Geek Story EP516 : เสียง “โอ๊ะ-โอ!” ที่หายไป ICQ แอปแชทที่มาก่อนกาล แต่ตายเพราะตามโลกไม่ทัน

ลองนึกภาพตามนะครับ… ย้อนกลับไปในช่วงกลางยุคทศวรรษ 90

อินเทอร์เน็ตที่เราใช้กันทุกวัน? ลืมไปได้เลย WhatsApp, Skype, Telegram? แอปพวกนี้ยังไม่เกิดครับ… แม้แต่ไอเดียก็ยังไม่มี ตอนนั้น Pavel Durov คนที่สร้าง Telegram เพิ่งจะอายุ 11 ขวบเอง

World Wide Web เพิ่งจะเริ่มเข้ามาในชีวิตเรา การนั่งแต่งฟอนต์บนเว็บไซต์ของตัวเอง… นั่นคือสิ่งที่ล้ำหน้าที่สุดแล้ว

มันเหมือนกับยุคที่มนุษย์เพิ่งจุดไฟได้สำเร็จ มันสร้างความตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็นให้กับคนรอบข้าง

และทันใดนั้น… ท่ามกลางโลกที่ยังดิบเถื่อน… ก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นมา

“โอ๊ะ-โอ!”

ถ้าเป็นเด็กยุคใหม่ คงงงแน่นอน แต่สำหรับคนยุค 90… นี่คือเสียงในตำนาน

หลายคนจะแอบปาดน้ำตาแห่งความคิดถึงเบาๆ เพราะรู้ว่า… มีข้อความเข้า และไอ้เจ้าดอกไม้สีเขียวเล็กๆ ที่เด้งขึ้นมาบนจอ…

วันนี้ เราจะมาคุยกันถึงเรื่องราวของ ICQ ครับ

นี่คือปรากฏการณ์ที่แท้จริงของโลกอินเทอร์เน็ต ที่ประกอบไปด้วยการ “ผงาดขึ้น” อย่างรวดเร็ว… และการ “ล่มสลาย” ที่เจ็บปวด

ใครกันที่เป็นคนเริ่มการปฏิวัติการสื่อสารครั้งนี้? แต่ทำไม… สุดท้าย ICQ ถึงตายจากไป เกิดอะไรขึ้น? เรามาหาคำตอบกันครับ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mryejnpb

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/msrxyvhd

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3dnedjtu

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/eZZCgTtAvk0

Geek Story EP515 : ทำไม iPhone 17 ชนะ Galaxy S25… ตั้งแต่ยังไม่เปิดตัว?

เป็นคำถามที่น่าสนใจนะครับว่าทำไม Apple ถึงสามารถจัดงานเปิดตัวสินค้าที่สำคัญที่สุดในรอบปี ให้มาชนกับปรากฏการณ์ระดับโลก อย่าง “เทศกาลช้อปปิ้ง” ช่วงปลายปีนี้ได้อย่างพอดิบพอดี

เหมือนจงใจ “การันตี” ว่าตัวเองจะได้เปรียบคนอื่น 4 เดือนเต็ม ในช่วงเวลาที่ยอดขายพีคที่สุดของปี

แล้วทำไมกลยุทธ์นี้ ถึงทำให้คู่แข่งที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Samsung ต้องทำได้แค่นั่งมองตาปริบ ๆ จากข้างสนาม

ถ้าเราเข้าใจกลยุทธ์นี้ เราจะเข้าใจเลยว่า… “วันเปิดตัว” มันเป็นอะไรที่มากกว่าแค่เรื่องการตลาด แต่มันคือ “การทำสงครามเศรษฐกิจ” ที่มีสมรภูมิรบคือ Supply Chain หรือห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

ลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5n7euvxy

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yxk7yh6f

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2387s9m3

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/_JKEv1wpZRI

มหาโจร Gates & Jobs? กับมหากาพย์การปล้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

ถ้าเราพูดถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ PC แน่นอนว่ามันคือหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20

ทุกวันนี้ เมื่อเรานึกถึงอุตสาหกรรมนี้ สองชื่อที่ครองตลาดและอยู่ในใจคนก็คือ Apple และ Microsoft

แต่รู้หรือไม่ว่า นวัตกรรมสำคัญที่ทำให้พวกเขาทั้งคู่ก้าวขึ้นมาเป็น “ราชา” แห่งวงการได้นั้น จริงๆ แล้ว ไม่ได้มาจากมันสมองของพวกเขาเอง

วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องราวที่โด่งดังพอๆ กับที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

เรื่องราวที่ว่า Steve Jobs และ Bill Gates “ขโมย” ไอเดียมาจากบริษัทที่ชื่อว่า Xerox ได้อย่างไร

ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ตอนนั้น Steve Jobs กับ Bill Gates ยังเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลาย ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ

แต่ในโลกธุรกิจ มี “ยักษ์ใหญ่” ตนหนึ่งที่แทบจะไม่มีใครต่อกรได้ บริษัทนั้นคือ Xerox

ในยุคนั้น Xerox ไม่ได้เป็นแค่บริษัทใหญ่ แต่พวกเขาคือ “ผู้ผูกขาด” ตลาดเครื่องถ่ายเอกสารอย่างสมบูรณ์

ในปี 1959 พวกเขาสร้างเครื่องถ่ายเอกสารเชิงพาณิชย์ที่ใช้งานได้จริงเครื่องแรกของโลก และใช้เวลาตลอดทศวรรษต่อมาในการสร้างอาณาจักร กวาดรายได้ไปกว่าครึ่งพันล้านดอลลาร์ต่อปี

รายได้ระดับนี้ในยุคนั้น ถือว่ามหาศาลมาก

เรียกได้ว่าในอเมริกา คำว่า “Xerox” ไม่ได้แปลว่าเครื่องถ่ายเอกสาร แต่มันกลายเป็น “คำกริยา” ที่แปลว่า “ไปถ่ายเอกสาร” เลยทีเดียว

แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา…

เมื่อสิทธิบัตรทองคำของ Xerox เริ่มทยอยหมดอายุ บรรดาคู่แข่งราคาถูกจากญี่ปุ่นก็เริ่มดาหน้าเข้ามาท้าทายบัลลังก์

Xerox ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องดิ้นรนเพื่ออนาคต

เมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายนี้ ผู้บริหารของ Xerox เลยทำในสิ่งที่บริษัทใหญ่ที่มีเงินเหลือเฟือมักจะทำ นั่นคือการ “ทุ่มเงินเพื่อซื้ออนาคต”

พวกเขาเรียกหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ Jack Goldman มาคุย แล้วยื่น “เช็คเปล่า” หรือ Blank Check ให้

คำว่า “เช็คเปล่า” ในโลกธุรกิจ มันหมายถึงการอนุมัติงบประมาณแบบไม่อั้น

ภารกิจที่ Jack Goldman ได้รับคือ “ไปพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ อะไรก็ได้ ที่จะทำให้ Xerox ยังคงเป็นที่หนึ่งต่อไป”

นี่คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

ในปี 1970 Jack Goldman ได้ก่อตั้งศูนย์วิจัยที่ชื่อว่า Palo Alto Research Center หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า PARC

ภารกิจของ PARC นั้นชัดเจนมาก คือ “ไปประดิษฐ์ออฟฟิศแห่งอนาคตมา”

Jack Goldman ไม่ได้ต้องการแค่นักวิทยาศาสตร์ธรรมดา เขาต้องการ “ทีมอเวนเจอร์ส” แห่งโลกคอมพิวเตอร์ เขารวบรวมหัวกะทิที่เก่งกาจที่สุดในยุคนั้น มาไว้ในที่เดียวกัน

หนึ่งในนักวิจัยที่ PARC ซึ่งต่อมาได้ร่วมก่อตั้ง Adobe ได้เล่าถึงบรรยากาศในตอนนั้นว่า

“มันเหมือนมีไฟฟ้าสถิตอยู่รอบตัวตลอดเวลา… ที่นี่มีอิสรภาพทางปัญญาอย่างเต็มเปี่ยม”

“แนวคิดเกือบทุกอย่างสามารถถูกท้าทายได้ และมันก็ถูกท้าทายอยู่เป็นประจำ”

ในสภาพแวดล้อมที่โคตรจะสร้างสรรค์นี้เอง เหล่านักวิจัยของ PARC ก็ได้เริ่มทำงานที่ล้ำสมัยมากๆ พวกเขากำลังสร้างเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโลกในอนาคต

อย่างแรกคือ computer mouse หรือเมาส์ที่เราใช้คลิกๆ กันทุกวันนี้

อย่างที่สองคือ ethernet networking มันคือเทคโนโลยีที่ทำให้คอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่อง “คุยกันได้”

พูดง่ายๆ มันคือรากฐานของระบบ LAN หรือ Network ที่เราใช้กันในออฟฟิศทุกวันนี้นั่นเอง

และที่สำคัญที่สุด…

นั่นคือ graphical user interface หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า GUI

GUI คืออะไร?

ลองนึกภาพคอมพิวเตอร์ในยุค 1970s มันคือจอสีดำทะมึน มีแต่ตัวอักษรสีเขียวๆ วิ่งไปมา การจะสั่งให้มันทำงาน เราต้อง “พิมพ์คำสั่ง” หรือ Command-line ที่ซับซ้อนและน่าปวดหัว

แต่สิ่งที่ PARC คิดค้นขึ้นมา คือการปฏิวัติวิธีที่เราสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ แทนที่จะ “พิมพ์คำสั่ง” ที่น่าเบื่อ… PARC เสนอว่า “ทำไมเราไม่ใช้ ‘รูปภาพ’ หรือ ‘Icon’ แทนล่ะ”

แนวคิดเรื่อง “Desktop” ที่มีไฟล์ต่างๆ วางอยู่… แนวคิดเรื่อง “Folder” ที่เราดับเบิลคลิกเพื่อเปิด…

แนวคิดเรื่อง “หน้าต่าง” หรือ Windows ที่มันซ้อนทับกันไปมา… ทั้งหมดนี้… มาจาก PARC ครับ

มันดูเหมือนจะไปได้สวยใช่ไหม? PARC กำลังสร้างอนาคต

แต่มันมีปัญหาเพียงอย่างเดียว… คือผู้บริหารระดับสูงของ Xerox กลับ “ไม่สนใจ” การพัฒนาเหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?

เราต้องเข้าใจว่า ผู้บริหาร Xerox เหล่านี้คือ “คนขายเครื่องถ่ายเอกสาร” พวกเขามองโลกผ่านเลนส์ของเครื่องถ่ายเอกสาร

บริษัทกำลังทำเงินได้มหาศาลจากธุรกิจหลัก พวกเขาจึงไม่เห็นเหตุผลใดๆ ที่จะต้องหันไปสนใจ “กล่องคอมพิวเตอร์” ที่ดูยุ่งยากและทำเงินไม่ได้

แต่ทีม PARC ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

พวกเขายังคงมุ่งมั่นทำงานต่อไป และได้สร้างผลิตภัณฑ์หนึ่งเดียว ที่รวบรวมสุดยอดนวัตกรรมทั้งหมดของพวกเขาไว้ด้วยกัน

มันมีชื่อว่า Xerox Alto

Xerox Alto คือ “ไทม์แมชชีน” ครับ… มันคือคอมพิวเตอร์ที่ล้ำหน้ายุคสมัยของมันไปเป็น 10 ปี มันมีอินเทอร์เฟซแบบคีย์บอร์ดและเมาส์ที่เรายังคงใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มันสามารถเชื่อมต่อเครือข่าย ใช้งานอีเมล พิมพ์งานกราฟิก และมีระบบแจ้งเตือนตารางงาน

นี่คือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกของโลกอย่างแท้จริง

แต่น่าเศร้า… อีกครั้ง… ที่เหล่าผู้บริหาร Xerox ที่สำนักงานใหญ่ใน New York ก็ยัง “ไม่เก็ต” อยู่ดี

พวกเขามอง Alto แล้วเห็นอะไร?

พวกเขาเห็น “เวิร์กสเตชัน” ที่ซับซ้อนเกินความจำเป็น และที่เลวร้ายที่สุดคือ พวกเขามองไปที่ “ต้นทุน”

Xerox Alto ในตอนนั้น มีต้นทุนการผลิตสูงถึง 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหนึ่งเครื่อง

ซึ่งเงิน 40,000 ดอลลาร์ ในยุค 1970 นี่มันมหาศาลมากนะครับ… มันแพงกว่ารถยนต์หรูๆ เสียอีก

Xerox จึงตัดสินใจอนุมัติทุนสร้างเครื่อง Alto ออกมาเพียง 2,000 เครื่องเท่านั้น และที่สำคัญคือ… พวกเขา “ไม่เคย” ดำเนินการวางจำหน่ายมันในเชิงพาณิชย์เลย

สิ่งเดียวที่ผู้บริหาร Xerox สนใจจาก PARC คือ “นวัตกรรม” ที่เกี่ยวกับ “เครื่องพิมพ์” และ “เครื่องถ่ายเอกสาร” เท่านั้น

และแม้ว่าสุดท้ายพวกเขาจะได้นวัตกรรมด้านการพิมพ์ที่ต้องการ (เช่น เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์เลเซอร์) แต่นักวิจัยที่ PARC กลับรู้สึกหัวใจสลาย

ดูเหมือนว่าความก้าวหน้าครั้งสำคัญทั้งหมดของพวกเขา… นวัตกรรมที่จะเปลี่ยนโลก… กำลังจะถูกโยนทิ้งถังขยะ

อัจฉริยะหลายคนในทีมเริ่มหมดไฟ… และทยอยลาออก บ้างก็แยกย้ายไปก่อตั้งบริษัทของตัวเอง บ้างก็ย้ายไปเข้าร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีหน้าใหม่ไฟแรงหลายแห่งที่กำลังผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในย่านนั้น ย่านที่เรารู้จักกันในชื่อ Silicon Valley

สมบัติล้ำค่า ถูกทิ้งไว้ในปราสาทที่ถูกลืม…

อย่างไรก็ตาม คุณูปการของ PARC ก็ไม่ได้สูญเปล่าไปทั้งหมด ชื่อเสียงของศูนย์วิจัยแห่งนี้ ได้สร้างความฮือฮาและกลายเป็น “ตำนาน” ในหมู่คนวงในและเหล่า Techies

และในที่สุด… กิตติศัพท์เรื่อง “ห้องทดลองเวทมนตร์” ของ Xerox ก็ดังไปเข้าหูชายคนหนึ่ง

ชายคนนั้นมีชื่อว่า Steve Jobs

ในเวลานั้น… Jobs กำลังหัวหมุนอยู่กับโปรเจกต์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ของ Apple สองตัว นั่นคือโปรเจกต์ Lisa และโปรเจกต์ Macintosh

ในตอนแรก Jobs เองก็ยังสงสัยในตัว Xerox และปฏิเสธที่จะไปเยือน PARC ด้วยตัวเอง เขาคิดว่าพวกนั้นก็แค่ “บริษัทเครื่องถ่ายเอกสาร” จะมีอะไรน่าสนใจ

แต่หลังจากที่พนักงานเก่งๆ ของเขาหลายคน (ซึ่งบางคนก็เคยทำงานที่ PARC) พยายามคะยั้นคะยอให้เขาไปดู “ปาฏิหาริย์” นั่นด้วยตาตัวเอง

ในที่สุด… เขาก็ตกลงที่จะไปด้วย

Jobs ไปเยือน PARC ในช่วงปลายปี 1979 และวินาทีที่เขาได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า… มันก็ได้เปลี่ยนชีวิตเขา และเปลี่ยนโลกใบนี้ไปตลอดกาล

Jobs เคยเล่าถึงวินาทีนั้นด้วยตัวเองว่า…

“ผมมีคนสามสี่คนที่คอยตื๊อผมอยู่เรื่อยว่าผมควรจะไป Xerox PARC เพื่อดูว่าพวกเขากำลังทำอะไร”

“ในที่สุดผมก็ไป… และพวกเขาก็ใจดีมาก พวกเขาโชว์ให้ผมดูสามสิ่ง”

“แต่ผมกลับ ‘ตาพร่ามัว’ ไปกับสิ่งแรกที่เห็น จนแทบไม่เห็นอีกสองอย่างที่เหลือเลย”

“หนึ่งในนั้นคือ object oriented programming ผมมองไม่เห็นมันด้วยซ้ำ”

“อีกอย่างคือ networked computer system พวกเขามีคอมพิวเตอร์ Alto กว่าร้อยเครื่องเชื่อมต่อกัน… ผมก็มองไม่เห็นมัน”

“ผมตาบอด… เพราะสิ่งแรกที่พวกเขาโชว์ผม… ซึ่งก็คือ graphical user interface”

“ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ ‘เจ๋งที่สุด’ ที่ผมเคยเห็นมาในชีวิต”

“แน่นอน… มันยังมีข้อบกพร่อง มันยังไม่สมบูรณ์ แต่ ‘เชื้อ’ ของแนวคิดมันอยู่ตรงนั้น และพวกเขาก็ทำมันออกมาได้ดีมาก”

“และภายในสิบนาที… มันก็ชัดเจนสำหรับผมเลยว่า… คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนโลก จะต้องทำงานแบบนี้ในสักวันหนึ่ง… มันชัดเจนมาก”

Steve Jobs “เก็ต” ใน 10 นาที ในสิ่งที่ผู้บริหาร Xerox มองไม่เห็นมาเกือบ 10 ปี

Jobs รู้ทันทีว่านี่คือ “อนาคต” และเขาต้องการส่วนแบ่งจากมัน… เขาต้องการมันมาเป็นของตัวเอง

หลังจากการประชุมครั้งแรก Jobs ไม่รอช้า เขาเริ่มเจรจาต่อรองทันที เขาจัดการให้ทีมโปรแกรมเมอร์ทั้งหมดของเขา ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดู “การสาธิตทางเทคนิคแบบเต็มรูปแบบ” ที่ PARC

เพื่อแลกเปลี่ยนกับอะไร?

Jobs เสนอขายหุ้น Apple จำนวน 100,000 หุ้นให้กับ Xerox

ในเวลานั้น Apple ยังเป็นบริษัทนอกตลาด ผู้บริหาร Xerox จึงมองว่านี่เป็นดีลที่น่าสนใจ โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลัง “ขายอนาคต” ของตัวเองไป

หนึ่งในนักวิจัยของ PARC ที่เป็นคนทำการสาธิตในวันนั้น หวนนึกถึงเหตุการณ์ว่า…

“หลังจากดูการสาธิตไปหนึ่งชั่วโมง… พวกเขา (ทีม Apple) ก็เข้าใจเทคโนโลยีของเราและความหมายของมันมากกว่าผู้บริหาร Xerox คนไหนๆ ที่ผมนั่งอธิบายให้ฟังมาหลายปีเสียอีก”

Apple ไม่ได้ “ลอก” โค้ดของ Xerox Alto เลยแม้แต่บรรทัดเดียว

แต่พวกเขา “สูบ” เอา “แนวคิด” และ “ปรัชญา” ทั้งหมดกลับไป… แล้วนำไปปรับปรุง พัฒนาต่อยอด ทำให้มันดีขึ้น… ทำให้มันถูกลง… และที่สำคัญที่สุด คือทำให้มัน “เป็นมิตรกับคนทั่วไป”

ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือคอมพิวเตอร์ Apple Lisa (ซึ่งล้มเหลวเพราะราคายังแพงเกินไป) และต่อมาก็คือ Macintosh ในปี 1984 คอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนโลกด้วย GUI และเมาส์

แต่เดี๋ยวก่อน… เรื่องราวยังไม่จบ… แล้ว Bill Gates ล่ะ?

นี่คือจุดที่เรื่องราวซับซ้อนขึ้นไปอีกขั้น

ในขณะที่ Apple กำลังพัฒนา Macintosh อยู่นั้น… Microsoft กำลังทำงานร่วมกับ Apple อย่างใกล้ชิด ในฐานะ “นักพัฒนาซอฟต์แวร์บุคคลที่สาม” หรือ Third Party รายแรกๆ สำหรับเครื่อง Mac

Bill Gates ก็ฉลาดไม่แพ้ Steve Jobs Microsoft เองก็ได้ดึงตัวอดีตพนักงานเก่งๆ หลายคนมาจาก PARC เช่นกัน

Gates ตระหนักดีถึงการมีอยู่ของ Xerox Alto และนวัตกรรมของมันไม่ต่างจาก Jobs

Steve Jobs รู้เรื่องนั้นดี… เขารู้ว่า Gates ก็รู้… ดังนั้นเขาจึงพยายาม “กันท่า”

ในสัญญาที่ Apple ทำกับ Microsoft ในปี 1981 Jobs ได้ใส่ข้อตกลงสำคัญข้อนึงไว้ว่า: Microsoft ห้ามวางจำหน่ายซอฟต์แวร์ใดๆ ที่ “ใช้เมาส์” จนกว่าจะครบกำหนด “หนึ่งปี” หลังจากการเปิดตัว Macintosh ซึ่งในสัญญาระบุไทม์ไลน์ไว้ชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นใน “ฤดูใบไม้ร่วง ปี 1983”

ฟังดูเป็นสัญญาที่รัดกุมดีใช่ไหม?

แต่ทนายความของ Apple ได้ลืมคำนึงถึงความเป็นไปได้หนึ่งข้อ…

นั่นคือ… “ความเป็นไปได้ของความล่าช้าในโครงการ”

และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง… การพัฒนาเครื่อง Mac ล่าช้ากว่ากำหนด วันเปิดตัวจริงของ Macintosh ถูกเลื่อนออกไป… แต่ “วันที่ในสัญญา” กับ Microsoft ยังคงเดิม Macintosh จะยังไม่เปิดตัวจนกว่าจะถึงปี 1984

แต่ในเดือนพฤศจิกายน 1983… หนึ่งปีก่อน Mac จะวางขาย Microsoft ได้สร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ในงานแสดงสินค้า Comdex

Bill Gates ขึ้นเวที และเปิดตัวสภาพแวดล้อม GUI ของตัวเอง ที่เขาเรียกว่า… “Windows” พร้อมกับการเปิดตัวโปรแกรมประมวลผลคำที่ใช้เมาส์… Microsoft Word

แน่นอนว่า Steve Jobs โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

เขารู้สึกเหมือนถูกเพื่อนรักหักหลัง และยื่นฟ้อง Microsoft ในข้อหา “ขโมย” หน้าตาและแนวคิดของ Mac (ซึ่งเป็นคดีความที่ต่อสู้กันยาวนานหลายปี และในที่สุดศาลก็ตัดสินให้ Gates พ้นจากความผิด)

มีเรื่องเล่าที่เป็นตำนานบทหนึ่ง…

เมื่อ Steve Jobs เรียก Bill Gates มาเผชิญหน้า และตะคอกใส่เขาว่า “นายขโมยของเราไป! ฉันไว้ใจนาย!”

Bill Gates ในวัยหนุ่ม ตอบกลับไปอย่างใจเย็น ด้วยประโยคที่สรุปเรื่องราวทั้งหมดนี้ไว้อย่างคมคาย:

“ผมคิดว่า… มันเหมือนกับเราทั้งคู่มีเพื่อนบ้านที่รวยมาก ๆ คนหนึ่งชื่อ Xerox”

“แล้วผมก็บุกเข้าไปในบ้านเขาเพื่อจะขโมยทีวี… แต่กลับพบว่า…”

“…คุณน่ะ ขโมยมันไปก่อนผมแล้ว”

คำถามสุดท้ายที่หลายคนยังคงถกเถียงกันจนถึงทุกวันนี้คือ…

สรุปแล้ว สิ่งที่ Bill Jobs และ Steve Gates ทำ มันคือ “การขโมย” จริงหรือ?

นี่คือจุดที่ “ตำนานบนอินเทอร์เน็ต” กับ “ความจริง” มักจะปนเปกัน เพราะในความเป็นจริง… ศูนย์วิจัย PARC ค่อนข้าง “เปิดเผย” เกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ของตนไม่เหมือนในภาพยนตร์ที่พยายามสร้างภาพว่ามันเป็น “ความลับสุดยอด”

Xerox Alto ถูกนำไปสาธิตให้คนนอกวงการดูมากกว่า 2,000 ครั้ง เฉพาะในปี 1975 เพียงปีเดียว ดังนั้น มันจึงไม่ใช่ “การขโมย” ในแง่ของการ “งัดบ้าน” หรือ “แฮกข้อมูล”

แต่มันคือ “การมองเห็น”

มันเหมือนกับการมี “เพชร” ก้อนมหึมาวางอยู่หน้าบ้านของเศรษฐี…

แต่เจ้าของบ้านกลับมองว่ามันเป็นแค่ “ก้อนหิน” ทับกระดาษธรรมดาๆ

Steve Jobs และ Bill Gates คือคนสองคนที่เดินผ่าน… แล้ว “มองเห็น” ว่านี่คือเพชรที่มีมูลค่ามหาศาล

ความล้มเหลวที่แท้จริงของเรื่องนี้… จึงไม่ใช่การที่ Xerox “ถูกขโมย” แต่คือการที่ Xerox “ขาดวิสัยทัศน์” อย่างสิ้นเชิง

Xerox คือบริษัทที่สร้าง “อนาคต” ขึ้นมากับมือ… แต่กลับมองไม่เห็นคุณค่าของมัน

บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากเรื่องนี้ก็คือ…

การมี “นวัตกรรม” (Invention) ที่ดีที่สุดในโลก… อาจไม่สำคัญเท่าการมี “วิสัยทัศน์” (Vision)

วิสัยทัศน์ที่จะนำนวัตกรรมนั้น ออกไปสู่มือผู้คน… และเปลี่ยนโลก

References : [computerhistory, history, insider, wired, howstuffworks, cnet]

“สิงห์ เลมอนโซดา” ส่งรสชาติใหม่ “เลมอนครีมโซดา” สไตล์คาเฟ่ญี่ปุ่น ปลุกความสดชื่นส่งท้ายปี

“สิงห์ เลมอนโซดา” เติมความสดชื่นส่งท้ายปี เปิดตัวรสชาติใหม่ ‘สิงห์ เลมอนครีมโซดา’     นำเมนูสุดฮิตในคาเฟ่ญี่ปุ่น ปลุกความสดชื่นผสานความเปรี้ยวซ่าของเลมอนกับกลิ่นหอมหวานนุ่มนวลของครีมโซดาอย่างลงตัว โดยคงจุดเด่นไม่มีน้ำตาล 0 แคลอรี่ และมีวิตามินซีสูง ตอกย้ำผู้นำตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลในรูปแบบกระป๋อง 

คุณพรรณทิพย์ ลีตะชีวะ ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาดแบรนด์น็อนแอลกอฮอล์ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “สิงห์ เลมอนโซดา สามารถสร้างการเติบโตในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลแบบกระป๋องและรักษาตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนารสชาติใหม่ๆ ที่ยังคงคอนเซ็ปต์แตกต่างแต่คุ้นเคย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาความแปลกใหม่และมีไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจสุขภาพ แบบไม่มีน้ำตาล 0 แคลอรี่ และมีวิตามินซีสูง การนำรส ‘ครีมโซดา’ ซึ่งเป็นรสชาติที่เป็นที่นิยมทุกยุคทุกสมัยมาผสมกับความสดชื่นของเลมอน ผนวกกับความซ่าที่เป็นเอกลักษณ์ของสิงห์ เลมอนโซดา เพิ่มสีสันให้ตลาดและตอบโจทย์ความต้องการให้ผู้บริโภค โดยที่ผ่านมา “สิงห์ เลมอนโซดา” ได้เปิดตัวมาแล้วกว่า 6 รสชาติ สร้างความตื่นเต้นและได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคทั่วประเทศ

สำหรับ ‘สิงห์ เลมอนครีมโซดา’ เครื่องดื่มรสชาติใหม่ที่จะ ‘ทวิสต์รสชาติคุ้น ให้ซ่ากว่าที่เคย’   มาพร้อมแพ็กเกจสีฟ้าอมเขียว สร้างความโดดเด่นและสีสันส่งท้ายปี วางขายในรูปแบบกระป๋องขนาด 330 มล. พร้อมให้ทุกคนได้ลองแล้ววันนี้ในเซเว่นอีเลฟเว่น, ห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศ

เปิดโปงปฏิบัติการ Shotgiant จุดเริ่มต้นสงครามไซเบอร์ เมื่อยักษ์ใหญ่จีนโดน NSA ล้วงตับ

ลองนึกภาพตามนะครับ… ปี 2010 ในประเทศอิหร่าน คอมพิวเตอร์ของนักการเมืองคนสำคัญคนหนึ่งกำลังถูกใช้งานตามปกติ ทั้งเช็กอีเมล จัดตารางงาน เรื่องทั่วไปในออฟฟิศ

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าของเครื่องไม่รู้ตัวเลย คอมพิวเตอร์ของเขากำลังถูกแฮ็กอย่างสมบูรณ์แบบ ข้อมูลการใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งหมดกำลังจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด

เรื่องมันเป็นอย่างนี้… ข้อมูลอินเทอร์เน็ตจากคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ กำลังวิ่งผ่านเราเตอร์ตัวใหม่เอี่ยมที่ออฟฟิศเพิ่งได้รับมา ฝ่ายไอทีเพิ่งติดตั้งมันไปเมื่อวานนี้

เราเตอร์เหล่านี้ผลิตโดย Huawei

การเลือกใช้ Huawei ถือว่าสำคัญมาก เพราะ Huawei เป็นบริษัทจีน สำหรับรัฐบาลอิหร่านซึ่งไม่ได้เป็นมิตรกับชาติตะวันตก การใช้ของจีนย่อมดูปลอดภัยกว่า

ตรรกะก็คือ หน่วยงานอย่าง CIA ไม่สามารถไปบังคับให้ Huawei เปิดเผยข้อมูลลูกค้าได้ แถมเราเตอร์พวกนี้ก็ส่งตรงมาจากโรงงาน ในความรู้สึกของคนอิหร่าน นี่คือการป้องกันการแก้ไขดัดแปลงที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้แล้ว

แต่นั่นไม่เป็นความจริง

ในโปรแกรมที่เพิ่งติดตั้งไป ลึกเข้าไปในโค้ดของมัน มี “บั๊ก” หรือช่องโหว่เล็กๆ ซ่อนอยู่ มันเป็นความผิดพลาดที่ง่ายมากที่จะมองข้าม ถ้าคุณไม่รู้แน่ชัดว่ากำลังมองหาอะไร

ปกติแล้ว ถ้าจะเชื่อมต่อเราเตอร์เหล่านี้ ต้องรู้รหัสผ่าน แต่เพราะความผิดพลาดนี้ในโค้ด มันเลยมี “ทางลัด” ให้ข้ามรหัสผ่านไปได้

สิ่งที่คุณต้องรู้มีแค่คำสั่งง่ายๆ คำสั่งเดียว หรือที่เรียกว่า “Master Password” ซอฟต์แวร์ของเราเตอร์ถูกฝังคำสั่งนี้ไว้ตายตัว ใครก็ตามที่รู้คำสั่งนี้ ก็สามารถข้ามการยืนยันตัวตนปกติ และรับสิทธิ์เป็น “ผู้ดูแลระบบ” หรือ Administrator ได้ทันที

และนั่นคือสิ่งที่ใครบางคนเพิ่งทำไป

ต่อหน้านักการเมืองคนนั้นเลย แฮ็กเกอร์นิรนามคนหนึ่งได้กระตุ้นช่องโหว่นั้น และให้สิทธิ์ตัวเองเข้าถึงเราเตอร์ได้สำเร็จ

แฮ็กเกอร์ยกระดับสิทธิ์ของตัวเองเป็นผู้ดูแลระบบ และเริ่มติดตั้งซอฟต์แวร์สอดแนมที่ซับซ้อนลงบนเราเตอร์

นับจากวินาทีนั้น ข้อมูลทุกอย่างที่วิ่งผ่านอุปกรณ์ตัวนี้จะถูกดักจับทั้งหมด ทุกอีเมลที่ส่ง ทุกเว็บไซต์ที่เข้า ทั้งหมดจะถูกบันทึกและรายงานอย่างละเอียดไปยังเซิร์เวอร์สั่งการ

เราเตอร์ตัวใหม่เอี่ยม ได้กลายเป็นเครื่องมือสอดแนมที่สมบูรณ์แบบ

และนักการเมืองอิหร่านคนนี้ ก็ไม่ใช่เหยื่อเพียงคนเดียว ยังมีคนอีกหลายพันคนทั่วโลก ทุกคนที่ใช้อุปกรณ์ Huawei ประเภทนี้ ก็เสี่ยงต่อบั๊กเดียวกัน ช่องโหว่เดียวกัน และหลายคนก็โดนแบบเดียวกันเป๊ะ

คุณอาจคิดว่าเรื่องนี้ Huawei ต้องรับผิดชอบเต็มๆ ก็บริษัทเป็นคนส่งของมา พวกเขาต้องรู้สิว่าเกิดอะไรขึ้น และนั่นก็อาจจะจริง เราคงเคยได้ยินข่าวที่รัฐบาลหลายแห่งรายงานว่าถูกจีนสอดแนมผ่านอุปกรณ์ของ Huawei

แต่ในกรณีนี้ มีคนอื่นเข้ามาเอี่ยวด้วย

เรื่องของเรื่องคือ Huawei เอง ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของจีนในตอนนั้น ก็ถูกแฮ็กเหมือนกัน

บริษัทถูกเจาะโดยผู้โจมตีที่มีเป้าหมายชัดเจนในการเข้าถึงคอมพิวเตอร์แบบนี้ และเครื่องอื่นๆ อีกหลายพันเครื่อง

เหตุการณ์นี้ต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ Operation Shotgiant และมันคือหนึ่งในความพยายามจารกรรมข้อมูลที่ทะเยอทะยานที่สุดของ National Security Agency หรือ NSA แห่งสหรัฐอเมริกา

หนึ่งในปฏิบัติการแฮ็กที่ซับซ้อนที่สุดในยุคของเรา และเป็นปฏิบัติการที่เปลี่ยนโลกไปสู่จุดที่ไม่มีวันหวนกลับ

ถ้าเราย้อนกลับไปดูจีนในยุค 1970 แล้วมาเทียบกับจีนในยุค 2010 เราจะเห็นภาพที่ต่างกันลิบลับ

แค่ไม่กี่ทศวรรษ จากประเทศที่แทบไม่มีอะไร จีนได้กลายมาเป็นมหาอำนาจ

ผู้คนเรียกสิ่งนี้ว่า “ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของจีน”

จนถึงทุกวันนี้ นักเศรษฐศาสตร์ก็ยังเถียงกันว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ แต่ภาพกว้างๆ ที่ส่วนใหญ่ยอมรับก็คือ มันเกิดจากการปฏิรูปครั้งใหญ่ในยุค 1970 ที่อัดฉีด “ตลาดเสรี” เข้าไปใน “เศรษฐกิจแบบวางแผน” ทำให้รัฐบาลจีนได้ประโยชน์จากระบบทุนนิยมที่ถูกควบคุมอย่างระมัดระวัง

เราทุกคนต่างผลลัพธ์ของปาฏิหาริย์นี้… ก็คือป้าย “Made in China” นั่นเอง

อะไรๆ ก็ผลิตในจีน เพราะจีนกลายเป็น “สายการผลิตของโลก” ด้วยทรัพยากรที่มีล้นเหลือ นั่นคือ “แรงงานราคาถูก”

แต่การปั๊มของราคาถูกออกมา ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของจีน มันเป็นแค่ก้าวแรกเท่านั้น

ตั้งแต่แรกเริ่ม จีนพยายามจะแตกยอดไปสู่วิวัฒนาการขั้นต่อไปของอุตสาหกรรม… นั่นคือ “การผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง”

และ Huawei คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของเรื่องนี้

บริษัทก่อตั้งในต้นยุค 1980 โดยเริ่มจากการเป็นแค่คนกลางขาย “ตู้สาขาโทรศัพท์” หรือเครื่องสลับสายโทรศัพท์ในออฟฟิศสมัยก่อน

บริษัทไปได้ดี ได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลบ้าง และเริ่มผลิตสินค้าของตัวเอง

ว่ากันว่า ในปี 1997 ผู้ก่อตั้งบริษัทได้ไปเยือนสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก เขาไปที่ Bell Labs และถึงกับทึ่งในประสิทธิภาพและความเป็นระเบียบของบริษัทระดับโลกแห่งนี้

เขาเลยตัดสินใจลอกเลียนแบบโครงสร้างและสไตล์การบริหารของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีตะวันตก มาใช้กับสตาร์ทอัพของเขา

มีการจ้างที่ปรึกษาต่างชาติเข้ามา ความคิดแบบเดิมๆ ว่าธุรกิจควรบริหารยังไงถูกโยนทิ้งไป และเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้ ถูกทุ่มไปที่ “การวิจัยและพัฒนา” หรือ R&D

การเติบโตของ Huawei ผูกติดกับการผลักดันการส่งออกของจีน ตลาดในประเทศตอนนั้นยังเล็กมาก การขายของไปต่างประเทศคือหนทางเดียวที่จะโต… และ Huawei ก็โตจริงๆ

ภายในปี 2005 ยอดขายกว่าครึ่งของบริษัทมาจากนอกประเทศจีน ตอนนั้นพวกเขาส่วนใหญ่ขายอุปกรณ์สื่อสารให้บริษัทอื่นๆ ลูกค้าก็มีตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านมือถือทั่วโลก

Huawei ส่งออกทุกอย่างตั้งแต่โมเด็มยันสายเคเบิลใต้ทะเล และไม่เคยพลาดโอกาสที่จะแตกไลน์สินค้าใหม่ๆ

แค่ไม่กี่ปี ขนาดบริษัทใหญ่ขึ้นสามเท่า รายได้ก็สามเท่าตาม บริษัทได้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังมุ่งหน้าสู่การเป็นเบอร์หนึ่ง

แต่แล้ว… “ความลับดำมืด” บางอย่างก็เริ่มโผล่ออกมา และหลายคนที่ต้องพึ่งพาผลิตภัณฑ์ของบริษัท ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ

Huawei โดนโจมตีด้วยเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่ครั้งแรกในปี 2003

Cisco Systems หนึ่งในผู้เล่นในอุตสาหกรรมที่ Huawei พยายามจะโค่น ฟ้องร้องข้อหา “การโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญา”

ถ้าจะพูดให้แรงกว่านั้นก็คือ… Huawei ไปคัดลอกซอฟต์แวร์ของเราเตอร์และสวิตช์ของ Cisco มา แถมยังคัดลอกคู่มือมาด้วย แบบคำต่อคำ ไม่เว้นแม้แต่ “คำที่สะกดผิด”

อีกพักหนึ่ง Motorola ก็กล่าวหา Huawei ว่าส่งพนักงานแฝงตัวเข้ามาในบริษัท ตามเอกสารของศาล พนักงานคนนี้ใช้เวลาหลายปีในการคัดลอกพิมพ์เขียวของ “สถานีฐาน (Base Station)” ของ Motorola และส่งตรงไปให้ Huawei เพื่อเอาไปผลิตของลอกเลียนแบบออกมาขาย

ในปี 2008 พนักงานของ Nortell ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น ค้นพบว่าคอมพิวเตอร์เกือบทั้งหมดในที่ทำงานของเขาติดไวรัส แฮ็กเกอร์กำลังโคลนข้อมูลฮาร์ดไดรฟ์ทั้งลูก และส่งอิมเมจเหล่านั้นไปยังผู้ควบคุมในจีน

พวกเขาไม่แม้แต่จะซ่อน IP ของตัวเอง และยังคงพูดคุยเกี่ยวกับงานของพวกเขาในฟอรัมจีนทั่วไป

ในอีกหลายปีต่อมา อุปกรณ์ที่ลอกเลียนแบบ Nortell มาเป๊ะๆ ก็ถูกผลิตโดย Huawei แต่ Nortell ไม่มีเวลาไปฟ้องใคร เพราะบริษัทไม่สามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ราคาถูกของ Huawei ได้และต้องล้มละลายไป

เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของคลื่นยักษ์ “การจารกรรมทางอุตสาหกรรม” ของจีนที่เกิดขึ้นในขณะนั้น

กรณีจารกรรมเหล่านี้ ไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลัง แต่มันสำคัญเพราะเป็นการปูพื้นให้เห็นถึงทัศนคติที่มีต่อ Huawei ในเวลานั้น

ทัศนคตินั้นยังถูกหล่อหลอมจากอีกสิ่งหนึ่ง: ความสัมพันธ์ที่ถูกกล่าวหาของ Huawei ที่มีกับกองทัพจีน รัฐบาล และพรรคคอมมิวนิสต์

ผู้ก่อตั้ง Huawei เริ่มอาชีพวิศวกรในกองทัพ กองทัพยังเป็นหนึ่งในลูกค้ารายแรกๆ ของ Huawei และยังคงซื้ออุปกรณ์สื่อสารของบริษัทต่อไปอีกหลายปี

ด้วยเหตุนี้ บางคนในตะวันตกจึงกล่าวหาว่าทั้งบริษัทอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของกองทัพ ข้อกล่าวหานี้ค่อนข้างจะเกินจริงไปบ้าง แต่การตอบสนองของ Huawei ก็ไม่ได้ช่วยอะไร

เป็นเวลาหลายปีที่บริษัทปฏิเสธที่จะเปิดเผยโครงสร้างความเป็นเจ้าของ โดยระบุเพียงตามธรรมเนียมว่า บริษัท “เป็นของพนักงานทั้งหมด”

ในขณะเดียวกัน Huawei ก็ได้รับการสนับสนุนมากมายจากรัฐบาลจีน ทั้งเงินกู้ สัญญาจ้าง และช่องทางการสื่อสารโดยตรง

พรรคคอมมิวนิสต์เข้าใจดีว่ายักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีมีความสำคัญสูงสุดต่อความสำเร็จของปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของจีน

รัฐบาลยังคงปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการจารกรรมทางอุตสาหกรรมทั้งหมดต่อโลกภายนอก

ขณะที่ภายในประเทศ การลอกเลียนแบบเทคโนโลยีตะวันตกไม่เพียงแต่เป็นที่ยอมรับ แต่ยังได้รับการสนับสนุนและยกย่อง โดยนำเสนอว่าเป็นหนทางที่จะ “เอาคืน” ตะวันตกสำหรับความอัปยศในอดีต

นักวิเคราะห์ที่เห็นความสัมพันธ์ของบริษัทกับกองทัพและรัฐบาลต่างก็กังวล ตรรกะมีอยู่ว่า แม้ว่า Huawei จะเป็นอิสระโดยสมบูรณ์จากรัฐบาลและพรรคฯ แต่บริษัทจะไม่ต้องการ “ตอบแทนบุญคุณ” บ้างหรือ

เพราะ Huawei กำลังจัดการข้อมูลระดับ “เทราไบต์” ที่ไหลเข้าออกและระหว่างประเทศในอเมริกาและยุโรป พรรคคอมมิวนิสต์อาจขอให้ Huawei “แอบดู” หรือบังคับให้บริษัทมอบข้อมูลบางส่วนโดยอ้าง “ความมั่นคงของชาติ”

ซึ่งถ้ามีวิธีที่จะเข้าใจว่า Huawei ทำงานอย่างไรจริงๆ อะไรเกิดขึ้นภายในโครงสร้างการจัดการของบริษัท อะไรคือแรงจูงใจของผู้บริหาร และความสัมพันธ์ของพวกเขากับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นอย่างไร

แน่นอนว่า การจะได้ข้อมูลนั้นมา ใครสักคนจะต้องแทรกซึมเข้าไปในบริษัท แฮ็กเข้าไปในระดับบริหารสูงสุดอย่างสมบูรณ์ มันเป็นงานโครตยาก ที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้

แต่รัฐบาลอเมริกันมีคนที่เชี่ยวชาญเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่

และแล้ว Operation Shotgiant ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ปฏิบัติการนี้ดำเนินการโดย TAO หรือ Tailored Access Operations ซึ่งเป็นหน่วยงานจารกรรมทางไซเบอร์ลับสุดยอดของ National Security Agency และไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่คือหนึ่งในหน่วยแฮ็กที่เก่งกาจที่สุดในโลก

เป้าหมายของ TAO ไม่ใช่การทำลายล้าง แต่เป็นสิ่งที่คนในวงการเรียกว่า “Advanced Persistent Threat”

หลังจากแทรกซึมเป้าหมายได้แล้ว มันจะ “คงอยู่” และ “เตร็ดเตร่” อยู่ในนั้น คอยเฝ้าดู สังเกตการณ์ ภัยคุกคามที่สนับสนุนโดยรัฐส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ และเป็นเวลาหลายทศวรรษที่ TAO เป็นภัยคุกคามที่ล้ำหน้า ต่อเนื่อง และน่ากลัวที่สุดในบรรดาทั้งหมด

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการข้อมูลลับสุดยอดจริงๆ TAO คือหน่วยงานที่พวกเขาเรียกใช้

ย้อนกลับไปในช่วงปลายยุค 2000, TAO เป็นความลับอย่างสมบูรณ์ NSA สามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยแฮ็กชั้นยอดของตนไว้เป็นความลับได้

แต่ทั้งหมดเปลี่ยนไปในปี 2013 เมื่อคนคนหนึ่งตัดสินใจ “แฉความลับ” เขาคือ Edward Snowden ผู้ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น “ผู้เปิดโปง” ที่โด่งดังและสำคัญที่สุดตลอดกาล

เอกสารจำนวนมากที่เขานำออกมาเผยแพร่มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับ TAO และเอกสารเหล่านั้นจำนวนมากมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องหนักๆ แต่เอกสารไม่กี่หน้าที่อธิบายถึง Operation Shotgiant ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่หนักที่สุด

เอกสารเหล่านั้นมาจากสไลด์ลับสุดยอดที่ NSA ทำขึ้นสำหรับ Five Eyes ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรหน่วยข่าวกรอง 5 ประเทศ ข้อมูลบางส่วนก็ถูกเซ็นเซอร์ แต่ข้อมูลที่เหลืออยู่ก็ให้เบาะแสเพียงพอที่จะทำให้เราเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ที่สำคัญที่สุด ทำให้โลกได้รับรู้วัตถุประสงค์ของปฏิบัติการใหญ่ในครั้งนี้

วัตถุประสงค์แรกและสำคัญที่สุดคือการค้นหาว่า Huawei มีส่วนร่วมในการสอดแนมในนามของรัฐบาลจีนหรือไม่

วัตถุประสงค์ที่สอง คือการได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวบริษัทเอง ถอดรหัสโครงสร้างองค์กรที่ลึกลับของ Huawei ความสัมพันธ์ภายใน แม้กระทั่งแผนการในอนาคต

เมื่อบรรลุสองวัตถุประสงค์แรกแล้ว NSA ก็จะสามารถเข้าถึงหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้อย่างสมบูรณ์ ทำไมต้องเสียโอกาสและไม่ทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับมันล่ะ

ดังนั้น วัตถุประสงค์ที่สาม คือการใช้ศักยภาพของ Huawei เพื่อ “เติมเต็มช่องว่างทางข่าวกรอง” ที่ NSA มี เจาะลึกส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของบริษัท ถอดรหัสโปรโตคอลการเข้ารหัสของบริษัท แอบดูแผนการวิจัยและพัฒนา และพิจารณาห่วงโซ่อุปทานของบริษัทอย่างละเอียด

สุดท้าย เมื่อทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น ส่วนที่ทะเยอทะยานที่สุดก็สามารถเริ่มต้นได้ นั่นคือการใช้ Huawei เพื่อเข้าถึงเป้าหมายที่ปกติไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในประเทศที่ไม่เป็นมิตร

หลังจากเห็นวัตถุประสงค์นี้ หลายคนตีความว่า NSA พยายามติดตั้ง “Backdoors” ของตัวเองเข้าไปในอุปกรณ์ของ Huawei

คำถามที่น่าสนใจก็คือแล้ว TAO จะบรรลุวัตถุประสงค์เหล่านี้ได้อย่างไร?

ในสไลด์แผ่นที่สามจากการรั่วไหลของ Snowden มันแสดงอีเมลของ Ren Zhengfei ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Huawei และ Su Yongfang ประธานบริษัท นอกจากนี้ยังแสดงวงสังคมของพวกเขา ผู้คนที่พวกเขาสื่อสารด้วยทางอีเมล

ตามรายละเอียดเพิ่มเติมจาก Spiegel หนังสือพิมพ์เยอรมันที่ Snowden แบ่งปันข้อมูลรั่วไหลด้วย NSA ได้แทรกซึมเข้าไปในเซิร์ฟเวอร์อีเมลที่สำนักงานกลางของ Huawei ใน Shenzen

ที่นั่น เหล่าแฮ็กเกอร์ได้ดักจับการสื่อสารภายในทั้งหมดของ Huawei และสแกนหา “รายละเอียดสำคัญ”

นั่นคือสองวัตถุประสงค์แรกของ Shotgiant ที่สำเร็จลุล่วง แล้ววัตถุประสงค์อื่นล่ะ?

ณ จุดหนึ่ง เจ้าหน้าที่ของ NSA ยอมรับว่าปฏิบัติการนี้ พวกเขาจัดการจนได้ข้อมูลเกี่ยวกับ Huawei มามากมาย มากเกินกว่าที่พวกเขาจะจัดการไหว

พวกเขายังได้เข้าถึง “ซอร์สโค้ด” ของผลิตภัณฑ์ Huawei ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถไม่เพียงแต่สามารถทำ “วิศวกรรมย้อนกลับ” ได้ แต่ยังสามารถชำแหละเพื่อหาช่องโหว่ใดๆ ก็ได้

ในช่วงต้นยุค 2010 สถาบันต่างๆ ทั่วโลกได้เริ่มการสืบสวนของตนเองเกี่ยวกับบริษัท ตามกฎแล้ว พวกเขาไม่ได้ให้หลักฐานที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับความเชื่อมโยงกับรัฐบาลหรือปฏิบัติการสอดแนม แต่ก็ยังแนะนำหรือกระทั่งเรียกร้องให้หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ Huawei อยู่ดี

ในปี 2013 อดีตหัวหน้า NSA ออกมาบอกว่าเขาเคยเห็น “Backdoor” ในอุปกรณ์ของ Huawei ด้วยตาของเขาเอง มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่รายละเอียดเกี่ยวกับ Operation Shotgiant รั่วไหลออกมา ดังนั้น คำพูดของเขาจึงดูมีน้ำหนักขึ้นมาทันที

ในการตอบสนอง Huawei โต้กลับ พวกเขาเรียกข้อกล่าวหาเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องไร้สาระ Huawei เริ่มเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างของบริษัท และถึงกับเข้ารับการ “ประเมินความปลอดภัย” ในความพยายามที่จะพิสูจน์ว่า NSA พูดมั่ว

แต่ก็ต้องบอกว่านับตั้งแต่ต้นยุค 2000 นักวิจัยได้ค้นพบบั๊กจำนวนมากในอุปกรณ์ของ Huawei บางตัวอนุญาตให้ “ดักจับข้อมูล” “ยกระดับสิทธิ์” หรือทำสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดที่ผู้ไม่หวังดีหรือรัฐบาลที่เป็นศัตรูจะพบว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง

มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าช่องโหว่เหล่านี้ถูกจงใจสร้างขึ้นหรือไม่ ว่ามันเป็น Backdoor ที่ตั้งใจทิ้งไว้ หรือเป็นเพียงความผิดพลาดโดยสุจริตที่นักเขียนโค้ดของ Huawei ทำขึ้น

และเนื่องจาก NSA ได้สิทธิ์เข้าถึงผลิตภัณฑ์จำนวนมากของ Huawei ในที่นั่งแถวหน้าตั้งแต่ปี 2009 มันจึงเป็นไปได้ที่ NSA อาจรู้ถึงช่องโหว่เหล่านั้น และแม้กระทั่งใช้มันเพื่อประโยชน์ของตนเอง

เหมือนในสถานการณ์ที่กล่าวถึงในตอนต้น… ในปี 2020 ทำเนียบขาวก็ย้ำอีกครั้งว่าเห็น Backdoor ในอุปกรณ์ Huawei และรู้เกี่ยวกับพวกมันมาตั้งแต่ Operation Shotgiant แต่ก็ไม่มีการให้ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม

แต่เจ้าหน้าที่กลับชี้ไปที่กฎหมายของจีนที่บังคับให้บริษัทต่างๆ ต้องแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับรัฐบาล

กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติของจีน บังคับให้พลเมืองและองค์กรทั้งหมดต้องแบ่งปันข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติจริงๆ

แต่ “ความมั่นคงของชาติ” ก็เป็นคำจำกัดความที่คลุมเครือ

NSA ก็ดำเนินการ Operation Shotgiant เพื่อจุดประสงค์ด้านความมั่นคงของชาติเช่นกัน พวกเขาดำเนินการภายใต้กฎหมายอเมริกัน เช่นเดียวกับที่ Huawei จะดำเนินการภายใต้กฎหมายจีน หาก Backdoor เหล่านั้นเป็นความตั้งใจ

สุดท้าย Operation Shotgiant แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของเราเปราะบางเพียงใด

Huawei ที่เปรียบเสมือน “อัญมณีล้ำค่า” ของเศรษฐกิจจีน ถูกเจาะระบบ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทถูกสอดส่อง และไม่มีใครสามารถหยุดการโจมตีนี้ได้ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้จนกระทั่งรายละเอียดของปฏิบัติการรั่วไหลออกมา

ในแง่นี้ Operation Shotgiant จึงเป็นจุดชนวนของการโจมตีที่คล้ายคลึงกันอีกนับไม่ถ้วนที่ตามมาในภายหลัง เช่น การโจมตี SolarWinds ซึ่งแฮ็กเกอร์ได้ดักจับการสื่อสารในระดับสูงสุดของรัฐบาลอเมริกันได้เฉกเช่นเดียวกันนั่นเองครับผม

References : [spiegel, theguardian, nytimes, washingtonpost, wired]