Google Translate vs. ChatGPT เครื่องมือใดคือนักแปลภาษาที่ดีที่สุด?

เราอยู่ในยุคที่ Google Translate สามารถที่จะแปลงประโยคใดๆ เป็นภาษาต่างๆ ได้มากกว่า 100 ภาษา และสามารถทำมันได้อย่างรวดเร็ว แต่หลายๆ คนที่ใช้งานเป็นประจำจะรู้ว่า Google Translate ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงอีกมาก

ในทางทฤษฎี โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เช่น ChatGPT น่าจะนำไปสู่ยุคต่อไปของการแปลภาษา เนื่องจากพวกมันใช้ข้อมูลการฝึกอบรมจำนวนมาก บวกกับการที่ได้รับ feedback แบบเรียลไทม์จากผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก และเรียนรู้วิธีพูดภาษาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วด้วยประโยคที่ใกล้เคียงกับมนุษย์

“ขณะนี้เรายังไม่มีผลลัพธ์เชิงประจักษ์ที่สนับสนุนการอ้างว่า LLM ทำงานได้ดีกว่าสำหรับการแปล” Nazneen Rajani หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Hugging Face ผู้สร้าง Hugging Chat ที่ใช้เทคโนโลยี AI กล่าว

ดังนั้นทางทีมงาน PCMag จึงตัดสินใจทดสอบ ChatGPT และทำการพิสูจน์ว่าจะมีอะไรสามารถมาแทนที่ Google Translate ในฐานะบริการแปลภาษาสำหรับการเดินทาง การทำงาน ความรักทางไกล และภาษาอื่นๆ ที่ต้องการได้หรือไม่ และทำการเปรียบเทียบกับ Chatbot อย่าง Microsoft Bing และ Google Bard 

วิธีการทดสอบการแปลภาษา

ทาง PCMag ได้ขอให้ผู้ที่สามารถพูดได้สองภาษาในเจ็ดภาษาทำการทดสอบแบบ blind test พวกเขาทั้งหมดเติบโตขึ้นมาโดยพูดภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ และตอนนี้อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาหรือทำงานให้กับบริษัทอเมริกัน

เมื่อพิจารณาจาก Paragraph ที่เป็นภาษาอังกฤษ พวกเขาจะทำการจัดอันดับว่าแบบไหนแปลได้เนียนกว่ากัน โดยที่จะไม่รู้ว่ามาจากเครื่องมือใดระหว่าง Google Translate, ChatGPT และ Microsoft Bing  โดยจะมีการเปิดเผยภายหลังว่าผลการแปลที่ได้ถูกจัดอันดับนั้นมาจากเครื่องมือใด

  • ภาษาที่ทดสอบ:โปแลนด์ ฝรั่งเศส เกาหลี สเปน อาหรับ ตากาล็อก อัมฮาริก
  • บริการแปลภาษา: Google Translate, Google Bard, ChatGPT, Microsoft Bing

การสร้าง Paragraph สำหรับการแปล

เมื่อเลือกภาษาและโมเดล AI ทีมงาน PCMag จึงสร้าง paragraph เป็นภาษาอังกฤษ โดยจะประกอบด้วยภาษาพูดที่มีความซับซ้อน 2 คำ ได้แก่ “Blow off steam” ซึ่งหมายถึงการปลดปล่อยความรู้สึก  ความโกรธ หรือความกดดันที่มีอยู่ และ “Cheers!” ที่หมายถึง “ขอบคุณ!” นอกจากนี้ยังมีหน่วยวัดสองหน่วยที่จะต้องมีการแปลงในสถานการณ์จริง: USD ($) และไมล์

  • Paragraph 1 – “Hello! Do you speak English? I need some help with directions. I am trying to find a vegetarian restaurant because my sister does not eat meat. What do you recommend? We also want to stay within a few miles of here, and don’t want to spend more than $50. If they have cocktails, that would be a bonus. We’ve had a long day of traveling and need to blow off some steam! You’re welcome to join us. Cheers!”

ย่อหน้าที่สองจะปรับให้มีความตรงไปตรงมามากขึ้น โดยไม่มีวลีหรือหน่วยวัด แต่มีคำสแลงมากกว่า เช่น “hooligans” และ “pop champagne” 

  • Paragraph 2 – “How do I buy tickets to the boat party? Do we need to pay in advance, or can we buy them at the dock when we arrive? I need to be on the upper deck because sometimes I get seasick when I’m too close to the water. Also, I want to be as far away as possible from the young hooligans who want to pop champagne constantly during the voyage. That’s dangerous and not my kind of fun!”

ผลลัพธ์ที่ได้ : AI Chatbots เอาชนะ Google Translate

จาก 12 ตัวอย่างที่ส่งให้ผู้เข้าร่วมทดสอบ พวกเขาชอบ Chatbot AI เช่น ChatGPT, Google Bard หรือ Microsoft Bing มากกว่า Google Translate โดยที่ ChatGPT จะติดอันดับแทบจะทั้งหมด

ตารางการจัดอันดับสำหรับแต่ละบริการ 

“ในความคิดของฉัน ChatGPT ใกล้เคียงกับการสนทนาปกติมากที่สุด” Ana Romero ผู้จัดอันดับของการแปลภาษาสเปนกล่าว

Google Bard ทำงานไม่ค่อยดีนัก แถมยังแจ้งว่า “I cannot translate languages” แต่แนะนำให้ใช้ Google Translate ซึ่งน่าจะเป็นความพยายามของ Google ที่จะไม่ให้มีการแข่งขันระหว่างผลิตภัณฑ์ของตัวเอง 

Chatbot ทั้งหมดต่ำกว่าความคาดหวัง สำหรับการแปลงในส่วนของสกุลเงินและการวัดระยะทางใน Paragraph แรก 

บทสรุป

ข้อผิดพลาดสำหรับ Google Translate คือการตีความตามตัวอักษร “มันเป็นการแปลแบบ ‘คำต่อคำ’ มากที่สุดในบรรดาเครื่องมือทั้งหมด Emile Saad ผู้จัดอันดับสำหรับการแปลภาษาอาหรับ กล่าว “สิ่งนี้ทำให้พลาดบริบทบางอย่าง ตัวอย่างเช่น ‘pop’ [in champagne] ถูกแปลว่า ‘กำลังจุดดอกไม้ไฟ'”

ในภาษาฝรั่งเศส Google Translate เก็บคำว่า “hooligans” เป็นภาษาอังกฤษไว้โดยที่ไม่มีการแปล ในขณะที่ Chatbot จะรู้จักใช้คำสแลงที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมมากกว่า

ปรากฎว่า Chatbot ได้รับการออกแบบให้มีความโดดเด่นในเรื่องของบริบทการแปล ด้วยการที่โมเดลเหล่านี้มีแหล่งข้อมูลจำนวนมหาศาล และผู้ใช้จำนวนมากมีการโต้ตอบในภาษานั้น ทำให้พวกมันผ่านการเรียนรู้มามากว่า และสามารถระบุวลีที่เป็นพวกคำสแลงได้ดีขึ้น

“เคล็ดลับความสุดยอดของ Chatbot เช่น ChatGPT คือ RLHF (reinforcement learning with human feedback) ซึ่งเป็นการเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยความคิดเห็นจากมนุษย์” Rajani จาก Hugging Face กล่าว 

“พวกมันสามารถรวบรวมรูปแบบการตอบสนองในบริบทต่างๆ ของมนุษย์ เช่น ความจริงใจ ความปลอดภัย การช่วยเหลือ ฯลฯ นั่นทำให้มันสามารถช่วยในการเลือกคำแปลที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา”

โฆษกของ Google บอก PCMag ว่า Bard และ Google Translate มี “เทคโนโลยีพื้นฐานที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่พวกมันนอาจสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน” Bard เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานที่หลากหลาย ในขณะที่ Google Translate ได้รับการปรับให้เหมาะกับงานแปลโดยเฉพาะ

เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT เป็นผู้นำในการแข่งแข่งที่ดุเดือดในเทคโนโลยีด้าน AI ในขณะนี้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกมันสามารถแปลข้อความได้ดีกว่า Google Translate เนื่องจาก Google Translate อาจใช้เทคโนโลยีที่เก่ากว่า และมักจะมีการปรับให้สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วมากที่สุดนั่นเองครับผม

References :
https://www.pcmag.com/news/google-translate-vs-chatgpt-which-is-the-best-language-translator
https://www.windowseat.ph/best-translation-apps-for-your-next-international-travel-2023/

Geek Story EP165 : การปฏิวัติทางด้านเทคโนโลยี ถ้าให้ประโยชน์เพียงแค่กลุ่มคนบางกลุ่มมันก็ถึงเวลาที่ต้องเหยียบเบรก

Warren Buffet เปรียบเทียบปัญญาประดิษฐ์กับการสร้างระเบิดปรมาณู ซึ่งเขาได้กลายเป็นบุคคลสำคัญทางธุรกิจคนล่าสุดที่แสดงความตื่นตระหนกเกี่ยวกับความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี AI

ซึ่งต้องบอกว่าเทคโนโลยีมีอยู่ทุกหนทุกกแห่งและเป็นสิ่งที่ดีต่อมนุษย์เราอยู่เสมอ ในที่สุดเทคโนโลยีใหม่ๆ มักจะสร้างงานที่ดีขึ้น สร้างความมั่นคงให้กับโลกเราได้ในท้ายที่สุด แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเทคโนโลยีถูกนำมาใช้สำหรับกำจัดคู่แข่งทางการเมือง รวมถึงปกป้องชนชั้นสูงเพื่อให้พวกเขาอยู่ยั้งยืนยงตลอดไป

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3J7XZ15

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://bit.ly/3MVhtXP

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/43RmxTR

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://bit.ly/3P3TTuS

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/fHoycV6828Y

References Image : https://www.history.com/topics/industrial-revolution

Bolt x Uber บริษัท Startup เล็ก ๆ ของเอสโตเนียเอาชนะ Uber ในเกมของตัวเองได้อย่างไร

เป็นเคสที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับบริษัท Startup ขนาดเล็กที่ต้องการสู้กับทุนใหญ่ ที่ผ่านการระดมทุนจำนวนมหาศาล และมีเม็ดเงินที่จะเผาผลาญเล่นในธุรกิจอย่างไม่จำกัดแบบ Uber

Markus Villig ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับบริการ Bolt ของเขาด้วยงบประมาณอันน้อยนิด เข้าได้สร้างธุรกิจมูลค่า 8.4 พันล้านดอลลาร์ และผลักดันตัวเองให้กลายเป็นมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 700 ล้านดอลลาร์

Bolt ซึ่งมีฐานหลักอยู่ในเอสโตเนียซึ่งมีเงินทุนเพียงแค่ 2 ล้านดอลลาร์ เข้าสู่การแข่งขันโดยตรงกับ Uber ซึ่งในปีก่อนหน้าระดัมทุนได้ 1.2 พันล้านดอลลาร์จากการประเมินมูลค่า 17 พันล้านดอลลาร์

เนื่องจาก Villig มีเงินทุนเพียงแค่ 0.01% ของ Uber นั่นทำให้การต่อสู้ต้องใช้วิธีที่แตกต่างกันมาก แทนที่จะไปดวลตัวต่อตัวกับ Uber ในตลาดที่พัฒนาแล้ว Bolt เริ่มกำหนดเป้าหมายไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น โปแลนด์ ซึ่งในช่วงแรกมีการแข่งขันเพียงเล็กน้อยหรือแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ

Markus Villig ได้ร่วมกับ Martin พี่ชายของเขา ซึ่งแก่กว่า Markus 15 ปี และมีประสบการณ์ในแวดวงบริษัท Startup ในเอสโตเนีย เพื่อสร้างบริการเรียกรถขึ้นในเอสโตเนีย

Markus Villig ได้ร่วมกับ Martin พี่ชายของเขา ซึ่งแก่กว่า Markus 15 ปี (CR:Estonian World)
Markus Villig ได้ร่วมกับ Martin พี่ชายของเขา ซึ่งแก่กว่า Markus 15 ปี (CR:Estonian World)

ส่วนใหญ่ Bolt พึ่งพาการแฮ็ก เช่น การรับสมัครพนักงานขับรถผ่าน Facebook มากกว่าจะอัดเงินไปกับการโฆษณาอย่างบ้าคลั่งเหมือนกับ Uber การจ้าง programmer ชาวเอสโตเนีย ซึ่งมีค่าจ้างเพียงเศษเสี้ยวของพนักงานในแถบ Bay Area และการทำงานในอพาร์ตเมนต์ราคาถูกในทาลลินน์ เมืองหลวงของเอสโตเนีย

ในขณะที่นักลงทุนพยายามกระตุ้นให้ Villig พยายามที่จะเจาะเข้าไปยังตลาดสหรัฐฯ แต่ Villig กลับไปเปิดตัวในแอฟริกาใต้แทน โดยจ้างพนักงานท้องถิ่นทั้งหมดผ่าน Skype ซึ่งคนขับรถชาวแอฟริกาใต้และลูกค้าส่วนใหญ่แทบจะไม่มีบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคาร ดังนั้นเขาจึงติดตามการชำระเงินด้วยเงินสดแทน รายได้จากประเทศในแอฟริกา ซึ่งรวมถึงแอฟริกาใต้ ไนจีเรีย และกานา คิดเป็นสัดส่วนหนึ่งในสามของธุรกิจ Bolt

ระหว่างปี 2015-2019 Bolt มีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 730,000 ดอลลาร์เป็น 142 ล้านดอลลาร์ Villig ไม่สามารถดำเนินธุรกิจแบบเดียวกับ Uber ได้ ไม่สามารถที่จะขาดทุนก้อนใหญ่ ดังนั้นเขาจึงบริหารบริษัทให้ใกล้ถึงจุดคุ้มทุน ในทางกลับกัน Uber ใช้เงินไป 19.8 พันล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 6.3 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ก่อนที่จะมีการทำ IPO ในปี 2019

ซึ่งหลังจากทำงานด้วยข้อจำกัดอยู่หลายปี ในที่สุด Villig ก็ได้รับการสนับสนุนจาก Didi บริษัทเรียกรถยักษ์ใหญ่ของจีน รวมถึง Mercedes-Benz ก่อนที่ Sequoia Capital และ Fidelity จะอัดฉีดเงินลงทุน 1.4 พันล้านดอลลาร์ในรอบการระดมทุนระหว่างเดือนสิงหาคม 2021 ถึง มกราคม 2022

แม้สถานการณ์ของ Bolt จะดีขึ้นจากเงินลงทุนที่เข้ามา แต่ Villig เองก็ยังต้องระวังตัวไม่ให้ตกหลุมพรางเดียวกันกับ Uber เขาใช้เวลากับเงินส่วนใหญ่ไปกับความพยายามในการสร้าง Super App ของ Bolt ซึ่งนำเสนอสกู๊ตเตอร์และรถเช่า รวมถึงบริการส่งอาหารและของชำ

ความประหยัดถือเป็น key สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ Bolt ประสบความสำเร็จมาจวบจนถึงทุกวันนี้ Bolt แทบไม่ออกบัตรเครดิต โทรศัพท์ หรือสินค้าองค์กรอื่นๆ ให้กับพนักงาน และจนถึงปี 2019 Villig ยังแชร์ห้องพักร่วมกันกับพนักงานเมื่อมีการเดินทางเพื่อประหยัดค่าโรงแรม

Villig ที่สูง 6 ฟุต 4 แทบจะบินด้วยสายการบิน Low Cost ตลอดทุกการเดินทาง “เราประหยัดมากตั้งแต่วันแรกเพราะเราไม่มีเงิน” เขากล่าว “ตอนนี้ Bolt มีพนักงาน 4,000 คน พวกเขาคิดถึงสิ่งที่พวกเขาใช้จ่ายทุกวัน และนั่นคือข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดข้อเดียวของเรา”

ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีหลายรายต่างเลิกจ้างพนักงานในช่วงปีที่ผ่านมา Villig ไม่มีแผนที่จะปลดพนักงานแต่อย่างใด การลดเงินเดือนโดยสมัครใจและเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลช่วยให้พนักงานของ Bolt รอดจากเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19

แต่ก็ยังมีความท้าทายที่เกิดขึ้นกับ Bolt เฉกเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับ Uber เหล่ารัฐบาลท้องถิ่นทั่วโลกเริ่มมองเห็นปัญหาเดียวกันกับแอปเรียกรถ รวมถึงการประท้วงที่เกิดขึ้นจากเหล่า Rider และการรณรงค์ให้จัดประเภทคนขับให้กลายเป็นพนักงานประจำไม่ใช่อาชีพอิสระอีกต่อไป

ในเอสโตเนีย Villig เองได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในฐานะหนึ่งในนายจ้างรายใหญ่ที่สุดของประเทศแถบบอลติก แต่ Bolt ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในสภาพแวดล้อมที่ใหญ่ขึ้นและมีกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นในอนาคต

ความน่าสนใจของเอสโตเนียกับ Startup

เอสโตเนียเป็นหนึ่งในประเทศเล็ก ๆ ที่สร้างบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็น Skype ที่ขายให้ Microsoft แอปแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Wise หรือ Bolt ในเคสล่าสุด

ประธานาธิบดี Kersti Kaljulaid ของเอสโตเนีย กล่าวว่า บริษัทข้ามชาติมักจะตั้งสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศที่มีระบบภาษีที่เกื้อหนุนพวกเขา แต่เอสโตเนียไม่เคยเป็นแหล่งหลบเลี่ยงภาษีให้บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้

ประธานาธิบดี Kersti Kaljulaid ของเอสโตเนีย (CR: The Nomad Today)
ประธานาธิบดี Kersti Kaljulaid ของเอสโตเนีย (CR: The Nomad Today)

นั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่เอสโตเนียมีธุรกิจ Startup จากบ้านเกิดจำนวนมาก และได้เห็น Unicorn ถือกำเนิดจากประเทศนี้บ่อยขึ้น

และโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเอสโตเนียได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นมิตรกับเทคโนโลยีมากที่สุดในโลก รัฐบาลได้ดำเนินการหลายอย่างทางออนไลน์ก่อนประเทศอื่น ๆ มีการลงคะแนนเสียงออนไลน์ บัตรประชาชนแบบดิจิทัล และมีบริการ Wi-Fi ฟรีทั่วประเทศ

ซึ่งนั่นล้วนเป็น key สำคัญที่เราจะได้เห็น Unicorn Startup จากเอสโตเนียเพิ่มมากขึ้นในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
https://www.forbes.com/sites/iainmartin/2023/04/12/how-this-estonian-startup-beat-uber-at-its-own-game
https://3seaseurope.com/a-bolt-in-the-sky-the-meteoric-rise-of-an-estonian-mobility-company/
https://cnbc.com/2021/09/17/estonia-president-skype-wise-bolt-thrive-in-absence-of-tech-giants.html
https://startupuniversal.com/e-stonia-the-most-digitally-advanced-startup-ecosystem-in-the-world/
https://saartehaal.postimees.ee/7658128/markus-villig-bolt-saab-kahe-aasta-parast-borsikupseks

Geek Daily EP179 : Apple Vision Pro เมื่อผู้ที่มาก่อนกาล ไม่ได้เป็นผู้ชนะในเกมธุรกิจเสมอไป

Apple ไม่ได้เป็นผู้ที่มาก่อนกาล พวกเขาไม่ใช่ผู้ริเริ่มที่แท้จริงในหลากหลายธุรกิจ พวกเขาไม่ได้ผลิตเครื่องเล่น mp3 เครื่องแรก พวกเขาไม่ใช่ผู้สร้างโทรศัพท์มือถือหรือแท็ปเล็ตเป็นเครื่องแรก พวกเขาไม่ได้ผลิต Smart Watch เป็นคนแรก แต่พวกเขามองหาบางอย่าง ปรับปรุงให้ดีขึ้น และเข้ามาทำให้เป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น

เฉกเช่นเดียวกับในธุรกิจ AR/VR Headset Apple ได้เปิด ตัวชุด Headset Vision Pro ใหม่ โดยได้เข้าสู่เวที-ของเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ในช่วงที่เริ่มอิ่มตัวแล้ว เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Hololens ของ Microsoft , Oculus ของ Meta และ Magic Leap แล้ว Apple จะสร้างจุดเปลี่ยนในธุรกิจนี้ได้อีกครั้งหรือไม่

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/43KYyWE

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://bit.ly/45Hn6S2

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3Clq01f

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://bit.ly/3qsVG2c

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/9zS0vLkZqL8

Image References :
https://insideretail.com.au/sectors/apples-vision-pro-will-kickstart-tired-electronics-sector-say-analysts-202306

ยกระดับการเชื่อมต่อสู่อีกขั้น ด้วยนวัตกรรมจาก MAXHUB ในงาน InfoComm Asia 2023

MAXHUB ผู้ให้บริการชั้นนำของโลก ที่เชี่ยวชาญทางด้านจอแสดงผลอัจฉริยะ มาพร้อมกับระบบการเชื่อมต่ออันชาญฉลาด ได้จัดแสดงนวัตกรรมที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุด ภายในงานที่รวมเทคโนโลยีภาพและเสียงระดับนานาชาติ อย่าง InfoComm Asia 2023 ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันที่ 24 ถึง 26 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา

ภายใต้หัวข้อ “Empowering Future Educators and Students with MAXHUB’s Innovative Solutions” MAXHUB มีความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลงการศึกษาด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมจริงให้กับนักเรียนและผู้สอน โดยงานนี้ได้รับความสนใจจากนักศึกษา ผู้เชี่ยวชาญ ผู้นำในอุตสาหกรรม รวมถึงผู้ที่กำลังหาโซลูชันที่จะตอบโจทย์ในการพัฒนาการศึกษาไปสู่ขั้นต่อไป

การจัดแสดงผลิตภัณฑ์และโซลูชั่น ในพื่นที่บูธของ MAXHUB มีหลากหลายรายการ ที่ซึ่งมีการปรับให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะทั้งผู้สอนและนักเรียน หนึ่งในไฮไลท์ที่น่าจับตาคือ IFP E2 Series ซึ่งเป็นจอแสดงผลอัจฉริยะที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ของนักเรียนควบคู่ไปกับการส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้แบบโต้ตอบและมีส่วนร่วม การจัดแสดงเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมด้านความปลอดภัยที่ช่วยให้นักเรียนและครูสามารถมีสมาธิและปฏิสัมพันธ์ได้ดียิ่งขึ้น

อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นคือ กระดานดำอัจฉริยะ ที่มาพร้อมกับกล้องความละเอียดสูงและไมโครโฟนที่ถูกติดตั้งภายในตัว เป็นผลิตภัณฑ์ที่ครบฟังก์ชั่นทั้งหมดในหนึ่งเดียว ตอบโจทย์กระบวนการเรียนรู้ขึ้นไปอีกระดับ ช่วยให้นักเรียนสามารถใช้งานระบบมัลติมีเดีย ในการโต้ตอบ อีกทั้งยังรองรับกิจกรรมที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยระบบการจับภาพอัจฉริยะที่ออกแบบโดย MAXHUB กับสตรีมมิ่งขั้นสูง ส่งผลทำให้การสอนง่ายขึ้นสู่อีกขั้น หลังจากเปิดตัวในงาน IFC ASIA 2023 ตอนนี้ Smart Blackborad ก็เปิดตัวในตลาด APAC อย่างเป็นทางการแล้ว

นอกเหนือการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจแล้ว MAXHUB ยังจัดพื้นที่กิจกรรมให้ผู้เข้าชมงานได้ร่วมสนุกกันเพิ่มเติม กับเครื่องดื่มมากมายที่ถูกจัดเตรียมไว้ต้อนรับ รวมถึงกิจกรรมตอบคำถามชิงของรางวัล Happy Hour โดยได้รับเสียงตอบรับการเข้าร่วมกิจกรรมอย่างล้นหลาม

อีกหนึ่งช่วงสำคัญของงานนี้ อย่างกิจกรรมเสวนาพูดคุย Roundtable เวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นข้อมูลเชิงลึกและแบ่งปันแนวทางการประยุกต์ใช้ที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้สอนและสร้างแรงจูงใจในการเรียนให้กับนักเรียนด้วยนวัตกรรมจาก MAXHUB โดยกิจกรรมนี้ถูกจัดขึ้นในวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 ช่วงเวลา 14.00 นาฬิกา เป็นต้นไป โดยมีผู้ที่สนใจและสื่อมวลชนหลายสำนักเข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้ด้วย

นวัตกรรมของ MAXHUB แสดงให้เห็นถึงศักยภาพเทคโนโลยี ที่จะสามารถปฏิวัติสภาพแวดล้อมในห้องเรียนได้ โดยเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นด้านการศึกษา บริษัทได้แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีสามารถอุดช่องว่างระหว่างการศึกษาในเมืองและชนบท ช่วยพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนและสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันให้กับนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่สังคมและเศรษฐกิจที่แตกต่างกันไปได้ โซลูชันของ MAXHUB ได้รับการยกย่อง ว่ามีรูปแบบการใช้งานที่ง่าย ลดความซับซ้อนของกระบวนการสอน และเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้สอนและนักเรียน มีการเรียนรู้แบบผสมผสานไปด้วยกันได้

MAXHUB เข้าร่วมงาน InfoComm Asia 2023 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเพิ่มขีดความสามารถของการศึกษาให้สูงขึ้น เป้าหมายของบริษัทคือการยกระดับความคิดสร้างสรรค์ สร้างมาตรฐานใหม่ด้วยโซลูชันจอแสดงผลอัจฉริยะ และระบบการเชื่อมต่ออันชาญฉลาดที่จะนำพาการเรียนการสอนไปสู่อนาคตที่ดี

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ MAXHUB และโซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมใหม่ได้ที่:https://www.linkedin.com/company/maxhub-overseas/