหนดกฎของเกม

น่าสนใจที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อื่นๆ อย่าง Meta (Facebook เดิม) ก็พยายามทำแบบเดียวกัน ด้วยการสร้างเมตาเวิร์สซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่พวกเขาหวังว่าจะควบคุมได้เองในอนาคต

แคมเปญโฆษณา “Think Different” ที่เปิดตัวในปี 1997 ยังคงมีความหมายลึกซึ้ง Apple นำเสนอภาพของคนที่เปลี่ยนแปลงโลก—นักคิด นวัตกร นักปฏิวัติ—และสร้างการเชื่อมโยงกับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple

เสียงของ Steve Jobs ดังก้องในโฆษณา Think Different ที่พูดถึง “คนบ้าๆ พวกคนนอกกรอบ พวกกบฏ คนที่เห็นสิ่งต่างๆ ต่างออกไป”

“พวกเขาไม่ชอบกฎและไม่เคารพสถานะเดิม คุณจะยกย่องหรือประณามพวกเขาก็ได้ แต่สิ่งเดียวที่คุณทำไม่ได้คือเพิกเฉยพวกเขา เพราะพวกเขาเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ พวกเขาผลักดันมนุษยชาติไปข้างหน้า”

“ในขณะที่บางคนมองว่าพวกเขาเป็นคนบ้า เรามองเห็นอัจฉริยะ เพราะคนที่บ้าพอที่จะคิดว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนโลกได้ คือคนที่ทำมันได้จริง” คำพูดเหล่านี้ยังคงก้องกังวานและสะท้อนถึงจิตวิญญาณของ Apple ได้อย่างชัดเจน

ปัจจุบัน Apple กลายเป็นมากกว่าบริษัทเทคโนโลยี แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นสัญลักษณ์ของสถานะ รสนิยม และอัตลักษณ์ของผู้ใช้

แม้จะมีผู้วิจารณ์ Apple ในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นราคาที่แพงลิบลิ่ว การปิดกั้นการซ่อมแซมด้วยตนเอง หรือการควบคุมระบบนิเวศอย่างเข้มงวด แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า Apple ได้เปลี่ยนแปลงวิธีที่เราใช้เทคโนโลยีไปตลอดกาล

พวกเขาไม่ได้เพียงสร้างผลิตภัณฑ์ แต่สร้างประสบการณ์ที่มีผู้คนจำนวนมากเต็มใจจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ได้มา หลังจากที่ Steve Jobs เสียชีวิตในปี 2011 หลายคนสงสัยว่า Apple จะยังคงรักษาความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมได้หรือไม่

แม้ว่าภายใต้การนำของ Tim Cook Apple แม้ว่าจะไม่ได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่ปฏิวัติวงการเหมือนอย่าง iPhone แต่พวกเขายังคงเติบโตเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่วิสัยทัศน์ระยะยาวของ Jobs ได้ฝังรากลึกในวัฒนธรรมองค์กรของ Apple

ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่แน่นอนคือ Apple ไม่ได้เพียงสร้างอิทธิพลต่อความคิดของคนรุ่นเดียว แต่ได้วางรากฐานสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไปด้วย พวกเขาไม่ได้ขายเพียงแค่เทคโนโลยี แต่ขายความฝัน อัตลักษณ์ และความรู้สึกที่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่พิเศษกว่า

เมื่อคุณซื้อ iPhone คุณไม่ได้เพียงซื้อโทรศัพท์ แต่คุณซื้อบัตรเข้าสู่สังคมที่เลือกสรรแล้ว—สังคมของคนที่ “คิดต่าง” นี่คือสิ่งที่ Apple ทำได้อย่างโคตรเทพ: การเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้เป็นประสบการณ์ การเปลี่ยนเทคโนโลยีให้เป็นศิลปะ

Apple สอนเราว่าแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ขายผลิตภัณฑ์ แต่ขายความรู้สึก พวกเขาไม่ได้สื่อสารว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขา “ทำ” อะไรได้บ้าง แต่สื่อสารว่าผลิตภัณฑ์ทำให้คุณ “เป็น” ใคร

ในที่สุดแล้ว Apple สร้างมูลค่ามหาศาลไม่ใช่จากการมีเทคโนโลยีที่ดีที่สุดเสมอไป แต่จากการสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้า ความสำเร็จของ Apple สอนบทเรียนสำคัญสำหรับธุรกิจทุกประเภท:

ลูกค้าไม่ได้ซื้อสิ่งที่คุณทำ แต่ซื้อเพราะเหตุผลที่คุณทำสิ่งนั้น และวิธีที่สิ่งนั้นทำให้พวกเขารู้สึก การสร้างผลิตภัณฑ์ดีเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่การสร้างแบรนด์ที่ผู้คนรู้สึกผูกพันในระดับอัตลักษณ์ต่างหากที่สร้างความภักดีแบบไม่มีวันสิ้นสุด

ในโลกที่เทคโนโลยีกลายเป็นสินค้าที่เหมือนๆ กันหมด Apple ยังคงโดดเด่นด้วยการสร้างความแตกต่างไม่ใช่แค่ในผลิตภัณฑ์ แต่ในประสบการณ์ทั้งหมดที่มาพร้อมกับการเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของพวกเขา

นี่อาจเป็นมรดกอันยิ่งใหญ่ที่สุดของ Steve Jobs: การสร้างบริษัทที่ไม่ได้เพียงขายเทคโนโลยี แต่ขายวิธีการมองโลกที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนของ Apple หรือไม่ คุณไม่สามารถปฏิเสธอิทธิพลของพวกเขาต่อวิธีที่เราใช้ สวมใส่ และมีปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน

Apple ได้เปลี่ยนแปลงโลกของเรา ไม่ใช่เพียงด้วยเทคโนโลยีของพวกเขา แต่ด้วยวิธีที่พวกเขาทำให้เราคิดและรู้สึกเกี่ยวกับเทคโนโลยี—และนั่นคืออิทธิพลที่แท้จริงที่จะยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน

References: [Data Activators, businessinsider, forbes, techcrunch, theverge, theatlantic, wired, fastcompany]

Geek Monday EP275 : ม้าโทรจันหรือผู้กอบกู้ Nokia? เบื้องหลัง Stephen Elop กับการล่มสลายของพี่ใหญ่วงการมือถือ

เสียงปรบมือดังก้องในสำนักงานใหญ่ของ Nokia ที่ประเทศฟินแลนด์ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2010 ในวันนั้น Steven Elop ก้าวเข้ามารับตำแหน่ง CEO คนใหม่ของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรศัพท์มือถือ เขาเป็นอดีตผู้บริหารจาก Microsoft และเป็น CEO คนแรกในประวัติศาสตร์ของ Nokia ที่ไม่ใช่ชาวฟินแลนด์

ไม่มีใครคาดคิดว่าภายในเวลาเพียง 3 ปีหลังจากนั้น อาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองจะต้องขายธุรกิจโทรศัพท์ให้กับ Microsoft ในราคาเพียง 7.2 พันล้านดอลลาร์ หลายคนมองว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ Nokia ภายใต้การนำของคนที่มาจาก Microsoft เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของ Microsoft และไม่ประสบความสำเร็จ การที่ Nokia ผูกมัดตัวเองกับซอฟต์แวร์ของ Microsoft กลายเป็นการตัดสินใจที่พลิกชะตากรรมของบริษัท

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/38hd6sz9

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5n6ddv3k

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3eaptkkb

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/k3reXZm8B4c