Ford สูญ 1 แสนล้านกับฝันร้าย EV เมื่อยักษ์ใหญ่สั่นคลอน การเดิมพันผิดพลาดที่สั่นสะเทือนวงการยานยนต์โลก

บรรยากาศในห้องประชุมวันที่ 24 กรกฎาคม 2024 เต็มไปด้วยความตึงเครียด ผู้บริหาร Ford ต่างวิตกกังวลในขณะที่กำลังรายงานผลประกอบการต่อหน้านักลงทุนที่โกรธเกรี้ยวและนักวิเคราะห์ที่ต่างจ้องมองด้วยความสงสัย

กำไรที่ต่ำกว่าที่ Wall Street คาดไว้ ทำให้หุ้นดิ่งลงต่ำสุดตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 หนี้สินมหาศาลกว่า 103 พันล้านดอลลาร์ ยิ่งทำให้นักลงทุนรู้สึกตะหงิดใจ

“คุณบอกว่า Ford เป็นบริษัทที่แตกต่างจากเมื่อสามปีก่อน” นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley กล่าว “แต่ตลาดหุ้นกลับไม่เห็นด้วยกับคุณเลย”

Ford ทุ่มเดิมพันครั้งใหญ่กับตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วยเงินมหาศาลถึง 100 พันล้านดอลลาร์ แต่ตอนนี้การเดิมพันนั้นกำลังล้มเหลว และดูเหมือนพวกเขากำลังจะถอยหลังเข้าคลอง

เกิดอะไรขึ้นกับยักษ์ใหญ่วงการยานยนต์? พวกเขามาถึงจุดวิกฤตนี้ได้อย่างไร? ความจริงแล้ว ปัญหานี้มีความลึกลับซับซ้อนกว่าแค่เรื่อง EV มากนัก

ถ้ามองผิวเผิน คนส่วนใหญ่อาจคิดว่า Ford ยังทำผลงานได้เจ๋งมาก รายได้พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง!

ช่วง COVID-19 รายได้ของ Ford ลดฮวบกว่า 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่หลังผ่านช่วงยากลำบาก สถานการณ์เริ่มฟื้นตัว

รายได้ประจำปีอยู่ที่ 127 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2020 เพิ่มเป็น 137 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2021 ต่อมาเป็น 158 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2022 และสุดท้าย 176 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2023 เป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับตลาดที่อิ่มตัวแล้ว

แต่ความสำเร็จของบริษัทไม่ได้วัดกันแค่รายได้ เมื่อมองลึกลงไป มุมมืดก็เริ่มปรากฏ

ความสามารถในการทำกำไรของ Ford ผันผวนสูง แม้รายได้จะเติบโตในปี 2023 แต่เมื่อเวลาผ่านไป มุมมองนักลงทุนเปลี่ยนจากความหวังสู่ความกังวล

กำไรลดลงในขณะที่รายรับเพิ่มขึ้น สัญญาณอันตรายที่ทำให้ Ford ร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 494 ของ S&P500 เกือบหลุดจากรายชื่อบริษัทชั้นนำ

ก่อนจะเข้าใจปัญหาทั้งหมด เราต้องพิจารณาปัจจัยที่ทำให้สัญญาณเตือนภัยของ Ford ดังขึ้น นั่นคือหนี้สินมหาศาลของพวกเขา

ด้วยหนี้สินรวมเกือบ 150 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2023 Ford มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) สูงถึง 2.2 หมายความว่าหนี้สินมากกว่าส่วนของผู้ถือหุ้นกว่าสองเท่า และตัวเลขนี้ยังเพิ่มเป็น 3.59 ในปัจจุบัน

เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมผู้ผลิตยานยนต์ที่ 1.01 BMW อยู่ที่ 1.17 และ Toyota ประมาณ 0.6 ตัวเลขของ Ford จึงน่าสะพรึงกลัว

สิ่งที่น่าแปลกคือ นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แม้ก่อน COVID-19 พวกเขามีอัตราส่วน D/E สูงถึง 3 ในปี 2019 ลดลงได้บ้างในปี 2021 แต่หนี้สินก็เพิ่มขึ้นอีกกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2023

ที่ขัดแย้งสุดๆ คือ Ford F-Series ยังคงเป็นรถยนต์ขายดีที่สุดในอเมริกาติดต่อกันกว่า 40 ปี แต่ทางการเงิน สถานการณ์กลับสั่นคลอนอย่างหนัก

ส่วนสำคัญของวิกฤตนี้คือความทะเยอทะยานด้าน EV ของ Ford ที่น่าเศร้าคือ ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยกลีบกุหลาบ

ช่วงปี 2010 Ford เริ่มหันมามองอุตสาหกรรม EV แต่ยังไม่ลงทุนจริงจัง ในปี 2017 พวกเขาก่อตั้งทีมวิจัย “Team Edison” โดยตั้งเป้าผลิต SUV ไฟฟ้าภายในปี 2020

พฤศจิกายน 2019 Ford เปิดตัว Mustang Mach-E สร้างความฮือฮา แต่ Ford มีแผนยิ่งใหญ่กว่านั้น ความจริงแล้ว Mach-E เป็นเพียงการทดสอบตลาด และก้าวกระโดดครั้งใหญ่กำลังจะมาถึง

ในขณะที่ Tesla, GM Hummer EV หรือ Rivian สร้างยานยนต์ไฟฟ้าที่ดูโดดเด่นและทันสมัย Ford กลับมีกลยุทธ์แตกต่าง พวกเขามองไปที่จุดแข็งของตัวเอง

Ford F-Series เป็นรถกระบะขายดีที่สุดในอเมริกามา 43 ปี และเป็นรถบรรทุกขายดีที่สุดมา 48 ปี Ford จึงใช้ “ห่านทองคำ” ของพวกเขาเป็นแม่แบบ

พฤษภาคม 2021 พวกเขาเปิดตัว Ford F-150 Lightning รถกระบะไฟฟ้าที่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิม เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ต้องการรถบรรทุกที่เรียบง่าย มีประสิทธิภาพ แต่ใช้พลังงานไฟฟ้า

การคำนึงถึงลูกค้าในทุกขั้นตอนทำให้ F-150 Lightning กลายเป็นรถกระบะไฟฟ้าขายดีที่สุดในสหรัฐฯ และทำให้ Ford ก้าวขึ้นเป็นผู้จำหน่าย EV อันดับสองรองจาก Tesla

แล้วถ้า Ford โครตเจ๋งในตลาด EV ขนาดนี้ พวกเขาจะมีปัญหาได้อย่างไร? เรามาดูตัวเลขให้ชัดเจน

ปี 2023 Mach-E ขายได้กว่า 40,000 คัน เพิ่มขึ้น 3% และ F-150 Lightning ขายได้กว่า 15,000 คัน เพิ่มขึ้น 18% ฟังดูเข้าท่า

แต่เมื่อเทียบกับภาพรวม กลับพบว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยว Ford มียอดขายรถยนต์เกือบ 2 ล้านคัน แต่ EV มีเพียง 64,000 คัน คิดเป็นแค่ 3.2% ของยอดขายทั้งหมด

แม้จะเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ปัญหาคือ EV กำลังเปรียบเสมือน “หลุมดูดเงิน” ของ Ford บริษัทลงทุนมหาศาล 11.4 พันล้านดอลลาร์ ในโรงงานแบตเตอรี่สองแห่ง 1.8 พันล้านดอลลาร์ ในแคนาดา และอีก 2 พันล้านดอลลาร์ ในเยอรมนี

แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่ม Ford อัดฉีดเงินถึง 50 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2022 เพื่อลงทุนด้าน EV เพียงอย่างเดียว

EV แตกต่างจากรถยนต์น้ำมันโดยสิ้นเชิง ต้องการโรงงานและเทคโนโลยีเฉพาะทาง เงินมหาศาลเหล่านี้มุ่งไปสู่ธุรกิจที่เป็นส่วนเล็กๆ ของรายได้ทั้งหมด

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายเมื่อตลาด EV เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปี 2022 เกิดสงครามราคาเมื่อ Tesla เผชิญการแข่งขันจากจีน ลดราคา Model 3 ลง 6% และ Model Y ลง 11%

คู่แข่งอย่าง BYD จากจีนเสนอ EV ราคาถูกกว่ามาก และเพราะ Tesla เป็นผู้นำตลาด การลดราคาส่งผลกระทบแบบโดมิโนทั่วอุตสาหกรรม

Ford จำเป็นต้องลดราคา F-150 Lightning ลง 7,000 ดอลลาร์ ขณะที่ต้นทุนวัสดุเพิ่มสูงขึ้นและห่วงโซ่อุปทานตึงตัว

ผลลัพธ์คือ ไตรมาสแรกปี 2024 หน่วย EV ของ Ford ขาดทุน 1.3 พันล้านดอลลาร์ หมายความว่า EV ทุกคันที่ผลิต บริษัทขาดทุนถึง 130,000 ดอลลาร์ ต่อคัน

ขณะเดียวกัน ความกระตือรือร้นของผู้บริโภคและการสนับสนุนจากรัฐก็ลดลง หลายประเทศถอนมาตรการสนับสนุน EV เยอรมนีในเดือนธันวาคม 2023 ตามมาด้วยนิวซีแลนด์ ฝรั่งเศส และสวีเดน

ตลาด EV กลายเป็นสนามรบที่แดงเดือดและยังไม่สร้างกำไร Ford จึงตระหนักว่าปัญหานี้ใหญ่เกินกว่าจะแก้ไข พวกเขายกเลิกแผนผลิต SUV ไฟฟ้าและตัดการลงทุนด้าน EV

ธุรกิจ EV ของ Ford ขาดทุน 5 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2024 และคาดว่าจะขาดทุนเท่ากันในปี 2025 ในการประชุมล่าสุด Ford เปิดเผยว่ากำลังลดการลงทุนสำหรับ EV จาก 40% เหลือ 30% และลดกำลังผลิต F-150 Lightning

แม้ความล้มเหลวในตลาด EV จะเป็นปัญหาใหญ่ แต่ Ford ยังมีวิกฤตอีกด้านที่อาจแย่ยิ่งกว่าปัญหา EV

แม้ครองตำแหน่นรถยนต์ขายดีที่สุดในอเมริกา แต่ Ford มีปัญหาเรื่องคุณภาพอย่างต่อเนื่อง พวกเขาควบคุมคุณภาพได้ไม่ดี ทำให้รถยนต์จำนวนมากต้องถูกเรียกคืน

ปี 2020 Ford เรียกคืนรถกว่า 700,000 คันเนื่องจากปัญหากล้องมองหลัง สี่ปีต่อมา มีการเรียกคืนถึง 37 ครั้ง รวมถึง Ford Explorers 2 ล้านคันและรุ่นอื่นๆ อีกเกือบ 800,000 คัน

ยิ่งกว่านั้น ในปีเดียวกัน Ford ยังถูกปรับ 165 ล้านดอลลาร์ เพราะเรียกคืนรถล่าช้าและให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง

ค่าใช้จ่ายด้านการรับประกันสะท้อนปัญหาได้ชัดเจน ปี 2014 Ford มีค่าใช้จ่ายด้านการรับประกัน 4.8 พันล้านดอลลาร์ แต่ปี 2023 เพิ่มเป็น 11.5 พันล้านดอลลาร์ และค่าซ่อมเพิ่มอีก 2 พันล้านดอลลาร์

นักลงทุนเริ่มหมดความอดทน ในการประชุมไตรมาส 2 ปี 2024 นักวิเคราะห์ถาม Ford ว่า “นักลงทุนจะเชื่อมั่นได้อย่างไร เมื่อทุกปี ปัญหาการรับประกันที่น่าประหลาดใจเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้น?”

Jim Farley ตอบอย่างกระอักกระอ่วนว่าคุณภาพเป็น “ลำดับความสำคัญอันดับหนึ่ง” แต่นักลงทุนไม่เชื่อ อัตราส่วนราคาต่อกำไรของ Ford อยู่ในระดับต่ำเพียง 6.32

ไตรมาสนั้นเพียงไตรมาสเดียว Ford ใช้เงิน 2.3 พันล้านดอลลาร์ สำหรับการเรียกคืนและรับประกัน บางวันสูงถึง 25.5 ล้านดอลลาร์ ต่อวัน

ที่น่าสนใจคือ F-Series ไม่ใช่ต้นเหตุหลัก แต่เป็นรุ่นใหม่ๆ อัตราข้อบกพร่องของ Ford เพิ่มขึ้น 70% หลังเปิดตัวรุ่นใหม่ ขณะที่ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเพิ่มเพียง 20%

Ford อยู่ในสถานการณ์ขัดแย้ง ด้านหนึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้น แต่อีกด้านกลับควบคุมต้นทุนและคุณภาพไม่ได้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นไม่มีความหมายถ้าไม่สร้างกำไร

ปัญหาเหล่านี้ทำให้ Ford สูญเสียทั้งเงินและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน พวกเขาลงทุนมหาศาลในโรงงาน EV ที่ยังไม่ทำกำไร จึงถอนตัวได้ไม่เต็มที่

EV อาจเป็นการลงทุนที่น่าดึงดูดในอนาคต แต่ทำให้ Ford เสียสมาธิจากปัญหาพื้นฐาน พวกเขาต้องแก้ไขการควบคุมคุณภาพก่อนที่จะสูญเสียความน่าเชื่อถือไปทั้งหมด

Ford เป็นบริษัทรถยนต์อเมริกันรายเดียวที่ไม่เคยล้มละลาย แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน อนาคตดูไม่แน่นอน

ปัญหาของ Ford สะท้อนความท้าทายของบริษัทยักษ์ใหญ่ในยุคเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี การปรับตัวให้ทันนวัตกรรมใหม่เป็นความท้าทายมหาศาลสำหรับบริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรฝังรากลึก

การจัดการหนี้สินมหาศาลในช่วงดอกเบี้ยสูงยิ่งเพิ่มแรงกดดัน Ford ไม่ใช่รายเดียวที่เผชิญวิกฤต ยักษ์ใหญ่อีกรายคือ AT&T ที่มีหนี้สิน 180 พันล้านดอลลาร์ แม้มีส่วนแบ่งตลาดแข็งแกร่ง

วิกฤตคุณภาพของ Ford สะท้อนปัญหาการจัดการองค์กรขนาดใหญ่ การเติบโตและขยายธุรกิจหลายทิศทางทำให้ควบคุมคุณภาพยาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมซับซ้อนอย่างยานยนต์

บทเรียนจาก Ford คือ การเติบโตต้องมาพร้อมความยั่งยืน รายได้ที่เพิ่มไม่ได้หมายถึงความสำเร็จระยะยาวหากไม่รักษาความสามารถในการทำกำไร

การบริหารหนี้สินอย่างระมัดระวังและการให้ความสำคัญกับคุณภาพคือกุญแจสู่ความยั่งยืน Ford ต้องปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็วและกล้าหาญ ลดการลงทุนในโครงการที่ไม่ทำกำไร แก้ปัญหาคุณภาพเร่งด่วน และสร้างสมดุลของผลิตภัณฑ์

แม้ Ford จะมีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีผลิตภัณฑ์เป็นตำนานอย่าง F-Series แต่อดีตอันรุ่งโรจน์ไม่ได้รับประกันความสำเร็จในอนาคต ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงเร็ว แม้แต่ยักษ์ใหญ่ก็อาจล้มลงได้

AWS เครื่องจักรทำเงินแสนล้าน เมื่อปัญหาภายในองค์กรกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจระดับโลก

เรื่องราวเริ่มต้นในเดือนกันยายนปี 2003 Andy Jassy ที่ตอนนั้นกำลังนั่งอยู่ด้วยความกังวลใจ ความคิดที่เขาครุ่นคิดมานานกว่าหนึ่งปีกำลังจะถูกนำเสนอต่อทีมผู้บริหารของ Amazon กับไอเดียที่ว่า Amazon ควรสร้างและจำหน่ายโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลให้กับบุคคลภายนอก

เขารู้ดีว่าถ้าโน้มน้าว Jeff Bezos และทีมผู้บริหารไม่สำเร็จ ไม่เพียงแค่อนาคตของเขาจะดับสูญ แต่ Amazon จะพลาดโอกาสทางธุรกิจครั้งใหญ่ที่สุด แต่เมื่อถึงเวลานำเสนอ Bezos กลับอนุมัติแผนทันที

ในตอนนั้น ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขากำลังเริ่มต้นธุรกิจที่ภายใน 20 ปีต่อมาจะมีมูลค่าพุ่งทะยานเกินหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ นี่คือเรื่องราวของ AWS หรือ Amazon Web Services ที่กลายเป็นแนวคิดปฏิวัติวงการเทคโนโลยีครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงในประวัติศาสตร์

AWS เป็นหนึ่งในแนวคิดที่เทพมากในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี และเป็นการก้าวเข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามสำหรับ Amazon ปัจจุบันบริษัทใหญ่ ๆ ทั่วโลกต่างพึ่งพา AWS สำหรับทุกอย่าง

ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล ระบบจ่ายเงินเดือน หรือระบบ CRM สตาร์ทอัพยอดฮิตที่เราใช้ในชีวิตประจำวันอย่าง Uber, Netflix, Airbnb ล้วนเป็นหนี้ AWS ในการก่อตั้งบริษัท แม้แต่ NASA และ CIA ก็ยังใช้บริการของ AWS

มีทฤษฎีผิดๆ ที่ว่า Jeff Bezos และผู้บริหารระดับสูงคิดค้น AWS ขึ้นเพื่อหารายได้เสริมจากเซิร์ฟเวอร์ที่เหลือใช้ จริงอยู่ที่ Bezos ก็ไม่ค่อยพอใจกับค่าใช้จ่ายด้านเซิร์ฟเวอร์ของ Amazon แต่ในยุคนั้น การให้เช่าความจุเซิร์ฟเวอร์ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนการเช่าล็อคเกอร์

ความจริงแล้ว ไม่มีบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่คิดค้น AWS ขึ้นมา มันเป็นผลลัพธ์จากการประชุม บันทึกภายใน และการพูดคุยระหว่างบุคลากรนับร้อย Jeff และ Andy เป็นคีย์แมนที่สำคัญที่มองเห็นภาพรวม คัดกรองไอเดียเจ๋งๆ และรักษาโฟกัสในการทำให้มันเป็นจริง

ย้อนกลับไปปลายยุค 90s Amazon กำลังเผชิญปัญหาที่เกิดจากความสำเร็จของตัวเอง ยอดขายพุ่งกระฉูด 838% ระหว่างปี 1997 และ 1998 บริษัทเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เกือบทุกวันและจ้างวิศวกรมากมาย แต่โครงสร้างภายในกำลังเละเทะ

ในเวลานั้น Amazon ทำงานบนสถาปัตยกรรมแบบ Two Tier มีแอปแบบ monolithic ด้านหนึ่ง และฐานข้อมูลมากมายอีกด้านที่เติบโตตามลูกค้าใหม่ ๆ สถาปัตยกรรมนี้ทำงานได้ดีตอน Amazon เป็นร้านหนังสือเล็กๆ แต่เมื่อบริษัทขยายตัว ระบบนี้เริ่มมีปัญหาหนักขึ้นเรื่อยๆ

สถาปัตยกรรมแบบนี้เปรียบเสมือนหอคอย Jenga ที่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยหรือเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อาจทำให้ทั้งระบบพังทลาย มันสร้างความซ้ำซ้อนและข้อจำกัดทางธุรกิจมากมาย ซึ่งขัดกับวิสัยทัศน์ของ Bezos ที่ต้องการให้ Amazon เป็นมากกว่าร้านหนังสือออนไลน์

ปัญหานี้มาถึงจุดพีคเมื่อ Amazon ได้รับการว่าจ้างจาก Walmart และ Target ให้สร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ การส่งมอบโซลูชั่นให้บริษัทเหล่านี้กลับยากและใช้เวลามากกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก

ในปี 1998 ทีมวิศวกรของ Amazon ได้เขียนเอกสารที่เรียกว่า “Distributed Computing Manifesto” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้าง AWS เอกสารนี้ระบุจุดอ่อนในสถาปัตยกรรมเดิม เสนอโมเดลใหม่ และอธิบายการเปลี่ยนกรอบความคิดที่จำเป็น

โมเดลที่เสนอคือสถาปัตยกรรมแบบบริการหรือ Service-Oriented Architecture (SOA) ซึ่ง “Service (บริการ)” หมายถึงส่วนที่ออกแบบมาเพื่อทำงานเฉพาะอย่าง บริการช่วยให้ธุรกิจทำงานจากระยะไกลและอิสระ พวกมันแยกส่วนและยืดหยุ่น เหมาะสำหรับบริษัทที่ต้องการเติบโตอย่างรวดเร็ว

การเปลี่ยนไปสู่สถาปัตยกรรมแบบ SOA เหมือนการเปลี่ยนจากการสร้างบนหอคอย Jenga ที่เปราะบางไปสู่การสร้างด้วยบล็อก Lego ที่เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ นำกลับมาใช้ใหม่ได้ และแทบจะไม่มีวันแตกหัก

หลังศึกษาอย่างถี่ถ้วน Bezos ตัดสินใจนำ SOA มาใช้ซึ่งเป็นการตัดสินใจสำคัญที่จะขีดชะตาอนาคตของ Amazon ว่าจะเป็นบริษัทล้านล้านหรือเป็นเพียงร้านค้าออนไลน์ธรรมดา ๆ อีกแห่งหนึ่ง

ตามที่ Steve Yegge วิศวกรที่เคยทำงานหลายบริษัทเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจใน Google+ Bezos ได้ออกบันทึกภายในที่สั่งการว่า:

“ทุกทีมต้องเปิดเผยข้อมูลและฟังก์ชันผ่าน Service Interface ทีมต้องสื่อสารกันผ่านอินเตอร์เฟซเหล่านี้ อินเตอร์เฟซทั้งหมดต้องออกแบบให้สามารถเปิดเผยสู่ภายนอกได้ ใครไม่ทำจะถูกไล่ออก”

เมื่อ Bezos พูดถึง “Service Interface” เขาหมายถึง API หรืออินเตอร์เฟซการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชัน ซึ่งเป็นกลไกให้ซอฟต์แวร์สองตัวสื่อสารกัน เช่น เมื่อเปิดแอปพยากรณ์อากาศ มันจะดึงข้อมูลจากกรมอุตุฯ โดยใช้ API

Bezos เชื่อว่า API คือทางรอดของ Amazon เขาสร้างทีมที่มีจุดประสงค์เพียงเพื่อสร้าง API สำหรับนักพัฒนาภายนอก นำไปสู่การรวม API เข้ากับ merchant .com ที่ช่วยให้นักพัฒนาแสดงสินค้าของ Amazon บนเว็บไซต์ของพวกเขาได้

ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้ Bezos คิดนอกกรอบว่าถ้า Amazon สร้างโซลูชั่นแบบนี้ได้ บริษัทอื่นๆ ก็น่าจะต้องการโซลูชั่นแบบเดียวกัน

ในเดือนกรกฎาคม 2002 Amazon จัดประชุมนักพัฒนาเล็กๆ มีผู้เข้าร่วมแค่แปดคน และประกาศเปิดตัวแผนกใหม่ชื่อ Amazon Web Services แม้ในตอนนั้น AWS จะเป็นเพียงวิธีให้นักพัฒนาเข้าถึงแคตตาล็อกของ amazon แต่มันเป็นสัญญาณว่ากำลังมีอะไรเทพๆ เกิดขึ้น

ในช่วงนี้ Andy Jassy เริ่มเข้ามามีบทบาท ปัจจุบัน Andy เป็น CEO ของ Amazon แต่เขาไม่ใช่วิศวกรซอฟต์แวร์ เขาเป็นผู้ที่จบ MBA จาก Harvard ที่หลงใหลในกีฬามากจนเกือบเลือกเส้นทางอาชีพเป็นผู้บรรยายกีฬา

Andy เข้าร่วมแผนกการตลาดของ Amazon ตั้งแต่ปี 1997 และหลังจากวิกฤต Dot-com Bezos แต่งตั้งเขาเป็น “เงา” หรือผู้ช่วยส่วนตัวที่เป็นทั้งผู้ช่วยทางเทคนิคและเปรียบเสมือนหัวหน้าฝ่ายบริหาร

Andy สังเกตเห็นว่าวิศวกรของ Amazon ใช้เวลามากถึงสองในสามไปกับการสร้างฐานข้อมูล พื้นที่จัดเก็บ และโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผล แทนที่จะโฟกัสกับการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่จะผลักดันธุรกิจให้เติบโต

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในการประชุมนอกสถานที่ที่บ้านของ Jeff Bezos ในเมดิน่า เมื่อทีมผู้นำระดับสูงของ Amazon มารวมตัวกันเพื่อระดมความคิดเกี่ยวกับแนวคิดธุรกิจใหม่และจุดแข็งของบริษัท พวกเขาเริ่มเห็นภาพรวมว่าทุกอย่างกำลังชี้ไปในทิศทางเดียวกัน

ภายหลังการประชุมนี้ Andy Jassy ได้รวบรวมทีมเฉพาะกิจของผู้เชี่ยวชาญระดับเทพ 10 คนใน Amazon เพื่อร่วมกันวิเคราะห์บริการเว็บหลักในยุคนั้น ทีมได้คิดค้นรายการที่เป็นบริการพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่นสูง เช่น การจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล ฐานข้อมูล

Andy เขียนแถลงการณ์วิสัยทัศน์หกหน้า (Six-Page Memo) สำหรับ AWS ที่ไม่เพียงแนะนำให้ Amazon ให้เช่าเซิร์ฟเวอร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโมเดลราคา รายละเอียดทางเทคนิค และแผนการที่จะนำไปใช้

ในเวลาไล่เลี่ยกัน Alan Vermeulen ที่ภายหลังกลายเป็น CTO ของ Amazon ได้เขียนข้อเสนอหกหน้าสำหรับสิ่งที่กลายเป็นองค์ประกอบหลักแรกของ AWS นั่นคือ Simple Storage Service (S3) Jeff Bezos มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดในการพัฒนาจนกระทั่ง Vermeulen เรียกเขาว่า “ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของ S3”

ในวันที่ 14 มีนาคม 2006 Amazon เปิดตัว S3 ซึ่งเป็นบริการจัดเก็บข้อมูลที่ช่วยให้ลูกค้าเก็บ “Object” ซึ่งอาจจะเป็นข้อความ ภาพ และสิ่งอื่นๆ ในคลาวด์ เสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์ขนาดยักษ์ออนไลน์

ก่อนมี S3 บริษัทต่างๆ รวมถึง Amazon เองต้องชั่งใจระหว่างการลงทุนมหาศาลในเซิร์ฟเวอร์ล่วงหน้า หรือการตั้งเป้าหมายทางธุรกิจให้ต่ำลงซึ่งเป็นการจำกัดการเติบโต และ S3 ได้เข้ามาเปลี่ยนเกมโดยสิ้นเชิง ให้ลูกค้าจ่ายเฉพาะสิ่งที่ใช้จริง

ความสำเร็จของ S3 เกินความคาดหมาย ภายในเพียง 2 เดือน จำนวน Object ที่จัดเก็บบน S3 เกินความคาดหวังถึง 100 เท่า 6 ปีหลังจากเปิดตัว S3 มี Object มากกว่าหนึ่งล้านล้านชิ้น และปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 100 ล้านล้านชิ้น

ในเดือนสิงหาคม 2006 เพียงไม่กี่เดือนหลังจากเปิดตัว S3 Amazon เปิดตัว Elastic Compute Cloud (EC2) ซึ่งเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์เสมือนที่ลูกค้าสามารถสร้าง เปิด และปิด Instance ได้ตามที่ต้องการ

สำหรับสตาร์ทอัพ ประโยชน์ของ AWS ชัดเจนทันที: การจัดเก็บข้อมูลและการประมวลผลต้นทุนต่ำเมื่อต้องการ แต่ในตอนแรกยังมีความกังวลว่าองค์กรขนาดใหญ่จะกล้าใช้ AWS หรือไม่

Netflix เป็นตัวอย่างความสำเร็จของการนำ AWS มาใช้ในองค์กรใหญ่ Reed Hastings ซีอีโอของ Netflix กล่าวว่าบริษัทเขาประสบพบเจอกับการเติบโตจากยอดผู้เข้าชมหนึ่งล้านชั่วโมงต่อเดือนในปี 2008 เป็นมากกว่าหนึ่งพันล้านชั่วโมงต่อเดือนในเวลาเพียงสี่ปี

เมื่อ Hastings พูดกับ Andy Jassy ที่การประชุม re:Invent ครั้งแรกในปี 2012 Netflix ได้ย้าย 95% ของการคำนวณและการจัดเก็บข้อมูลไปอยู่บน AWS แล้ว ซึ่งในการประชุมเดียวกันนี้ AWS ได้ประกาศการลดราคาค่าใช้จ่ายการจัดเก็บข้อมูล S3 ลง 28%

นอกจาก Netflix แล้ว สตาร์ทอัพชื่อดังที่หลายแห่งที่เปิดตัวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนี้ เช่น Airbnb (2008), Uber (2009) และ Stripe (2010) ล้วนกลายเป็นบริษัทมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่เติบโตโดยอาศัย AWS

AWS ยังคงพัฒนาและเพิ่มบริการใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ในช่วงปลายปี 2008 พวกเขาเปิดตัว CloudFront, Virtual Private Cloud, บริการฐานข้อมูลแบบไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยผลิตภัณฑ์ AWS ใหม่แต่ละรายการ Amazon ส่งข้อความชัดเจนว่าพวกเขากำลังรับฟังลูกค้าและรังสรรค์บริการที่ตอบโจทย์

S3 เปิดตัวครั้งแรกด้วยไมโครเซอร์วิส 8 รายการ แต่เมื่อ Werner Vogels CTO ของ Amazon ขึ้นพูดที่การประชุม re:Invent 2022 AWS มีบริการมากกว่า 235 รายการแล้ว ที่น่าทึ่งไม่แพ้กันคือ AWS ไม่เคยถูกปิดเพื่อการบำรุงรักษา และแทบไม่เคยออฟไลน์

เรื่องราวความสำเร็จของ AWS ยังรวมถึงการที่คู่แข่งตามไม่ทัน Amazon เอาชนะผู้ให้บริการจัดเก็บข้อมูลและฐานข้อมูลเดิมด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าในราคาถูกกว่า และเอาชนะ Microsoft และ Google ด้วยการเป็นผู้บุกเบิกตลาด

Microsoft ล้าหลังในตลาดคลาวด์เพราะความวุ่นวายในยุคของ Steve Ballmer ลำดับความสำคัญของพวกเขาผิดเพี้ยนไปมาก และทีม Windows มีอำนาจมากเกินไป ทำให้แนวคิดที่อาจกระทบรายได้ของ Windows ถูกตัดทิ้งไปแบบไม่ไยดี Ballmer ยังมัวแต่หมกมุ่นกับการแข่งขันกับ iPhone มากเกินไป

Satya Nadella เห็นศักยภาพของคลาวด์ทันที แต่เมื่อ Microsoft ให้ความสำคัญกับ Azure อย่างจริงจัง พวกเขาก็ล้าหลัง AWS ไปมากแล้ว

ส่วน Google เติบโตเป็นธุรกิจโคตรเทพผ่านผลิตภัณฑ์หลักคือการค้นหา ผู้นำของพวกเขาไม่เคยต้องเรียนรู้การขายให้ธุรกิจ หรือวิธีเติบโตภายใต้อัตรากำไรที่ต่ำ ๆ จึงไม่มีเครื่องมือที่จำเป็นในการสร้างแพลตฟอร์มเช่น AWS

ความสำเร็จทางการเงินของ AWS สร้างความอัศจรรย์เป็นอย่างมาก เพราะมากกว่าครึ่งหนึ่งของกำไรจากการดำเนินงานทั้งหมดของ Amazon มาจาก AWS และหากบริษัทปิด amazon .com ลงวันนี้ Amazon ก็ยังจะมีรายได้มากกว่าหนึ่งแสนล้านดอลลาร์จาก AWS

แต่มูลค่าที่แท้จริงของ AWS วัดไม่ได้ด้วยตัวเลขการเงินเท่านั้น Jeff Bezos เปรียบ AWS เหมือนไฟฟ้า ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ทรงพลังสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21

เศรษฐกิจแอป บริษัทซอฟต์แวร์ บริการสตรีมมิ่งสมัยใหม่ และอื่นๆ อีกมากมายล้วนเกิดขึ้นและเติบโตได้เพราะ AWS นอกจากนี้ยังช่วยให้องค์กรดั้งเดิมอย่างโรงเรียน ธนาคาร หน่วยงานรัฐบาล สร้างมูลค่ามหาศาลโดยการมุ่งเน้นไปที่ความเชี่ยวชาญหลักของพวกเขา

ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของ Amazon ปี 2014 Jeff Bezos เขียนว่า “ผมเชื่อว่าขนาดตลาดของ AWS ไม่มีข้อจำกัด” ทศวรรษที่ผ่านมาพิสูจน์ว่าเขามองการณ์ไกลได้อย่างแม่นยำ

ดังนั้น เมื่อ Bezos ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO หลังจากก่อตั้ง Amazon มาเกือบ 27 ปี จึงมีเพียงตัวเลือกเดียวที่กำหนดให้เป็นผู้สืบทอดเขาก็คือ Andy Jassy อดีตเงาของเขา คนที่เกือบจะเป็นผู้บรรยายกีฬาแต่กลับกลายเป็นผู้นำ AWS และปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Amazon

ประวัติของ AWS เป็นตัวอย่างความเจ๋งของวิสัยทัศน์และการดำเนินการที่กล้าหาญ เริ่มจากปัญหาภายในของ Amazon เองที่ต้องการโครงสร้างที่ดีขึ้นเพื่อรองรับการเติบโต สู่การสร้างโซลูชั่นที่ไม่เพียงแก้ปัญหาของตัวเอง แต่ยังพลิกโฉมวงการเทคโนโลยีทั่วโลก

Amazon ไม่ได้เป็นเพียงผู้ค้าปลีกออนไลน์อีกต่อไป แต่เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่หลายพันธุรกิจทั่วโลกพึ่งพา การตัดสินใจในช่วงต้นทศวรรษ 2000 นำไปสู่การสร้างธุรกิจที่มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์และเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราสร้างและใช้งานเทคโนโลยี

หากประเมินมูลค่าทั้งหมดที่สร้างขึ้นโดยตรงจาก AWS อาจอยู่ในระดับหลายล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งแปลเป็นงานหลายล้านตำแหน่ง ธุรกิจหลายพันแห่ง และมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้นสำหรับผู้คนทั่วโลก AWS ไม่เพียงเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จ แต่ยังเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดนวัตกรรมในยุคดิจิทัล

ปัจจุบัน เมื่อเราใช้บริการออนไลน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนังบน Netflix การเรียกใช้บริการ Uber หรือการใช้แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน มีโอกาสสูงที่เราจะกำลังใช้บริการที่ทำงานอยู่บน AWS โดยที่เราอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

นี่คือผลกระทบของแนวคิดที่เริ่มต้นจากความพยายามแก้ปัญหาภายในองค์กรและเติบโตกลายเป็นรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลก เป็นตัวอย่างของวิธีที่บริษัทใหญ่สามารถสร้างนวัตกรรมและปรับตัว แทนที่จะยึดติดกับโมเดลธุรกิจเดิม Amazon กล้าที่จะลงทุนในเทคโนโลยีใหม่

ความสำเร็จของ AWS ไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่เป็นผลมาจากวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ความกล้าตัดสินใจ การดำเนินการที่รวดเร็ว และการยึดมั่นในหลักการของการสร้างสรรค์สิ่งที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริง ซึ่งนี่คือบทเรียนสุดคลาสสิกสำหรับผู้ประกอบการและองค์กรในยุคดิจิทัล

Geek Daily EP278 : สัญญาลม ๆ แล้ง ๆ ของ Apple Intelligence ทำไม Apple ถึงล้าหลังในสงคราม AI มากขนาดนี้

เมื่อ Apple เปิดตัว Apple Intelligence ที่งาน WWDC 2024 พวกเขาสร้างความคาดหวังไว้สูงมาก โดยนำเสนอว่าจะเป็นชุดเครื่องมือ AI ที่ทรงพลัง ใช้งานง่าย และบูรณาการเข้ากับ ecosystem ของ Apple อย่างลึกซึ้ง ทั้งยังรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้อย่างดีเยี่ยม

Apple ประกาศว่าจะเปิดตัวฟีเจอร์เหล่านี้อย่างเต็มรูปแบบในเดือนกันยายน 2024 แต่ตอนนี้เราอยู่ในเดือนมีนาคม 2025 แล้ว — 6 เดือนผ่านไปหลังจากวันที่สัญญาไว้ และฟีเจอร์หลักของ Apple Intelligence โดยเฉพาะความสามารถของ Siri ก็ยังแทบไม่ปรากฏให้เห็น

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3jcpfkn2

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2zu94vcz

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/bdz2capp

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/irsGuEUbwtw

ศึกชิงตัว Kai-Fu Lee กับตำนานฉกขุนศึกคนสำคัญของ Microsoft โดย Google

ย้อนกลับไปในปี 2005 จีนเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก ความเจริญแบบพุ่งทะยานทำให้ชนชั้นกลางกว่าร้อยล้านคนได้เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ผ่านคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต

ตลาดที่เนื้อหอมเช่นนี้ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกให้มาลองชิมลางกับตลาดใหญ่อย่างจีน Microsoft เป็นหนึ่งในนั้นที่ลงทุนในจีนด้วยการจ้างงานกว่าพันตำแหน่ง

Google ก็เป็นอีกบริษัทเทคโนโลยีที่หมายปองตลาดที่ใหญ่โตนี้เช่นกัน Sergey Brin และ Larry Page ต้องการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในจีนโดยเฉพาะ ทำให้ตลาดจีนมีความหมายกับ Google มาก

ในสนามรบอเมริกา Google ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายชนะในทุกครั้งที่ Microsoft พยายามออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาสกัดกั้นการเติบโตของคู่แข่ง แม้ความโหดของ Microsoft ยังไม่เสื่อมคลาย ด้วยขนาดบริษัทที่ใหญ่กว่า 3 เท่า

Microsoft ยังคงมีรายได้มั่นคงในตลาดที่ครองแบบเบ็ดเสร็จทั้งระบบปฏิบัติการ Windows และโปรแกรมชุดสำนักงานอย่าง Microsoft Office

ทั้งสองบริษัทเติบโตมาในยุคที่แตกต่างกัน Google ที่เติบโตมาทีหลังถูกมองว่าเป็นขวัญใจชาวอินเทอร์เน็ตมากกว่า ด้วยภาพลักษณ์ความเจ๋ง วัฒนธรรมองค์กรรูปแบบใหม่ที่ Google สร้างขึ้น มันดึงดูดเหล่าวิศวกรอัจฉริยะยุคใหม่ได้อย่างล้นหลาม

สถานการณ์นี้ส่งผลโดยตรงต่อ Microsoft ทำให้ Bill Gates ต้องตั้งกรรมการชุดพิเศษขึ้นมา โดยมีหน้าที่เดียวคือหาทางกำจัด Google โดยเฉพาะ ไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตาม เพราะวิศวกรจาก Microsoft เริ่มถูกพลังดูดจากบริษัทอินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ออกไปเรื่อยๆ

Microsoft ต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะรั้งวิศวกรเหล่านี้ไว้ ซึ่งต้องใช้ทั้งแรงกายและเงินทุนมากขึ้น ต้องเสนอเงินและโบนัสพิเศษที่สูงลิ่ว อาการสมองไหลแบบนี้ Microsoft แทบไม่เคยเจอมาก่อนไม่ว่าจะแข่งกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งเพียงใด

และคนที่ Microsoft โกรธแค้นที่สุด เป็นใครไม่ได้นอกจาก Dr. Kai-Fu Lee ซึ่งมีดีกรีด็อกเตอร์จาก Carnegie Mellon ผู้ที่เริ่มทำงานกับ Microsoft ประเทศจีนในปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่ Google ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นมานั่นเอง

Dr. Lee จบปริญญาเอกที่ Carnegie Mellon ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เขาเป็นหนึ่งในบุคลากรระดับเทพด้านเทคโนโลยี speech recognition

ในปี 1986 Lee และ Sanjoy Mahajan พัฒนา Bill ซึ่งเป็นระบบการเรียนรู้สำหรับการเล่นเกม Othello ที่สามารถเอาชนะผู้เล่นระดับชาติของสหรัฐอเมริกาได้ในปี 1989

Lawrence Rabiner ศาสตราจารย์ในภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ที่ Rutgers University กล่าวว่า ระบบของ Lee สามารถจดจำคำพูดของคนมากกว่าหนึ่งคน ช่วยให้พูดได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีความต่อเนื่อง และจัดการกับคำศัพท์ที่มีจำนวนนับหมื่นคำ

“มันเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในยุคนั้น” Rabiner กล่าว

หลังจากเป็นอาจารย์ที่ Carnegie Mellon สองปี Lee ได้ร่วมงานกับ Apple Computer ในปี 1990 ในตำแหน่งหัวหน้านักวิทยาศาสตร์การวิจัย ซึ่งในช่วงนั้น Lee เป็นหัวหน้ากลุ่ม R&D ที่รับผิดชอบผลิตภัณฑ์อย่าง Apple Pippin, Casper (อินเทอร์เฟซเกี่ยวกับคำพูด), GalaTea (ระบบแปลงข้อความเป็นคำพูด) สำหรับเครื่อง Mac

ต่อมา Lee ย้ายไปร่วมงานกับ Silicon Graphics ในปี 1996 และใช้เวลาหนึ่งปีในตำแหน่งรองประธานแผนกผลิตภัณฑ์บนเว็บ และอีกปีในตำแหน่งประธานแผนกซอฟต์แวร์ด้านมัลติมีเดีย Cosmo Software

ในปี 1998 Lee ได้ร่วมงานกับ Microsoft โดยได้รับตำแหน่งดูแลการดำเนินงานและยุทธศาสตร์หลักทั้งหมดในจีน เขายังมี connection ที่ยอดเยี่ยมกับทางรัฐบาลจีน เป็นคนริเริ่มก่อตั้งศูนย์วิจัย Microsoft ขึ้นในปักกิ่ง

แต่แล้วในปี 2005 เมื่อ Google ต้องการรุกเข้าสู่ตลาดจีน และนี่เป็นสิ่งที่ Lee ถวิลหาความท้าทายใหม่ที่จะได้ทำงานกับ Google แม้ตอนนั้นเขาจะเป็นลูกจ้างของ Microsoft อยู่ก็ตาม ซึ่ง Google นั้นก็ต้องการได้มือดีอย่างเขาเพื่อมาเป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยในประเทศจีนเช่นกัน

มันเป็นการแย่งชิงตัวบุคลากรระดับสูงสุดรายแรกที่ Google สามารถช่วงชิงมาจาก Microsoft ได้ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ Microsoft โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลยทีเดียว และพร้อมจะโจมตีกลับด้วยการดำเนินการทางกฎหมายกับ Google

Microsoft คาดหวังกับ Lee มากโข และเขาเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่ได้รับผลตอบแทนสูงระดับต้นๆ ของบริษัท Lee เคยเป็นหัวหน้าแผนก Natural Interactive Services ของ Microsoft ซึ่งรับผิดชอบในการพัฒนาเทคโนโลยีและบริการเพื่อให้อินเทอร์เฟซผู้ใช้เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ซึ่ง Microsoft มองว่ามันรวมถึงเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์สำหรับการค้นหาขั้นสูงที่จะถูกรวมกับเครื่องมือค้นหาของ MSN ในท้ายที่สุด

แต่คำขู่จาก Microsoft ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะในเดือนกรกฎาคม ปี 2005 Lee ก็เดินตามคนอื่นๆ ที่ทิ้ง Microsoft เข้าหา Google ซึ่งทำให้ Google ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น เพราะได้ฉกเอาพนักงานระดับสูงที่มีความรู้และ Connection ที่ดีกับรัฐบาลจีน รวมถึงชุมชนนักพัฒนาในประเทศจีนอีกด้วย

เมื่อถูก Google หยามถึงเพียงนี้ Microsoft จึงต้องเล่นไม้แรง ด้วยการฟ้องร้องทางกฎหมายต่อ Google และ Lee ทันที Microsoft กล่าวหาว่า Google นั้นได้ยั่วยุให้ Lee ฉีกสัญญาจ้างที่ได้เซ็นไว้ทั้งที่รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ซึ่ง Lee นั้นเป็นผู้บริหารระดับสูงที่เอื้อต่อการเข้าสู่จีนหรือการพัฒนาเทคโนโลยีค้นหาของ Google ในประเทศจีน

สุดท้าย Microsoft ได้ชัยชนะชั่วคราว จากคำสั่งศาลที่ห้าม Lee ร่วมงานที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาข้อมูล แต่ผู้พิพากษายังยอมให้ Lee สามารถทำงานในจีนต่อได้ และช่วยส่งสารไปยังเหล่าพนักงานอาวุโสของ Microsoft ไม่ให้ย้ายไปอยู่กับ Google

ขณะที่คดีของ Lee ยังอยู่ในกระบวนการคลี่คลาย ตลาดอินเทอร์เน็ตในจีนก็ได้เกิดความร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ Yahoo ได้ประกาศลงทุนหนึ่งพันล้านเหรียญใน Alibaba บริษัทอินเทอร์เน็ตชั้นนำของจีน

หลังจากคดีของ Lee Google จึงต้องหาแผนสำรองด้วยการซื้อหุ้น Search Engine ชื่อดังของจีนอย่าง Baidu.com ที่มี Design และ Concept เรียบง่ายแบบเดียวกับที่ Google รังสรรค์ขึ้นมาในอเมริกา

และเมื่อ Baidu ทำ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ มันได้เพิ่มมูลค่าตลาดนับพันล้านเหรียญให้แก่ Google และทำให้มูลค่าของ Google ในขณะนั้นมีมูลค่ามากกว่า Amazon และ eBay รวมกันเสียอีก ตอนนี้ Google เติบโตจนเหลือเพียงแค่ Microsoft เท่านั้นที่พวกเขายังล้มไม่ได้

ในขณะที่ Google คิดว่าตัวเองเป็นบริษัททางด้านเทคโนโลยี แต่ความจริงแล้วนั้น Google ทำเงินด้วยการโฆษณา ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับสื่อแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่ ปีแรกที่เข้าตลาดนั้น Google มีมูลค่าในตลาดมากกว่าบริษัทสื่อที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Time Warner เสียด้วยซ้ำ

การที่ Google ทำให้ข้อมูลทั่วโลกเข้าถึงได้ผ่านทางออนไลน์ และการที่ Google สามารถดึงดูดเอาวิศวกรที่ฉลาดที่สุดจากทั่วโลกได้พร้อมกันนั้น มันส่งผลอย่างชัดเจนต่อการเติบโตขึ้นและพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของพวกเขามาจนถึงปัจจุบัน

การแย่งชิงตัว Kai-Fu Lee เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี แสดงให้เห็นว่าในโลกของธุรกิจเทคโนโลยี ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดไม่ใช่เงินทุนหรือเทคโนโลยี แต่เป็นคนที่มีความสามารถโครตเทพแบบ Lee

Microsoft พยายามใช้กฎหมายเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและบุคลากรของตน ในขณะที่ Google ใช้ภาพลักษณ์ที่เจ๋งและวัฒนธรรมองค์กรที่ดึงดูดใจเพื่อล่อลวงเหล่าผู้มีความสามารถให้มาร่วมงาน

การเข้าสู่ตลาดจีนของ Google เป็นความท้าทายที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ไม่เพียงแต่การแข่งขันกับคู่แข่งท้องถิ่นอย่าง Baidu แต่ยังต้องเผชิญกับการควบคุมเนื้อหาที่เข้มงวดจากรัฐบาลจีนอีกด้วย

Google จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์และเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นให้ลึกซึ้ง การได้ Kai-Fu Lee มาร่วมงานจึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาบุกตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การแข่งขันระหว่าง Google และ Microsoft ในตลาดจีนไม่ใช่เพียงการชิงส่วนแบ่งตลาด แต่เป็นการแข่งขันเพื่อชิงอิทธิพลในการกำหนดทิศทางของอินเทอร์เน็ตในอนาคต

ทั้งสองบริษัทต่างทุ่มเททรัพยากรมหาศาลเพื่อขยายอิทธิพลในตลาดที่มีศักยภาพสูงนี้ Microsoft เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของตลาดจีน ในขณะที่ Google พยายามนำเสนอบริการค้นหาที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ

แม้สุดท้ายฝั่ง Google จะล้มเหลวและถอนตัวออกจากตลาดจีนไปในท้ายที่สุดก็ตาม แต่กรณีของ Kai-Fu Lee แสดงให้เห็นว่าในโลกของเทคโนโลยี บุคลากรที่มีความสามารถเฉพาะทางและมีเครือข่าย Connection ที่แข็งแกร่งมีค่ามากกว่าทองคำ

ในที่สุด การที่ Google สามารถทำให้ข้อมูลทั่วโลกเข้าถึงได้ง่ายผ่านทางออนไลน์ และความสามารถในการดึงดูดวิศวกรที่ฉลาดที่สุดจากทั่วโลก ได้ส่งผลให้พวกเขาเติบโตอย่างก้าวกระโดดมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะเผชิญกับความท้าทายและการแข่งขันที่ดุเดือดก็ตาม

Geek Daily EP277 : ถอดรหัสวิกฤต Tesla เมื่อวิสัยทัศน์คนเดียวอาจทำลายล้างทั้งบริษัท

Elon Musk คือชื่อที่สั่นสะเทือนวงการนวัตกรรมโลก เขาคือสัญลักษณ์ของความทะเยอทะยานและวิสัยทัศน์ที่เหนือชั้น แต่ปัจจุบันเรากำลังเห็นภาพที่เปลี่ยนไป จากชายผู้ปฏิวัติวงการรถยนต์ไฟฟ้าและการสำรวจอวกาศ กลายเป็นบุคคลที่สร้างความแตกแยกและเป็นที่ถกเถียงมากขึ้นทุกวัน

Tesla บริษัทที่เขาสร้างขึ้นและทุ่มเทมาตลอดหลายปี กำลังเผชิญความปั่นป่วนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งยอดขายที่ดิ่งลง การประท้วงที่ลุกลามไปทั่วโลก และภาพลักษณ์แบรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คำถามสำคัญที่หลายคนกำลังตั้งคือ “ชายที่สร้าง Tesla ให้ยิ่งใหญ่กำลังกลายเป็นต้นเหตุที่จะทำลายบริษัทของตัวเองหรือไม่?”

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5fnhrztp

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yesu6hca

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/42hffwps

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/ZAv6izTXH6M