Geek Story EP416 : Stephen Elop ฮีโร่หรือวายร้ายผู้ทำลาย Nokia?

มันเป็นคำถามที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับว่าชายอย่าง Stephen Elop เป็นคนทำลาย Nokia จริงหรือ? หรือเขาเพียงแค่เป็นคนเปิดไฟส่องให้เห็นว่าอาคารกำลังถูกไฟไหม้อยู่แล้ว? เพื่อเข้าใจปรากฏการณ์นี้ เราต้องย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ Nokia ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกเทคโนโลยี ก่อนที่ Elop จะเข้ามา ก่อนการล่มสลาย และก่อนการตัดสินใจที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 Nokia เป็นบริษัทที่ไม่มีใครสามารถแตะต้องได้ในวงการโทรศัพท์มือถือ ภายในปี 2007 บริษัทควบคุมส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกมากกว่า 50% ส่งมอบโทรศัพท์หลายร้อยล้านเครื่องต่อปี Nokia 3310 ที่กลายเป็นตำนานด้วยความทนทาน N95 ที่หรูหราล้ำสมัย และ E series ที่ทรงพลังสำหรับนักธุรกิจ ทำให้ Nokia กลายเป็นชื่อที่คุ้นเคยในทุกครัวเรือนทั่วโลก บริษัทจากดินแดนหนาวเย็นของฟินแลนด์แห่งนี้เติบโตกลายเป็นอาณาจักรเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงถึง 150 พันล้านดอลลาร์ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/5e2rx725

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2u8n6jen

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/bSYixAZSt_w

ปิดดีลก่อน แล้วชนะจริงหรือ? เบื้องหลังภาษี 20% กับราคาที่เวียดนามต้องจ่าย

ข่าวดีที่น่าเฉลิมฉลองของคนกลุ่มหนึ่ง กลับกลายเป็นสัญญาณอันตรายสำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง เรื่องราวในโลกธุรกิจและการเมืองระหว่างประเทศก็มักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ

คำประกาศจากประธานาธิบดี Donald Trump ผู้นำสหรัฐอเมริกาที่ทำให้ตลาดหุ้น Wall Street พุ่งทะยานทำสถิติใหม่

ผิวเผินแล้ว นี่คือข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย สหรัฐอเมริกาได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าครั้งสำคัญกับเวียดนาม ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งเอเชีย

แต่เมื่อเรามองลึกลงไปในรายละเอียดของข้อตกลงฉบับนี้ เราจะพบว่ามันซับซ้อนและเต็มไปด้วยความน่ากังวลกว่าที่คิด และนี่คือจุดเริ่มต้นของเกมการค้าครั้งใหญ่ ที่มีชะตากรรมของชาติหนึ่งเป็นเดิมพัน

ข้อตกลงดังกล่าวระบุว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีศุลกากร หรือ Tariff ในอัตราสูงถึง 20% กับสินค้านำเข้าจากเวียดนามทั้งหมด

ลองนึกภาพตามง่ายๆ นะครับ ถ้าโรงงานในเวียดนามส่งออกเสื้อยืดไปขายในอเมริกาตัวละ 100 บาท เมื่อข้อตกลงนี้มีผล เสื้อตัวนั้นจะมีต้นทุนเพิ่มเป็น 120 บาททันทีที่ถึงท่าเรืออเมริกา

แต่ระเบิดเวลาลูกที่ใหญ่กว่านั้น ยังซ่อนอยู่ในข้อตกลง นั่นคือภาษีในอัตรามหาศาลถึง 40% สำหรับสินค้าที่ถูกมองว่าเป็นการ “Transshipped” ผ่านเวียดนาม

คำว่า Transshipped อาจฟังดูซับซ้อน แต่ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ มันคือการที่สินค้าถูกผลิตในประเทศหนึ่ง แต่ถูกส่งต่อไปยังอีกประเทศเพื่อแปะป้ายใหม่ แล้วค่อยส่งออกไปยังประเทศปลายทางเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี

พูดให้ชัดก็คือ สหรัฐฯ กำลังส่งสัญญาณตรงไปว่า พวกเขาสงสัยว่าสินค้า “Made in Vietnam” จำนวนมาก แท้จริงแล้วถูกผลิตในประเทศจีน แต่แค่แวะมาเปลี่ยนป้ายที่เวียดนามเพื่อหนีภาษีที่สหรัฐฯ ตั้งกำแพงไว้กับจีนนั่นเอง

นี่จึงเป็นการยิงปืนนัดเดียวที่มุ่งเป้าไปที่สองประเทศพร้อมกัน คือทั้งเวียดนามและจีน

ในขณะที่สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีสูงลิ่วกับเวียดนาม ข้อตกลงนี้ก็บังคับให้เวียดนามต้อง “ยกเลิกภาษีทั้งหมด” สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หรือก็คือ เปิดประตูบ้านตัวเองให้สินค้าอเมริกันเข้ามาโดยไม่มีเกราะป้องกันใดๆ

เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ตลาดหุ้นในอเมริกาพากันเฉลิมฉลองกับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ความชัดเจน” แต่นักลงทุนและผู้ประกอบการในเอเชีย กลับรู้สึกตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมประเทศดาวรุ่งอย่างเวียดนาม ถึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้?

เราต้องย้อนกลับไปดูเรื่องราวการเติบโตของเวียดนามเสียก่อน หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในประวัติศาสตร์ เวียดนามได้ปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เรียกว่า “Đổi Mới” (โด๋ยเม้ย) ในปี ค.ศ. 1986

การปฏิรูปครั้งนั้นได้เปลี่ยนประเทศจากระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลาง มาสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ผลลัพธ์ที่ได้คือการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด

เวียดนามกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ด้วยค่าแรงที่แข่งขันได้ และประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมหาศาล พวกเขากลายเป็นโรงงานแห่งใหม่ของโลก

ความสำเร็จนี้สะท้อนออกมาในตัวเลขการค้า เวียดนามส่งออกสินค้าไปขายยังสหรัฐฯ มากกว่านำเข้ามหาศาล หรือที่เรียกว่า “การได้ดุลการค้า” อย่างต่อเนื่อง

แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ การได้ดุลการค้าจำนวนมหาศาลนี่เอง ที่ทำให้เวียดนามกลายเป็น “เป้าหมาย” ในสายตาของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ Donald Trump

ก่อนที่ข้อตกลง 20% นี้จะเกิดขึ้น สหรัฐฯ เคยขู่ที่จะตั้งกำแพงภาษีกับเวียดนามสูงถึง 46% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สามารถทำให้อุตสาหกรรมส่งออกของเวียดนามเป็นอัมพาตได้เลย

นั่นทำให้รัฐบาลเวียดนามต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด คณะผู้แทนระดับสูงต้องบินไปเจรจาที่วอชิงตัน ดี.ซี. หลายต่อหลายครั้ง

พวกเขายื่นข้อเสนอและให้คำมั่นสัญญาว่าจะซื้อสินค้าจากอเมริกาเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นก๊าซ LNG หรือแม้กระทั่งเครื่องบิน เพื่อลดตัวเลขการได้ดุลการค้าของตัวเองลง

ดังนั้น การที่ตัวเลขสุดท้ายออกมาที่ 20% จึงอาจดูเหมือนเป็นชัยชนะเล็กๆ แต่ในความเป็นจริง มันยังคงเป็นอัตราที่สูงจนน่าตกใจ

สถานการณ์ของเวียดนามในตอนนั้น จึงเปรียบเสมือนการถูกบีบให้อยู่ตรงกลางระหว่างมหาอำนาจสองขั้วที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ขั้วหนึ่งคือ “ลูกค้า” รายใหญ่ที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา ตลาดที่สำคัญต่อลมหายใจของภาคการส่งออกเวียดนาม

อีกขั้วหนึ่งคือ “ซัพพลายเออร์” รายใหญ่ที่สุดอย่างประเทศจีน ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับภาคการผลิตของเวียดนาม

โรงงานในเวียดนามอาจจะประกอบสมาร์ทโฟนหรือเสื้อผ้าแบรนด์ดัง แต่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรือผ้าผืนที่ใช้ในการผลิตส่วนใหญ่ ล้วนนำเข้ามาจากจีน

การที่สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีโดยพุ่งเป้าไปที่การสกัดกั้นสินค้าที่มีต้นทางจากจีน จึงเป็นการบีบให้เวียดนามต้องเลือกระหว่างลูกค้ากับซัพพลายเออร์ ซึ่งไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็เจ็บตัวทั้งนั้น

นักวิเคราะห์ในเอเชียต่างมองสถานการณ์นี้ด้วยความกังวล พวกเขาไม่ได้มองแค่ผลกระทบที่จะเกิดกับเวียดนาม แต่มองไปถึงสิ่งที่เรียกว่า “บรรทัดฐานใหม่” ที่กำลังจะถูกสร้างขึ้น

เพราะถ้าวันนี้สหรัฐฯ สามารถทำแบบนี้กับเวียดนามได้ วันข้างหน้าก็อาจจะทำกับประเทศอื่นได้เช่นกัน อัตราภาษี 10% ที่เคยคิดว่าสูงแล้ว อาจกลายเป็นเรื่องปกติ และ 20% อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของข้อขัดแย้งทางการค้า

ความกังวลนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาค เพราะหลายประเทศในเอเชียต่างก็มีความสัมพันธ์ทางการค้าที่ซับซ้อนกับทั้งสหรัฐฯ และจีน

ในขณะที่นักลงทุนในอเมริกามองเห็น “ความชัดเจน” นักลงทุนในเอเชียกลับเห็นแต่ “ความไม่แน่นอน” คำถามมากมายยังคงไร้คำตอบ

ภาษี 20% จะกระทบกับสินค้ากลุ่มไหนรุนแรงที่สุด? แล้วภาษี 40% สำหรับสินค้า Transshipped นั้น สหรัฐฯ จะใช้วิธีไหนในการตรวจสอบและบังคับใช้? ความคลุมเครือเหล่านี้ ทำให้ภาคธุรกิจไม่สามารถวางแผนอนาคตได้

ความเป็นจริงที่ว่า โลกการค้าไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยหลักเศรษฐศาสตร์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ถูกกำหนดโดยเกมการเมืองระหว่างประเทศ

เวียดนามต้องเรียนรู้ที่จะเล่นเกมที่ยากขึ้น พวกเขาต้องเดินบนเส้นลวดที่บางเฉียบ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการเอาใจลูกค้าคนสำคัญอย่างสหรัฐฯ และการรักษาสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ที่ขาดไม่ได้อย่างจีน

พวกเขาต้องพิสูจน์ให้สหรัฐฯ เห็นว่ากำลังพยายามแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความมั่นใจให้จีนว่า พวกเขาไม่ได้เลือกข้าง

สุดท้ายแล้ว เรื่องราวนี้ไม่ได้จบลงที่ใครแพ้หรือใครชนะ แต่มันได้เปลี่ยนภูมิทัศน์การค้าโลกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันคือสัญญาณเตือนว่าทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศเล็กๆ ต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและผันผวนกว่าเดิม

และนี่คือเกมการค้าในศตวรรษที่ 21 ที่ผู้เล่นทุกคนต้องเรียนรู้กฎกติกาใหม่ ที่ถูกเขียนขึ้นโดยผู้มีอำนาจ และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

References : [reuters, bloomberg, cfr, piie, brookings]

Geek Talk EP115 : จบยุคแห่งรถไฟฟ้า? เมื่อรถไฮบริดกลับมาครองใจชาวอเมริกัน

Gil Towle ศาสตราจารย์จาก UC Davis มองว่ารถปลั๊กอินไฮบริดอาจกลายเป็นทางเลือกระยะยาวสำหรับผู้บริโภค 20-30% สุดท้ายที่ไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้รถ EV ได้ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ California ที่วางแผนห้ามขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในภายในปี 2035 แต่ยังอนุญาตให้ 20% ของรถยนต์ใหม่เป็นรถปลั๊กอินไฮบริดได้

ในระดับโลก การผลิตรถ EV มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 13 ล้านคันในปี 2024 เป็น 35 ล้านคันในปี 2031 ในขณะที่รถไฮบริดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 13 ล้านเป็น 15 ล้านคัน แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน รถไฮบริดกลับมามีบทบาทสำคัญในฐานะ “สะพาน” เชื่อมต่อระหว่างเทคโนโลยีดั้งเดิมและอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2ue5au9p

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3c4e8xdp

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3jpdj42d

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/XEnc01Gvs3U

Geek Talk EP114 : ทุ่ม 3,600 ล้าน! Mark Zuckerberg เปิดสงคราม “ปล้นสมอง” เขย่าบัลลังก์ OpenAI

ถ้ามีคนมาเสนอเงินให้คุณ 3,600 ล้านบาท เพื่อให้คุณย้ายไปทำงานกับเขาในปีแรก… คุณจะตัดสินใจอย่างไรครับ?

ตัวเลขนี้อาจจะฟังดูเหมือนเป็นเงินรางวัลลอตเตอรี่ Powerball หรือไม่ก็เป็นค่าตัวของนักฟุตบอลระดับโลก แต่เรื่องที่น่าทึ่งก็คือ นี่คือตัวเลขจริงที่กำลังเกิดขึ้นในสมรภูมิที่ร้อนแรงที่สุดในโลกเทคโนโลยีตอนนี้… สงครามแย่งชิงบุคลากรด้าน AI

และคนที่กำลังยื่นข้อเสนอที่บ้าคลั่งนี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ Mark Zuckerberg แห่ง Meta นั่นเอง

เรื่องราวนี้มันซับซ้อนและน่าติดตามยิ่งกว่าหนังฮอลลีวูด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเงิน แต่เป็นเรื่องของการเดิมพันอนาคตของมนุษยชาติ และการต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์เจ้าแห่งเทคโนโลยีในยุคต่อไป วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องราวนี้กันแบบหมดเปลือก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/r7bafyy3

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yjcmmu5z

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/35rtf39x

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/L4RyY-9ymrM

Huawei พลิกเกมล้ม Apple ในจีนได้อย่างไร? เมื่อ AI คือไพ่ตาย จากเกือบล้มละลาย สู่การท้าชิงบัลลังก์มือถือโลก

ถ้าให้พูดถึงราชาแห่งโลกสมาร์ทโฟน ชื่อของ Apple และ iPhone คงเป็นคำตอบแรกในใจของใครหลายคน

เป็นเวลานานกว่าทศวรรษ ที่ iPhone ไม่ใช่แค่โทรศัพท์ แต่คือสัญลักษณ์ของความหรูหรา นวัตกรรม และสถานะทางสังคม การมี iPhone ในมือ ก็ไม่ต่างอะไรกับการถือกระเป๋าแบรนด์เนมสักใบ

โดยเฉพาะในตลาดที่ใหญ่มหึมาอย่างประเทศจีน ภาพนี้ยิ่งเด่นชัดขึ้นไปอีก

จีนเคยเปรียบเสมือน ‘เพชรเม็ดงาม’ ของ Apple เป็นตลาดที่สร้างรายได้มหาศาล และเป็นดินแดนที่ iPhone ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ภาพร้าน Apple Store ที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คน เป็นเรื่องที่เราเห็นกันจนชินตา

ในยุคทองนั้น หากชาวจีนมีกำลังซื้อ และต้องการโทรศัพท์ที่ดีที่สุด iPhone คือคำตอบสุดท้ายที่แทบไม่ต้องคิด มันคือตัวเลือกโดยปริยายที่ยากจะมีใครท้าทายได้

โลกในวันนั้นดูเหมือนจะมีผู้ชนะที่ถูกกำหนดไว้แล้ว.. Apple คือผู้นำ ส่วนคนอื่นคือผู้ตาม

แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น..

คู่แข่งรายหนึ่งที่หลายคนคิดว่าคงจะล้มหายตายจากไปแล้ว หลังจากโดนหมัดน็อกที่หนักหน่วงจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ กลับลุกขึ้นยืนได้อย่างน่าทึ่ง

ไม่ใช่แค่การลุกขึ้นมาแบบสะบักสะบอม แต่เป็นการกลับมาอย่างแข็งแกร่งและสง่างามกว่าเดิม บริษัทนั้นมีชื่อว่า Huawei

การเปิดตัวสมาร์ทโฟนซีรีส์ Mate 60 ในช่วงปลายปี 2023 เปรียบเหมือนเสียงระฆังที่ป่าวประกาศการต่อสู้ครั้งใหม่ ซึ่งเดิมพันในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ยอดขาย แต่เป็นศักดิ์ศรีของชาติ

และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ที่กำลังจะเปลี่ยนภูมิทัศน์ของวงการเทคโนโลยีไปตลอดกาล

คำถามที่น่าสนใจก็คือ จากบริษัทที่เกือบจะล้มทั้งยืน Huawei พลิกเกมกลับมาท้าชิงบัลลังก์จาก Apple ในบ้านของตัวเองได้อย่างไร? แล้วเบื้องหลังเกมนี้ มันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่าที่เราเห็นหรือไม่?

การกลับมาของ Huawei ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือกลยุทธ์ที่ถูกวางแผนมาอย่างแยบยล เป็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในหลายสมรภูมิพร้อมกัน

สมรภูมิแรกคือสงครามผลิตภัณฑ์และเรื่องราวของความภาคภูมิใจ

ในขณะที่ Apple ยังคงยึดมั่นในปรัชญาการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือที่เรียกว่า ‘Iterative’ คือการปรับปรุงทีละเล็กทีละน้อย ขัดเกลาผลิตภัณฑ์ให้สมบูรณ์แบบขึ้นในทุกๆ ปี

Huawei กลับเลือกเส้นทางที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

การมาถึงของ Mate 60 สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก เพราะหัวใจของมันคือชิปประมวลผล Kirin 9000S ซึ่งเป็นชิปที่ Huawei สามารถพัฒนาและผลิตขึ้นมาได้เองในประเทศจีน

แม้จะถูกตัดขาดจากเทคโนโลยีและเครื่องมือของชาติตะวันตกก็ตาม

วินาทีนั้นเอง การเลือกซื้อมือถือในจีนก็เปลี่ยนไป มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเครื่องไหนแรงกว่า สวยกว่า หรือใช้ง่ายกว่าอีกต่อไป แต่มันมีมิติของ “ความรักชาติ” เข้ามาเป็นส่วนผสมสำคัญ

ชาวจีนจำนวนมากมองว่า การซื้อ Huawei คือการสนับสนุนบริษัทของชาติที่ลุกขึ้นสู้กับมหาอำนาจ มันคือการแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของประเทศ

เรื่องราวของ Huawei กลายเป็นสัญลักษณ์ของความไม่ยอมแพ้

ทันใดนั้น iPhone ที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความล้ำสมัย ก็เริ่มถูกมองในมุมที่ต่างออกไป กลายเป็นสินค้าจากต่างชาติ ท่ามกลางสงครามการค้าที่คุกรุ่น

Apple ที่เคยครองเกมมาตลอด เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดัน ยอดขายเริ่มชะลอตัว จนถึงขั้นต้องยอมจัดโปรโมชันลดราคาผ่านตัวแทนจำหน่าย ซึ่งเป็นภาพที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

นี่คือสัญญาณแรกที่บอกว่า บัลลังก์ของราชาเริ่มสั่นคลอนอย่างแท้จริง

แต่สงครามไม่ได้มีแค่เรื่องของตัวเครื่องภายนอก สมรภูมิที่ดุเดือดไม่แพ้กัน คือสงครามแห่งจิตวิญญาณ หรือระบบปฏิบัติการนั่นเอง

Apple มี iOS เป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่ง ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย ใช้งานง่าย และมีระบบนิเวศ App Store ที่สมบูรณ์แบบ แต่ในจีน ป้อมปราการนี้ก็มีข้อจำกัดบางอย่าง

บริการหลายอย่างของ Apple ถูกจำกัดการใช้งาน หรือต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดของรัฐบาลจีน

Huawei มองเห็นจุดนี้ และรู้ดีว่าการพึ่งพา Android ที่มีรากฐานจาก Google ของสหรัฐฯ ต่อไป คือความเสี่ยงมหันต์ในระยะยาว พวกเขาจึงตัดสินใจเดินเกมที่กล้าหาญที่สุด

นั่นคือการประกาศ “ทิ้ง Android” อย่างสิ้นเชิง

Huawei เปิดตัวระบบปฏิบัติการของตัวเองในชื่อ HarmonyOS Next ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยไม่มีโค้ดของ Android เหลืออยู่แม้แต่บรรทัดเดียว

การกระทำนี้มีความหมายมากกว่าแค่การสร้าง OS ใหม่ แต่มันคือการ “ประกาศเอกราช” ทางเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ

Huawei กำลังบอกกับโลกและคนในชาติว่า “เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของใคร เราสามารถสร้างเส้นทางของเราเองได้”

HarmonyOS ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมทุกอุปกรณ์ของ Huawei เข้าด้วยกัน ตั้งแต่มือถือ แท็บเล็ต นาฬิกาอัจฉริยะ ไปจนถึงสิ่งที่กำลังจะกลายเป็นอนาคตของการเดินทาง นั่นคือ “รถยนต์ไฟฟ้า”

แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอย่าง AITO ที่ Huawei ร่วมมือพัฒนานั้น ใช้ HarmonyOS เป็นระบบปฏิบัติการหลัก ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างมือถือกับรถยนต์เป็นไปอย่างแนบเนียนและไร้รอยต่อ

ลองจินตนาการถึงการใช้แอปในมือถือบนหน้าจอรถยนต์ได้ทันที หรือการสั่งงานรถยนต์จากนาฬิกาข้อมือ ทุกอย่างเชื่อมถึงกันหมดในระบบนิเวศเดียวกัน

นี่คือประสบการณ์ที่ Apple ในจีนยังไม่สามารถมอบให้ได้อย่างสมบูรณ์เท่า

การควบคุมได้ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้ Huawei สามารถปรับจูนประสิทธิภาพของอุปกรณ์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งที่ทำให้ Apple ได้รับการยกย่องมาโดยตลอด

สงครามครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ iOS ปะทะ Android อีกต่อไป แต่เป็น iOS ปะทะ HarmonyOS และมันคือสงครามระหว่างสองระบบนิเวศที่กำลังจะแบ่งโลกเทคโนโลยีออกจากกัน

และอีกหนึ่งปัจจัยที่ทรงพลังที่สุด แต่เราอาจมองไม่เห็นจากภายนอก คือ “มือที่มองไม่เห็น” หรือการสนับสนุนอย่างเงียบๆ จากรัฐบาลจีน

แม้ Huawei จะไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาคือ ‘บริษัทตัวแทนของชาติ’ หรือ National Champion ที่รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนในทุกมิติ

ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนมหาศาลสำหรับการวิจัยและพัฒนา การให้สิทธิพิเศษในสัญญาระดับประเทศ และที่สำคัญคือการส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ของ Huawei แทน iPhone

เหตุผลเบื้องหลังไม่ได้มีแค่เรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ แต่คือการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘อธิปไตยทางข้อมูล’ หรือ Data Sovereignty

ในขณะที่ Huawei ได้รับไฟเขียวในทุกเส้นทาง Apple กลับต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาต้องเดินอยู่บนเส้นด้ายที่บางเฉียบ

ด้านหนึ่ง Apple ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดของจีน อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องเผชิญแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มองว่า Apple พึ่งพาจีนมากเกินไป

สถานะของ Apple ในจีนจึงเปราะบางอย่างยิ่ง แม้จะเป็นแบรนด์ที่ผู้คนรัก แต่ก็อาจได้รับผลกระทบจากกระแสลมทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ

เมื่อการซื้อโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง ไม่ได้จบแค่เรื่องฟังก์ชัน แต่มีความหมายไปถึงการสนับสนุนประเทศชาติ ความภักดีที่เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่การตลาดเพียงอย่างเดียวไม่อาจสร้างได้

และสุดท้าย คือสมรภูมิที่จะตัดสินผู้ชนะในระยะยาว นั่นคือ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI

AI คือกาวใจที่จะเชื่อมทุกอย่างในระบบนิเวศเข้าด้วยกัน และ Huawei ก็ทุ่มสุดตัวในสมรภูมินี้ พวกเขาลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ของตัวเอง

ตั้งแต่การพัฒนาชิป AI โดยเฉพาะในชื่อ Ascend ไปจนถึงการสร้างโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของตัวเองที่ชื่อว่า Pangu

การมี AI เป็นของตัวเอง ทำให้ Huawei สามารถฝังความฉลาดเข้าไปในทุกผลิตภัณฑ์ และที่สำคัญคือ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกประมวลผลอยู่ภายในระบบนิเวศของ Huawei เอง

Apple เองก็มีกลยุทธ์ AI ที่แข็งแกร่งอย่าง Apple Intelligence แต่ในตลาดจีน พวกเขากลับเจอกำแพงด้านกฎระเบียบ ทำให้ไม่สามารถนำโมเดล AI จากชาติตะวันตกเข้ามาใช้ได้โดยตรง

นั่นทำให้ Apple ต้องหันไปจับมือกับบริษัทเทคโนโลยีท้องถิ่นของจีน ซึ่งอาจทำให้การควบคุมประสบการณ์ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร

ในโลกยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน ก็คือผู้กุมอนาคต และในสมรภูมิจีน ดูเหมือนว่า Huawei จะเป็นผู้ที่วิ่งนำอยู่หนึ่งก้าวเสมอ

กลับมาที่คำถามแรกสุด… Huawei กำลังเอาชนะ Apple ในจีนอยู่จริงหรือ?

ถ้าเรามองแค่ภาพรวมทั่วโลก Apple ยังคงเป็นบริษัทที่มีมูลค่าและอิทธิพลมหาศาล แต่ถ้าเราซูมภาพเข้ามาที่สมรภูมิประเทศจีนโดยเฉพาะ ภาพที่เห็นนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

Huawei ไม่ได้เป็นเพียงผู้ไล่ตามอีกต่อไป แต่ในหลายๆ ด้าน พวกเขากลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของตลาดไปแล้ว

พวกเขาไม่ได้แค่ทวงคืนส่วนแบ่งการตลาด แต่กำลังทวงคืนจิตวิญญาณและความภาคภูมิใจของคนในชาติกลับคืนมา

สิ่งที่เกิดขึ้นในจีน อาจเป็นภาพสะท้อนของปรากฏการณ์ที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือการ ‘แยกขั้ว’ หรือ The Great Decoupling ของโลกเทคโนโลยี

เราอาจกำลังมุ่งหน้าสู่โลกอนาคตที่มีระบบนิเวศเทคโนโลยีขนาดใหญ่สองขั้ว ขั้วหนึ่งนำโดยบริษัทตะวันตก และอีกขั้วหนึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศจีน

เรื่องราวการต่อสู้ระหว่าง Apple และ Huawei ในสมรภูมิจีน จึงไม่ใช่แค่เรื่องของโทรศัพท์สองยี่ห้อ แต่มันอาจเป็นบทนำของสงครามเทคโนโลยีครั้งใหม่ ที่จะกำหนดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า โลกดิจิทัลของเราจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

นี่อาจเป็นเพียงกระแสความนิยมชั่วคราวที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกชาตินิยม หรือมันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจทางเทคโนโลยีครั้งประวัติศาสตร์ ที่จะทำให้โลกของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เรื่องนี้ก็น่าคิดนะครับ …

References : [reuters,wsj,huaweicentral,bloomberg,counterpointresearch]