จากคนที่แย่ที่สุด สู่คนที่ดีที่สุด : Your Future Self หยุดทำร้ายตัวเองในอนาคตด้วยการตัดสินใจผิดๆ วันนี้

ต้องบอกว่าเป็นหนังสือที่น่าสนใจอีกหนึ่งเล่มนะครับ หนังสือ “Your Future Self” ที่เขียนโดย Hal Hershfield ได้เปิดมุมมองใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง ผ่านแนวคิดที่ท้าทายความเชื่อดั้งเดิมที่ว่าตัวตนของเราเป็นสิ่งที่หยุดนิ่งและไม่เปลี่ยนแปลง

Hershfield นำเสนอมุมมองที่แตกต่างว่า ตัวตนของเราคือการเดินทาง เป็นเรื่องราวที่เขียนขึ้นใหม่ได้เสมอผ่านการตัดสินใจและการกระทำในแต่ละวัน

เรื่องราวของ Pedro Rodriguez Filio ที่ถูกหยิบยกมาเป็นตัวอย่างในหนังสือ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันน่าทึ่งของมนุษย์ในการเปลี่ยนแปลงตนเอง แม้จะเคยเป็นอาชญากรที่โหดร้าย แต่เขาก็สามารถพลิกผันชีวิตและสร้างตัวตนใหม่ได้อย่างสิ้นเชิง

การเปลี่ยนแปลงของเขาไม่เพียงท้าทายความเชื่อเรื่องโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เราตั้งคำถามกับความเชื่อที่ว่าตัวตนของเราถูกกำหนดโดยอดีตเพียงอย่างเดียว

การค้นพบตัวตน

จากการศึกษาของ Harvard Medical School พบว่า สมองของมนุษย์มีความยืดหยุ่นและสามารถสร้างเส้นทางประสาทใหม่ได้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นพื้นฐานทางชีววิทยาที่รองรับความสามารถในการเปลี่ยนแปลงตนเองของมนุษย์ เรื่องราวของ Rodriguez Filio เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความจริงข้อนี้

เขาเกิดมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรุนแรง มีรอยแผลเป็นบนกะโหลกศีรษะจากการถูกพ่อแท้ ๆ ทำร้าย ความรุนแรงในวัยเด็กนำไปสู่เส้นทางอาชญากรรม

จนกระทั่งในปี 1985 เขากลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 71 ราย แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2007 เมื่อเขาได้รับโอกาสกลับสู่สังคม การเปลี่ยนแปลงของเขาเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมพื้นฐาน เช่น การตื่นแต่เช้าตรู่ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการละเว้นจากสิ่งเสพติดทุกชนิด

การศึกษาอันลึกซึ้งของ Professor Nina Strohminger ได้ช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับธรรมชาติของอัตลักษณ์มนุษย์ ผ่านการศึกษาผู้ป่วยกลุ่มต่างๆ ทั้งผู้ป่วย Alzheimer’s, ALS และ frontotemporal dementia ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า แก่นแท้ของตัวตนไม่ได้อยู่ที่ร่างกายหรือความทรงจำ แต่อยู่ที่คุณค่าทางศีลธรรมและจริยธรรมที่เรายึดถือ

นักประสาทวิทยาได้ค้นพบว่า บริเวณสมองส่วน prefrontal cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเชิงจริยธรรมและการควบคุมพฤติกรรม สามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงได้แม้ในวัยผู้ใหญ่ ผ่านการฝึกฝนและประสบการณ์ใหม่ๆ การค้นพบนี้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของ Rodriguez Filio ที่เลือกสร้างตัวตนใหม่บนพื้นฐานของคุณค่าที่ดีงาม

ความท้าทายและอุปสรรค

การเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยความท้าทาย เราต้องเผชิญกับอคติทางความคิดหลายประการที่ฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ หนึ่งในนั้นคือ “projection bias” ที่ทำให้เราเชื่อว่าความรู้สึกและความต้องการในปัจจุบันจะคงอยู่ตลอดไป เช่น การตัดสินใจซื้อบ้านในวันที่อากาศร้อนจัด อาจทำให้เราให้ความสำคัญกับระบบปรับอากาศมากเกินไป โดยลืมพิจารณาปัจจัยสำคัญอื่นๆ

อีกหนึ่งอคติที่สำคัญคือ “end of history illusion” ที่ทำให้เราเชื่อว่าตัวตน ความชอบ และค่านิยมของเราจะไม่เปลี่ยนแปลงในอนาคต

การศึกษาจาก MIT แสดงให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่มักประเมินการเปลี่ยนแปลงของตนเองในอนาคตต่ำกว่าความเป็นจริงถึง 40% ความเชื่อนี้อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่เหมาะสม เช่น การสักรูปที่อาจไม่สะท้อนตัวตนในอนาคต หรือการเลือกเส้นทางอาชีพโดยไม่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของความสนใจ

ความท้าทายสำคัญอีกประการหนึ่งคือการมองตัวตนในอนาคตเป็นคนแปลกหน้า ทำให้เรามักตัดสินใจโดยคำนึงถึงแต่ความสุขเฉพาะหน้า เช่น การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยด้วยบัตรเครดิต การผลัดวันประกันพรุ่งในการทำงานสำคัญ หรือการเลือกรับประทานอาหารที่ให้ความสุขทันทีแทนที่จะคำนึงถึงสุขภาพในระยะยาว

การก้าวข้ามอุปสรรคสู่ความสำเร็จ

Hershfield นำเสนอกลยุทธ์ที่น่าสนใจในการเชื่อมโยงกับตัวตนในอนาคต โดยเริ่มจากการเปลี่ยนมุมมอง แทนที่จะมองพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า ให้มองว่าเป็นเพื่อนที่ต้องการความช่วยเหลือและการดูแล สร้างวิธีการในการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เช่น การเขียนจดหมายถึงตัวเองในอนาคต การสร้างแคปซูลเวลาที่บรรจุความหวังและความฝันของเรา และการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนพร้อมแผนการปฏิบัติที่เป็นขั้นเป็นตอน

นักจิตวิทยาจาก University of Pennsylvania พบว่า การจินตนาการถึงตัวเองในอนาคตอย่างละเอียดสามารถเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานหนักเพื่อเป้าหมายระยะยาวได้ถึง 80%

การสร้างภาพที่ชัดเจนของตัวตนในอนาคตช่วยให้เราตัดสินใจในปัจจุบันได้ดีขึ้น เช่น การจินตนาการถึงตัวเองในวัยเกษียณที่มีความมั่นคงทางการเงิน อาจช่วยให้เราเริ่มออมและลงทุนตั้งแต่วันนี้

การสร้างสมดุลระหว่างความสุขในปัจจุบันกับเป้าหมายระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญ แทนที่จะมองว่าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เราสามารถผสมผสานทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกันได้อย่างชาญฉลาด เช่น การฟัง Audio Book หรือพอดแคสต์ที่ให้ความรู้ระหว่างออกกำลังกาย การทำงานในร้านกาแฟที่ชื่นชอบเพื่อเพิ่มความสุขในการทำงาน หรือการแบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นขั้นตอนย่อยๆ ที่ทำให้รู้สึกสำเร็จและมีความสุขได้ในทุกๆ วัน

การวิจัยด้านพฤติกรรมศาสตร์พบว่า การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อพฤติกรรมที่ต้องการมีประสิทธิภาพมากกว่าการพึ่งพาแรงจูงใจเพียงอย่างเดียวถึง 3 เท่า ดังนั้น การจัดสภาพแวดล้อมให้สนับสนุนเป้าหมายระยะยาว เช่น การเก็บอาหารที่มีประโยชน์ไว้ใกล้มือ การตั้งค่าหักเงินออมอัตโนมัติ หรือการจัดตารางเวลาที่เอื้อต่อการออกกำลังกาย จึงเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการสร้างการเปลี่ยนแปลง

บทส่งท้าย: สู่อนาคตที่ดีกว่า

การเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นการเดินทางที่ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์และความมุ่งมั่นในการพัฒนา แนวคิดของ Hershfield ไม่เพียงช่วยเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวตนในปัจจุบันและอนาคต แต่ยังชี้ให้เห็นว่า การสร้างความเชื่อมโยงกับตัวตนในอนาคตเป็นกุญแจสำคัญสู่การตัดสินใจที่ดีในปัจจุบัน

เมื่อเรามองตัวตนในอนาคตเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่ไกลเกินเอื้อม เราจะเริ่มเห็นว่าการตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันล้วนมีความหมาย เปรียบเสมือนการวาดภาพที่ค่อยๆ เติมสีและรายละเอียดทีละนิด จนกลายเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบในที่สุด

ในท้ายที่สุด การสร้างอนาคตที่ดีกว่าไม่ใช่เรื่องของการเสียสละความสุขในปัจจุบันทั้งหมด แต่เป็นเรื่องของการสร้างสมดุลและความเชื่อมโยงระหว่างตัวตนในแต่ละช่วงเวลา เหมือนการเต้นรำที่ต้องก้าวไปข้างหน้าและถอยหลังอย่างสอดประสาน เพื่อสร้างท่วงทำนองที่งดงามของชีวิตนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Your Future Self: How to Make Tomorrow Better Today โดย Hal Hershfield

สรุปหนังสือ Power and Progress ประวัติศาสตร์ 1,000 ปี ของเทคโนโลยีและความรุ่งเรืองของมนุษย์

เรามักจะได้ยินคำกล่าวที่ว่าตอนนี้เรากำลังเดินหน้าสู่สังคมที่ดีขึ้นและมีชีวิตที่แสนสะดวกสบาย เราได้เห็นสิ่งใหม่ ๆ เช่น สมาร์ทโฟน รถยนต์ EV โซเชียลมีเดีย หรือ เทคโนโลยีสุดฮ็อตอย่าง AI

หนังสือเล่มนี้ผู้แต่งคือ Daren Acemoglu และ Simon Johnson ที่เป็นศาสตราจารย์ระดับท็อปจาก MIT โดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความจำเป็นในกำหนดทิศทางในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์มากขึ้น โดยกล่าวถึงประเด็นเรื่องอำนาจ และบทบาทของเทคโนโลยีที่มีผลต่อการสร้างความมั่งคั่งร่วมกัน

นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอเรื่องข้อคิดเห็นในเรื่องการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เช่น การปรับระบบภาษีให้เท่าเทียมกันสำหรับการทำงานอัตโนมัติ การควบคุมกำกับดูแล การบังคับให้บริษัทขนาดใหญ่แตกบริษัทลูกออกมา การสร้างสหภาพแรงงานที่เข้มแข็ง

เพราะไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย เทคโนโลยีแม้จะบันดาลให้ชีวิตคนดีขึ้นได้ก็จริง แต่มันก็ทิ้งบาดแผลไว้เช่นกัน ทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำ ความยากจน มลพิษ เพราะฉะนั้นเราทุกคนต้องสร้างความเจริญนั้นขึ้นมาเอง ไม่ปล่อยให้ผู้มีอำนาจกำหนดทิศทางได้ตามอำเภอใจ

Highlights

📝 เปิดด้วย quotes ที่เป็น message หลักของหนังสือเล่มนี้ได้ดีมาก ๆ “ความเจริญไม่เคยเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ความเจริญในปัจจุบันนี้ยังคงกระจายอยู่แค่ในกลุ่มนักธุรกิจและนักลงทุน ขณะที่คนส่วนใหญ่ยังคงอับจนไร้หนทาง”

🏭 การยกตัวอย่างประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีมีทั้งการปรับปรุงและเป็นอุปสรรคต่อชีวิตของคนงาน เช่น การใช้กังหันลมในยุคกลาง และการประดิษฐ์เครื่องปั่นฝ้ายในศตวรรษที่ 18

🔎 มีการอธิบายถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ด้านอำนาจและธรรมชาติของเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ผลกระทบของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยใช้ตัวอย่างจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษและสภาพปัจจุบันของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

💡 มีการเน้นถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีให้สอดคล้องและช่วยเหลือมนุษย์มากยิ่งขึ้น และเสนอมาตรการด้านนโยบาย เช่น การเปลี่ยนแปลงระบบภาษี การกำกับดูแลจากรัฐบาล การบังคับให้บริษัทขนาดใหญ่แตกบริษัทลูกออกมา และการสร้างสหภาพแรงงานที่เข้มแข็ง

🌍 หัวข้อในเรื่องบทบาทของการกระจายอำนาจ และโอกาสในการสร้างโครงสร้างองค์กรใหม่ เช่น สหกรณ์ เพื่อสร้างสังคมและเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

🎙️ มีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพิจารณามุมมองและแนวทางต่างๆ ต่อเทคโนโลยี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อมนุษยชาติ

Key Insights

🔑 ทิศทางของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมีความสำคัญต่ออนาคตของมนุษย์เรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับ AI และระบบอัตโนมัติทั้งหลาย การเลือกระหว่างการให้ความสำคัญกับการทำงานแบบอัตโนมัติหรือการสร้างงานใหม่ให้กับแรงงานมีผลกระทบอย่างมากต่อเรื่องของการเพิ่มผลผลิต ความเหลื่อมล้ำ และบทบาทการมีส่วนร่วมของมนุษย์

🔑 การย้อนประวัติศาสตร์เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของความสัมพันธ์ด้านอำนาจต่อผลลัพธ์ของเทคโนโลยี พลังอำนาจมีอิทธิพลต่อประโยชน์ที่เกิดจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทั้งในยุคกลางและยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งในตัวอย่างที่กล่าวในหนังสือเล่มนี้ เทคโนโลยีช่วยเพิ่มผลผลิต แต่ประโยชน์กลับตกอยู่กับชนชั้นสูง ในขณะที่คนงานไม่ได้รับการปรับปรุงคุณภาพชีวิตมากนัก

🔑 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสร้างผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของสังคมโดยรวม ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ การแสวงประโยชน์จากแรงงาน ภัยคุกคามต่อสาธารณสุข ในขณะที่ผู้ที่ได้รับประโยชน์กลับเป็นเพียงแค่ชนชั้นสูงแคบๆ ที่ควบคุมเทคโนโลยีในยุคนั้นๆ

🔑 วิสัยทัศน์หลักของวงการเทคโนโลยีในซิลิคอนวัลเลย์และแวดวงวิชาการส่งเสริมแนวคิดที่ว่า AI และระบบอัตโนมัติทั้งหลายคืออนาคต ทำให้เป็นการละเลยโอกาสในการใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์ เพิ่มผลิตภาพ และการให้ความสำคัญกับบทบาทของมนุษย์ที่น้อยลงไป

🔑 จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงสถาบันทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองเพื่อปรับเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยี มีการนำเสนอมาตรการด้านนโยบายหลายประการ เช่น ปรับระบบภาษีให้จูงใจการใช้แรงงานมนุษย์มากกว่าระบบอัตโนมัติ จัดตั้งหน่วยงานเพื่อกำหนดการใช้ AI ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง ภาษีโฆษณาดิจิทัลเพื่อส่งเสริมรูปแบบธุรกิจทางเลือก

🔑 การมีส่วนร่วมและบทบาทของมนุษย์ยังคงมีความสำคัญแม้จะมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ซึ่งเป็นการหักล้างแนวคิดที่ว่าเทคโนโลยี AGI (Artificial General Intelligence) จะทำให้มนุษย์ล้าสมัย โดยเน้นว่ามนุษย์จะยังคงมีบทบาทสำคัญในงานต่างๆ และการนำระบบอัตโนมัติมาใช้มากเกินไปอาจเป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มผลิตภาพและการพัฒนาของมนุษย์

🔑 บทเรียนจากภาคธุรกิจพลังงานสร้างความหวังในการเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยี โดยมีการชี้ให้เห็นความสำเร็จของนวัตกรรมพลังงานหมุนเวียน ซึ่งได้รับการผลักดันจากการกำกับดูแลของรัฐบาล การอุดหนุนจากภาครัฐ และการมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าความพยายามอย่างจริงจังสามารถเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้

🔑 ความสำคัญของการเปลี่ยนแนวความคิดซะใหม่ โดยไม่ใช่แค่เพียงการมุ่งเน้นไปที่การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพียงอย่างเดียว แต่ต้องหันมาโฟกัสกับนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์มากยิ่งขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงบทบาทของผู้นำด้านเทคโนโลยีที่มีอำนาจ และให้กระบวนการประชาธิปไตยมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคต

บทสรุป

ผมว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับแวดวงเทคโนโลยีที่น่าสนใจอีกเล่มหนึ่งเลยทีเดียว ที่ชี้ให้เห็นว่าทิศทางการพัฒนาโดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี (โดยเฉพาะ AI) ให้เป็นมิตรกับมนุษย์มากยิ่งขึ้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ

เนื่องจากมันจะส่งผลให้เทคโนโลยีได้รับการพัฒนาในทิศทางที่ตอบสนองความต้องการและเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เราอย่างแท้จริง ทำให้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มศักยภาพและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ แทนที่จะเป็นภัยคุกคามหรือมาแย่งชิงตำแหน่งงานของมนุษย์ไป

เพราะฉะนั้นเรื่องสำคัญก็คือ การมีส่วนร่วมของมนุษย์เราในการกำหนดทิศทางเทคโนโลยีเหล่านี้ และที่สำคัญต้องเป็นกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันมักจะถูกกำหนดโดยบริษัทเทคโนโลยีหน้าเลือดขนาดใหญ่ ที่มองแต่กำไรเป็นที่ตั้ง ซึ่งทำให้ขาดมุมมองที่เทคโนโลยีเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม

โดยสรุปแล้วแนวคิดหลักของหนังสือเล่มนี้คือ อยากให้ทุกคนตระหนักถึงการปรับเปลี่ยนทิศทางในการพัฒนาเทคโนโลยีเสียใหม่ ให้เอื้อต่อประโยชน์ของมนุษย์มากขึ้น ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการมีส่วนร่วม

โดยเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐในการกำหนดนโยบายและการกำกับดูแล ภาคเอกชนในการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ และประชาชนคนทั่วไปในการมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางเพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นประโยชน์ และมีความยั่งยืนต่อไปในอนาคต

หนังสือเล่มนี้จะช่วยเตือนสติพวกเราว่าความไม่เป็นกลางของเทคโนโลยี และความจำเป็นที่ต้องมีกลไกลทางการเมืองเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าประโยชน์ของเทคโนโลยีจะกระจายไปสู่ประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง ซึ่งผมคิดว่าเป็นบทเรียนที่เราทุกคนควรตระหนักเป็นอย่างมาก ในยุคแห่งความก้าวหน้าทางดิจิทัลที่ครอบงำโดยจักรวรรดิบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่างที่เราได้เห็นกันทุกวันนี้นั่นเองครับผม


สุดท้ายก็ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ bingo นะครับที่ส่งหนังสือเล่มนี้มาให้อ่าน ถ้าใครสนใจหนังสือเล่มนี้ก็ไปจัดกันได้เลยที่ -> https://bingobook.co/product/power-and-progress/


Book Review : ความสำเร็จดีใจได้วันเดียว

ถือเป็นอีกหนึ่งหนังสือที่คุณค่ามาก ๆ สำหรับนักอ่านโดยเฉพาะเหล่านักธุรกิจรุ่นใหม่ทั้งหลาย ที่กำลังสร้างธุรกิจใหม่ ๆ เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นงานเขียนที่บันทึกเรื่องราวชีวิตของท่านเจ้าสัว ธนินท์ แห่งเครือ CP ที่เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งของไทย

หนังสือที่เป็นแรงบันดาลในให้กับคนรุ่นใหม่ ที่ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานเลยทีเดียวของท่านเจ้าสัวธนินท์ ตั้งแต่ยุคบุกเบิกธุรกิจ การรุกเข้าไปในตลาดต่างประเทศ รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ธุรกิจด้านเกษตรกรรม ตัวอย่างเช่น Trure เครือข่ายมือถือยักษ์ใหญ่ของไทยในปัจจุบัน

หนังสือเล่มนี้ให้ข้อคิดในหลาย ๆ เรื่องทั้งเรื่อง การบริหารคน การบริหารธุรกิจ การต้องต่อสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจ รวมถึงการขยายกิจการไปยังประเทศที่เนื้อหอมสุด ๆ ในปัจจุบันอย่างประเทศจีน ซึ่งเจ้าสัว ธนินท์ เป็นผู้บุกเบิกยุคแรก ๆ ของการเข้าไปลงทุนในประเทศจีนเลยก็ว่าได้

แน่นอนว่าในปัจจุบันนั้น เราจะเห็นว่าเครือ CP แทบจะกินรวบตลาดแทบจะทุกอย่างในประเทศเรา โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินที่ทำตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ และส่งตรงสู่ผู้บริโภคผ่านธุรกิจ Retail ที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทยอย่าง เซเว่น อีเลฟเว่น

แต่ต้องบอกว่า ท่าน เจ้าสัว ก็ได้สร้างหลาย ๆ อย่างให้กับคนไทย ทั้งสร้างงาน สร้างที่ทำกิน คอยอุดหนุนช่วยเหลือต่าง ๆ มานับสารพัด ซึ่งเราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ การที่เราสามารถบริโภคอาหารสัตว์ที่ราคาไม่แพงเกินไปนักนั้นก็มาจากการริเริ่มของท่านเจ้าสัว ธนินท์แทบจะทั้งสิ้น ซึ่งต้องบอกว่าท่านได้วางแนวคิดในเรื่องของการเลี้ยงสัตว์ให้ยกระดับคุณภาพชีวิตของทั้งเกษตรกร รวมถึง ผู้บริโภคเองที่ได้รับอาหารดี ๆ ในราคาไม่แพงเกินไปนักผ่าน ธุรกิจของท่านแทบจะทั้งสิ้น

และสิ่งที่สำคัญที่ได้เรียนรู้คือ การเลือกใช้คน ที่เหมาะสม การเลือกคนเก่ง มาช่วยขยายธุรกิจของท่านได้อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ๆ แม้หลาย ๆ ธุรกิจ ตัวอย่างเช่น เซเว่นอีเลฟเว่น เองที่เจ้าของเฟรนไชน์ ยังมั่นใจว่าไปไม่รอดในไทยแน่ ๆ ด้วยข้อมูลพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย อย่างรายได้เฉลี่ยประชากร ที่ต่ำ ที่ดูเหมือนฝรั่งจะมองอยู่มุมเดียว แต่ทางเจ้าสัวก็ได้คิดพลิกฟื้นวิธีการให้สุดท้าย ธุรกิจที่ถูกฝรั่งสบประหม่าว่าเจ๊งแน่ ๆ อย่าง เซเว่นอีเลฟเว่น กลายมาเป็นธุรกิจหลักที่สำคัญ สร้างรายได้ให้กับเครือ CP มากมายอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบัน

แต่มันมียังมีมุมต่างที่เห็นได้จากหนังสือเล่มนี้ที่ความเห็นส่วนตัวนั้น บางทีสิ่งที่เจ้าสัวทำนั้นอาจจะไม่ประสบความสำเร็จไปทุกเรื่องเลยเสียทีเดียว แม้ตัวเจ้าสัวเองต้องการให้ ประชาชนกินดีอยู่ดี ธุรกิจมั่งคง อย่างที่กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้

แต่จากสภาพปัญหาในปัจจุบัน เราจะเห็นได้ถึงเหล่าเกษตรกร ก็ยังไม่สามารถลืมตา อ้าปากได้เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ ถึงจะมีจริง มันก็เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ประเทศเรายังติดหล่มกับปัญหาเดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินค้าทางการเกษตร ที่รัฐบาลต้องส่งเงินไปอุดหนุนในทุก ๆ รัฐบาล ซึ่งเป็นภาระมหาศาลต่องบประมาณการเงินของประเทศในแทบจะทุก ๆ ปี แทนที่จะเอาไปพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ

และทฤษฏีบางอย่างที่ท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือ อย่าง สองสูง ที่รู้จักกันดีนั้น ดูเหมือนว่าการขึ้นค่าแรง หรือ เงินเดือนที่รัฐบาลเคยทำไว้ ให้สูงขึ้นนั้น ก็ยังไม่สามารถที่จะเอาชนะอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น เพราะ เมื่อรายได้สูง รายจ่ายก็สูงขึ้นอย่างชัดเจน เพราะราคาสินค้าต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นมานั่นเอง มันก็ไม่ได้ทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นแต่อย่างใด เราน่าจะเห็นภาพนี้กันหลายรอบแล้ว เมื่อใดที่ขึ้นค่าแรง ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ สิ่งที่ตามมาก็คือ ภาระค่าใช้จ่ายของเราก็จะเพิ่มขึ้นทันทีเป็นเงาตามตัวเช่นเดียวกันนั่นเอง

แต่ผมชอบแนวคิดการทำธุรกิจแบบเจ้าสัวในการสร้างธุรกิจหลาย ๆ อย่างและทำตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ซึ่งมีลักษณะคล้าย ๆ รูปแบบเดียวกับ ประเทศ ญี่ปุ่น (ไซบัตสึ) หรือ เกาหลีใต้ ที่เรียกว่า แชบอล ที่ให้บริษัทยักษ์ใหญ่นั้นไปลุยตลาดโลกเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องมีบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้เยอะมากมายเหมือนที่เกาหลีทำสำเร็จมา จะเห็นได้ว่าประเทศเค้ามีบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่แห่งตัวอย่างเช่น Samsung , LG หรือ Daewoo แต่บริษัทพวกนี้ทำธุรกิจแทบจะทุกอย่าง และสร้างรายได้มหาศาล รวมถึงสามารถจ้างงานคนในประเทศด้วยอัตราเงินเดือนที่สูงนั่นได้

ซึ่งในไทยก็น่าจะเลียนแบบบ้าง โดยให้บริษัทเหล่านี้เติบโตและไปหากินกับต่างประเทศ ควรจะบุกตลาดโลก ส่วนคนในประเทศก็ช่วยผลักดันให้บริษัทเหล่านี้ไปเติบโตในระดับโลก ซึ่งสินค้าทางการเกษตรนั้นมันก็มีโอกาสเป็นไปได้อยู่แล้วเพราะดูจากธุรกิจของท่านเจ้าสัว ซึ่งใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาสามารถต่อสู้ในตลาดโลกได้

ซึ่งแนวคิดแบบนี้ก็มีโอกาสที่จะทำให้ไทยก้าวพ้นกับดักของการเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาได้เสียที เพราะเมื่อก่อนเกาหลี หรือ ไต้หวันนั้น ก็แทบจะมีสภาพไม่ต่างจากไทย แต่พวกเขาเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วมากอย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้ และใช้เวลาในการพัฒนาประเทศเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น

ต้องบอกว่า ความสำเร็จดีใจได้วันเดียว นั้น เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องราวความสำเร็จของตัวท่านเจ้าสัวที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แน่นอนว่าท่านได้ผ่านประสบการณ์เหล่านี้มามากมาย เป็นข้อคิดบทเรียนที่สำคัญให้กับเหล่านักธุรกิจยุคหลัง ได้ศึกษาเรียนรู้ผ่านหนังสือเล่มนี้ได้อย่างดีเยี่ยม และความหมายของ ความสำเร็จดีใจได้วันเดียวนั้น คือ เราไม่ควรคิดว่าเราเก่งแล้ว สำเร็จแล้ว และหยุดการพัฒนา เพราะโลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีธุรกิจเกิดใหม่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และพร้อมจะมา Disrupt ธุรกิจของเราได้อยู่เสมอ เพราะฉะนั้น ความสำเร็จที่ได้มาครั้งนึงนั้น ก็ไม่ควรดีใจกับมันนาน ควรจะพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นอยู่ตลอดเวลาเหมือนที่ท่านเจ้าสัวได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้นั่นเองครับ

Book Review : STAY BUSY, STAY FOOLISH สตาร์ทอัพนับหนึ่ง

ส่วนตัวเป็นคนที่ติดตามคุณ ‘โสภณ ศุภมั่งมี’ ผู้เขียนหนังสือ ‘The Nerd of Microsoft’ ที่ต้องบอกว่าเป็นหนังสือที่ประทับใจมากที่สุดเล่มหนึ่ง เนื่องจากผมจะเป็นคนที่ชอบหนังสือสไตล์ที่เกี่ยวข้องกับประวัติเรื่องราวของบุคคลต่าง ๆ โดยเฉพาะทางด้านเทคโนโลยี ที่คุณ โสภณ ได้เคยทำงานที่ Microsoft และได้ถ่ายทอดออกมาในหนังสือเล่มแรกได้อย่างดีเยี่ยม

สำหรับ Stay Busy , Stay Foolish สตาร์ทอัพนับหนึ่ง ถือเป็นผลงานเล่มที่สองของคุณ โสภณ ที่กล่าวถึงเรื่องราวการเริ่มต้น startup ใหม่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหนังสือที่เล่าเรื่งอราวประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานของคุณโสภณ

ที่หันมาเป็นผู้ประกอบการโดยที่ไม่เคยทำธุรกิจ ซึ่งเป็นเรื่องราวการทำสตาร์ทอัพ เมสเซนเจอร์รับ-ส่งของทั่วเชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่น่าสนใจมาก ๆ อยู่ในขณะนี้ แต่จุดที่สำคัญคือ การก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซน คุณโสภณ นั้นถ่ายทอดออกมาในหนังสือเล่มนี้ได้อย่างสุดมันส์

ถ้าใครเคยอ่าน The Nerd of Microsoft เราจะเห็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน มีสอดแทรกความรู้อยู่ตลอดเวลาจากธุรกิจขนาดใหญ่ และอ่านง่ายมาก ๆ และเช่นเดียวกันในหนังสือเล่มที่สอง ก็ให้อรรถรส ในลักษณะเดียวกัน ที่อ่านง่าย อ่านสนุก

ต้องบอกว่าเป็นหนังสือเพียงไม่กี่เล่มในช่วงหลัง ๆ ที่ผมใช้เวลาอ่านแบบรวดเดียวจบ ในยุค information overflow ที่มีอยู่เต็มไปหมดในโลก อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน ที่ต้องยอมรับว่าทำให้ประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือของตัวผมเอง รวมถึงหลาย ๆ คนน่าจะตกไปมาก

ต้องบอกว่าเป็นหนังสือที่ถ่ายทอดรายละเอียดการเริ่มธุรกิจ ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก การพบกับปัญหามากมาย รวมถึงวิธีที่คุณโสภณ ใช้ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ ซึ่งแน่นอนว่าหลาย ๆ ธุรกิจที่เริ่มต้นก็มักจะเจอกัน

ทั้งการบริหารธุรกิจ การบริหารคน การจัดการด้านการเงิน ซึ่งให้แง่มุมที่น่าสนใจเป็นอย่างดี รายละเอียดของเรื่องราวที่คิดว่า คุณ โสภณ คงจะจดรายละเอียดไว้ตลอด จึงได้เรียบเรียงออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้ได้แบบละเอียดยิบ

ต้องบอกว่าเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ มันเหมือนเป็นการจุดไฟในตัวบางอย่าง ซึ่งหลาย ๆ คนน่าจะเจอกันในชีวิตการทำงาน ที่หลายๆ คนกำลังอยู่ใน คอมฟอร์ทโซน ซึ่ง เมื่ออ่านเล่มนี้จบ คุณอาจจะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อตอบโจทย์ชีวิตที่แท้จริง เหมือนที่คุณโสภณ ได้ทำกับ Busy Rabbit ก็เป็นได้ครับ

*** สามารถทดลองอ่านตัวอย่างได้ที่ : http://minimore.com/b/stu ***

มารู้จัก Textbook ที่ถูกเขียนโดย AI

สำนักพิมพ์ Springer Nature ได้เปิดเผยสิ่งที่อ้างว่าเป็นหนังสือวิจัยครั้งแรกที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยี Machine Learning 

โดยหนังสือชื่อ Lithium-Ion Batteries: A Machine-Generated Summary of Current Research  มันเป็นบทสรุปของเอกสารที่ผ่านการตรวจสอบโดยสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์ในหัวข้อที่เป็นปัญหา โดยมีการเชื่อมโยงไปยังงานที่อ้างถึงและมีการสร้างเนื้อหาอ้างอิงแบบอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีให้ดาวน์โหลดและอ่านฟรี

ในขณะที่เนื้อหาของหนังสือนั้นน่าตื่นเต้นโดยทาง Henning Schoenenberger  จากสปริงเกอร์เนเจอร์ กล่าวว่าหนังสือเช่นนี้มีศักยภาพที่จะเริ่มต้น “ยุคใหม่ของการเผยแพร่ทางวิทยาศาสตร์” เลยก็ว่าได้

Schoenenberger ชี้ให้เห็นว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมามีการตีพิมพ์งานวิจัยมากกว่า 53,000 ชิ้นในเรื่องที่เกี่ยวกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน นี่แสดงให้เห็นถึงความท้าทายอย่างมากสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามควานหาความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้

แต่ด้วยการใช้ AI เพื่อสแกนและสรุปผลลัพธ์นี้โดยอัตโนมัตินักวิทยาศาสตร์สามารถประหยัดเวลาและทำงานวิจัยที่สำคัญได้ โดยใช้เวลาน้อยลงเป็นอย่างมาก

“ วิธีนี้ช่วยให้ผู้อ่านสามารถเร่งกระบวนการในการสรุปเนื้อหาของการวิจัยที่กำหนดแทนที่จะต้องอ่านบทความที่ตีพิมพ์นับร้อยเล่ม” Schoenenberger เขียน “ ในเวลาเดียวกันหากจำเป็นผู้อ่านก็สามารถระบุและคลิกไปยังแหล่งข้อมูลอ้างอิง เพื่อที่จะค้นหาข้อมูลที่ลึกลงไปและศึกษาเรื่องต่อ ๆ ไป”

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่องค์ความรู้ของมนุษย์จะถูกสร้างขึ้นโดย AI
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่องค์ความรู้ของมนุษย์จะถูกสร้างขึ้นโดย AI

แม้ว่า Machine Learning ในช่วงที่ผ่านมาจะช่วยพัฒนาความสามารถของคอมพิวเตอร์ในการสร้างคำที่เขียนขึ้นอย่างมากแต่ผลลัพธ์ของ AI เหล่านี้ก็ยังมีข้อจำกัด มันไม่สามารถโต้เถียงถึงการเชื่อมโยงและโครงสร้างของงานวิจัยที่นักเขียนที่เป็นมนุษย์สร้างขึ้น และความพยายามในการสร้างนวนิยายที่แต่งขึ้นโดย AI ซึ่งเนื้อหามักเป็น Pattern มากกว่า การสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ

สิ่งที่ AI สามารถทำได้คือสร้างตำราที่เป็นสูตรสำเร็จ ส่วนในแวดวงสื่อสารมวลชน ก็มีการใช้เหล่า AI หรือ Machine Learning มาช่วยเช่นใน The Associated Press ที่นำมาใช้ในการสร้างผลสรุปของการแข่งขันฟุตบอล แผ่นดินไหว หรือข่าวด้านการเงิน ซึ่งหัวข้อเหล่านี้เป็นข้อมูลที่ตรงไปตรงมา ที่หุ่นยนต์สามารถจะมาช่วยเหลือได้แบบอัตโนมัติ

ซึ่งที่จริงแล้วนั้นเมื่ออ่านข้อความมันจาก AI เขียนก็ไม่ยากที่จะหาประโยคที่อ่านไม่ออกและไม่ต่อเนื่องกัน  ซึ่งทำให้เหล่านักวิชาการนั้นไม่ยอมรับการตีพิมพ์ข้อความทางวิชาการที่ AI สร้างขึ้น ซึ่งในอนาคตเราก็ต้องดูกันต่อไปว่างานวิชาการที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI นั้นมีประโยชน์หรือไม่?

References : 
https://www.theverge.com/2019/4/10/18304558/ai-writing-academic-research-book-springer-nature-artificial-intelligence