ถ้าเราพูดถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ PC แน่นอนว่ามันคือหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20
ทุกวันนี้ เมื่อเรานึกถึงอุตสาหกรรมนี้ สองชื่อที่ครองตลาดและอยู่ในใจคนก็คือ Apple และ Microsoft
แต่รู้หรือไม่ว่า นวัตกรรมสำคัญที่ทำให้พวกเขาทั้งคู่ก้าวขึ้นมาเป็น “ราชา” แห่งวงการได้นั้น จริงๆ แล้ว ไม่ได้มาจากมันสมองของพวกเขาเอง
วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องราวที่โด่งดังพอๆ กับที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี
เรื่องราวที่ว่า Steve Jobs และ Bill Gates “ขโมย” ไอเดียมาจากบริษัทที่ชื่อว่า Xerox ได้อย่างไร
ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ตอนนั้น Steve Jobs กับ Bill Gates ยังเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลาย ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ
แต่ในโลกธุรกิจ มี “ยักษ์ใหญ่” ตนหนึ่งที่แทบจะไม่มีใครต่อกรได้ บริษัทนั้นคือ Xerox
ในยุคนั้น Xerox ไม่ได้เป็นแค่บริษัทใหญ่ แต่พวกเขาคือ “ผู้ผูกขาด” ตลาดเครื่องถ่ายเอกสารอย่างสมบูรณ์
ในปี 1959 พวกเขาสร้างเครื่องถ่ายเอกสารเชิงพาณิชย์ที่ใช้งานได้จริงเครื่องแรกของโลก และใช้เวลาตลอดทศวรรษต่อมาในการสร้างอาณาจักร กวาดรายได้ไปกว่าครึ่งพันล้านดอลลาร์ต่อปี
รายได้ระดับนี้ในยุคนั้น ถือว่ามหาศาลมาก
เรียกได้ว่าในอเมริกา คำว่า “Xerox” ไม่ได้แปลว่าเครื่องถ่ายเอกสาร แต่มันกลายเป็น “คำกริยา” ที่แปลว่า “ไปถ่ายเอกสาร” เลยทีเดียว
แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา…
เมื่อสิทธิบัตรทองคำของ Xerox เริ่มทยอยหมดอายุ บรรดาคู่แข่งราคาถูกจากญี่ปุ่นก็เริ่มดาหน้าเข้ามาท้าทายบัลลังก์
Xerox ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องดิ้นรนเพื่ออนาคต
เมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายนี้ ผู้บริหารของ Xerox เลยทำในสิ่งที่บริษัทใหญ่ที่มีเงินเหลือเฟือมักจะทำ นั่นคือการ “ทุ่มเงินเพื่อซื้ออนาคต”
พวกเขาเรียกหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ Jack Goldman มาคุย แล้วยื่น “เช็คเปล่า” หรือ Blank Check ให้
คำว่า “เช็คเปล่า” ในโลกธุรกิจ มันหมายถึงการอนุมัติงบประมาณแบบไม่อั้น
ภารกิจที่ Jack Goldman ได้รับคือ “ไปพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ อะไรก็ได้ ที่จะทำให้ Xerox ยังคงเป็นที่หนึ่งต่อไป”
นี่คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
ในปี 1970 Jack Goldman ได้ก่อตั้งศูนย์วิจัยที่ชื่อว่า Palo Alto Research Center หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า PARC
ภารกิจของ PARC นั้นชัดเจนมาก คือ “ไปประดิษฐ์ออฟฟิศแห่งอนาคตมา”
Jack Goldman ไม่ได้ต้องการแค่นักวิทยาศาสตร์ธรรมดา เขาต้องการ “ทีมอเวนเจอร์ส” แห่งโลกคอมพิวเตอร์ เขารวบรวมหัวกะทิที่เก่งกาจที่สุดในยุคนั้น มาไว้ในที่เดียวกัน
หนึ่งในนักวิจัยที่ PARC ซึ่งต่อมาได้ร่วมก่อตั้ง Adobe ได้เล่าถึงบรรยากาศในตอนนั้นว่า
“มันเหมือนมีไฟฟ้าสถิตอยู่รอบตัวตลอดเวลา… ที่นี่มีอิสรภาพทางปัญญาอย่างเต็มเปี่ยม”
“แนวคิดเกือบทุกอย่างสามารถถูกท้าทายได้ และมันก็ถูกท้าทายอยู่เป็นประจำ”
ในสภาพแวดล้อมที่โคตรจะสร้างสรรค์นี้เอง เหล่านักวิจัยของ PARC ก็ได้เริ่มทำงานที่ล้ำสมัยมากๆ พวกเขากำลังสร้างเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโลกในอนาคต
อย่างแรกคือ computer mouse หรือเมาส์ที่เราใช้คลิกๆ กันทุกวันนี้
อย่างที่สองคือ ethernet networking มันคือเทคโนโลยีที่ทำให้คอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่อง “คุยกันได้”
พูดง่ายๆ มันคือรากฐานของระบบ LAN หรือ Network ที่เราใช้กันในออฟฟิศทุกวันนี้นั่นเอง
และที่สำคัญที่สุด…
นั่นคือ graphical user interface หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า GUI
GUI คืออะไร?
ลองนึกภาพคอมพิวเตอร์ในยุค 1970s มันคือจอสีดำทะมึน มีแต่ตัวอักษรสีเขียวๆ วิ่งไปมา การจะสั่งให้มันทำงาน เราต้อง “พิมพ์คำสั่ง” หรือ Command-line ที่ซับซ้อนและน่าปวดหัว
แต่สิ่งที่ PARC คิดค้นขึ้นมา คือการปฏิวัติวิธีที่เราสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ แทนที่จะ “พิมพ์คำสั่ง” ที่น่าเบื่อ… PARC เสนอว่า “ทำไมเราไม่ใช้ ‘รูปภาพ’ หรือ ‘Icon’ แทนล่ะ”
แนวคิดเรื่อง “Desktop” ที่มีไฟล์ต่างๆ วางอยู่… แนวคิดเรื่อง “Folder” ที่เราดับเบิลคลิกเพื่อเปิด…
แนวคิดเรื่อง “หน้าต่าง” หรือ Windows ที่มันซ้อนทับกันไปมา… ทั้งหมดนี้… มาจาก PARC ครับ
มันดูเหมือนจะไปได้สวยใช่ไหม? PARC กำลังสร้างอนาคต
แต่มันมีปัญหาเพียงอย่างเดียว… คือผู้บริหารระดับสูงของ Xerox กลับ “ไม่สนใจ” การพัฒนาเหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
เราต้องเข้าใจว่า ผู้บริหาร Xerox เหล่านี้คือ “คนขายเครื่องถ่ายเอกสาร” พวกเขามองโลกผ่านเลนส์ของเครื่องถ่ายเอกสาร
บริษัทกำลังทำเงินได้มหาศาลจากธุรกิจหลัก พวกเขาจึงไม่เห็นเหตุผลใดๆ ที่จะต้องหันไปสนใจ “กล่องคอมพิวเตอร์” ที่ดูยุ่งยากและทำเงินไม่ได้
แต่ทีม PARC ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
พวกเขายังคงมุ่งมั่นทำงานต่อไป และได้สร้างผลิตภัณฑ์หนึ่งเดียว ที่รวบรวมสุดยอดนวัตกรรมทั้งหมดของพวกเขาไว้ด้วยกัน
มันมีชื่อว่า Xerox Alto
Xerox Alto คือ “ไทม์แมชชีน” ครับ… มันคือคอมพิวเตอร์ที่ล้ำหน้ายุคสมัยของมันไปเป็น 10 ปี มันมีอินเทอร์เฟซแบบคีย์บอร์ดและเมาส์ที่เรายังคงใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มันสามารถเชื่อมต่อเครือข่าย ใช้งานอีเมล พิมพ์งานกราฟิก และมีระบบแจ้งเตือนตารางงาน
นี่คือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกของโลกอย่างแท้จริง
แต่น่าเศร้า… อีกครั้ง… ที่เหล่าผู้บริหาร Xerox ที่สำนักงานใหญ่ใน New York ก็ยัง “ไม่เก็ต” อยู่ดี
พวกเขามอง Alto แล้วเห็นอะไร?
พวกเขาเห็น “เวิร์กสเตชัน” ที่ซับซ้อนเกินความจำเป็น และที่เลวร้ายที่สุดคือ พวกเขามองไปที่ “ต้นทุน”
Xerox Alto ในตอนนั้น มีต้นทุนการผลิตสูงถึง 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหนึ่งเครื่อง
ซึ่งเงิน 40,000 ดอลลาร์ ในยุค 1970 นี่มันมหาศาลมากนะครับ… มันแพงกว่ารถยนต์หรูๆ เสียอีก
Xerox จึงตัดสินใจอนุมัติทุนสร้างเครื่อง Alto ออกมาเพียง 2,000 เครื่องเท่านั้น และที่สำคัญคือ… พวกเขา “ไม่เคย” ดำเนินการวางจำหน่ายมันในเชิงพาณิชย์เลย
สิ่งเดียวที่ผู้บริหาร Xerox สนใจจาก PARC คือ “นวัตกรรม” ที่เกี่ยวกับ “เครื่องพิมพ์” และ “เครื่องถ่ายเอกสาร” เท่านั้น
และแม้ว่าสุดท้ายพวกเขาจะได้นวัตกรรมด้านการพิมพ์ที่ต้องการ (เช่น เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์เลเซอร์) แต่นักวิจัยที่ PARC กลับรู้สึกหัวใจสลาย
ดูเหมือนว่าความก้าวหน้าครั้งสำคัญทั้งหมดของพวกเขา… นวัตกรรมที่จะเปลี่ยนโลก… กำลังจะถูกโยนทิ้งถังขยะ
อัจฉริยะหลายคนในทีมเริ่มหมดไฟ… และทยอยลาออก บ้างก็แยกย้ายไปก่อตั้งบริษัทของตัวเอง บ้างก็ย้ายไปเข้าร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีหน้าใหม่ไฟแรงหลายแห่งที่กำลังผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในย่านนั้น ย่านที่เรารู้จักกันในชื่อ Silicon Valley
สมบัติล้ำค่า ถูกทิ้งไว้ในปราสาทที่ถูกลืม…
อย่างไรก็ตาม คุณูปการของ PARC ก็ไม่ได้สูญเปล่าไปทั้งหมด ชื่อเสียงของศูนย์วิจัยแห่งนี้ ได้สร้างความฮือฮาและกลายเป็น “ตำนาน” ในหมู่คนวงในและเหล่า Techies
และในที่สุด… กิตติศัพท์เรื่อง “ห้องทดลองเวทมนตร์” ของ Xerox ก็ดังไปเข้าหูชายคนหนึ่ง
ชายคนนั้นมีชื่อว่า Steve Jobs
ในเวลานั้น… Jobs กำลังหัวหมุนอยู่กับโปรเจกต์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ของ Apple สองตัว นั่นคือโปรเจกต์ Lisa และโปรเจกต์ Macintosh
ในตอนแรก Jobs เองก็ยังสงสัยในตัว Xerox และปฏิเสธที่จะไปเยือน PARC ด้วยตัวเอง เขาคิดว่าพวกนั้นก็แค่ “บริษัทเครื่องถ่ายเอกสาร” จะมีอะไรน่าสนใจ
แต่หลังจากที่พนักงานเก่งๆ ของเขาหลายคน (ซึ่งบางคนก็เคยทำงานที่ PARC) พยายามคะยั้นคะยอให้เขาไปดู “ปาฏิหาริย์” นั่นด้วยตาตัวเอง
ในที่สุด… เขาก็ตกลงที่จะไปด้วย
Jobs ไปเยือน PARC ในช่วงปลายปี 1979 และวินาทีที่เขาได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า… มันก็ได้เปลี่ยนชีวิตเขา และเปลี่ยนโลกใบนี้ไปตลอดกาล
Jobs เคยเล่าถึงวินาทีนั้นด้วยตัวเองว่า…
“ผมมีคนสามสี่คนที่คอยตื๊อผมอยู่เรื่อยว่าผมควรจะไป Xerox PARC เพื่อดูว่าพวกเขากำลังทำอะไร”
“ในที่สุดผมก็ไป… และพวกเขาก็ใจดีมาก พวกเขาโชว์ให้ผมดูสามสิ่ง”
“แต่ผมกลับ ‘ตาพร่ามัว’ ไปกับสิ่งแรกที่เห็น จนแทบไม่เห็นอีกสองอย่างที่เหลือเลย”
“หนึ่งในนั้นคือ object oriented programming ผมมองไม่เห็นมันด้วยซ้ำ”
“อีกอย่างคือ networked computer system พวกเขามีคอมพิวเตอร์ Alto กว่าร้อยเครื่องเชื่อมต่อกัน… ผมก็มองไม่เห็นมัน”
“ผมตาบอด… เพราะสิ่งแรกที่พวกเขาโชว์ผม… ซึ่งก็คือ graphical user interface”
“ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ ‘เจ๋งที่สุด’ ที่ผมเคยเห็นมาในชีวิต”
“แน่นอน… มันยังมีข้อบกพร่อง มันยังไม่สมบูรณ์ แต่ ‘เชื้อ’ ของแนวคิดมันอยู่ตรงนั้น และพวกเขาก็ทำมันออกมาได้ดีมาก”
“และภายในสิบนาที… มันก็ชัดเจนสำหรับผมเลยว่า… คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนโลก จะต้องทำงานแบบนี้ในสักวันหนึ่ง… มันชัดเจนมาก”
Steve Jobs “เก็ต” ใน 10 นาที ในสิ่งที่ผู้บริหาร Xerox มองไม่เห็นมาเกือบ 10 ปี
Jobs รู้ทันทีว่านี่คือ “อนาคต” และเขาต้องการส่วนแบ่งจากมัน… เขาต้องการมันมาเป็นของตัวเอง
หลังจากการประชุมครั้งแรก Jobs ไม่รอช้า เขาเริ่มเจรจาต่อรองทันที เขาจัดการให้ทีมโปรแกรมเมอร์ทั้งหมดของเขา ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดู “การสาธิตทางเทคนิคแบบเต็มรูปแบบ” ที่ PARC
เพื่อแลกเปลี่ยนกับอะไร?
Jobs เสนอขายหุ้น Apple จำนวน 100,000 หุ้นให้กับ Xerox
ในเวลานั้น Apple ยังเป็นบริษัทนอกตลาด ผู้บริหาร Xerox จึงมองว่านี่เป็นดีลที่น่าสนใจ โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลัง “ขายอนาคต” ของตัวเองไป
หนึ่งในนักวิจัยของ PARC ที่เป็นคนทำการสาธิตในวันนั้น หวนนึกถึงเหตุการณ์ว่า…
“หลังจากดูการสาธิตไปหนึ่งชั่วโมง… พวกเขา (ทีม Apple) ก็เข้าใจเทคโนโลยีของเราและความหมายของมันมากกว่าผู้บริหาร Xerox คนไหนๆ ที่ผมนั่งอธิบายให้ฟังมาหลายปีเสียอีก”
Apple ไม่ได้ “ลอก” โค้ดของ Xerox Alto เลยแม้แต่บรรทัดเดียว
แต่พวกเขา “สูบ” เอา “แนวคิด” และ “ปรัชญา” ทั้งหมดกลับไป… แล้วนำไปปรับปรุง พัฒนาต่อยอด ทำให้มันดีขึ้น… ทำให้มันถูกลง… และที่สำคัญที่สุด คือทำให้มัน “เป็นมิตรกับคนทั่วไป”
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือคอมพิวเตอร์ Apple Lisa (ซึ่งล้มเหลวเพราะราคายังแพงเกินไป) และต่อมาก็คือ Macintosh ในปี 1984 คอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนโลกด้วย GUI และเมาส์
แต่เดี๋ยวก่อน… เรื่องราวยังไม่จบ… แล้ว Bill Gates ล่ะ?
นี่คือจุดที่เรื่องราวซับซ้อนขึ้นไปอีกขั้น
ในขณะที่ Apple กำลังพัฒนา Macintosh อยู่นั้น… Microsoft กำลังทำงานร่วมกับ Apple อย่างใกล้ชิด ในฐานะ “นักพัฒนาซอฟต์แวร์บุคคลที่สาม” หรือ Third Party รายแรกๆ สำหรับเครื่อง Mac
Bill Gates ก็ฉลาดไม่แพ้ Steve Jobs Microsoft เองก็ได้ดึงตัวอดีตพนักงานเก่งๆ หลายคนมาจาก PARC เช่นกัน
Gates ตระหนักดีถึงการมีอยู่ของ Xerox Alto และนวัตกรรมของมันไม่ต่างจาก Jobs
Steve Jobs รู้เรื่องนั้นดี… เขารู้ว่า Gates ก็รู้… ดังนั้นเขาจึงพยายาม “กันท่า”
ในสัญญาที่ Apple ทำกับ Microsoft ในปี 1981 Jobs ได้ใส่ข้อตกลงสำคัญข้อนึงไว้ว่า: Microsoft ห้ามวางจำหน่ายซอฟต์แวร์ใดๆ ที่ “ใช้เมาส์” จนกว่าจะครบกำหนด “หนึ่งปี” หลังจากการเปิดตัว Macintosh ซึ่งในสัญญาระบุไทม์ไลน์ไว้ชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นใน “ฤดูใบไม้ร่วง ปี 1983”
ฟังดูเป็นสัญญาที่รัดกุมดีใช่ไหม?
แต่ทนายความของ Apple ได้ลืมคำนึงถึงความเป็นไปได้หนึ่งข้อ…
นั่นคือ… “ความเป็นไปได้ของความล่าช้าในโครงการ”
และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง… การพัฒนาเครื่อง Mac ล่าช้ากว่ากำหนด วันเปิดตัวจริงของ Macintosh ถูกเลื่อนออกไป… แต่ “วันที่ในสัญญา” กับ Microsoft ยังคงเดิม Macintosh จะยังไม่เปิดตัวจนกว่าจะถึงปี 1984
แต่ในเดือนพฤศจิกายน 1983… หนึ่งปีก่อน Mac จะวางขาย Microsoft ได้สร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ในงานแสดงสินค้า Comdex
Bill Gates ขึ้นเวที และเปิดตัวสภาพแวดล้อม GUI ของตัวเอง ที่เขาเรียกว่า… “Windows” พร้อมกับการเปิดตัวโปรแกรมประมวลผลคำที่ใช้เมาส์… Microsoft Word
แน่นอนว่า Steve Jobs โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เขารู้สึกเหมือนถูกเพื่อนรักหักหลัง และยื่นฟ้อง Microsoft ในข้อหา “ขโมย” หน้าตาและแนวคิดของ Mac (ซึ่งเป็นคดีความที่ต่อสู้กันยาวนานหลายปี และในที่สุดศาลก็ตัดสินให้ Gates พ้นจากความผิด)
มีเรื่องเล่าที่เป็นตำนานบทหนึ่ง…
เมื่อ Steve Jobs เรียก Bill Gates มาเผชิญหน้า และตะคอกใส่เขาว่า “นายขโมยของเราไป! ฉันไว้ใจนาย!”
Bill Gates ในวัยหนุ่ม ตอบกลับไปอย่างใจเย็น ด้วยประโยคที่สรุปเรื่องราวทั้งหมดนี้ไว้อย่างคมคาย:
“ผมคิดว่า… มันเหมือนกับเราทั้งคู่มีเพื่อนบ้านที่รวยมาก ๆ คนหนึ่งชื่อ Xerox”
“แล้วผมก็บุกเข้าไปในบ้านเขาเพื่อจะขโมยทีวี… แต่กลับพบว่า…”
“…คุณน่ะ ขโมยมันไปก่อนผมแล้ว”
คำถามสุดท้ายที่หลายคนยังคงถกเถียงกันจนถึงทุกวันนี้คือ…
สรุปแล้ว สิ่งที่ Bill Jobs และ Steve Gates ทำ มันคือ “การขโมย” จริงหรือ?
นี่คือจุดที่ “ตำนานบนอินเทอร์เน็ต” กับ “ความจริง” มักจะปนเปกัน เพราะในความเป็นจริง… ศูนย์วิจัย PARC ค่อนข้าง “เปิดเผย” เกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ของตนไม่เหมือนในภาพยนตร์ที่พยายามสร้างภาพว่ามันเป็น “ความลับสุดยอด”
Xerox Alto ถูกนำไปสาธิตให้คนนอกวงการดูมากกว่า 2,000 ครั้ง เฉพาะในปี 1975 เพียงปีเดียว ดังนั้น มันจึงไม่ใช่ “การขโมย” ในแง่ของการ “งัดบ้าน” หรือ “แฮกข้อมูล”
แต่มันคือ “การมองเห็น”
มันเหมือนกับการมี “เพชร” ก้อนมหึมาวางอยู่หน้าบ้านของเศรษฐี…
แต่เจ้าของบ้านกลับมองว่ามันเป็นแค่ “ก้อนหิน” ทับกระดาษธรรมดาๆ
Steve Jobs และ Bill Gates คือคนสองคนที่เดินผ่าน… แล้ว “มองเห็น” ว่านี่คือเพชรที่มีมูลค่ามหาศาล
ความล้มเหลวที่แท้จริงของเรื่องนี้… จึงไม่ใช่การที่ Xerox “ถูกขโมย” แต่คือการที่ Xerox “ขาดวิสัยทัศน์” อย่างสิ้นเชิง
Xerox คือบริษัทที่สร้าง “อนาคต” ขึ้นมากับมือ… แต่กลับมองไม่เห็นคุณค่าของมัน
บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากเรื่องนี้ก็คือ…
การมี “นวัตกรรม” (Invention) ที่ดีที่สุดในโลก… อาจไม่สำคัญเท่าการมี “วิสัยทัศน์” (Vision)
วิสัยทัศน์ที่จะนำนวัตกรรมนั้น ออกไปสู่มือผู้คน… และเปลี่ยนโลก
References : [computerhistory, history, insider, wired, howstuffworks, cnet]