การถ่ายโอนเส้นประสาทกับการช่วยผู้ป่วยอัมพาตให้เคลื่อนไหวได้อีกครั้ง

Natasha van Zyl ศัลยแพทย์ชาวออสเตรเลีย ได้ช่วยเหลือ ผู้ป่วย 13 ราย ที่มีอาการอัมพาต ให้มีอาการดีขึ้นอย่างมาก หลังจากได้รับการผ่าตัดเพื่อถ่ายโอนเส้นประสาทของพวกเขาได้สำเร็จ รายงานจาก The Guardian

ซึ่งก่อนที่จะถึงมือของศัลยแพทย์ชาวออสเตรเลียนั้น แขน ขา ทั้งสี่ ของผู้ป่วยแต่ละรายเป็นอัมพาตเนื่องจากอุบัติเหตุทางกีฬาหรืออุบัติเหตุจากการจราจร

ศัลแพทย์ชาวออสเตรเลียได้ใช้เทคนิคที่รู้จักกันในชื่อ การถ่ายโอนเส้นประสาท ซึ่ง Van Zyl ได้รับการฟื้นฟูความสามารถในการยืดข้อศอก รวมถึงการจับและบีบมือได้สำเร็จ – และเธอคิดว่าคนอื่น ๆ จะได้รับประโยชน์เช่นนี้เหมือนกัน

เธอและทีมงานของเธอที่ Austin Health ในเมืองเมลเบิร์นประเทศออสเตรเลียเริ่มต้นด้วยการนำเส้นประสาทที่ใช้งานได้ออกจากการบาดเจ็บกระดูกสันหลัง จากนั้นพวกเขาย้ายประสาทเข้าไปในแขนขาที่เป็นอัมพาตของผู้ป่วย

สองปีหลังจากการผ่าตัดตามรายงานผู้ป่วยมีการปรับปรุงการทำงานของมืออย่างมีนัยสำคัญ

ดังที่ Van Zyl บอกกับ The Guardian ว่าเทคนิคการถ่ายโอนเส้นประสาทมีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผลที่ชัดเจนนัก จนกระทั่งในปี 2014 ที่เธอและทีมของเธอออกแบบการปลูกถ่ายเส้นประสาทสามเส้นเพื่อรักษาอาการอัมพาตได้สำเร็จ

ความสำเร็จของการผ่าตัดครั้งแรกนั้นนำไปสู่การศึกษาใหม่ซึ่งผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาหวังว่าจะสนับสนุนให้ผู้อื่นเลือกใช้เทคนิคการถ่ายโอนเส้นประสาทนี้ ในการแก้ไขอาการอัมพาตจากอวัยวะส่วนต่าง ๆ

“อาจจะมีคนที่ไม่เห็นว่านี่เป็นตัวเลือก” เขาบอกกับ The Guardian “มันทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนไปอย่างมาก หวังว่ามันจะช่วยคนอื่นได้เช่นกัน มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตฉันได้จริงๆ”

References : https://www.theguardian.com/world/2019/jul/04/pioneering-surgery-brings-movement-back-to-paralysed-hands https://www.medicalnewstoday.com/articles/325688.php

Bernard Madoff กับตำนานแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

เรื่องอื้อฉาวในการลงทุนของแมดอฟฟ์ ได้กลายเป็นตำนานเรื่องการฉ้อโกงการลงทุน และหลักทรัพย์ครั้งใหญ่ที่สุดและมีความสูญเสียมากที่สุด เมื่อปลายปี 2008 ซึ่งในเดือนธันวาคมปีนั้น เบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ อดีตประธานแนสแด็กและ ผู้ก่อตั้ง บริษัท หลักทรัพย์ลงทุนเบอร์นาร์ด แอล. แมดอฟฟ์ จำกัด (Bernard L. Madoff Investment Securities LLC) ได้ออกมายอมรับว่าธุรกิจของเขาเป็นการฉ้อฉลแบบพอนซี (รูปแบบเดียวกับแชร์ลูกโซ่ที่เราเห็นได้ในข่าวดังในบ้านเราขณะนี้)

เจ้าหน้าที่ที่ดำเนินคดีประเมินขนาดการฉ้อโกงครั้งนี้มีความเสียหายอยู่ที่ประมาณ 64,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้ตัวเลขประเมินที่อยู่ในบัญชีของลูกค้ากว่า 4,800 ราย โดยอดีตประธานองค์กรตรวจสอบและควบคุมของรัฐบาลกลางผู้หนึ่งประเมินว่า การฉ้อโกงจริง ๆ นั้นมูลค่าที่แท้จริงอยู่ที่ระหว่าง 10,000-17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยไม่รวมเอารายได้ที่ไม่มีจริง ๆ ที่บันทึกใส่บัญชีของลูกค้า ซึ่งทำให้ธุรกิจของแมดอฟฟ์เป็นการฉ้อโกงแบบพอนซี่ (แชร์ลูกโซ่) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์  และเป็นการฉ้อโกงต่อนักลงทุนที่ใหญ่ที่สุด ที่ทำโดยบุคคลคนเดียวอีกด้วย

แมดอฟฟ์จัดตั้งบริษัทในปี 1960 โดยเริ่มต้นด้วยการเป็นบริษัทขายหุ้นราคาถูก (penny stock) มีเงินทุนตั้งต้นเพียงแค่ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ ที่ได้มาจากการทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ที่คอยช่วยชีวิตคนตกน้ำ และคนติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำ ให้กับรัฐ 

บริษัทของเขาเริ่มเติบโตด้วยความช่วยเหลือจากพ่อตาของเขา นักบัญชีชื่อดังอย่าง ซาอูล อัลเพิร์น ซึ่งแนะนำเพื่อนและญาติให้ทำธุรกิจกับแมดอฟฟ์  โดยจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญคือ บริษัทเขาเริ่มใช้เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ที่ก้าวหน้าในการแจ้งราคาให้กับลูกค้า ซึ่งการใช้เทคโนโลยีนี่เองเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้บริษัทช่วยพัฒนาได้กลายเป็นตลาดแนสแด็ก อย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบัน ซึ่ง ณ จุดหนึ่ง Madoff Securities นั้นเป็น ผู้ซื้อและขายที่ใหญ่สุดที่ในตลาดแนสแด็ก

Bernard Madoff ที่กิจการกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
Bernard Madoff ที่กิจการกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

สำหรับวิธีการขายของแมดอฟฟ์ก็คือการอ้างกลยุทธ์การลงทุนที่อาศัยการซื้อหุ้นบลูชิป และซื้อสัญญาการค้าขายอนาคต ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า split-strike conversion ดังที่เขาได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร ฟอบส์ ในปี 2009 

นอกจากนั้นแล้ว เขายังได้ให้สัมภาษณ์กับ เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล ว่า ในช่วงปี 1970 เขาได้กำไรจากการซื้อและขายในต่างตลาด ณ เวลาเดียวกัน ซึ่งส่วนมากเป็นหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ (large-cap) โดยหวังผลกำไรได้ในระหว่าง 18%-20% 

และเขาได้เริ่มใช้สัญญาเพื่อซื้อขายในอนาคตตามดัชนีหุ้น และได้ซื้อสัญญาเพื่อจะขายหุ้นในราคาที่แน่นอน (put option) ในช่วงเหตุการณ์ตลาดหลักทรัพย์วอลล์สตรีทตกต่ำในปี 1997 

แต่ว่า นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งที่ตรวจสอบวิธีการของแมดอฟฟ์ ไม่สามารถที่จะเลียนแบบแล้วได้ผลตามที่แมดอฟฟ์กล่าวอ้าง โดยใช้ข้อมูลย้อนหลังของราคาหุ้นและราคาสัญญาซื้อขายในอนาคตของดัชนีหุ้นในช่วงเวลาดังกล่าวมาเปรียบเทียบ

ซึ่ง แทนที่จะให้ผลกำไรสูงสำหรับผู้เข้าร่วมลงทุนทุกคน แมดอฟฟ์ให้ผลกำไร พอสมควรแต่มีความสม่ำเสมอต่อลูกค้าที่เขาเลือกสรรมาอย่างดีแล้ว โดยอ้างว่า วิธีการลงทุน “ซับซ้อนเกินกว่าที่คนนอกจะเข้าใจได้” เขาเก็บความลับเกี่ยวกับทั้งวิธีการลงทุน และงบการเงินของบริษัทไว้แต่เพียงผู้เดียว

เมดอฟฟ์เป็นคนเก่งมากในการวางแผนการตลาดของโปรแกรมการลงทุนของเขา โดยที่กองทุนของเขาถือว่าจำกัดเฉพาะแก่ลูกค้าบางกลุ่มเท่านั้น ทำให้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่น่าต้องการจริง ๆ 

ซึ่งโดยทั่วไปมักจะปฏิเสธที่จะพบกับผู้ลงทุนโดยตรง ทำให้ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจที่จะลงทุนกับเขา นักลงทุนบางท่านไม่กล้าที่จะถอนเงินออกจากกองทุน เพราะกลัวว่าจะกลับเข้าไปเหมือนเก่าไม่ได้ในภายหลัง

อัตราผลตอบแทนของแมดอฟฟ์นั้นมีความสม่ำเสมออย่างไม่น่าเชื่อ โดยอยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การฉ้อโกงดังกล่าวสามารถอยู่ต่อไปได้ เพราะธุรกิจพอนซี (แชร์ลูกโซ่) โดยมากให้ผลกำไรถึง 20% หรือมากกว่านั้น จึงทำให้ล้มเร็ว อย่างที่เราได้เห็นในกรณีของแชร์แม่มณี ที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 93% ต่อเดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก ๆ ที่คนหลงเชื่อเข้าไปลงทุนได้มากมายขนาดนี้

ธุรกิจพอนซี หรือ แชร์ลูกโซ่ที่บ้านเรารู้จักกันดีนั่นเอง
ธุรกิจพอนซี หรือ แชร์ลูกโซ่ที่บ้านเรารู้จักกันดีนั่นเอง

ธุรกิจเริ่มประสบปัญหาในเดือนธันวาคมปี 2008 เมื่อตลาดหลักทรัพย์ตกลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อตลาดตกลงเรื่อย ๆ ผู้ลงทุนได้พยามยามถอนเงิน 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากบริษัท และเพื่อที่จะจ่ายให้ลูกค้าเหล่านั้น แมดอฟฟ์ก็จะต้องหาเงินเพิ่มจากนักลงทุนอื่น ๆ และแม้ว่าจะยังมีนักลงทุนเป็นจำนวนมากที่เชื่อว่าแมดอฟฟ์ยังดำเนินการได้ดีอยู่ แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับการถอนเงินจำนวนมากพร้อม ๆ กันมากมายขนาดนี้

ในวันที่ 10 ธันวาคม 2008 แมดอฟฟ์ได้ทำการพยายามส่งเงินก้อนสุดท้ายผ่านลูกชาย มาร์กและแอนดรู ให้จ่ายเงินโบนัส 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6,024 ล้านบาท) แก่พนักงานกลุ่มสุดท้ายของเขา ซึ่งตอนนั้นบริษัทเหลือเงินสด 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7,087 ล้านบาท) ที่เหลืออยู่เป็นก้อนสุดท้าย 

โดยทั้ง มาร์กและแอนดรู ลูกชายของแมดอฟฟ์ ซึ่งยังไม่รู้ถึงการล้มละลายของบริษัทที่กำลังใกล้เข้ามาเต็มที ได้คุยเรื่องนี้กับบิดาของตน โดยได้ถามว่าเขาจะจ่ายเงินโบนัสให้ลูกจ้างได้อย่างไรถ้าไม่สามารถจ่ายผู้ลงทุนได้ แมดอฟฟ์จึงยอมรับในที่สุดว่า เขาได้ดำเนินการถึงที่สุดแล้ว และแผนบริหารหลักทรัพย์ของบริษัทความจริงก็คือธุรกิจพอนซี่ (แชร์ลูกโซ่) ดังที่เขาได้กล่าวว่า “เป็นเรื่องที่เขาคิดเพียงคนเดียวเท่านั้น” มาร์กและแอนดรู จึงได้รายงานการพูดคุยนี้ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นการปิดฉาก การลงทุนแบบพอนซี่ (แชร์ลูกโซ่) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

References :
http://www.wsj.com/
http://www.nytimes.com/ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%8C
https://www.incimages.com/uploaded_files/image/970×450/bernie-madoff-police-1940x900_35532.jpg

กองทัพหุ่นยนต์อเมริกากับภารกิจปราบผู้นำ ISIS

ในวันอาทิตย์ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาประกาศในระหว่างการแถลงข่าวสดว่าอาบูบาการ์อัล – บาห์ดาดี ผู้นำกลุ่มผู้ก่อการร้าย ISIS ได้เสียชีวิตแล้ว

หนึ่งในรายละเอียดที่น่าตื่นเต้นที่สุดที่เขาแบ่งปันเกี่ยวกับการจู่โจมสองชั่วโมงนั่นคือทหารสหรัฐนำหุ่นยนต์มาเพื่อทำภารกิจ 

ทรัมป์สังเกตการมีส่วนร่วมของหุ่นยนต์หลายครั้งระหว่างการประชุมสดกับเหล่าทหารในแนวหน้าของเขา ทั้งส่วนของโดรน รวมถึงยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ รวมถึงหุ่นยนต์ที่คอยติดตาม บาห์บาดี

“เรามีหุ่นยนต์ที่จะเข้าไปในอุโมงค์ เพราะเราติดตาม [บาห์บาดี] อย่างใกล้ชิด” เขากล่าวว่า“ เรามีหุ่นยนต์ในกรณีนี้เพราะเรากลัวว่าเขามีเสื้อกั๊กฆ่าตัวตาย และถ้าทหารเข้าใกล้เขาและเขาระเบิดมันจะทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ การใช้หุ่นยนต์จะช่วยลดความสูญเสียได้”

แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯได้บอกกับสำนักข่าว NBC ว่าบางสิ่งที่ทรัมป์พูดระหว่างการแถลงข่าวนั้น“ ไม่ถูกต้องเลยเสียทีเดียว” และข้อเท็จจริงบางประการที่ประธานาธิบดีแถลงนั้นถูกต้อง เช่น การเปิดเผยของเขาว่าสหรัฐฯจับนักสู้ ISIS ในระหว่างการจู่โจม รวมถึงรายละเอียดการปฏิบัติการดังกล่าว

ดังนั้นเท่าที่ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหุ่นยนต์ทางทหาร ยังไม่มั่นใจว่าทรัมป์นั้นได้พูดความจริงทั้งหมดหรือไม่ หรือเป็นการแถลงเพื่อความปลอดภัยของทหาร และอาจจะเป็นเรื่องของความลับทางการทหารที่ทรัมป์มองว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เรื่องของหุ่นยนต์ในแนวรบของอเมริกานั้น ยังคงต้องเก็บไว้เป็นเรื่องความลับ ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้มากนัก เพราะอาจจะส่งผลต่อความมั่นคงของอเมริกาในอนาคตนั่นเอง

References : https://futurism.com/trump-troops-robot-kill-isis-leader https://www.nbcnews.com/news/world/officials-cringe-trump-spills-sensitive-details-al-baghdadi-raid-n1073001

ต้นแบบมนุษย์ออฟฟิศในอีก 20 ปีข้างหน้า

มารู้จัก Emma ต้นแบบของมนุษย์ออฟฟิศ ในอีก 20 ปีข้างหน้ากันเถอะครับ

ฟัง PodCast เรื่องเกี่ยวเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ที่ Geek Forever’s Podcast

ฟังผ่าน Podbean : http://bit.ly/2m7CpC8

ฟังผ่าน Apple Podcast : https://apple.co/2lEqPPg

ฟังผ่าน Google Podcast : http://bit.ly/2kxHtQ3

ฟังผ่าน Spotify : https://spoti.fi/2m0PTzR

ฟังผ่าน Youtube : http://bit.ly/2mvEVTf

References : @Now This Future

Lexus กับรถ EV ขับเคลื่อนอัตโนมัติด้วยพลัง AI

ในที่สุด Lexus ก็พร้อมที่จะเปิดตัวรถต้นแบบไฟฟ้าคันแรก ที่งานโตเกียวมอเตอร์โชว์ในปีนี้บนแนวคิด LF-30 Electric ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์สำหรับ EVs รุ่นต่อไปของ Lexus

Lexus ได้ออกแบบรถแห่งอนาคตซึ่งเห็นได้จากรูปแบบ “hoodless” ของยานพาหนะหลังคากระจก และประตูแบบปีก โดยภายในนั้น Lexus ได้วางระบบควบคุมท่าทางเพื่อใช้และสร้างระบบข้อมูลยานพาหนะด้วยเทคโนโลยี AR ที่นั่งด้านหน้านั้นให้ความรู้สึกเหมือนนั่งเครื่องบินชั้นหนึ่งมากกว่า และเบาะหลังใช้สิ่งที่เรียกว่า ” artificial muscle technology ” เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้ผู้โดยสาร

เมื่อพูดถึงการขับขี่ผู้ใช้จะมีตัวเลือกของโหมดอัตโนมัติ พวกเขาจะได้รับ “การควบคุมท่าทางในระดับขั้นสูง” เพื่อรักษาระดับสายตาของผู้ขับขี่ระบบจะปรับแรงบิดให้กับแต่ละล้อ ซึ่งความสามารถดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นได้โดยรูปแบบของมอเตอร์ไฟฟ้าในแต่ละล้อนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีพิเศษอื่น ๆ อีก เช่น Lexus Airporter ที่จะส่งกระเป๋าของคุณจากประตูบ้านของคุณไปที่ท้ายรถได้แบบอัตโนมัติ ซึ่ง LF-30 ใช้การชาร์จแบบไร้สายและ ด้วยเทคโนโลยี AI ก็สามารถซิงค์การชาร์จกับตารางประจำวันของคุณและรับรู้เสียงของคนขับผ่านเทคโนโลยี Voice Recognition และปรับรถตามความต้องการได้

Lexus วางแผนที่จะเปิดตัวยานพาหนะไฟฟ้ารุ่นใหม่ (BEV) ในเดือนหน้า นอกจากนี้ยังทำงานกับปลั๊กอินไฮบริดและแพลตฟอร์ม BEV โดยเฉพาะ ภายในปี 2025 โดย Lexus จะปรับไปใช้รูปแบบของรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นในอนาคต

References : https://www.engadget.com/2019/10/23/lexus-electric-vehicle-lf-30-concept/ https://www.autocar.co.uk/sites/autocar.co.uk/files/styles/gallery_slide/public/images/car-reviews/first-drives/legacy/lexuslf30-6.jpg