ถ้าให้พูดถึงราชาแห่งโลกสมาร์ทโฟน ชื่อของ Apple และ iPhone คงเป็นคำตอบแรกในใจของใครหลายคน
เป็นเวลานานกว่าทศวรรษ ที่ iPhone ไม่ใช่แค่โทรศัพท์ แต่คือสัญลักษณ์ของความหรูหรา นวัตกรรม และสถานะทางสังคม การมี iPhone ในมือ ก็ไม่ต่างอะไรกับการถือกระเป๋าแบรนด์เนมสักใบ
โดยเฉพาะในตลาดที่ใหญ่มหึมาอย่างประเทศจีน ภาพนี้ยิ่งเด่นชัดขึ้นไปอีก
จีนเคยเปรียบเสมือน ‘เพชรเม็ดงาม’ ของ Apple เป็นตลาดที่สร้างรายได้มหาศาล และเป็นดินแดนที่ iPhone ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ภาพร้าน Apple Store ที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คน เป็นเรื่องที่เราเห็นกันจนชินตา
ในยุคทองนั้น หากชาวจีนมีกำลังซื้อ และต้องการโทรศัพท์ที่ดีที่สุด iPhone คือคำตอบสุดท้ายที่แทบไม่ต้องคิด มันคือตัวเลือกโดยปริยายที่ยากจะมีใครท้าทายได้
โลกในวันนั้นดูเหมือนจะมีผู้ชนะที่ถูกกำหนดไว้แล้ว.. Apple คือผู้นำ ส่วนคนอื่นคือผู้ตาม
แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น..
คู่แข่งรายหนึ่งที่หลายคนคิดว่าคงจะล้มหายตายจากไปแล้ว หลังจากโดนหมัดน็อกที่หนักหน่วงจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ กลับลุกขึ้นยืนได้อย่างน่าทึ่ง
ไม่ใช่แค่การลุกขึ้นมาแบบสะบักสะบอม แต่เป็นการกลับมาอย่างแข็งแกร่งและสง่างามกว่าเดิม บริษัทนั้นมีชื่อว่า Huawei
การเปิดตัวสมาร์ทโฟนซีรีส์ Mate 60 ในช่วงปลายปี 2023 เปรียบเหมือนเสียงระฆังที่ป่าวประกาศการต่อสู้ครั้งใหม่ ซึ่งเดิมพันในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ยอดขาย แต่เป็นศักดิ์ศรีของชาติ
และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ที่กำลังจะเปลี่ยนภูมิทัศน์ของวงการเทคโนโลยีไปตลอดกาล
คำถามที่น่าสนใจก็คือ จากบริษัทที่เกือบจะล้มทั้งยืน Huawei พลิกเกมกลับมาท้าชิงบัลลังก์จาก Apple ในบ้านของตัวเองได้อย่างไร? แล้วเบื้องหลังเกมนี้ มันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่าที่เราเห็นหรือไม่?
การกลับมาของ Huawei ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือกลยุทธ์ที่ถูกวางแผนมาอย่างแยบยล เป็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในหลายสมรภูมิพร้อมกัน
สมรภูมิแรกคือสงครามผลิตภัณฑ์และเรื่องราวของความภาคภูมิใจ
ในขณะที่ Apple ยังคงยึดมั่นในปรัชญาการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือที่เรียกว่า ‘Iterative’ คือการปรับปรุงทีละเล็กทีละน้อย ขัดเกลาผลิตภัณฑ์ให้สมบูรณ์แบบขึ้นในทุกๆ ปี
Huawei กลับเลือกเส้นทางที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
การมาถึงของ Mate 60 สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก เพราะหัวใจของมันคือชิปประมวลผล Kirin 9000S ซึ่งเป็นชิปที่ Huawei สามารถพัฒนาและผลิตขึ้นมาได้เองในประเทศจีน
แม้จะถูกตัดขาดจากเทคโนโลยีและเครื่องมือของชาติตะวันตกก็ตาม
วินาทีนั้นเอง การเลือกซื้อมือถือในจีนก็เปลี่ยนไป มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเครื่องไหนแรงกว่า สวยกว่า หรือใช้ง่ายกว่าอีกต่อไป แต่มันมีมิติของ “ความรักชาติ” เข้ามาเป็นส่วนผสมสำคัญ
ชาวจีนจำนวนมากมองว่า การซื้อ Huawei คือการสนับสนุนบริษัทของชาติที่ลุกขึ้นสู้กับมหาอำนาจ มันคือการแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของประเทศ
เรื่องราวของ Huawei กลายเป็นสัญลักษณ์ของความไม่ยอมแพ้
ทันใดนั้น iPhone ที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความล้ำสมัย ก็เริ่มถูกมองในมุมที่ต่างออกไป กลายเป็นสินค้าจากต่างชาติ ท่ามกลางสงครามการค้าที่คุกรุ่น
Apple ที่เคยครองเกมมาตลอด เริ่มรู้สึกถึงแรงกดดัน ยอดขายเริ่มชะลอตัว จนถึงขั้นต้องยอมจัดโปรโมชันลดราคาผ่านตัวแทนจำหน่าย ซึ่งเป็นภาพที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นี่คือสัญญาณแรกที่บอกว่า บัลลังก์ของราชาเริ่มสั่นคลอนอย่างแท้จริง
แต่สงครามไม่ได้มีแค่เรื่องของตัวเครื่องภายนอก สมรภูมิที่ดุเดือดไม่แพ้กัน คือสงครามแห่งจิตวิญญาณ หรือระบบปฏิบัติการนั่นเอง
Apple มี iOS เป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่ง ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย ใช้งานง่าย และมีระบบนิเวศ App Store ที่สมบูรณ์แบบ แต่ในจีน ป้อมปราการนี้ก็มีข้อจำกัดบางอย่าง
บริการหลายอย่างของ Apple ถูกจำกัดการใช้งาน หรือต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดของรัฐบาลจีน
Huawei มองเห็นจุดนี้ และรู้ดีว่าการพึ่งพา Android ที่มีรากฐานจาก Google ของสหรัฐฯ ต่อไป คือความเสี่ยงมหันต์ในระยะยาว พวกเขาจึงตัดสินใจเดินเกมที่กล้าหาญที่สุด
นั่นคือการประกาศ “ทิ้ง Android” อย่างสิ้นเชิง
Huawei เปิดตัวระบบปฏิบัติการของตัวเองในชื่อ HarmonyOS Next ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยไม่มีโค้ดของ Android เหลืออยู่แม้แต่บรรทัดเดียว
การกระทำนี้มีความหมายมากกว่าแค่การสร้าง OS ใหม่ แต่มันคือการ “ประกาศเอกราช” ทางเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ
Huawei กำลังบอกกับโลกและคนในชาติว่า “เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของใคร เราสามารถสร้างเส้นทางของเราเองได้”
HarmonyOS ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมทุกอุปกรณ์ของ Huawei เข้าด้วยกัน ตั้งแต่มือถือ แท็บเล็ต นาฬิกาอัจฉริยะ ไปจนถึงสิ่งที่กำลังจะกลายเป็นอนาคตของการเดินทาง นั่นคือ “รถยนต์ไฟฟ้า”
แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอย่าง AITO ที่ Huawei ร่วมมือพัฒนานั้น ใช้ HarmonyOS เป็นระบบปฏิบัติการหลัก ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างมือถือกับรถยนต์เป็นไปอย่างแนบเนียนและไร้รอยต่อ
ลองจินตนาการถึงการใช้แอปในมือถือบนหน้าจอรถยนต์ได้ทันที หรือการสั่งงานรถยนต์จากนาฬิกาข้อมือ ทุกอย่างเชื่อมถึงกันหมดในระบบนิเวศเดียวกัน
นี่คือประสบการณ์ที่ Apple ในจีนยังไม่สามารถมอบให้ได้อย่างสมบูรณ์เท่า
การควบคุมได้ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้ Huawei สามารถปรับจูนประสิทธิภาพของอุปกรณ์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งที่ทำให้ Apple ได้รับการยกย่องมาโดยตลอด
สงครามครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ iOS ปะทะ Android อีกต่อไป แต่เป็น iOS ปะทะ HarmonyOS และมันคือสงครามระหว่างสองระบบนิเวศที่กำลังจะแบ่งโลกเทคโนโลยีออกจากกัน
และอีกหนึ่งปัจจัยที่ทรงพลังที่สุด แต่เราอาจมองไม่เห็นจากภายนอก คือ “มือที่มองไม่เห็น” หรือการสนับสนุนอย่างเงียบๆ จากรัฐบาลจีน
แม้ Huawei จะไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาคือ ‘บริษัทตัวแทนของชาติ’ หรือ National Champion ที่รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนในทุกมิติ
ไม่ว่าจะเป็นเงินทุนมหาศาลสำหรับการวิจัยและพัฒนา การให้สิทธิพิเศษในสัญญาระดับประเทศ และที่สำคัญคือการส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ของ Huawei แทน iPhone
เหตุผลเบื้องหลังไม่ได้มีแค่เรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ แต่คือการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘อธิปไตยทางข้อมูล’ หรือ Data Sovereignty
ในขณะที่ Huawei ได้รับไฟเขียวในทุกเส้นทาง Apple กลับต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาต้องเดินอยู่บนเส้นด้ายที่บางเฉียบ
ด้านหนึ่ง Apple ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดของจีน อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องเผชิญแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มองว่า Apple พึ่งพาจีนมากเกินไป
สถานะของ Apple ในจีนจึงเปราะบางอย่างยิ่ง แม้จะเป็นแบรนด์ที่ผู้คนรัก แต่ก็อาจได้รับผลกระทบจากกระแสลมทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ
เมื่อการซื้อโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง ไม่ได้จบแค่เรื่องฟังก์ชัน แต่มีความหมายไปถึงการสนับสนุนประเทศชาติ ความภักดีที่เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่การตลาดเพียงอย่างเดียวไม่อาจสร้างได้
และสุดท้าย คือสมรภูมิที่จะตัดสินผู้ชนะในระยะยาว นั่นคือ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
AI คือกาวใจที่จะเชื่อมทุกอย่างในระบบนิเวศเข้าด้วยกัน และ Huawei ก็ทุ่มสุดตัวในสมรภูมินี้ พวกเขาลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ของตัวเอง
ตั้งแต่การพัฒนาชิป AI โดยเฉพาะในชื่อ Ascend ไปจนถึงการสร้างโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของตัวเองที่ชื่อว่า Pangu
การมี AI เป็นของตัวเอง ทำให้ Huawei สามารถฝังความฉลาดเข้าไปในทุกผลิตภัณฑ์ และที่สำคัญคือ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกประมวลผลอยู่ภายในระบบนิเวศของ Huawei เอง
Apple เองก็มีกลยุทธ์ AI ที่แข็งแกร่งอย่าง Apple Intelligence แต่ในตลาดจีน พวกเขากลับเจอกำแพงด้านกฎระเบียบ ทำให้ไม่สามารถนำโมเดล AI จากชาติตะวันตกเข้ามาใช้ได้โดยตรง
นั่นทำให้ Apple ต้องหันไปจับมือกับบริษัทเทคโนโลยีท้องถิ่นของจีน ซึ่งอาจทำให้การควบคุมประสบการณ์ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร
ในโลกยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน ก็คือผู้กุมอนาคต และในสมรภูมิจีน ดูเหมือนว่า Huawei จะเป็นผู้ที่วิ่งนำอยู่หนึ่งก้าวเสมอ
กลับมาที่คำถามแรกสุด… Huawei กำลังเอาชนะ Apple ในจีนอยู่จริงหรือ?
ถ้าเรามองแค่ภาพรวมทั่วโลก Apple ยังคงเป็นบริษัทที่มีมูลค่าและอิทธิพลมหาศาล แต่ถ้าเราซูมภาพเข้ามาที่สมรภูมิประเทศจีนโดยเฉพาะ ภาพที่เห็นนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
Huawei ไม่ได้เป็นเพียงผู้ไล่ตามอีกต่อไป แต่ในหลายๆ ด้าน พวกเขากลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของตลาดไปแล้ว
พวกเขาไม่ได้แค่ทวงคืนส่วนแบ่งการตลาด แต่กำลังทวงคืนจิตวิญญาณและความภาคภูมิใจของคนในชาติกลับคืนมา
สิ่งที่เกิดขึ้นในจีน อาจเป็นภาพสะท้อนของปรากฏการณ์ที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือการ ‘แยกขั้ว’ หรือ The Great Decoupling ของโลกเทคโนโลยี
เราอาจกำลังมุ่งหน้าสู่โลกอนาคตที่มีระบบนิเวศเทคโนโลยีขนาดใหญ่สองขั้ว ขั้วหนึ่งนำโดยบริษัทตะวันตก และอีกขั้วหนึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศจีน
เรื่องราวการต่อสู้ระหว่าง Apple และ Huawei ในสมรภูมิจีน จึงไม่ใช่แค่เรื่องของโทรศัพท์สองยี่ห้อ แต่มันอาจเป็นบทนำของสงครามเทคโนโลยีครั้งใหม่ ที่จะกำหนดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า โลกดิจิทัลของเราจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
นี่อาจเป็นเพียงกระแสความนิยมชั่วคราวที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกชาตินิยม หรือมันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจทางเทคโนโลยีครั้งประวัติศาสตร์ ที่จะทำให้โลกของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เรื่องนี้ก็น่าคิดนะครับ …
References : [reuters,wsj,huaweicentral,bloomberg,counterpointresearch]