กว่าจะเป็น ‘โจ โลว์’ จากเพื่อนลูกเศรษฐีสู่อาชญากรข้ามชาติ กับคดีทุจริตที่สั่นสะเทือนการเงินโลก

โจ โลว์มีอำนาจในการใช้จ่ายมากกว่าใครบนโลกใบนี้ เขาเป็นหนึ่งในนักต้มตุ๋นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โจ โลว์ขโมยเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในคดีทุจริตที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เขาได้รู้จักกับ Leonardo DiCaprio และสร้างอาณาจักรฮอลลีวูด พวกเขาสร้างภาพยนตร์เรื่อง “The Wolf of Wall Street” ด้วยเงินที่ถูกขโมยมา และไม่มีใครรู้ความจริงเกี่ยวกับเขา

และนี่คือหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกต้องการตัวมากที่สุดในโลก หลังจากขโมยเงินประมาณ 4.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในการฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เขาทำสำเร็จในขณะที่อายุยังไม่ถึง 30 ปี และเงินนั้นไม่ได้ถูกผูกมัดอยู่ในสินทรัพย์ แต่เป็นเงินสดที่พร้อมใช้จ่าย ซึ่งหมายความว่ าโจ โลว์ อาจมีอำนาจในการใช้จ่ายมากกว่าใครก็ตามบนโลกใบนี้

จุดเริ่มต้นของตำนาน

โจ โลว์ เกิดและเติบโตบนเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย ในครอบครัวที่มีฐานะดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะพอใจกับสิ่งที่มี ตั้งแต่เด็ก โจ โลว์ มีความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้าที่จะก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของสังคม

เมื่ออายุ 16 ปี พ่อแม่ส่ง โจ โลว์ ไปเรียนที่โรงเรียนประจำชื่อดังอย่าง Harrow ในอังกฤษ นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา ที่นั่น โจโลได้พบปะกับลูกหลานของตระกูลร่ำรวยและมีอิทธิพลจากทั่วโลก เขาตระหนักว่าการสร้างความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้อาจเป็นกุญแจสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์

แต่ โจ โลว์ รู้ดีว่าเขาไม่ได้ร่ำรวยเท่าเพื่อนร่วมชั้นหลายคน ดังนั้นเขาจึงเริ่มสร้างภาพลักษณ์ว่าตัวเองเป็นเจ้าชายจากมาเลเซีย เขาเชิญเพื่อนๆ มาเที่ยวบ้านในช่วงปิดเทอม และถึงขนาดยืมเรือยอชต์จากเพื่อนของครอบครัวมาแอบอ้างว่าเป็นของตัวเอง โดยเปลี่ยนรูปถ่ายครอบครัวบนเรือเป็นรูปของตัวเอง นี่เป็นก้าวแรกของ โจ โลว์ ในการสร้างตัวตนปลอมเพื่อเข้าถึงวงสังคมชั้นสูง

การสร้างเครือข่าย: บันไดสู่อำนาจ

หลังจบการศึกษาจาก Harrow โจ โลว์ เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย Wharton ในสหรัฐอเมริกา ที่นี่ เขายังคงใช้กลยุทธ์เดิมในการสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นคนร่ำรวยและมีอิทธิพล เขาขับรถหรู จัดปาร์ตี้ใหญ่โต และพยายามสร้างความสัมพันธ์กับนักศึกษาที่มาจากครอบครัวร่ำรวยและมีอำนาจ

หนึ่งในความสัมพันธ์สำคัญที่ โจ โลว์ สร้างขึ้นคือกับ Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib Razak ซึ่งในเวลานั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ความสัมพันธ์นี้จะกลายเป็นกุญแจสำคัญในแผนการของ โจ โลว์ ในอนาคต

 Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib Razak ที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของ โจว์ โล (CR:Wikipedia)
Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib Razak ที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของ โจ โลว์ (CR:Wikipedia)

โจ โลว์ เริ่มต้นอาชีพด้วยการตั้งบริษัทชื่อ The Winton Group โดยอ้างว่าจะเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมระหว่างนักลงทุนตะวันออกกลางกับโครงการในมาเลเซีย แม้จะไม่มีประสบการณ์จริง แต่ โจ โลว์ ก็สามารถสร้างภาพลักษณ์ของความสำเร็จได้ด้วยการเช่าสำนักงานหรูในตึก Petronas Towers อันโด่งดัง

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ: การก่อตั้ง 1MDB

ในปี 2009 Najib Razak ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย และ โจ โลว์ เห็นโอกาสทองที่จะก้าวกระโดดสู่อำนาจและความมั่งคั่ง เขาเสนอแนวคิดให้ Najib จัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ซึ่งจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

แนวคิดนี้นำไปสู่การก่อตั้ง 1Malaysia Development Berhad หรือ 1MDB อย่างเป็นทางการ 1MDB มีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในมาเลเซีย แต่ โจ โลว์ มีแผนลับที่จะใช้กองทุนนี้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวและทางการเมืองของ Najib โดย โจ โลว์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของกองทุน แม้จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่เขามีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของ 1MDB อย่างเต็มที่

การหลอกลวงครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น

ด้วยอำนาจในการควบคุม 1MDB โจ โลว์ เริ่มดำเนินการตามแผนการของเขา เขาใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อนในการโยกย้ายเงินจากกองทุนไปยังบัญชีส่วนตัวและบริษัทบังหน้าต่างๆ หนึ่งในวิธีการที่เขาใช้คือการสร้างข้อตกลงทางธุรกิจที่ดูเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในความเป็นจริงเป็นเพียงวิธีการในการขโมยเงินจากกองทุน

ตัวอย่างเช่น ในปี 2009 โจ โลว์ จัดการให้ 1MDB ลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ในบริษัทร่วมทุนกับ PetroSaudi ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย แต่ในความเป็นจริง เพียง 300 ล้านดอลลาร์เท่านั้นที่ถูกโอนไปยังบริษัทร่วมทุน ส่วนที่เหลือ 700 ล้านดอลลาร์ถูกโอนไปยังบริษัทชื่อ Good Star Limited ซึ่งเป็นบริษัทบังหน้าที่ โจ โลว์ เป็นเจ้าของ

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการฉ้อโกงครั้งใหญ่ ในช่วงหลายปีต่อมา โจ โลว์ ใช้วิธีการที่คล้ายคลึงกันในการโยกย้ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์จาก 1MDB ไปยังบัญชีส่วนตัวและบริษัทบังหน้าของเขา

ชีวิตหรูหราและการสร้างเครือข่ายในฮอลลีวูด

ด้วยเงินมหาศาลที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย โจ โลว์ เริ่มใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย เขาซื้อบ้านราคาแพง เรือยอชต์ และเครื่องบินส่วนตัว จัดปาร์ตี้สุดอลังการ และสร้างชื่อเสียงในฐานะ “เศรษฐีปริศนาแห่งเอเชีย” ที่ใช้เงินอย่างไม่อั้น

โจ โลว์ ไม่เพียงแต่ใช้เงินเพื่อความสุขส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังใช้มันเพื่อสร้างเครือข่ายกับคนดังในฮอลลีวูดด้วย เขาสร้างมิตรภาพกับดาราดังอย่าง Leonardo DiCaprio และ Paris Hilton และยังลงทุนในวงการภาพยนตร์ด้วยการสนับสนุนบริษัทผลิตภาพยนตร์ Red Granite Pictures

หนึ่งในโครงการที่โด่งดังที่สุดที่ โจ โลว์ มีส่วนร่วมคือภาพยนตร์เรื่อง “The Wolf of Wall Street” ซึ่งเขาให้เงินทุนสนับสนุนผ่าน Red Granite Pictures โดยใช้เงินที่ขโมยมาจาก 1MDB แต่สิ่งที่เหลือเชื่อก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของนักต้มตุ๋นในวงการการเงิน ซึ่งไม่ต่างจากตัวของ โจ โลว์ เองเสียด้วยซ้ำ

การพังทลายของอาณาจักรแห่งการหลอกลวง

แม้ว่า โจ โลว์ จะประสบความสำเร็จในการปกปิดการกระทำของเขาเป็นเวลาหลายปี แต่ในที่สุดความจริงก็เริ่มปรากฏ ในปี 2015 สื่อเริ่มรายงานข่าวเกี่ยวกับความผิดปกติในการดำเนินงานของ 1MDB ทำให้เกิดการสอบสวนในระดับนานาชาติ

เมื่อความจริงเริ่มปรากฏ โจ โลว์ ก็ตระหนักว่าเขาต้องหลบหนี เขาหายตัวไปจากสายตาสาธารณชน โดยมีรายงานว่าอาจหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศจีน ในขณะเดียวกัน การสอบสวนเกี่ยวกับ 1MDB ก็ดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น

ผลกระทบต่อมาเลเซียและโลกการเงิน

การล่มสลายของ 1MDB ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศมาเลเซีย ในปี 2018 Najib Razak พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศ หลังจากนั้นไม่นาน Najib ถูกจับกุมและถูกตัดสินจำคุกในข้อหาทุจริตที่เกี่ยวข้องกับ 1MDB

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อสถาบันการเงินระดับโลกด้วย Goldman Sachs ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการออกพันธบัตรให้กับ 1MDB ถูกสอบสวนและต้องจ่ายค่าปรับมหาศาล ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารหลายคนถูกดำเนินคดี รวมถึง Tim Leissner อดีตหัวหน้าฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Goldman Sachs ซึ่งสารภาพผิดในข้อหาสมคบคิดเพื่อติดสินบนและฟอกเงิน

Tim Leissner อดีตหัวหน้าฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Goldman Sachs (CR:FMT)
Tim Leissner อดีตหัวหน้าฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Goldman Sachs (CR:FMT)

บทเรียนและการสะท้อนสังคม

เรื่องราวของ โจ โลว์ และ 1MDB เป็นบทเรียนอันทรงพลังเกี่ยวกับอันตรายของความโลภและการทุจริต มันแสดงให้เห็นว่าแม้แต่สถาบันที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด เช่น ธนาคารและรัฐบาล ก็สามารถถูกทำลายได้ด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน

นอกจากนี้ เรื่องราวของ โจ โลว์ ยังสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมที่ผิดเพี้ยนในสังคมปัจจุบัน ที่มักให้ความสำคัญกับวัตถุนิยมและความร่ำรวยมากเกินไป จนทำให้บางคนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งและชื่อเสียง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่นและสังคมโดยรวม

ความรับผิดชอบของสื่อและสังคม

สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงการทุจริตของ 1MDB แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีคำถามว่าทำไมสื่อถึงไม่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับที่มาของความมั่งคั่งของ โจ โลว์ ตั้งแต่แรก นี่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับวงการสื่อในการทำหน้าที่ตรวจสอบและรายงานความจริงอย่างเข้มแข็งมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน สังคมโดยรวมก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย การที่ผู้คนยอมรับและชื่นชมความมั่งคั่งโดยไม่ตั้งคำถามถึงที่มา อาจเป็นการส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องโดยไม่รู้ตัว เราทุกคนควรตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนเองในการสร้างสังคมที่มีคุณธรรมและความยุติธรรม

บทส่งท้าย: ชีวิตหลังความล่มสลาย

แม้ว่า โจ โลว์ จะหลบหนีการจับกุมได้ แต่ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากชายหนุ่มที่เคยเป็นดาวเด่นในวงสังคมชั้นสูงและฮอลลีวูด เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่ถูกตามล่าตัวมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ต้องใช้ชีวิตในที่ซ่อน ไม่สามารถเดินทางได้อย่างอิสระ และต้องระแวดระวังตัวตลอดเวลา

มีรายงานว่าในช่วงท้ายของเรื่องราวนี้ โจ โลว์ เปลี่ยนจากคนที่เคยดูมีความสุขและมั่นใจ กลายเป็นคนที่หวาดระแวงและวิตกกังวลอย่างมาก แม้ในช่วงที่เขากำลังใช้ชีวิตอย่างหรูหราที่สุด คนใกล้ชิดก็บอกว่าเขาไม่เคยดูมีความสุขอย่างแท้จริง สะท้อนให้เห็นว่าความมั่งคั่งและชื่อเสียงที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้องนั้น ไม่สามารถนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงได้

เรื่องราวของ โจ โลว์ เป็นเหมือนนิทานเตือนใจสมัยใหม่ ที่เตือนเราว่าความสำเร็จที่แท้จริงนั้นไม่ได้วัดกันที่จำนวนเงินในบัญชีหรือความหรูหราฟุ่มเฟือย แต่อยู่ที่การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า และทำประโยชน์ให้กับสังคม

สุดท้ายแล้ว แม้ โจ โลว์ จะหลบหนีการลงโทษตามกฎหมายได้ในขณะนี้ แต่เขาก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกผิด นี่อาจเป็นการลงโทษที่รุนแรงที่สุดสำหรับคนที่เคยมีทุกอย่างแต่กลับต้องสูญเสียทุกสิ่งไปเพราะความโลภและการตัดสินใจที่ผิดพลาดด้วยตัวของเขาเอง

References :
https://en.wikipedia.org/wiki/Jho_Low
https://fortune.com/2022/03/07/jho-low-fugitive-1mdb-financier-biography/
https://en.wikipedia.org/wiki/1Malaysia_Development_Berhad_scandal
https://youtu.be/FHr1WnAn-kU?si=cHrK5BAKljeSy6e9
https://www.economist.com/books-and-arts/2019/09/19/the-story-behind-billion-dollar-whale

เส้นทางการเมืองของสี จิ้นผิง : จากลูกชายผู้ถูกเนรเทศสู่ผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศจีน

ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2012 โลกต่างจับตามองไปที่มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง ณ ที่แห่งนี้ ชายคนหนึ่งกำลังจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก แต่ก่อนหน้านั้นเพียง 2 สัปดาห์ ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายตัวไปไหน

สี จิ้นผิง หายหน้าไปจากสายตาสาธารณชนเป็นเวลา 14 วัน ก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในฐานะผู้นำคนใหม่ของจีน ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนถึง 99.86% เหตุการณ์นี้สร้างความฉงนให้กับผู้คนทั่วโลก เพราะในช่วงเวลาที่หายตัวไปนั้น สีได้ยกเลิกการพบปะกับผู้นำต่างประเทศทั้งหมด และสื่อของจีนก็ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว

ความลึกลับนี้ทำให้เกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานา บางคนคิดว่าเขาอาจถูกแทนที่ ถูกจับกุม หรือแม้กระทั่งถูกลอบสังหาร แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ดำเนินการต่อไปตามปกติ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสี จิ้นผิง ในช่วง 14 วันนั้นยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ แต่การทำความเข้าใจเส้นทางของเขาสู่การเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกคนหนึ่ง เป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจอนาคตของระเบียบโลกใหม่

ภูมิหลังและวัยเยาว์

สี จิ้นผิง เกิดในปี 1953 ท่ามกลางช่วงเวลาที่ยากลำบากของประเทศจีน อำนาจทางการเมืองกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็นำไปสู่ความแตกแยกในครอบครัวของเขา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง สียังคงทุ่มเทให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน

พ่อของสีทำงานให้กับประธานเหมาโดยตรงในตำแหน่งเลขานุการฝ่ายกิจการอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญที่ทำให้ครอบครัวของพวกเขาได้อาศัยอยู่ในย่านที่สงวนไว้สำหรับเจ้าหน้าที่พรรค สีเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่หรูหราและมีสิทธิพิเศษ แต่ชีวิตที่สุขสบายนี้ไม่ได้ยืนยาวนัก

เมื่อเหมา เจ๋อตง ดำเนินนโยบาย “ก้าวกระโดดใหญ่  (Great Leap. Forward)” เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศจีนให้เป็นสังคมอุตสาหกรรม ผลลัพธ์กลับนำไปสู่การอดอยากและหิวโหยของประชาชนอย่างหนัก แม้แต่โรงเรียนประจำที่หรูหราของสีก็ไม่สามารถหาอาหารมาเลี้ยงนักเรียนได้เพียงพอ

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อพ่อของสีถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกส่งไปยังค่ายแรงงานในปี 1962 เนื่องจากวิพากษ์วิจารณ์การนำของเหมา เจ๋อตง ในนวนิยายที่เขาเขียน นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการรวมอำนาจทางการเมืองครั้งใหญ่ที่นำไปสู่ “การปฏิวัติวัฒนธรรม” ในช่วงปลายทศวรรษ 1960

การรวมอำนาจทางการเมืองครั้งใหญ่ที่นำไปสู่ "การปฏิวัติวัฒนธรรม" ของเหมา เจ๋อตง (CR:DW)
การรวมอำนาจทางการเมืองครั้งใหญ่ที่นำไปสู่ “การปฏิวัติวัฒนธรรม” ของเหมา เจ๋อตง ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 (CR:DW)

สี จิ้นผิง แม้จะยังเป็นเด็กหนุ่ม แต่ก็ถูกลงโทษอย่างโหดร้ายเพราะความผิดของพ่อ เขาถูกประณามต่อหน้าสาธารณชนและถูกขังในสถานกักกัน ในคืนหนึ่งเขาหนีออกมาได้และกลับบ้านไปหาแม่เพื่อขออาหาร แต่ความเสี่ยงที่จะถูกจับได้นั้นสูงเกินไป แม่ของเขาจึงต้องส่งเขากลับไปให้เจ้าหน้าที่

การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในชนบท

เพื่อแก้ปัญหาความวุ่นวายในสังคม รัฐบาลจีนจึงส่งคนหนุ่มสาวออกจากเมืองไปยังชนบทเพื่อเรียนรู้คุณธรรมของการใช้แรงงานหนักจากชาวนา สี จิ้นผิง มีอายุเพียง 15 ปีเมื่อถูกส่งไปยังหมู่บ้านเล็กๆ เพื่อเริ่มทำงาน

แม้ว่าช่วงแรกจะเป็นเรื่องยากลำบาก แต่สีก็สามารถปรับตัวและสร้างผลงานให้กับหมู่บ้านได้ในที่สุด เขาใช้ความรู้ที่มีให้เป็นประโยชน์และช่วยสร้างบ่อน้ำ เขื่อน และถนนใหม่ๆ ประสบการณ์นี้ช่วยหล่อหลอมให้เขาเป็นคนเข้มแข็งและมีความมุ่งมั่น

การศึกษาและเส้นทางสู่อำนาจ

หลังจากการเสียชีวิตของเหมา เจ๋อตง ในปี 1976 การปฏิวัติวัฒนธรรมก็สิ้นสุดลง สี จิ้นผิง สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยและศึกษาวิศวกรรมเคมี แม้ว่าหลักสูตรจะเน้นทฤษฎีมาร์กซิสต์มากกว่าการแก้ปัญหาทางวิศวกรรมจริงๆ แต่ปริญญานี้ก็ทำให้เขามีคุณสมบัติสำหรับตำแหน่งทางการเมือง

สีเริ่มทำงานเป็นเลขานุการให้กับเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) อันเป็นกองกำลังที่มีความสำคัญต่อการรักษาอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ต่อมาสีได้ย้ายไปทำงานในชนบทอีกครั้ง คราวนี้ในฐานะเจ้าหน้าที่พรรคระดับท้องถิ่น เขาใช้เวลา 17 ปีในมณฑลฝูเจี้ยน ทำงานไต่เต้าในรัฐบาลท้องถิ่นและพยายามทำตัวโลว์โปรไฟล์ แม้ว่าจะมีการทุจริตแพร่หลายในพื้นที่ แต่สีก็สามารถหลีกเลี่ยงการเข้าไปพัวพันโดยตรง

การต่อสู้กับการทุจริตและการรวมอำนาจ

เมื่อสี จิ้นผิง ขึ้นสู่ตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 2012 เขาได้ประกาศสงครามกับการทุจริตอย่างเต็มรูปแบบ โดยสัญญาว่าจะไล่ล่าทั้ง “เสือ” (เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ทุจริต) และ “แมลงวัน” (เจ้าหน้าที่ระดับล่างที่ทุจริต)

การปราบปรามการทุจริตของสีได้นำไปสู่การจับกุมเจ้าหน้าที่หลายพันคน รวมถึงสมาชิกระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แม้ว่าแคมเปญนี้จะโหดร้าย แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ประชาชนทั่วไป ที่เบื่อหน่ายกับการทุจริตที่แพร่หลายไปทั่วทั้งประเทศ

อย่างไรก็ตาม การปราบปรามนี้ยังถูกมองว่าเป็นเครื่องมือในการกำจัดคู่แข่งทางการเมืองและรวมอำนาจของสี จิ้นผิง ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของป๋อ ซีไหล คู่แข่งคนสำคัญที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาทุจริต

ป๋อ ซีไหล คู่แข่งคนสำคัญที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาทุจริต (CR:Wikimedia Common)
ป๋อ ซีไหล คู่แข่งคนสำคัญที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาทุจริต (CR:Wikimedia Common)

การควบคุมสื่อและอินเทอร์เน็ต

ภายใต้การนำของสี จิ้นผิง รัฐบาลจีนได้เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมสื่อและอินเทอร์เน็ตอย่างมาก มีการตั้งปฏิบัติการเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ โดยทุกข้อความที่ส่งผ่านอินเทอร์เน็ตของจีนจะต้องถูกสแกนโดยอัลกอริทึมและตรวจสอบโดยมนุษย์

การเซ็นเซอร์นี้ครอบคลุมไปถึงการแบนคำที่อาจใช้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล รวมถึงการพูดถึงสี จิ้นผิง โดยตรง แม้แต่สัญลักษณ์หรือรูปภาพที่อาจสื่อถึงการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำก็ถูกห้าม เช่น รูปหมีพูห์ ที่มีคนเปรียบเทียบกับสี จิ้นผิง

นโยบายต่างประเทศและความขัดแย้งกับตะวันตก

ภายใต้การนำของสี จิ้นผิง จีนได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกมากขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับไต้หวันและทะเลจีนใต้ สีมองว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนโดยชอบธรรมและต้องรวมเข้ากับแผ่นดินใหญ่อีกครั้ง ซึ่งสร้างความตึงเครียดกับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรในภูมิภาค

นอกจากนี้ จีนยังได้ขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจผ่านโครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative)” ซึ่งเป็นแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงจีนกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก

การจัดการกับวิกฤตโควิด-19

เมื่อการระบาดของโควิด-19 เริ่มต้นขึ้นในเมืองอู่ฮั่น สี จิ้นผิง ได้ใช้นโยบาย “โควิดเป็นศูนย์  (zero-COVID)” อย่างเข้มงวด มีการปิดเมือง จำกัดการเดินทาง และเพิ่มการเฝ้าระวังประชาชน แม้ว่านโยบายนี้จะช่วยควบคุมการแพร่ระบาดได้ในระยะแรก แต่ก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

นโยบาย Zero Covid ที่ถูกตั้งคำถามจากประชาชนชาวจีน (CR:aa.com.tr)
นโยบาย Zero Covid ที่ถูกตั้งคำถามจากประชาชนชาวจีน (CR:aa.com.tr)

นโยบายนี้ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นข้ออ้างในการเพิ่มการควบคุมประชาชนมากขึ้น โดยมีการติดตามตำแหน่งทางกายภาพของพลเมืองตลอดเวลาผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ

การสืบทอดอำนาจและอนาคตของจีน

ในปี 2018 สี จิ้นผิง ได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อยกเลิกข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี ทำให้เขาสามารถอยู่ในอำนาจได้ตลอดชีวิตหากต้องการ การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความกังวลให้กับนานาชาติเกี่ยวกับแนวโน้มการรวมศูนย์อำนาจในจีน

ในการประชุมสมัชชาพรรคแห่งชาติครั้งที่ 20 เมื่อเดือนตุลาคม 2022 สี จิ้นผิง ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคฯ เป็นสมัยที่ 3 ซึ่งเป็นการทำลายธรรมเนียมการสืบทอดอำนาจที่ปฏิบัติมาหลายทศวรรษ

บทสรุป

เส้นทางของสี จิ้นผิง จากเด็กชายที่เติบโตในช่วงเวลาที่ยากลำบากของจีน สู่การเป็นผู้นำที่ทรงอำนาจที่สุดของประเทศ เป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งและซับซ้อน การปกครองของเขาได้นำพาจีนไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว แต่ก็มาพร้อมกับการควบคุมที่เข้มงวดและการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ภายใต้การนำของสี จิ้นผิง จีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจระดับโลกที่ท้าทายสหรัฐอเมริกา ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการทหาร การตัดสินใจของเขาจะส่งผลกระทบไม่เพียงแต่ต่อประชาชน 1.4 พันล้านคนในจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอนาคตของระเบียบโลกด้วย

ในขณะที่จีนเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประชากรที่สูงวัยขึ้น และแรงกดดันจากนานาชาติ สี จิ้นผิง จะต้องปรับตัวและหาสมดุลระหว่างการพัฒนาประเทศกับการรักษาเสถียรภาพทางการเมือง

อนาคตของจีนและโลกจึงขึ้นอยู่กับว่าสี จิ้นผิง จะนำพาประเทศไปในทิศทางใด จะเป็นการเปิดกว้างและปฏิรูปมากขึ้น หรือจะยังคงเส้นทางของการควบคุมที่เข้มงวดและการเผชิญหน้ากับตะวันตก คำตอบยังคงเป็นสิ่งที่โลกจับตามองอย่างใกล้ชิดในอีกหลายปีข้างหน้า

ท้ายที่สุดแล้ว มรดกของสี จิ้นผิง จะถูกตัดสินโดยประวัติศาสตร์ ว่าเขาจะเป็นที่จดจำในฐานะผู้นำที่พาจีนสู่ยุคทองแห่งความรุ่งเรือง หรือเป็นผู้ปกครองเผด็จการที่กดขี่ประชาชนและสร้างความขัดแย้งกับนานาชาติ เวลาเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ การตัดสินใจและนโยบายของเขาจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนทั้งในจีนและทั่วโลกไปอีกหลายทศวรรษ

References :
หนังสือ XI JINPING: THE GOVERNANCE OF CHINA โดย Xi Jinping
หนังสือ China’s Gilded Age: The Paradox of Economic Boom and Vast Corruption โดย Yuen Yuen Ang
หนังสือ The Third Revolution: Xi Jinping and the New Chinese State โดย Elizabeth C. Economy

ถอดบทเรียนเอสโตเนีย : เส้นทางการสร้างชาติให้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งโลกนวัตกรรม

หากถามว่าประเทศใดมีสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ต่อประชากร หรือที่เรียกว่า “ยูนิคอร์น” มากที่สุด คำตอบอาจทำให้หลายคนประหลาดใจ เพราะไม่ใช่สหรัฐอเมริกา อิสราเอล หรือสิงคโปร์ แต่เป็นประเทศเล็กๆ ในยุโรปที่ชื่อว่า เอสโตเนีย

เอสโตเนีย ประเทศที่เมื่อ 30 ปีก่อนยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต มีระบบเศรษฐกิจที่แทบจะไม่มีอะไรให้พูดถึง แต่ปัจจุบันกลับมียูนิคอร์นมากกว่าประเทศที่ใหญ่กว่าอย่างเม็กซิโก โปแลนด์ อินโดนีเซีย หรือแม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วอย่างเนเธอร์แลนด์ ทั้งๆ ที่เป็นหนึ่งในประเทศที่เล็กที่สุดในยุโรป และยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นประเทศที่มีความเป็นดิจิทัลมากที่สุดในโลก

แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เพียงแค่ความสำเร็จของเอสโตเนีย แต่เป็นวิธีการที่พวกเขาไปถึงจุดนั้นได้ ภายในเวลาเพียง 30 ปี เอสโตเนียสามารถสร้างประเทศจากศูนย์ให้กลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีได้อย่างไร?

จากจุดเริ่มต้นที่ยากลำบาก

หากย้อนกลับไปดูเอสโตเนียเมื่อไม่กี่ทศวรรษที่แล้ว สถานการณ์แตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าเอสโตเนียจะมีช่วงเวลาแห่งอิสรภาพสั้นๆ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้น ประเทศนี้ก็ถูกผนวกเข้ากับสหภาพโซเวียตและกลายเป็นฟันเฟืองในระบบเศรษฐกิจคอมมิวนิสต์โซเวียต

ในฐานะสาธารณรัฐโซเวียตเอสโตเนีย 40 ปีของระบอบคอมมิวนิสต์ที่ตามมานั้นเต็มไปด้วยการชะงักงันทางเศรษฐกิจ การแยกตัวออกจากโลกภายนอก และความรู้สึกสิ้นหวังโดยรวมของเหล่าประชาชนภายในประเทศ

เศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเศรษฐกิจของประเทศทุนนิยม เนื่องจากอยู่บนพื้นฐานของการควบคุมและการวางแผนจากส่วนกลาง ซึ่งหมายความว่าธุรกิจเอกชนแทบไม่มีอยู่เลย รัฐเป็นเจ้าของและดำเนินการทุกอย่างตั้งแต่โรงงานไปจนถึงร้านค้า

และที่สำคัญเศรษฐกิจไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเรื่องของอุปสงค์และอุปทาน แต่เป็นแผน 5 ปีที่กำหนดว่าจะผลิตอะไรและในปริมาณเท่าไหร่ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นระบบที่ไร้ประสิทธิภาพอย่างมาก ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนสินค้าพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเอสโตเนียกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ควบคุมจากส่วนกลางนี้ ผู้นำโซเวียตก็ตัดสินใจว่าจุดประสงค์ทางเศรษฐกิจของประเทศจะขึ้นอยู่กับการสกัดทรัพยากรธรรมชาติของเอสโตเนียและกระจายไปยังส่วนที่เหลือของสหภาพโซเวียตเพียงเท่านั้น

ดังนั้นสำหรับเอสโตเนีย ในช่วงสี่ทศวรรษต่อมา ประเทศนี้พบว่าตัวเองแทบไม่มีอุตสาหกรรมหรือภาคส่วนที่มีความก้าวหน้าเลย

ผลที่ตามมาก็คือ เมื่อจักรวรรดิโซเวียตเริ่มล่มสลายและเอสโตเนียได้รับเอกราชอีกครั้ง เศรษฐกิจของประเทศก็ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ เศรษฐกิจที่วางแผนโดยรัฐไม่มีประสิทธิภาพและถูกบริหารจัดการอย่างผิดพลาด ตลาดเสรีไม่มีอยู่ และเศรษฐกิจของเอสโตเนียขึ้นอยู่กับการจัดหาและแปรรูปทรัพยากรอย่างน้ำมันและก๊าซให้กับสหภาพโซเวียตเท่านั้น

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่มีอะไรเลยในเอสโตเนียที่บ่งบอกว่า 30 ปีต่อมาประเทศนี้จะกลายเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพขนาดเล็ก คำถามก็คือ แล้วมันอะไรเกิดขึ้น?

สามเหตุผลหลักสู่ความสำเร็จ

มีสามเหตุผลหลักที่อยู่เบื้องหลังการก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จของเอสโตเนีย:

  1. ในแง่วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ เอสโตเนียมีความใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศนอร์ดิกมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฟินแลนด์ ดังนั้นเมื่อได้รับเอกราชอีกครั้ง พวกเขาจึงมีเป้าหมายที่ชัดเจนที่จะไล่ตามเหล่าประเทศพี่น้องในแถบนอร์ดิกที่พวกเขามองว่าเป็นต้นแบบ
  2. เอสโตเนียตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าหากพวกเขาเดินตามเส้นทางแบบดั้งเดิมที่ประเทศหลังยุคคอมมิวนิสต์ส่วนใหญ่กำลังเดิน นั่นคือการพนันกับอุตสาหกรรมหนัก พยายามอยู่รอดด้วยซากที่เหลือจากยุคคอมมิวนิสต์ และพยายามเสนอแรงงานราคาถูกให้กับนักลงทุนต่างชาติ พวกเขาจะไม่มีวันไล่ตามทัน ประเทศนอร์ดิกซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่พัฒนาทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก และช่องว่างนั้นกว้างเกินกว่าจะข้ามไปถึงได้หากพวกเขาทำแค่สิ่งเดียวกับที่ทุกคนกำลังทำ
  3. ดังนั้น ในขณะที่เอสโตเนียยังคงต่อสู้กับความวุ่นวายหลังการปฏิวัติและการปรับตัวอันแสนเจ็บปวดสู่เศรษฐกิจแบบตลาดเสรี พวกเขาก็ตัดสินใจอย่างกล้าหาญและมีวิสัยทัศน์ว่าจากนี้ไป พวกเขาจะทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปที่สิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือการเป็นประเทศที่สร้างขึ้นบนเทคโนโลยีใหม่และกำลังเติบโต พวกเขาจะทุ่มหมดหน้าตักกับไพ่ใบสุดท้ายนี้และทำทุกอย่างเพื่อหล่อหลอมประเทศในแบบที่จะทำให้สิ่งนี้เป็นไปได้ ตั้งแต่เศรษฐกิจไปจนถึงวิธีการทำงานของรัฐบาลเอง

การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์

ชาวเอสโตเนียตระหนักว่าผลงานในอนาคตของประเทศขึ้นอยู่กับผลงานในอนาคตของประชาชน กล่าวอีกนัยหนึ่ง วิธีเดียวที่จะก้าวไปข้างหน้าได้คือการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ และวิธีที่ดีที่สุดในการทำเช่นนั้นคือการศึกษา

ในปี 1996 เอสโตเนียได้เปิดตัวโครงการที่เรียกว่า “Tiger Leap” ซึ่งมีเป้าหมายที่จะปฏิรูประบบการศึกษาของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้:

ขั้นตอนที่ 1: แนะนำเทคโนโลยี

แม้ว่าในปี 1981 ครึ่งหนึ่งของประเทศยังไม่มีโทรศัพท์ แต่เอสโตเนียตัดสินใจว่าพวกเขาจะให้นักเรียนทุกคนในประเทศเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ที่น่าตื่นเต้นและกำลังเติบโตที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ต และพวกเขาก็ทำได้จริง

ภายในปี 2000 ในขณะที่ครึ่งหนึ่งของครัวเรือนในสหรัฐอเมริกายังไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แต่โรงเรียนทุกแห่งในเอสโตเนียมีคอมพิวเตอร์ใช้กันแล้ว และนักเรียนทุกคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ พวกเขาได้รับการสนับสนุนให้ใช้งาน และครูส่วนใหญ่ได้รับการฝึกอบรมในการใช้งานในชั้นเรียน

ขั้นตอนที่ 2: เพิ่มความเข้มข้น

การมีคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำอะไรมากนัก สิ่งที่สำคัญคือการรู้วิธีทำงานกับมัน ดังนั้นประเทศจึงขยายการนำไปใช้ในการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในปี 2012 เมื่อเอสโตเนียกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่เริ่มสอนการเขียนโปรแกรมและวิทยาการคอมพิวเตอร์ให้กับเด็กอายุ 6 ขวบในโรงเรียนประถมศึกษา

ขั้นตอนที่ 3: ปรับปรุงการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และ STEM

ค่อนข้างเร็วที่เอสโตเนียตระหนักว่านอกเหนือจากการรู้วิธีใช้คอมพิวเตอร์แล้ว การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน แต่พวกเขายังตระหนักด้วยว่าวิธีการสอนวิทยาศาสตร์แบบเดิมไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ดังนั้นในปี 2010 พวกเขาจึงได้เชิญผู้บุกเบิกชาวอังกฤษด้านการศึกษาคณิตศาสตร์มาช่วยเอสโตเนียนำวิธีการสอนคณิตศาสตร์แบบใหม่มาใช้ทั่วประเทศ

วิธีการนี้มุ่งเน้นให้นักเรียนพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาแทนที่จะแค่ทำสมการ และแทนที่จะสอนพวกเขาให้ทำสิ่งเดียวกับที่คอมพิวเตอร์สามารถทำได้ดีกว่ามาก แต่จะมุ่งเน้นไปที่การสอนให้พวกเขารู้จักผสมผสานการคิดเชิงคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์

แทนที่จะมุ่งเน้นการให้การศึกษาคุณภาพสูงแบบพิเศษแก่กลุ่มเด็กที่ฉลาดมากๆ เพียงกลุ่มเล็กๆ เอสโตเนียตัดสินใจที่จะใช้วิธีการตรงกันข้ามและมุ่งเน้นที่การให้การศึกษาแก่เด็กให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยทำให้ทุกอย่างรวมถึงหนังสือเรียนหรืออาหารกลางวันที่โรงเรียนฟรีทั้งหมด

ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าประทับใจอย่างยิ่ง ในการทดสอบระหว่างประเทศที่เปรียบเทียบทักษะด้านคณิตศาสตร์ การอ่าน และวิทยาศาสตร์ (PISA) นักเรียนชาวเอสโตเนียในปี 2022 มีผลงานเหนือกว่าทั้งยุโรป สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และแคนาดา และพวกเขาติดอันดับ 8 อันดับแรกของโลก แข่งขันกับประเทศในเอเชียอย่างสิงคโปร์และเกาหลีใต้ และพวกเขาทำได้โดยใช้จ่ายต่อนักเรียนน้อยกว่าสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร หรือแคนาดามาก

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งที่เอสโตเนียสามารถทำได้ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาคือการฝึกอบรมคนรุ่นใหม่หลายรุ่นที่ตอนนี้ได้กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซึ่งมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์มากกว่าคู่แข่งในเกือบทุกที่อย่างมีนัยสำคัญ และโดยการทำเช่นนั้น พวกเขาได้สร้างอุปทานขนาดใหญ่ของเหล่าผู้ก่อตั้งและกลุ่มพนักงานในอนาคตสำหรับสตาร์ทอัพและบริษัทด้านเทคโนโลยี

การสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อนวัตกรรม

แต่การมีคนที่มีความสามารถอย่างเดียวไม่เพียงพอ ยังต้องมีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นมิตรและเอื้อต่อการเป็นผู้ประกอบการและนวัตกรรม และนั่นคือสิ่งที่รัฐบาลเอสโตเนียได้สร้างขึ้นมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

ตั้งแต่ปี 2000 ชาวเอสโตเนียสามารถยื่นภาษีทางออนไลน์ได้อย่างสมบูรณ์ โดยใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 3 นาที พวกเขามีบัตรประจำตัวดิจิทัลตั้งแต่ปี 2001 ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์สำหรับเอกสารทางกฎหมายตั้งแต่ปี 2002 การลงคะแนนเสียงออนไลน์ตั้งแต่ปี 2005 และสามารถแต่งงานได้โดยการส่งเอกสารออนไลน์ตั้งแต่ปี 2022

ภายในสิ้นปีนี้ เอสโตเนียวางแผนที่จะมีรัฐบาลดิจิทัล 100% ซึ่งหมายความว่าทุกสิ่งที่คุณต้องการจากรัฐบาลหรือรัฐบาลต้องการจากคุณสามารถทำได้ทางออนไลน์ และข้อมูล 100% สามารถเข้าถึงได้ทางออนไลน์เช่นกัน

ทั้งหมดนี้มีข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน การเริ่มต้นธุรกิจในเอสโตเนียใช้เวลาเพียง 15 นาทีและทำทางออนไลน์ทั้งหมด เอสโตเนียนำเสนอสิ่งที่เรียกว่า “e-residency” ให้กับผู้ประกอบการต่างชาติ ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถจัดตั้งบริษัทและจ่ายภาษีนิติบุคคลแบบเหมาจ่าย 20% ของเอสโตเนียได้โดยไม่ต้องเหยียบเท้าเข้าประเทศเลยด้วยซ้ำ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งที่เอสโตเนียทำคือการขจัดอุปสรรคทั้งหมดที่อาจทำให้การเริ่มต้นและดำเนินธุรกิจยากขึ้น และทำทุกอย่างเพื่อให้มันง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

การเปลี่ยนข้อเสียเปรียบให้เป็นจุดแข็ง

แต่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง คุณจะสร้างบริษัทระดับโลกในตลาดที่มีประชากรเพียงกว่าหนึ่งล้านคนได้อย่างไร ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในบรูคลิน นิวยอร์ก? คำตอบคือคุณทำไม่ได้ แต่เอสโตเนียกลับสามารถเปลี่ยนข้อเสียเปรียบที่สำคัญนี้ให้กลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ได้

หลายประเทศในยุโรปมีประชากรตั้งแต่ 5 ถึง 60 ล้านคน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่พอที่จะสร้างธุรกิจขนาดใหญ่ได้ แต่เล็กเกินไปที่จะเติบโตเป็นบริษัทระดับโลก

ดังนั้นผู้ประกอบการยุโรปจำนวนมากจึงมุ่งเน้นไปที่การพยายามผูกขาดธุรกิจของพวกเขาภายในประเทศ และพวกเขาก็จบลงด้วยการสร้างธุรกิจขนาดกลางที่จำกัดอยู่ในตลาดนั้นๆ ซึ่งเป็นพลวัตที่เป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมยุโรปโดยทั่วไปจึงมีบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่น้อยมาก

แต่เอสโตเนียไม่มีปัญหาเดียวกัน เพราะตลาดมีขนาดเล็กมาก ผู้ประกอบการชาวเอสโตเนียทุกคนรู้ดีว่าการมุ่งเน้นที่ตลาดภายในประเทศนั้นไม่มีความหมาย ดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้น บริษัทดิจิทัลเกือบทุกแห่งจึงมุ่งเป้าไปที่ตลาดโลกโดยธรรมชาติ

ดังที่ชาวเอสโตเนียกล่าวไว้ “เอสโตเนียไม่ใช่ตลาดของคุณ มันคือตัวเร่งของคุณ เป็นที่ที่คุณค้นพบความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์กับตลาด เตรียมพร้อมที่จะขยายตัว และทดลองว่าอะไรใช้ได้ผล แต่จากนั้นคุณต้องออกไปข้างนอกและทำให้ใหญ่ เพราะมันไม่มีพื้นที่ให้เติบโตที่บ้าน”

สรุป: แหล่งเพาะพันธุ์สตาร์ทอัพที่สมบูรณ์แบบ

ดังนั้น ทั้งหมดนี้ทำให้เอสโตเนียกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สตาร์ทอัพที่สมบูรณ์แบบ:

  1. รัฐบาลที่ไม่กลัวที่จะตัดสินใจอย่างกล้าหาญและพยายามทำสิ่งใหญ่ๆ
  2. ประชากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีและมุ่งเน้นด้าน STEM
  3. ความจำเป็นตามธรรมชาติที่ต้องขยายตลาดไปต่างประเทศเนื่องจากข้อจำกัดของตลาด

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Skype, Bolt และ Wise ล้วนมีต้นกำเนิดจากที่นั่น หรือทำไมมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดของยุโรปจึงเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีชาวเอสโตเนีย และทำไมจึงสามารถการันตีได้ว่าจะมีบริษัททางด้านเทคโนโลยีเกิดขึ้นอีกมากมายในอนาคต

เรื่องราวของเอสโตเนียแสดงให้เห็นว่าการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การลงทุนในการศึกษาและเทคโนโลยี และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อนวัตกรรม สามารถเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างไร

แม้จะเริ่มต้นจากจุดที่ยากลำบาก ประเทศเล็กๆ แห่งนี้ก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพในระดับโลกได้ในเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ นับเป็นแบบอย่างที่น่าสนใจสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่ต้องการก้าวกระโดดทางเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าความสำเร็จของเอสโตเนียเกิดจากปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน และอาจไม่สามารถทำซ้ำได้ง่ายๆ ในบริบทที่แตกต่างกัน แต่แนวคิดหลักเช่นการลงทุนในการศึกษา การสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อนวัตกรรม และการมองไกลไปสู่ตลาดโลก ล้วนเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับประเทศอื่นๆ ที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของตนให้สำเร็จเฉกเช่นเดียวกับที่เอสโตเนียทำให้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้วนั่นเองครับผม

References :
https://e-estonia.com/6-lessons-in-building-a-digital-society/
https://www.forbes.com/sites/forbeshumanresourcescouncil/2023/08/14/thriving-not-surviving-digital-transformation-lessons-from-estonia/
https://www.raconteur.net/digital-transformation/digital-transformation-lessons-estonia-cio
https://youtu.be/QZ6Llj7Lmes?si=JR_P2t4uhXkV_aXS

Make Bitcoin Great Again : Donald Trump กับภารกิจพลิกโฉมอนาคตวงการคริปโตโลก

ต้องบอกว่าสถานกาณ์ในขณะนี้โลกการเมืองและโลกของเทคโนโลยีได้หลอมรวมกันอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งอดีตประธานาธิบดี Donald Trump ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการสนับสนุนอุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซี

เมื่อไม่นานมานี้ Trump ได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้สนับสนุนบิทคอยน์นับพันคนในงานประชุมประจำปีที่เมือง Nashville โดยเขาได้ให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่นว่า หากได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง เขาจะทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็น “มหาอำนาจบิทคอยน์ของโลก”

คำพูดนี้ได้สร้างความตื่นเต้นและความหวังให้กับผู้คนในวงการคริปโตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่พวกเขารู้สึกอึดอัดกับการตรวจสอบด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดจากรัฐบาลชุดปัจจุบัน

Trump ได้กล่าวด้วยความมั่นใจว่า “งานของผมคือการปลดปล่อยพวกคุณให้เป็นอิสระ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเขาที่มีต่ออุตสาหกรรมคริปโต คำพูดนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ฟัง ที่มองว่านี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐอเมริกา

การปรากฏตัวของ Trump ในครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทัศนคติของเขาที่มีต่อคริปโตเคอเรนซี เมื่อเทียบกับเพียงสามปีก่อนที่เขาเคยเรียกบิทคอยน์ว่าเป็น “การหลอกลวง” ที่คุกคามเงินดอลลาร์สหรัฐ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่สร้างความประหลาดใจให้กับหลายคน แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดคริปโตด้วย

ทันทีที่ข่าวนี้แพร่สะพัด ราคาของบิทคอยน์ก็พุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ โดยแตะระดับ 70,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นช่วงสั้นๆ และเกือบจะทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ 73,000 ดอลลาร์สหรัฐ ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอันมหาศาลที่การเมืองสามารถมีต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

Shervin Pishevar นักลงทุนร่วมทุนชื่อดัง ได้แสดงความเห็นต่อ Financial Times ว่า “ผมคิดว่า Trump จะเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่สนับสนุนคริปโตอย่างเต็มที่” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังที่สูงของวงการคริปโตที่มีต่อ Trump และนโยบายที่อาจเกิดขึ้นหากเขาได้กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม การที่วงการคริปโตหันมาสนับสนุน Trump อย่างเต็มที่นั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมนี้กำลังพยายามฟื้นฟูภาพลักษณ์หลังจากเหตุการณ์อื้อฉาวของ Sam Bankman-Fried ผู้ก่อตั้ง FTX ที่ถูกจำคุก 25 ปีในข้อหาฉ้อโกงเมื่อต้นปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีการปราบปรามอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ที่สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ประกอบการในวงการนี้เป็นอย่างมาก

Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทร่วมทุน Andreessen Horowitz ซึ่งอ้างว่าเป็นนักลงทุนคริปโตรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้แสดงความคิดเห็นว่า คริปโตกำลังเผชิญกับ “การโจมตีอย่างรุนแรง” ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี Biden และ Gary Gensler ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) เขากล่าวด้วยความผิดหวังว่า “มันเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดอย่างมากและเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เกิดความคืบหน้าในเรื่องนี้กับทำเนียบขาว”

Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทร่วมทุน Andreessen Horowitz (CR:Facts.net)
Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทร่วมทุน Andreessen Horowitz (CR:Facts.net)

ในทางตรงกันข้าม Trump ได้แสดงจุดยืนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง โดยเขาได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่และครอบคลุมทั้งหมดสำหรับอุตสาหกรรมคริปโต เขากล่าวว่า “มันเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง 180 องศาจากสิ่งที่เราเคยประสบมา” คำพูดนี้สร้างความหวังให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนในวงการคริปโตเป็นอย่างมาก

การปรากฏตัวของ Trump ใน Nashville นั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับท่าทีของฝ่ายรัฐบาล Biden โดย Kamala Harris รองประธานาธิบดี ซึ่งเคยอยู่ในการเจรจาขั้นสุดท้ายเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ในงานเดียวกันนี้ แต่กลับตัดสินใจไม่เข้าร่วมในที่สุด การตัดสินใจนี้ถูกมองว่าเป็นการพลาดโอกาสสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับวงการคริปโต

ในขณะเดียวกัน บริษัทชั้นนำในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลก็พร้อมที่จะทุ่มเทสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของ Trump อย่างเต็มที่ เมื่อเดือนที่แล้ว Pishevar ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานระดมทุนให้ Trump ใน Silicon Valley ที่บ้านของนักลงทุน David Sacks โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำในวงการคริปโตเข้าร่วมมากมาย รวมถึงผู้บริหารของ Coinbase และ Tyler และ Cameron Winklevoss ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน Gemini

ที่น่าสนใจคือ แต่ละคนได้บริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรูปแบบบิทคอยน์ให้กับการรณรงค์หาเสียงของ Trump นอกจากนี้ Jesse Powell ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต Kraken ก็ได้บริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของอีเธอร์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลอีกตัวที่ได้รับความนิยมรองจากบิทคอยน์

การสนับสนุนอย่างล้นหลามจากวงการคริปโตนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในห้องประชุมเท่านั้น แต่ยังแพร่กระจายไปทั่วเมือง Nashville ในช่วงที่มีการจัดงาน ผู้เข้าร่วมงานหลายคนสวมหมวกสีแดงที่มีข้อความว่า “Make Bitcoin Great Again” ซึ่งเป็นการดัดแปลงคำขวัญหาเสียงของ Trump ให้เข้ากับบริบทของคริปโต นอกจากนี้ ยังมีรถ Tesla Cybertruck ที่ติดโฆษณา Bitcoin วิ่งวนรอบสถานที่จัดงาน สร้างสีสันและความตื่นเต้นให้กับผู้คนในพื้นที่

ในสุนทรพจน์ของ Trump เขาได้ให้คำมั่นสัญญามากมายสำหรับอุตสาหกรรมคริปโตของสหรัฐฯ ตั้งแต่การเรียกพวกเขาว่าเป็น “Edison ยุคใหม่” ไปจนถึงการพิจารณาลดโทษให้กับ Ross Ulbricht ผู้ซึ่งถูกจำคุกตลอดชีวิตจากการสร้างตลาดมืดออนไลน์ Silk Road

คำสัญญาเหล่านี้ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาสัญญาว่าจะปลด Gary Gensler ออกจากตำแหน่งประธาน SEC ซึ่งเป็นบุคคลที่วงการคริปโตมองว่าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม

ภายใต้การดำรงตำแหน่งของ Gensler SEC ได้ดำเนินการทางกฎหมายกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตรายใหญ่หลายราย รวมถึง Binance, Coinbase, Kraken และ Gemini ตลอดจนผู้ให้บริการชำระเงิน Ripple Labs และบริษัทซอฟต์แวร์บล็อกเชน Consensys ในข้อหาละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์

Gary Gensler มีแววที่จะถูกเชือดหาก Trump ได้ขึ้นครองอำนาจ (CR:Jobba)
Gary Gensler มีแววที่จะถูกเชือดหาก Trump ได้ขึ้นครองอำนาจ (CR:Jobba)

การดำเนินการเหล่านี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับวงการคริปโตเป็นอย่างมาก และทำให้พวกเขามองหาทางเลือกใหม่ทางการเมืองที่จะเข้าใจและสนับสนุนอุตสาหกรรมของพวกเขามากขึ้น

Trump ยังให้คำมั่นว่าจะยุติ “การกดขี่” ต่ออุตสาหกรรมคริปโต โดยกล่าวว่ากฎระเบียบควร “เขียนโดยคนที่รักอุตสาหกรรมของคุณ ไม่ใช่คนที่เกลียดอุตสาหกรรมของคุณ” คำพูดนี้ได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้องจากผู้เข้าร่วมงาน ที่รู้สึกว่าในที่สุดก็มีนักการเมืองระดับสูงที่เข้าใจความต้องการของพวกเขา

นอกจากนี้ คำสัญญาของ Trump ที่จะสร้าง “คลังสำรองบิทคอยน์แห่งชาติเชิงกลยุทธ์” (strategic national bitcoin stockpile) โดยไม่ขายบิทคอยน์ประมาณ 210,000 เหรียญที่ถูกยึดโดยรัฐบาลกลาง ก็ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้เข้าร่วมการประชุม แนวคิดนี้ถูกมองว่าเป็นการยอมรับถึงความสำคัญของบิทคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ทางยุทธศาสตร์ของประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อนโยบายการเงินและเศรษฐกิจในอนาคต

Fred Thiel ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Marathon Digital Holdings บริษัทขุดคริปโตชั้นนำ กล่าวหลังจากพบกับ Trump ว่า “ผมคิดว่าเขาได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน” สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของวงการคริปโตที่มีต่อ Trump และนโยบายที่เขานำเสนอ

อย่างไรก็ตาม การรณรงค์หาเสียงของ Trump ที่สนับสนุนคริปโตนั้นไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นขึ้น แต่ได้ดำเนินมาหลายเดือนแล้ว เขาได้รับการชำระเงินในรูปแบบคริปโตและกล่าวว่าการรณรงค์หาเสียงของเขาได้รับเงินบริจาคในรูปแบบคริปโตมากกว่า 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ JD Vance ตัวเลือกรองประธานาธิบดีของเขา ก็ถือครองบิทคอยน์มูลค่าสูงถึง 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ ตามแบบฟอร์มเปิดเผยข้อมูลทางการเงินปี 2022 สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้การรณรงค์หาเสียงของพรรครีพับลิกันได้รับคำชมเชยเพิ่มเติมจากผู้บริหารในวงการคริปโต

ในขณะเดียวกัน ตลาดคริปโตก็ได้พัฒนาความรู้ความเข้าใจทางการเมืองมากขึ้นนับตั้งแต่สมัยที่ Sam Bankman-Fried สนับสนุนนักการเมืองรายบุคคล กลุ่มสนับสนุนคริปโต Fairshake ได้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่ม Super PAC (กลุ่มทำงานด้านการเมืองที่สามาถระดมทุนและใช้จ่ายเงินได้โดยไม่จำกัดจำนวน) ที่ใหญ่ที่สุดในปีนี้ โดยระดมทุนได้เกือบ 203 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กลุ่มนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการคริปโตหลายแห่ง เช่น Coinbase, Ripple และ Andreessen Horowitz แม้ว่าจะไม่มีแผนที่จะมีส่วนร่วมโดยตรงในการรณรงค์หาเสียงประธานาธิบดี แต่การมีอยู่ของกลุ่มนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของอุตสาหกรรมคริปโตที่จะมีอิทธิพลต่อนโยบายระดับชาติ

ผู้บริหารระดับสูงของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตในสหรัฐฯ รายหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นว่า “ชัดเจนว่า [Trump] คิดมานานแล้วเกี่ยวกับการรักษาอุตสาหกรรมของอเมริกาไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องการค้าหรือการรักษาสิ่งต่างๆ ไว้ในประเทศ ผมสงสัยว่านั่นคือหลักการพื้นฐาน” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของวงการคริปโตที่มีต่อวิสัยทัศน์ของ Trump ในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของ Trump ที่มีต่อคริปโต Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการสนับสนุน Trump ของตลาดที่อาจมองเพียงผลประโยชน์ระยะสั้น เขาเขียนในบล็อกโพสต์เมื่อเร็วๆ นี้ว่า การสนับสนุนผู้สมัครที่เป็นมิตรกับคริปโตเพียงเพราะพวกเขาแสดงท่าทีสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะยาว

นอกจากนี้ ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความสัมพันธ์ที่อาจมองเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่าง Trump และอุตสาหกรรมคริปโต

Vinod Khosla ผู้ก่อตั้ง Khosla Ventures กล่าวว่า “ความคิดเห็นของ Trump สามารถซื้อได้ดังที่เราเห็น” โดยเสริมว่าผู้บริหารกำลังบริจาคให้กับการรณรงค์หาเสียงของเขาอย่างชัดเจนเพื่อให้ได้รับกฎระเบียบที่ผ่อนคลายลง ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถทำกำไรได้มากขึ้น

Sheila Warren ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Crypto Council for Innovation ได้แสดงความคิดเห็นในเชิงวิเคราะห์ว่า การรณรงค์หาเสียงของ Trump “แน่นอนว่าฉลาดมากเมื่อพูดถึงการรู้ว่าใครเป็นผู้ให้การสนับสนุนและรู้ว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มไหนอาจเป็นประโยชน์” อย่างไรก็ตาม เธอยังเตือนว่า “การลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและการเป็นประธานาธิบดีเป็นเรื่องที่แตกต่างกันมาก… สิ่งที่เขาจะทำจริงๆ เมื่อเข้ารับตำแหน่งเป็นสิ่งที่แตกต่างออกไป”

ท่ามกลางความหวังและความกังวล การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ Trump และการตอบรับจากวงการคริปโตได้สร้างความตื่นเต้นและการถกเถียงอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในวงการการเงินและเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในแวดวงการเมืองด้วย การผสมผสานระหว่างการเมืองและเทคโนโลยีการเงินแบบใหม่นี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

ในขณะที่วงการคริปโตกำลังตื่นเต้นกับวิสัยทัศน์ของ Trump เกี่ยวกับ “มหาอำนาจบิทคอยน์โลก” เราต้องไม่ลืมว่าการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการเงินมักจะมาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงที่ไม่คาดคิดเช่นเดียวกัน

การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและการกำกับดูแลที่เหมาะสมจะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร สิ่งที่แน่นอนคือ บทบาทของคริปโตเคอเรนซีในระบบการเงินและเศรษฐกิจโลกจะยังคงเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองและถกเถียงกันอย่างกว้างขวางต่อไปในอนาคต

References :

  1. Financial Times
  2. Coindesk
  3. Bloomberg
  4. https://www.financemagnates.com/cryptocurrency/make-bitcoin-great-again-crypto-turns-political-as-industry-leaders-bet-on-trump/

AI ในสายตา Obama : เมื่ออดีตผู้นำโลกพูดถึง AI โอกาสทองหรือภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่?

ในโลกที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่ทั้งน่าตื่นเต้นและน่ากังวลในเวลาเดียวกัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา Barack Obama ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับ AI และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสังคมในอนาคต ในการสัมภาษณ์ล่าสุดของเขากับสื่อเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง The Verge ที่ได้แบ่งปันมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพัฒนา AI และความท้าทายที่เราต้องเผชิญ

จุดเริ่มต้นของความสนใจใน AI

Obama เริ่มสนใจประเด็น AI ตั้งแต่ปี 2015-2016 เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางด้านดิจิทัลที่เกิดจากโซเชียลมีเดียและการปฏิวัติด้านข้อมูล เขาก็เริ่มมองว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อทุกแง่มุมของชีวิตเรา และเริ่มมองเห็นว่า AI อาจเป็นคลื่นลูกถัดไปที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกอย่างมหาศาล

“บทเรียนหนึ่งที่เราได้รับจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อของเราคือ นวัตกรรมที่น่าทึ่งมาพร้อมกับคำสัญญาที่ยิ่งใหญ่และสิ่งดีๆ มากมาย แต่ก็มีผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจมากมายเช่นกัน” Obama กล่าว

เขาเน้นย้ำว่าเราจำเป็นต้องโฟกัสมากขึ้นในการพิจารณาว่าระบอบประชาธิปไตยของเราจะปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีที่ถูกสร้างขึ้นจากภาคเอกชนเป็นหลักอย่างไร และเราจะกำหนดกฎเกณฑ์อย่างไรเพื่อให้แน่ใจว่าเราได้ประโยชน์สูงสุดและลดผลเสียให้น้อยที่สุด

ศักยภาพและความท้าทายของ AI

Obama มองว่า AI มีศักยภาพมหาศาลในการเปลี่ยนแปลงโลก โดยอาจส่งผลกระทบต่อวิธีที่เราผลิตสิ่งต่าง ๆ การให้บริการ และวิธีที่เราเสพข้อมูล นอกจากนี้ ยังมีโอกาสที่จะเกิดความก้าวหน้าทางการแพทย์อย่างมาก การให้การสอนพิเศษแบบรายบุคคลแก่เด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล และการแก้ปัญหาด้านพลังงานรวมถึงการจัดการกับก๊าซเรือนกระจก

อย่างไรก็ตาม เขาก็ตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย เช่น การที่ AI มันมีความสามารถสุดล้ำ ก็อาจตกอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดีที่อาจใช้มันในการพัฒนาอาวุธชีวภาพหรือแฮ็กเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน โดย Obama เปรียบเทียบว่าอาจคล้ายกับผลกระทบที่โซเชียลมีเดียมีต่อเด็กในปัจจุบัน

การกำกับดูแล AI: ความจำเป็นและความท้าทาย

Obama มองว่าการกำกับดูแล AI เป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องทำอย่างชาญฉลาดและต้องมีความยืดหยุ่น เขาเปรียบเทียบกับการกำกับดูแลในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และอาหาร ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพ ซึ่งไม่ได้ขัดขวางนวัตกรรม แต่กลับช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและเอื้อต่อการพัฒนาตลาด

“ปรากฏว่ากฎและมาตรฐานต่างๆ เหล่านี้จริงๆ แล้วมันเป็นการสร้างตลาดและดีต่อธุรกิจ และนวัตกรรมก็พัฒนาขึ้นรอบๆ กฎเหล่านั้น” Obama กล่าว

เขาเน้นย้ำว่าการมีกรอบการกำกับดูแลที่ชาญฉลาดไม่เพียงแต่ไม่ทำให้สิ่งต่างๆ พัฒนาช้าลง แต่ในบางกรณีอาจยกระดับมาตรฐานและเร่งความก้าวหน้าให้เกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม Obama ตระหนักดีว่าการกำกับดูแล AI มีความท้าทายมากกว่าเทคโนโลยีในอดีต เนื่องจาก AI มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีผลกระทบในวงกว้าง การกำกับดูแลจึงต้องมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

นอกจากนี้ Obama ยังเน้นถึงความสำคัญของการร่วมมือระหว่างประเทศในการกำหนดมาตรฐานและกรอบการกำกับดูแล AI เนื่องจากอินเทอร์เน็ตและ AI เป็นปรากฏการณ์ระดับโลก การมีมาตรฐานร่วมกันจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ผลกระทบต่อการทำงานและเศรษฐกิจ

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ Obama ให้ความสนใจคือผลกระทบของ AI ต่อตลาดแรงงานและเศรษฐกิจ เขามองว่าในอนาคตอันใกล้ AI อาจสามารถทำงานบางอย่างได้ดีกว่ามนุษย์ เช่น การเขียนโค้ด การทำวิจัยทางกฎหมาย หรือแม้แต่งานเขียนทั่วไป

“ถ้า AI กำลังเขียนโค้ดได้ดีกว่านักเขียนโค้ดทั้งหมดยกเว้นคนที่เก่งที่สุด ถ้า ChatGPT สามารถสร้างบันทึกการวิจัยได้ดีกว่าทนายความจบใหม่ปีที่สามหรือสี่ … ตอนนี้คุณกำลังบอกอะไรกับคนหนุ่มสาวที่กำลังเติบโตขึ้นมา” Obama ตั้งคำถาม

เขาเสนอว่าเราอาจต้องมาทบทวนกันใหม่ว่าเราจะให้การศึกษาแก่เยาวชนอย่างไร และจะมีงานประเภทใดบ้างในอนาคต Obama เสนอแนะว่าเราอาจต้องให้ความสำคัญกับงานที่ AI ไม่สามารถทำได้ดี เช่น งานด้านการดูแลสุขภาพ การพยาบาล การสอน การดูแลเด็ก และงานศิลปะ

นอกจากนี้ เขายังเสนอให้พิจารณาประเด็นอื่นๆ เช่น ความยาวของสัปดาห์การทำงาน วิธีการแบ่งปันงาน และการจัดการกับแนวโน้มที่คนจำนวนมากขึ้นเลือกทำงานแบบฟรีแลนซ์ ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบสวัสดิการและการเกษียณอายุ

การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิของผู้สร้างสรรค์

ในฐานะที่เป็นทั้งนักเขียนและผู้ผลิตสื่อ Obama ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิของผู้สร้างสรรค์ในยุค AI เขามองว่าปัญหานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความท้าทายที่ใหญ่กว่าที่ AI นำมาสู่สังคม

Obama เชื่อว่าจะมีการฟ้องร้องและการดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ ผ่านกระบวนการทางกฎหมายและกลไกการควบคุมอื่นๆ ผู้สร้างสรรค์จะหาวิธีได้รับค่าตอบแทนและปกป้องผลงานของตน อย่างไรก็ตาม เขามองว่าในระยะยาว ประเด็นนี้อาจเป็นเพียงอุปสรรคเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผลกระทบที่ใหญ่กว่าของ AI ต่อสังคมและเศรษฐกิจ

การให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับ AI

Obama เน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับความสามารถและข้อจำกัดของ AI เขามองว่า AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีจิตสำนึก

“วิธีที่ผมคิดเกี่ยวกับ AI คือมันเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เพื่อนของเรา” Obama กล่าว “สิ่งเหล่านี้เป็นตัวช่วยที่ทรงพลังมากสำหรับตัวคุณเอง แต่ก็เป็นภาพสะท้อนของตัวคุณเองด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นอย่าสับสนและคิดว่าสิ่งที่คุณเห็นในกระจกคือจิตสำนึก บ่อยครั้งที่มันเป็นเพียงการสะท้อนกลับของสิ่งที่คุณป้อนเข้าไปเพียงเท่านั้น”

เขาเน้นว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้คนต้องเข้าใจว่า AI ไม่ได้มีความคิดหรือความรู้สึกของตัวเอง แต่เป็นเพียงการประมวลผลข้อมูลที่มนุษย์ป้อนเข้าไป การมองภาพมันแบบนี้จะช่วยให้เราใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างชาญฉลาดและปลอดภัยมากขึ้น

บทสรุป: มองไปข้างหน้าด้วยความหวังและความระมัดระวัง

ในท้ายที่สุด Obama มองการพัฒนาของ AI ด้วยทัศนคติที่ผสมผสานระหว่างความหวังและความระมัดระวัง เขาเชื่อว่า AI มีศักยภาพมหาศาลในการสร้างประโยชน์ให้กับมนุษยชาติ แต่ก็ตระหนักถึงความท้าทายและความเสี่ยงที่มาพร้อมกัน

การกำกับดูแลที่ชาญฉลาด การให้ความรู้แก่สาธารณชน และการร่วมมือระหว่างประเทศ เป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ AI จะนำมาสู่สังคมของเรา

Obama เชื่อว่าหากเราสามารถจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจะสามารถสร้างอนาคตที่ AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง

ท้ายที่สุด Obama เชิญชวนให้ผู้ที่สนใจมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของ AI โดยเข้าร่วมโครงการต่างๆ ของรัฐบาล เช่น บริการดิจิทัลของสหรัฐฯ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถได้อุทิศตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แม้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

“ถ้าคุณสนใจที่จะช่วยกำหนดกฎเกณฑ์สำหรับสิ่งเหล่านี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ให้ไปที่ AI.gov (ในสหรัฐฯ) และดูว่ามีโอกาสใดบ้างสำหรับคุณ” Obama กล่าวทิ้งท้าย

การพัฒนา AI กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และเราทุกคนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดว่าเทคโนโลยีนี้จะส่งผลต่ออนาคตของเราอย่างไร ด้วยความร่วมมือ การคิดอย่างรอบคอบ และความมุ่งมั่นที่จะสร้างประโยชน์สูงสุดเพื่อส่วนรวม เราสามารถใช้พลังของ AI เพื่อสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไปได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
Obama on AI, free speech, and the future of the internet (The Verge)
https://youtu.be/X15o2sG8HF4
https://www.hdwallpapers.net/celebrities/barack-obama-in-black-and-white-wallpaper-639.htm