กำจัดแบงค์ใหญ่ กับเคสตัวอย่างการยกเลิกธนบัตรสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดของอินเดียเพื่อลดการทุจริต

มีโอกาสได้ฟังดีเบตของพรรค ๆ นึง แล้วได้รับฟังนโยบายที่น่าสนใจอย่างนึงคือ การกำจัดแบงค์พันออกจากระบบเพื่อกำจัดการทุจริตหรือคอร์รัปชั่น รวมถึงเงินสีเทาทั้งหลายในระบบ

ความน่าสนใจของมาตรการดังกล่าวนี้คือ มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศอินเดีย ในวันที่ 8 พ.ย. 2016 นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดีย ได้ทำการประกาศแบบช็อกทั้งประเทศว่า ธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี จะถูกถอนออกระบบในเที่ยงคืนของวันนั้นแบบทันที

การประกาศดังกล่าวทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติทั้งในภาษาฮินดีและภาษาอังกฤษ ทำให้เกิดกลียุคขึ้นในประเทศทันที เพราะการประกาศครั้งนี้ส่งผลให้สกุลเงินหมุนเวียนลดลง 86 %

ประชาชนสามารถแลกเปลี่ยนธนบัตรที่ถูกยกเลิกจนถึงสิ้นปี แต่ผู้คนต่างสับสนกับแผนดังกล่าว และพยายามทำธุรกรรมทางการเงินให้เสร็จก่อนที่ตู้ ATM จะปิดในวันรุ่งขึ้น ซึ่งในบางแห่ง คนหลายร้อยคนยืนเข้าแถวหน้าตู้ ATM เพื่อรอถอนเงินของพวกเขาออกมา

มันเป็นการทดลองทางเศรษฐกิจที่มีความเด็ดขาด และแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ใดในโลก ที่ทำแบบกะทันหันแบบนี้ และทุกอย่างถูกเก็บไว้เป็นความลับ

นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดีย ได้ทำการประกาศแบบช็อกทั้งประเทศ ด้วยความลับขั้นสุด (CR:Outlook India)
นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดีย ได้ทำการประกาศแบบช็อกทั้งประเทศ ด้วยความลับขั้นสุด (CR:Outlook India)

มันเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวของรัฐบาลโมดี เพื่อเปลี่ยนแปลงอินเดียไปสู่สังคมไร้เงินสด ในประเทศที่มีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ และมันเป็นการเดิมพันทางการเมืองครั้งใหญ่ของเขาเช่นเดียวกัน

มุมมองของผู้เชี่ยวชาญหลังเหตุการณ์ดังกล่าว

Nirmal Jain ประธาน Infoline ของอินเดีย

“มันเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพมากในการควบคุมเงินผิดกฎหมาย โมดีรักษาสัญญาที่จะใช้มาตรการเข้มงวดกับเงินสีดำเหล่านี้

“มันจะส่งผลกระทบต่อภาวะเงินฝืดโดยทั่วไป โดยเฉพาะกับราคาอสังหาริมทรัพย์ และทำให้บ้านมีราคาลดลง และเป็นประโยชน์ทางอ้อมต่อผู้เสียภาษี”

K.V. Karthik จาก Deloitte

“ด้วยการยกเลิกธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี รัฐบาลได้ยกระดับการต่อสู้กับเงินสีดำในประเทศไปอีกขั้น

“ในฉากหลังของการพัฒนาอื่นๆ เช่น กฎหมาย Black Money แผนการเปิดเผยข้อมูลโดยสมัครใจ และการออกกฎหมาย Benami Transactions (Prohibition) นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เนื่องจากผู้คนจะต้องแสดง ID ในขณะที่แลกเปลี่ยนธนบัตรนับจากนี้เป็นต้นไป

“ด้วยวิธีนี้ รัฐบาลจะสามารถระบุรายได้ที่ไม่เปิดเผยและอาจถูกพิจารณาว่าคล้ายกับแผนการบังคับเปิดเผยข้อมูล”

Prof. Sebastian Morris จาก IIM AHMEDABAD

“มันเป็นการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมในแง่ของการเลิกใช้เงินสกปรกในทันที” 

“มีเงินสีดำจำนวนมากซ่อนอยู่ในรูปแบบของสกุลเงินในอินเดีย ซึ่งจะได้รับผลกระทบหากดำเนินการอย่างถูกต้อง ในระยะสั้นจะส่งผลลบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ

“ผลกระทบด้านลบจะมีมาก เศรษฐกิจที่กำลังเติบโตประมาณร้อยละ 4 จะติดลบสักระยะหนึ่งและอสังหาริมทรัพย์จะตกต่ำ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจำนวนมากจะลดลงโดยเฉพาะในระดับ SME ซึ่งเป็นระดับการผลิต แต่ในระยะยาวมันอาจจะดีก็ได้”

Saurabh Agrawal ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Zebpay

“เป็นการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมของโมดี ในการควบคุมการฟอกเงิน นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสกุลเงินดิจิทัลและ bitcoins มีศักยภาพมหาศาลที่จะเติบโตและกำจัดเงินสีดำออกจากระบบโดยสิ้นเชิง เรามองเห็นการเคลื่อนไหวอันยิ่งใหญ่ของประเทศเรา”

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง

ผลที่ตามมาแบบทันทีทันใดก็คือความโกลาหลโดยเฉพาะที่สาขาของธนาคารและตู้ ATM เพื่อแลกเปลี่ยนธนบัตรเก่าและเปลี่ยนเป็นของใหม่

มีผู้คนหลายล้านได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะคนจนที่ไม่สามารถเข้าถึงบัตรเครดิตหรือ Digital Wallet ได้ มีรายงานผู้เสียชีวิตหลายคนจากเหตุการณ์ดังกล่าว

ความโกลาหลโดยเฉพาะที่สาขาของธนาคารและตู้ ATM เพื่อแลกเปลี่ยนธนบัตรเก่าและเปลี่ยนเป็นของใหม่ (CR:nytimes)
ความโกลาหลโดยเฉพาะที่สาขาของธนาคารและตู้ ATM เพื่อแลกเปลี่ยนธนบัตรเก่าและเปลี่ยนเป็นของใหม่ (CR:nytimes)

แต่สองปีต่อมา ฝุ่นก็เริ่มสงบลง การปราบเงินสีดำก็ไม่ได้สำเร็จอย่างที่รัฐบาลคาดหวัง ปัญหาเงินสีดำ เงินผิดกฎหมายังไม่หมดไป ในเดือนสิงหาคมปี 2018 ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ยืนยันว่า 99.3% ของธนบัตรที่ถูกยกเลิกถูกส่งกลับคืนให้กับธนาคาร แต่ในทางตรงกันข้ามเศรษฐกิจของอินเดียได้รับผลกระทบอย่างหนัก

โดยเฉพาะคนจนชายขอบ ได้รับผลกระทบในทางลบ มีการจัดเก็บภาษีมากเพิ่มขึ้น การถอนเงินสดออกจากเศรษฐกิจอินเดียอย่างกะทันหัน ส่งผลเสียต่อภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม

ความต้องการสินค้าและบริการลดลงทันทีหลังการประกาศ กลุ่มที่พึ่งพาธุรกรรมเงินสด เช่น เกษตรกร การค้าปลีกที่มีการจัดการไม่เป็นระเบียบ และภาคธุรกิจขนาดเล็ก ได้รับผลกระทบมากที่สุด

สามเดือนหลังจากยกเลิกใช้ธนบัตร ได้ลดมูลค่าของสินค้าเกษตรในประเทศลงมากกว่า 15% ก่อให้เกิดการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่

ศูนย์ติดตามเศรษฐกิจอินเดีย (CMIE) ประเมินว่ามีคนตกงาน 1.5 ล้านตำแหน่ง ผู้ที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปี ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มใหม่สำหรับแรงงานและมักเป็นงานนอกระบบที่มีทักษะต่ำซึ่งจ่ายเป็นเงินสด

อัตราการเติบโตของ GDP ของอินเดียชะลอตัวลงจาก 8% ในปี 2015-2016 เป็น 7.1% ในปี 2016-2017 และลดเหลือ 6.7% ในปี 2017-2018

แต่ประเทศก็มีความก้าวหน้าไปสู่สังคมไร้เงินสดได้จริง แต่ก็อาจจะสามารถใช้วิธีการอื่นที่รุนแรงน้อยกว่านี้ได้เช่นกัน

ในเศรษฐกิจนอกระบบส่วนใหญ่ กลุ่มผู้เปราะบางยังไม่สามารถเข้าถึงการชำระเงินแบบดิจิทัลได้ การใช้มาตรการที่เข้มงวดสร้างความเสียหายอย่างมากต่อเศรษฐกิจของอินเดีย เมื่อครบสองปี ผลประโยชน์ที่ได้ ดูเหมือนจะไม่คุ้มกับความสูญเสียทางการเงินและความทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวงของผู้คนในประเทศนั่นเองครับผม

References :
https://www.strategy-business.com/article/What-Happened-after-India-Eliminated-Cash
https://www.reuters.com/article/india-modi-corruption-views-idUSL4N1D94XJ
https://www.indiatoday.in/india/story/demonetisation-what-india-gained-and-lost-1327502-2018-08-30
https://www.bbc.com/news/world-asia-india-37974423

Russia x Tech Industry รัสเซียทำลายล้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของประเทศตัวเองอย่างไร

เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่การรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบเริ่มต้นขึ้น มีพลเรือนเสียชีวิตมากกว่า 8,300 รายและจำนวนยังเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เหล่าพนักงานด้านเทคโนโลยีก็ได้ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังเพื่อหนีออกจากรัสเซีย

ตามตัวเลขของรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีประมาณ 100,000 คนหนีออกจากรัสเซียในปี 2022 หรือประมาณ 10% ของพนักงานด้านเทคโนโลยีทั้งหมด

รัสเซียได้ตัดขาดจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก การวิจัย เงินทุน การแลกเปลี่ยนทางวิทยาศาสตร์ ในขณะเดียวกัน Yandex หนึ่งในความสำเร็จด้านเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทได้เริ่มแยกส่วนบริษัทและขายธุรกิจให้กับ VKontakte (VK) ซึ่งเป็นคู่แข่งที่ควบคุมโดยบริษัทของรัฐ

ในรัสเซีย เทคโนโลยีเป็นหนึ่งในไม่กี่ภาคส่วนที่ผู้คนรู้สึกว่าสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยความสามารถของตัวเองอย่างแท้จริงโดยไม่ใช้เส้นสาย

ผู้ประกอบการชาวรัสเซียได้รับเงินทุนระหว่างประเทศและทำข้อตกลงไปทั่วโลก ในช่วงเวลาหนึ่ง ดูเหมือนว่าเครมลินจะยอมรับการเปิดกว้างนี้เช่นกัน โดยเชิญชวนให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในรัสเซียเพิ่มมากขึ้นผ่านนโยบายของพวกเขา

แต่รอยร้าวในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของรัสเซียเริ่มปรากฏขึ้นก่อนสงคราม เป็นเวลากว่าทศวรรษแล้วที่รัฐบาลพยายามทำให้อินเทอร์เน็ตของรัสเซียและบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของรัสเซียตกอยู่ในภาวะความเสี่ยง โดยเริ่มคุกคามอุตสาหกรรมที่เคยมองว่าจะนำประเทศไปสู่อนาคต

“ผู้นำรัสเซียเลือกแนวทางการพัฒนาประเทศที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง” Ruben Enikolopov ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่ง Barcelona School of Economics และอดีตอธิการบดี Russia’s New Economic School กล่าว 

Ruben Enikolopov ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่ง Barcelona School of Economics และอดีตอธิการบดี Russia’s New Economic School  (CR:Econs.online)
Ruben Enikolopov ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่ง Barcelona School of Economics และอดีตอธิการบดี Russia’s New Economic School (CR:Econs.online)

การแยกธุรกิจได้กลายเป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์ เขากล่าวว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไม่ได้ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย แต่เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ

Enikolopov กล่าวว่าระหว่างปี 2015 ถึง 2021 ภาคส่วนไอทีในรัสเซียคิดเป็นหนึ่งในสามของการเติบโตของ GDP ของประเทศ โดยสูงถึง 3.7  ล้านล้านรูเบิล (47.8 พันล้านดอลลาร์)

ในปี 2021 แม้ว่าจะคิดเป็นเพียง 3.2% ของ GDP ทั้งหมด แต่ Enikolopov กล่าวว่า ในขณะที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังถอยหลังซึ่งจะส่งให้เศรษฐกิจของรัสเซียอย่างแน่นอน “ผมคิดว่านี่อาจเป็นหนึ่งในผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตของรัสเซีย” เขากล่าว 

เมื่อคลังสมองด้านไอทีเริ่มไหลออก

บรรยากาศตึงเครียดในสำนักงาน Yandex ที่สร้างด้วยอิฐสีแดงและผนังกระจกทางตอนใต้ของกรุงมอสโกเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งเป็นวันที่รัสเซียรุกรานยูเครนเริ่มต้นขึ้น

Anastasiia Diuzharden ซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดเนื้อหาของ Yandex Business ก็อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่เธอบอกว่าเธอเห็นคนไม่กี่คนที่ทำงานอยู่ พื้นที่สูบบุหรี่ของอาคารมีคนมากกว่าปกติถึงห้าเท่า พนักงานบางคนเดินทางออกนอกประเทศในวันเดียวกันเมื่อข่าวการบุกรุกแพร่สะพัดไปทั่วสำนักงาน

Diuzharden และเพื่อนร่วมงานของเธอก็ถูกเรียกตัวไปประชุมประจำสัปดาห์ที่ “khural,” ที่นั่น Tigran Khudaverdyan กรรมการบริหารและรอง CEO ของ Yandex ให้ความมั่นใจกับพวกเขาว่าบริษัทจะดำเนินธุรกิจต่อไป

Tigran Khudaverdyan กรรมการบริหารและรอง CEO ของ Yandex (CR:Banks.am)
Tigran Khudaverdyan กรรมการบริหารและรอง CEO ของ Yandex (CR:Banks.am)

Yandex เป็นบริษัทที่สร้างความภาคภูมิใจในรัสเซีย ดำเนินการทั่วโลก โดยส่วนหนึ่งของบริษัทจดทะเบียนในประเทศเนเธอร์แลนด์ วิศวกรของบริษัทประสบความสำเร็จในการแข่งขันกับบริษัทอเมริกัน

Yandex มีส่วนแบ่งในตลาดการค้นหาของรัสเซียมากกว่า Google และมีบริการกว่า 90 รายการที่ครอบงำโลกดิจิทัลของรัสเซีย หนึ่งในนั้นคือ Zen แพลตฟอร์มเนื้อหา และแพลตฟอร์มรวมข่าว Yandex News ซึ่งชาวรัสเซียจำนวนมากใช้ในการเริ่มต้นวันใหม่ทางออนไลน์ 

ในช่วงหลายสัปดาห์หลังจากรัสเซียบุกยูเครน มีผู้คนมากถึง14 ล้านคนต่อวันเข้าไปที่ Yandex News แต่แทนที่จะอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการเสียชีวิตและการทำลายล้างพลเรือนของยูเครน แต่เนื้อหาข่าวส่วนใหญ่กลับบอกว่าผู้ปลดปล่อยชาวรัสเซียกำลังทำลายล้างยูเครน 

ข้อมูล ประมาณ 70% ใน Yandex News มาจากแหล่งที่มาของสื่อที่ควบคุมโดยรัฐซึ่งผลักดันการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐปราบปรามสื่ออิสระของรัสเซียเป็นเวลานานนับทศวรรษ

แต่การปฏิบัติตามทางการรัฐของ Yandex ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย สามสัปดาห์หลังการรุกราน Khudaverdyan ถูกสหภาพยุโรปลงโทษฐานปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสงครามจากสาธารณะจนเขาต้องก้าวลงจากตำแหน่ง สี่วันต่อมา หุ้น Yandex ถูกหยุดไม่ให้ซื้อขายบน Nasdaq 

มีการประเมินว่ามีพนักงานมากถึงหนึ่งในสามของจำนวนพนักงานทั้งหมดได้หนีออกจากประเทศภายในเวลาเพียงสองเดือนแรกหลังการบุกรุก

หลังจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ Yandex ได้วางแผนที่จะทิ้งแพลตฟอร์มข่าวและเนื้อหา โดยขายให้กับ VK ในทางกลับกัน Yandex ได้ซื้อบริการส่งอาหารของ VK ซึ่งข้อตกลงเสร็จสิ้นในเดือนกันยายน

จากนั้น เก้าเดือนหลังจากการรุกรานเริ่มขึ้น Yandex ประกาศว่าจะยุติรูปแบบของธุรกิจเดิม บริษัทจะแบ่งออกเป็นสองส่วน: ส่วนที่เป็นของรัสเซียและอีกส่วนที่เป็นของบริษัทแม่เดิม ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ 

ส่วนของรัสเซียซึ่งยังคงควบคุมธุรกิจหลักของบริษัท ถูกกำหนดให้เป็นหุ้นส่วนการจัดการพิเศษซึ่งประกอบด้วยผู้นำ Yandex 3 คน และ Alexei Kudrin ที่เป็นพันธมิตรของประธานาธิบดีปูติน

เมื่อเครมลินเข้าครอบงำ 

Yandex เป็นเพียงตัวอย่างล่าสุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเครมลินในการพยายามเข้าควบคุมบริษัทเทคโนโลยีของรัสเซีย โดยเกรงกลัวในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลทางออนไลน์ของประชากรอย่างอิสระ 

ความพยายามเหล่านี้เกิดขึ้นในปี 2011 เมื่อ Facebook และ Twitter ช่วยจุดประกายการประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 

บางส่วนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเข้าร่วมการประท้วงโดยหวังว่าจะช่วยให้รัสเซียอยู่ในเส้นทางเสรีนิยมและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น

ในปีต่อๆ มา รัสเซียบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดมากขึ้น จับกุมผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์จากการโพสต์ เรียกร้องการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ และแนะนำให้มีการกลั่นกรองเนื้อหา 

สิ่งนี้สร้างแรงกดดันต่อทั้งแพลตฟอร์มโซเชียลตะวันตก เช่น Facebook, Twitter และ LinkedIn (ซึ่งถูกบล็อกในรัสเซียตั้งแต่ปี 2016) หรือแม้กระทั่งแพลตฟอร์มออนไลน์ในประเทศ

หลังจากที่ Pavel Durov ถูกบีบออกจากบริษัทในปี 2014 และผู้มีอำนาจของเครมลินเข้าควบคุม เขาได้ทำการหลบหนีออกจากประเทศ Durov ซึ่งต่อมาได้สร้างแอปส่งข้อความ Telegram อธิบายว่ารัสเซีย “เข้ากันไม่ได้กับธุรกิจอินเทอร์เน็ต” จากการศึกษาของ National Research University Higher School of Economics พบว่าผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ “Unicorn” ​​ได้หนีออกจากรัสเซียมากกว่าประเทศอื่นๆ

The Rise of RuNet

หลังจากที่นานาชาติบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียหลังจากการผนวกไครเมียในปี 2014 รัฐบาลรัสเซียก็เริ่มส่งเสริมแนวคิดเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตอธิปไตยของตนเอง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เรียกว่า RuNet 

สงครามกับยูเครนและการคว่ำบาตรทำให้มีการผลักดันแนวคิดนี้เพิ่มมากขึ้น ในเดือนมีนาคม 2022 เครมลินปิดกั้นการเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างประเทศ เช่น Instagram Facebook และ Twitter

มีการสร้างบริการเพื่อแทนที่แพลตฟอร์มต่างประเทศยอดนิยมดังกล่าวด้วยเวอร์ชันในประเทศ เพื่อแทนที่ Google Play และ Apple AppStore VK ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาดิจิทัลเปิดตัว App Store ในประเทศชื่อ RuStore ส่วนบริการอย่าง TikTok, Instagram และ YouTube มีการสร้างเลียนแบบขึ้นมา เช่น Yappy, Rossgram และ RuTube 

RuTube บริการเลียนแบบ Youtube จากรัสเซีย (CR:MediaSapiens)
RuTube บริการเลียนแบบ Youtube จากรัสเซีย (CR:MediaSapiens)

Yandex News จะมีส่วนร่วมในการรวมการควบคุมของรัฐเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้ภาษารัสเซียสามารถที่จะอ่านได้ ในที่สุดก็รวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ข่าวอื่น ๆ ของ VK

การควบคุมเนื้อหาออนไลน์ไม่ใช่วิธีเดียวที่รัสเซียต้องการใช้อำนาจอธิปไตยทางด้านดิจิทัล หลังจากมีมาตรการคว่ำบาตรเมื่อปีที่แล้ว รัฐได้เริ่มส่งเสริมเป้าหมายอย่างเร่งด่วนในการสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีแบบควบคุมตัวเองทั้งหมด ซึ่งครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่บริการทางการเงินไปจนถึงฮาร์ดแวร์และซัพพลายเชน 

รัฐบาลรัสเซียให้คำมั่นว่าจะจัดหาเงินทุนอย่างจำนวนมหาศาล สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของตน ซึ่งอาจมีมูลค่ามากกว่า 3.19 ล้านล้านรูเบิล (41.2 พันล้านดอลลาร์) ภายในปี 2030

แต่การสร้างภาคส่วนดังกล่าวของประเทศมันไม่ใช่เรื่องที่จะเสกขึ้นมาได้ง่าย ๆ เพราะลำพังอุตสาหกรรมชิปของรัสเซียก็ยังล้าหลังกว่าประเทศอื่นๆ ในโลกอยู่ราว ๆ 10 ถึง 15 ปี 

ก่อนการคว่ำบาตร รัสเซียนำเข้าสินค้าไฮเทคมูลค่า 19,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยการนำเข้าส่วนใหญ่ (66%) มาจากสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ตามรายงานของ Bruegel Think Tank ที่มีฐานอยู่ในบรัสเซลส์ ผู้เชี่ยวชาญเช่น Heli Simola นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารแห่งชาติฟินแลนด์ ประมาณการว่าการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีลดลง 30% ตั้งแต่ปีที่แล้ว

เนื่องจากข้อจำกัดทางการค้า รัสเซียจึงสูญเสียการเข้าถึงผลิตภัณฑ์จากบริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น Cisco, SAP, Oracle, IBM, TSMC, Nokia, Ericsson และ Samsung

การเปลี่ยนท่าทีของรัสเซียเพื่อสร้างธุรกิจเทคโนโลยีใหม่โดยไม่มีการพึ่งพาต่างประเทศ มันเหมือนการย้อนกลับไปสู่ยุคของสหภาพโซเวียต แต่ปัจจุบันรัสเซียมีแนวโน้มที่จะพึ่งพาผู้ลักลอบนำเข้าชิปและคู่ค้าเช่นจีนมากกว่าที่จะดำเนินการตามลำพังอย่างแท้จริง 

การล่มสลายของ Skolkovo

ก่อนการรุกรานของยูเครน รัฐบาลรัสเซียได้พยายามเสริมสร้างระบบนิเวศทางเทคโนโลยี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ Skolkovo ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูงที่รัสเซียพยายามเลียนแบบ Silicon Valley ขึ้นมา

Skolkovo ซึ่งเปิดตัวในปี 2010 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนำพาประเทศสู่ยุคใหม่ซึ่งริเริ่มโดยประธานาธิบดี Dmitry Medvedev ในขณะนั้น  

Skolkovo ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงมอสโก ใช้เวลาขับรถไม่ถึง 30 นาทีจากเครมลิน Skolkovo ดูเหมือนอุทยานเทคโนโลยีที่ดูล้ำหน้าไม่ต่างจาก Silicon Valley ความฝันคือมันจะกลายเป็นฐานสำหรับผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีของรัสเซีย โดยมอบทุนการศึกษา และพื้นที่สำนักงานจำนวนมากให้กับเหล่าผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี 

Skolkovo ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูงที่รัสเซียพยายามเลียนแบบ Silicon Valley (CR:Fondapol)
Skolkovo ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูงที่รัสเซียพยายามเลียนแบบ Silicon Valley (CR:Fondapol)

ในช่วงต้นเหล่าผู้บริหารด้านเทคโนโลยีของตะวันตกและบริษัทร่วมทุน เช่น Google, Intel, Nokia และ Siemens เข้าร่วมสภาและคณะกรรมการของ Skolkovo เพื่อช่วยผลักดันวิสัยทัศน์ดังกล่าวของ Medvedev

Skolkovo สามารถสร้างสตาร์ทอัพรัสเซียที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังจากสงครามเริ่มขึ้น เหล่าวิศวกร นักวิจัย จากนานาชาติจำนวนมากละทิ้ง Skolkovo และหนีออกจากรัสเซียแทบจะทันที 

ที่สำคัญกว่านั้น การร่วมทุนจากต่างชาติก็เริ่มที่จะถอยห่าง ในปี 2022 การลงทุนร่วมทุนในบริษัทรัสเซียลดลง 57%  เหลือ 1.1 พันล้านดอลลาร์

Medvedev ประกาศในเดือนธันวาคมว่า Skolkovo จะดำเนินการในรูปแบบใหม่หลังเกิดการคว่ำบาตร โดยจะนำเงินจากรัฐบาลบางส่วนมาอุดหนุนโดยมุ่งผลักดันภาคเทคโนโลยีของรัสเซียไปสู่การพึ่งพาตนเอง 

ในเดือนกุมภาพันธ์ Skolkovo ถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ  ผู้นำคนสำคัญ ๆ ในกลุ่มเทคโนโลยีของรัสเซีย เช่น Irina Travina ประธานคณะกรรมการสมาคมไอที SibAcademSoft ใน Novosibirsk เชื่อว่าบริษัทรัสเซียจะยังคงเติบโตต่อไปในรัสเซียโดยร่วมมือกับตลาดอื่นๆ นอกขอบเขตของ NATO เช่น ตลาดในรัสเซีย เอเชีย ละตินอเมริกา และตะวันออกกลาง 

ผลตอบแทนที่ไม่มีความแน่นอน

นับตั้งแต่เริ่มสงคราม ประเทศได้เห็นคลื่นของการควบรวมและซื้อกิจการ เนื่องจากบริษัทต่างชาติรีบหนีออกจากตลาด โดยมักจะขายสินทรัพย์ของตนให้กับคู่แข่งรัสเซียในราคาต่ำ หนึ่งในสินทรัพย์ดังกล่าวคือ Avito ซึ่งเป็นเว็บไซต์โฆษณาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในรัสเซียและใหญ่ที่สุดในโลก

ในเดือนตุลาคม บริษัทในเครือของ Naspers บริษัทในแอฟริกาใต้ได้ขายมันในราคา 2.46 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเศษเสี้ยวของมูลค่าประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อชิ่งหนีออกจากรัสเซีย บริษัทย่อยเดียวกันได้ขายหุ้นใน VKontakte ด้วย การทิ้งบริษัทเหล่านี้อาจทำให้เครมลินสามารถควบคุมภาคเทคโนโลยีได้มากขึ้น 

แต่สิ่งที่น่ากังวลคืออาจมีผู้ใช้ชาวรัสเซียไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมดิจิทัลในปัจจุบันของประเทศ รวมถึงเหล่าพนักงานด้านเทคโนโลยีจำนวนมากได้เดินทางหนีไปประเทศอื่น ๆ เช่น คาซัคสถาน จอร์เจีย อาร์เมเนีย และตุรกี

รัสเซียหวังว่าจะเกลี้ยกล่อมให้แรงงานเหล่านี้กลับมา ในเดือนพฤศจิกายน ป้ายโฆษณาบนไทม์สแควร์ของนิวยอร์กแสดงให้เห็นเครื่องบินลำหนึ่งบินผ่านท้องฟ้าสีครามสดใสและแสดงข้อความเป็นภาษารัสเซียว่า “ได้เวลากลับบ้านแล้ว!” โฆษณาได้เชิญชวนให้พนักงานเทคโนโลยีกลับบ้านและไปที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ Alabuga ซึ่งตั้งอยู่ในสาธารณรัฐตาตาร์สถานของรัสเซีย 

แต่สำหรับตอนนี้ ดูเหมือนว่าเหล่าคนทำงานด้านไอทีจะยังไม่กลับมาอย่างแน่นอน รัสเซียกำลังดิ้นรนกับภาวะขาดแคลนแรงงานทักษะสูงเหล่านี้ 

รายงานของ Gartner ที่เผยแพร่ในช่วงปลายปี 2021 ก่อนสงครามระบุว่าในปี 2025 การขาดแคลนแรงงานด้านดิจิทัลที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้น 50% ซึ่งอาจมีจำนวนสูงถึง 1 ล้านคน 

บุคคลที่มีชื่อเสียงระดับสูงหลายคนได้สละสัญชาติรัสเซียของตนตั้งแต่ช่วงสงคราม รวมทั้ง Yuri Milner มหาเศรษฐีนักลงทุนด้านเทคโนโลยี และ Oleg Tinkov ผู้ก่อตั้งธนาคารออนไลน์ Tinkoff อีกหลายคนเก็บตัวเงียบเพราะผลที่ตามมาของการขัดขืนคำสั่งเครมลินของพวกเขา

Yuri Milner มหาเศรษฐีนักลงทุนด้านเทคโนโลยี ที่ยอมทิ้งสัญชาติรัสเซีย (CR:Wikipedia)
Yuri Milner มหาเศรษฐีนักลงทุนด้านเทคโนโลยี ที่ยอมทิ้งสัญชาติรัสเซีย (CR:Wikipedia)

Diuzharden ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในเบลเกรด ประเทศเซอร์เบีย ซึ่งเป็นประเทศที่พนักงานไอทีชาวรัสเซียจำนวนมากย้ายถิ่นฐานมาอยู่ เนื่องจากเงื่อนไขด้านวีซ่าที่มีความเอื้ออำนวย

เธอไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่จะได้ไปเยี่ยมบ้านเกิดของเธอที่มักดาน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัสเซีย เพื่อนของเธอหลายคนที่ออกจากประเทศต้องการกลับมา

Diuzharden กล่าวว่า “ฉันพร้อมจะกลับมารัสเซีย แต่ภายใต้เงื่อนไขบางประการ” เธอกล่าว “ฉันไม่ต้องการอยู่ในประเทศที่ปูตินเป็นประธานาธิบดี ฉันไม่ต้องการอยู่ในประเทศที่เป็นผู้เริ่มก่อสงคราม”

References :
https://www.reuters.com/technology/russias-yandex-beats-fy-revenue-target-after-google-pulls-advertising-2023-02-15/
https://www.technologyreview.com/2023/04/04/1070352/ukraine-war-russia-tech-industry-yandex-skolkovo/
https://www.bbc.com/news/technology-38014501
https://www.reuters.com/technology/yandex-ceo-volozh-resigns-after-eu-sanctions-2022-06-03/
https://www.express.co.uk/news/world/1603418/Russia-exodus-IT-sector-AI-industry-Western-sanctions-economy-Putin

CHIP WAR อเมริกาและพันธมิตร vs จีน รัสเซีย เมื่อชิปกลายเป็นปัจจัยชี้ขาดสงคราม

ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของอุตสาหกรรมชิปนั่นก็คือการปะทะกันของมหาอำนาจของโลกเรา ทั้งจีนสหรัฐฯหรือแม้กระทั่งรัสเซียที่ต่อสู้กันเพื่ออำนาจสูงสุด โดยทุกฝ่ายล้วนแล้วแต่จ้องไปที่อนาคตของวงการคอมพิวเตอร์เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบโดยเฉพาะในเรื่องการทหาร

มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อที่เซมิคอนดักเตอร์มันกำหนดสถานการณ์หลายอย่างที่โลกเราอาศัยอยู่ กำหนดรูปแบบทางด้านการเมืองระหว่างประเทศ โครงสร้างเศรษฐกิจของโลก และดุลอำนาจทางทหาร

การพัฒนาชิปไม่ได้ถูกกำหนดโดยเฉพาะบริษัทเอกชนหรือว่าเหล่าผู้บริโภคเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรัฐบาลที่มีความทะเยอทะยานและความจำเป็นในเรื่องของสงคราม เรื่องของการเมืองระหว่างประเทศ ที่เรื่องของชิปเข้าไปมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการเป็นปัจจัยชี้ขาดของสงครามหลายๆ ครั้ง

ต้องบอกว่าโลกเราผ่านสงครามที่เน้นใช้จำนวนกำลังพลหรือว่าอาวุธยุทโธปกรณ์มาอย่างยาวนาน แน่นอนว่าใครมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีความได้เปรียบกว่าก็มีโอกาสที่จะชนะสงครามได้มากกว่าไล่มาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง , สอง มาจนถึงสงครามใหญ่อย่างในเวียดนาม

ตอนนั้นยังไม่ได้เกิดการปฏิวัติของซิลิกอนวัลเลย์ทำให้เหล่าอาวุธหลายอย่างของสหรัฐอเมริกาเป็นอาวุธที่มีเทคโนโลยีที่แม้จะมีความล้ำหน้ามากที่สุดมากกว่าใครในยุคนั้น แต่เมื่อต้องเจอสงครามแบบกองโจรของทหารเวียดนาม ก็ไม่ สามารถที่จะจัดการได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้ดูเหมือนว่าใกล้จะชนะแต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะทางฝั่งเวียดนามได้จึงต้องถอนกำลังออกไปในท้ายที่สุด

สงครามแบบกองโจรของทหารเวียดนาม ที่เทคโนโลยีอาวุธที่ไม่มีควาแม่นยำ ยากที่จะเอาชนะได้ (CR: Military-history.org)
สงครามแบบกองโจรของทหารเวียดนาม ที่เทคโนโลยีอาวุธที่ไม่มีควาแม่นยำ ยากที่จะเอาชนะได้ (CR: Military-history.org)

ซึ่งทางอเมริกาเองก็ได้มีการวางระเบิดปูพรมมากมายใช้งบประมาณประมาณศาล แต่ว่าด้วยความเก่าของเทคโนโลยีตอนนั้นซึ่งเป็นรูปแบบของหลอดสุญญากาศที่ใช้ในการนำทาง ทำให้อาวุธที่เดินทางไปถึงศัตรูมันก็ไม่ได้มีความแม่นยำมากเพียงพอ

แต่หลังจากการปฏิวัติของซิลิคอนวัลเลย์มีการผลิตชิปคุณภาพสูงขนาดเล็กเพิ่มขึ้นมามันส่งผลกระทบโดยตรงต่อนโยบายทางด้านการทหารโดยเฉพาะอาวุธสงคราม เพราะว่าบริษัทชิปในซิลิคอนวัลเลย์มีลูกค้ากลุ่มหลักๆ ของพวกเขาก็คือกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาเป็นกลุ่มแรก ๆ

พวกเขาต้องการปรับปรุงยุทธวิธีรวมถึงอาวุธให้มีความทันสมัยมากขึ้น ใช้เทคโนโลยีชิปชั้นสูงเพื่อนำทางอาวุธเหล่านี้ให้มีความแม่นยำ สร้างระบบป้องกันต่างๆ ที่มีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งในช่วงนั้นก็เข้าสู่ยุคท้าย ๆ ของสงครามเย็น ทางสหภาพโซเวียตเองก็เริ่มเห็นภัยคุกคามที่น่าตกใจมากจากอาวุธของสหรัฐฯ ที่เริ่มพัฒนาโดยมีชิปที่ทันสมัยเข้าไปเกี่ยวข้อง

สหภาพโซเวียตเองก็เริ่มหันมาสร้างอุตสาหกรรมชิปในประเทศตนเอง มีการใช้การสายลับเพื่อทำการขโมยและลอกเลียนแบบเทคโนโลยีชิปของสหรัฐ

แต่ด้วยการที่การสร้างชิปมันไม่ง่ายเหมือนพวกแอปพลิเคชันหรือเทคโนโลยีอย่าง AI ที่มันสามารถเลียนแบบได้ง่ายๆแต่การผลิตชิปมันต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่างมากๆ ทั้งเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตซึ่งส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา

ต้องเรียกได้ว่ามันเป็นการวางยุทธศาสตร์ของอเมริกาไว้แล้ว ถึงแม้พวกเขาจะไม่ชนะในสงครามชิป ในอุปกรณ์ของผู้บริโภคที่โดนญี่ปุ่น,เกาหลีใต้รวมถึงไต้หวันเอาชนะไปได้ แต่ในเรื่องการทหารพวกเขาไม่ปล่อยให้ศัตรูของตนเองได้รับเทคโนโลยีเหล่านี้ไปง่ายๆ อย่างแน่นอน

เทคโนโลยีชิปมันส่งผลต่อเรื่องภูมิศาสตร์ทางการเมือง ความมั่นคง และอำนาจของอเมริกา การมีพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น,เกาหลีใต้ ,เนเธอร์แลนด์หรือสิงคโปร์ ทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพมากกว่าในการกระจายต้นทุน R&D และการผลิตในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่กว่าสหภาพโซเวียตเป็นอย่างมาก

สหภาพโซเวียตเองมีพันธมิตรไม่กี่รายส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เยอรมันตะวันออกที่ตอนนั้นปกครองโดยโซเวียตก็มีอุตสาหกรรมชิปที่ก้าวหน้าพอๆ กับสิ่งที่โซเวียตมี ความพยายามหลายๆอย่างของโซเวียดก็ทำให้ได้ชิปที่มีคุณภาพต่ำ ความก้าวหน้ายังน้อยกว่าประเทศญี่ปุ่นด้วยซ้ำในราคาต้นทุนที่สูงกว่าเป็น 10 เท่า

อุปกรณ์ในการผลิตขั้นสูงของโลกตะวันตกโดยพันธมิตรของอเมริกาก็สามารถเข้าถึงได้ยาก ในขณะที่เยอรมันตะวันออกไม่มีแรงงานราคาถูก ทว่าบริษัทในซิลิกอนวัลเลย์สามารถจ้างงานไปทั่วเอเชียได้และกลายมาเป็นพันธมิตรที่สำคัญของพวกเขา

ความพยายามของโซเวียตในการฟื้นฟูผู้ผลิตชิปเรียกได้ว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงทั้งโซเวียตและพันธมิตรสังคมนิยมไม่สามารถไล่ตามทันโลกตะวันตกได้แม้จะมีหน่วยสืบราชการลับจำนวนมาก เงินจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาในศูนย์ วิจัยในมอสโควเองก็ตาม

และสุดท้ายพวกเขาก็ได้เห็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวมากๆ กับการปฏิวัติอุตสาหกรรมชิปของอเมริกาเมื่อมันถูกแสดงให้โลกเห็นในสมรภูมิรบของอ่าวเปอร์เซีย

เมื่อรัสเซียต้องช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสงครามอ่าว

ในวันที่ 17 มกราคมปี 1991 เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน F-117 ของอเมริการะลอกแรกได้ออกจากฐานทัพอากาศของพวกเขาในซาอุดิอาระเบีย เครื่องบินสีดำของพวกเขาหายไปอย่างรวดเร็วในท้องฟ้าทะเลทรายอันมืดมิดเป้าหมายของพวกเขาคือกรุงแบกแดด

สหรัฐอเมริกาไม่เคยสู้รบในสงครามใหญ่มาตั้งแต่สงครามเวียดนาม แผนทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารของอิรัก มีการส่งเครื่องบินสองลำบินเข้าหาเป้าหมายปล่อยระเบิดนำวิถีเลเซอร์ Paveway หนัก 2,000 ปอนด์ ทำลายโรงงานและทุกอย่างแทบจะราบเป็นหน้ากลองทันที

ภายในปี 1991 บริษัท Texas Instruments ได้ปรับปรุงระเบิด Paveway หลายครั้งโดยแต่ละเวอร์ชั่นใหม่จะแทนที่วงจรที่มีอยู่ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ลดจำนวนส่วนประกอบเพิ่มความแม่นยำและเพิ่มคุณสมบัติใหม่ให้กับมันอย่างต่อเนื่อง

ระเบิดนำวิถีเลเซอร์ Paveway ที่ติดชิปชั้นสูง (CR:Wikipedia)
ระเบิดนำวิถีเลเซอร์ Paveway ที่ติดชิปชั้นสูง (CR:Wikipedia)

พวกมันสามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายไม่จำเป็นต้องเลือกเป้าหมายล่วงหน้า แต่สามารถเลือกได้ในสนามรบ ในขณะเดียวกันอัตราความแม่นยำก็สูงมาก ๆ

เครื่องบินที่ใช้เลเซอร์นำวิถีในการโจมตีด้วยระเบิดเป้าหมาย สามารถทำลายล้างได้มากกว่าถึง 30 เท่าเมื่อเทียบกับเครื่องบินที่ไม่มีอาวุธนำวิถี

ระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์เป็นหนึ่งในระบบทางการทหารหลายสิบระบบที่ได้รับปฏิวัติโดยซิลิกอนวัลเลย์ทำให้สามารถเฝ้าระวังการสื่อสารและประมวลผลได้ดีขึ้น

สงครามอ่าวเปอร์เซียเป็นการทดสอบครั้งใหญ่ครั้งแรกของการปฏิวัติครั้งนี้ มันมีความแม่นยำมากกว่าในสงครามเวียดนามถึง 6 เท่า

นักวิเคราะห์ทางทหารคนนึงได้อธิบายกับสื่อถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสงครามอ่าวเปอร์เซียว่า “มันเป็นชัยชนะของซิลิกอนเหนือเหล็ก”

เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญมากๆ เมื่อทางรัสเซียได้เห็นศักยภาพที่สุดยอดมากๆ ของอาวุธใหม่จากอเมริกาทำให้พวกเขาเริ่มกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการป้องกันภัยทางอากาศของตนเอง นั่นเองไม่แปลกใจที่หลังจากนั้นไม่นานรัสเซียก็รู้ตัวว่าพวกเขาไม่สามารถสู้อเมริกาได้อีกต่อไป

ซึ่งมันส่งผลมาถึงยุคปัจจุบันอย่างสงครามยูเครนที่เราเห็นในปัจจุบันก็ต้องบอกว่าตอนนี้มันไม่ใช่โลกของสงครามที่การที่มีจำนวนกำลังพลที่มากกว่าจะสามารถเอาชนะได้อีกต่อไปแล้ว

การปฏิวัติซิลิกอนวัลเลย์ได้ปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของสงครามไปอย่างสิ้นเชิง การมีอาวุธด้วยชิปที่มีนวัตกรรมที่สูงกว่า สามารถเอาชนะกองทัพที่มีจำนวนกำลังพลมากกว่าได้อย่างง่ายดายแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและรวดเร็วมากๆ

ยูเครนก็เป็นหนึ่งในพันธมิตรของอเมริกาในตอนนี้พวกเขาก็ได้รับอาวุธจากนาโตหรืออเมริกาซึ่งมีชิปที่มีคุณภาพสูงที่ สามารถต่อกรกับรัสเซียได้มาจวบจนถึงปัจจุบัน

รัสเซียแม้จะมีกำลังมากมายมหาศาลแต่พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะยูเครนได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าอุตสาหกรรมชิปคือส่วนสำคัญและเป็นปัจจัยสำคัญมากๆ ที่ชี้ขาดสงครามยูเครนได้

เรื่องชิปไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับประเทศจีน

เช่นเดียวกันในประเทศจีนที่นำโดย สีจิ้นผิง แม้พวกเขาจะมีนวัตกรรมมากมายทางแอพพลิเคชั่นหรือเทคโนโลยีด้าน AI ระดับสูง

แต่ว่าเรื่องของการผลิตชิปมันเป็นอีกเรื่องนึง มันเป็นคนละโลกกันเลย ในประเทศจีนแม้จะมีนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่มีความสามารถสูงมากๆ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะผลิตชิปคุณภาพสูงออกมาได้ด้วยตนเอง

สิ่งที่สำคัญมากๆในความคิดของ สีจิ้นผิง ก็คือชิปที่ขับเคลื่อนเหล่าคอมพิวเตอร์สมาร์ทโฟน และ ศูนย์ข้อมูลของจีน เพราะว่าตอนนี้แม้พวกเขาจะมีแอพพลิเคชั่นมากมายที่ใช้ภายในประเทศ แต่ว่าสุดท้ายสิ่งต่างๆเหล่านี้ถูกขับเคลื่อนด้วยชิปที่มาจากอเมริกาล้วนๆ

ช่วงปี 2000 และปี 2010 จีนได้ใช้จ่ายในการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์มากกว่าน้ำมัน ชิปพลังงานสูงมีความสำคัญเทียบเท่าน้ำมันในการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน แต่มันต่างจากน้ำมันตรงที่อุปทานของชิปถูกผูกขาดโดยคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์ของจีนแทบจะทั้งสิ้นโดยเฉพาะเหล่าพันธมิตรของอเมริกา

เรียกได้ว่าปัญหาของจีนไม่ได้อยู่ที่การผลิตชิปเท่านั้นแต่ว่ามันอยู่ในเกือบทุกขั้นตอนกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์จีนพึ่งพาเทคโนโลยีดังกล่าวจากต่างประเทศซึ่งเกือบทั้งหมดถูกควบคุมโดยคู่แข่งทางภูมิศาสตร์ของจีนไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้หรือสหรัฐอเมริกา

ในขณะที่บริษัทเทคโนโลยีของจีนเองผลักดันในเรื่องอื่นๆ เช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง ยานพาหนะไร้คนขับ หรือปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI

บริษัทเทคโนโลยีของจีนเองผลักดันในเรื่องอื่นๆ เช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง ยานพาหนะไร้คนขับ หรือปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (CR:Cloud Employee)
บริษัทเทคโนโลยีของจีนเองผลักดันในเรื่องอื่นๆ เช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง ยานพาหนะไร้คนขับ หรือปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (CR:Cloud Employee)

แต่ความต้องการของพวกเขาในชิปเซิร์ฟเวอร์ x86 ที่ต้องใช้ในศูนย์ข้อมูลสมัยส่วนใหญ่ก็ยังถูกครอบงำโดย AMD และ Intel ไม่มีบริษัทจีนที่สามารถผลิต GPU ที่สามารถแข่งขันได้ในเชิงพาณิชย์ พวกเขาจึงต้องพึ่งพาทั้ง Nvidia และ AMD เป็นหลัก

จีนที่ต้องการกลายเป็นมหาอำนาจด้าน AI ก็ต้องยิ่งพึ่งพาชิปจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เว้นแต่ว่าจีนจะค้นพบวิธีการออกแบบและผลิตมันได้เอง

รัฐบาลที่ได้กำหนดแผนการที่เรียกว่า Made in China 2025 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะลดส่วนแบ่งการนำเข้าของจีนในการผลิตชิปจาก 85% ในปี 2015 ให้เหลือเพียง 30% ภายในปี 2025

แต่ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเป้าหมายที่ไกลเกินฝันมากๆ สำหรับจีนเอง เนื่องจากพวกเขาเสียเปรียบเป็นอย่างมาก เพราะว่าประเทศอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ และไต้หวันเข้ามามีอำนาจเหนือขั้นตอนสำคัญของกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์โดยมีการบูรณาการอย่างลึกซึ้งกับอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐ

ซึ่งจากเรื่องราวทั้งหมดมันแสดงให้เห็นถึงความยากในเรื่องอุตสาหกรรมชิปและการวางแผนกลยุทธ์ไว้อย่างดีของสหรัฐอเมริกา เพราะชิปเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อการเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกของสหรัฐอเมริกามาจวบจนถึงทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :

เรียบเรียงจากหนังสือ Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology โดย Chris Miller
https://www.theatlantic.com/international/archive/2022/10/biden-export-control-microchips-china/671848/

การแบน TikTok จากสหรัฐฯ กับเหตุผลที่เป็นมากกว่าแค่เรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

“ถ้ามีประเทศหนึ่งเต็มใจที่จะบินบอลลูนเหนือน่านฟ้าของเรา และผู้คนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แล้วเหตุใดพวกเขาจะไม่ใช้เครื่องมือโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok ให้กลายเป็นอาวุธ? หรือแอปดักข้อมูลในโทรศัพท์ของชาวอเมริกัน 60 ล้านคน” Marco Rubio รองประธานคณะกรรมการข่าวกรองวุฒิสภา จากพรรคริพับริกันกล่าว

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ กับกระแสที่นักการเมืองสายเหยี่ยวของอเมริกากำลังโจมตี TikTok อย่างหนัก มีการเรียกร้องให้แบนแพลตฟอร์มนี้ทั่วทั้งประเทศ เรียกร้องให้ทั้ง Apple และ Google ลบแอปออกจาก Store

TikTok ซึ่งมีเจ้าของคือ ByteDance ในประเทศจีน ได้กลายเป็นแอปโซเชียลมีเดียที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ได้ถูกนักการเมืองสหรัฐไล่บี้อย่างหนัก ในความพยายามห้ามใช้แอปยอดนิยมบนอุปกรณ์ของรัฐบาลซึ่งได้รับการผลักดันในระดับรัฐ

ในขณะนี้รัฐบาลกว่าครึ่งของมลรัฐทั่วสหรัฐอเมริกาสั่งห้าม TikTok รวมถึงการแบนจากเครือข่ายของมหาวิทยาลัยของรัฐหลายแห่ง

ซึ่งนอกจากความสัมพันธ์ของ TikTok กับพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนแล้ว นักการเมืองสหรัฐฯ ยังกังวลเกี่ยวกับความซับซ้อนของอัลกอริธึมการแนะนำวีดีโอของแอป

ปัจจัยสำคัญของความสำเร็จของ TikTok นั้น คือความสามารถในการคาดเดาว่าผู้ใช้ต้องการดูวีดีโอใด ซึ่งบางวีดีโอนั้นผู้ใช้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าชอบจนกว่าหน้า For You ของแอปจะโน้มน้าวใจพวกเขาไปยังวีดีโอถัดไป

ก็ต้องบอกว่า TikTok เองนั้นไม่เพียงแค่ดึงข้อมูลผู้ใช้ แต่ยังสามารถมีอิทธิพลต่อรสนิยมของผู้ใช้โดยการจัดการกับอารมณ์ ซึ่ง TikTok ได้คอยปรับแต่งและในที่สุดก็สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้โดยสิ้นเชิง (ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากแพลตฟอร์มของอเมริกาเองอย่าง Facebook) ซึ่งเหล่านักการเมืองสายเหยี่ยวของอเมริกาต่างเกรงกลัวกันว่าจีนจะมุ่งเป้าไปที่เกมระยะยาว

“ข้อมูลเป็นสินค้าที่มีค่าที่สุดในโลก การมีข้อมูลเกือบทั้งหมดบนอุปกรณ์ของชาวอเมริกันกว่า 50 ล้านคนที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าถึงได้ทุกวันจะก่อให้เกิดความเสี่ยงที่มากเกินไปต่อความมั่นคงของประเทศอเมริกา ต่อเศรษฐกิจของเรา และต่อความสามารถในการแข่งขันของเรา” Rubio กล่าว

Marco Rubio รองประธานคณะกรรมการข่าวกรองวุฒิสภา จากพรรคริพับริกัน (CR:Engadget)
Marco Rubio รองประธานคณะกรรมการข่าวกรองวุฒิสภา จากพรรคริพับริกัน (CR:Engadget)

ในขณะที่ฟากฝั่งบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เองก็ใช่ย่อย ซึ่งสิ่งที่นักการเมืองสหรัฐฯ กล่าวหา TikTok นั้นก็เป็นสิ่งเดียวกับที่แพลตฟอร์มของบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐเองนั้นกระทำไปทั่วโลก

ด้วยผลประโยชน์จำนวนมหาศาลจากแพลตฟอร์มเหล่านี้ ไม่น่าแปลกใจว่าบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐเองก็พยายามล็อบบี้นักการเมืองของพวกเขาเพื่อสร้างกฎเกณฑ์ที่เอื้อประโยชน์ให้กับพวกเขาเอง

ข้อมูลโดยเฉพาะในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องจักรทำเงินที่สำคัญ และ TikTok ก็มองเห็นสิ่งนั้นและกำลังจะแย่งชิงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้จากบริษัทจากซิลิกอนวัลเลย์อยู่

คงไม่พูดเกินเลยนักว่ามันเปรียบเสมือนสุภาษิตไทยที่ว่า “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” เพราะสิ่งที่นักการเมืองสหรัฐมองเห็นสิ่งที่ TikTok มีนั้น มันก็มาจากข้อมูลที่เหล่าบริษัทเทคโนโลยีอเมริกาได้รับมาก่อน พวกเขาจึงเห็นศักยภาพของมันว่ามหาศาลขนาดไหน

แต่สิ่งที่ TikTok จากประเทศจีนได้เปรียบกว่ามาก ๆ โดยเฉพาะเรื่องการค้าขาย เช่นในธุรกิจ Ecommerce เมื่อพวกเขาเรียนรู้พฤติกรรมทุกอย่างของผู้ใช้งานทั่วโลก ด้วยการที่เป็นฐานการผลิตขนาดยักษ์ สินค้าที่มีตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ ข้อมูลพฤติกรรมความชอบเหล่านี้ที่ TikTok ได้ไปนั้น จะสร้างมูลค่าทั้งต่อทั้งแพลตฟอร์มและต่อประเทศจีนได้มากกว่าเครือข่ายที่มุ่งเน้นแต่การขายโฆษณาจากซิลิกอนวัลเลย์ได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
https://www.wired.com/story/us-congress-tiktok-ban-privacy-law
https://sea.mashable.com/life/22405/these-college-campuses-are-banning-tiktok-heres-why
https://gizmodo.com/tiktok-china-byte-dance-ban-viral-videos-privacy-1850034366
https://amac.us/biden-ignores-tiktok-national-security-threat-for-political-expediency/
https://www.express.co.uk/news/world/1447673/joe-biden-tiktok-donald-trump-ban-review-us-latest-breaking-news

ทำไมเกาหลีใต้ถึงให้อภัยผู้นำที่ทุจริตคอรัปชั่น?

Lee Myung-bak ประธานาธิบดีฝ่ายอนุรักษ์นิยมของเกาหลีใต้ตั้งแต่ปี 2008 ถึง 2013 ได้รับการอภัยโทษจาก Yoon Suk-yeol ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน Lee ได้รับโทษเพียงสองปีหลังจากถูกตัดสินจำคุก 17 ปีในปี 2020 ข้อหาติดสินบนและคอร์รัปชัน

เขาเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนที่สี่ที่ได้รับการอภัยโทษตั้งแต่ประเทศเริ่มมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในปี 1987

ต้องบอกว่ามีประธานาธิบดีที่ทุจริตมากมายทั่วโลก แต่สิ่งที่มักไม่ค่อยพบเจอก็คือ การที่พวกเขาถูกนำมารับการพิจารณาคดี ถูกตัดสินลงโทษ และได้รับการอภัยโทษจากผู้สืบทอดตำแหน่งของตัวเขาเอง 

เหตุใดจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้งในเกาหลีใต้ ต้องบอกว่าการให้อภัยโทษมีบทบาทต่อระบบกฎหมายสมัยใหม่ส่วนใหญ่ ในหลายประเทศ รวมทั้งฝรั่งเศส ตุรกี และสวิตเซอร์แลนด์ โดยอำนาจในการอภัยโทษขึ้นอยู่กับสภานิติบัญญัติเป็นส่วนใหญ่  แต่ก็มีในบางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ที่รัฐบาลสามารถผ่อนผันได้ก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานยุติธรรมอย่างศาลฎีกาเพียงเท่านั้น 

ประธานาธิบดีอเมริกัน โดยเฉพาะ Donald Trump บางครั้งถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจในการอภัยโทษในทางที่ผิด แต่มีระบอบประชาธิปไตยเพียงไม่กี่แห่งที่ใช้การอภัยโทษเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองในแบบที่เกาหลีใต้ทำ

วัฏจักรนี้เริ่มต้นด้วย Chun Doo-hwan ผู้นำเผด็จการทหารคนสุดท้าย และ Roh Tae-woo พันธมิตรของ Chun ที่กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกหลังระบอบประชาธิปไตย ทั้งคู่ถูกตัดสินจำคุกในปี 1996 ในข้อหารับสินบน การทำรัฐประหารในปี 1979 และมีบทบาทในการสังหารหมู่ผู้ประท้วงที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 1980 พวกเขาได้รับการปล่อยตัวในปีต่อมา 

 Chun Doo-hwan ผู้นำเผด็จการทหารคนสุดท้าย และ Roh Tae-woo พันธมิตรของเขา (CR:DW)
 Chun Doo-hwan ผู้นำเผด็จการทหารคนสุดท้าย และ Roh Tae-woo พันธมิตรของเขา (CR:DW)

Park Geun-hye ผู้สืบทอดตำแหน่งของ Lee Myung-bak ถูกตัดสินจำคุกในปี 2018 ฐานรับสินบนและใช้อำนาจโดยมิชอบ ก่อนได้รับการอภัยโทษจาก Moon Jae-in ผู้สืบทอดตำแหน่งจากพรรคเสรีนิยมในเดือนธันวาคม 2021

วัฒนธรรมแปลก ๆ แบบนี้ของเกาหลีใต้ต้องเรียกได้ว่ามีอายุยืนยาวกว่าระบอบเผด็จการที่สร้างรูปแบบดังกล่าวนี้ขึ้นมา การเมืองของประเทศกลายมาเป็นเกมที่ต้องแลกมาด้วยเลือด ซึ่งช่วยอธิบายว่าทำไมผู้กระทำผิดส่วนใหญ่ถึงถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่มีประธานาธิบดีคนใดลังเลที่จะใช้สำนักงานตำรวจและสำนักงานอัยการเพื่อสอบสวนคู่แข่งทางการเมืองของตน 

เหตุใดผู้ต้องโทษจึงได้รับการอภัยโทษจึงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย ทั้งสี่กรณีผู้ที่ให้อภัยโทษกับอดีตประธานาธิบดีที่กระทำผิด อ้างถึงความจำเป็นในการสร้างความเป็นเอกภาพของชาติ รวมถึงเรื่องปัญหาสุขภาพของนักโทษ แต่ที่ผ่านมายังไม่มีการอภัยโทษใด ๆ ที่เป็นเรื่องของความเห็นพ้องต้องกันของประชาชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว 

การให้อภัยโทษของอดีตประธานาธิบดี Chun และ Roh นำไปสู่การปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจปราบจลาจลในปี 1997 ส่วนกรณีของ Park Geun-hye และ Lee Myung-bak ความคิดของประชาชนมีความแตกแยกเป็นอย่างมากว่าควรอภัยโทษให้ทั้งสองหรือไม่ 

Park Geun-hye และ Lee Myung-bak ความคิดของประชาชนมีความแตกแยกเป็นอย่างมากว่าควรอภัยโทษให้ทั้งสองหรือไม่  (CR:Korean Times)
Park Geun-hye และ Lee Myung-bak ความคิดของประชาชนมีความแตกแยกเป็นอย่างมากว่าควรอภัยโทษให้ทั้งสองหรือไม่  (CR:Korean Times)

การสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำขึ้นในเดือนธันวาคม 2022 ก่อนที่ Lee จะได้รับอิสรภาพ พบว่าชาวเกาหลีใต้ 53% เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ แต่อีก 39% ไม่เห็นด้วย

การให้อภัยโทษอาจเกี่ยวกับการรักษาฐานอำนาจของตนเอง ในฐานะประธานาธิบดีสามารถคาดหวังได้ว่าผู้ที่จะมาสืบทอดเขาอาจจะเข้ามาตรวจสอบเมื่อตนเองต้องถึงเวลาต้องออกจากตำแหน่ง ทำไม ถึงไม่แสดงความเมตตากรุณาเป็นแบบอย่าง และหวังว่าจะได้รับการปฏิบัติที่ดีในภายหลังเช่นกัน ในกรณีอื่นๆ อาจเป็นช่องทางหนึ่งในการปิดปากกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 

การอภัยโทษของ Park มีขึ้นหลายเดือนก่อนการเลือกตั้ง ประธานาธิบดี Moon Jae-in อาจคำนวณว่าถ้าเธอตายในคุก นั่นจะทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเขาเสียหาย

การให้อภัยโทษมักได้รับแรงบันดาลใจจากพลวัตทางอำนาจภายในกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองเช่นกัน นักการเมืองที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดมักจะมีพันธมิตรที่มีอำนาจอยู่ในรัฐสภา ซึ่งสามารถสนับสนุนการให้มีการอภัยโทษได้ เห็นได้ชัดว่าประธานาธิบดี Yoon Suk-yeol เป็นแฟนตัวยงของ Lee Myung-bak อดีตประธานาธิบดีที่เขาเป็นคนให้อภัยโทษ 

Yoon Suk-yeol เป็นแฟนตัวยงของ Lee Myung-bak อดีตประธานาธิบดีที่เขาเป็นคนให้อภัยโทษ  (CR:Anadolu Agency)
Yoon Suk-yeol ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ที่เป็นแฟนตัวยงของ Lee Myung-bak อดีตประธานาธิบดีที่เขาเป็นคนให้อภัยโทษ  (CR:Anadolu Agency)

เขาได้สร้างทีมบริหารของเขาด้วยลูกน้องของ Lee Myung-bak เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และได้นำนโยบายที่คล้ายคลึงกันหลายอย่างมาใช้ 

ประธานาธิบดี Yoon Suk-yeol ซึ่งเป็นนักการเมืองใหม่และเป็นคนนอกก็หวังที่จะทำให้การเข้าสู่ชนชั้นสูงนี้มีความราบรื่นในระยะยาว Yoon ยังคงวาดภาพตัวเองว่าเป็นผู้ทำสงครามเพื่อความยุติธรรม แต่การตัดสินใจปล่อยตัวผู้กระทำผิดอาจเป็นการเปิดบาดแผลให้กับตัวเขาเอง 

ความเชื่อมั่นของประชานต่ออดีตประธานาธิบดีและผู้สมรู้ร่วมคิดของพวกเขาเป็นช่วงเวลาสำคัญแห่งประวัติศาสตร์สำหรับประชาธิปไตยของเกาหลีใต้ ซึ่งท้ายที่สุดการเพิกเฉยต่อคำตัดสินที่มีความผิดร้ายแรงเหล่านี้อาจจะกลายเป็นสิ่งบั่นทอนศรัทธาของประชาชนและสถาบันหลักของประเทศได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/the-economist-explains/2023/01/06/why-does-south-korea-pardon-its-corrupt-leaders
https://www.aljazeera.com/economy/2022/12/27/south-koreas-jailed-ex-president-lee-gets-presidential-pardon
https://www.reuters.com/world/asia-pacific/south-koreas-former-president-lee-granted-special-pardon-2022-12-27/