Martin Lau, President of Tencent: Our Mission is to Enhance People’s Quality of Life

พูดถึง Tencent คิดว่าหลายคนคงไม่รู้จักเท่าที่ควร แต่ถ้าพูดถึง chat application ชื่อดังอย่าง Wechat นั้น ก็น่าจะรู้จักกัน เนื่องจากทาง Wechat นั้นก็ได้มาทำตลาดในไทยมาช่วงหนึงแล้ว ถึงแม้จะยังไม่สามารถโค่นผู้นำอย่าง LINE ไปได้ แต่ถือว่าในประเทศจีนนั้น WeChat ไม่เป็นสองรองใคร

Martin Lau นั้นขณะนี้รับตำแหน่ง President ของ Tencent Group บริษัทเทคโนโลยีระดับแถวหน้าของประเทศจีน จากวีดีโอข้างต้นนั้น ทาง Martin Lau นั้นได้ไปพูดในงานเสวนาที่ Stanford University ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งสิ่งที่เป็นข้อดีสำหรับนักศึกษาในมหาลัยชั้นนำของอเมริกา คือ จะได้รับแรงบรรดาลใจจากผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมายทั่วโลก มาบรรยายให้ฟังกันบ่อย ๆ

สำหรับ Tencent นั้นมีผลิตภัณฑ์ที่ดูแลอยู่มากมาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็น Platform ในระบบ internet แทบทั้งสิ้น โดย product เปิดตัวที่ทำให้ Tencent เริ่มแจ้งเกิดคือ QQ โปรแกรมแชทชื่อดังในอดีต ซึ่งในยุคแรก ๆ ของการ chat นั้น QQ ก็ถือว่าเป็น chat application ยอดนิยมของจีน ที่ครองตลาดมาจนถึงปัจจุบัน

Marting Lau นั้นได้กล่าวเปรียบเทียบ Business Model ของทางฝั่ง US และ China ที่มีความแตกต่างกัน โดยตลาดที่ใหญ่ที่สุดจะเป็น Ecommerce ซึ่งน่าจะเหมือนกับใน US แต่ส่วนที่ต่างที่ทำให้ Tencent กลายเป็นบริษัทแนวหน้าในจีนนั้นคือ ส่วนของ Online Game ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงกว่าตลาดของ Display Ads และ Search Ads รวมกัน ซึ่งถือว่าเป็นจุดแตกต่างที่สำคัญของตลาด US และ China ซึ่งทาง Tencent นั้นสร้าง Platform ขึ้นมาอยู่ใน QQ.com ซึ่งจะประกอบไปด้วย service ต่าง ๆ มากมายทั้ง Game online , Instant Messenging , Ecomerce ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับตลาดใน จีน ซึ่งมีขนาดตลาดที่ใหญ่ อเมริกา อยู่มากทำให้สามารถทำรายได้อย่างมหาศาลจาก User

ซึ่ง User ที่เป็น Monthly Active User ของ Tencent นั้นตัวหลักคือ QQ ที่มีสูงถึง 818 ล้าน user ส่วน Wechat ที่เป็น product ใหม่ก็มีสูงถึง 236 ล้าน User ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบของบริษัทเทคโนโลยี ในตลาดที่มีขนาดใหญ่ จะมีความได้เปรียบกว่า การเริ่มสร้างในตลาดที่มีขนาดเล็ก เพราะต้นทุนทางด้าน Technology นั้นจะสูงแค่ในช่วงแรก ๆ สำหรับการจ้างคน หรือ สร้าง server เท่านั้น และสามารถหากินกับ จำนวน User ที่เพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ โดยลงทุนการลงทุนเพิ่มนั้นไม่ได้มากมายเหมือนช่วงแรกที่เริ่มการสร้าง Product

นี่คือข้อได้เปรียบที่สำคัญของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีจีน ที่สามารถสร้างรายได้มากมายมหาศาล ซึ่งสามารถสู้กับบริษัทเทคโนโลยีของ อเมริกา ได้อย่างสบาย เนื่องจากขนาดของตลาดที่ใหญ่กว่าในตอนเริ่มต้น และ สิ่งสำคัญคือนโยบายการ Block Service แทบจะทุกอย่างจากอเมริกาเช่น facebook , twitter , youtube … ซึ่งทำให้บริษัทภายในจีนนั้นสามารถแจ้งเกิดขึ้นมาได้ และเนื่องจากความสามารถของคนจีนในด้านเทคโนโลยีนั้น ก็ถือว่าแทบไม่ต่างจากทางฝั่งอเมริกาเลย และ โดยเฉลี่ยสูงกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งเราจะเห็นคนฝั่งเอเชียชื่อดังใน silicon valley เป็นจำนวนมากในปัจจุบัน

ก็น่าสนใจเหมือนกันว่าในอนาคตนั้นบริษัทเทคโนโลยีจีนเหล่านี้อาจจะกลับมาบุกประเทศอเมริกาก็เป็นได้หลังจากสร้างความแข็งแกร่งจากตลาดภายในประเทศเรียบร้อย คิดว่าคงอีกไม่กี่จากนี้ เราอาจจะได้เห็นบริษัทเทคโนโลยีจีน เข้าซื้อกิจการบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกาก็เป็นได้

MLM or แชร์ลูกโซ่ กับจริตของคนไทย

นั่งดูข่าวการทลายแก๊งแชร์ลูกโซ่ที่มีเครือข่ายขนาดใหญ่ทั่วไทยอย่าง Ufun แล้วก็อดแปลกใจไม่ได้กับการเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเครือข่ายแบบนี้ ซึ่งมีมาในหลายรูปแบบมาก ๆ ในช่วงหลัง ๆ จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเครือข่ายเหล่านี้ถึงไม่หมดไปจากสังคมไทยเสียที

จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ แชร์แม่ชม้อย ชื่อดังในอดีต ที่ได้สร้างความเสียหายกับคนไทยเป็นจำนวนมากแล้วนั้น คนไทยก็ไม่เข็ดกับเรื่องเหล่านี้เสียที กับรูปแบบการจูงใจในการหาเงินง่าย ๆ ที่อยู่บนพื้นฐานที่ผิดหลักการทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งก็มักจะหลงเชื่อไปกับคำชักจูงที่สวยหรู และการที่นิสัยมนุษย์ทั่วไปนั้นความขี้เกียจถือเป็นพื้นฐานทางจิตใจที่สำคัญของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะถูกชักจูงให้ทำงานที่ได้เงินง่ายๆ  โดยไม่คำนึงถึงจริยธรรมในการหาเงิน

ซึ่งรูปแบบของ MLM หรือแชร์ลูกโซ่ ก็จะมีหลายรูปแบบ ซึ่งมีหลักการทำงานที่แทบไม่ต่างกันคือหลักของ Binary Compensations Plan ซึ่งก็คือการเติบโตแบบ exponential ซึ่งเป็นตัวเลข magic ของแทบจะทุก  ๆ MLM แต่อยู่ที่จริยธรรมของบริษัทแต่ละบริษัทจะต่างกันมากขนาดไหน ซึ่งข่าวล่าสุดของ Ufun นั้นแทบจะไม่มีส่วนของ Product อยู่เลย เป็นการใช้ money game แบบเงินต่อเงินล้วน ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้โดนตามจับอย่างรวดเร็วแตกต่างจาก เครือข่าย MLM อื่นๆ  ในไทย ที่มักจะมี key product ที่มีราคาแพง และใช้หลักการของ Binary Compensations Plan เพื่อสร้าง network ให้แข็งแกร่ง แต่โดยพื้นฐานแล้วนั้นแทบจะทุก  MLM ในไทย ก็จะประสบกับปัญหาในตอนหลังแทบจะทุกบริษัท เมื่อเครือข่ายกระจายไปเป็นจำนวนมากแล้วนั้น ก็ไม่สามารถหาเครือข่ายมาต่อยอดอีกได้

ซึ่งวิธีการที่แต่ละบริษัททำนั้นอาจจะต่างกันเมื่อ เครือข่ายถึงทางตันไม่สามารถต่อยอดรากแก้วของเครือข่ายลงไปได้อีก ทำให้แรงจูงใจในการหาคนนั้นมีน้อยลง ซึ่งเป็นที่มาของรายได้จำนวนมากของบริษัท หลายบริษัทใช้รูปแบบการเปลี่ยนการเรียกชื่อเครือข่าย เพื่อให้คนสับสน ว่าเป็นธุรกิจใหม่ เพราะถ้าเป็นชื่อเดิมนั้นคนก็แทบจะไม่สนใจจะทำแล้ว  และอีกหลายเครือข่ายก็จะโดนแย่งสายงานของตัวเองออกไปแล้วไปอยู่ในบริษัทใหม่ ซึ่งถ้าเราได้ติดตามข่าวนั้นก็จะพบว่าระดับ head ของพวกเครือข่าย network MLM นั้นจะมีอยู่เพียงไม่กี่คน แต่จะย้ายไปอยู่บริษัทต่าง ๆ เรื่อย ๆ เมื่อถึงทางตันนั่นเอง หรือไม่ก็ออกไปก่อตั้งเครือข่ายบริษัทตัวเองใหม่

ซึ่งการสร้างระบบเครือข่ายนั้น แทบจะทุกบริษัทก็จะมี pattern การสร้างเครือข่ายแทบจะเหมือนๆ กัน ต่างกันแค่รายละเอียดปลีกย่อยหรือการเรียกชื่อเครือข่าย แต่อยู่บนพื้นฐานของ Binary Compenstations Plan ทั้งหมด คือ หา product ที่เป็น key product ในต้นทุนราคาที่ไม่แพง และมาขายสินค้าให้กับเครือข่ายในราคาแพงกว่าปรกติ ซึ่งความจริงนั้นตามหลักควรจะเป็นสินค้าที่ราคาถูกกว่าปรกติ เพราะได้ตัดงบการโฆษณาผลิตภัณฑ์ออกไปเป็นการขายตรงเท่านั้น และอ้างถึงสรรพคุณต่างๆ  นา ๆ ที่เว่อร์เกินจริง และ สิ่งหลักที่เครือข่ายจะใช้ในการจูงใจคือแผนการหาคนเป็นหลัก ไม่ใช่เน้นไปที่ product เป็นหลักจะเห็นได้ว่าผิดหลักการพื้นฐานของระบบเศรษฐศาสตร์ หรือหลักการทำธุรกิจ และความจริงนั้นบริษัทเหล่านี้ก็ไม่ได้ต่างจากการทำรูปแบบของแชร์ลูกโซ่ แต่เป็นการทำแชร์ลูกโซ่แบบถูกกฏหมายแค่นั้นเอง โดยมีหน่วยงานรัฐรองรับว่าถูกกฏหมายให้อีกต่างหาก ซึ่งเนื่องจากรายได้มหาศาลเหล่านี้นั้นก็ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลเลยก็เลือกที่จะละเลยและทำการตรวจสอบ จนเครือข่ายเหล่านี้เติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อพบความเสียหายอย่างกรณีตัวอย่าง Ufun นี่ก็ใช้เวลาเพียงปีนิด ๆ ก็เติบโตจนมีจำนวน account กว่า แสนรายและ ยอดรวมความเสียหายกว่า 20,000 ล้านบาทไปแล้ว

แต่ก็ต้องยอมรับว่าใครที่ได้เข้าไปอยู่ในวังวนเหล่านี้ ก็จะตกอยู่ในสภาพเดียวกันก็คือ เหมือนอยู่ในลัทธิ ที่จะมี pattern แทบจะเหมือนกันในทุก ๆ คน ญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงก็จะถูกต้อนเข้าไปฟังและพยายามชักจูงโน้มน้าวให้เข้าร่วม ซึ่งตรงนี้หลายคนก็ได้เสียเพื่อนฝูง หรือ ญาติพี่น้องไปก็เป็นได้หากเขาไม่ได้สนใจในเครือข่ายเหล่านั้น และ ถูกตามตื้ออยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมก็เคยมีประสบการณ์เหล่านี้เช่นกัน เราก็ต้องพยายามเลี่ยง ๆ ที่จะพบหากรู้ว่าเพื่อนหรือญาติคนใดนั้นเข้าสู่เครือข่ายเหล่านี้ ซึ่งจากประสบการณ์ตรงนั้น ยังไม่เคยเห็นเพื่อนหรือญาติคนใดประสบความสำเร็จจากการทำงานกับเครือข่ายเหล่านี้แม้แต่รายเดียว บางคนนั้น เหมือนจะร่ำรวยในตอนแรก ๆ แต่ก็จะประสบปัญหาเช่นเดียวกันในตอนหลัง เนื่องจากเครือข่ายถึงทางตัน ซึ่งมันไม่ได้เป็นไปตามที่ทางเครือข่ายเหล่านี้โฆษณาว่าจะสามารถเกษียณตัวเองได้แม้แต่รายเดียว

สรุปเรื่องนี้ก็น่าจะไม่ได้ทำให้คนไทยเข็ดกับเรื่องแบบนี้ แต่ก็จะเกิดลักษณะใหม่ๆ  ของการทำแชร์ลูกโซ่ออกมาอีก ซึ่งก็น่าจะพัฒนาวิธีการเพิ่มขึ้นเพื่อให้เส้นแบ่งระหว่าง แชร์ลูกโซ่กับMLM นั้นน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายในที่สุด เราอาจจะได้เห็นพัฒนาการของเครือข่ายเหล่านี้ กลายเป็นแชร์ลูกโซ่แบบถูกกฏหมายจริง ๆ ก็ได้ หากเรายังไม่มาปฏิรูปหรือจัดการแบบเด็ดขาดกับรูปแบบธุรกิจเหล่านี้ หรืออาจจะมีการออกกฏหมายที่เด็ดขาดเพื่อจัดการกับเครือข่ายเหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

 

Mark Zuckerberg The Real Face Behind Facebook

Featured Video Play Icon

ถือว่าเป็น icons ของวงการ startup ทั่วโลกเลยก็ว่าได้สำหรับ Mark Zuckerberg  ผู้ก่อตั้ง facebook ที่มีผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 1,200 ล้านคนในขณะนี้ ซึ่งก็ทำให้เค้าติดอันดับเศรษฐีลำดับต้น ๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา

สำหรับ mark นั้นเขามีประวัติด้านคอมพิวเตอร์ที่ไม่ธรรมดามาตั้งแต่ตอนเรียน high school โดยเขากับเพื่อนได้ร่วมกันสร้าง software ชื่อ synapse สำหรับจดจำรสนิยมการฟังเพลง mp3 โดยปล่อยให้ download ได้ฟรี ๆ  ซึ่งตอนนั้น มีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง microsoft และ AOL  ได้มาขอซื้อโดยเสนอเงินให้ในหลักล้านเหรียญ แต่เขาก็ไม่ได้ขายแต่อย่างใด ซึ่งเขาได้แจ้งทาง microsoft และ AOL ไปว่า เขาไม่ได้ทำไว้ขาย ทำให้แจกให้ใช้ฟรีเท่านั้น

หลังจากที่ได้เข้าเรียนด้าน computer science ที่ harvard นั้น mark ก็ได้ทำการสร้างเว๊บ facemash.com ขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้งานได้ทำการ vote เปรียบเทียบหน้าของเพื่อนๆ  ที่ mark นั้นได้ไป hack รูปของ facebook ของหอพักแต่ละแห่งเข้ามาเพื่อให้ผู้ใช้งานได้สนุกกันกับการ Votes โดยมีผู้เข้าใช้งานกว่า 22,000 คร้้งและทำให้ server ของ harvard ถึงกับล่มไปเลยทีเดียว  แต่สิ่งที่เขาทำแล้วโดนโจมตีนั้นคือการเอารูปสัตว์มาเปรียบเทียบกับใบหน้าคนด้วย ทำให้ในช่วงนั้น mark โดนประนามไปไม่ใช่น้อยหลังจากนั้น

หลังจาก facemash นั้น mark ก็ค่อนข้างเริ่มมีชื่อเสียง ทั้งด้านบวก และ ด้านลบ โดยชื่อเสียงด้านการทำ software ของเค้านั้นได้ไปถึง ฝาแฝด winklevoss ซึ่งตอนนั้นมี idea ที่จะทำ social network สำหรับมหาลัย harvard ชื่อ harvard connection โดยเน้นการ exclusive สำหรับ user ที่มี email @harvard.edu เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นจุดแตกต่างสำหรับ social network ที่เป็นเจ้าตลาดในขณะนั้นอย่าง myspace.com หรือ friendster.com ที่ไม่เป็น exclusive user ทำให้เราได้ connect กับกลุ่มคนที่เราต้องการในมหาลัยเท่านั้น

หลังจาก mark ตกลงที่จะทำงานร่วมกับฝาแฝด winklevoss เค้าก็ได้มาคุยกับเพื่อสนิทอย่าง Eduardo saverin เพื่อที่จะทำ thefacebook ขึ้นมาแทน โดยใช้เงินทุนจาก Eduardo Saverin เพื่อใช้ในการตั้งต้นเช่า Server ของบริษัท ซึ่งแต่แรกนั้นใช้ domain ชื่อ thefacebook.com

หลังจากปล่อย thefacebook.com ออกให้ใช้งาน มีผู้ร่วมตอบรับอย่างมากมาย ซึ่ง mark นั้นกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในมหาลัยทันที เพราะแทบจะทุกคนใช้ในมหาวิทยาลัย harvard นั้นเป็น user ของ thefacebook หลังจากนั้น mark ก็ทำการขยายไปสู่มหาลัยชั้นนำอีก 9 แห่ง เช่น Stanford , Columbia  ฯลฯ  ซึ่งทำให้ยอดผู้ใช้งานเริ่มสูงขึ้นมาก และนักศึกษาในทุกมหาลัยที่ได้ใช้ facebook นั้น มีการตอบรับอย่างดีเยี่ยม

ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้ mark ต้องทำการ drop จากการเรียนที่ harvard เพื่อมุ่งหน้าสู่ silicon valley อย่างเต็มตัว โดยได้ไปเช่าบ้านอยู่ใกล้มหาลัย stanford เพื่อให้เข้าใกล้แหล่งลงทุนชื่อดังใน silicon valley และทำให้เขาได้พบกับ sean parker ซุปเปอร์สตาร์แห่งวงการ internet ผู้สร้าง napster ซึ่งมีบทบาทที่สำคัญในการเจริญเติบโตของ facebook ในยุคแรก ๆ  ซึ่ง sean ช่วยพา mark ไปติดต่อกับนักลงทุนจำนวนมาก เนื่องจากเขามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับนักลงทุนตั้งแต่ทำ napster แล้ว

และในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ eduardo saverin ที่ไม่ได้บินตามมาที่ silicon valley จึงไม่ได้ติดตามสถานการณ์ของ facebook อย่างใกล้ชิด จึงทำให้ mark พยายามที่จะถอด eduardo ออกจากการเป็น co-founder ของ facebook ประจวบกับการได้งบลงทุนก้อนใหญ่จากนักลงทุนใน silicon valley จึงทำให้ mark ไม่ต้องการ eduardo อีกต่อไป

หลังจากการได้เงินทุกก้อนใหญ่เพื่อมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ mark ก็ได้ทำการจ้างพนักงานฝีมือดีจำนวนมากมาร่วมงานและเน้นการพัฒนา features ของ facebook ทั้ง  wall ,  feeds ,  หรือ การ tag image ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมที่สำคัญของ facebook เลยก็ว่าที่ยิ่งทำให้ facebook ยิ่งเติบโตอย่างรวดเร็วและสุดท้ายก็ต้องเปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้ใช้งาน และด้วยความที่มี features ที่แตกต่างจาก social networks เดิมอย่าง myspace หรือ friendster นั้นก็ทำให้ facebook เติบโตจนกลายเป็น social network ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบัน

ทั้งเรื่องของฝาแฝด vinklevoss และ eduardo savering นั้น สุดท้ายต้องมาถกเถียงในชั้นศาลว่า mark นั้นได้ขโมย idea จาก ฝาแฝด winklevoss ไปจริง ๆหรือไม่ซึ่งสุดท้ายก็ยอมความกันในที่สุดโดย facebook ยอมจ่ายเงินสูงถึง 31 ล้านเหรียญ เพื่อยุติการฟ้องร้อง ส่วน saverin นั้นก็ได้หุ้นคืนกลับไป โดยมีการเจรจาว่าไม่ให้มีการสัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอีกต่อไป และ นำชื่อเขากลับเข้าสู่ facebook.com ในฐานะ co-founder ซึ่งเนื่องจากหลังจากนั้นไม่นาน facebook.com นั้นกลายเป็นบริษัทมูลค่าหลายพันล้านเหรียญไปเป็นทีเ่รียบร้อยแล้วทำให้ Saverin ก็กลายเป็นเศรษฐีไปอีกคนหลังจากบริษัทนำหุ้นออกทำการ IPO ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก

สำหรับ documentary ชุดนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษาสำหรับการตั้งบริษัท startup ให้ยิ่งใหญ่ได้อย่าง facebook ซึ่งการที่กว่าจะก้าวมาถึงระดับนี้ได้นั้น ก็ต้องผ่านเรื่องราวมากมาย จนกลายเป็นบริษัทที่เติบโตรวดเร็วที่สุด บริษัทหนึ่งในโลกของสหรัฐอเมริกาจวบจนถึงปัจจุบัน

 

Life Story of Bill Gates

ถือว่าเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่สำหรับวงการ it โลกคนหนึ่งเลยทีเดียวสำหรับ Bill Gates ผู้ซึ่งได้สร้างอาณาจักร microsoft ให้ยิ่งใหญ่ได้จนถึงปัจจุบันนี้

Bill Gates นั้นเป็นผู้ที่ถือได้ว่ามีความอัจฉริยะ มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เนื่องจากในยุคนั้นเป็นยุคแรก ๆ ของ computer ซึ่งไม่ค่อยมีโรงเรียนไหนได้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ซักเท่าไหร่ แม้กระทั่งในอเมริกา แต่ถือเป็นโชคดีของ gates ที่โรงเรียนมัธยมที่เค้าได้เข้าศึกษาในเมือง Seattle  ซึ่งถือว่า computer ก็เป็นสิ่งที่ bill gates หลงรักมาตั้งแต่นั้น

ในช่วงชีวิตมหาลัยในรั้ว harvard นั้น gates หมกมุ่นอยู่กับ computer แทบจะ 24 hrs ทำให้แทบจะไม่ค่อยได้เรียนซักเท่าไหร่ และเขาก็ได้เล็งเห็นโอกาสสำคัญของ Personal Computer ที่กำลังจะเกิดขึ้นในยุคนั้น โดยเริ่มต้นนั้นเขาได้พัฒนาตัว software ให้กับเครื่อง computer altair 8080  ซึ่งก็คือ Basic 1.0 นั่นเอง ซึ่งในตอนนั้น ๆ ยังไม่มีการซื้อ software กันเป็นที่แพร่หลาย คนทั่วไปจะมองค่าแค่ตัว hardware แต่ gates ก็ทำให้วงการยอมรับว่าต้องมี license ในส่วนของ software

หลังจากพัฒนา Basic ให้ Altair Gates ก็เห็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ และทำให้ได้ออกจากการเรียนที่ harvard และมาตั้งบริษัทร่วมกับเพื่อนของเค้าอย่าง Paul Allen ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญกับ microsoft ในยุคแรก ๆ และในช่วงนั้น IBM ยักษ์ใหญ่ของตลาดในขณะนั้นกำลังเข้ามาทำตลาดในส่วนของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยเตรียมที่กำลังจะออก IBM PC  แต่ตอนนั้นยังไม่มี software เป็นของตัวเอง Gates จึงได้ไปนำเสนอระบบปฏิบัติการเพื่อให้รันได้กับ IBM PC โดยขายเป็น license fee ตามจำนวนเครื่องที่ IBM ขายได้

ในตอนนั้น gates ก็ยังไม่มีตัว software ระบบปฏบัติการใด ๆ และได้ทำการไปซื้อ MS-DOS มาโดยใช้เงินเพียงแค่ 50,000 เหรียญ แล้วนำมาขายให้กับ IBM ซึ่งเป็นช่วงเปิดตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลพอดีจึงทำให้ Gates กลายเป็นเศรษฐีไปในแทบจะทันที

และเนื่องจากช่วงนั้นในปลายปี 1990-1990 เป็นช่วงที่มีกระแสบูมสุดขีดของ personal computer ทำให้ยอดขายระบบ MS-DOS นั้นเป็นจำนวนเงินมหาศาล รวมทั้ง Gates ไม่ได้ขายให้กับ IBM เพียงเจ้าเดียว ซึ่งเจ้าไหนที่ทำคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้นก็จะมีการขายระบบปฏิบัติการของ Bill Gates เข้าไปด้วย ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการแข่งขันกับบริษัท apple ของ Steve Jobs ซึ่งทั้งคู่ก็กลายเป็นคู่แข่งกันอย่างยาวนาน ก่อนที่ลังจากนั้นถัดมาไม่นาน microsoft จะกินรวบตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกว่า 90% หลังจากได้ทำการออก windows 95, 98 และ XP ที่เป็นระบบปฏิบัติการที่มีคนใช้งานมากที่สุดในโลกในช่วงนึงเลยก็ว่าได้

นั่งเองก็ทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกอย่างอย่างนานเนื่องจากครองถือหุ้น microsoft ไว้กว่า 40%  และถึงแม้จะมีการฟ้องร้องด้านการผูกขาดตามมาภายหลังก็ตาม แต่ได้ถือว่าเค้าได้ทำลายคู่แข่งในตลาดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งตลาดระบบปฏิบัติการที่มีคู่แข่งอย่าง Mac OS ที่แทบจะล้มละลายปิดบริษัทไปในช่วงนั้น และ ตลาดของ Browser ที่มีคู่แข่งในตอนนั้นอย่าง Netscape ก็ได้ล้มหายตายไปจากวงการไปเป็นที่เรียบร้อย

ถ้ามองดูตัว bill gates จริง ๆ นั้นถือว่าเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก การใช้กลวิธีต่างๆ  ในการต่อสู้กับคู่แข่งนั้น microsoft สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ตามมาด้วยการถูกตราหน้าว่าเป็นยักษ์ใหญ่ผู้เหี้ยมโหด มีการทำลายบริษัทคู่แข่งไปเป็นจำนวนมากเพื่อให้ตัวเองยึดครองตลาดอยู่เพียงฝ่ายเดียว  อย่างไรก็ตามหลังจากสงครามในยุคแรกจบ  และมาซึ่งสงครามครั้งใหม่ของบริษัท technology ด้าน internet กับคู่แข่งที่น่ากลัวอย่าง google นั้น เราก็ต้องดูกันต่อไปว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง microsoft จะสามารถโค่น google ลงได้เหมือนที่เคยทำกับบริษัทอื่นๆ  ในอดีตได้หรือไม่

 

Book Review : คิดแบบ ลี กวน ยู

 

ถือเป็นหนังสือเล่มเล็กที่เปี่ยมไปด้วยเนื้อหาสรุปเรื่องราวความเป็นมาของประเทศสิงคโปร์ได้ดีทีเดียวสำหรับหนังสือ คิดแบบ ลี กวน ยู ของสำนักพิมพ์ แสงดาว

ความจริงแนวคิดการพัฒนาแบบสิงคโปร์นั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างมาก สำหรับประเทศที่มีขนาดเล็กและแทบไม่มีทรัพยากรใด ๆ เลยอย่างประเทศสิงคโปร์ ลี กวน ยู นั้นถือเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาของประเทศสิงคโปร์อย่างมากตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งประเทศสิงค์โปร์ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

เราลองมองย้อนกลับไปในยุคหลังสงครามโลกใหม่ๆ  ตอนนั้นถือว่าประเทศไทยเรานั้นยังเจริญกว่าสิงคโปร์มาก ๆ แถมเราก็ไม่ได้เป็นประเทศแพ้สงครามเสียทีเดียว บ้านเมืองเราก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากถ้าเทียบกับเพื่อนบ้านเราที่ใช้เป็นเขตสู้รบซะส่วนใหญ่ ในตอนแรกนั้น สิงคโปร์เป็นเพียงแค่สหพันธรัฐหนึ่งของมาเลเซียเท่านั้น หลังจากรวมได้ไม่นาน ลี กวน ยูก็ต้องแยกออกเป็นประเทศอิสระ ซึ่งตอนนั้นเขาก็ไม่ได้อยากจะแยกจากมาเลเซีย เสียทีเดียว เนื่องจาก ประเทศสิงคโปร์ นั้นแทบจะไม่มีอะไรเลยทั้งทรัพยากรธรรมชาติ และ ทรัพยากรมนุษย์ ยังต้องพึ่งพาน้ำสะอาดจากมาเลเซียเสียด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากความแตกต่างทางชาติพันธุ์มาก เนื่องจากส่วนใหญ่คนในเกาะสิงคโปร์นั้นเป็นชาวจีนอพยพ จึงมีวัฒนธรรมที่แตกต่างจาก มาเลเซีย ซึ่งเป็นชาวมุสลิม เสียเป็นส่วนใหญ่ทำให้อยู่ร่วมกันได้ยาก

หลังจากแยกออกมาเต็มตั้วนั้น แนวคิดหลักของ ลี กวน ยู ก็คือสร้างชาติใหม่ โดยเน้นเปิดรับการลงทันจากต่างชาติ และเนื่องจาก ที่ตั้งของสิงคโปร์นั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการเดินเรือที่สำคัญทำให้ เป็นข้อได้เปรียบเพียงข้อเดียวของสิงคโปร์ในขณะนั้น ที่จะทำให้เขาสร้างชาติขึ้นมาได้

ลี กวน ยู นั้นค่อนข้างจะเป็นผู้นำแบบแนวเผด็จการ โดยรวบอำนาจทั้งหมดไว้ และ ทำลายคู่แข่งด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ถือเป็นกลยุทธ หนึ่งที่ใช้ในการบริหารประเทศ เพราะมีนโยบายการพัฒนาระยะยาวที่ชัดเจนไม่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เมื่อเปลี่ยนผู้นำเหมือนหลายประเทศ และประชาชนก็มีชีวิต กินดีอยู่ดีขึ้นทำให้เลือกเขากลับมาทุกครั้งเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ และในสภานั้นก็มีอำนาจแทบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

แนวทางในการบริหารนั้นเน้นพัฒนาคุณภาพของคนเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานของการพัฒนาสิงคโปร์มาจวบจนถึงปัจจุบันนี้ และเน้นการลงทุนโดยภาครัฐ ทั้งหมดผ่านกองทุนของประเทศอย่าง Government of Singapore Investment  Corporation ( GIC ) โดยลงทุนในหลาย ๆ ธุรกิจที่สำคัญอย่าง ธุรกิจการบิน ธนาคาร การลงทุน การเดินเรือ หรือ ทางด้านการแพทย์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์ ลี กวน ยู เน้นการพัฒนาด้านการค้าการลุงทุน มีการจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน เพื่อรองรับการเป็น hub ทางด้านการเงินของภูมิภาคนี้

ถ้าเปรียบกับประเทศไทยนั้นก็จะคล้ายกับในยุคของ นายก ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จะเห็นได้ว่าเขาได้พยายามควบคุมอำนาจทุกอย่างไว้ และ บริหารแบบแนวเผด็จการ ซึ่งก็ไม่ต่างจากนาย ลี กวน ยูที่บริหารสิงคโปร์ ซึ่งผมมองว่า ถ้าเราบริหารประเทศไปด้วยแนวทางเดียวกันโดยใช้เวลาในช่วงเวลาหนึ่งนั้น ก็จะมีผลต่อการเติบโตของไทยเช่นเดียวกับการบริหารแบบสิงคโปร์ ซึ่งก็น่าคิดเหมือนกันว่า ถ้าหากนายก ทักษิณ นั้นได้บริหารประเทศมาต่อซัก 10-20 ปีนั้น ประเทศเราก็มีโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วได้แบบสิงคโปร์หรือไม่ ซึ่งแนวคิดแบบนี้นั้นก็ work ในหลายประเทศ และก็ไม่ work ในหลายประเทศเช่นกัน โดยเฉพาะประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงก็จะมีคนต่อต้านมากมายรวมถึงมีโอกาสที่ขัดกับผลประโยชน์กับบางกลุ่มได้เช่นเดียวกับในประเทศไทย

สุดท้ายหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ให้แนวคิดในการบริหารประเทศแบบเดียวกับสิงคโปร์ถึงจะมีเนื้อหาไม่มากนัก แต่ก็พอที่จะสรุปภาพรวมทั้งหมดของแนวคิดของลีกวนยูได้ ซึ่งก็แนะนำให้หามาอ่านเป็นอย่างยิ่งครับ

เก็บตกจากหนังสือ 

  • แนวความคิดแบบประชาธิปไตย แบบ กึ่งเผด็จการนั้น ในระยะสั้นเราอาจจะไม่เห็นภาพ แต่ถ้ามองในระยะยาวก็อาจจะ work ในการบริหารกับบางประเทศเช่นสิงคโปร์
  • ประเทศสิงคโปร์นั้น มีอายุเพียงแค่ 60 กว่าปีเท่านั้น แต่มีการเจริญเติบโตรวดเร็วมาก ซึ่ง ก็มีโอกาสกับประเทศไทยเหมือนกัน ถ้าเดินเครื่องติด มันก็จะมีพลังงานในการขับเคลือนเศรษฐกิจไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบปี ในการก้าวขึ้นไปเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างสิงคโปร์ได้เช่นเดียวกัน
  • ประเทศสิงคโปร์นั้นเน้นการพัฒนาคน โดยเน้นทางด้านการศึกษาเป็นอันดับแรกทำให้ผู้คนมีความรู้สูงและส่วนใหญ่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างดีเยี่ยมทำให้ไม่เป็นอุปสรรคในการติดต่อกับต่างชาติ

ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
Fanpage : facebook.com/tharadhol.blog
Blockdit : blockdit.com/tharadhol.blog
Twitter : twitter.com/tharadhol
Instragram : instragram.com/tharadhol