Lithography Wars กับการต่อสู้ของ ASML สู่การผูกขาดเครื่องจักรในการผลิตชิป

ย้อนกลับไปในช่วงปี 1984 ในตอนนั้น ASML เป็นบริษัทที่เพิ่งเริ่มตั้งไข่ใหม่ ๆ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ แถมยังไม่มีเงินทุน ไม่ต้องคิดถึงการสร้างเครื่องจักรในการผลิตชิปรุ่นถัดไปของโลกที่คงเป็นแค่เรื่องในฝัน

ปีเดียวกันนั้นเองเป็นปีที่บริษัท Philips ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่จากเนเธอร์แลนด์ได้แยกแผนกในการสร้างเครื่องจักรผลิตชิปออกไป และก่อตั้งขึ้นเป็นบริษัทใหม่ในชื่อ ASML โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Veldhoven ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดนเนเธอร์แลนด์ที่ติดกับเบลเยียมมากนัก

มันดูจะไกลเกินฝันจริง ๆ สำหรับ ASML ที่จะกลายเป็นบริษัทระดับโลกในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แม้ยุโรปในยุคนั้นจะเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ แต่เห็นได้ชัดว่ายังตามหลัง Silicon Valley และทางฝั่งญี่ปุ่นอยู่สุดกู่

ASML นั้นใช้แนวคิดที่แตกต่างจากบริษัทจากญี่ปุ่นหรืออเมริกา โดยตัดสินใจที่จะประกอบระบบจากส่วนประกอบที่ทำการจัดหามาอย่างพิถีพิถันจากซัพพลายเออร์ทั่วโลก มันเป็นการพึ่งพาบริษัทอื่นในการสร้างส่วนประกอบหลักของเครื่องจักร และดูเหมือนว่าแนวคิดดังกล่าวนี้จะเต็มไปด้วยความเสี่ยงมากมาย

แต่ ASML เรียนรู้ที่จะจัดการกับมัน ในขณะที่เหล่าคู่แข่งโดยเฉพาะจากญี่ปุ่นทั้ง Canon และ Nikon นั้นพยายามที่จะสร้างทุกอย่างภายในบริษัท

ASML สามารถซื้อส่วนประกอบที่ดีที่สุดในตลาดได้ และเมื่อพวกเขาเริ่มมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเครื่อง EUV ความสามารถในการรวมเอาส่วนประกอบชั้นยอดจากแหล่งต่าง ๆ ของพวกเขา กลายมาเป็นจุดแข็งที่เด็ดที่สุด

ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่น้อย เพราะในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ASML จากเนเธอร์แลนด์ถูกมองว่าเป็นกลางในข้อพิพาททางการค้าระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา

Micron ที่เป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่ผลิต DRAM สัญชาติอเมริกัน ต้องการซื้อเครื่องจักรในการผลิต จึงได้เลือก ASML แทนการพึ่งพา Canon หรือ Nikon ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับคู่แข่งของ Micron ในญี่ปุ่น

การที่ ASML แยกตัวออกมาจาก Philips นั้นช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ TSMC จากไต้หวัน เพราะ Philips เองถือเป็นนักลงทุนรายสำคัญใน TSMC โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีกระบวนการผลิตรวมถึงทรัพย์สินทางปัญญาให้กับทางฝั่งของ TSMC ในช่วงเริ่มต้น

ASML จึงได้ฐานลูกค้าจาก TSMC เพราะโรงงานของ TSMC นั้นได้รับการออกแบบตามกระบวนการผลิตของ Philips เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อโรงงานของ TSMC เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1989 ทำให้ TSMC ต้องซื้อเครื่องจักรในการผลิตชิปเพิ่มอีก 19 เครื่อง และทั้งหมดถูกสั่งตรงมาจาก ASML

ASML และ TSMC เริ่มต้นจาการเป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีใครสนใจในอุตสาหกรรมผลิตชิปในช่วงแรก ๆ แต่พวกเขาก็เติบโตไปด้วยกันและสร้างความร่วมมือกันอย่างแข็งขัน

ฝั่งอเมริกาเอง Andy Grove กำลังเตรียมที่จะอนุมัติการลงทุนครั้งใหญ่ครั้งแรกของ Intel ในการวิจัยเครื่องมืออย่าง EUV เช่นเดียวกับที่ ASML กำลังทำอยู่

Andy Grove กำลังเตรียมที่จะอนุมัติการลงทุนครั้งใหญ่ครั้งแรกของ Intel ในการวิจัยเครื่องมืออย่าง EUV (CR:MetaSwitch)
Andy Grove กำลังเตรียมที่จะอนุมัติการลงทุนครั้งใหญ่ครั้งแรกของ Intel ในการวิจัยเครื่องมืออย่าง EUV (CR:MetaSwitch)

ซึ่งในช่วงปี 1992-1996 นั้น Intel เองก็ได้สร้างความร่วมมือกับห้องปฏิบัติการหลายแห่งที่ดำเนินการโดยกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญที่จำเป็นต่อการสร้างเครื่อง EUV มันดูเหมือนจะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเพราะเหล่าห้องวิจัยของอเมริกาที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างต้นแบบระบบ EUV แต่พวกเขามุ่งเน้นไปที่เรื่องวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การผลิตให้ได้จำนวนมาก ๆ ในสเกลอุตสาหกรรม

เป้าหมายของ Intel คือการสร้างสิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่แค่การวัดผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ Intel ต้องค้นหาบริษัทที่สามารถผลิตเครื่อง EUV ในปริมาณมาก ๆ ซึ่งเมื่อเหลียวมองไปยังบริษัทในอเมริกาแทบจะไม่มีบริษัทใดทำได้เลย

บริษัทที่สามารถสร้างเครื่องมือเหล่านี้ที่ใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่ในอเมริกาคือ Silicon Valley Group (SVG) ซึ่งมีความล้าหลังทางด้านเทคโนโลยี รัฐบาลสหรัฐเองยังคงอ่อนไหวจากสงครามทางการค้าในช่วงปี 1980 กับญี่ปุ่น จึงไม่ต้องการให้ Nikon และ Canon เข้ามามีส่วนร่วม แม้ว่า Nikon เองก็ไม่ได้คิดว่าเทคโนโลยี EUV มันจะใช้งานได้จริงก็ตาม ทำให้ ASML เป็นบริษัทเดียวที่เหลืออยู่ที่จะช่วยเหลือ Intel ได้

แต่แน่นอนว่าแนวคิดในการให้บริษัทต่างชาติเข้าถึงงานวิจัยที่ทันสมัยที่สุดจากห้องทดลองระดับชาติของอเมริกาทำให้เกิดความกังวลขึ้นในวอชิงตัน สถานการณ์ในตอนนั้นยังไม่มีการประยุกต์ใช้มันเพื่อใช้ในแวดวงทหาร และยังไม่ชัดเจนว่า EUV มันจะใช้งานได้จริง

แต่เหล่านักการเมืองอเมริกันเองมองว่า ASML และรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เป็นพันธมิตรที่เชือถือได้ สิ่งที่สำคัญกว่าสำหรับนักการเมืองชาวอเมริกันคือผลกระทบต่อการสร้างงานไม่ใช่เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์

รัฐบาลสหรัฐฯ ได้กำหนดให้ ASML สร้างโรงงานในสหรัฐฯ เพื่อผลิตชิ้นส่วนสำหรับสำหรับการสร้างเครื่อง EUV และว่าจ้างพนักงานชาวอเมริกัน แต่อย่างไรก็ตามการวิจัยและพัฒนาหลักของ ASML นั้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศเนเธอร์แลนด์

เมื่อถูกปิดกั้นไม่ให้ทำการวิจัยในห้องแล็บแห่งชาติของสหรัฐฯ Nikon และ Canon ก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่สร้างเครื่องมือ EUV ของตนเอง ปล่อยให้ ASML เป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในโลก

ในขณะเดียวกับในปี 2001 ASML ได้เข้าซื้อกิจการของ Silicon Valley Group ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องจักรในการผลิตชิปแห่งสุดท้ายของอเมริกา แต่ก็มีคำถามเกิดขึ้นอีกครั้งว่าดีลนี้มันเหมาะสมหรือไม่และจะส่งผลต่อเรื่องความมั่นคงของอเมริกาหรือไม่

ภายใน DARPA และกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ซึ่งให้ทุนกับอุตสาหกรรมนี้มาอย่างยาวนาน เจ้าหน้าที่บางคนได้มีการคัดค้านดีลดังกล่าว สภาคองเกรสก็แสดงความกังวลเช่นเดียวกัน โดยวุฒิสมาชิกสามคนได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี George W. Bush ว่า “ASML จะครอบครองเทคโนโลยี EUV ทั้งหมดของรัฐบาลสหรัฐฯ”

วุฒิสมาชิกได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี George W. Bush ถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นหาก ASML ครอบครองเทคโนโลยี EUV (CR:Flickr)
วุฒิสมาชิกได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี George W. Bush ถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นหาก ASML ครอบครองเทคโนโลยี EUV (CR:Flickr)

ฝั่งของ Intel ก็ได้ออกมาโต้แย้งในเรื่องดังกล่าวว่าการขาย Silicon Valley Group ให้กับ ASML มีความสำคัญต่อการพัฒนา EUV และเป็นพื้นฐานสำหรับอนาคตของการประมวลผล ซึ่งหากไม่มีการควบรวมกิจการเส้นทางในการพัฒนาเครื่องมือใหม่ในสหรัฐอเมริกาจะล่าช้าออกไปอีก

ดังนั้นเครื่อง EUV ยุคถัดไปจึงได้ถูกประกอบในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าส่วนประกอบบางอย่างจะยังคงสร้างขึ้นในโรงงานในคอนเนตทิคัต เครือข่ายทางวิทยาศาสตร์ที่ผลิต EUV นั้นมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก โดยรวบรวมนักวิทยาศาสตร์จากประเทศต่าง ๆ ทั้ง อเมริกา ญี่ปุ่น สโลวีเนียและกรีซ

แต่อย่างไรก็ตาม การผลิต EUV ไม่ได้มีการผลิตไปทั่วโลก แต่ถูกผูกขาดทั้งห่วงโซ่อุปทานที่จัดการโดยบริษัทเดียวนั่นก็คือ ASML ซึ่งสามารถที่จะควบคุมอนาคตของการผลิตชิปของโลกอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
เรียบเรียงจากหนังสือ Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology โดย Chris Miller
https://en.wikipedia.org/wiki/ASML_Holding
https://thechipletter.substack.com/p/the-founding-of-asml-part-1-the-philips
https://www.referenceforbusiness.com/history2/76/ASML-Holding-N-V.html
https://www.asml.com/en/products/euv-lithography-systems

Operation Grizzley Steppe ยุทธการพลิกฟ้าท้าทายพญาอินทรี

8 พฤศจิกายน 2016 มันเป็นวันประกาศชัยชนะของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างสุดเซอร์ไพรส์ มันเป็นวันฉลองของชาวอเมริกันส่วนใหญ่ในตอนนั้น ที่เลือกทรัมป์ เพราะหวังว่า ทรัมป์ จะนำพา America Great Again ดั่งคำหาเสียงของเขา

แต่เมื่อภาพตัดมาที่เครมลิน ที่รัสเซีย มันคือการประกาศชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหน่วยสืบราชการลับในประวัติศาสตร์ที่โลกเราเคยมีมา

ปูติน ไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปกับชาวอเมริกา พวกเขาจะพบกับความสับสนวุ่นวาย ความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกแบบที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนของชาวอเมริกัน แต่ปูติน รู้เพียงแค่ว่า นั่นมันคือ จุดอ่อนของประชาธิปไตย

และที่สำคัญในตอนนั้น ไม่มีชาวอเมริกันคนใด นึกถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ มันเป็นแผนการที่แยบยลเอามาก ๆ อำนาจของปูติน ได้แผ่ขยายไปยังสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ

ซึ่งแปดปีก่อนหน้า ที่สหรัฐได้ผู้นำที่มาจากพรรครีพับรีกัน ที่นำโดย บารัค โอบามา ประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา รวมถึงฮิลลารี คลินตัน ที่เป็นหนึ่งในทีมงานบริหารคนสำคัญของโอบามา

ปูติน มีความเกลียดชังส่วนตัวต่อทั้งคู่ ซึ่งนั่นเองที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาต้องเข้ามาแทรกแซง และกอรปกับ ช่วงเวลานั้น ในปี 2016 เป็นปีที่เหล่านักรบไซเบอร์ กองทหารสุดยอดนักรบของปูตินนั้นมีความพร้อม เพราะได้มีการปลูกฝังกันมานานกว่าทศวรรษ และเป้าหมายของพวกเขา คงไม่ใช่แค่เพียงเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ เพียงเท่านั้นอย่างแน่นอน

ปูติน ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับโอบามา (CR:FAZ)
ปูติน ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับโอบามา (CR:FAZ)

รัสเซียเลือกโจมตีไปที่ ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครคนสำคัญในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 จากพรรคเดโมแครต ด้วยข้อมูลหลุดจาก อีเมล ซึ่งรัสเซียใช้มันเป็นอาวุธสำคัญ ซึ่งเมื่อถึงการเลือกตั้ง มันก็ได้ผลดั่งที่หวัง

พวกเขาได้รับประโยชน์เต็มที่ จากการผลักดัน โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีได้สำเร็จ ไครเมียได้รับการยกเลิกการคว่ำบาตร การลงทุนของรัสเซียกลับมาเนื้อหอมอีกครั้ง แต่เพื่อบรรลุความฝันที่ยิ่งใหญ่ของปูติน เป้าหมายที่แท้จริงจะต้องเป็นการยุติเสรีประชาธิปไตยในอเมริกาและยุโรป และนำมาซึ่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการอนุรักษ์นิยมทั่วโลก

ซึ่งถ้าพูดกันถึงเรื่องการแฮ็ก นั้น ชาวรัสเซีย ไม่เป็นสองรองใครในโลกใบนี้อยู่แล้ว มันไม่ใช่งานยากเลยของทีมงานของปูติน ที่จะดำเนินการในเรื่องดังกล่าว แต่การต่อสู้กับดินแดนมหาอำนาจทางเทคโนโลยีอย่างอเมริกา มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเสมอไป

เช่นเดียวกับการโจมตี 9/11 นักการเมืองสหรัฐฯ และประชาชนชาวอเมริกัน คงไม่อาจจินตนาการถึงภัยคุกคามใหม่ ที่มาในโลกไซเบอร์ แม้หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐฯ เองจะไม่ไว้วางใจทั้ง มอสโกว์ และ ปักกิ่ง ก็ตามที

แต่กลายเป็นว่า สิ่งที่ทำให้แผนของ ปูติน ง่ายขึ้น มันเกิดขึ้นจากความช่วยเหลือขององค์กรในสหรัฐฯ เสียเอง สื่อเป็นส่วนช่วยอย่างมาก โดยการยกระดับการขโมยอีเมล์ ให้กลายเป็นเรื่องระดับชาติ

สำหรับผู้สนับสนุนทรัมป์มันได้เปิดเผยทุก ๆ สิ่งที่พวกเขาเคยสงสัยเกี่ยวกับ ฮิลลารี คลินตัน ไม่ว่าทรัมป์ จะมีภาพลักษณ์อย่างไร แต่มันก็เป็นการยอมรับอำนาจอันสูงสุดของคนผิวขาว และที่สำคัญชาวอเมริกันคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเลือกใครซักคนเพื่อมาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งหนึ่ง

สำหรับแผนการแฮ็กอเมริกา ซึ่งทาง FBI ได้ใช้ชื่อรหัสในภายหลังว่า Operation GRIZZLEY STEPPE เริ่มถูกดำเนินการในช่วงฤดูร้อนของปี 2015

หน่วยข่าวกรองทางการทหารของรัสเซีย ดำเนินแผนการระยะยาวเพื่อเจาะเซิร์ฟเวอร์ของ Democratic National Committee (DNC)

ด้วยการรักษาความปลอดภัยที่หละหลวมอย่างเหลือเชื่อ กับประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา มันทำให้สายลับชาวรัสเซียเจาะเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้ไม่ยากนัก โดยสายลับของกองทัพรัสเซียออกอาละวาดอยู่ราว ๆ 7 – 10 เดือน ก่อนที่ฝั่งอเมริกาจะตรวจพบภัยคุกคาม

แต่เหล่าสายลับรัสเซีย ก็ได้ข้อมูลที่พวกเขาต้องการไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามีใครบางคนในหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐฯ ได้สังเกตเห็นความพยายามดังกล่าวนี้

เมื่อ DNC ถูกแฮ็ค

ในเดือนกันยายนปี 2015 FBI ได้ส่งประกาศไปยัง DNC ว่าระบบคอมพิวเตอร์ของพวกเขากำลังถูกเข้าถึงจากต่างชาติ และ ทาง DNC ได้ทำการตรวจสอบโดยละเอียดและไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดปรกติ

สายลับของกองทัพรัสเซีย ได้ย่องเข้ามาขโมย โดยที่เจ้าตัวแทบจะยังไม่รู้ว่ามีข้อมูลได้หลุดรั่วออกไป ต้องบอกว่าเป็นผลงานที่สุดยอดมาก ๆ ของสายลับจากแดนหมีขาว แน่นอนว่าเครื่องมือที่พวกเขาใช้นั้นสุดยอด เพราะมันคือ Advanced Persistent Threat-29 (ATP-29)

ต้องบอกว่า ATP-29 นั้นเป็นชุดแฮ็กที่รู้จักกันดี ซึ่งได้รับการขนานนามจากหลากหลายบริษัท แต่ชุดที่ใช้โจมตี DNC ของอเมริกานั้น เป็นชุดพิเศษที่มีชื่อว่า COZY BEAR ที่ได้จากบริษัท Crowstrike บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

ซึ่ง COZY BEAR นี่เองที่อยู่เบื้องหลังซอฟท์แวร์ของทหารหน่วยสืบราชการลับของกองทัพรัสเซีย ที่เป็นชุดมัลแวร์ที่มีความซับซ้อนสูงในการโจมตี และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาใช้ COZY BEAR เพราะมีการใช้งานหลายครั้งทั่วทุกมุมโลก

COZY BEAR เคยถูกใช้เพื่อเจาะเซิร์ฟเวอร์ทำเนียบขาวและเพนตากอนในปี 2014 และ 2015 เป็นระบบที่เจาะไปที่หน่วยงานพลเรือนเช่น DNC ในอดีตพวกเขาสามารถเข้าสู่ระบบของเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวได้ ดังนั้นข้อมูลพรรคการเมืองจึงเป็นเรื่องขี้ปะติ่วสำหรับพวกเขามาก ๆ

ในขณะที่กองทัพไซเบอร์ของรัสเซียนั้นประสบความสำเร็จในการเข้าถึงข้อมูลที่ DNC การโจมตีที่มีความเฉพาะเจาะจง ได้ดำเนินการโดยหน่วยงานสายลับอีกหน่วยที่เรียกว่า APT-28 และมีชื่อขนานนามว่า FANCY BEAR

ในโลกแห่งความปลอดภัยทางไซเบอร์ FANCY BEAR เป็นที่รู้จักกันดีว่าถูกควบคุมโดยหน่วยงานความั่นคงแห่งรัฐของรัสเซียหรือ FSB ซึ่งมีความแตกต่างจากยุค KGB เก่าก็คือ FSB นั้นมีงบประมาณที่สูงกว่ามาก และมีอิทธิพลมากกว่าในการดำเนินงานในต่างประเทศ

ในเดือนมิถุนายนปี 2016 Dmitri Alperovitch ซีอีโอของ Crowdstrike ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการแฮ็ก DNC ซึ่งบทความดังกล่าวมีชื่อว่า Bears in the Midst : Instruction to the Democratic National Comittee

Dmitri Alperovitch ซีอีโอของ Crowdstrike ที่ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการแฮ็ก DNC (CR:iTnews)
Dmitri Alperovitch ซีอีโอของ Crowdstrike ที่ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการแฮ็ก DNC (CR:iTnews)

และทำการเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า สายลับรัสเซีย ทำการแฮ็ก DNC ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีในชุมชนการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ แต่ในฝั่งพรรค รีพับรีกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โดนัลด์ ทรัมป์นั้น ไม่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว

Guccifer 2.0

ซึ่งไม่กี่วันหลังจากรายงานของ Crowstrike บล็อก WordPress ที่เขียนโดยบุคคลที่ใช้นามแฝงว่าว่า “Guccifer 2.0” ก็ปรากฏขึ้นบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งอ้างว่าเขาเจาะ DNC ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นแฮ็กเกอร์เพียงคนเดียวที่ทำสิ่งดังกล่าว

แต่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านไซเบอร์ต่างเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที เพราะเห็นได้ชัดว่า ชื่อนี้เป็นการแสดงความเคารพต่อ “Guccifer” แฮ็กเกอร์ชาวโรมาเนีย ที่เคยเผยแพร่อีเมลของ Colin Powell อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา และผู้มีอิทธิพลคนอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน

แต่เนื่องจาก Guccifer ตัวจริงนั้นถูกขังคุกอยู่ในสหรัฐฯ และได้ร่วมมือกับ FBI ไปก่อนหน้านี้แล้ว มันก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า Guccifer 2.0 คือใครกันแน่

ซึ่งนักข่าวและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์คาดการณ์อย่างรวดเร็วว่าบุคคลในบล็อกน่าจะเป็นชาวรัสเซีย เนื่องจากมีความเข้าใจภาษาโรมาเนียไม่ดีพอ และใช้แป้นพิมพ์ภาษารัสเซีย

Guccifer 2.0 เริ่มปล่อยข้อมูลที่ขโมยโดยการแฮ็ก COZY BEAR / FANCY BEAR สู่สาธารณะ เขาเริ่มต้นด้วยการเผยแพร่เอกสารทางการเงินของ DNC ตามด้วยเอกสารเกี่ยวกับ ฮิลลารี คลินตัน และเอกสารอื่น ๆ ที่มาจากเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ของ DNC

ช่วงแรกนั้นเอกสารกระจายอยู่แค่คนในวงชุมชนไซเบอร์เพียงเท่านั้น แต่สิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อ Wikileaks ของ Julian Assange ประกาศว่ามีอีเมล์ของ DNC หลุดออกมา และหลังจากนั้น ข่าวมันก็ได้ดังกระฉ่อนไปทั่วโลก สื่อกระแสหลักเริ่มหันมาให้ความสนใจ

ในวันที่ 22 ตุลาคมปี 2016 Wikileaks ได้ทำให้สื่อทั่วโลกต่างตกตะลึง ด้วยอีเมล์ DNC ที่ถูกขโมย 19,252 ฉบับจากเจ้าหน้าที่อาวุโสของ DNC รวมถึงผู้อำนวยการด้านการสื่อสารและทีมการเงินอาวุโส

ซึ่งเนื้อหาที่หลุดออกมานั้น ดูเหมือนจะมุ่งเน้นไปที่พรรคเดโมแครต ซึ่งได้เปิดเผยมุมมองของ เด็บบี วาสเซอร์แมน ชูล์ซ ทีมีต่อ เบอร์นี แซนเดอร์ส และ ฮิลลารี คลินตัน ซึ่ง ตัว ชูล์ซเองนั้นเป็นเพื่อนสนิทของคลินตัน จึงไม่น่าแปลกใจที่เธอนั้นจะสนับสนุนคลินตัน

แต่ประเด็นก็คือ การเปิดตัวอีเมล์ดังกล่าวนั้น มีกำหนดพอดิบพอดี กับการที่จะมีการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตในฟิลาเดลเฟีย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน เจตนาของการรั่วไหลนั้นมันชัดเจนมาก ๆ

มันเป็นการแยกเบอร์นี แซนเดอร์ออกจากพรรคเดโมแครต และสร้างความเสียหายให้กับฮิลลารี คลินตัน ในหมู่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่เป็นอิสระและกลุ่มหัวก้าวหน้า

การปล่อยข้อมูลออกมาครั้งนี้ มันทำงานได้อย่างเพอร์เฟค มาก ๆ เพราะเพียงแค่เช้าวันแรกของการประชุม ผู้สนับสนุนของเบอร์นี แซนเดอร์ส ได้เริ่มออกมาเดินขบวนประท้วงสิ่งที่เกิดขึ้น รอยร้าวในพรรคเดโมแครต มันได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ผ่านการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว

ไม่นานหลังจากการเผยแพร่ข้อมูลจาก Guccifer 2.0 คำถามจริง ๆ จัง ๆ ก็ถูกถามดัง ๆ โดยผู้เชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น ว่า “ทีมของทรัมป์ทำงานร่วมกับรัสเซียในปฏิบัติการครั้งนี้หรือไม่” เพราะเห็นได้ชัดว่าหลังจากขึ้นครองตำแหน่งของทรัมป์นั้น นโยบายของเขาเป็นไปในทางบวกกับรัสเซียแบบที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ปี 2016 เช่นเดียวกับที่โดนัลด์ ทรัมป์กล่าวหามูลนิธิคลินตันว่าทุจริต Guccifer 2.0 อ้างว่าได้แฮ็ก เซิร์ฟเวอร์ของมูลนิธิ เอกสารดังกล่าวมาจากกลุ่ม DCCC ทรัมป์ตื่นเต้นกับข่าวนี้ แม้ว่ามูลนิธิของเขาเองก็ถูกเปิดเผยว่าถูกใช้เพื่อหาเงินเข้ากองทุนครอบครัวของเขาก็ตามที

หากทรัมป์ไม่สมรู้ร่วมคิดกับรัสเซียจริง แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาพูดมันจะย้อนแย้งกับสิ่งที่เขาพยายามปฏิเสธ วันที่ 27 กรกฏาคม ปี 2016 เพียง 48 ชั่วโมงหลังจากการแพร่ข้อมูลหลุดจาก DNC

ทรัมป์ได้เรียกร้องให้มอสโกแฮ็กและปล่อยอีเมลมากขึ้น ทรัมป์กล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาแฮ็กทั้งหมดจริง ๆ พวกเขาอาจมีอีเมล 33,000 ฉบับ ผมหวังว่าพวกเขาจะทำ พวกเขาอาจมีอีเมล 33,000 ฉบับที่เธอทำหาย และ ลบไป… รัสเซียคุณฟังผม หวังว่าคุณจะพบอีเมล 33,000 ฉบับที่หายไป”

สำหรับหน่วยข่าวกรอง และหน่วยงานด้านการต่อต้านข่าวกรองและเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ คำแถลงดังกล่าว จะเป็นประเด็นสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเข้าด้วยกัน ซึ่งจะนำไปสู่การสอบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา

ซึ่งมีการสืบสวนจาก FBI และหน่วยงานอื่น ๆ ที่พบว่า สมาชิกการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์ มีการพบปะกับรัสเซียแทบจะทุกที่ แต่พวกเขาปฏิเสธการประชุมที่เกิดขึ้น

เมื่อถึงเวลาการเลือกตั้ง จะมีเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูง หรือเจ้าหน้าที่หาเสียงมากกว่า 12 คน ที่จัดการประชุมตัวต่อตัว 19 ครั้ง และ มีการสื่อสารกับชาวรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับเครมลินมากกว่า 51 ครั้ง แต่พวกเขาส่วนใหญ่เหล่านี้ปฏิเสธเรื่องราวดังกล่าว และอ้างว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า พวกเขากำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ แต่มันคืออะไร?

National Security Branch (NSB) ของ FBI คือกลุ่มเจ้าหน้าที่ต่อต้านข่าวกรองที่มีความเชี่ยวชาญสูง ซึ่งคอยค้นหาสายลับของศัตรูและผู้ก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกา

เป็นเวลาเกือบ 80 ปีแล้วที่ NSB ติดตามการคุกคามจากการจารกรรมจากต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นสายลับคอมมิวนิสต์ อัลกออิดะห์ หรือ ISIS

ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2016 เหล่าหน่วยสืบราชการลับได้หลั่งไหลมาจาก CIA และ NSA เมื่อพวกเขาพบว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นจากการแฮ็ก DNC มีรายงานว่าชาวอเมริกามีการติดต่อกับตัวแทนของรัสเซีย

สื่อข่าวของอังกฤษรายงานว่า British General Communications Headquaters (GCHQ) หน่วยงานในเครือนาโตในยุโรป ก็ได้รับคำเตือนเช่นกัน ว่ามีเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงอเมริกัน กำลังสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองรัสเซีย

ผู้อำนวยการของ GCHQ ได้ส่งต่อข้อมูลแบบส่วนตัวไปยังทั้ง จอห์น เบรนแนน ผู้อำนวยการ CIA และ พลเรือเอก Michael Rogers ซึ่งเป็นผู้อำนวยการ NSA

ในเดือนมีนาคมปี 2016 ผู้สนับสนุนทรัมป์คนหนึ่งที่มีชื่อว่า จอร์จ ปาปาโดปูลอส ได้รับความสนใจจากทั้ง FBI และ CIA โดย ปาปาโดปูลอสนั้นเป็นที่ปรึกษาอาวุโสด้านนโยบายต่างประเทศของโดนัลด์ ทรัมป์

ซึ่งตามรายงานของสื่ออย่าง นิวยอร์กไทม์ส ปาปาโดปูลอส ได้เปิดเผยบทบาทของเขาโดยไม่ตั้งใจเมื่อเขาคุยโวเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับรัสเซีย ในขณะที่มีการดื่มสังสรรค์กับอเล็กซานเดอร์ ดาวเนอร์ นักการทูตชาวออสเตรเลีย ในเมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ปาปาโดปูลอส ได้บอกกับ ดาวเนอร์ว่า รัสเซียมีอีเมลของ ฮิลลารี คลินตัน หลายพันฉบับ และบอกกับ ดาวเนอร์ว่า พวกเขาจะได้รับประโยชน์จากข้อมูลหลุดครั้งนี้

และในเวลาใกล้เคียงกัน คาร์เตอร์ เพจ ที่ปรึกษานโยบายด้านต่างประเทศของทรัมป์อีกคนที่อ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในอุตสาหกรรมพลังงานของรัสเซีย แม้ว่าจะไม่มีใครเคยได้ยินชื่อเขามาก่อนก็ตามที

จอร์จ ปาปาโดปูลอส ที่ปรึกษาของ ทรัมป์ ที่มีความสนิทสนมกับรัสเซีย (CR:New York Daily News)
จอร์จ ปาปาโดปูลอส ที่ปรึกษาของ ทรัมป์ ที่มีความสนิทสนมกับรัสเซีย (CR:New York Daily News)

เพจอ้างว่าทำงานเป็นเวลาเจ็ดปี ให้กับ Merrill Lynch ในลอนดอนและมอสโก นอกจากนี้เขายังอ้างว่าได้รับตำแหน่งเป็น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของกลุ่มพลังาน ของ Lynch ที่นิวยอร์ก

แต่สิ่งที่ปรากฏหลักฐานที่แท้จริง ก็คือ เพจทำงานเป็นเวลาสามปีในมอสโกเพื่อประสานงานการควบรวมกิจการของ Gazprom และ RAO UES ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการโน้มน้าวใจทรัมป์ให้เชื่อมั่นในตัวเขา

มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน ที่ทรัมป์รายรอบด้วยทีมงานที่มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับรัสเซีย และในขณะที่ข่าวเกี่ยวกับความบังเอิญเหล่านี้กำลังถูกเผยแพร่

ชุนชมข่าวกรองทั่วโลกกำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อจัดการผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการแฮ็กครั้งนี้

หน่วยงานหนึ่งคือ Dutch General Intelligence and Security Service ( Algemene Inlichtingen en Veiligheidsdienst หรือ AVID) ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านข่าวกรองของยุโรป) ที่ดูแลแผนกสงครามไซเบอร์ และได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูง

ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการขนาดเล็ก ในการทำสงครามคอมพิวเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง เพื่อใช้ในการตอบโต้กับปฏิบัติการข่าวกรองของรัสเซีย

AVID เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงแบ่งปันข่าวกรองระหว่างประเทศโดยนาโต และการปฏิบัติการทางไซเบอร์ของ AVID นั้นยอดเยี่ยมมาก และพวกเขาทำสิ่งหนึ่งที่ถือว่ายากที่สุดในโลก นั่นก็คือ การเจาะเข้าไปยังสำนักงานหน่วยข่าวกรองของรัสเซียเอง

ชาวดัตช์ ได้จัดตั้ง หน่วยไซเบอร์ร่วม SIGINT ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองพลเรือน และทหารของรัฐบาลกลาง ที่ได้รับมอบหมายให้โจมตีเครือข่ายที่เป็นศัตรู ความพิเศษของพวกเขาก็คือ COZY BEARS พวกเขาสามารถใช้วิธีการลับเพื่อระบุตำแหน่งของเซิร์ฟเวอร์ไปยังอาคารในมอสโก พวกเขาสามารถตอบโต้การแฮ็กกล้องรักษาความปลอดภัยบนชั้นหนึ่งของอาคาร และ สังเกตเห็นสายลับรัสเซียที่ใช้ระบบนี้

จอห์น แบรนแนน ผู้อำนวยการ CIA และ เจมส์ แคลปเปอร์ ผู้ประสานงานและผู้จัดการนโยบายโดยรวมของหน่วยข่าวกรองทั้ง 17 แห่งของสหรัฐฯ ได้รับข้อมูลจากทั้ง AVID และหน่วยข่าวกรองหน่วยงานอื่น ๆ และเห็นภาพถึงการโจมตีของรัสเซีย

แบรนแนน และ แคลปเปอร์ เห็นพ้องต้องกันว่าการโจมตีของรัสเซีย จำเป็นต้องมีการตอบโต้อย่างรุนแรงของสหรัฐอเมริกา

วันที่ 4 สิงหาคม ปี 2016 ตามคำสั่งของประธานาธิบดีโอบามา แบรนแนน ได้โทรศัพท์ติดต่อกับ อเล็กซานเดอร์ บอร์ตนิคอฟ หัวหน้า FSB ผู้อำนวยการข่าวกรองรัสเซียเป็นการส่วนตัว ซึ่งแบรนแนน ได้เตือน บอร์ตนิคอฟว่าสหรัฐฯ ตระหนักถึงปฏิบัติการของพวกเขา และมันจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ

จากนั้น แบรนแนน ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี โอบามา ให้แจ้งสมาชิกคนสำคัญของสภาคองเกรส ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อแบรนแนนได้แสดงให้เห็นถึงข้อมูลต่าง ๆ กับสภาคองเกรสถึงการดำเนินการเชิงรุกของรัสเซีย ที่กำลังเกิดผลกระทบขึ้นในวงกว้าง

จอห์น แบรนแนน ผู้อำนวยการ CIA ในตอนนั้น (CR:USNews)
จอห์น แบรนแนน ผู้อำนวยการ CIA ในตอนนั้น (CR:USNews)

รวมถึงการได้รับมอบหมายจากทำเนียบขาวให้ประสานงานกับหน่วยข่าวกรอง เกี่ยวกับขอบเขตและอิทธิพลของรัสเซีย ซึ่งแบรนแนน ก็ได้ปฏิบัติตาม และพยายามโน้มน้าวผู้นำระดับสูงของประเทศว่า สหรัฐฯ กำลังถูกโจมตี แต่ดูเหมือนเหล่าผู้นำสภาคองเกรสในขณะนั้น จะยังไม่ได้สนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ประธานาธิบดี โอบามา เริ่มกังวลมากจนเขาต้องทำสิ่งที่กล้าหาญที่สุดในฐานะประธานาธิบดี ด้วยการหยิบโทรศัพท์สีแดงขึ้นมา ซึ่งเป็นโทรศัพท์พิเศษที่ใช้ในการยุติสงครามระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และรัสเซีย

โอบามาได้เตือนปูตินเป็นการส่วนตัวว่า อเมริกาตระหนักถึงการดำเนินการของพวกเขา และ การกระทำใด ๆ ในวันเลือกตั้งถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดสำหรับอเมริกา แต่ดูเหมือนปูตินจะไม่สนใจ ภารกิจของรัสเซียคือ การเจาะลึกเข้าไปในจิตใจของประชาชนชาวอเมริกัน และ มันก็ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ

ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์

ในที่สุดวันที่ 8 พฤศจิกายน 2016 ชาวอเมริกันเกือบ 139 ล้านคนก็ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ในช่วงค่ำปรากฏว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา แม้คะแนนนิยม ฮิลลารี คลินตัน จะได้ไปมากกว่าก็ตาม

อเมริกาใช้ระบบ Electoral College ซึ่งมีการจัดสรรคะแนนเสียงจำนวนหนึ่งให้กับแต่ละรัฐ ผู้สมัครที่ได้รับการโหวต 270 เสียงจะเป็นผู้ชนะ ไม่ว่าคะแนนนิยมจะเป็นอย่างไร

ทรัมป์ได้คะแนนจาก Electoral College 306 คะแนน เมื่อการนับคะแนนสิ้นสุด ทรัมป์ สามารถเอาชนะสามรัฐ ที่เป็นพื้นที่สำคัญ ทั้งใน เพนซิลเวเนีย มิชิแกน และ วิสคอนซิน ได้สำเร็จ

ชัยชนะที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นของโดนัล ทรัมป์ สำหรับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ทำให้ทั่วทั้งโลกต่างประหลาดใจ ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้ เขาก้าวข้ามจากดาราทีวีเรียลลิตี้ จนกลายมาเป็นผู้ชายที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกได้สำเร็จ

มันแสดงให้เห็นว่า ประชาชนชาวอเมริกันจำนวนมาก ละทิ้งคุณค่าหลัก เช่น เสรีภาพสำหรับทุกคน การรวมตัวกันผ่านความหลากหลาย และพลังของ American Dream สำหรับผู้อพยพทุก ๆ คน

ชัยชนะของทรัมป์ เป็นความพยายามอย่างเปิดเผย ในการนำพาสหรัฐฯ ออกจากระบอบประชาธิปไตยที่ปกป้องสิทธิของชนกลุ่มน้อย เสรีภาพของกลุ่มคนที่หลากหลาย และมันได้เปลี่ยนแปลงสำเร็จแล้ว ซึ่งมันกำลังนำพาอเมริกาเข้าใกล้ระบอบที่พวกเขาจงเกลียดจงชังมากที่สุด นั่นก็คือ ระบอบเผด็จการนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Cyber-war How Russian Hackers and Trolls Helped Elect a President โดย Kathleen Hall Jamieson
หนังสือ The Plot to Destroy Democray : How Putin and His Spies are Undermining America and Dismantling the west
หนังสือ The Plot to Hack America : How Putin’s Cyberspies and Wikileakes Tried to Steal the 2016 Election
https://nymag.com/intelligencer/2016/12/what-is-grizzly-steppe-fancy-bear-and-the-dnc-hack.html
https://www.bloomberg.com/news/articles/2016-12-30/russia-s-grizzly-steppe-cyberattacks-started-simply-u-s-says

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ จะส่งผลต่อการเลือกตั้งของไทยในปี 2570 อย่างไร

ถ้าวาระการทำงานของรัฐบาลปรกติอยู่ที่ 4 ปี การเลือกตั้งครั้งถัดไปของประเทศไทยก็จะเกิดขึ้นในปี 2570

ความจริงบทความนี้อ้างอิงจาก The Economist ที่ทำนายว่าเทคโนโลยี AI นั้นจะส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไปของสหรัฐอเมริกาในปี 2567 (2024) อย่างไร แต่ผมลองมาวิเคราะห์ดูกันว่าหากเป็นบริบทในประเทศไทยเราจะพบเจอกับอะไรบ้าง

เป็นความท้าทายสำหรับทุกประเทศมาก ๆ เมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ นั้นกำลังมีบทบาทที่สำคัญมาก ๆ ต่อการเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นสิ่งชี้เป็นชี้ตายของการก้าวเดินไปข้างหน้าของแต่ละประเทศ

เราผ่านพ้นยุคที่เครือข่ายโซเชียลมีเดียส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเลือกตั้งมาแล้ว ในอเมริกาที่ถือว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานสูง ก็นยังถูกโจมตีจากข้อมูลบิดเบือนที่เกิดขึ้นตัวอย่างเคสที่เกิดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016

แต่เทคโนโลยีใหม่ทำให้เกิดความเป็นกังวัลที่มากกว่าเดิม เพราะเดิมทีนั้น ข้อมูลที่บิดเบือนมักจะถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีโดยเฉพาะ Generative AI นั้น สามารถสร้างข้อมูลบิดเบือนที่มีความซับซ้อนยิ่งกว่า

ปัจจุบันเราก็แทบจะแยกยากมาก ๆ อยู่แล้วว่าข้อมูลไหนคือจริง ข้อมูลไหนคือเท็จ โดยเฉพาะข้อมูลด้านการเมืองที่แต่ละฝ่ายมักจะเปิดเผยข้อมูลด้านเดียวที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง

เทคโนโลยีอย่าง Generative AI จะสร้างชุดข้อมูลบิดเบือนโดยระบบอัตโนมัติ และมีความแนบเนียนยิ่งกว่าที่มันเคยถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์

เทคโนโลยี large-language models (LLMs) นั้น จะเปลี่ยนแปลงสิ่งแรกก็คือ ปริมาณของข้อมูลที่ถูกบิดเบือน ลองจินตนาการว่า ข้อมูลเหล่านี้ สามารถสร้างในระดับ 1 ล้านชุดข้อมูลได้ในระยะเวลาเพียงไม่นาน ก็อาจจะทำให้ผู้ลงคะแนนไขว้เขวได้เช่นกัน เมื่อเจอชุดข้อมูลผิด ๆ จำนวนมหาศาลขนาดนี้ และสามารถเสกมันได้เพียงไม่กี่นาที

อีกสิ่งหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนก็คือ ความแนบเนียน และคุณภาพของเหล่าข้อมูลที่ถูกบิดเบือด ซึ่งเมื่อก่อนอาจจะหลอกได้เพียงแค่คนบางกลุ่มเพียงเท่านั้น แต่สิ่งที่เราจะเจอในอนาคตมันจะสามารถหลอกได้แนบเนียนและแม้แต่คนที่มีความรู้หรือเสพข่าวจากหลากหลายช่องทางอยู่แล้วก็อาจจะตกเป็นเหยื่อมันได้ เพราะมันจะมีความสมจริงที่เกินจินตนาการมากทั้งรูปภาพ เสียง วีดีโอ หรือ ข้อความที่มันพยายามส่งออกมา

และแน่นอนว่าสิ่งสำคัญก็คือมันกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เหล่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะถูกถาโถมไปด้วยโฆษณาชวนเชื่อที่มีความเป็นส่วนตัวเฉพาะบุคคลมากขึ้น และเครือข่ายของบอทโฆษณาชวนเชื่อจะถูกตรวจจับได้ยาก

ส่วนเครือข่ายโซเชียลมีเดียเอง แม้จะมีระบบควบคุมในระดับหนึ่ง แต่มันก็ยังมีความเสี่ยงสูง ตัวอย่างเช่น โมเดลโอเพ่นซอร์ส เช่น Meta’s Llama ซึ่งใช้ในการสร้างข้อความ และ Stable Diffusion ซึ่งใช้ในการสร้างรูปภาพ สามารถนำมาใช้ได้โดยไม่ต้องมีการควบคุมดูแล

และไม่ใช่ว่าทุกแพลตฟอร์มนั้นจะถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน TikTok ซึ่งเป็นบริษัทโซเชียลมีเดียที่เน้นไปที่วีดีโอสั้นมีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน และแอปถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมคลิปไวรัลจากทุกแหล่ง ซึ่งเราได้เห็นกันมาแล้วในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของไทยว่ามันส่งผลกระทบมากเพียงใด

รวมถึง X (Twitter) หลังจากที่ Elon Musk ซื้อกิจการไป และทำให้แพลตฟอร์มดังกล่าวกลายเป็นสวรรค์ของบอท ซึ่งกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือจากทุกฝ่ายเช่นเดียวกัน และด้วยการถูกผลักดันให้เป็นรูปแบบของ Free Speech เพิ่มมากขึ้นนของ Musk นั้น อานุภาพของมันก็อาจจะรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

การเมืองเป็นเรื่องสกปรก

ไม่มีสิ่งโลกสวยสำหรับเรื่องการเมือง เพราะเราได้เห็นจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ประเทศต้นแบบยักษ์ใหญ่อย่าง อเมริกาหรืออังกฤษเอง ก็มีความเน่าเฟะไม่แพ้กัน และเหล่านักการเมืองผู้หิวโหยก็พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางที่จะเอาชนะการเลือกตั้ง เพื่อขึ้นสู่อำนาจ

การเข้าสู่เทคโนโลยีเหล่านี้ก่อนนั้นจะเป็นสิ่งได้เปรียบสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอน มันอาจจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นตระหนกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เราอาจจะได้เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาในปี 2567 ว่าเทคโนโลยีเหล่าจะสร้างผลกระทบได้อย่างไรบ้าง

เป็นเรื่องน่าสนใจที่หน่วยงานกำกับดูแลต้องตามเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ทันท่วงที เพราะนักการเมืองฝั่งใดใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้มีประสิทธิภาพกว่า ก็มีโอกาสที่จะคว้าชัยทิ้งห่างคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่นได้เลยทีเดียวครับผม

References :
https://www.economist.com/leaders/2023/08/31/how-artificial-intelligence-will-affect-the-elections-of-2024
https://www.flickr.com/photos/prachatai/52759824563/
https://moneyandbanking.co.th/2023/36779/

Tech Cold War เมื่อบริษัทชิปเกาหลีใต้เตรียมแปรพักตร์จากจีนสู่อ้อมกอดสหรัฐฯ

แม้สงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตมันจะจบไปนานแล้ว แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กำลังเกิดสงครามเย็นครั้งใหม่ในแวดวงเทคโนโลยี

เมื่อ Xi Jinping เยี่ยมชมโรงงาน LG Display ในเมืองทางตอนใต้ของกว่างโจวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขาต้องการส่ง message ที่ค่อนข้างชัดเจนว่า “จีนยังคงต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศ”

แต่มันก็มีการตีความที่เป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง การเยี่ยมชมโรงงานของ LG นั้นเป็นการส่งคำเตือนไปยังบริษัทจากเกาหลีใต้ว่าควรที่จะคิดทบทวนให้ดีก่อนที่จะเข้าไปอยู่แนวร่วม “กลุ่มแบนจีน” ที่นำโดยสหรัฐอเมริกา

ต้องบอกว่าตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าไปจนถึงเทคโนโลยีชีวภาพและโทรคมนาคม กลุ่มบริษัทในเครือของเกาหลีใต้ล้วนแล้วแต่บทบาทสำคัญในภาคส่วนที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติและยุทธศาสตร์ทางอุตสาหกรรมทั้งในวอชิงตันและปักกิ่ง

ผู้ผลิตชิป Samsung Electronics และ SK Hynix พร้อมด้วยผู้ผลิตแบตเตอรี่ LG Energy Solution , SK On และ Samsung SDI ต่างได้รับเงินอุดหนุนหลายพันล้านดอลลาร์จากสหรัฐฯ เนื่องจากฝ่ายบริหารของ Biden พยายามดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีและความสามารถในการผลิตของเกาหลีใต้และลดบทบาทของจีนในห่วงโซ่อุปทานสหรัฐฯ

แต่ในทางกลับกัน เกาหลีใต้ก็ต้องปฏิบัติตามข้อจำกัดต่าง ๆ ของสหรัฐเกี่ยวกับกิจกรรมของพวกเขาในจีนเช่นกัน รวมถึงการเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทจีน นั่นทำให้เกิดกระแสการตอบโต้จากปักกิ่ง

โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาจีนกลับมาตอบโต้สหรัฐฯ ที่ควบคุมการขายเซมิคอนดักเตอร์ด้วยการจำกัดการส่งออกแกลเลียมและเจอร์เมเนียม ซึ่งเป็นโลหะสองชนิดที่ใช้ในการผลิตชิปและอุปกรณ์สื่อสาร

นอกจากนั้นปักกิ่งยังสั่งห้ามผู้ประกอบการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ๆ ของจีนไม่ให้ซื้อชิปจากไมครอน ซึ่งทำให้เกาหลีใต้กลัวว่าบริษัทของตนอาจตกเป็นเป้าหมายเช่นเดียวกัน

ในเดือนมิถุนายน Xing Haiming เอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงโซลได้เตือนเกาหลีใต้ต่อสาธารณะว่าอย่า “แยกตัว” จากเศรษฐกิจจีนภายใต้อิทธิพลหรือการกดดันจากสหรัฐฯ

“ผมรับรองได้เลยว่า พวกที่เดิมพันกับความพ่ายแพ้ของจีนจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน” Xing ได้ประกาศอย่างแข็งกร้าว ซึ่งได้รับการตำหนิจากกระทรวงต่างประเทศของเกาหลีใต้ในภายหลัง

Xing Haiming เอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงโซลได้เตือนเกาหลีใต้ต่อสาธารณะ (CR: La Prensa Latina)
Xing Haiming เอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงโซลได้เตือนเกาหลีใต้ต่อสาธารณะ (CR: La Prensa Latina)

ในขณะที่ประธานาธิบดี Yoon Suk Yeol ผู้นำอนุรักษ์นิยมของเกาหลีใต้ สร้างความไม่พอใจแก่ปักกิ่งด้วยความคิดเห็นที่ตำหนิจีนสำหรับความตึงเครียดในภูมิภาคที่มีต่อไต้หวัน

ตามข้อมูลที่เปิดเผยโดยธนาคารแห่งเกาหลีใต้ในเดือนมิถุนายนเกาหลีใต้ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ในปี 2022 มากกว่าทีส่งออกไปยังจีนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2004 ซึ่งยังเป็นยุคที่ขนาดของ GDP ของจีนยังน้อยกว่าสหราชอาณาจักร

Ahn Duk-geun รัฐมนตรีการค้าของเกาหลีกล่าวว่านโยบายของปักกิ่งที่มักจะเข้ามาแทรกแซงธุรกิจโดยพลการ กำลังกดดันให้บริษัทจากเกาหลีใต้กำลังหาวิถีทางที่จะลดความเสี่ยงจากจีน

กลยุทธ์เหยียบเรือสองแคม?

ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้กับจีนเปลี่ยนไปหลังจากปี 1992 เมื่อทั้งสองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเต็มรูปแบบหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต

ตั้งแต่นั้นมามูลค่าการค้าจีน-เกาหลีใต้ต่อปีก็เพิ่มขึ้นจาก 6 พันล้านดอลลาร์เป็น 3 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2022 เมื่อจีนมีสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสี่ของการส่งออกเกาหลีใต้

แน่นอนว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจได้รับแรงหนุนจากความต้องการของจีนสำหรับความเชี่ยวชาญในกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนสำหรับชิ้นส่วนที่ใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของเกาหลีใต้

เกาหลีใต้ใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงสองตลาดใหญ่ทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนอย่างเต็มที่ โดยเรียนรู้ know-how ทางด้านเทคโนโลยีและวิธีการบริหารงานธุรกิจแบบฉบับสหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็ได้รับประโยชน์จากอุปสงค์ที่เฟื่องฟูแและการผลิตที่ล้นหลามจากประเทศจีน

แต่มิตรภาพดังกล่าวได้พังทลายลงในปี 2016 หลังจากเกาหลีใต้ซื้อระบบต่อต้านขีปนาวุธ Terminal High Altitude Area Defense (Thaad) ที่ผลิตในสหรัฐฯ เพื่อป้องกันตัวเองจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ

ระบบ Thaad นี่เองยังเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อดินแดนของจีน ปักกิ่งจึงสั่งปิดล้อมทางเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นทางการ โดยไม่สนับสนุนการท่องเที่ยวในเกาหลีใต้ แถมละครจากเกาหลีใต้ก็ไม่ได้รับความสนใจจากสถานีโทรทัศน์จีนอีกต่อไป และแบรนด์เกาหลียังถูกคว่ำบาตร

ประธานาธิบดี Joe Biden และ ประธานาธิบดี Yoon ของเกาหลี ได้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันมากขึ้น ผ่านการปรับปรุงความสัมพันธ์ใหม่ โดย Biden ให้คำมั่นว่าจะปกป้องพันธมิตรในเอเชียตะวันออกและให้คำปรึกษาพวกเขาเกี่ยวกับวาระความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดีท่าทีดังกล่าวนั้นทำให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากยุคใหม่ของนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ และจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหลักของเกาหลี เช่น เซมิคอนดักเตอร์และการผลิตรถยนต์

การเดิมพันมูลค่า 369 พันล้านดอลลาร์

ความวิตกกังวลเหล่านี้ปะทุขึ้นเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว หลังจากกฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อของ Biden ได้รับการลงนามผ่านสภา โดยมอบเงินสนับสนุน 369 พันล้านดอลลาร์ในรัฐและรัฐบาลกลางสำหรับโครงการพลังงานสะอาดและที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ

แม้ดูเหมือนว่าเกาหลีใต้จะได้รับประโยชน์จากกฎหมายดังกล่าวนี้สำหรับบริษัทเกาหลีที่ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า แต่สิ่งที่น่ากังวลตามมาก็คือยานพาหนะดังกล่าวอาจจะถูกยกเว้นจากเครดิตภาษีหากมีการประกอบในเกาหลีแทนที่จะเป็นอเมริกาเหนือ

กฎหมายด้านสภาพอากาศมีขึ้นหลังจากที่รัฐสภาสหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย Chips and Science Act ซึ่งห้ามผู้ที่ได้รับเงินอุดหนุนจากสหรัฐฯ ขยายหรือยกระดับกำลังการผลิตชิปขั้นสูงในจีนเป็นเวลา 10 ปี

ต้องบอกว่าในปี 2022 ชิปมากกว่าครึ่งหนึ่งของเกาหลีใต้ส่งไปยังจีน SK Hynix ซึ่งผลิตชิปหน่วยความจำในจีน อาจได้รับผลกระทบจากกฎหมายนี้ของสหรัฐฯ

แต่เกาหลีใต้เองก็เริ่มพึ่งพาฐานการผลิตจากจีนน้อยลงไปมาก เพราะในช่วงปลายทศวรรษ 2000 ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นกระตุ้นให้พวกเขาเริ่มย้ายการผลิตออกจากประเทศจีน ในขณะที่การแข่งขันจากคู่แข่งจากจีนทวีความรุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่สมาร์ทโฟนไปจนถึงการต่อเรือ

สหรัฐฯเองได้แซงหน้าจีนในฐานะจุดหมายปลายทางสำรหับการลงทุนของเกาหลีใต้มาตั้งแต่ปี 2011 ตัวอย่างแผนกโทรศัพท์มือถือของ Samsung ที่เป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่สุดของโลก มีส่วนการตลาดในจีนเพียงแค่ 1% เท่านั้น Samsung เริ่มย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังเวียดนามในปี 2008 และภายในปี 2019 ก็ได้ปิดโรงงานสมาร์ทโฟนในจีนแห่งสุดท้ายไปเป็นที่เรียบร้อย

Samsung ได้ย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังเวียดนามแทบจะทั้งหมดแล้ว (CR:MTA Hanoi)
Samsung ได้ย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังเวียดนามแทบจะทั้งหมดแล้ว (CR:MTA Hanoi)

ในทำนองเดียวกัน รายได้ในจีนของ Hyundai Motor ลดลง 76% ระหว่างปี 2016-2022 ซึ่ง Hyundai กำลังขายโรงงาน 2 ใน 4 แห่งที่เหลืออยู่ในจีน ขณะที่ย้ายฐานการผลิตไปยังอินโดนีเซียและสหรัฐฯ ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 2 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้

Chris Miller รองศาสตราจารย์แห่ง Fletcher School ของมหาวิทยาลัย Tufts แและผู้เขียนหนังสือ Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology กล่าวว่า “หน่วยความจำแบบ DRAM ขั้นสูง ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องซื้อจากซัพพลายเออร์เกาหลีต่อไป”

“จีนต้องการชิปดังกล่าว และพิสูจน์ให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกว่าพวกเขาเต็มใจที่จะเลือกชิปที่ผลิตในต่างประเทศ หากบริษัทในประเทศของตนยังคงล้าหลัง เช่นเดียวกับที่พวกเขาทำกับ DRAM ในปัจจุบัน” Miller กล่าว

“ปักกิ่งจะตอบโต้คุณในที่ที่สามารถแทนที่คุณได้เท่านั้น และหากพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่จะแทนที่คุณได้เมื่อไหร่ พวกเขาก็จะเดินหน้าแบบเต็มสูบเพื่อจำกัดคุณออกไป” Miller กล่าวเสริม “นั่นเป็นกลยุทธ์ของจีนมาโดยตลอด”

อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ยังได้รับประโยชน์จากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและไต้หวัน เนื่องจากลูกค้าต่างชาติพยายามลดการพึ่งพาชิปขั้นสูงที่ผลิตโดย TSMC ของไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้นำตลาดระดับโลก

ความช่วยเหลือของอเมริกา

บริษัทเกาหลีใต้ยังคงพึ่งพาส่วนประกอบของจีน ความรู้ความชำนาญในการผลิตและวัตถุดิบในหลายอุตสาหกรรม ที่ถือได้ว่ามีความสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ออกหลักเกณฑ์เมื่อช่วงต้นปี ซึ่งช่วยให้บริษัทเกาหลีสามารถผลิตชิ้นส่วนแบตเตอรี่ในประเทศได้มากขึ้นและยังมีสิทธิ์ได้รับเครดิตภาษีจากทางสหรัฐฯ อยู่ แม้ว่าบริษัทจีนจะลงทุนกว่า 4 พันล้านเหรียญในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของเกาหลีในปีนี้เพียงปีเดียว

นอกจากนี้ วอชิงตันยังได้ส่งสัญญาณไปยังบริษัทชิปชั้นนำของเกาหลีใต้ว่าจะขยายการอนุญาตให้พวกเขาส่งเครื่องมือการผลิตชิปของสหรัฐฯ ทั้งหมด ยกเว้นเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดไปยังโรงงานของตนเองในประเทศจีน

ข้อตกลงดังกล่าวช่วยให้ Samsung และ SK Hynix รักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยีเหนือคู่แข่งในจีน ขณะเดียวกันก็เป็นการซื้อเวลาเพื่อหาทางเลือกระยะยาวที่เป็นไปได้สำหรับโรงงานชิปในจีนที่ยังคงหลงเหลืออยู่

สถานการณ์ปัจจุบันบีบให้เกาหลีใต้ต้องทำ 2 สิ่งที่ควรต้องทำนั่นก็คือการลดการพึ่งพาจากจีน และลงทุนในเกาหลีเพิ่มมากขึ้น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทเกาหลีในภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่พลังงานนิวเคลียร์ไปจนถึง K-pop ได้พยายามอย่างเข้มข้นในการเจาะตลาดอื่น ๆ เช่น ในยุโรป อินเดีย ตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เกาหลีใต้ ที่เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่ระหว่างความขัดแย้งของประเทศใหญ่ ๆ แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นเพราะวิกฤตินี่เองที่ขับเคลื่อนประเทศของพวกเขาให้ประสบความสำเร็จอย่างที่เราได้เห็นในทุกวันนี้

บทสรุป

เรียกได้ว่าอุตสาหกรรมชิปได้กลายเป็นสงครามเย็นย่อม ๆ ระหว่างมหาอำนาจทั้งสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรกับประเทศจีน ซึ่งมันมีลักษณะคล้ายกันมาก ๆ กับสงครามเย็นในอดีตที่เป็นศึกระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียต

แต่มันได้เปลี่ยนพรมแดนใหม่จากการที่ต้องรบกันด้วยกระสุนหรือระเบิดเป็นการใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีที่ต่างฝ่ายต่างชิงความได้เปรียบซึ่งกันและกัน

เพราะสุดท้ายชิปเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับการนำวิถีสำหรับอาวุธยุคใหม่ และยังต้องใช้งานในแทบจะทุกอุตสาหกรรมหลัก ๆ ที่เหล่าประเทศชั้นนำกำลังแข่งขันกันอยู่ ตั้งแต่สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า บริการด้านอินเทอร์เน็ต เทคโนโลยีชีวภาพและโทรคมนาคม

เพราะฉะนั้นการช่วงชิงดินแดนน่านน้ำของชิปหรือแม้กระทั่งการใช้สงครามตัวแทนเหมือนที่เกาหลีใต้กำลังโดนกระทำอยู่นั้นก็มีความคัญไม่แพ้สงครามอุดมการณ์ระหว่างคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตยในยุคสงครามเย็นเลยทีเดียวนั่นเองครับผม


ใครอยากฟังเรื่องราวของ CHIP WAR ต่อ สามารถติดตามเรื่องเล่าผ่าน podcast จากหนังสือที่ดีที่สุดของปี 2023 ในสายตาของผมเองอย่าง Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology โดย Chris Miller

ทุกวันนี้ ต้องขอบคุณกฎของมัวร์ เซมิคอนดักเตอร์ถูกฝังอยู่ในอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ต้องใช้พลังในการประมวลผล และในยุคของ IoT มันหมายถึงอุปกรณ์แทบทุกชนิด แม้แต่ผลิตภัณฑ์อายุร้อยปี เช่น รถยนต์ ก็ยังมีชิปมูลค่าหนึ่งพันดอลลาร์ GDP ส่วนใหญ่ของโลกผลิตขึ้นจากอุปกรณ์ที่ใช้เซมิคอนดักเตอร์  –> ฟังเลย


References :
https://www.ft.com/content/c164c880-a832-422f-8fb4-29b2185d4982
https://edition.cnn.com/2023/04/26/politics/biden-yoon-south-korea-state-visit/index.html
https://www.theguardian.com/world/2023/may/22/chinas-war-chest-how-the-fight-for-semiconductors-reveals-the-outlines-of-a-future-conflict

TikTok x Propaganda เมื่อยักษ์ใหญ่โซเชียลจากจีนพยายามยัดเยียดโฆษณาชวนเชื่อไปยังยุโรป

ต้องบอกว่าเครือข่ายโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ทั่วโลกต่างเคยตกเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อกันมาแทบจะทั้งหมดแล้ว กรณีใหญ่ ๆ ที่เคยเกิดขึ้นตัวอย่างเช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2016 หรือเคสที่เกิดขึ้นกับ Brexit ที่มีหลักฐานมากมายจากการสืบสวนสอบสวนในภายหลัง

แน่นอนว่า TikTok กำลังก้าวขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์มที่มีจำนวนผู้ใช้งานหลักพันล้านคน การถูกใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อนั้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด

และ TikTok เองก็มีข้อมูลที่เปิดเผยสู่สาธารณะในข้อมูลจากคลังโฆษณาที่เผยแพร่โดยบริษัทเองเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ความน่าสนใจคือจากการวิเคราะห์ที่จัดทำโดยสื่อใหญ่อย่าง Forbes (เอนเอียงไปทางโลกตะวันตก) แสดงให้เห็นว่าโฆษณามากกว่า 1,000 รายการจากสื่อของรัฐจีน เช่น People’s Daily และ CGTN ได้ถูกแสดงบนแพลตฟอร์มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022

โฆษณาเหล่านี้ได้ถูกแสดงต่อผู้ใช้หลายล้านคนทั่ว ออสเตรีย เบลเยียม สาธารณรัฐเช็ก เยอรมนี กรีซ ฮังการี อิตาลี ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ และสหราชอาณาจักร

โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ที่โฆษณาโดยสื่อทางการของจีนบน TikTok นั้นเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ

ประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ (CR:The Conversation)
ประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ (CR:The Conversation)

โฆษณาชิ้นหนึ่งซึ่งถูกโปรโมตในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดย China News International นำเสนอชายคนหนึ่งกำลังเต้นรำที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมภายใต้คำบรรยายว่า “ซินเจียงเป็นสถานที่ที่ดี!”

วีดีโออีกรายการแสดงให้เห็นพิธีกร CGTN เยี่ยมชมโรงเรียนประถมในซินเจียง ซึ่งเป็นนสถานที่ที่สถาบันนโยบายยุทธศาสตร์ของออสเตรเลียกำลังติดตามการก่อสร้างสถานที่กักกัน 6 แห่ง โฆษณายังโน้มน้าวการท่องเที่ยวในภูมิภาคและวัฒนธรรมของชาวมุสลิมอุยกูร์ส่วนใหญ่

โฆษณาชิ้นหนึ่งซึ่งถูกโปรโมตในช่วงเดือนธันวาคม นำเสนอเนื้อหาทางวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์การต่อต้านของสหรัฐฯ และยุโรปต่อโครงการพัฒนาระหว่างประเทศของจีนอย่าง Belt & Road Initiative

โฆษณาอีกชิ้นแสดงวีดีโอจากบล็อกเกอร์ที่กล่าวหาสื่อตะวันตกว่าโกหกเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลจีน

เมื่อ TikTok ห้ามโฆษณาทางด้านการเมือง

เรื่องที่ตลกก็คือ TikTok นั้นมีนโยบายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการห้ามโฆษณาในประเด็นทางสังคม การเลือกตั้ง และการเมือง แต่ก็มีข้อยกเว้นไว้ว่า “หน่วยงานของรัฐอาจมีสิทธิ์โฆษณาหากทำงานร่วมกับตัวแทนการขายโฆษณาของ TikTok”

การที่ TikTok ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด ดูจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาของประเทศไทย เมื่อเครื่องมือจากตะวันตกที่เข้าถึงผู้ใช้ระดับ mass อย่าง Facebook นั้นค่อนข้างเข้มงวดกับการใช้แพลตฟอร์มของพวกเขาเป็นเครื่องมือในการหาเสียงเลือกตั้ง เนื่องจากเคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016

Facebook ที่เคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016 (CR:NBC News)
Facebook ที่เคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016 (CR:NBC News)

TikTok จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก ๆ เพราะเป็นโซเชียลมีเดียที่สามารถเข้าถึงผู้คนระดับ mass ไม่ต่างจาก Facebook แต่มีนโยบายการกลั่นกรองที่อาจจะไม่เข้มงวดเท่าแพลตฟอร์มจากตะวันตก

แต่อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเนื้อหาที่ผู้ใช้ในแพลตฟอร์มสร้างขึ้นมาเอง เพื่อสนับสนุนพรรคการเมืองที่พวกเขารัก ซึ่งไม่ได้ใช้รูปแบบการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มเหมือนเคสที่เกิดขึ้นในยุโรป

TikTok กำลังเผชิญกับการสอบถามจากรัฐบาลมากมายทั้งในยุโรปและต่างประเทศเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับจีน สำนักงานรัฐบาลในสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เบลเยียม เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์ รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ได้แบน TikTok จากอุปกรณ์ของรัฐบาลเนื่องจากกังวลว่าแอปดังกล่าวนี้ซึ่ง ByteDance ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนเป็นเจ้าของ

ความกังวลอันดับต้น ๆ ของหน่วยงานกำกับดูแลเกี่ยวกับ TikTok คือความกลัวว่ารัฐบาลจีนอาจใช้มันเพื่อบิดเบือนวาทกรรมของพลเมืองในประเทศประชาธิปไตย

สื่อของรัฐจีนเองก็มีประวัติในการใช้การโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเพื่อผลักดันเรื่องเล่าที่สนับสนุนจีนในฝั่งตะวันตก ซึ่งคลังโฆษณาของทั้ง Meta และ Google ก็มีการโฆษณาทำนองนี้จากสื่อของจีนเช่นเดียวกัน

ในปี 2021 พนักงานของ Meta แสดงความกังวลเกี่ยวกับโฆษณาสื่อของรัฐจีนบน Facebook ที่แสดงถึงชาวมุสลิมที่มีความสุขในซินเจียง ซึ่ง Meta กลับมองว่าโฆษณาดังกล่าวไม่ได้ละเมิดนโยบายของบริษัท อย่างไรก็ตามความแตกต่างมันอยู่ตรงที่ว่า Meta และ Google นั้นไม่ได้ห้ามในส่วนนี้ แต่ TikTok ประกาศชัดเจนว่าห้ามโฆษณาเกี่ยวกับการเมือง ปัญหาสังคม หรือการเลือกตั้งบนแพลตฟอร์มของตน

บทสรุป

เอาจริง ๆ บทความนี้เนื้อหาส่วนใหญ่เรียบเรียงมากจาก Forbes ซึ่งแน่นอนว่านำเสนอมุมมองที่เป็นบวกต่อโลกตะวันตก และพยายามยัดเยียดความผิดให้ฝั่งจีนเป็นส่วนใหญ่ ถ้าใครอ่านบทความจากสื่อตะวันตกบ่อย ๆ จะทราบดีว่าพวกเขาก็มี agenda แอบแฝงเช่นเดียวกัน

ผมว่ามันเป็นเรื่องปรกติ ที่แพลตฟอร์มเหล่านี้จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการโฆษณาชวนเชื่อ เพราะแพลตฟอร์มโลกตะวันตกก็ทำอย่างนี้เช่นเดียวกัน และอัลกอริธึมก็มีความ Bias อย่างชัดเจนมาก ๆ

ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ผมแทบจะ engagement กับสื่อจากรัสเซียอย่าง Russia Today แทบจะตลอดเวลา แต่ Facebook มีความชัดเจนในการลดการมองเห็นแบบสุด ๆ สำหรับเนื้อหาในฟีดจากสื่อที่เป็นปฏิปักษ์กับโลกตะวันตกในแพลตฟอร์มของพวกเขา และแน่นอนว่าสื่อจากจีนก็โดนแบบนั้นเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น ในเมื่อ TikTok มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นของจีน ผมว่ามันไม่แปลกที่พวกเขาจะมีโอกาสชี้แจงข้อมูลอีกด้าน ไม่ใช่ถูกยัดเยียดจากความ Bias ของสื่อตะวันตกเพียงอย่างเดียว เพราะสุดท้ายทุกคนต้องได้รับข้อมูลที่รอบด้าน และควรมา คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ด้วยตนเอง ว่าควรจะเชื่อฝั่งไหนมากกว่ากันนั่นเองครับผม

References :
https://www.forbes.com/sites/iainmartin/2023/07/26/tiktok-chinese-propaganda-ads-europe/?sh=2fdc2bcd203d
https://www.wsj.com/articles/facebook-staff-fret-over-chinas-ads-portraying-happy-muslims-in-xinjiang-11617366096
https://hacked.com/tiktok-propaganda-the-latest-danger-to-your-kids/