โบลท์ (Bolt) เร่งสนับสนุนผู้ขับขี่ในเครือข่าย ให้ปฏิบัติตามกฎหมายรถรับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องและกรอบร่างกฎหมายของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ (ETDA)

โบลท์จัดกิจกรรม “Booster Week” อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่ในการขอใบอนุญาตขับขี่สาธารณะ และจดทะเบียนรถให้ถูกต้องตามกฎระเบียบ

ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเรียกรถชั้นนำระดับโลก เดินหน้ายกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมบริการเรียกรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน (Ride-Hailing) ในประเทศไทย ให้สอดคล้องกับกฎหมายรถรับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และกรอบร่างกฎหมายของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ซึ่งกำหนดให้ผู้ขับขี่ต้องดำเนินการขอใบอนุญาตขับขี่สาธารณะและจดทะเบียนรถให้เป็นรถรับจ้างสาธารณะ โดยแบ่งเป็นประเภท รย.17 สำหรับรถจักรยานยนต์ และ รย.18 สำหรับรถยนต์ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย

จากผลการสำรวจโดย Mordor Intelligence บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำระดับโลก พบว่าอุตสาหกรรมบริการเรียกรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชันในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 9.38% และมีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้ให้แก่ผู้ขับขี่และครอบครัว รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนในหลากหลายมิติ ทั้งด้านการขนส่ง การท่องเที่ยว และการค้าปลีก ซึ่งส่งผลเชิงบวกทั้งในเขตเมืองและพื้นที่ชนบท

อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนและกระบวนการจดทะเบียนภายใต้กรอบกฎหมายในปัจจุบันยังเป็นความท้าทายสำคัญของภาคอุตสาหกรรม Ride-Hailing และผู้ขับขี่จำนวนมาก เนื่องจากกระบวนการขอใบอนุญาตขับขี่สาธารณะและการจดทะเบียนรถในปัจจุบันมีความซับซ้อนและใช้ระยะเวลานาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเหล่าผู้ขับขี่ที่พึ่งพารายได้หลักจากอาชีพนี้ ถือเป็นกลุ่มที่ควรได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสมจากภาครัฐและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเรียกรถอย่างโบลท์

โบลท์เชื่อมั่นว่า หากภาคอุตสาหกรรมได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคดิจิทัล จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมความเป็นธรรมและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพให้แก่ประชาชน

ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างรายได้ที่มั่นคงและลดปัญหาหนี้เสียในระบบ ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับอุตสาหกรรมโดยรวม ส่งผลดีต่อผู้ใช้บริการในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ อันจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืน

โบลท์สนับสนุนผู้ขับขี่สู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้วยกิจกรรม Booster Week

โบลท์มุ่งมั่นให้การสนับสนุนผู้ขับขี่ในทุกด้านเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเปิดตัวโครงการ “Booster Week” โดยจัดให้ทีมงานลงพื้นที่พบปะผู้ขับขี่ทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ ตลอดทั้งเดือน

เพื่อให้การสนับสนุนในทุกขั้นตอนตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ทั้งการช่วยเหลือด้านการเตรียมเอกสาร การให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว (Onsite Support) การอำนวยความสะดวก ณ กรมการขนส่งทางบก (Facilitated Processing) ตลอดจนการแจกคู่มือและให้คำแนะนำการเตรียมตัวสอบใบอนุญาตขับขี่สาธารณะ (Exam Tutoring)

นอกจากนี้ โบลท์ได้จัดแคมเปญพิเศษเพื่อส่งเสริมให้ผู้ขับขี่ตระหนักถึงความสำคัญและมีส่วนร่วมในโครงการนี้ โดยมอบสิทธิประโยชน์พิเศษ ได้แก่ ส่วนลดค่าคอมมิชชัน 3% ประกันภัยจากพันธมิตรของโบลท์ และโบนัสจำนวน 1,000 บาท สำหรับผู้ขับขี่ที่อัปโหลดใบอนุญาตขับขี่สาธารณะสำเร็จภายในวันที่ 31 มกราคม 2568 พร้อมทั้งการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในกระบวนการจดทะเบียน และมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ เพื่อบรรเทาภาระของผู้ขับขี่

“กระบวนการขอใบขับขี่สาธารณะและการจดทะเบียนรถตามกฎหมายมีขั้นตอนที่ต้องใช้เวลานาน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ขับขี่หลายคน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานเต็มเวลา อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนจากโบลท์ผ่านโครงการ ‘Booster Week’ และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ช่วยให้ผมมีความมั่นใจและสามารถดำเนินการตามกฎหมายได้อย่างราบรื่น” ชัชชัย เนตรงาม หนึ่งในพันธมิตรผู้ขับขี่ของโบลท์กล่าว

วิสัยทัศน์ความร่วมมือเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

โบลท์ยืนยันที่จะเคียงข้างผู้ขับขี่ในทุกขั้นตอนเพื่อร่วมสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับอุตสาหกรรม Ride-Hailing ในประเทศไทย พร้อมเสนอให้ภาครัฐพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ผู้ขับขี่มีเวลาปรับตัวและสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้อย่างเหมาะสม

โบลท์เชื่อมั่นว่าการสนับสนุนจากภาครัฐและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบ จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วประเทศในระยะยาว

นายณัฐดนย์ สุขศิริฐานันท์ ผู้จัดการประจำโบลท์ประเทศไทย “ผู้ขับขี่คือหัวใจสำคัญของแพลตฟอร์มโบลท์ เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนพวกเขาให้สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายได้อย่างมั่นใจ ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้มั่นใจว่าทุกขั้นตอนจะเป็นไปตามกฎระเบียบที่กำหนด สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม Ride-Hailing สู่เติบโตอย่างยั่งยืน เรามุ่งเน้นการลงมือช่วยเหลือผู้ขับขี่ในทางปฏิบัติพร้อมผลักดันการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อสร้างโอกาสระยะยาวให้กับผู้ขับขี่ ยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของสังคมในภาพรวม”

โบลท์ยังคงตอกย้ำบทบาทความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม Ride-Hailing มุ่งมั่นสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้แก่ทุกภาคส่วนในฐานะผู้ประกอบการ พร้อมสนับสนุนมาตรการที่ครอบคลุมและปฏิบัติได้จริง เพื่อให้ทุกฝ่ายเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

มาสด้าประกาศสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน รูปทรงกระบอก ณ เมืองอิวาคุนิ จังหวัดยามากูชิ เพื่อประกอบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก

มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประกาศเดินหน้าเต็มกำลังต่อแผนงานการขยายการลงทุนเพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ สำหรับผลิตแบตเตอรี่ระดับโมดูล (Battery Module) และระดับแพ็ค (Battery Pack) ชนิดลิเธียม-ไอออน รูปทรงกระบอก เพื่อนำมาใช้สำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ณ เมืองอิวาคุนิ จังหวัดยามากูชิ ประเทศญี่ปุ่น

โดยความร่วมมือกันระหว่างมาสด้ากับพานาโซนิค เอเนอร์จี ซึ่งจะเป็นซัพพลายเออร์ในการผลิต และแบตเตอรี่ที่จะทำการผลิตขึ้นมาใหม่นี้จะถูกนำมาติดตั้งเข้าไปในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รุ่นแรกของมาสด้า ที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับรถ EV โดยเฉพาะ โดยจะทำการผลิตขึ้นในโรงงานผลิตรถยนต์ของมาสด้า ประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ คาดว่ากำลังการผลิตของโรงงานใหม่แห่งนี้จะอยู่ที่ 10 GWh ต่อปี 

ภายใต้แผนการดำเนินธุรกิจระยะกลาง 2030 มาสด้าได้เตรียมความพร้อมสำหรับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าตามกลยุทธ์ Multi-solution เพื่อนำเสนอเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายและข้อกำหนดใหม่ เพื่อมีส่วนสนับสนุนและช่วยแก้ไขปัญหาสังคมในการลดภาวะโลกร้อนในระยะยาว

โดยเฉพาะแบตเตอรี่ซึ่งถือเป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า มาสด้าได้มีการลงนามข้อตกลงร่วมกับพานาโซนิค เอเนอร์จี เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2566 เพื่อจัดหาแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน รูปทรงกระบอก สำหรับใช้ในการประกอบในรถยนต์

ต่อมาในเดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา แผนการขยายการผลิตแบตเตอรี่และการพัฒนาเทคโนโลยีผ่านกระบวนการความร่วมมือในครั้งนี้ ก็ได้รับการรับรองจากกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น (METI) กลายเป็น “แผนงานรับรองการจัดหาแบตเตอรี่”

จากแผนงานดังกล่าว จะส่งผลทำให้มาสด้าสามารถนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมแบตเตอรี่ที่มีลักษณะเฉพาะของมาสด้าให้กับลูกค้า โดยจะมาพร้อมกับการออกแบบที่เหนือระดับ ส่งมอบความสะดวกสบาย และการขับขี่ที่ให้ระยะทางไกลขึ้น นอกจากนั้น โรงงานใหม่แห่งนี้ ยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างการจ้างงานในระดับท้องถิ่น รวมถึงช่วยพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศอีกทางหนึ่งด้วย

มาสด้าจะยังคงเดินหน้ายกระดับ “ความสุขในการขับขี่” โดยยึดมั่นในคุณค่าของ “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” ไปจนถึงปี 2030 และมุ่งมั่นที่จะมอบ “ความสุขในการใช้ชีวิต” ด้วยการสร้างประสบการณ์การเดินทางที่น่าตื่นเต้นในชีวิตประจำวันให้กับลูกค้าทุกคน

ฟิลิปส์ นำเสนอนวัตกรรมด้านรังสีวินิจฉัยที่ขับเคลื่อนด้วย AI และระบบข้อมูลสารสนเทศบนคลาวด์ในงาน RSNA 2024

รอยัล ฟิลิปส์ (NYSE: PHG, AEX: PHIA) ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพระดับโลก เมื่อเร็วๆ นี้ได้เปิดตัวนวัตกรรมด้านรังสีวินิจฉัยใหม่ล่าสุดที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI เพื่อการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่แม่นยำ รวดเร็ว สะดวกง่ายดาย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในงาน Radiological Society of North America (RSNA) 2024 งานแสดงนวัตกรรมด้านรังสีวินิจฉัยระดับโลกที่จัดขึ้น ณ เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา 

นวัตกรรมใหม่นี้ของฟิลิปส์ นำเสนอเทคโนโลยีเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่รังสีแพทย์ต้องเผชิญ มาพร้อมการจัดการข้อมูลบนคลาวด์ การประมวลผลขั้นสูงและแบบอัตโนมัติ รวมถึงเทคโนโลยี AI ที่ทำงานร่วมกัน  เพื่อลดภาระงานด้านเอกสารให้กับบุคลากรทางการแพทย์ รวบรวมและแสดงผลข้อมูลเชิงลึกให้กับเจ้าหน้าที่ทางคลีนิก เพื่อช่วยส่งมอบการดูแลรักษาที่ดีกว่าให้กับผู้คนได้มากขึ้น

มร.เบิร์ท ฟาน เมอร์ส ประธานกลุ่มธุรกิจด้านการวินิจฉัยและการรักษา และผู้บริหารระดับสูง รอยัล ฟิลิปส์ กล่าวว่า “ปัจจุบันวงการเฮลท์แคร์กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านรังสีวิทยา ด้วยจำนวนผู้ป่วย การศึกษาด้านรังสีวินิจฉัย และข้อมูลดาต้าด้านรังสีวินิจฉัยที่เพิ่มขึ้น

ในขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลนส่งผลให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น ดังนั้น ฟิลิปส์ จึงพร้อมนำเสนอโซลูชั่นส์ด้านรังสีวินิจฉัยอันชาญฉลาดที่ทำงานร่วมกับระบบข้อมูลสารสนเทศระดับเวิลด์คลาส เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานของผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขในการเพิ่มประสิทธิภาพใน การทำงานและการให้บริการ ลดภาระงานด้านเอกสาร และช่วยให้แพทย์รังสีสามารถโฟกัสที่การดูแลและตัวผู้ป่วยได้มากขึ้น” 

จากผลสำรวจ Philips Future Health Index 2024 Report ชี้ให้เห็นว่า 99% ของผู้บริหารด้านรังสีวิทยาต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากร โดยกว่า 4 ใน 5 ยังมีปัญหาทางด้านการเงิน และ 45% มีภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout)

นอกจากนี้ รังสีแพทย์ยังพบว่ามีผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนของโรคเพิ่มขึ้นกว่า 40% [1] โดยเฉพาะทางด้านโรคหัวใจและสมอง ส่งผลให้ความต้องการตรวจด้านรังสีวินิจฉัยเพิ่มมากขึ้น และข้อมูลด้านรังสีวินิจฉัยเพิ่มขึ้น 60% [2] ในงาน RSNA ปีนี้ ฟิลิปส์ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนวัตกรรมและโซลูชั่นส์ของเรา ที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาความท้าทายเหล่านี้ ซึ่งจะช่วยยกระดับด้านรังสีวินิจฉัยสำหรับผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อด้านรังสีวินิจฉัยเข้ากับระบบข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศ

ผู้นำด้านนวัตกรรมเครื่อง MRI ที่ลดการใช้ฮีเลียม 

ฟิลิปส์เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่เปิดตัวเครื่อง MRI ที่ลดการใช้ฮีเลียมด้วยเครื่องที่มีขนาดกว้างพิเศษและประสิทธิภาพสูง มาพร้อมการเชื่อมต่อกับคลาวด์, เทคโนโลยี AI, การรายงานผลเชิงปริมาณแบบอัตโนมัติ สำหรับบางโรคโดยเฉพาะโรคทางระบบประสาทและสมอง และโรคมะเร็ง

นอกจากนี้ เทคโนโลยี AI ที่เข้ามาช่วยในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การวางแผน การถ่ายภาพ ไปจนถึงการรายงานผล ยังทำให้เครื่อง MRI  BlueSeal 1.5T รุ่นใหม่จากฟิลิปส์ นี้ มีประสิทธิภาพมากขึ้น สะดวกในการใช้งาน และสามารถเข้าถึงการวินิจฉัยที่แม่นยำได้ ในขณะเดียวกันยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

เทคโนโลยี BlueSeal  ในเครื่อง MRI ฟิลิปส์เข้ามาปฏิวัติวงการและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเครื่อง MRI โดยเป็นระบบขนาด 70 ซม. ที่เบาที่สุด [5] มีต้นทุนในการบำรุงรักษาที่น้อยลง ติดตั้งได้ง่ายดายขึ้น สามารถติดตั้งในพื้นที่จำกัดได้ จึงช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตามสถานที่ที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ 

พลิกโฉมนวัตกรรมด้านการวินิจฉัยและรักษาโรค

ในงาน RSNA ฟิลิปส์ได้เปิดตัวเครื่อง CT 5300 เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุดที่ขับเคลื่อนด้วย AI ครั้งแรก ซึ่งมาพร้อมด้วยซอฟต์แวร์ Precise Image AI-based เพื่อช่วยในทุกกระบวนการทำงานของครื่อง CT และยังช่วยลดปริมาณรังสีที่ใช้ และปรับปรุงคุณภาพของภาพที่ได้จากการสแกนอวัยวะที่ซับซ้อนอย่างหัวใจ

นอกจากนี้ ฟิลิปส์ยังได้อัพเดทโซลูชั่นส์ของเครื่อง Spectral CT 7500 ที่สามารถตรวจได้หลากหลายแขนงทางคลินิก ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคทางระบบประสาทและสมอง กล้ามเนื้อและกระดูก รวมถึงโรคในเด็ก จากการตรวจด้วยเทคโนโลยี Spectral กว่า 24 ล้านครั้ง

พบว่า Spectral CT 7500 มีความไวในการตรวจถึง 97% เมื่อเทียบกับ CT แบบเดิมที่ทำได้เพียง 55% [6] ความแม่นยำในการแยกซีสต์กับเนื้องอกสูงถึง 96% เมื่อเทียบกับการใช้ CT แบบเดิมที่ทำได้เพียง 30% [7] และช่วยลดการสแกนซ้ำได้ 26% [8]

นอกจากนี้ ภายในงานฯ ฟิลิปส์ยังได้แนะนำอัลตร้าซาวด์รุ่นใหม่ล่าสุด EPIQ  Elite และ Affiniti ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และระบบอัตโนมัติในการทำงาน เพื่อช่วยให้การตรวจรวดเร็วขึ้นและทำซ้ำได้ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการวินิจฉัยให้กับแพทย์มากยิ่งขึ้น ด้วยความสามารถในการตั้งค่าได้มากกว่า 100 รูปแบบสำหรับการใช้งานทางคลินิก

อัลตราซาวด์รุ่นล่าสุดของฟิลิปส์นี้ช่วยลดเวลาที่ใช้ในการตรวจและลดความผันแปรของผลลัพธ์ได้ ทำให้ลดเวลาที่ใช้ในการปรับภาพสำหรับการตรวจช่องท้องและการตรวจทางสูตินรีเวชลงได้กว่า 50%  [9] และยังมีการโชว์นวัตกรรมเครื่องตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือด Azurion 7 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยลดเวลาในการทำหัตถการได้ถึง 17% และลดเวลาในการเตรียมผู้ป่วยได้ถึง 12% ทำให้สามารถรักษาผู้ป่วยได้เพิ่มขึ้นต่อวัน [10]

ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทางการแพทย์รายใหญ่ที่สุด พร้อมขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ AWS 

ภายในงาน RSNA ฟิลิปส์ได้จัดแสดงเทคโนโลยีชั้นนำด้านข้อมูลสารสนเทศทางการแพทย์ (Healthcare Informatics) ทั้งในด้านการจัดการข้อมูล, การประมวลผลภาพตรวจขั้นสูง, ระบบอัตโนมัติ และเทคโนโลยี AI ที่เข้ามาช่วยลดภาระงานให้บุคลากรทางการแพทย์ พร้อมมอบข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้

ซึ่งฟิลิปส์ได้ขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Amazon Web Services (AWS) เพื่อให้บริการโซลูชันส์สารสนเทศด้านการตรวจวินิจฉัยบนระบบคลาวด์ ครอบคลุมทั้งด้านรังสีวิทยา พยาธิวิทยาดิจิทัล การตรวจรักษาโรคหัวใจ [11] และโซลูชันส์การประมวลผลขั้นสูงด้วย AI [11] ภายใต้ความร่วมมือนี้ ฟิลิปส์ตั้งเป้าในการพัฒนาแอปพลิเคชัน Generative AI ที่รองรับการทำงานในอนาคตโดยใช้โมเดลพื้นฐานที่ล้ำสมัยจาก Amazon Bedrock เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับกระบวนการทำงานทางคลินิกได้อย่างราบรื่น

# # # # # ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Philips at RSNA

References :

[1] 3 Key market trends source: The Burden of Chronic Disease (Karen Hacker); The healthcare data explosion (RBC Capital Markets); Radiologist burnout (Catalina imaging)

[2] 3 Key market trends source: The Burden of Chronic Disease (Karen Hacker); The healthcare data explosion (RBC Capital Markets); Radiologist burnout (Catalina imaging)

[3] Helium-free operations. 7 liters of helium is permanently enclosed in the cryogenic circuit.

[4] BlueSeal XE/SE and Smart Reading are not yet CE marked, not cleared in all countries, and not yet available for delivery in any country. Please consult your Philips contact person for further information. 

[5] Compared to conventional 1.5T zero boil off systems in the industry BlueSeal MR system weight (with cryogen) 2,300 kg (5,071 lbs). 

[6] Mellander, et al. (Skåne University Hospital, Lund, Sweden), Acta Radiology (2022) DOI: 10.1177/02841851221130612

[7] Andersen MB, Ebbesen D, Thygesen J, Kruis M, Rasmussen F. Impact of spectral body imaging in patients suspected for occult cancer: a prospective study of 503 patients. Eur Radiol. 2020 Oct;30(10):5539-5550. doi: 10.1007/s00330-020-06878-7

[8] Follow-up Recommendation Rates Associated With Spectral Detector Dual-Energy CT of the Abdomen and Pelvis: A Retrospective Comparison to Single-Energy CT. Atwi, Noah E. et al. J Am Coll Radiol. 2020;17:940-950

[9] D001833994, Marketing Claim Evidence for VM12.0 Workflow Efficiency Quick Launch Preset

[10] Results from study conducted at St. Antonius Hospital. Results verified by NAMSA, independent third-party expert on study design and analytics. Results are specific to the institution where they were obtained and may not reflect the results achievable at other institutions.

[11] Available on cloud in 2025.

[11] Available on cloud in 2025.

[12] Remote editing and protocol management are functionalities powered by the 510(k) cleared ROCC Console solution. ROCC Console is not to be used without a trained and qualified user at the scanner. 

2 บริษัทในเครือบุญรอดฯ คว้าเหรียญทอง รางวัลพัฒนาคุณภาพงานยอดเยี่ยม จาก ICQCC เวทีคุณภาพระดับนานาชาติ ประเทศศรีลังกา

บริษัท บุญรอดเอเซียเบเวอเรช จำกัด’ และ ‘บริษัท ขอนแก่น บริวเวอรี่ จำกัด’ สองโรงงานผลิตในเครือบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด คว้ารางวัลการพัฒนาคุณภาพงานยอดเยี่ยม ระดับ Gold Award ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดจากเวที ICQCC (International Convention on Quality Control Circles) ครั้งที่ 49 ประเทศศรีลังกา

ย้ำความมุ่งมั่นการยกระดับคุณภาพและพัฒนามาตรฐานกระบวนการทำงาน โดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของพนักงาน เพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุดและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ 

คุณปิติ ภิรมย์ภักดี รองกรรมการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัทในเครือ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า “บริษัทฯให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของพนักงานมาโดยตลอด เพราะเชื่อว่า การยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าหรือบริการ ตลอดจนขับเคลื่อนองค์กรให้ประสบความสำเร็จและเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกคนในทีม

โดยได้วางการมีส่วนร่วมของพนักงานเป็นหนึ่งใน Core Value และนโยบายหลักขององค์กรที่จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ 2 บริษัทในเครือฯ สามารถคว้ารางวัล Gold Award จากเวที ICQCC ครั้งที่ 49 ได้สำเร็จ

โดย บริษัท บุญรอดเอเซียเบเวอเรช จำกัด สามารถคว้ารางวัลดังกล่าวได้จากการนำเสนอผลงานเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องจักรผลิต ขณะที่บริษัท ขอนแก่น บริวเวอรี่ จำกัด ได้รางวัลจากผลงานการลดเปอร์เซ็นต์ของการสูญเสียน้ำเบียร์ในสายการบรรจุกระป๋อง”

ทั้งนี้ ICQCC เป็นเวทีการประชุมวิชาการคุณภาพระดับนานาชาติมุ่งเน้นในเรื่องการควบคุมคุณภาพ (Quality Control Circles-QCC) ด้วยการยึดหลักการมีส่วนร่วมของพนักงานในองค์กรเป็นสำคัญ

ภายในงานนอกจากจะเป็นการรวมตัวกันของทีมจากองค์กรชั้นนำต่างๆ ทั่วโลก เพื่อมาแบ่งปันความรู้  ถ่ายทอดประสบการณ์ ตลอดจนแนวทางปฏิบัติสำหรับปรับปรุงคุณภาพและกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดแล้ว ยังได้จัดงานมอบรางวัลให้กับองค์กรที่มีมาตรฐานการทำงานในระดับสูง

อีกทั้งมีความมุ่งมั่นในการยกมาตรฐานและพัฒนาคุณภาพการทำงานขององค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 49 ระหว่างวันที่ 11-14 พฤศจิกายน 2567 ณ ประเทศศรีลังกา มีทีมเข้าร่วมกว่า 450 ทีม จาก 14 ประเทศ 

สำหรับผู้จะเข้าร่วมเวที ICQCC ได้นั้น จะต้องเป็นตัวแทนของประเทศไทยที่ได้รับคัดเลือกจาก ‘งานมหกรรมคิวซีแห่งประเทศไทย’ จัดโดยสมาคมส่งเสริมคุณภาพแห่งประเทศไทย ผ่านการสนับสนุนของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม

ซึ่งในปีนี้ บริษัท บุญรอดเอเซียเบเวอเรช จำกัด และบริษัท ขอนแก่น บริวเวอรี่ จำกัด คือหนึ่งในตัวแทนประเทศไทยที่สามารถคว้า Gold Award รางวัลสูงสุดจากเวที ICQCC ครั้งที่ 49 ไปครองได้สำเร็จ   

ทั้งนี้ บริษัท บุญรอดเอเชียเบเวอเรซ จำกัด เป็นโรงงานสำคัญในการผลิตน้ำดื่มสิงห์และน้ำแร่คุณภาพ แบรนด์เพอร์ร่า ส่วนบริษัท ขอนแก่น บริวเวอรี่ จำกัด ถือเป็นหนึ่งในกำลังผลิตสำคัญของบริษัทบุญรอดฯ ในการผลิตสินค้าคุณภาพ ได้แก่ สิงห์ ลีโอ โซดาสิงห์ และน้ำดื่มสิงห์

แอสตร้าเซนเนก้ารับรางวัล Most Innovative Company จาก สภาหอการค้าอังกฤษแห่งประเทศไทย

แอสตร้าเซนเนก้า บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค เข้ารับรางวัล Most Innovative Company (รางวัลบริษัทยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรม) จาก สภาหอการค้าอังกฤษแห่งประเทศไทย หรือ British Chamber of Commerce Thailand (BCCT)

โดยรางวัลนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเป็นผู้นำนวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

แอสตร้าเซนเนก้ามุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยมายาวนานกว่า 40 ปี ผ่านโครงการต่าง ๆ มากมาย เช่น โครงการ Lung Ambition Alliance และ การพัฒนาเครื่องมือดิจิทัล “Chronic Kidney Disease (CKD) Risk Score”

ซึ่งได้นำ AI มาประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพที่ขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพในราคาที่เข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น โดยโครงการด้านนวัตกรรมดังกล่าว ได้มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการตรวจหาความเสี่ยงของโรคในระยะเริ่มต้น ตอกย้ำพันธกิจของบริษัทที่มุ่งมั่นในการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

โครงการด้านการพัฒนาสุขภาพต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้เข้ามาพลิกโฉมรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบดั้งเดิม ช่วยให้การตรวจหาโรคสามารถทำได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น รวมถึงการจัดทำแผนการรักษาที่ออกแบบให้เหมาะสมเฉพาะบุคคลได้มากขึ้น

โดยโครงการ Lung Ambition Alliance ที่ได้ริเริ่มร่วมกับ Qure.ai ในปี 2565 ได้มีการนำเครื่องมือ Chest AI มาใช้ เพื่อคัดกรองสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งปอด โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ด้วยจุดมุ่งหมายในการตรวจหามะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นให้แก่ประชาชนจำนวน 1 ล้านคนภายในปี 2569

โดยขณะนี้ได้ดำเนินการคัดกรองไปแล้วกว่า 302,682 คน และพบอัตราการตรวจพบมะเร็งปอดที่ 0.1% นอกจากนี้ เครื่องมือดิจิทัล CKD Risk Score ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคม 2567 ก็สามารถดำเนินการคัดกรองไปแล้วถึง 130,000 ครั้ง

โดยตั้งเป้าคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงโรคไตเรื้อรัง 1 ล้านคนภายในปี 2568 ทั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงการพัฒนานวัตกรรมหรือโซลูชันด้านสุขภาพที่มุ่งเน้นในการดูแลผู้ป่วยเป็นหลัก พร้อมปรับเปลี่ยนจากวิธีการดูแลรักษาแบบดั้งเดิมไปสู่แนวทางที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น

นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets เปิดเผยว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และ ขอขอบคุณทาง BCCT สำหรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของแอสตร้าเซนเนก้าในการนำความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้และต่อยอด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และเสริมสร้างระบบการดูแลสุขภาพที่ดีในประเทศไทย ขอขอบคุณทีมงานแอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย รวมถึงพันธมิตรที่แข็งแกร่งทุกคนสำหรับความทุ่มเทจนเกิดผลสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจในครั้งนี้เราจะยังคงมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นสำหรับทุกคนในอนาคตต่อไป”

แอสตร้าเซนเนก้ายังคงมุ่งมั่นที่จะต่อยอดองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ในการพัฒนายารักษาและโซลูชันที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อผู้ป่วย ระบบการดูแลสุขภาพ และสังคมโดยรวม

วิสัยทัศน์ของบริษัทในการริเริ่มประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สามารถต่อยอดการใช้งานได้จริง การสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีอย่างมีนัยยะสำคัญต่อสังคม ความสามารถในการขยายผลอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการสร้างผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งล้วนแล้วแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ จากการดูแลเชิงรักษาสู่การดูแลเชิงป้องกัน ตอกย้ำ
พันธกิจของบริษัท เพื่อการพัฒนาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์อย่างเต็มประสิทธิภาพ