ปาร์ตี้ผลาญเงินจบสิ้นแล้ว เมื่อซิลิคอนแวลลีย์เตรียมพร้อมสำหรับยุคใหม่ของความวุ่นวายทางการเงิน

อาคารริมถนนที่พลุกพล่านในตัวเมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งเคยเป็นสำนักงานใหญ่ของ Fast ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ชำระเงินสำหรับแม่ค้าออนไลน์ สำนักงานที่ร้าง อดีตบริษัทดาวรุ่งแห่งซิลิกอน วัลเลย์

Fast สามารถระดมทุนได้ 125 ล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2019-2021 ซึ่งรวมถึงบริษัทระดับท็อป กองทุนในตำนานอย่าง Kleiner Perkins และ Index Ventures จากนั้นในเดือนเมษายน Fast ก็ต้องพังทลายลงด้วยการขาดแคลนเงินสดเมื่อไม่สามารถระดมทุนรอบใหม่ได้

การล่มสลายของ Fast เป็นสัญญาณว่ากำลังถึงช่วงตกต่ำแห่งซิลิกอน วัลเลย์ เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เงินเฟ้อที่พุ่งทะยาน ความวุ่นวายในห่วงโซ่อุปทานที่เกิดจากการระบาดใหญ่ในประเทศจีน แถมยังถาโถมด้วยสงครามในยูเครน

มันทำให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นกับเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทเทคโนโลยีรุ่นใหม่กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก เนื่องจากการประเมินมูลค่าส่วนใหญ่ของพวกเขามาจากโอกาสสร้างผลกำไรในอนาคตอันไกลโพ้น

แต่ปัจจุบันมูลค่าบริษัทสตาร์ทอัพเหล่านี้ถูกกัดเซาะด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมถึงระเบิดของการ short ในตลาดหุ้น นั่นทำให้อุตสาหกรรม VC เกิดความตกตะลึง ซึ่งพวกเขาต้องเดิมพันด้วยเงินทุนมหาศาลเพื่อผลักดันให้เกิด Google หรือ Facebook รายต่อไป

สถานการณ์ในตอนนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น นักลงทุนกำลังเตือนบริษัทในพอร์ตโฟลิโอของตนเองว่า อย่าคาดหวังว่าจะมีการระดมทุนรอบใหม่สักระยะ และให้เก็บเงินทุนของตนเองให้เพียงพอหล่อเลี้ยงบริษัทจนถึงปี 2025

แน่นอนว่า บริษัทสตาร์ทอัพ ต้องการเงินทุนมาต่อยอดอยู่ตลอดเวลา แต่การขาดเงินทุนแบบนี้ ทำให้ยากที่จะดำเนินการบริษัทในรูปแบบนี้ได้ ส่วนใหญ่จะล้มเหลวอย่างที่เกิดขึ้นกับ Fast

ซึ่งหลังจากผ่านเวลาหลายปีที่มีการอัดเม็ดเงินลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะในปี 2021 ที่บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีระดับโลกสามารถระดมทุนรวมได้ถึง 621 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าปี 2011 ถึงสิบเท่า

ส่วนใหญ่เป็นโปรเจ็คที่เพ้อฝัน มีผู้ก่อตั้งที่บ้าคลั่ง มีเคสตัวอย่างหลาย ๆ เคสที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Softbank ที่ออกกองทุน Vision Fund ระดมทุนได้กว่า 100,000 ล้านดอลลาร์

แต่ต้องสูญเสียเงินให้กับบริษัทที่ล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็น Uber , WeWork หรือแม้กระทั่ง Grab ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองก็ตามที

ราคาหุ้นของ Grab ที่มูลค่าดิ่งลงเหว (CR:Mothership.sg)
ราคาหุ้นของ Grab ที่มูลค่าดิ่งลงเหว (CR:Mothership.sg)

หลังผ่านพ้นปี 2021 ดูเหมือนความหอมหวนในบริษัทเทคโนโลยีจะหมดลงไปแบบฉับพลัน ดัชนี NASDAQ ซึ่งเป็นดัชนีที่เน้นหนักด้านเทคโนโลยีร่วงลง 30% นับจากจุดสูงสุด

จากข้อมูลของ Pitchbook ผู้ให้บริการข้อมูลของ VC มากกว่า 140 รายพบว่า บริษัทที่ได้รับเงินสนับสนุนซึ่งเป็นตัวสู่สาธารณะ (IPO) ในอเมริกาตั้งแต่ปี 2020 มีมูลค่าต่ำกว่าจำนวนเงินลงทุนทั้งหมดที่พวกเขาระดมทุนตลดช่วงชีวิตของพวกเขา

ตัวอย่างเช่น Faraday Future ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน มีมูลค่าเพียง 710 ล้านดอลลาร์ หลังจากระดมทุนได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์

Grab อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากสิงคโปร์ ระดมทุนได้ 14 พันล้านดอลลาร์ ก่อนเปิดตัวสู่สาธารณะด้วยมูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ตอนนี้มีมูลค่าไม่ถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์

การระดมทุนได้ชะลอตัวเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2021 ระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม จำนวนรอบการระดมทุนในอเมริกาลดลง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ตามข้อมูลใน Pitchbook การระดมทุนในเอเชียลดลง 11% และในยุโรปลดลง 19% นักลงทุนด้าน VC กล่าวว่าแทบไม่มีการทำข้อตกลงใด ๆ ในทุกวันนี้

วิธีหนึ่งที่สตาร์ทอัพต้องทำก็คือตัดค่าใช้จ่ายด้านพนักงาน มีสตาร์ทอัพประมาณ 800 รายลดเงินเดือนลงตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม

Getir แอปส่งของในตุรกี ไล่คนออกไปแล้วกว่า 4,000 คน (หรือ 14% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด) Better.com ผู้ให้กู้จำนองออนไลน์ เลิกจ้าง 3,000 คน (33%)

Getir แอปส่งของในตุรกี ปลดพนักงานครั้งใหญ่เพื่อเอาตัวรอด (CR:Nation World News)
Getir แอปส่งของในตุรกี ปลดพนักงานครั้งใหญ่เพื่อเอาตัวรอด (CR:Nation World News)

กลยุทธ์ทั่วไปอีกประการหนึ่งคือการลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดให้น้อยลง SensorTower ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า 50 บริษัทสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ลดค่าใช้จ่ายดังกล่าวซึ่งในอเมริกาลดลง 43% ตั้งแต่เดือนมกราคม

สำหรับบริษัทบางแห่ง การปรับลดต้นทุนเหล่านี้อาจจะไม่เพียงพอ และกลุ่มที่โดนผลกระทบก่อนใครเพื่อนก็คือ บริษัทในระยะเริ่มต้น โดยเฉลี่ยแล้ว อัตรา burn rate ของพวกเขาจะมีเงินทุนอยู่ได้ประมาณ 20 เดือน ซึ่งน้อยกว่า 30 เดือน ที่ผู้ร่วมทุนส่วนใหญ่เตือนให้ผู้ก่อตั้งต้องเตรียมให้พร้อมไว้

ในบริษัทที่มีการเติบโตเต็มที่แล้ว มีสามกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกว่า หนึ่งในนั้นคือบริษัทในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง เช่น การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ การส่งสินค้า และ fintech ซึ่งบริษัท VC จะแห่แหนกันไปลงทุน จะมีผู้ชนะเพียงไม่กี่แห่ง แต่บริษัทขนาดกลางและเล็กอื่นๆ จะต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด

กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอันดับสองคือ บริษัทที่หาเงินไม่ได้ในปี 2021 เมื่อเหล่านักลงทุนนั้นใจกว้างและประมูลมูลค่าบริษัทสูงเกินไป บริษัทสตาร์ทอัพรายใหญ่ที่สุดในโลกประมาณ 60 รายจาก 500 รายอยู่ในข่ายนี้

ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็ก เช่น Yuanfudao ผู้ให้บริการเทคโนโลยีทางด้านการศึกษาของจีน และ OrCam ผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับผู้พิการทางสายตาของอิสราเอล

ประเภทที่สามคือบริษัทที่อ่อนไหวต่อความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด นอกจากแอปจัดส่งอาหารแล้ว ยังรวมถึงบริษัทสตาร์ทอัพด้านความบันเทิง เช่น Epic Games ผู้พัฒนาวีดีโอเกม

หรือในบริษัทกลุ่ม crypto ซึ่งได้รับประโยชน์จากราคาสกุลเงินดิจิทัลที่พุ่งทะยานก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้กำลังประสบปัญหาใหญ่อย่างที่เกิดขึ้นในหลายๆ เคส ตัวอย่างที่กลายเป็นตำนานก็คงจะเป็น Terra Luna

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน Bloomberg รายงานว่า FTX ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยน crypto กำลังเจรจาเพื่อซื้อ Robinhood ซึ่งเป็นแอปซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลผ่านทางแอปมือถือ

นักลงทุนได้เล่าถึงข้อตกลงล่าสุดที่เขาทำไว้ได้ในราคาประมาณหนึ่งในสามของราคาที่เขาพูดคุยกับผู้ก่อตั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว

ต้องบอกว่า ในตอนนี้สถานการณ์ของวงการสตาร์ทอัพทั่วโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่มี VC ที่ไหนจะนำเงินมาให้เหล่าผู้ก่อตั้งที่เพ้อฝัน เผาเงินของพวกเขาไปในอากาศ และรอวันทำกำไรในอีก 10-20 ปีอีกต่อไปแล้ว

และที่สำคัญ บริษัทสตาร์ทอัพหลาย ๆ ราย กำลังประสบชะตากรรมลำบาก หน้าฉากที่ดูสวยหรู แต่เบื้องหลัง อาจจะเลวร้ายถึงขั้นล้มละลาย แต่เมื่อมองภาพใหญ่สำหรับ ecosystem โดยรวมของวงการ ถือว่าได้ประโยชน์ เพราะท้ายที่สุด สถานการณ์ดังกล่าวนี้มันจะช่วยกลั่นกรองขยะออกไปและทำให้ได้รู้ว่าคนไหนคือตัวจริงของวงการนั่นเองครับผม

References :
https://www.nbcnews.com/tech/tech-news/tech-stocks-economy-crash-2022-rcna27563
https://www.economist.com/business/2022/06/28/the-great-silicon-valley-shake-out
https://www.businessinsider.com/twilight-of-tech-gods-recession-stock-market-crash-silicon-valley-2022-5
https://money.com/stock-market-tips-fall-september-2021/
https://www.cnn.com/2022/06/09/tech/tech-downturn/index.html

Geek Story EP150 : The next Elon Musk? มาทำความรู้จักกับ Alexandr Wang เจ้าสัวน้อยที่สร้างตัวด้วยอายุน้อยที่สุดในโลก

Alexandr Wang เป็นผู้ประกอบการทางด้านเทคโนโลยีผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Scale AI ได้กลายเป็นชื่อที่ถูกจับตามองว่าจะกลายมาเป็น Elon Musk คนต่อไป ด้วยการเป็นมหาเศรษฐีที่สร้างตัวเองขึ้นมาที่อายุน้อยที่สุดในโลก ในวัย 25 ปี

Alexandr Wang เติบโตขึ้นมาในเงามืดของห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอส อาลา มอส ในรัฐนิวเม็กซิโก ซึ่งเป็นสถานที่ลับสุดยอดที่สหรัฐ พัฒนาระเบิดปรมาณูลูกแรกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

เรียกได้ว่า Wang เองมีพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่วัยเยาว์ พ่อแม่ของ Wang ต่างก็เป็นนักฟิสิกส์ในโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอาวุธให้กับกองทัพอเมริกัน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/39U0mGF

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3nmmEUj

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3xVuNnE

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3QTco3o

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/E_w_Pd0OaFQ

เรื่องตลกที่ Xi ไม่ขำ เมื่อเป้าหมายต่อไปของรัฐบาลจีนคืออุตสาหกรรมด้านความบันเทิง

ในปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บัญชีทางการของบริษัท NetEase ของเกม “Diablo Immortal” บน Weibo บริการที่คล้าย Twitter ของจีน โพสต์คำถามที่มีการโต้เถียงกันในโลกออนไลน์อย่างร้อนแรงว่า “ทำไมหมียังไม่ก้าวลงมา”

ข้อความที่คลุมเครือนี้ถูกตีความอย่างกว้างขวางว่าเป็นการอ้างถึงประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ซึ่งมักถูกเปรียบเทียบทางออนไลน์กับตัวการ์ตูนหมีอย่างวินนี่เดอะพูห์ และไม่นานหลังจากนั้นบัญชี Weibo ดังกล่าวได้ถูกแบนออกจากสารบบทันที

NetEase ผู้พัฒนาเกมชาวจีนคุ้นเคยกับความหมายที่ต้องการสื่อในเกมเหล่านี้มากพอ ตัวอย่างเช่น วลี “Chong ta” ที่อธิบายการบุกโจมตีปราสาท ที่เป็นแก่นของ “Diablo Immortal” ซึ่งเป็นเกมเล่นตามบทบาท (Role Playing Game) ที่ได้รับความนิยมอย่างมหาศาลในยุค 90 

บริษัทมีกำหนดจะเปิดตัวเกมเวอร์ชั่นภาษาจีน ซึ่งพัฒนาร่วมกับ Activision Blizzard บริษัทเกมยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกาในวันที่ 23 มิถุนายน 

แต่ในวันที่ 19 มิถุนายน การเปิดตัวล่าช้าออกไป ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับเวอร์ชั่นใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลง 10% ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าการตีความครั้งที่สองของวลี Chong ta คือสาเหตุหลักที่มันยังไม่ผ่านการเซ็นเซอร์

ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เนื้อหาออนไลน์ที่มีความอ่อนไหวทำให้บริษัทเทคโนโลยีของจีนต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างสูง

ในปีที่แล้ว Wang Xing ผู้ก่อตั้ง Meituan แอปเดลิเวอรี่ ได้โพสต์บทกวี “The Book Burning Pit” ซึ่งเขียนโดยกวีชาวจีน Zhang Jie เมื่อ 1,100 ปีก่อนเพื่อเสียดสี Qin Shi Huang ผู้ซึ่งประกาศตัวเองว่าเป็น “จักรพรรดิ” คนแรกของจีนที่รวมเป็นหนึ่งเดียวใน 221 ปีก่อนคริสตกาล

Wang Xing ผู้ก่อตั้ง Meituan  โพสต์บทกวีจนกลายเป็นประเด็นร้อน (CR: daydaynews.cc)
Wang Xing ผู้ก่อตั้ง Meituan โพสต์บทกวีจนกลายเป็นประเด็นร้อน (CR: daydaynews.cc)

ซึ่งกลายเป็นที่ถกเถียงบนโลกออนไลน์ว่าเป็นการดูหมิ่น สี จิ้นผิง และแน่นนอนมันได้กลายเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดอีกครั้ง เมื่อราคาหุ้นของบริษัท Meituan ลดลง 14% ในช่วงเวลาแค่ 2 วัน มูลค่าตลาดหายไปประมาณ 26 พันล้านดอลลาร์

เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ไลฟ์สตรีมของ Li Jiaqi ผู้ทรงอิทธิพลออนไลน์ที่แฟน ๆ หลายล้านคนรู้จักเขาในฐานะ Lipstick King ถูกตัดการเชื่อมต่อทันทีหลังจากที่เขาได้รักเค้กชิ้นหนึ่งที่มีรูปร่างเหมือนรถถัง

Li แทบไม่ได้ปรากฎตัวอีกเลยนับตั้งแต่นั้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อแพลตฟอร์มชื่อดังอย่าง Taobao ที่ Li ใช้ในการไลฟ์สตรีม

การหายตัวไปของ Li นั้น ชาวเน็ตคาดการณ์ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วันครบรอบการประท้วงที่จตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งมีภาพรถถังเข้ามาปราบปรามประชานพร้อมกับการนองเลือด

Li Jiaqi ฉายา Lipstick King ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย (CR:indiatimes)
Li Jiaqi ฉายา Lipstick King ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย (CR:indiatimes)

ภาพลักษณ์ของยานพาหนะ ในรูปแบบคล้ายเหตุการณ์ดังกล่าวในช่วงวันครบรอบพอดิบพอดี ได้ถูกลบให้เลือนหายไปจากสารบบอินเทอร์เน็ตของจีน เพื่อไม่ให้เตือนใครถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1989

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทางการจีนได้สงสัญญาณว่าการจะมีการยกระดับการปราบปรามอุตสาหกรรมด้านความบันเทิง ทั้งเกม ภาพยนตร์ ดารา เซเลบริตี้ Influencers ต่าง ๆ รวมถึงสิ่งที่อยู่บนโลกออนไลน์ครั้งใหญ่

ก่อนหน้านี้ทางการจีนได้เข้ามาปราบปรามอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจนราบคาบ ทำให้มูลค่าของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนมูลค่าลดลงไปราว 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

แน่นอนว่า ไม่มีใครทราบอย่างแน่ชัดว่า หมูพูห์ ของ NetEase บทกวีของ Wang Xing หรือ เค้กรูปรถถังของ Li มันคือความตั้งใจท้าทายอำนาจสูงสุดของประเทศจีนหรือไม่

แต่แน่นอนว่าการปิดปากประชาชนในการแสดงความคิดเห็นในยุคของ สี จิ้นผิงนั้น มีความทะเยอทะยานมากกว่าสิ่งที่ผู้นำรุ่นก่อน ๆ เขาของพยายามทำเป็นอย่างมาก

มาถึงตอนนี้มันสะท้อนให้เห็นแนวคิดใหม่ในเรื่องของการเซ็นเซอร์ในประเทศจีนได้อย่างชัดเจน มันส่งผลต่อธุรกิจอย่างมหาศาล ซึ่งหากใครต้องการที่จะทำธุรกิจในจีนแบบไม่สะดุดและไม่อยากสูญเสียเงินเฉกเช่นพวกเขาเหล่านี้ มันคือบทเรียนว่าจงโค้งคำนับให้กับ การเซ็นเซอร์ครั้งใหญ่ของ สี จิ้นผิง นั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/finance-and-economics/2022/04/16/xi-jinpings-bold-plan-for-chinas-next-phase-of-innovation
https://www.boredpanda.com/how-xi-jinping-is-turning-china-into-a-new-form-of-dictatorship
https://edition.cnn.com/2021/05/12/tech/meituan-wang-xing-poem-intl-hnk/index.html
https://www.economist.com/business/2022/06/23/chinas-crackdown-on-the-fun-industry-continues
https://www.economist.com/china/2022/06/02/xi-jinping-bans-grumbling-inside-the-communist-party

Geek Monday EP137 : Digital Crack Cocaine กับวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความสำเร็จของ TikTok

Dr. Julie Albright จาก USC กล่าวว่าแพลตฟอร์มอย่าง TikTok ซึ่งรวมถึง Instagram, Snapchat และ Facebook ได้นำหลักการเดียวกันกับที่ทำให้มนุษย์เราเสพติดการพนัน“ในแง่จิตวิทยา [มัน] เรียกว่าการเสริมแรงแบบสุ่ม” Albright กล่าว 

“มันหมายถึงบางครั้งคุณชนะ บางครั้งคุณก็แพ้ และนั่นคือวิธีการออกแบบแพลตฟอร์มเหล่านี้ … มันเหมือนกับสล็อตแมชชีนพอดี สิ่งหนึ่งที่เรารู้คือเครื่องสล็อตเป็นเกมที่เล่นแล้วติดใจ เรารู้ว่ามีการติดการพนันใช่ไหม? แต่เรามักไม่ค่อยพูดถึงว่าอุปกรณ์ของเราและแพลตฟอร์มเหล่านี้และแอพเหล่านี้มีคุณสมบัติที่น่าดึงดูดเหมือนกันได้อย่างไร”

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3Noiru7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3NlvqfN

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3HTONeY

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3biQUg2

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/P0w1QnBZbto

สูตรสำเร็จการสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศในแบบฉบับสวิตเซอร์แลนด์

เหล่านักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ สื่อและศิลปิน ได้มารวมตัวกันที่ดาวอสในวันที่ 15-19 มกราคมที่ผ่านมา ใน World Economic Forum ประจำปี 2024

มันเป็นเวลากว่าครึ่งทศวรรษแล้วที่ กลุ่มผู้นำ ผู้มีอิทธิพลระดับโลก ได้ใช้การประชุมประจำปี ณ เมืองเล็ก ๆ ในหุบเขาแห่งนี้ในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่สุดของโลก

ดาวอส หมู่บ้านที่อยู่บนภูเขาเล็ก ๆ แห่งนี้ เติบโตขึ้นในฐานะเจ้าภาพการประชุมระดับโลก รวมคนมีชื่อเสียงทั่วโลกไว้มากมาย เป็นอีกหนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวสวิตเซอร์แลนด์

มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับว่าประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ มีดีอะไร ที่สามารถดึงดูดจนกลายเป็นฐานที่มั่นของธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ต้องแห่กันมาตั้งสำนักงานสำคัญ ๆ ณ ประเทศแห่งนี้

สวิตเซอร์แลนด์ที่แทบไม่มีทางออกสู่ทะเล เป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำในยุโรป 13 จาก 100 บริษัทตามมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง อีก 12 จาก 500 บริษัทอันดับต้น ๆ จากทั่วโลก แล้วอะไรคือ เคล็ดลับของชาวสวิส?

มันต้องมีบางสิ่งที่น่าทึ่งบางอย่างสำหรับประเทศแห่งนี้ ที่ดึงดูดบริษัทยักษ์ใหญ่มากมาย ให้เข้ามาลงทุนในประเทศ สวิตเซอร์แลนด์มีบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 หนาแน่นที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับพื้นที่ขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยขุนเขา

World Economic Forum ที่รวมผู้นำทรงอิทธิพลของโลก ไว้ที่เมืองดาวอส (CR:Politico)
World Economic Forum ที่รวมผู้นำทรงอิทธิพลของโลก ไว้ที่เมืองดาวอส (CR:Politico)

บริษัทข้ามชาติมีส่วนสำคัญโดยสร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศถึง 1 ใน 3 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก

บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติถูกพลังดึงดูดไปตั้งถิ่นฐานในสวิตเซอร์แลนด์ Google ได้จัดตั้งศูนย์วิศวกรรมที่ใหญ่ที่สุดนอกอเมริกาในเมืองซูริก บริษัทยักษ์ใหญ่ของสวิสเองก็มีผลงานที่เหนือกว่าคู่แข่งในยุโรปเป็นอย่างมาก

ดัชนีตลาดหุ้นสวิสเติบโตขึ้น 29% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เทียบกับเพียงแค่ 3% ของ Euro Stoxx 50 ซึ่งเป็นดัชนีที่ครอบงำโดยกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสและเยอรมัน

สวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้มีจุดเด่นเพียงแค่ในธุรกิจด้านการธนาคาร ยังมี Roche และ Novartis ในธุรกิจยา , Nestle ในธุรกิจด้านอาหาร , Glencore และ Gunvor ในสินค้าโภคภัณฑ์ , Richemont และ Patek Philippe ในอุตสาหกรรมนาฬิกา , Lindt & Sprungli และ Barry Callebaut ที่เป็นผู้ผลิตช็อกโกแลตที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ต้องบอกว่ามีคำอธิบายหลายอย่างเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวขององค์กรในสวิตเซอร์แลนด์ และหนึ่งในคุณลักษณะเด่นที่สำคัญคือ “สามัญสำนึก”

Paul Bulcke ประธานของ Nestle ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการเมืองที่ไม่เหมือนใครซึ่งผสมผสานระหว่างสหพันธ์กับประชาธิปไตยโดยตรง

ด้วยรัฐบาลกลางที่ไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากนัก มหาวิทยาลัยการวิจัยชั้นนำ และการแข่งขันในด้านการศึกษาและการเก็บภาษีระหว่างรัฐต่างๆ ที่หลอมรวมขึ้นเป็นสมาพันธ์สวิส

สำหรับประวัติศาสตร์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั้น พวกเขาเริ่มต้นประเทศด้วยความยากลำบาก ผืนแผ่นดินที่ไม่เหมาะกับการเพาะปลูก ซึ่งส่วนใหญ่จะปกคลุมไปด้วยหิมะเกือบตลอดทั้งปี ทำให้เป็นภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย

ดังนั้นเมื่อสวิตเซอร์แลนด์เริ่มพัฒนาเศรษฐกิจในเขตเมืองต่าง ๆ ในศตวรรษที่ 19 เมืองต่าง ๆ ก็เริ่มมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง St Gallen ที่มุ่งเน้นไปที่สิ่งทอ เบิร์นที่กลายเป็นศูนย์กลางของการค้าชีส บาเซิลกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยาและเคมีที่กำลังเติบโต

ส่วนการผลิตนาฬิกาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตจูราตั้งแต่เจนีวาถึงบาเซิล อุตสาหกรรมการธนาคารและประกันภัยก็ได้เริ่มเจริญรุ่งเรืองขึ้นในเจนีวาและซูริก

แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากความพยายามที่จะเป็นกลางของสวิตเซอร์แลนด์ ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ซึ่งสงครามครั้งใหญ่อย่างสงครามโลกครั้งที่สองนั้นได้ทำลายล้างพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปไปอย่างราบคาบ

ซึ่งในขณะเดียวกันก็ได้รับประโยชน์จากการหลั่งไหลของกลุ่มประชากรที่มีทักษะสูง ซึ่งหลบหนีภัยสงครามมายังสวิตเซอร์แลนด์

ต้องเรียกได้ว่าชาวต่างชาติเป็นศูนย์กลางของความสำเร็จทางธุรกิจของสวิตเซอร์แลนด์ Henri Nestle ผู้ก่อตั้ง Nestle มาจากแฟรงก์เฟิร์ต Antoni Norbert Patek ช่างซ่อมนาฬิกาผู้บุกเบิกและสร้างแบรนด์ชื่อก้องโลกอย่าง Patek Philippe เป็นนายทหารม้าจากโปแลนด์

Leo Sternbach ชาวยิวโปแลนด์ที่หนีจากพวกนาซี ได้คิดค้น Valium ซึ่งกลายมาเป็นยาระงับประสาทที่โด่งดัง Nicolas Hayek ผู้ร่วมก่อตั้ง Swatch ซึ่งเป็นช่างซ่อมนาฬิกาชื่อดัง มีเชื้อสายเลบานอน

ประมาณครึ่งหนึ่งของซีอีโอของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์เป็นชาวต่างชาติ Severin Schwan จาก Roche เป็นชาวเยอรมัน , Gary Nagle จาก Glencore เป็นชาวแอฟริกาใต้ และ Vasant Narasimhan จาก Novartis เป็นชาวอินเดียน-อเมริกัน

การต้อนรับบุคคลต่างชาติของสวิตเซอร์แลนด์นั้นตรงกันข้ามกับความสัมพันธ์ภายในโดยสิ้นเชิง ชาวสวิสเองไม่ได้มีความสัมพันธ์พิเศษกับเพื่อนร่วมชาติในรัฐอื่น ๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านครรัฐต่าง ๆ ของประเทศคงอยากจะเป็นอิสระมากกว่า เพียงแต่พวกเขารวมตัวกันเป็นองค์กรเพียงหนึ่งเดียวเพื่อปกป้องตนเองจากเพื่อนบ้านที่โหดเหี้ยม

วิธีนี้ถือว่าน่าสนใจอย่างมาก สภาแห่งสหพันธรัฐ ซึ่งเป็นรัฐบาลกลางนั้น ดำเนินการโดยแทบไม่มีบุคคลสำคัญที่รู้จัก คณะรัฐมนตรีมีสมาชิก 7คน ที่มีอำนาจเท่าเทียมกัน และไม่แย่งชิงผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ไม่มีดราม่าทางด้านการเมือง

เหล่าคณะรัฐมนตรีจะหมุนเวียนกับเป็นประธานคนละ 1 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครจะจดจำชื่อพวกเขาได้นาน แม้สภาจะมีอำนาจน้อยมาก แต่เขตปกครอง 26 เขตของประเทศก็สามารถจัดการตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เช่นเดียวกับเทศบาลมากกว่า 2,000 แห่ง ที่ดำเนินการด้านการดูแลสุขภาพ การศึกษา การบังคับใช้กฎหมาย และนโยบายการคลัง ที่ทำให้พวกเขาแข่งขันกันเพื่อสร้างเสน่ห์ให้กับธุรกิจที่ต้องการเข้ามาลงทุนได้

การแข่งขันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องการเก็บภาษีเพียงเท่านั้น แต่รัฐต่าง ๆ ช่วยเหลือกองทุนมหาวิทยาลัยชั้นนำอยู่เสมอ Eidgenössische Technische Hochschule (ETH) ในเมืองซูริก ซึ่งเป็นหนึ่งในสองสถาบันเทคโนโลยีของรัฐบาลกลาง ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในทวีปยุโรปอย่างสม่ำเสมอ

Eidgenössische Technische Hochschule มหาวิทยาลัยชั้นนำของยุโรปในเมืองซูริก (CR:Wikipedia)
Eidgenössische Technische Hochschule มหาวิทยาลัยชั้นนำของยุโรปในเมืองซูริก (CR:Wikipedia)

ทว่าความสำเร็จทั้งหมด สวิตเซอร์แลนด์กลับกลายเป็นศูนย์กลางของบริษัทข้ามชาติน้อยลงในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา

ในปี 1990 สองในสามของบริษัท 20 อันดับแรกของอเมริกา ซึ่งรวมถึง General Motors , Hewlett-Packard และ IBM มีสำนักงานใหญ่ในยุโรปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์

แต่ในปี 1992 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวสวิสตัดสินใจไม่เข้าร่วมเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ EU ด้วยเหตุนี้บริษัทบางแห่ง เช่น Amazon , Alibaba และ Samsung จึงย้ายถิ่นฐานไปตั้งสำนักงานใหญ่ในภูมิภาคที่ อัมสเตอร์ดัม ดับลิน และลอนดอนแทน

หรือแม้กระทั่งประเด็นร้อนล่าสุดอย่างสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างยูเครน-รัสเซีย ได้ทำให้ชาวสวิสไตร่ตรองถึงสถานะเป็นกลางของพวกเขา รัฐบาลกลางได้เข้าร่วมการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย ซึ่งสร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมากของท่าทีที่เปลี่ยนไปของสวิตเซอร์แลนด์

ยิ่งกว่านั้น ประเทศยังคงจัดการกับการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการจัดการความมั่งคั่ง ซึ่งถูกบังคับให้ต้องปรับเปลี่ยนวิธีที่เคยทำในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่อเมริกาประกาศสงครามกับธนาคารสวิสที่ช่วยพลเมืองของตนหลบเลี่ยงภาษีหลายพันล้านดอลลาร์ และความกดดันระดับนานาชาติที่เพิ่มขึ้นสำหรับความโปร่งใสทางการเงิน รวมถึงด้านเภสัชกรรมด้วยเช่นกัน

ทว่าชาวสวิสในอดีตได้แสดงให้โลกเห็นแล้วว่าพวกเขาสามารถเอาชนะความท้าทายและอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยการทำงานหนักและความเฉลียวฉลาดของพวกเขาได้

ก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมนาฬิกาของสวิสเกือบจะถึงจุดจบ จนกระทั่งได้ Swatch ที่เข้ามาฟื้นคืนชีพอุตสาหกรรมด้วยการทำนาฬิกาให้ถูกและมีความสนุกมากยิ่งขึ้น รวมถึงนาฬิกาแพง ๆ อย่าง Patek Philippe ก็เป็นที่ต้องการมากขึ้น

บทสรุป

ต้องบอกว่าสวิตเซอร์แลนด์มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งปัจจัยทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และการเมืองล้วนมีส่วนทำให้เกิดความมั่งคั่งของสวิสอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ 

ปัจจัยเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากการตัดสินใจทางธุรกิจที่ชาญฉลาดและแนวคิดทางการเมืองที่แน่วแน่ นั่นทำให้ประเทศพวกเขาเกิดช่วงเวลาแห่งความมั่นคงและความสงบสุข ส่งผลให้ชาวสวิสสามารถทุ่มเทพลังงานและทรัพยากรทั้งหมดเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้นั่นเองครับผม 

References :
https://www.businesssetup.com/blog/11-reasons-to-set-up-your-business-in-switzerland
https://studyinginswitzerland.com/why-is-switzerland-so-rich/
https://www.economist.com/business/2022/05/23/the-recipe-for-the-outperformance-of-swiss-businesses
https://www.vox.com/2014/5/19/5731166/switzerlands-25-minimum-wage-wasnt-as-crazy-as-it-sounded