ศึกชิงตัว Kai-Fu Lee กับตำนานฉกขุนศึกคนสำคัญของ Microsoft โดย Google

ย้อนกลับไปในปี 2005 จีนเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก ความเจริญแบบพุ่งทะยานทำให้ชนชั้นกลางกว่าร้อยล้านคนได้เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ผ่านคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต

ตลาดที่เนื้อหอมเช่นนี้ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกให้มาลองชิมลางกับตลาดใหญ่อย่างจีน Microsoft เป็นหนึ่งในนั้นที่ลงทุนในจีนด้วยการจ้างงานกว่าพันตำแหน่ง

Google ก็เป็นอีกบริษัทเทคโนโลยีที่หมายปองตลาดที่ใหญ่โตนี้เช่นกัน Sergey Brin และ Larry Page ต้องการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในจีนโดยเฉพาะ ทำให้ตลาดจีนมีความหมายกับ Google มาก

ในสนามรบอเมริกา Google ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายชนะในทุกครั้งที่ Microsoft พยายามออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาสกัดกั้นการเติบโตของคู่แข่ง แม้ความโหดของ Microsoft ยังไม่เสื่อมคลาย ด้วยขนาดบริษัทที่ใหญ่กว่า 3 เท่า

Microsoft ยังคงมีรายได้มั่นคงในตลาดที่ครองแบบเบ็ดเสร็จทั้งระบบปฏิบัติการ Windows และโปรแกรมชุดสำนักงานอย่าง Microsoft Office

ทั้งสองบริษัทเติบโตมาในยุคที่แตกต่างกัน Google ที่เติบโตมาทีหลังถูกมองว่าเป็นขวัญใจชาวอินเทอร์เน็ตมากกว่า ด้วยภาพลักษณ์ความเจ๋ง วัฒนธรรมองค์กรรูปแบบใหม่ที่ Google สร้างขึ้น มันดึงดูดเหล่าวิศวกรอัจฉริยะยุคใหม่ได้อย่างล้นหลาม

สถานการณ์นี้ส่งผลโดยตรงต่อ Microsoft ทำให้ Bill Gates ต้องตั้งกรรมการชุดพิเศษขึ้นมา โดยมีหน้าที่เดียวคือหาทางกำจัด Google โดยเฉพาะ ไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตาม เพราะวิศวกรจาก Microsoft เริ่มถูกพลังดูดจากบริษัทอินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ออกไปเรื่อยๆ

Microsoft ต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะรั้งวิศวกรเหล่านี้ไว้ ซึ่งต้องใช้ทั้งแรงกายและเงินทุนมากขึ้น ต้องเสนอเงินและโบนัสพิเศษที่สูงลิ่ว อาการสมองไหลแบบนี้ Microsoft แทบไม่เคยเจอมาก่อนไม่ว่าจะแข่งกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งเพียงใด

และคนที่ Microsoft โกรธแค้นที่สุด เป็นใครไม่ได้นอกจาก Dr. Kai-Fu Lee ซึ่งมีดีกรีด็อกเตอร์จาก Carnegie Mellon ผู้ที่เริ่มทำงานกับ Microsoft ประเทศจีนในปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่ Google ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นมานั่นเอง

Dr. Lee จบปริญญาเอกที่ Carnegie Mellon ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เขาเป็นหนึ่งในบุคลากรระดับเทพด้านเทคโนโลยี speech recognition

ในปี 1986 Lee และ Sanjoy Mahajan พัฒนา Bill ซึ่งเป็นระบบการเรียนรู้สำหรับการเล่นเกม Othello ที่สามารถเอาชนะผู้เล่นระดับชาติของสหรัฐอเมริกาได้ในปี 1989

Lawrence Rabiner ศาสตราจารย์ในภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ที่ Rutgers University กล่าวว่า ระบบของ Lee สามารถจดจำคำพูดของคนมากกว่าหนึ่งคน ช่วยให้พูดได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีความต่อเนื่อง และจัดการกับคำศัพท์ที่มีจำนวนนับหมื่นคำ

“มันเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในยุคนั้น” Rabiner กล่าว

หลังจากเป็นอาจารย์ที่ Carnegie Mellon สองปี Lee ได้ร่วมงานกับ Apple Computer ในปี 1990 ในตำแหน่งหัวหน้านักวิทยาศาสตร์การวิจัย ซึ่งในช่วงนั้น Lee เป็นหัวหน้ากลุ่ม R&D ที่รับผิดชอบผลิตภัณฑ์อย่าง Apple Pippin, Casper (อินเทอร์เฟซเกี่ยวกับคำพูด), GalaTea (ระบบแปลงข้อความเป็นคำพูด) สำหรับเครื่อง Mac

ต่อมา Lee ย้ายไปร่วมงานกับ Silicon Graphics ในปี 1996 และใช้เวลาหนึ่งปีในตำแหน่งรองประธานแผนกผลิตภัณฑ์บนเว็บ และอีกปีในตำแหน่งประธานแผนกซอฟต์แวร์ด้านมัลติมีเดีย Cosmo Software

ในปี 1998 Lee ได้ร่วมงานกับ Microsoft โดยได้รับตำแหน่งดูแลการดำเนินงานและยุทธศาสตร์หลักทั้งหมดในจีน เขายังมี connection ที่ยอดเยี่ยมกับทางรัฐบาลจีน เป็นคนริเริ่มก่อตั้งศูนย์วิจัย Microsoft ขึ้นในปักกิ่ง

แต่แล้วในปี 2005 เมื่อ Google ต้องการรุกเข้าสู่ตลาดจีน และนี่เป็นสิ่งที่ Lee ถวิลหาความท้าทายใหม่ที่จะได้ทำงานกับ Google แม้ตอนนั้นเขาจะเป็นลูกจ้างของ Microsoft อยู่ก็ตาม ซึ่ง Google นั้นก็ต้องการได้มือดีอย่างเขาเพื่อมาเป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยในประเทศจีนเช่นกัน

มันเป็นการแย่งชิงตัวบุคลากรระดับสูงสุดรายแรกที่ Google สามารถช่วงชิงมาจาก Microsoft ได้ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ Microsoft โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลยทีเดียว และพร้อมจะโจมตีกลับด้วยการดำเนินการทางกฎหมายกับ Google

Microsoft คาดหวังกับ Lee มากโข และเขาเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่ได้รับผลตอบแทนสูงระดับต้นๆ ของบริษัท Lee เคยเป็นหัวหน้าแผนก Natural Interactive Services ของ Microsoft ซึ่งรับผิดชอบในการพัฒนาเทคโนโลยีและบริการเพื่อให้อินเทอร์เฟซผู้ใช้เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ซึ่ง Microsoft มองว่ามันรวมถึงเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์สำหรับการค้นหาขั้นสูงที่จะถูกรวมกับเครื่องมือค้นหาของ MSN ในท้ายที่สุด

แต่คำขู่จาก Microsoft ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะในเดือนกรกฎาคม ปี 2005 Lee ก็เดินตามคนอื่นๆ ที่ทิ้ง Microsoft เข้าหา Google ซึ่งทำให้ Google ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น เพราะได้ฉกเอาพนักงานระดับสูงที่มีความรู้และ Connection ที่ดีกับรัฐบาลจีน รวมถึงชุมชนนักพัฒนาในประเทศจีนอีกด้วย

เมื่อถูก Google หยามถึงเพียงนี้ Microsoft จึงต้องเล่นไม้แรง ด้วยการฟ้องร้องทางกฎหมายต่อ Google และ Lee ทันที Microsoft กล่าวหาว่า Google นั้นได้ยั่วยุให้ Lee ฉีกสัญญาจ้างที่ได้เซ็นไว้ทั้งที่รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ซึ่ง Lee นั้นเป็นผู้บริหารระดับสูงที่เอื้อต่อการเข้าสู่จีนหรือการพัฒนาเทคโนโลยีค้นหาของ Google ในประเทศจีน

สุดท้าย Microsoft ได้ชัยชนะชั่วคราว จากคำสั่งศาลที่ห้าม Lee ร่วมงานที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาข้อมูล แต่ผู้พิพากษายังยอมให้ Lee สามารถทำงานในจีนต่อได้ และช่วยส่งสารไปยังเหล่าพนักงานอาวุโสของ Microsoft ไม่ให้ย้ายไปอยู่กับ Google

ขณะที่คดีของ Lee ยังอยู่ในกระบวนการคลี่คลาย ตลาดอินเทอร์เน็ตในจีนก็ได้เกิดความร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ Yahoo ได้ประกาศลงทุนหนึ่งพันล้านเหรียญใน Alibaba บริษัทอินเทอร์เน็ตชั้นนำของจีน

หลังจากคดีของ Lee Google จึงต้องหาแผนสำรองด้วยการซื้อหุ้น Search Engine ชื่อดังของจีนอย่าง Baidu.com ที่มี Design และ Concept เรียบง่ายแบบเดียวกับที่ Google รังสรรค์ขึ้นมาในอเมริกา

และเมื่อ Baidu ทำ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ มันได้เพิ่มมูลค่าตลาดนับพันล้านเหรียญให้แก่ Google และทำให้มูลค่าของ Google ในขณะนั้นมีมูลค่ามากกว่า Amazon และ eBay รวมกันเสียอีก ตอนนี้ Google เติบโตจนเหลือเพียงแค่ Microsoft เท่านั้นที่พวกเขายังล้มไม่ได้

ในขณะที่ Google คิดว่าตัวเองเป็นบริษัททางด้านเทคโนโลยี แต่ความจริงแล้วนั้น Google ทำเงินด้วยการโฆษณา ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับสื่อแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่ ปีแรกที่เข้าตลาดนั้น Google มีมูลค่าในตลาดมากกว่าบริษัทสื่อที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Time Warner เสียด้วยซ้ำ

การที่ Google ทำให้ข้อมูลทั่วโลกเข้าถึงได้ผ่านทางออนไลน์ และการที่ Google สามารถดึงดูดเอาวิศวกรที่ฉลาดที่สุดจากทั่วโลกได้พร้อมกันนั้น มันส่งผลอย่างชัดเจนต่อการเติบโตขึ้นและพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของพวกเขามาจนถึงปัจจุบัน

การแย่งชิงตัว Kai-Fu Lee เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี แสดงให้เห็นว่าในโลกของธุรกิจเทคโนโลยี ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดไม่ใช่เงินทุนหรือเทคโนโลยี แต่เป็นคนที่มีความสามารถโครตเทพแบบ Lee

Microsoft พยายามใช้กฎหมายเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและบุคลากรของตน ในขณะที่ Google ใช้ภาพลักษณ์ที่เจ๋งและวัฒนธรรมองค์กรที่ดึงดูดใจเพื่อล่อลวงเหล่าผู้มีความสามารถให้มาร่วมงาน

การเข้าสู่ตลาดจีนของ Google เป็นความท้าทายที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ไม่เพียงแต่การแข่งขันกับคู่แข่งท้องถิ่นอย่าง Baidu แต่ยังต้องเผชิญกับการควบคุมเนื้อหาที่เข้มงวดจากรัฐบาลจีนอีกด้วย

Google จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์และเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นให้ลึกซึ้ง การได้ Kai-Fu Lee มาร่วมงานจึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาบุกตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การแข่งขันระหว่าง Google และ Microsoft ในตลาดจีนไม่ใช่เพียงการชิงส่วนแบ่งตลาด แต่เป็นการแข่งขันเพื่อชิงอิทธิพลในการกำหนดทิศทางของอินเทอร์เน็ตในอนาคต

ทั้งสองบริษัทต่างทุ่มเททรัพยากรมหาศาลเพื่อขยายอิทธิพลในตลาดที่มีศักยภาพสูงนี้ Microsoft เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของตลาดจีน ในขณะที่ Google พยายามนำเสนอบริการค้นหาที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ

แม้สุดท้ายฝั่ง Google จะล้มเหลวและถอนตัวออกจากตลาดจีนไปในท้ายที่สุดก็ตาม แต่กรณีของ Kai-Fu Lee แสดงให้เห็นว่าในโลกของเทคโนโลยี บุคลากรที่มีความสามารถเฉพาะทางและมีเครือข่าย Connection ที่แข็งแกร่งมีค่ามากกว่าทองคำ

ในที่สุด การที่ Google สามารถทำให้ข้อมูลทั่วโลกเข้าถึงได้ง่ายผ่านทางออนไลน์ และความสามารถในการดึงดูดวิศวกรที่ฉลาดที่สุดจากทั่วโลก ได้ส่งผลให้พวกเขาเติบโตอย่างก้าวกระโดดมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะเผชิญกับความท้าทายและการแข่งขันที่ดุเดือดก็ตาม

Geek Daily EP277 : ถอดรหัสวิกฤต Tesla เมื่อวิสัยทัศน์คนเดียวอาจทำลายล้างทั้งบริษัท

Elon Musk คือชื่อที่สั่นสะเทือนวงการนวัตกรรมโลก เขาคือสัญลักษณ์ของความทะเยอทะยานและวิสัยทัศน์ที่เหนือชั้น แต่ปัจจุบันเรากำลังเห็นภาพที่เปลี่ยนไป จากชายผู้ปฏิวัติวงการรถยนต์ไฟฟ้าและการสำรวจอวกาศ กลายเป็นบุคคลที่สร้างความแตกแยกและเป็นที่ถกเถียงมากขึ้นทุกวัน

Tesla บริษัทที่เขาสร้างขึ้นและทุ่มเทมาตลอดหลายปี กำลังเผชิญความปั่นป่วนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งยอดขายที่ดิ่งลง การประท้วงที่ลุกลามไปทั่วโลก และภาพลักษณ์แบรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คำถามสำคัญที่หลายคนกำลังตั้งคือ “ชายที่สร้าง Tesla ให้ยิ่งใหญ่กำลังกลายเป็นต้นเหตุที่จะทำลายบริษัทของตัวเองหรือไม่?”

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5fnhrztp

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yesu6hca

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/42hffwps

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/ZAv6izTXH6M

ทำไม iPhone 9 ถึงหายไป? มือถือล้ำสมัยที่ไม่มีวันได้เห็นแสงตะวัน กับปริศนาที่ถูกลบออกจากประวัติศาสตร์ Apple

ปี 2017 ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ iPhone และวงการสมาร์ทโฟนทั้งหมด เป็นการเปิดศักราชใหม่ที่ส่งผลกระทบมาถึงทุกวันนี้

Apple ได้เปิดตัว iPhone รุ่นที่หลายคนบอกว่าเป็นการปฏิวัติวงการครั้งสุดท้ายอย่างแท้จริง เป็น iPhone รุ่นที่ทำให้ผู้คนตื่นเต้นและให้ความสนใจอย่างล้นหลาม

หากไปดูเทรนด์การค้นหาของ Google ในปี 2017 iPhone 8 ติดอันดับสูงสุดในชาร์ตเทคโนโลยีผู้บริโภค ตามมาด้วย iPhone X แต่คนส่วนใหญ่ค้นหา iPhone 8 ไม่ใช่เพราะตัวเครื่องเอง

แต่เพราะหลังจาก iPhone 7 พวกเขาคาดหวังเองโดยอัตโนมัติว่าต้องมี iPhone 8 ไม่มีใครคิดว่า Apple จะข้ามเลข 9 ไปเป็น 10 ซะอย่างงั้น

นี่คือจุดเริ่มต้นของความยุ่งเหยิงในการตั้งชื่อ ทั้ง X, XR, XS ที่ทำให้ผู้คนมึนงงไม่น้อย Apple อธิบายว่าเลข X (อ่านว่า “เท็น” ไม่ใช่ “เอ็กซ์”) ใช้เพื่อฉลองครบรอบ 10 ปีของ iPhone รุ่นแรก

แต่คำถามที่ทำให้หลายคนสงสัยก็คือ: iPhone 9 หายไปไหน?

ย้อนกลับไปปี 2016 iPhone 7 และ 7 Plus กำลังวางจำหน่าย ผู้คนต่างไม่พอใจกับการกำจัดช่องเสียบหูฟัง และการอัพเกรดที่ดูไม่เข้าท่าเท่าไร

แต่ถึงกระนั้น iPhone 7 ก็ยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ถามว่าเพราะอะไร? ก็เพราะมันคือ iPhone! อีกอย่าง Apple กำลังส่ง ผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง AirPods เพื่ออนาคตไร้สาย

แต่ในมุมมืดลับหลังความสำเร็จ Apple กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตใหญ่หลวง ต้นปี 2017 Samsung มีแผนจะเปิดตัว Galaxy S8 ที่มาพร้อมนวัตกรรมที่ Apple ยังไม่กล้าทำ

การลดขอบจอลง กำจัดปุ่มโฮมทางกายภาพทิ้งไป และนำเสนอหน้าจอที่สวยจนชวนถวิลหา

นี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับ Apple เลยสักนิด Samsung ล้ำหน้าพวกเขาไปแล้วหลายปีด้วยจอ OLED ที่ให้สีสันสดจัด และสีดำที่ดำสนิทอย่างแท้จริง

ไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่าสมาร์ทโฟนของ Samsung มีหน้าจอที่เหนือชั้นกว่า iPhone แม้ iPhone ไม่ได้มีจอแย่ แต่มันดูธรรมดาน่าเบื่อเกินไป

ณ จุดนี้ Apple ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่: พวกเขาจะปล่อยให้อีกหนึ่งปีผ่านไปโดยมีเพียง iPhone 8 และ 8 Plus เป็นโทรศัพท์รุ่นเดียวในปี 2017 หรือไม่

กระจกและการชาร์จไร้สายอาจไม่เพียงพอที่จะสร้างความแตกต่าง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ Samsung ที่ขอบจอบางกริบ iPhone กำลังจะสูญสิ้นทุกสิ่งและตกจากบัลลังก์ผู้นำวงการครั้งแรกในประวัติศาสตร์

จากสถานการณ์บีบคั้น Apple น่าจะตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะเร่งแผนการของปี 2018 มาใช้ในปี 2017 แทน เป็นครั้งแรกตั้งแต่ยุค iPhone 5c ที่พวกเขาเปิดตัวโทรศัพท์สองรุ่นแยกกัน (ไม่นับรุ่น Plus)

ทั้ง iPhone 8 และ iPhone X ถูกประกาศในวันเดียวกัน แต่ iPhone X วางจำหน่ายช้ากว่ามาก ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ชัดเจนว่ามันถูกเร่งรีบให้ออกมา

มีรายงานมากมายในเวลานั้นเกี่ยวกับปัญหาในกระบวนการผลิต iPhone X แม้ตัวเครื่องจะออกมาค่อนข้างเจ๋ง แต่มีเรื่องแปลกๆ รอบตัวมัน ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับ iPhone 9 ที่หายไปอย่างลึกลับ

มีหลายจุดที่บ่งชี้ว่า iPhone X ถูกเร่งออกมาก่อนกำหนด:

มีแค่สองสีให้เลือก – iPhone X มีเพียงสีเงินและสเปซเกรย์ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ iPhone 5 ในปี 2012 ที่ iPhone มีแค่สองสี

บางคนอาจคิดว่านี่เป็นการถวิลหาอดีตเพื่อการฉลองครบรอบ 10 ปี แต่ iPhone รุ่นแรกไม่ได้มีสองสีด้วยซ้ำ! เมื่อ iPhone XS เพิ่มสีทองในปีถัดมา แสดงชัดว่า Apple อาจไม่มีเวลาพอที่จะผลิต iPhone X สีทองให้ทันเปิดตัว

มีขนาดเดียวเท่านั้น – iPhone X มีตัวเลือกขนาดเพียงหนึ่งเดียวที่ 5.8 นิ้ว ทั้งที่ Apple ให้ตัวเลือกสองขนาดกับรุ่นเรือธงมาตั้งแต่ปี 2014

แล้วในปี 2018 อะไรคือฟีเจอร์เจ๋งมาก ๆ ของ iPhone XS? ก็คือการเพิ่มขนาด Max นั่นเอง อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่า iPhone X อาจถูกปลุกปั้นออกมาก่อนเวลา

iOS 11 มีบั๊กเยอะโครต – iOS 11 ซึ่งเปิดตัวพร้อมกับ iPhone X เป็นระบบปฏิบัติการที่มีบั๊กมากที่สุดเท่าที่ Apple เคยปล่อยออกมา

พวกเขาต้องรังสรรค์วิธีการใช้งานหน้าจอใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับดีไซน์ไร้ปุ่มโฮมของ iPhone X หากทั้งหมดนี้ถูกเร่งให้เร็วขึ้นหนึ่งปีจากแผนเดิม ก็ไม่น่าแปลกที่จะมีปัญหามากมายแบบนี้

AirPower ที่ดับสูญ – Apple ประกาศ AirPower พร้อมกับ iPhone X แต่สุดท้ายแล้วก็ถูกกำจัดทิ้งไป นี่เป็นผลิตภัณฑ์เดียวที่ Apple ยกเลิกหลังจากประกาศอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่ยุค 90

หากทั้งหมดนี้ควรจะออกมาในปี 2018 ตามแผนดั้งเดิม พวกเขาคงมีเวลาอีกหนึ่งปีในการพัฒนาและอาจไม่ต้องยกเลิกโครงการ

จากข้อมูลทั้งหมด สามารถเขียน Timeline ที่น่าจะเป็นของแผนดั้งเดิมของ Apple ได้แบบนี้:

แผนดั้งเดิมของ Apple:

  • 2017: เปิดตัว iPhone 8 และ 8 Plus พร้อม iOS 11 ที่ปราศจากบั๊ก
  • 2018: เปิดตัว “iPhone 9” (ที่ต่อมากลายเป็น iPhone XR) พร้อมกับ “iPhone X” และ “iPhone X Plus” (ที่ต่อมากลายเป็น iPhone XS และ XS Max)

สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ:

  • 2017: เปิดตัว iPhone 8, 8 Plus และ iPhone X (มีความล่าช้าในการวางจำหน่าย) พร้อม iOS 11 ที่มีบั๊กเยอะแยะมากมาย
  • 2018: เปิดตัว iPhone XS, XS Max และ XR

ข้อสังเกตสำคัญคือ iPhone XS เป็นการอัพเกรดที่แทบจะไร้สาระเมื่อเทียบกับ iPhone X การเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเพียงอย่างเดียวคือการเพิ่มสีทองและตัวเลือกขนาดใหม่

เมื่อพิจารณาทั้งหมดนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่า iPhone XR คือสิ่งที่ควรจะเป็น iPhone 9 นั่นเอง มันเป็นอุปกรณ์กึ่งกลางที่เจ๋งมาก ๆ ระหว่าง iPhone 8 และ iPhone X

iPhone XR ยังคงใช้หน้าจอ LCD แต่มาพร้อมดีไซน์ใหม่แบบไร้ปุ่มโฮม ก่อนที่ iPhone XR จะเปิดตัว หลายคนเรียกมันว่า iPhone 9 ด้วยซ้ำไป

นอกจากนี้ ชื่อ “XR” ยังเป็นชื่อที่แปลกประหลาดที่ Apple ไม่เคยนำมาใช้อีกเลย เราไม่เคยเห็น iPhone รุ่น “R” อื่นใดอีก มันโดดเด่นแปลกแยกในไลน์อัพผลิตภัณฑ์ของ Apple

แล้วทำไม Apple ถึงข้ามหมายเลข 9 ไปเลย? มีความเป็นไปได้ว่าตอนแรกพวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะข้ามมันเลย มันอาจเป็นผลมาจากสถานการณ์ที่เร่งรีบและการตัดสินใจทางการตลาดแบบสุดโต่ง

น่าสนใจที่ Microsoft ก็เคยข้ามจาก Windows 8 ไปยัง Windows 10 เช่นกัน และภายหลัง Samsung ก็กระโดดจาก Galaxy S10 ไปยัง S20

การตั้งชื่อแบบนี้มักเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์การตลาดมากกว่าตรรกะ เช่น ความต้องการที่จะมีตัวเลขที่สูงกว่าคู่แข่ง

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความกดดันจาก Samsung เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Apple ต้องปรับกลยุทธ์ Samsung กำลังพุ่งทะยานด้วยเทคโนโลยีหน้าจอที่โครตเจ๋ง และการออกแบบที่ล้ำสมัย

Apple จึงต้องต่อสู้ด้วยการเร่งเปิดตัว iPhone X แม้จะยังไม่พร้อมเต็มที่ ทำให้ต้องละทิ้ง iPhone 9 และสร้างปริศนาในการตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ที่เคยเป็นระบบ

อีกประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามคือ iOS 11 ที่เปิดตัวพร้อมกับ iPhone X มันเป็น iOS ที่มีปัญหามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะ Apple ต้องออกแบบระบบใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับ iPhone ไร้ปุ่มโฮม

หากแผนเดิมคือการปล่อย iPhone X ในปี 2018 พวกเขาคงมีเวลาอีกหนึ่งปีในการพัฒนา iOS ให้เสถียรและเรียบร้อย แต่สถานการณ์บีบบังคับให้ต้องเร่งรีบ จึงเกิดบั๊กมากมายที่ทำให้ผู้ใช้ปวดหัวไม่น้อย

AirPower เป็นหลักฐานชั้นดีของความไม่พร้อมในแผนการของ Apple มันถูกประกาศพร้อมกับ iPhone X แต่ไม่เคยได้ออกมาจำหน่ายจริง และกลายเป็นผลิตภัณฑ์เดียวที่ Apple ยกเลิกหลังประกาศอย่างเป็นทางการ

พวกเขาประกาศผลิตภัณฑ์ที่ยังพัฒนาไม่เสร็จเพราะต้องการความสนใจ แต่สุดท้ายก็ต้องยกเลิกเมื่อไม่สามารถทำให้มันเป็นความจริงได้

iPhone 9 ที่หายไปอาจไม่ได้หายไปไหนเลย แต่อาจถูกเปลี่ยนเป็น iPhone XR ในภายหลัง หรืออาจเป็นไปได้ว่าแผนการดั้งเดิมของ Apple ถูกปรับเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาต้องเร่งเปิดตัว iPhone X เพื่อต่อกรกับ Samsung

แม้เราอาจไม่มีทางรู้ความจริงทั้งหมด แต่สิ่งที่ชัดเจนคือปี 2017 เป็นปีที่ Apple ต้องดิ้นรนอย่างหนักและต้องตัดสินใจที่อาจสั่นคลอนวิธีการทำธุรกิจของพวกเขาในอนาคต

ตั้งแต่นั้นมา Apple เริ่มใช้ระบบการตั้งชื่อที่เรียบง่ายมากขึ้น ละทิ้งตัวอักษร “S” ที่สร้างความสับสนและไปใช้เพียงตัวเลขและคำว่า “Pro” แทน ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น iPhone 11, 11 Pro, 12, 12 Pro และอื่นๆ

บางที iPhone 9 อาจไม่ได้หายไปไหนเลย มันอาจอยู่ในมือของคุณตอนนี้ในรูปแบบของ iPhone XR หรืออาจเป็นไปได้ว่าฟ้าลิขิตให้มันไม่มีตัวตนเพื่อให้ Apple ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ที่ส่งผลมาจนถึงทุกวันนี้

ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เรื่องราวของ iPhone 9 ก็เป็นบทเรียนที่น่าสนใจเกี่ยวกับการแข่งขันในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ดุเดือด แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ก็ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อความอยู่รอดนั่นเองครับผม

เมื่อ Tim Cook ชนะทั้ง Trump และจีน ราชาแห่งการเจรจา กับแผนลับของ Apple ในการปลดแอกจากจีน

ใครจะคิดว่า Tim Cook จะกลายเป็น CEO ที่เจ้าเล่ห์ที่สุดแห่งยุคสมัยของเรา? เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาได้พิสูจน์ความเจ๋งของตัวเองอีกครั้งในการดำเนินกลยุทธ์สุดซับซ้อนของบริษัทพี่ใหญ่แห่ง Silicon Valley

ความอัจฉริยะของ Steve Jobs นั้นมันเห็นได้ชัดเจนสำหรับทุกคน เขาเป็นผู้เสกผลิตภัณฑ์อย่าง Mac, iPod, iPhone และ iPad แต่สิ่งเหล่านี้นี่ไม่ใช่จุดแข็งของ Tim Cook

สิ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคของ Cook คือ Apple Watch และ AirPods ซึ่งทั้งคู่เป็นเพียงอุปกรณ์เสริมสำหรับ iPhone ที่ Jobs สร้างไว้แล้ว ส่วน Vision Pro ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนโลกแต่อย่างใด

แต่ที่เจ๋งสุดๆ คือ Cook ทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก มูลค่าพุ่งทะยานขึ้น 25 เท่าตั้งแต่เขาเป็น CEO เมื่อ 14 ปีที่แล้ว

และที่โหดไปกว่านั้น แปดปีในช่วงนี้เกิดขึ้นระหว่างสงครามการค้าที่ใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของเรา ซึ่ง Apple ควรจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

เพราะ Apple เป็นบริษัทสหรัฐฯ ที่พึ่งพาทั้งการผลิตในจีนและผู้บริโภคชาวจีนมากที่สุด Trump และรัฐบาลจีนต่างมีอำนาจมหาศาลที่จะกดดัน Apple

แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น Tim Cook กลับได้รับการสนับสนุนมากกว่าที่เคยจากทั้งสองฝ่าย

และตอนนี้ด้วยความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นทุกหนแห่ง Cook กำลังวางแผนที่ลึกลับซับซ้อนที่สุดของเขา ถ้าเขาสามารถทำสำเร็จได้อีกครั้ง Cook จะได้รับการเทิดทูนให้เป็นหนึ่งใน CEO ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

เมื่อ Steve Jobs กลับมาที่ Apple ในปี 1997 บริษัทกำลังเละเทะไม่เป็นท่า การบริหารงานก่อนหน้านี้ปล่อยให้ทั้งเงินสด ความสามารถทางการแข่งขัน และลูกค้ามีแต่ไหลออกไป

Jobs จึงตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการการปฏิรูปครั้งใหญ่ในสองด้าน อันดับแรก Apple ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นอย่างมาก ซึ่ง Jobs รับงานนี้ด้วยตัวเอง

แต่งานที่สำคัญพอๆ กันคือการปฏิวัติวิธีการผลิตผลิตภัณฑ์เหล่านั้น และสำหรับงานนั้น เขานำ Tim Cook เข้ามาเป็นหนึ่งในพนักงานคนแรกๆ ในยุคใหม่ของเขา

Apple มีประวัติการผลิตคอมพิวเตอร์ Macintosh ภายในแคลิฟอร์เนีย Jobs พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “นี่คือเครื่องที่ผลิตในอเมริกา”

แต่ Cook เคยทำงานให้กับ Compaq ซึ่งได้จ้างผลิตภายนอกมาเป็นเวลานาน และเขาได้รับมอบหมายให้ช่วย Apple ในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การจ้างผลิตจากภายนอกเช่นกัน

Compaq เป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่รายแรกๆ ของ Foxconn Cook ชักชวนให้ Foxconn ข้ามห้วยมาร่วมกับ Apple และผลิตเคสอลูมิเนียมอัลลอยสำหรับ PowerMac G5

เมื่อเวลาผ่านไป เขาได้ร่วมมือกับซัพพลายเออร์อื่นๆ อีกมากมายที่จะกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของ Apple ตั้งแต่ TSMC ไปจนถึง Samsung

และ Tim Cook ได้ผูกพวกเขาเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ถูกปรับแต่งอย่างสมบูรณ์แบบเพื่อนำความฝันของนักออกแบบและวิศวกรของ Apple มาสู่ความเป็นจริง

ไม่เหมือนกับ Jobs ที่บางครั้งมีลักษณะเผด็จการ Cook เป็นคนที่มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดและสามารถชักชวนพันธมิตรให้เดิมพันกับบริษัทได้อย่างเหลือเชื่อ

มีรายงานว่า Foxconn ถูกชักชวนให้ประกอบ iPhone รุ่นแรกโดยที่ขาดทุนอย่างชัดเจน เพราะพวกเขาเชื่อว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยให้ได้รับความไว้วางใจจาก Apple

และแน่นอน พวกเขาคิดถูก เพราะสุดท้ายแล้ว Foxconn ได้รับสัญญาที่ทำกำไรมากกว่าในอนาคต และมีอีกหลายบริษัทเดินตามรอยเท้านี้

หาก Jobs โฟกัสในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ถือว่าเป็นหยินของ Apple การโฟกัสของ Cook ในการหาพันธมิตรที่เหมาะสมก็เป็นหยางของ Apple เฉกเช่นเดียวกัน

และพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของ Cook คือประเทศจีน คำว่า “ออกแบบโดย Apple ในแคลิฟอร์เนีย ผลิตในจีน (Designed by Apple in California Assembled in China)” เป็นมรดกของ 20 ปีแรกของ Cook ที่ Apple

ในช่วงแรก การเจรจาและการสร้างความสัมพันธ์ส่วนใหญ่กับจีนทำในนามของ Cook โดย Terry Gou ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Foxconn

เขาเดินทางไปเยี่ยมชมประเทศนี้บ่อยครั้ง เลี้ยงอาหารนักการเมืองท้องถิ่นและล็อบบี้พวกเขาเพื่อการปฏิบัติที่เอื้อประโยชน์ในนามของ Apple

ผลลัพธ์? การสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลจีน และที่โหดสุดๆ คือสิ่งที่เรียกว่า “เมือง iPhone”

การสืบสวนของ New York Times เปิดเผยว่ารัฐบาลจีนได้สร้างเมืองทั้งเมืองให้กับ Apple! รวมถึงใช้เงิน 600 ล้านดอลลาร์สร้างคอมเพล็กซ์สำหรับการผลิต

นอกจากนี้ยังทุ่มหนึ่งพันล้านดอลลาร์สำหรับที่พักของคนงาน สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานขนาดใหญ่ ให้เงินกู้ ช่วยรับสมัครและฝึกอบรมคนงาน

พวกเขายังจ่ายเงินอุดหนุนและโบนัสต่างๆ ยกเว้นภาษีนิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเวลา 5 ปี และสร้างพื้นที่พิเศษทางการค้าประเคนให้กับ Apple อีกด้วย

และ “เมือง iPhone” เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ แหล่งผลิตที่สร้างขึ้นเพื่อ Apple ในประเทศจีน Tim Cook เจรจาเงื่อนไขสำหรับโรงงานที่ดีที่สุดในโลก

เมื่อรวมกับความสามารถของ Jobs ในการสร้างผลิตภัณฑ์ยอดฮิต บริษัทดูเหมือนจะเติบโตแบบฉุดไม่อยู่ ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดีจนกระทั่ง Steve Jobs เสียชีวิต

Jobs แนะนำว่า Cook ควรเป็นผู้สืบทอดของเขา ในตอนแรก สิ่งนี้ดูเหมือนจะไม่เข้าท่า ดูเหมือนว่า Apple จะต้องการทั้งอัจฉริยะด้านผลิตภัณฑ์คนใหม่และคนอย่าง Cook ในร่างเดียวกัน

แต่ในความเป็นจริง ช่วงเวลาที่ Jobs เสียชีวิตนั้น Apple ได้เข้าสู่ยุคที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ด้วย iPhone, iPad และ Mac, Apple มีหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมที่สุดสำหรับผู้บริโภคแล้ว ผลิตภัณฑ์ไม่จำเป็นต้องได้รับการปฏิวัติใหม่ทั้งหมด

พวกเขาเพียงแค่ต้องการการพัฒนาต่อเนื่อง และ Jobs ได้ทิ้งทีมไว้ซึ่งมีความสามารถมากพอที่จะทำเช่นนั้น

เป้าหมายใหม่คือการผลักดันผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้แข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งไม่ได้ต้องการนวัตกรรมขนาดใหญ่ แต่เป็นเรื่องของการเจรจาทางการเมืองและการทำข้อตกลงต่าง ๆ ให้ลุล่วง

และนั่นกลายเป็นพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ของ Tim Cook เขาสามารถเล่นได้ทุกฝ่ายพร้อมกันเหมือนกับนักดนตรีที่ควบคุมวงออร์เคสตราอย่างเชี่ยวชาญ

ตัวอย่างที่น่าสนใจล่าสุดของความเจ้าเล่ห์ของ Cook คือข่าวประชาสัมพันธ์ที่ Apple เผยแพร่เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่แล้ว

ในข่าวนั้น บริษัทประกาศว่าจะใช้เงินมากกว่า 500 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ในช่วง 4 ปีข้างหน้า นี่เป็นเอกสารที่ถูกแต่งแต้มขึ้นมาเพื่อทำให้ประธานาธิบดี Trump พอใจ

หลังจากนั้น Trump ได้ทำให้มันเป็นหนึ่งในคำมั่นสัญญาในการรณรงค์หาเสียงของเขาที่จะนำการผลิตของ Apple กลับมาที่สหรัฐฯ อีกครั้ง

“เราจะนำสิ่งต่างๆ มา เราจะทำให้ Apple เริ่มสร้างคอมพิวเตอร์และสิ่งต่างๆ ในประเทศนี้แทนที่จะเป็นในประเทศอื่นๆ” Trump กล่าวไว้

และข่าวประชาสัมพันธ์ดูเหมือนว่า Apple กำลังทำเช่นนั้นจริงๆ! บริษัทอธิบายว่า 500 พันล้านเป็นการใช้จ่ายที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา

พวกเขากำลังเปิดโรงงานผลิตใหม่ในฮูสตัน เพิ่มกองทุนการผลิตขั้นสูงของ Apple ในสหรัฐฯ เป็นสองเท่าจาก 5 พันล้านดอลลาร์เป็น 10 พันล้านดอลลาร์

พวกเขาวางแผนที่จะจ้างงานประมาณ 20,000 คนที่มีทักษะสูงในสหรัฐฯ และเปิดสถาบันการผลิตใหม่ในดีทรอยต์ ฟังดูยอดเยี่ยมใช่ไหม?

ตามที่คาดไว้ สื่อและ Trump ต่างเฉลิมฉลองกับสิ่งนี้ ทุกอย่างเกี่ยวกับเอกสารนี้เป็นผลงานชิ้นเอกทางการเมือง!

แต่ถ้าเราเจาะลึกรายละเอียด มันมีมุมมืดที่ซ่อนอยู่ ตัวเลข 500 พันล้านดอลลาร์นั้นฟังดูเยอะมาก แต่จริงๆ แล้วรวมถึง 350 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018 และ 430 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021

ซึ่งเพิ่มขึ้นในอัตราที่สอดคล้องกับการเติบโตของบริษัท และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ทั้งหมดกำลังเพิ่มการใช้จ่ายเนื่องจาก AI ดังนั้นตัวเลข 500 พันล้านดอลลาร์ของ Apple จึงไม่ได้พิเศษอะไรเลย

เช่นเดียวกับตัวเลขของการจ้างงานใหม่ 20,000 ตำแหน่ง ทั้งหมดอยู่ในด้าน R&D, วิศวกรรมซิลิคอน, การพัฒนาซอฟต์แวร์ และ AI ซึ่งเป็นงานที่ Apple มีการจ้างในสหรัฐฯ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

งานเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ภายใต้กลุ่ม “ออกแบบโดย Apple ในแคลิฟอร์เนีย” การจ้างงานใหม่ 20,000 ตำแหน่งเป็นสิ่งที่คาดหวังจาก Apple ในช่วง 4 ปีในยุค AI บูม

สิ่งที่น่าสนใจคือการเพิ่มกองทุนการผลิตขั้นสูงของ Apple ในสหรัฐฯ เป็นสองเท่าจาก 5 พันล้านดอลลาร์เป็น 10 พันล้านดอลลาร์

กองทุนนี้ฟังดูเหมือนสิ่งที่เป็นรูปธรรม แต่ไม่มีการกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนในเอกสาร น่าจะเป็นเพียงสิ่งที่ Apple ต้องการจะจ่ายเพื่อใช้ซื้อชิ้นส่วนของสหรัฐฯ ในอนาคต

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่กองทุนนี้จะจ่ายคือชิปจากโรงงานใหม่ของ TSMC ในอริโซนา แต่โรงงานนี้ไม่ใช่โรงงานที่ Apple สร้างหรือให้การสนับสนุนทางการเงิน

แต่เป็นของ TSMC และได้รับเงินอุดหนุน 6.6 พันล้านดอลลาร์จาก CHIPS Act ซึ่งเป็นกฎหมายในยุคของ Joe Biden งานทั้งหมดของ Apple คือการยอมรับว่าพวกเขาจะซื้อชิปจากโรงงานนี้เพียงเท่านั้น

โรงงานได้เริ่มดำเนินการก่อนที่ Trump จะเข้ารับตำแหน่ง แต่ Cook บรรจุสิ่งนี้ทั้งหมดลงในสิ่งที่เรียกว่ากองทุนการผลิตขั้นสูงของ Apple ซึ่งบ่งบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นความสำเร็จของ Apple และอาจเป็นของ Trump ด้วย

ส่วนโรงงานใหม่ในฮูสตันที่จะผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI อาจฟังดูเทพมาก แต่ในความเป็นจริง นี่คือผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้อยที่สุดของ Apple

โรงงานนี้แทบจะแน่นอนว่าจะเพียงแค่ประกอบชิ้นส่วนที่ผลิตเสร็จแล้ว และร่วมกับ Mac Pro ซึ่งผลิตในสหรัฐฯ อยู่แล้ว มันจะมีส่วนแบ่งน้อยกว่า 1% ของการผลิตทั้งหมด

เอกสารนี้แสดงถึงความเจ๋งของ Tim Cook อย่างสมบูรณ์แบบ เขาให้ข่าว PR ที่ยอดเยี่ยมแก่ Trump เพื่อโอ้อวดด้วยตัวเลขที่ยิ่งใหญ่และเมื่อพิจารณาจากคำในเอกสารทั้งหมดมันก็ถูกต้องตามนั้น

เขาแม้กระทั่งพบกับประธานาธิบดีก่อนที่จะเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์เพื่อให้สื่อมวลชนเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกัน

ในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งก่อนของ Trump การเจรจาที่คล้ายกันของ Cook นำไปสู่การที่ผลิตภัณฑ์ของ Apple ได้รับการยกเว้นเฉพาะจากภาษีศุลกากรของจีน ซึ่งทำให้ Apple นำเข้าผลิตภัณฑ์มาในสหรัฐฯ ได้อย่างอิสระ

ข้อความเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ Apple เสียอะไรที่มีความหมายจนถึงตอนนี้ และยังช่วยให้ Apple หลีกเลี่ยงการทำให้พันธมิตรระหว่างประเทศอื่นๆ ไม่พอใจ โดยเฉพาะจีน

จีนซึ่งยังคงสนับสนุน Apple จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อโรงงานที่ผลิตผลิตภัณฑ์ Apple ประสบกับการขาดแคลนแรงงานในช่วการแพร่ระบาดของ COVID-19 รัฐบาลจีนส่งทหารผ่านศึกจำนวนมากเพื่อเข้ามาช่วยเหลือ Apple แทบจะทันที

และที่สำคัญพอๆ กัน จีนยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของ Apple โดยที่ iPhone ใช้กันอย่างแพร่หลายในเมืองใหญ่ของจีน

ในขณะที่ Huawei กำลังถูกคว่ำบาตร TikTok เกือบถูกบังคับให้ขาย Tencent ถูกกำหนดให้เป็นบริษัททหาร Apple ดูเหมือนจะได้รับการปฏิบัติพิเศษจากรัฐบาลทั้งสองขั้ว

ตราบใดที่ Apple ยังคงการผลิตที่ทำกำไรมหาศาลในจีน รัฐบาลไม่น่าจะทำอะไรรุนแรงกับ Apple เนื่องจากงานมากกว่าหนึ่งล้านตำแหน่งและรายได้หลายร้อยพันล้านดอลลาร์ของรัฐบาลจีนจะอยู่ในความเสี่ยง

แต่นี่คือความท้าทายที่โหดที่สุด ในขณะที่ Apple สามารถชะลอการย้ายการผลิตออกจากจีน แต่สิ่งนี้จะไม่ยั่งยืนตลอดไป

บริษัทได้เริ่มเปิดโรงงานในประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม และอินเดียซึ่งหมายปองที่จะกลายเป็นฐานการผลิตหลักถัดไป ในขณะที่กลุ่ม Tata ของอินเดียกำลังพยายามเป็นเหมือน Foxconn

แต่มีภัยคุกคามที่ทำให้ Cook ต้องหันมาคิดอย่างรอบคอบ เคสของอินโดนีเซียที่สั่งห้ามขายผลิตภัณฑ์ Apple เว้นแต่พวกเขาจะเปิดโรงงานในประเทศ

Apple ยอมแพ้และประกาศสร้างโรงงานผลิตมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์หลังจากนั้น นี่คือกรณีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าประเทศต่างๆ รู้ว่า Apple เป็นที่หมายปองและจะใช้ทั้งแรงจูงใจและการข่มขู่เพื่อดึงดูดการลงทุน

Tim Cook ต้องฝ่าฟันต่อสู้ผ่านความท้าทายเหล่านี้ทั้งหมด แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่ามาก ๆ ก็คือ Apple ไม่สามารถออกจากจีนได้อย่างสมบูรณ์ในเร็วๆ นี้

ในตอนนี้ Apple ยังคงยืมจมูกคนอื่นหายใจ โรงงานในต่างประเทศยังไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะครอบคลุมความต้องการทั่วโลก

พวกเขายังคงต้องการเครื่องจักร วิศวกร การฝึกอบรม และชิ้นส่วนจากจีน ในขณะเดียวกันผู้นำของจีนก็กระตือรือร้นอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ซึ่งการพึ่งพานี้

หนึ่งในเหตุผลใหญ่ที่จีนไม่โจมตี Apple ในขณะที่บริษัทของจีนเองกำลังได้รับความเสียหายจากนโยบายของสหรัฐฯ คือการที่พวกเขาต้องการให้ Apple แข็งแกร่ง พวกเขาต้องการให้ Apple ยืดหยุ่นมากที่สุด เหมือนเป็นไม้ตายชนิดหนึ่งที่สามารถใช้ได้ในยามจำเป็น

แต่ยิ่ง Apple ย้ายการผลิตออกจากจีน การป้องกันนี้ก็ยิ่งจำเป็นน้อยลง และถ้า Apple กลายเป็นอิสระจากจีน จีนก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะยับยั้งสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป

มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่จีนเริ่มมีความเข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ Apple ได้รับอนุญาตให้ย้ายออกจากประเทศ รวมถึงเครื่องจักรที่สำคัญ ผู้คน และความรู้ความชำนาญ เหมือนกับว่าจีนกำลังส่งสัญญาณว่า “อย่าพาเราขึ้นเขา แล้วถีบส่งเราลงเหว”

รัฐบาลยังเริ่มการสอบสวนต่อต้านการผูกขาดใน App Store ของ Apple ในจีนเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้เห็นว่าพวกเขาเริ่มกดดัน Cook แล้ว

สิ่งเหล่านี้เป็นการเตือนที่ชัดเจนว่า Apple เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในจีนตราบใดที่พวกเขายังให้ความร่วมมือ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้นมันไม่มีอภิสิทธิ์พิเศษอีกต่อไป

จนถึงตอนนี้ Tim Cook ได้จัดการอย่างชาญฉลาดที่จะค่อยๆ ถอยห่างจากจีนโดยไม่มีผลกระทบที่ร้ายแรง แต่ตอนนี้มาถึงจุดพีคของกลยุทธ์นี้แล้ว

เขาจะสามารถทำการแยกตัวให้เสร็จสิ้นก่อนที่รัฐบาลจีนจะฟันฉับลงบนคอของบริษัทของเขาหรือไม่? นี่คือเกมที่เดิมพันกันด้วยอนาคตของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

ความเจ้าเล่ห์ของ Cook แสดงให้เห็นในแต่ละก้าวของกลยุทธ์นี้ เขาสามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีกับทั้ง Trump และจีนในเวลาเดียวกัน

เขาสร้างข่าวประชาสัมพันธ์ที่ให้ทุกฝ่ายได้สิ่งที่ต้องการโดย Apple ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เขาเป็นนักเจรจาที่โครตเทพจริงๆ

ถ้า Cook สามารถนำพา Apple ผ่านการเปลี่ยนผ่านครั้งที่ยากที่สุดครั้งนี้ไปได้ ย้ายการผลิตออกจากจีนโดยไม่สูญเสียตลาดจีนหรือถูกคุกคามจากรัฐบาลจีน นั่นจะเป็นความสำเร็จสูงสุด

ในขณะเดียวกันก็รักษาความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลสหรัฐฯ นี่จะเป็นการพิสูจน์ความโครตเทพของเขาในฐานะ CEO

แล้ววันหนึ่ง เราอาจได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่ “ออกแบบโดย Apple ในแคลิฟอร์เนีย” โดยไม่ต้องตามด้วย “ผลิตในจีน” อีกต่อไป ซึ่งจะเป็นหลักฐานสุดท้ายที่พิสูจน์ว่า Tim Cook เป็น CEO ผู้เจ้าเล่ห์และเก่งกาจที่สุดแห่งยุคสมัยของเรา

Geek Talk EP78 : BYD ยึดครองตลาดบราซิลอย่างไร? เมื่อยักษ์จีนปฏิวัติวงการรถยนต์ไฟฟ้าในแดนแซมบ้า

ถนนในเมืองเซาเปาโลเคยเต็มไปด้วยเสียงครางของเครื่องยนต์เชื้อเพลิงและกลิ่นของไอเสีย แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสังเกต รถยนต์ไฟฟ้าสีสันสดใสจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังแล่นอย่างเงียบสงบบนถนนหลวง และหากสังเกตให้ดี คุณจะเห็นโลโก้เดียวกันซ้ำๆ บนรถเหล่านี้ – BYD

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yv73hfxf

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3jcxzatp

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/czku4cr8

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/tgQEpnT0HZk