Geek Story EP354 : Apple Disrupt วงการแล็ปท็อปอย่างไร? กับเสียงพัดลมที่หายไป วิธีที่ชิป M1 พลิกโฉมวงการใน 5 ปี

ชีวิตของผู้ใช้ Mac มีจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 5-6 ปีก่อน สถานการณ์แตกต่างอย่างสิ้นเชิง แม้จะเป็นผู้ที่ใช้ Mac มาตลอดชีวิต หากใครถามว่าควรเลือก Mac หรือ Windows PC คำตอบคงเป็น Windows อย่างไม่ลังเล ในเวลานั้น Mac มีปัญหามากมาย ทั้งประสิทธิภาพที่ช้า บั๊กจำนวนมาก และไม่สามารถรองรับงานที่ต้องการพลังการประมวลผลสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อ Apple ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในปี 2020 ด้วยชิปตัวแรกที่ออกแบบเฉพาะสำหรับ Mac นั่นคือ M1 การเปลี่ยนมาใช้ M1 เปรียบเสมือนการก้าวจากการขับจักรยานธรรมดา ๆ ไปขับ Lamborghini ทันทีที่เปลี่ยนมาใช้ คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างราบรื่นไม่สะดุด ไม่มีเสียงรบกวนจากพัดลม ไม่มีความร้อนสูง มีเพียงพลังการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify :
https://tinyurl.com/4utfa6z8

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/5bdsed4e

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/piOCfsGeyiI

เมื่อ Iron Man แห่งวงการรถยนต์ Comeback Elon Musk จะพลิกวิกฤต Tesla ได้จริงหรือ?

แสงไฟในสำนักงานใหญ่ Tesla ที่ Austin เริ่มสว่างจ้าในยามค่ำคืนอีกครั้ง เมื่อ Elon Musk ลูกพี่ใหญ่ประกาศกลับมาทุ่มเทให้กับบริษัทรถไฟฟ้าของเขามากขึ้น หลังจากแบ่งเวลาไปให้กับธุรกิจอื่นๆ มากมายก่อนหน้านี้

ไม่ว่าจะเป็น SpaceX, X (Twitter เดิม), Neuralink และล่าสุดคืองานกับรัฐบาล การประกาศครั้งนี้มาได้ถูกเวลามาก เพราะ Tesla เพิ่งรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2025 ที่ค่อนข้างแย่

ในการประชุมนักวิเคราะห์หลังประกาศผลประกอบการ Musk เผยว่าเขาจะลดบทบาทในงานด้านรัฐบาลลง โดยเฉพาะหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญกับ Department of Government Efficiency

พี่ใหญ่อย่าง Musk วางแผนจะกลับมาโฟกัสที่ Tesla อย่างจริงจังตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 เป็นต้นไป การปรับตารางเวลาครั้งนี้จะทำให้เขาใช้เวลากับงานรัฐบาลเพียงหนึ่งถึงสองวันต่อสัปดาห์เท่านั้น

ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะกลับมาผลักดันการเติบโตของ Tesla อีกครั้ง ในช่วงที่บริษัทกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่โหดเหี้ยมและความท้าทายรอบด้าน

โดยเฉพาะจากคู่แข่งจากจีนและยุโรปที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีรถไฟฟ้าอย่างก้าวกระโดด ตัวเลขผลประกอบการไตรมาสแรกของ Tesla ส่งสัญญาณเตือนที่ชัดเจน

กำไรของบริษัทลดฮวบอย่างมากถึง 71% จาก 1.39 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เหลือเพียง 409 ล้านดอลลาร์ ขณะที่รายได้ก็ลดลง 9% จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่

ยิ่งไปกว่านั้น อัตรากำไรขั้นต้นยังลดลงจาก 17.4% เหลือ 16.3% ซึ่งเป็นสัญญาณว่าบริษัทกำลังต้องจัดการกับต้นทุนที่สูงขึ้น หรือราคาขายที่ต้องปรับลดลงเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นกลับมีปฏิกิริยาในเชิงบวกต่อการประกาศของ Musk โดยหุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นถึง 5% ในการซื้อขายหลังเวลาทำการ

แม้ว่าในภาพรวมของปี 2025 ราคาหุ้น Tesla จะลดลงมากกว่า 40% แล้วก็ตาม นักลงทุนดูเหมือนจะให้ความเชื่อมั่นว่าการกลับมาของ Musk จะช่วยพลิกวิกฤตได้

เพื่อกู้สถานการณ์ Musk และทีมผู้บริหารของ Tesla ได้วางแผนกลยุทธ์สำคัญหลายประการ หนึ่งในนั้นคือการเปิดตัว Model Y รุ่นใหม่ที่มีราคาย่อมเยากว่าเดิม

ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่ถวิลหารถยนต์ไฟฟ้าที่จับต้องได้มากขึ้น นอกจากนี้ Tesla ยังวางแผนที่จะเปิดตัวบริการ robotaxi แบบเสียค่าใช้จ่ายในเมือง Austin ภายในช่วงกลางปี 2025 นี้

และจะเป็นก้าวสำคัญในการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติสุดล้ำของบริษัท Musk ยังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ

โดยเขาเชื่อว่ารถยนต์ Tesla หลายล้านคันจะสามารถทำงานโดยอัตโนมัติได้ภายในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 และบริการรถยนต์ขับขี่อัตโนมัติอาจมีให้บริการในหลายเมืองของสหรัฐฯ ภายในสิ้นปีนี้

แม้ว่าวิสัยทัศน์ของ Musk จะฟังดูเจ๋งมาก ๆ และน่าตื่นเต้น แต่ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมหลายคนยังคงสงสัยเกี่ยวกับความพร้อมของเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติของ Tesla

นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยชั้นนำได้เตือนว่าระบบ Full Self-Driving ของ Tesla ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานโดยปราศจากการควบคุมจากมนุษย์ เพราะยังมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

โดยเฉพาะในสภาวะทัศนวิสัยต่ำหรือในสถานการณ์การจราจรที่ซับซ้อน ระบบ Full Self-Driving ของ Tesla ยังอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างเข้มงวดจาก National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA)

การได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลเป็นอีกด่านสำคัญที่ Tesla จะต้องผ่านไปให้ได้ก่อนที่จะสามารถเปิดตัวบริการ robotaxi ได้อย่างเต็มรูปแบบ

ในขณะเดียวกัน Tesla กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน โดยเฉพาะ BYD ที่กำลังรังสรรค์แบตเตอรี่ที่ชาร์จได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์จากยุโรปที่กำลังเร่งพัฒนารุ่นรถยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัยและมีดีไซน์ที่ดึงดูดใจ ยิ่งไปกว่านั้น จุดยืนทางการเมืองของ Musk ในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลให้ลูกค้าชาวยุโรปบางส่วนรู้สึกห่างเหิน

และเลือกที่จะหันไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์อื่นแทน การที่ Musk หันมาให้ความสำคัญกับ Tesla อีกครั้งอาจช่วยลดผลกระทบจากประเด็นนี้ได้บ้าง แต่ก็ยังเป็นความท้าทายที่บริษัทจะต้องจัดการ

การกลับมาของ Musk ในครั้งนี้อาจต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อาจลดน้อยลง ทั้งจากการแสดงจุดยืนทางการเมืองและการที่เขาแบ่งเวลาไปให้กับธุรกิจอื่นๆ มากเกินไป

อย่างไรก็ตาม ประวัติที่ผ่านมาของ Musk แสดงให้เห็นว่าเขามักจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดัน ราวกับมีเวทมนตร์บางอย่างช่วยให้เขาฝ่าฟันอุปสรรคไปได้เสมอ

Tesla ยังได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะจากการเพิ่มขึ้นของภาษีนำเข้าวัสดุที่ใช้ในการผลิตและการนำเข้ารถยนต์บางรุ่น

การตอบโต้ทางการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจนี้ได้บังคับให้ Tesla ต้องระงับคำสั่งซื้อสำหรับรุ่นรถยนต์บางรุ่นในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับบริษัท

นอกจากนี้ การสร้างโรงงานใหม่ในต่างประเทศเพื่อลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าก็มีต้นทุนที่สูงและใช้เวลาในการก่อสร้าง ซึ่งอาจทำให้แผนการขยายกำลังการผลิตของ Tesla ต้องชะงักในระยะสั้น

การดำเนินธุรกิจในสภาพแวดล้อมทางการค้าที่ผันผวนเช่นนี้ต้องอาศัยความยืดหยุ่นและการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่ง Musk เคยแสดงให้เห็นถึงความเทพในการนำ Tesla ผ่านพ้นวิกฤตมาแล้วหลายครั้ง

แม้จะมีความท้าทายมากมาย แต่ยังมีความหวังในผลประกอบการของ Tesla ที่ช่วยสร้างความหวังให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน นั่นคือการขายเครดิตภาษีตามกฎระเบียบให้กับผู้ผลิตยานยนต์รายอื่นและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง

ในไตรมาสแรกของปี 2025 Tesla มีรายได้จากการขายเครดิตภาษีตามกฎระเบียบให้กับผู้ผลิตยานยนต์รายอื่นถึง 595 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 442 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เครดิตเหล่านี้เป็นรายได้ที่มีอัตรากำไรสูง

และช่วยเสริมสร้างสถานะทางการเงินของบริษัท ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น Tesla สามารถสร้างกระแสเงินสดถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งพุ่งทะยานจากเพียง 242 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว

การมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งนี้ช่วยสร้างเสถียรภาพทางการเงินให้กับบริษัท และเพิ่มความยืดหยุ่นในการลงทุนในโครงการสำคัญต่างๆ

ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งแม้ในช่วงที่กำไรลดลงแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทางการเงินของ Tesla และเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม

แม้จะเผชิญกับความท้าทายมากมาย แต่ Tesla ยังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคต โดยเฉพาะด้วยแผนการผลิตรถยนต์ที่มีราคาถูกลงและการพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง

การกลับมาทุ่มเทของ Musk น่าจะส่งผลดีต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ทางการตลาดของ Tesla เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและมีความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจ

การมี Musk กลับมาอยู่ที่พวงมาลัยอย่างเต็มตัวอีกครั้งอาจเป็นสิ่งที่ Tesla ต้องการในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ราวกับฟ้าลิขิตให้เขากลับมาในจังหวะที่เหมาะสม

การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตน่าจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายแรกๆ ที่ Musk จะให้ความสำคัญเมื่อเขากลับมาบริหาร Tesla อย่างเต็มที่

การลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตจะช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันกับคู่แข่งจากจีนและยุโรปได้ดียิ่งขึ้นในสงครามรถไฟฟ้าโลก

นอกจากนี้ การพัฒนาแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและมีต้นทุนต่ำลงก็เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ Tesla สามารถรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้

บริษัทได้ลงทุนอย่างมากในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และคาดว่าจะมีการประกาศความก้าวหน้าในด้านนี้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน

แม้ว่า Tesla จะเผชิญกับความท้าทายในปัจจุบัน แต่ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อ Musk ให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับบริษัทใด บริษัทนั้นมักจะประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด

ด้วยกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและแผนการพัฒนาเทคโนโลยีสุดเจ๋ง Tesla ยังคงอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีพลังงานสะอาดในระยะยาว

Tesla ยังคงมีโอกาสที่จะกลับมาเติบโตอีกครั้งและรักษาตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีพลังงานสะอาดได้ในระยะยาว หากฟ้าลิขิตให้ Musk ได้แสดงความเทพของเขาอีกครั้งนั่นเองครับผม

โบลท์ (Bolt) มอบเงินบริจาคให้กับสภากาชาดไทย ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในไทย

โบลท์ (Bolt) ผู้ให้บริการเรียกรถระดับโลก ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยืนหยัดเคียงข้างคนไทยในช่วงเวลาหลังเกิดภัยพิบัติ ร่วมส่งพลังแห่งการให้ บริจาคเงินจำนวน 750,000 บาท ให้กับสภากาชาดไทย เพื่อสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

การส่งมอบนี้จัดขึ้น ณ สำนักงานสภากาชาดไทย นำโดย นาย ณัฐดนย์ สุขศิริฐานันท์ ผู้จัดการทั่วไปประจำโบลท์ ประเทศไทย เป็นตัวแทนส่งมอบเงินบริจาคให้แก่ นางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย เพื่อแสดงเจตจำนงของโบลท์ในการเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูประเทศในยามที่ประชาชนต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

ก่อนหน้านี้ โบลท์ได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยร่วมมือกับกองทัพบก มูลนิธิเส้นด้าย และ Airbnb ให้การสนับสนุนบริการการเดินทางเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประสบภัยในช่วงวิกฤต อีกทั้งยังยกเว้นค่าคอมมิชชัน (0%) ให้กับผู้ขับขี่ทั่วประเทศ เพื่อให้พวกเขาได้รับรายได้เต็มจำนวน 100% ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการบรรเทาผลกระทบโดยตรงต่อผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

สำหรับเงินบริจาคในครั้งนี้ สภากาชาดไทยจะนำไปใช้ในสองระยะหลัก ได้แก่ การให้ความช่วยเหลือเร่งด่วนช่วงเกิดเหตุ และการฟื้นฟูระยะยาว ผ่านเครือข่ายของสภากาชาดไทยใน 76 จังหวัด รวมถึงหน่วยงานท้องถิ่นและอาสาสมัครในพื้นที่

นายณัฐดนย์ สุขศิริฐานันท์ ผู้จัดการทั่วไปประจำโบลท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เราหวังว่าการสนับสนุนครั้งนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากในช่วงที่เกิดภัยพิบัติ พลังแห่งการช่วยเหลือจะช่วยส่งต่อความหวังให้กับชุมชนที่กำลังฟื้นตัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในฐานะบริษัทที่ให้บริการเรียกรถระดับโลก  ร่วมทำงานและสนับสนุนชุมชนและสังคมโดยรอบทุกภาคส่วน เราจึงมุ่งมั่นยืนหยัดช่วยเหลือพี่น้องคนไทยในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้”

นางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย กล่าวว่า “ในนามของสภากาชาดไทย ขอขอบคุณไปยัง โบลท์ ประเทศไทย ที่ได้ให้การสนับสนุนภารกิจการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของสภากาชาดไทยในครั้งนี้ เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนในการดำเนินภารกิจในการบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยที่ได้รับผบกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทย ด้วยเงินบริจาคของท่านสภากาชาดไทยจะนำไปใช้ในการจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวต่อไป”

โบลท์ยังคงเดินหน้าสานต่อเจตจำนงค์ส่งมอบพลังผลักดันให้การฟื้นฟูประเทศเป็นไปอย่างทั่วถึงและช่วยให้มั่นใจได้ว่าเงินบริจาคจะถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง

Geek Daily EP287 : ชาติไหนจะนำโลก AI? เมื่อทรัมป์เดิมพันอนาคตอเมริกาด้วยการปฏิวัติการศึกษา

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2025 ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ลงนามในคำสั่งบริหาร “การส่งเสริมการศึกษาด้านปัญญาประดิษฐ์สำหรับเยาวชนอเมริกัน (Advancing Artificial Intelligence Education for American Youth)” สร้างโอกาสทางการศึกษาใหม่ที่มุ่งเน้นด้านปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการเตรียมความพร้อมของนักเรียนอเมริกันสำหรับอาชีพด้านเทคโนโลยีในอนาคต

โครงการริเริ่มที่ครอบคลุมนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความรู้พื้นฐานและทักษะด้าน AI ตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อให้สหรัฐอเมริการักษาความได้เปรียบในการแข่งขันด้านการพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลกและเตรียมนักเรียนสำหรับเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2hwbc2f2

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4ehafzah

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/ffc77j44

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/oBt21qydjLI

เส้นทางสู่ Gorilla Glass จากโปรเจ็กต์ล้มเหลวในปี 1971 สู่มาตรฐานหน้าจอสมาร์ทโฟนทั่วโลก

ย้อนกลับไปในยุคก่อน iPhone จะถือกำเนิด พวกเราใช้หน้าจอมือถือที่เรียกได้ว่าห่วยสุดๆ ตกนิดตกหน่อยจอก็แตก เป็นพลาสติกที่มีรอยขีดข่วนง่ายมาก สร้างความปวดหัวให้คนใช้ทั่วโลก

เดือนกันยายน 2006 เพียงสี่เดือนก่อน Steve Jobs วางแผนเปิดตัว iPhone ให้โลกได้เห็น เขาปรากฏตัวที่สำนักงานใหญ่ Apple ด้วยอารมณ์โกรธจัด เพราะเห็น iPhone ต้นแบบมีรอยขีดข่วนทั่วหน้าจอพลาสติก เพราะแค่กระทบกับกุญแจในกระเป๋ากางเกงเท่านั้น จอก็มีรอยเต็มไปหมดแล้ว

ผู้บริหารพยายามอธิบายว่ามีจอแก้วต้นแบบ แต่มันล้มเหลวในการทดสอบ ตกจากที่สูงหนึ่งเมตร 100 ครั้ง พังสิ้นซาก 100 ครั้ง Jobs กล่าวอย่างโมโหว่า “ฉันแค่อยากรู้ว่านายจะทำมันสำเร็จหรือเปล่า”

แผนเดิมคือจัดส่ง iPhone ด้วยจอแบบเดียวกับ iPod แต่จากคำสั่งเด็ดขาดของ Jobs ทำให้ทีม iPhone มีเวลาไม่ถึงปีหาจอใหม่

ปัญหาใหญ่ก็คือ ไม่มีจอแก้วไหนที่ทำได้ตามที่ Jobs ต้องการ แก้วส่วนใหญ่เปราะบาง แตกง่าย หรือไม่ก็หนาเกินไป

Apple พยายามเสริมความแข็งแกร่งของกระจกเองแต่ก็เละเทะไม่เป็นท่า เพราะเป็นบริษัทเทคโนโลยี ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์

ฟ้าลิขิตให้ iPhone ต้องมีหน้าจอพิเศษ เมื่อเพื่อนของ Jobs แนะนำให้เขาติดต่อ Wendell Weeks ซีอีโอของ Corning บริษัทแก้วในนิวยอร์ก

ช่วงปลายทศวรรษ 1950 Bill Decker ประธาน Corning ซึ่งตอนนั้นผลิตจานแก้วสำหรับ Microwave คุยกับ William Armistead หัวหน้าฝ่ายวิจัย

Decker ตั้งคำถามว่าทำไมไม่แก้ไขปัญหากระจกที่แตกง่ายเสียที จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ Project Muscle

เป้าหมายของโครงการนี้คือสร้างกระจกใสแข็งแกร่งสุดล้ำ ทีมวิจัยสำรวจวิธีเสริมความทนทานของกระจกทุกรูปแบบที่คิดได้

วิธีการหลักมีสองแบบ คือเทคนิคการชุบแข็งแบบเก่าด้วยความร้อน และแบบใหม่คือกระจกหลายชั้นที่ขยายตัวต่างกัน

นักวิจัยเชื่อว่าเมื่อแก้วหลายชั้นเย็นตัวลง จะเกิดการบีบอัดที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์ได้

การทดลองของ Project Muscle นำไปสู่การพัฒนาวัสดุใหม่ที่แข็งแรงพิเศษง ด้วยกระบวนการเสริมความแข็งแกร่งทางเคมีสุดเจ๋ง

พวกเขาใช้วิธีใหม่ที่เรียกว่าการแลกเปลี่ยนไอออน เริ่มต้นด้วยทรายซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแก้ว ผสมสารเคมีให้ได้อะลูมิโนซิลิเกตที่มีโซเดียมสูง

จากนั้นนำแก้วแช่ในเกลือโพแทสเซียมและให้ความร้อนสูงถึง 400 องศาเซลเซียส เพราะโพแทสเซียมหนักกว่าโซเดียมในส่วนผสมดั้งเดิม

ไอออนขนาดใหญ่ถูกยัดลงในพื้นผิวแก้ว ทำให้เกิดสภาวะบีบอัดที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ พวกเขาตั้งชื่อวัสดุใหม่นี้ว่า Chemcor

Chemcor แข็งแกร่งกว่ากระจกธรรมดาถึง 50 เท่า ทนแรงกดได้สูงถึง 100,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว และยังมองทะลุผ่านได้ชัดเจน

ปี 1962 Corning คิดว่ากระจกใหม่พร้อมสำหรับตลาดแล้ว แต่พวกเขาไม่รู้จะทำตลาด Chemcor อย่างไร เพราะคุณสมบัติมันเทพเกินไป

Corning จัดงานแถลงข่าวใหญ่ใจกลางแมนฮัตตัน เพื่ออวดโฉมกระจกสุดล้ำนี้ให้โลกได้เห็น มีการทดสอบการกระแทก งอและบิด

แทบไม่มีอะไรทำลายมันได้เลย แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือมีผู้สนใจเพียงไม่กี่รายเท่านั้น ทั้งที่มันสามารถใช้ประโยชน์ได้มากมาย

ทั้งหน้าต่างที่ทนทานสำหรับเรือนจำ หรือกระจกหน้ารถที่ป้องกันการแตกได้ดี Corning มองเห็นศักยภาพมากมายแต่ตลาดกลับไม่สนใจ

ปี 1969 บริษัทลงทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้ถึง 42 ล้านเหรียญสหรัฐ และ Chemcor ก็พร้อมที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับโลก

แต่ตลาดกลับตอบรับในทิศทางตรงกันข้าม ไม่มีใครต้องการกระจกแก้วแข็งแรงราคาแพง ท้ายที่สุด Chemcor และ Project Muscle ถูกทิ้งร้างในปี 1971

ตัดภาพมาปี 2005 เมื่อโทรศัพท์ฝาพับอย่าง Razr ดังกระฉูด Corning หวนกลับมารื้อฟื้นโปรเจ็กต์ Chemcor ที่ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่ยุค 1960 อีกครั้ง

พวกเขาต้องการทดสอบว่ามีวิธีสร้างกระจกทนทาน ราคาไม่แพงจนเกินไป และป้องกันรอยขีดข่วนสำหรับมือถือได้หรือไม่ ครั้งนี้พวกเขาตั้งชื่อโค้ดสุดเท่ให้โครงการว่า “Gorilla Glass”

เมื่อทีม Apple เดินทางไปสำนักงานใหญ่ Corning ทางตอนเหนือของนิวยอร์ก Weeks มีความต้องการที่จะรื้อฟื้นงานวิจัยเก่า

Jobs อธิบายสิ่งที่พวกเขากำลังมองหา และ Weeks แนะนำ Jobs เกี่ยวกับ Gorilla Glass ที่กำลังพัฒนาอยู่ ทั้งคู่ถกเถียงกันอย่างหนัก

ต่างคนต่างโม้ถึงเทคโนโลยีสุดยอดในผลิตภัณฑ์ของตน น่าสนใจที่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ Jobs ถึงกับผงะในการประชุม

Weeks เป็นคนขัดจังหวะและสั่งสอน Jobs เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของวัสดุแก้ว แบบถึงพริกถึงขิงไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายเป็นที่ชัดเจนว่าจอแก้วของ Weeks นั้นโครตเทพกว่าสิ่งที่ทีมงานของ Jobs วิจัยด้วยตัวเอง

Jobs ตัดสินใจสั่งให้ Weeks ผลิต Gorilla Glass ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ก่อน iPhone จะเปิดตัว

Weeks พยายามอธิบายว่าบริษัทไม่มีกำลังผลิตมากพอและผลิตไม่ทันแน่นอน แต่ Jobs กลับตอบด้วยความมั่นใจ “ไม่ต้องกลัว จงตั้งสติให้ดี คุณสามารถทำมันได้”

Corning มีต้นแบบจากงานวิจัยเมื่อ 50 ปีก่อน แต่ไม่เคยผลิตจำนวนมากอย่างที่ Jobs ต้องการ อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ได้ถูกขีดเขียนขึ้นมาใหม่

ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี สมาร์ทโฟนเกือบทุกเครื่องบนโลกต่างใช้ Gorilla Glass เป็นส่วนประกอบหลักที่ขาดไม่ได้

Gorilla Glass ผลิตในโรงงานที่ตั้งอยู่ระหว่างทุ่งยาสูบและฟาร์มปศุสัตว์ใน Harrodsburg รัฐเคนตักกี้ ซึ่งมีประชากรแค่ประมาณ 8,000 คน

นับเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของ iPhone ที่ได้รับการผลิตในสหรัฐอเมริกา เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับคนในพื้นที่

หลังจาก iPhone รุ่นแรกออกสู่ตลาด Gorilla Glass ได้รับการพิสูจน์ว่ามีความเจ๋งเกินคาด กลายเป็นวัสดุสำคัญในวงการอิเล็กทรอนิกส์

มันถูกใช้ในทั้งโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต ก่อนจะขยายไปสู่อุปกรณ์เกือบทุกประเภทที่ต้องการหน้าจอแข็งแรงทนทาน

การได้สัญญาผลิตครั้งใหญ่จาก Apple ช่วยให้ Corning เติบโตแบบพุ่งกระฉูด ไม่ใช่แค่เพราะความสำเร็จของ iPhone เท่านั้น แต่ยังเป็นการพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าเทคโนโลยีของ Corning นั้นเจ๋งแค่ไหน

ไม่นานหลังจากนั้น Samsung, Motorola, LG และแทบทุกบริษัทที่อยากเข้าวงการสมาร์ทโฟน ต่างหันมามองและใช้ Gorilla Glass กันทั้งนั้น

นี่คือเรื่องราวสุดพีคของนวัตกรรมที่ถูกลืมไปเกือบครึ่งศตวรรษ ก่อนจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งโดย iPhone

เพื่อปกป้องหน้าจอจากรอยขีดข่วนในโลกยุคใหม่ ที่คนเกือบครึ่งโลกต้องสัมผัสกับหน้าจอนี้ทุกวัน บ่อยจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเลยทีเดียว

กระจกอัจฉริยะที่ไม่มีใครสนใจในช่วง 1960-1970 กลับกลายเป็นส่วนสำคัญของเทคโนโลยีที่ขาดไม่ได้

เป็นตัวอย่างเจ๋งมากๆ ของนวัตกรรมที่มาถูกที่ถูกเวลา แม้จะรอคอยโอกาสนานเกือบ 50 ปี มันก็ไม่เคยประสบความสำเร็จได้จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม

Gorilla Glass ไม่ได้เป็นแค่ส่วนประกอบของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติในวงการอุตสาหกรรมวัสดุ

มันแสดงให้เห็นความสำคัญของการวิจัยและพัฒนาระยะยาว แม้จะไม่เห็นผลทันที แต่เมื่อถึงจุดพีค มันกลับมาสร้างประโยชน์มหาศาล

ปัจจุบัน Corning ยังพัฒนา Gorilla Glass อย่างต่อเนื่อง ออกรุ่นใหม่ๆ ที่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ตอบสนองความต้องการของตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตแบบไม่หยุดยั้ง เกิดการแข่งขันกันรังสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ

การเติบโตของ Gorilla Glass ยังทำให้ Corning ขยายการวิจัยไปสู่วัสดุแก้วชนิดใหม่ๆ สำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย ทั้งยานยนต์ อาคาร และอุปกรณ์ทางการแพทย์ แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมหนึ่งสามารถผลักดันให้เกิดนวัตกรรมอีกมากมายได้

เรื่องราวของ Gorilla Glass จึงไม่ใช่แค่ความสำเร็จของวัสดุชนิดหนึ่ง แต่เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการอดทนรอคอย

เป็นการไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค และการเห็นโอกาสในสิ่งที่คนอื่นมองข้าม นี่คือแก่นของการสร้างนวัตกรรมที่ยั่งยืนในระยะยาว ความรู้และเทคโนโลยีบางอย่างอาจมาก่อนเวลาที่โลกพร้อมยอมรับมัน มันต้องรอเวลาที่เหมาะสม

เมื่อถึงเวลาที่ใช่ นวัตกรรมเหล่านั้นจะได้รับการยอมรับและเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างมหาศาล เหมือน Gorilla Glass ที่ปกป้องจอมือถือเราทุกวันนี้

ลองคิดดู หากไม่มี Gorilla Glass หน้าจอมือถือของเราอาจเป็นรอยมากมายแค่เผลอวางไว้ในกระเป๋าร่วมกับกุญแจ

หรือถ้าวันนั้น Jobs ไม่โมโหเรื่องรอยขีดข่วน ไม่ได้เจอกับ Weeks พวกเราอาจยังใช้มือถือจอห่วยๆ กันอยู่

บางครั้งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เกิดจากความบังเอิญ การพบกันของคนที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสม ราวกับฟ้าลิขิตให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น

จาก Project Muscle สู่ Chemcor แล้วถูกลืมไปเกือบ 50 ปี จนฟื้นคืนชีพมาเป็น Gorilla Glass นี่คือเส้นทางสุดแเจ๋งของนวัตกรรมที่ปลุกปั้นโลกอิเล็กทรอนิกส์ให้แข็งแรงทนทานมากขึ้น

ความรู้และเทคโนโลยีบางอย่างอาจจะมาก่อนเวลาที่โลกพร้อมจะยอมรับมัน แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม นวัตกรรมเหล่านั้นก็จะได้รับการยอมรับและสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกได้อย่างมหาศาล เฉกเช่นเดียวกับ Gorilla Glass ที่ปกป้องหน้าจอสมาร์ทโฟนของเรามาจนถึงทุกวันนี้นั่นเองครับผม