Geek Monday EP281 : บทเรียนแสนล้านของ Sony ชนะสงครามแผ่นดิสก์ แต่พ่ายแพ้ให้กับอนาคต

ย้อนกลับไปในปี 2001 โลกที่อินเทอร์เน็ตยังต้องต่อผ่านสายโทรศัพท์… โลกที่ยังไม่มี Facebook หรือ iPhone ถ้าคุณอยากฟังเพลงนอกบ้าน คุณต้องมีเครื่องเล่นที่เรียกว่า Walkman หรือ Discman ถ้าอยากเล่นเกม ก็ต้องเปิดเครื่อง PlayStation ถ้าจะดูหนังใหม่ ก็ต้องไปดูหนังจากค่ายของเขา… บริษัทนั้นคือ Sony

ในยุคนั้น Sony ไม่ใช่แค่บริษัทเทคโนโลยี แต่เป็นเหมือนราชาผู้กำหนดวัฒนธรรมป๊อปของโลก พวกเขาสร้างทั้งเครื่องเล่นและเป็นเจ้าของเนื้อหา ทั้งเพลง หนัง เกม… เรียกว่าคุมทั้งวงการตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ

แต่แล้ว… ตัดภาพมาที่วันนี้… คำถามคือ Sony หายไปไหน?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/246y2k7e

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/ywwuu8z9

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3jh98as6

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/G37_5w45910

ทำไมแป้นพิมพ์ถึงไม่ช่วย BlackBerry? บทเรียนการบริหารที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์สมาร์ทโฟน

ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ถ้าคุณเป็นนักธุรกิจหรือคนทำงานระดับหัวกะทิ อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ BlackBerry มันคือสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ เป็นเครื่องยืนยันสถานะทางสังคมที่ใครๆ ต่างก็หมายปอง

อุปกรณ์ชิ้นนี้รังสรรค์โดยบริษัทสัญชาติแคนาดาชื่อ Research In Motion หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า RIM ความเจ๋งของมันอยู่ที่ฟังก์ชันอีเมลที่ปลอดภัยแบบสุดๆ และคีย์บอร์ดแบบ Physical ที่ให้ความรู้สึกในการพิมพ์ที่ยอดเยี่ยมจนหาตัวจับยาก

ในช่วงพีคสุดๆ BlackBerry มีผู้ใช้งานหลายสิบล้านคนทั่วโลก ส่งผลให้ RIM ทะยานขึ้นเป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่าคู่แข่งได้แต่ชายตามอง

แต่แล้ว เรื่องราวความสำเร็จที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ก็ถึงคราวพลิกผันแบบหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อ Apple บริษัทที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านสมาร์ทโฟนมาก่อน เปิดตัวอุปกรณ์ที่ชื่อว่า iPhone ในปี 2007

ภายในเวลาเพียง 5 ปี อุปกรณ์ BlackBerry ที่เคยเกลื่อนเมือง ก็แทบจะหายไปหมดสิ้น คำถามที่น่าสนใจก็คือ Apple ทำได้อย่างไร ถึงสามารถโค่นยักษ์ใหญ่อย่าง RIM ลงได้อย่างราบคาบ ทั้งที่เป็นเพียงน้องใหม่ในวงการมือถือ

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปไกลกว่านั้น ในปี 1998 RIM เริ่มต้นจากการพัฒนาเพจเจอร์สุดล้ำชื่อว่า RIM Interactive Pager 950 ซึ่งต่อมาได้รับฉายาว่า “BlackBerry” เพราะปุ่มกดสีดำกลมๆ ของมันดูคล้ายผลแบล็กเบอร์รี

ในยุคนั้น เพจเจอร์คืออุปกรณ์สื่อสารที่บูมมาก เพราะมือถือยังใหญ่เทอะทะและราคาแพง การจะติดต่อใครสักคนคือการโทรไปฝากข้อความพร้อมเบอร์โทรกลับ แต่เพจเจอร์ส่วนใหญ่ทำได้แค่รับข้อความ ไม่สามารถตอบกลับได้

แต่เจ้า RIM Interactive Pager 950 ได้สร้างการปฏิวัติครั้งใหญ่ มันเปลี่ยนโฉมหน้าวงการสื่อสารไปตลอดกาล ด้วยแนวคิดที่ยังคงอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือแป้นพิมพ์ QWERTY ที่ออกแบบมาให้ใช้นิ้วโป้งสองข้างพิมพ์ได้อย่างสะดวกสบาย

นี่คือความเทพของจริง RIM สามารถลดจำนวนปุ่มจาก 58 ปุ่มบนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ ให้เหลือเพียง 30 ปุ่มได้อย่างน่าทึ่ง แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ถูกลอกเลียนแบบ แต่ยังเป็นต้นแบบของคีย์บอร์ดบนมือถือในปัจจุบัน

แต่สิ่งที่ทำให้ลูกค้าชื่นชอบจริงๆ คือความสามารถในการตอบกลับข้อความได้ทันที มันเปลี่ยนเพจเจอร์ที่ทำได้แค่แจ้งเตือน ให้กลายเป็นอุปกรณ์สื่อสารสองทางอย่างแท้จริง ก่อนที่มือถือจะทำได้เสียอีก

ไม่เพียงเท่านั้น RIM ยังอัดฟีเจอร์เด็ดอีกอย่างเข้ามา นั่นก็คือ “อีเมล” นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้คนสามารถอ่านและตอบอีเมลได้ทุกที่ทุกเวลาจากอุปกรณ์พกพาขนาดเล็ก แม้ทุกวันนี้จะดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่นี่คือตัวเปลี่ยนเกมที่โหดมากในยุค 90

ด้วยความสามารถที่ล้ำหน้าขนาดนี้ แม้จะมีราคาสูงกว่าเพจเจอร์ทั่วไปถึง 10 เท่า แต่ลูกค้าก็ยอมจ่ายเพื่อแลกกับความสะดวกสบายที่ได้รับ

RIM เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ในปี 2002 พวกเขาเปิดตัว BlackBerry 5810 ที่รองรับเครือข่ายมือถือ ทำให้โทรออกได้ และในปี 2003 ก็เริ่มมีรูปร่างเป็นสมาร์ทโฟนอย่างแท้จริงด้วยหน้าจอสีและเว็บเบราว์เซอร์

ภายในปี 2006 BlackBerry สร้างรายได้มากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ความสำเร็จนี้มาจากการโฟกัสที่กลุ่มลูกค้าธุรกิจอย่างชัดเจน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของคนสำคัญที่งานยุ่งตลอดเวลา

แม้จะมีคู่แข่งอย่าง Motorola และ Palm พยายามเข้ามาท้าชิง แต่ RIM ก็ยังรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยประสบการณ์ใช้งานที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพ แบตเตอรี่ที่อึดถึกทน และระบบความปลอดภัยที่แม้แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่าง Barack Obama ยังต้องใช้มัน

RIM ได้สร้างอาณาจักรที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสั่นคลอน แต่ใครจะรู้ว่าความสำเร็จเหล่านี้เอง ที่กำลังจะกลายเป็นหลุมพรางที่ขุดฝังตัวเองในเวลาต่อมา

แล้ววันที่พลิกชะตาชีวิตของ RIM ก็มาถึง…

เดือนมกราคม ปี 2007 Steve Jobs ได้เปิดตัว iPhone ต่อหน้าสาธารณชน มันสร้างความตกตะลึงให้กับสองซีอีโอร่วมของ RIM อย่าง Jim Balsillie และ Mike Lazaridis ที่กำลังดูการถ่ายทอดสดอยู่

Lazaridis ถึงกับอ้าปากค้างแล้วคิดในใจว่า “Steve Jobs ทำเรื่องบ้าคลั่งแบบนี้ได้อย่างไร” ความประหลาดใจแรกคือ iPhone มันคือคอมพิวเตอร์พกพาที่โทรได้ ในขณะที่ BlackBerry เป็นแค่อุปกรณ์สื่อสารที่มีฟังก์ชันคอมพิวเตอร์พื้นฐานเท่านั้น

แต่สิ่งที่ทำให้สองผู้บริหารสับสนที่สุดคือ iPhone มีเว็บเบราว์เซอร์เต็มรูปแบบได้อย่างไร ในเมื่อผู้ให้บริการเครือข่าย (Carrier) ไม่เคยอนุญาตให้ BlackBerry ทำแบบนั้นมาก่อน

ต้องเข้าใจก่อนว่าในยุคนั้น บรรดา Carrier มีอำนาจเหมือนมาเฟีย พวกเขาควบคุมทุกอย่างว่าโทรศัพท์จะมีฟีเจอร์อะไรได้บ้าง ผู้ผลิตต้องคอยเอาใจและขออนุมัติทุกอย่าง

แต่ Apple ไม่ได้มาเล่นๆ พวกเขาดำเนินกลยุทธ์ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง Jobs ต้องการลดทอนอำนาจของ Carrier และให้อำนาจนั้นกลับมาอยู่ในมือของผู้ผลิตโทรศัพท์

ด้วยพลังของแบรนด์ Apple และความสำเร็จอย่างถล่มทลายของ iPod ที่สร้างรายได้มหาศาล ทำให้พวกเขามีอำนาจต่อรองที่ผู้ผลิตรายอื่นไม่มี Carrier ทั้งหลายต่างก็อยากเข้าถึงฐานลูกค้าของ Apple จนยอมสละอำนาจควบคุมบางส่วนไป

นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ iPhone ได้รับสิทธิพิเศษในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาต้องการ โดยไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจเหมือนที่ RIM เคยทำมาตลอด

ถึงแม้จะประทับใจในความสามารถของ iPhone แต่เหล่าผู้บริหารของ RIM ก็ยังคงมองว่ามันไม่ใช่ภัยคุกคามโดยตรง พวกเขายังคงคิดว่า iPhone ถูกสร้างขึ้นสำหรับตลาดผู้ใช้งานทั่วไป ในขณะที่ BlackBerry คือของแท้สำหรับโลกธุรกิจ

Larry Conlee ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ RIM ถึงกับกล่าวว่า iPhone ไม่ปลอดภัย แบตเตอรี่ห่วย และมีแป้นพิมพ์ที่แย่เอามากๆ ซึ่งถ้ามองในตอนนั้น เขาก็พูดถูกทุกอย่าง

iPhone รุ่นแรกแทบไม่มีระบบความปลอดภัย แบตเตอรี่ใช้งานได้เพียง 5 ชั่วโมง เทียบกับ BlackBerry ที่อยู่ได้เป็นสิบชั่วโมง และแป้นพิมพ์บนหน้าจอสัมผัสก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าใช้งานได้ไม่ดีเท่าของจริง

แต่ข้อผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดของ BlackBerry คือการที่พวกเขาไม่เคยคิดจะท้าทายสมมติฐานเดิมๆ ของตัวเอง พวกเขายึดติดกับความเชื่อที่ว่าผู้ใช้ทางธุรกิจจะไม่มีวันทิ้งคีย์บอร์ด Physical ไปหาคีย์บอร์ดดิจิทัล

พวกเขาสันนิษฐานว่าตลาดจะถูกแบ่งเป็นสองส่วนเสมอ คือกลุ่มธุรกิจและกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป โดยที่ iPhone จะดึงดูดได้แค่กลุ่มหลังเท่านั้น ซึ่งในระยะสั้นมันก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น

แต่พวกเขามองข้ามไปว่า ศักยภาพของ iPhone ในระยะยาวนั้นมันโหดเหี้ยมเกินกว่าจะจินตนาการได้ เพราะเรื่องความปลอดภัยหรืออายุแบตเตอรี่ เป็นสิ่งที่ Apple สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้เสมอ

จุดเริ่มต้นของรอยร้าวได้เกิดขึ้นแล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2008 ถือเป็นจุดฉนวนของการต่อสู้ที่ถึงพริกถึงขิงเพื่อชิงความเป็นเจ้าตลาดสมาร์ทโฟน

Apple เดินเกมโหดด้วยการเปิดตัว App Store ในเดือนกรกฎาคม 2008 มันคือการเดิมพันครั้งใหญ่ว่า “ซอฟต์แวร์” คือหัวใจหลักของสมาร์ทโฟน ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์

App Store เปลี่ยน iPhone ให้กลายเป็นอุปกรณ์ที่ทำได้แทบทุกอย่าง ในขณะที่ BlackBerry ยังคงมุ่งเน้นไปที่การให้ตัวเลือกด้านฮาร์ดแวร์มากขึ้น

พวกเขาเปิดตัว BlackBerry Storm สมาร์ทโฟนหน้าจอสัมผัสรุ่นแรกที่ออกมาเพื่อท้าชนกับ iPhone โดยตรง โดยสร้างความแตกต่างด้วยเทคโนโลยี SurePress ที่ทำให้หน้าจอ “คลิก” ได้เมื่อกดลงไป

แนวคิดนี้ดูเหมือนจะเข้าท่า เพราะมันยังคงรักษาความรู้สึกของการคลิกแบบดั้งเดิมไว้ได้ แต่คำถามที่แท้จริงคือ มันช่วยให้ประสบการณ์ใช้งานดีขึ้นจริงหรือ?

คำตอบคือ “ไม่” สื่อเทคโนโลยีชื่อดังอย่าง Engadget วิจารณ์อย่างเจ็บแสบว่า ระบบปฏิบัติการของ Storm แทบไม่ต่างจาก BlackBerry รุ่นก่อนๆ มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อหน้าจอสัมผัสโดยเฉพาะ ทำให้การใช้งานติดขัดและไม่ลื่นไหลเหมือน iPhone

นี่คือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของ RIM พวกเขามีฮาร์ดแวร์ที่ดี แต่ซอฟต์แวร์กลับล้าหลังและไม่ถูกปรับให้เหมาะสม นี่คือปัญหาใหญ่ที่พวกเขาต้องเผชิญ

แต่ดูเหมือนผู้บริหารจะยังไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาว ในปี 2008 รายได้ของ RIM พุ่งกระฉูดไปกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปีก่อนหน้า ตัวเลขที่สวยหรูนี้ทำให้พวกเขายังคงหลงระเริงและเชื่อว่ากลยุทธ์ที่เน้นฮาร์ดแวร์นั้นมาถูกทางแล้ว

ทว่าในปี 2009 RIM ก็ต้องเจอกับอุปสรรคครั้งใหญ่ BlackBerry Storm ที่เคยเป็นความหวัง กลับกลายเป็นหายนะ สวิตช์กลไกที่ทำให้หน้าจอคลิกได้นั้นมีข้อบกพร่อง ทำให้ RIM ต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้กับลูกค้าทุกคนที่ซื้อไป

ความผิดพลาดครั้งนี้ทำให้บริษัทสูญเงินชดเชยไปกว่า 500 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นความล้มเหลวทางการเงินที่เจ็บปวดรวดร้าว แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ และเดินหน้าพัฒนา Storm รุ่นที่ 2 ต่อไป

แต่ปัญหาพื้นฐานมันไม่ได้อยู่ที่ฮาร์ดแวร์ มันอยู่ที่ซอฟต์แวร์ที่กู่ไม่กลับไปแล้ว ภายในสิ้นปี 2009 โลกของสมาร์ทโฟนได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง iPhone และ Android กำลังสร้างระบบนิเวศของแอปพลิเคชันที่แข็งแกร่ง

ขณะที่ BlackBerry ยังคงย่ำอยู่กับที่ด้วยระบบปฏิบัติการที่ใช้เทคโนโลยีตั้งแต่ปี 1999 พวกเขายังคงเชื่อว่าลูกค้าธุรกิจต้องการแค่ อีเมล ปฏิทิน และความปลอดภัย โดยไม่สนใจแอปโซเชียลมีเดียหรือความบันเทิงต่างๆ

พวกเขาไม่เคยถามตัวเองเลยว่า “จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าวันหนึ่ง iPhone ทำได้ทุกอย่างที่ BlackBerry ทำได้ และทำได้ดีกว่า?”

แล้ววันนั้นก็มาถึงจริงๆ Apple เริ่มเพิ่มฟีเจอร์สำหรับองค์กรอย่างรวดเร็วเพื่อท้าทายการครองตลาดของ BlackBerry ไม่ว่าจะเป็น iMessage ที่เข้ารหัส, การรองรับ Microsoft Exchange และอื่นๆ อีกมากมาย

ผลลัพธ์คือส่วนแบ่งตลาดของ Apple พุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียง 2 ปี พวกเขาครองส่วนแบ่งตลาดโลกไปถึง 18% ตามหลัง BlackBerry เพียง 3% เท่านั้น

มันเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าเส้นแบ่งระหว่างผู้ใช้ธุรกิจและผู้ใช้ทั่วไปกำลังจะหมดหายไป ผู้คนต้องการอุปกรณ์เครื่องเดียวที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและความบันเทิง แต่ระบบปฏิบัติการของ BlackBerry ไม่สามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้

ภายในปี 2011 ส่วนแบ่งตลาดของ BlackBerry ลดฮวบลงเหลือเพียง 10.4% แต่รายได้กลับแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 20,000 ล้านดอลลาร์

รายได้ที่ยังคงพุ่งกระฉูดนี้เองที่กลายเป็นยาพิษ มันทำให้ผู้บริหารตาบอดและคิดว่ากลยุทธ์ของพวกเขายังคงได้ผล แต่หารู้ไม่ว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลายลงมาอย่างสิ้นซาก

ในปี 2012 หายนะของจริงก็มาเยือน ส่วนแบ่งตลาดดิ่งลงเหวเหลือเพียง 6% ที่สำคัญกว่านั้นคือรายได้ของบริษัทลดลงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ มันสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ถือหุ้น จนนำไปสู่การกดดันให้สองซีอีโอร่วมลาออก

Thorsten Heins เข้ามารับตำแหน่งซีอีโอคนใหม่และพยายามกอบกู้วิกฤตด้วยการพัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่ที่ชื่อว่า BlackBerry 10 ซึ่งเปิดตัวในปี 2013

มันคือระบบปฏิบัติการที่ทันสมัย รองรับแอป Android และมีหน้าตาที่เหมาะกับจอสัมผัส แต่ปัญหาก็คือ มันไม่สามารถอัปเดตบนอุปกรณ์รุ่นเก่าได้ ผู้ใช้ต้องซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่เท่านั้น

แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว… ในตอนนั้นตลาดสมาร์ทโฟนมีการแข่งขันที่โหดเหี้ยมมาก Apple กำลังขาย iPhone 5 ส่วน Android ก็มีอุปกรณ์นับไม่ถ้วนให้เลือกสรร

ภาพลักษณ์ของ BlackBerry ในสายตาผู้บริโภคได้กลายเป็นแบรนด์ที่ล้าสมัยไปแล้ว การเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ที่ช้าไปถึง 6 ปี ไม่เพียงพอที่จะแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นได้

ภายในสิ้นปี 2013 BlackBerry สูญเสียส่วนแบ่งตลาดเกือบทั้งหมด เหลือเพียง 1.9% และรายได้ก็ดิ่งลงอย่างน่าใจหาย

และแล้วในปี 2017 เรื่องราวทั้งหมดก็ถึงจุดจบ บริษัทประกาศยุติการพัฒนาระบบปฏิบัติการ BlackBerry 10 อย่างสมบูรณ์ เป็นการปิดฉากตำนานที่เคยยิ่งใหญ่ลงอย่างน่าเศร้า

ความพ่ายแพ้ของ BlackBerry ส่วนใหญ่เกิดจากการทำร้ายตัวเอง พวกเขายึดติดกับความสำเร็จในอดีตจนไม่ยอมปรับตัว ไม่ยอมรับว่าโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว

บทเรียนสำคัญจากเรื่องนี้คือ ไม่ว่าคุณจะยิ่งใหญ่แค่ไหนในวันนี้ แต่ถ้าคุณหยุดที่จะสร้างนวัตกรรม หยุดที่จะรับฟังลูกค้า และไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง คุณก็อาจจะถูกคลื่นแห่งกาลเวลาซัดหายไปได้ในพริบตา เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับ BlackBerry นั่นเอง.

References: [engadget, wired, theverge, forbes, businessinsider]

Magic: The Gathering—FINAL FANTASY Wizards of the Coast เผยข้อมูลการ์ดใหม่ที่ได้รับการออกแบบโดย Toshiyuki Itahana และ Toshitaka Matsuda

Wizards of the Coast บริษัทผู้สร้างสรรค์เกมระดับโลก ผู้ออกแบบและจัดจำหน่าย Magic: The Gathering เทรดดิ้งการ์ดเกมเชิงยุทธศาสตร์เกมแรกของโลกที่มีผู้เล่นและแฟนเกมหนาแน่นกว่า 50 ล้านคนทั่วโลก

ประกาศเปิดเผยการ์ดบางส่วนจากเซตการ์ดใหม่ล่าสุดของซีรีส์ Universes Beyond อย่าง Magic: The Gathering—FINAL FANTASY โดยวางจำหน่ายไปแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา

เพื่อฉลองการเปิดตัวของเซตการ์ดใหม่นี้ ทางบริษัทฯ ได้มีการจัดอีเวนต์สุดพิเศษสำหรับผู้เล่นในประเทศสิงคโปร์ ไทย และฟิลิปปินส์ช่วงสุดสัปดาห์ต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์ (อีเวนต์ดังกล่าวมีได้จัดขึ้นในวันที่ 14-15 มิถุนายนสำหรับประเทศสิงคโปร์และไทย และ 21-22 มิถุนายน สำหรับประเทศฟิลิปปินส์)

ซึ่งกิจกรรมภายในอีเวนต์มีบูธ Learn-to-Play สำหรับผู้เล่นหน้าใหม่ที่อยากลองสัมผัสกับประสบการณ์ในโลกแห่ง Magic อีกทั้งยังมีกิจกรรมในรูปแบบ Sealed และ Commander ให้ผู้เล่นหน้าเก่าได้เข้ามาร่วมสนุกอีกด้วย 

ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน ถึง 24 กรกฎาคม ผู้เล่นจากประเทศโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย และฟิลิปปินส์) ที่เข้าร่วมอีเวนต์นี้ สามารถเข้าร่วมกิจกรรม Chocobo Racing เพื่อลุ้นรับของรางวัลอย่าง เข็มกลัด AR โปสเตอร์ และโทเคนเหล็ก 

เซตการ์ดที่รวบรวมคอลเลกชันงานศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาจากซีรีส์ FINAL FANTASY มาไว้ในเกมเดียว โดยมีเหล่าศิลปินจาก Magic ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการตีความและถ่ายทอดโมเมนต์ที่เป็นตำนานต่าง ๆ จากซีรีส์ FINAL FANTASY ผ่านลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา

นอกจากนี้ ยังมีภาพอาร์ตเวิร์คที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากต้นฉบับ FINAL FANTASY ในรูปแบบการ์ดที่น่าจดจำให้แฟน ๆ ได้สะสมอีกด้วย

ประกาศเปิดตัวการ์ด Borderless FINAL FANTASY Artist มาพร้อมงานศิลปะฝีมือคุณ Toshiyuki Itahana และคุณ Toshitaka Matsuda 

ซีรีส์ FINAL FANTASY ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าศิลปินระดับตำนานมาโดยตลอด ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับเซต Magic: The Gathering — FINAL FANTASY นี้ ได้เรียนเชิญศิลปินชื่อดังมามีส่วนร่วมในการสรรค์สร้างงานศิลปะให้กับการ์ดระดับพิเศษ: Borderless FINAL FANTASY Artist

ซึ่งสไตล์ของการ์ดดังกล่าวนั้น มาจากการคัดเลือกการ์ดจากชุดหลักอย่างพิถีพิถันให้ศิลปินรับเชิญแต่ละท่านเป็นผู้รับผิดชอบในการออกแบบ พร้อมทั้งถ่ายทอดเอกลักษณ์เฉพาะตัวลงในการ์ดระดับ Borderless

โดยการ์ด 2 ใบล่าสุดที่มีการเปิดเผยแล้วว่าจะมีเวอร์ชั่น Borderless FINAL FANTASY Artist ได้แก่ การ์ด <<Vivi Ornitier>> ผลงานของคุณ Toshiyuki Itahana และการ์ด <<Kain, Traitorous Dragoon>> ผลงานของคุณ Toshitaka Matsuda ซึ่งการ์ดทั้งสองใบถือเป็นของสะสมอันล้ำค่าสำหรับแฟน ๆ ที่ควรค่าแก่การจัดแสดงในฐานะงานศิลปะอย่างแท้จริง  

ตัวละครขวัญใจแฟน ๆ จากซีรีส์ FINAL FANTASY ในรูปแบบการ์ดสะสม 
ตัวละครขวัญใจแฟน ๆ จากซีรีส์ FINAL FANTASY อย่าง Chocobos และ Moogles ถูกนำมาดัดแปลงเป็นงานศิลป์รูปแบบการ์ด Magic ในชื่อ <<Choco, Seeker of Paradise>> และ <<Moogles’ Valor>>

พร้อมกันนี้ เตรียมพบกับการเปิดตัวของอสูรอัญเชิญธาตุน้ำ Leviathan สู่จักรวาล Magic ครั้งแรกในรูปแบบการ์ด <<Summon: Leviathan>> โดยแฟน ๆ จะได้ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ในโลกแห่ง Magic กับการเปิดตัวของการ์ดประเภทใหม่ล่าสุด: “Saga Creature” พร้อมพิสูจน์พลังอันมหาศาลของ Leviathan ที่จะมาถล่มบอร์ดให้ราบเป็นหน้ากลองด้วยคลื่นสึนามิที่พร้อมจะทำลายล้างทุกสิ่ง 

นอกจากนี้ ฉากที่น่าจดจำและโมเมนต์น่าประทับใจจากซีรีส์ FINAL FANTASY ถูกรังสรรค์ขึ้นใหม่เป็นการ์ดเซต FINAL FANTASY Through the Ages ใน Magic: The Gathering — FINAL FANTASY เรียกได้ว่าคอลแลปส์ในฝันนี้ เป็นการผสานความทรงจำของผู้เล่นที่มีต่อซีรีส์ FINAL FANTASY เข้ากับประสบการณ์การเล่นการ์ดเกม

ร่ายคาถาของคุณในอีเวนต์ฉลองเปิดตัวเซตการ์ดใหม่ 

Wizards of the Coast จับมือกับพันธมิตรหลัก จัดอีเวนต์ฉลองการเปิดตัวเซตการ์ดใหม่ Magic: The Gathering — FINAL FANTASY ภายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสิงคโปร์ ไทย และฟิลิปปินส์ อีเวนต์ดังกล่าวจะถูกจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ทุกสุดสัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการเปิดตัวเซตการ์ดใหม่ 

ประเทศสถานที่ / เวลา กิจกรรมไฮไลท์
สิงคโปร์ ซันเทค ซิตี้ มอลล์, เวสต์วิง ชั้น 1 (ไกล้กำแพง LED)9:00 – 21:00 น.มินิเกมสำหรับผู้เล่นใหม่ (12:00 – 20:00 น.) อีเวนต์รูปแบบ Sealed (12:00 – 17:00 น.) กิจกรรม Draft Events (18:00 – 21:00 น.) 
ไทยเอสพลานาด รัชดาพิเษก (กรุงเทพฯ)11:00 – 19:00 น.มินิเกมสำหรับผู้เล่นใหม่ (11:00 – 18:00 น.) อีเวนต์ Standard Play (11:00 – 19:00 น.)กิจกรรม Commander Party (11:00 – 18:00 น.)เวทีเสวนากับศิลปินรับเชิญ
ฟิลลิปีนส์เอสเอ็น ซิตี้ นอร์ธ อีดีเอสเอ, L1 ดิ แอนเน็กซ์ (มะนิลา)กิจกรรม Standard / Modern Playกิจกรรม Casual: Commander ULTIMA รูปแบบ Multiplayer


ลุ้นรับรางวัลจากการร่วมสนุกในกิจกรรม Chocobo Racing 

กิจกรรม Chocobo Racing เป็นการแข่งขันรูปแบบ Draft และ Sealed ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากมินิเกม Chocobo Racing จากเกม FINAL FANTASY VII

โดยทุกครั้งที่ผู้เล่นเข้าร่วมกิจกรรมนี้ จะได้รับคะแนนสะสมเพิ่ม ยิ่งผู้เล่นร่วมกิจกรรมมากเท่าไหร่ จะยิ่งมีโอกาสลุ้นรับของรางวัลมากขึ้น โดยสามารถร่วมสนุกกับกิจกรรม Chocobo Racing รูปแบบ Draft หรือ Sealed ที่ร้านค้า WPN ในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อรับของรางวัลสุดพิเศษ ได้แก่ โปสเตอร์กิจกรรม Chocobo Racing Series ลิมิเต็ดเวอร์ชั่น เข็มกลัด AR จาก Pinfinity 

โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 มิถุนายน – 24 กรกฎาคม 2025 อีกทั้งผู้เล่นที่เข้าร่วมกิจกรรมยังมีโอกาสลุ้นรับการ์ดโทเคนเหล็กสุดเอ็กซ์คลูซีฟถึง 3 ลายพิเศษ ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับกิจกรรมนี้เท่านั้น

Minimalism ที่เปลี่ยนโลก Jony Ive ชายผู้เปลี่ยน iPhone ให้ทำลาย Nokia BlackBerry ในชั่วข้ามคืน

เมื่อคุณหยิบ iPhone ขึ้นมาใช้งาน สัมผัสถึงความโค้งมนที่พอดีมือ การออกแบบที่เรียบง่ายแต่ดูดี คุณกำลังสัมผัสมรดกของชายคนหนึ่ง ที่ได้เข้ามาเปลี่ยนโลกเทคโนโลยีไปตลอดกาล

เขาคนนั้นคือ Jonathan Paul Ive หรือที่คนทั้งโลกเรียกกันติดปากว่า Jony Ive สุดยอดนักออกแบบผู้รังสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน จนแทบนึกภาพไม่ออกว่าถ้าไม่มีมัน ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในครอบครัวที่อบอวลไปด้วยไอเดียสร้างสรรค์ พ่อของเขาไม่ใช่แค่คุณครูธรรมดา แต่เป็นช่างทำเครื่องเงินฝีมือฉกาจ ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดอย่างถึงที่สุด

ห้องทำงานของพ่อจึงกลายเป็นสนามเด็กเล่นของ Jony ที่ซึ่งพ่อลูกได้ใช้เวลาร่วมกันออกแบบและสร้างสรรค์สิ่งของต่างๆ นี่คือจุดเริ่มต้นที่ปลูกฝังความเป็นนักออกแบบให้กับเขา

เมื่อเข้าสู่ช่วงมัธยมปลาย Jony ก็รู้ตัวชัดเจนแล้วว่าเส้นทางของเขาคือ Industrial Design หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ เขาจึงเข้าเรียนที่ Newcastle Polytechnic ในปี 1985 หนึ่งในสถาบันด้านการออกแบบชั้นนำของอังกฤษ

ยุค 80s ถือเป็นยุคแห่งการออกแบบที่เน้นความฉูดฉาด สีสันจัดจ้าน มุมแหลมคม และรายละเอียดที่ดูจะเกินความจำเป็น แต่ Jony กลับสวนกระแส เขาหลงใหลในปรัชญาของ Dieter Rams นักออกแบบขั้นเทพของแบรนด์ Braun

หลักการ “Less but better” หรือ “น้อยแต่มากด้วยคุณภาพ” ของ Rams ได้กลายเป็นรากฐานความคิดในการออกแบบของ Jony ตั้งแต่แรกเริ่ม เขาเชื่อในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เรียบง่ายและใช้งานได้จริง

บทเรียนสำคัญครั้งแรกเกิดขึ้นในการประกวดออกแบบครั้งหนึ่ง เขาออกแบบโทรศัพท์ที่ดูล้ำเหมือนไมโครโฟนบางๆ แต่มันกลับทำให้คนไม่กล้าใช้ เพราะไม่แน่ใจว่าต้องถือหรือพูดใส่ตรงไหน

นั่นคือครั้งแรกที่ Jony ได้เรียนรู้ว่า ความสวยงามอย่างเดียวไม่พอ ผลิตภัณฑ์ที่ดีต้องเข้าใจได้ในทันทีโดยไม่ต้องคิด นี่คือบทเรียนที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต

จากเงินรางวัลที่ได้ Jony มีโอกาสเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ที่นั่นเขาได้สัมผัสโลกการออกแบบที่แตกต่างจากอังกฤษโดยสิ้นเชิง ไอเดียใหม่ๆ ได้รับการยอมรับและความคิดสร้างสรรค์ได้รับการตอบแทนอย่างคุ้มค่า เขารู้ในใจทันทีว่า สักวันหนึ่งเขาต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้

เมื่อกลับมาลอนดอน Jony เริ่มทำงานที่ Tangerine สตูดิโอออกแบบชื่อดัง จนกระทั่ง Robert Brunner หัวหน้าทีมออกแบบของ Apple ในขณะนั้น ได้ยื่นโอกาสครั้งสำคัญให้

Brunner เสนอให้ Tangerine รับโปรเจกต์ออกแบบผลิตภัณฑ์ต้นแบบ 4 ชิ้นให้ Apple หนึ่งในนั้นคือแท็บเล็ตที่ชื่อว่า “Macintosh Folio” และ Jony ก็คือคนที่ได้รับผิดชอบโปรเจกต์นี้

ถึงวันนำเสนอผลงานที่สำนักงานใหญ่ของ Apple ในขณะที่คนอื่นแค่เอาโมเดลใส่กล่องกระดาษธรรมดาๆ Jony กลับห่อผลงานของเขาอย่างพิถีพิถัน พร้อมแนบภาพสเก็ตช์และเสื้อยืดโลโก้บริษัทไปด้วย

ความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ สร้างความประทับใจให้ Robert Brunner อย่างมาก และในตอนท้าย เขาได้พูดประโยคที่เปลี่ยนชีวิต Jony ว่า “ประตูที่นี่เปิดให้คุณเสมอ ลองคิดดู”

แม้โปรเจกต์ส่วนใหญ่จะไม่ได้ถูกสร้างเป็นผลิตภัณฑ์จริง แต่มันก็ได้ขีดโชคชะตาให้ Jony ตัดสินใจย้ายไปแคลิฟอร์เนีย และเข้าร่วมกับ Apple ในปี 1992 อย่างเป็นทางการ

ช่วงเวลานั้น Apple เพิ่งแยกทางกับบริษัทออกแบบเดิม และกำลังปลุกปั้นทีมออกแบบภายในของตัวเองขึ้นมา แต่ปัญหาใหญ่ที่รุมเร้าคือผลิตภัณฑ์ของ Apple ขาดเอกภาพโดยสิ้นเชิง

เครื่องพิมพ์ดูไม่เข้ากับคอมพิวเตอร์ จอภาพก็ดูแปลกแยกจากคีย์บอร์ด มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็น 4 บริษัทที่ต่างคนต่างทำ มากกว่าจะเป็นบริษัทเดียวกันที่มีทิศทางชัดเจน สถานการณ์ตอนนั้นมันเละเทะมาก

โครงการแรกของ Jony คือ “Newton Message Pad” รุ่นที่สอง ซึ่งรุ่นแรกนั้นล้มเหลว เพราะถูกเยาะเย้ยเรื่องการรู้จำลายมือที่แย่มากจนกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ในวงการ

Jony รับความท้าทายนี้ เขาออกแบบฝาพับใหม่ ปากกาสไตลัสที่เด้งออกมาเมื่อกด ทุกอย่างให้ความรู้สึกพรีเมียม แต่เมื่อเปิดตัว แม้จะกวาดรางวัลด้านการออกแบบมามากมาย ผลิตภัณฑ์กลับล้มเหลวในตลาดอยู่ดี

เขารู้สึกผิดหวังและไร้พลัง เพราะในยุคนั้น วัฒนธรรมของ Apple ถูกขับเคลื่อนด้วยฝ่ายวิศวกรรม การออกแบบเป็นแค่สิ่งที่ต้องทำตามข้อจำกัดทางเทคโนโลยี ไม่ใช่การผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่

ต่อมากับโปรเจกต์ “20th Anniversary Mac” ที่ควรจะเป็นผลงานชิ้นเอก แต่กลับกลายเป็นหายนะอีกครั้ง Apple ตั้งราคามันสูงถึง 9,000 ดอลลาร์ จนไม่มีใครชายตามอง สุดท้ายต้องลดราคาเหลือแค่ 2,000 ดอลลาร์

ในขณะเดียวกัน บริษัท Apple เองก็กำลังดิ่งลงเหว ยอดขายตกต่ำ Windows 95 กำลังจะเอาชนะ Mac บริษัทกำลังจะหมดเงิน และ CEO ในตอนนั้นก็กำลังจะถูกไล่ออก

Jony รู้สึกว่า Apple ได้สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว เขากำลังจะตัดสินใจลาออกและกลับอังกฤษ แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

Steve Jobs กลับมาแล้ว

วันที่ 7 มกราคม 1997 ในงาน Mac Expo หลังจาก CEO คนเก่าประกาศลาออก Steve Jobs ก็ก้าวขึ้นมาบนเวที เขาไม่ได้พูดอะไรซับซ้อน แต่พูดตรงประเด็นว่า “ปัญหาของที่นี่คืออะไรน่ะเหรอ… มันคือผลิตภัณฑ์! ผลิตภัณฑ์มันห่วยแตก ไม่มีเสน่ห์อะไรเหลืออยู่เลย”

Jony ที่นั่งอยู่หลังห้องและกำลังคิดเรื่องลาออก ถึงกับต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยิน Jobs พูดต่อว่า “เป้าหมายของ Apple ไม่ใช่แค่การทำเงิน แต่คือการทำผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม”

วินาทีนั้นเอง Jony ตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ เขาไม่เคยได้ยินผู้นำคนไหนของ Apple พูดแบบนี้มาก่อน

Jobs ไม่รอช้า เขาลงมือผ่าตัดใหญ่ทันที ลดสายผลิตภัณฑ์จาก 40 เหลือแค่ 4 อย่าง และปิดโครงการที่ล้มเหลวทั้งหมด รวมถึง Newton ซึ่งเป็นผลงานชิ้นแรกๆ ของ Jony ด้วย

แต่แทนที่จะผิดหวัง Jony กลับเห็นแสงสว่างเป็นครั้งแรก เขาเห็นว่าการออกแบบกำลังจะกลายเป็นหัวใจของบริษัท ไม่ใช่วิศวกรรมอีกต่อไป

วันหนึ่ง Jobs เดินเข้ามาในสตูดิโอออกแบบ เขาได้เห็นไอเดียที่กล้าหาญ สดใหม่ และแตกต่างจากทุกสิ่งที่ Apple เคยทำ เขาประทับใจมาก และชี้ไปที่ Jony พร้อมกับพูดว่า “คุณ… คุณคือผู้นำทีมจากนี้ไป”

ช่วงเวลานั้นได้เปลี่ยนทุกอย่าง และ Jony ก็ได้เริ่มทำงานในโปรเจกต์ที่จะพลิกชะตาของ Apple ตลอดกาล นั่นคือ iMac

ก่อนหน้า iMac คอมพิวเตอร์คือกล่องสี่เหลี่ยมสีเบจที่แสนจะน่าเบื่อและซับซ้อน แต่ Jony ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์นั้นไปโดยสิ้นเชิง เขาออกแบบคอมพิวเตอร์ที่ดูมีชีวิตชีวาและน่าตื่นเต้น

แทนที่จะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมทื่อๆ iMac กลับมีรูปทรงโค้งมนเป็นธรรมชาติ ตัวเครื่องทำจากพลาสติกโปร่งแสง ทำให้มองเห็นชิ้นส่วนภายในได้เป็นครั้งแรก มันคือการทำลายกำแพงระหว่างผู้ใช้กับเครื่องจักร

ด้านบนของเครื่อง เขายังใส่ที่จับเข้าไป ไม่ใช่เพื่อให้คนหิ้วไปมา แต่เพื่อให้รู้สึกเป็นมิตรและน่าสัมผัส iMac ไม่ใช่แค่การออกแบบที่เจ๋งมาก ๆ แต่มันคือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่โคตรเทพ

ภายใน 6 สัปดาห์ Apple ขาย iMac ไปได้กว่า 270,000 เครื่อง และสิ้นปีนั้นยอดขายก็พุ่งกระฉูดไปถึง 800,000 เครื่อง กลายเป็นคอมพิวเตอร์ที่ขายเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple

ความสำเร็จของ iMac ทำให้ Apple มีเงินทุนมากพอที่จะสยายปีกไปสู่อุตสาหกรรมอื่น และเป้าหมายต่อไปก็คือวงการเพลงดิจิทัล Steve Jobs ต้องการอุปกรณ์พกพาที่จะมาทำงานคู่กับโปรแกรม iTunes

Jony Ive และทีมงานจึงได้พัฒนานวัตกรรมชิ้นต่อไป นั่นคือ iPod เครื่องเล่น MP3 ที่จะมาปฏิวัติโลก การออกแบบของ iPod นั้นเรียบง่ายและโดดเด่นด้วย Scroll Wheel ที่ช่วยให้เลื่อนหาเพลงนับพันได้อย่างรวดเร็ว

แต่ที่เจ๋งไปกว่านั้นคือ Jony ไม่ได้ออกแบบแค่ตัวเครื่อง เขาออกแบบระบบนิเวศทั้งหมด รวมถึงหูฟังสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ว่าใครก็ตามที่ใส่มัน คือผู้ใช้ iPod เปลี่ยนผู้คนให้กลายเป็นป้ายโฆษณาเดินได้

หลังจากนั้น การปฏิวัติครั้งสำคัญที่สุดก็มาถึง นั่นคือ iPhone ที่เปิดตัวในปี 2007 มันคือผลลัพธ์ของการทดลองนับร้อยครั้ง จนได้มาเป็นสมาร์ทโฟนหน้าจอกระจกสีดำ ที่มีเพียงปุ่มโฮมปุ่มเดียว มันเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมมือถือไปตลอดกาล

ความสำเร็จยังคงดำเนินต่อไปกับ iPad แท็บเล็ตที่ Jobs ใฝ่ฝันมาตลอด Jony และทีมงานได้สร้างสรรค์อุปกรณ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการอ่านและความบันเทิง ด้วยดีไซน์ Unibody ที่ทำจากอะลูมิเนียมชิ้นเดียว ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ Apple ในเวลาต่อมา

iPad ประสบความสำเร็จยิ่งกว่า iPhone เสียอีก โดยขายได้ 1 ล้านเครื่องในเวลาไม่ถึงเดือน

แต่ Jony ไม่รู้เลยว่า iPad จะเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นสุดท้ายที่เขาได้ทำร่วมกับ Steve Jobs อย่างใกล้ชิด การจากไปของ Jobs ในปี 2011 ไม่ใช่แค่การสูญเสียผู้นำ แต่สำหรับ Jony มันคือการสูญเสียเพื่อนร่วมจิตวิญญาณที่ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันมากว่าทศวรรษ

แม้จะเจ็บปวดรวดร้าว Jony ยังคงนำทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์สำคัญชิ้นสุดท้ายที่ได้รับอิทธิพลจาก Jobs นั่นคือ Apple Watch อุปกรณ์ที่ไม่ได้เป็นแค่เทคโนโลยี แต่เป็นแฟชั่นและเครื่องมือติดตามสุขภาพส่วนบุคคล

แต่แล้วในปี 2019 หลังจากทำงานให้ Apple มาเกือบ 30 ปี Jony ก็ได้ตัดสินใจลาออกเพื่อไปเปิดสตูดิโอออกแบบของตัวเองในชื่อ LoveFrom เป็นการปิดฉากยุคทองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

อิทธิพลของ Jony Ive นั้นแผ่ขยายไปไกลเกินกว่า Apple เขาได้กำหนดนิยามใหม่ให้กับการออกแบบผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีทั้งหมด สมาร์ทโฟนหน้าจอสัมผัส, แล็ปท็อปอะลูมิเนียมบางเฉียบ, หรือสมาร์ทวอทช์ ล้วนได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของเขาทั้งสิ้น

หลักการออกแบบของ Jony นั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง เขาเชื่อในการลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป จนเหลือแต่แก่นแท้ที่สำคัญที่สุด เขาเลือกใช้วัสดุเพื่อสื่อความหมาย และออกแบบเพื่อให้มนุษย์ใช้งานได้โดยไม่ต้องพยายาม

เขาไม่ได้ออกแบบแค่ผลิตภัณฑ์เดี่ยวๆ แต่คิดถึงประสบการณ์ทั้งหมดของผู้ใช้ ตั้งแต่การแกะกล่องไปจนถึงการใช้งานในชีวิตประจำวัน

เรื่องราวของ Jony Ive ไม่ใช่แค่เรื่องของผลิตภัณฑ์ที่สวยงาม แต่มันคือการเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อเทคโนโลยี เขาทำให้สิ่งที่เคยเย็นชาและซับซ้อน กลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่าย เป็นมิตร และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา

วันนี้ โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ AI ที่ทรงพลังแต่ยังมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ เราอาจต้องการใครสักคนที่จะมาทำสิ่งเดียวกับที่ Jony Ive เคยทำกับการประมวลผล นั่นคือการทำให้มันมีความเป็นมนุษย์

และด้วยข่าวล่าสุดที่ว่าบริษัทของเขากำลังร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ AI รุ่นใหม่ เราอาจกำลังจะได้เห็นการปฏิวัติครั้งใหญ่อีกครั้งจากชายคนนี้ก็เป็นได้

เพราะมรดกที่แท้จริงของ Jonathan Ive คือการแสดงให้โลกเห็นว่า การออกแบบที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่มันคือเรื่องของการทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น ง่ายขึ้น และมีความหมายมากขึ้นนั่นเอง

References: [en.wikipedia, re-thinkingthefuture, get2growth, playforthoughts, wallpaper]

Geek Talk EP106 : ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นสามารถเอาตัวรอดจากภัยคุกคามของรถยนต์ไฟฟ้าของจีนได้หรือไม่?

ถ้าพูดถึงฉากไล่ล่าสุดมันส์ในหนังเรื่อง Too Fast Too Furious หลายคนคงนึกภาพรถสปอร์ตญี่ปุ่นที่แต่งเต็มวิ่งทะยานไปบนถนน ทั้ง Nissan, Honda, Mazda, Toyota รถเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่ไอคอนบนจอเงิน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง พวกเขาคือคู่แข่งตัวฉกาจที่ขับเคี่ยวกันมานานหลายสิบปีในสมรภูมิรถยนต์โลก

วันนี้จะมาชวนคุยเพื่อไขปริศนาว่าเกิดอะไรขึ้นกับยักษ์ใหญ่จากแดนอาทิตย์อุทัย? ทำไมพวกเขาที่เคยเป็นเจ้าโลก ถึงกำลังสูญเสียความได้เปรียบ และอนาคตของพวกเขาจะเหมือนกับรถสปอร์ตที่พุ่งทะยานไปข้างหน้า หรือกำลังจะวิ่งตกขอบทางกันแน่

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4s5atyhu

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
 https://tinyurl.com/sdfsbcy5

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3t2jcvrb

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/pIwc73qQ1Vg