Geek Monday EP220 : กลยุทธ์เกมยาวของ Instagram ที่สามารถเอาชนะ TikTok ได้สำเร็จ

ย้อนกลับไปในปี 2022 ผู้คนต่างก่นด่า สาปแช่ง Mark Zuckeberg ที่จะยอมสละจิตวิญญาณของแพลตฟอร์ม Instagram เพื่อต่อสู้กับ TikTok โดยการโคลนนิ่งฟีเจอร์รูปแบบวีดีโอสั้นอย่าง Reels และผลักดันมันแบบเต็มที่

นักวิจารณ์ถึงกับกล่าวว่า Instagram จะล่มสลายเพราะไปเลียนแบบ TikTok และนำเนื้อหาประเภทที่ผู้คนชื่นชอบมากที่สุดบนแพลตฟอร์มออกไป ได้แก่ รูปภาพจากเพื่อนและครอบครัว รวมถึงเนื้อหาตามความสนใจของพวกเขา แต่มาถึงวันนี้ทุกคนต่างคิดผิด เพราะ Instagram สามารถแซงหน้ายอดจำนวนดาวน์โหลดแอปใหม่ประจำปี 2023 เหนือ TikTok ได้สำเร็จ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/c5ph2hmp

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/ys7zz69e

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2hx25r3f

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/347x8bcm

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/tTfMl2aujeg

Amazon Echo จากฝันสู่ความเป็นจริงในการสร้างคอมพิวเตอร์ Star Trek ของ Jeff Bezos

เฉกเช่นเดียวกับโปรเจกต์อื่น ๆ อีกหลายโปรเจกต์ที่ Amazon ได้ทำการสร้างสรรค์ออกมา ต้นกำเนิดของโปรเจกต์ Doppler (ชื่อแรกของ Echo) ต้องย้อนกลับไปที่การพูดคุยระหว่าง Jeff Bezos และทีมที่ปรึกษาทางด้านเทคนิคของเขา

และชายที่ปรึกษาคนสำคัญของ Bezos ในช่วงระหว่างปี 2009 ถึง 2011 คือ Greg Hart ผู้บริหารของ Amazon ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีกช่วงแรก ๆ ของการก่อตั้งบริษัท

Hart ได้พูดคุยกับ Bezos เกี่ยวกับเทคโนโลยี speech recognition ในช่วงปลายปี 2010 ที่ Blue Moon Burgers ในซีแอตเทิล

Hart ได้โชว์ศักยภาพของเทคโนโลยีการค้นหาด้วยเสียงของ Google บนโทรศัพท์ Android ให้ Bezos ดู แต่ตัวของ Bezos ยังสงสัยในเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ว่ามันจะ work บนมือถือจริง ๆ หรือ

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นธุรกิจคลาวด์ของ Amazon กำลังเติบโตแบบฉุดไม่อยู่ Bezos เองก็พยายามสรรหาวิธีว่าจะทำอะไรเพื่อช่วยเหลือเทคโนโลยี AWS (บริการคลาวด์ของ Amazon) ได้บ้าง

ด้วยแรงบันดาลใจในการสนทนากับ Hart และคนอื่น ๆ เกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยี speech recognition ตัว Bezos เองก็เริ่มปิ๊งไอเดียโดยได้ส่งอีเมลไปยังทีมผู้บริหารระดับสูงของบริษัทในหัวข้อที่ว่า

“เราควรสร้างอุปกรณ์ราคา 20 เหรียญสหรัฐที่มีสมองอยู่ในนั้น ระบบคลาวด์ที่ถูกควบคุมด้วยเสียงมันจะ perfect มาก!!!”

Bezos และเหล่าพนักงานหัวกะทิของเขาถกเถียงเรื่องนี้กันอย่างเมามันใน mailing list ยิ่งคุยกันไอเดียมันก็เริ่มพรั่งพรู ถึงขั้นที่ว่า Bezos ต้องจดไอเดียของตัวเขาเองไว้บนไวท์บอร์ด

เกณฑ์ปรกติที่ Bezos มักจะใช้ในการประเมินโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ประกอบด้วย : มันจะเติบโตกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้หรือไม่? , ถ้าเราไม่รีบชิงโอกาสทำซะตอนนี้จะพลาดไหม?

ในที่สุด Bezos และ Hart ก็ขีดฆ่ารายการทั้งหมด ยกเว้นเพียงสิ่งเดียวตามแนวคิดของ Bezos นั่นก็คือ “คอมพิวเตอร์คลาวด์ที่สั่งงานด้วยเสียง”

และก่อนที่พวกเขาจะแยกย้าย Bezos ได้แสดงแนวคิดของเขาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เสียงแบบไร้หน้าจอบนไวท์บอร์ด

มันฉายภาพให้เห็นอุปกรณ์ Alexa เป็นครั้งแรก ประกอบด้วยลำโพง ไมโครโฟน และปุ่มปิดเสียง โดย Hart ได้ถ่ายรูปวาดของต้นแบบด้วยโทรศัพท์ของเขา

และตัว Hart เองก็ได้กลายมาเป็นผู้ดูแลทีมหลัก ซึ่งทีมลับใหม่นี้จะอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนจากสำนักงานของ Bezos ในอาคาร Fiona

Greg Hart ผู้ที่ต้องมาสานฝันของ Bezos ให้สำเร็จ (CR:The Wrap)
Greg Hart ผู้ที่ต้องมาสานฝันของ Bezos ให้สำเร็จ (CR:The Wrap)

ในไม่กี่เดือน Hart ได้จ้างกลุ่มคนเล็ก ๆ จากในและนอกบริษัท โดยส่งอีเมลไปยังผู้สนใจโดยมีหัวข้อที่มีความลึกลับว่า “มาเข้าร่วมภารกิจลับกับฉันไหม?”

ส่วนคำถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์ เช่น “คุณจะออกแบบ Kindle สำหรับคนตาบอดอย่างไร” Hart เรียกได้ว่าหมกมุ่นอยู่กับความลับไม่ต่างจาก Boss ของเขา

ผู้มาสัมภาษณ์คนหนึ่งเล่าถึงการเดาของเขาว่าโปรเจกต์ลับนี้คงจะเป็นสมาร์ทโฟนที่มีข่าวลืออย่างหนาหูภาายใน Amazon แต่ Hart ได้ตอบกลับมาว่า “มีอีกทีมหนึ่งที่สร้างโทรศัพท์อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เราจะทำมันน่าจะสนใจกว่ามาก”

ทีมงาน Alexa รุ่นแรก ๆ ทำงานด้วยความเร่งรีบเนื่องจากเจ้านายของเขาอย่าง Bezos นั้นมีความอดทนต่ำมาก ๆ โดยต้องการที่จะเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ตัวนี้ภายใน 6-12 เดือน

ข่าวร้ายสำหรับทีมงานครั้งแรกปรากฎขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2011 เมื่อ Apple ได้เปิดตัวผู้ช่วยเสมือนจริงอย่าง Siri ใน iPhone 4S ซึ่งถือได้ว่าเป็นโปรเจกต์สุดท้ายที่ Steve Jobs เข้ามาคลุกคลีก่อนที่จะเสียชีวิต

Apple ได้เปิดตัวผู้ช่วยเสมือนจริงอย่าง Siri ใน iPhone 4S (CR:AnandTech)
Apple ได้เปิดตัวผู้ช่วยเสมือนจริงอย่าง Siri ใน iPhone 4S (CR:AnandTech)

และเพื่อเร่งการพัฒนาสู่สปีดขั้นสุดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของ Bezos ทาง Hart และทีมงานของเขาเริ่มมองหาสตาร์ทอัพที่จะเข้าซื้อกิจการ

โดยบริษัทแรกที่ Amazon เข้าซื้อคือ Yap ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพขนาดเล็กมีพนักงานประมาณ 20 คนในเมืองชาร์ลอตต์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา ที่สร้างเทคโนโลยีในการแปลคำพูดของมนุษย์ เช่น เปลี่ยนเสียงพูดเป็นข้อความโดยอัตโนมัติ

หลังจากการซื้อกิจการสิ้นสุดลงด้วยมูลค่าประมาณ 25 ล้านดอลลาร์ Amazon ก็ไล่ผู้ก่อตั้งบริษัทออก แต่ยังคงกลุ่มทีมงานหัวกะทิไว้ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ และสร้างสำนักงาน R&D แห่งใหม่ขึ้นใน Kendall Square ใกล้กับมหาวิทยาลัย MIT

และเพียงไม่กี่เดือนหลังจากการซื้อ Yap สำเร็จ Hart และเพื่อนร่วมงานของเขาก็สามารถแก้ไขปริศนา Doppler ได้อีกอย่างหนึ่ง โดยมันเป็นสิ่งตรงข้ามกับเทคโนโลยีของ Yap ซึ่งจะแปลงคำพูดเป็นข้อความ

Ivona สตาร์ทอัพสัญชาติโปแลนด์ทำการสร้างคำพูดที่สังเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์ซึ่งมีลักษณะคล้ายเสียงของมนุษย์

Ivona ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 โดย Lukasz Osowski นักศึกษาสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ Gdan´sk University of Technology โดย Osowski มีแนวคิดที่เรียกว่า ““text to speech” หรือ TTS ซึ่งสามารถอ่านออกเสียงข้อความดิจิทัลด้วยเสียงที่เป็นธรรมชาติ

Osowski รู้ว่าเทคโนโลยีของเขาทรงพลังมากเพียงใด เขาได้จ่ายเงินให้กับนักแสดงชื่อดังชาวโปแลนด์ชื่อ Jacek Labijak เพื่อนำเอาเสียงพูดมาเป็นฐานข้อมูลเสียงสำหรับซอฟต์แวร์ของเขา

ผลลัพธ์ที่ได้คือผลิตภัณฑ์แรกของพวกเขาอย่าง Spiker ซึ่งกลายเป็นเสียงคอมพิวเตอร์ที่มียอดขายสูงที่สุดในโปแลนด์อย่างรวดเร็ว และมีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในรถไฟใต้ดิน ลิฟต์ หรือที่อื่นๆ อีกมากมาย

การซื้อกิจการครั้งนี้ Amazon ได้จ่ายเงินไปกว่า 30 ล้านดอลลาร์ และดีลเสร็จสิ้นในปี 2012 แต่ถูกเก็บไว้เป็นความลับราวๆ หนึ่งปี โดย Amazon ได้สร้างศูนย์ R&D แห่งใหม่ที่ Gdan´sk ซึ่งได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการสร้างเสียงของ Doppler

ในขณะที่ทีม Doppler จ้างวิศวกรและเข้าซื้อสตาร์ทอัพหลายแห่ง ก็มีการถกเถียงกันอย่างถึงพริกถึงขิงในสำนักงานของ Amazon ที่ซีแอตเทิลว่าอุปกรณ์ดังกล่าวควรจะไปในทิศทางใด

Hart มองว่าการนำมาเล่นเพลงน่าจะเป็นคุณสมบัติที่เข้าท่า มีตลาดใหญ่รองรับ และสามารถทำการตลาดได้ง่าย

แต่ Bezos นั้นมีความคิดที่ทะเยอทะยานกว่านั้น โดยเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับ “คอมพิวเตอร์ Star Trek” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถจัดการกับคำถามใด ๆ และทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวได้

ด้วยความหลงใหลในนิยายวิทยาศาสตร์ Bezos บังคับให้ทีมของเขาคิดให้ใหญ่ขึ้นและผลักดันขอบเขตของเทคโนโลยีที่มีอยู่ กลับกัน Hart ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่จะต้องผลักดันวิสัยทัศน์ดังกล่าวให้กลายเป็นความจริง เขาต้องการแค่ฟีเจอร์พื้นฐานที่เชื่อว่าจะทำได้ เช่น การรายงานสภาพอากาศ การตั้งเวลาและการเตือน เป็นต้น

สิ่งที่ถกเถียงกันอีกเรื่องนึงก็คือการปลุกให้อุปกรณ์นี้มันเริ่มทำงานจะเรียกมันว่าอะไร? ทางฝั่ง Bezos ต้องการคำที่ไพเราะ มีการแนะนำคำเรียกต่าง ๆ เช่น “Finch” ชื่อนวนิยายนักสืบแฟนตาซีโดย Jeff VanderMeer , “Friday” ตามชื่อผู้ช่วยส่วนตัวในนวนิยายของโรบินสัน ครูโซ และ “Samantha” แม่มดที่สามารถกระพริบตาและทำภารกิจใด ๆ ในรายการทีวีชื่อดังอย่าง Bewitched หรือแม้กระทั่งยังเสนอชื่อเรียกง่าย ๆ ว่า “Amazon” ไปซะเลย

ผู้นำทีม Doppler ถกเถียงกันอย่างหนักว่าจะเอาชื่ออะไรกันแน่ แต่มีคำแนะนำหนึ่งจาก Bezos ที่ทุกคนต่างสนใจ “Alexa” ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพต่อห้องสมุดโบราณแห่งอเล็กซานเดรีย ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงแห่งความรู้

หลังจากมีการถกเถียงและทดสอบในห้องปฏิบัติการชื่ออย่าง “Alexa” และ “Amazon” ดูเหมือนจะเข้าท่าที่สุด ซึ่งกลายมาเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ

อุปกรณ์เริ่มถูกทดลองแบบจำกัดเฉพาะในบ้านของพนักงาน Amazon ในช่วงต้นปี 2013 ซึ่งอุปกรณ์รุ่นนี้ เหล่าพนักงานมองว่ามันไม่ฉลาดเอาซะเลย โดยรวมแล้วถือว่าช้าและแทบจะเป็นใบ้

แม้กระทั่งการทดลองด้วยตนเองโดย Bezos ที่นำอุปกรณ์มาติดตั้งที่บ้านในซีแอตเทิลของเขา ด้วยความหงุดหงิดและไม่ค่อยเข้าใจฟังก์ชันการทำงานของมัน เขาถึงกับบอกให้ Alexa ไปยิงหัวตัวเองซะ

มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ Bezos ฝันหวานไว้นั้น ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายที่จะสร้างมันขึ้นมา และ Alexa ต้องได้รับการปลูกถ่ายสมองครั้งใหญ่เพื่อให้มันฉลาดขึ้น

และมันนำไปสู่การซื้อกิจการครั้งที่สาม ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ในเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ชื่อ Evi โดยผู้ประกอบการชาวอังกฤษ William Tunstall-Pedoe ซึ่งดีลนี้ Amazon ทุ่มเงินไปกว่า 26 ล้านดอลลาร์

ในปี 2012 Tunstall-Pedoe ได้รับแรงบันดาลใจจากการเปิดตัวของ Siri โดยเริ่มเปิดตัวแอป Evi บน App Store และ Play Store ผู้ใช้สามารถถามคำถามโดยการพิมพ์หรือพูด โดย Evi จะทำการประเมินคำถามและพยายามเสนอคำตอบแบบ Realtime ซึ่งคล้ายๆ กับสิ่งที่เราเห็นใน ChatGPT ณ ปัจจุบันนั่นเอง

การบูรณาการเทคโนโลยีของ Evi ช่วยให้ Alexa ตอบคำถามที่เป็นข้อเท็จจริง เช่น การร้องขอให้ตั้งชื่อดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ โดยพื้นฐานทางเทคโนโลยีของ Evi จะใช้เทคนิคที่เรียกว่า Knowledge Graph ซึ่งจะเชื่อมโยงแนวคิดและหมวดหมู่ในโดเมนที่เกี่ยวข้อง

แต่ดูเหมือนว่าเทคนิคการใช้ Knowledge Graph ของ Evi นั้นจะไม่ทำให้ Alexa มีสติปัญญาแบบล้ำเลิศอย่างแท้จริงที่จะสนองความฝันของ Bezos ที่ต้องการผู้ช่วยอเนกประสงค์ที่สามารถพูดคุยกับผู้ใช้และตอบคำถามใด ๆ ก็ได้

อีกหนึ่งเทคนิคที่กำลังกลายเป็นที่ฮือฮาในยุคนั้นก็คือ Deep Learning ที่เป็นเทคโนโลยีหลักของ ChatGPT อย่างที่เราใช้กันในทุกวันนี้นั่นเอง

Deep Learning จะได้รับข้อมูลจำนวนมหาศาลเกี่ยวกับวิธีการสนทนาของผู้คนและคำตอบใดที่น่าพึงพอใจ จากนั้นจึงตั้งโปรแกรมฝึกตนเองเพื่อคาดเดาคำตอบที่ดีที่สุด และผู้ที่ผลักดันแนวคิดนี้ก็คือ Rohit Prasad ที่เป็นบุคลากรภายใน Amazon

ในขณะที่ทีม Doppler พยายามปรับปรุงความสามารถของ Alexa อยู่นั้น Bill Barton ซึ่งเป็นผู้บริหารสำนักงานในบอสตันของ Amazon ได้แนะนำ Prasad ให้กับ Greg Hart ได้รู้จัก

Prasad เป็นพนักงานคนสำคัญที่สนับสนุนให้ Alexa ใช้เทคโนโลยี Deep Learning เพราะมองว่า Knowledge Graph ของ Evi จะให้คำตอบที่กว้างจนเกินไป ด้วยการใช้การฝึกอบรมข้อมูลผ่านเทคโนโลยี Deep Learning ระบบสามารถตอบคำถามได้รวดเร็วกว่ามาก

Rohit Prasad ผู้มาผลักดันเทคโนโลยี Deep Learning แบบเต็มตัว (CR:GeekWire)
Rohit Prasad ผู้มาผลักดันเทคโนโลยี Deep Learning แบบเต็มตัว (CR:GeekWire)

แม้ว่าแนวทางในการใช้เทคโนโลยี Deep Learning จะได้ผล แต่ Prasad ไม่ต้องการเปิดตัวระบบที่ไม่ฉลาดจริง เพราะลูกค้าจะไม่ใช้มัน ข้อมูลที่มีอยู่ใน Amazon มันยังไม่เพียงพอ เขาต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อฝึกอบรมระบบให้ชาญฉลาดยิ่งขึ้น

Bezos สั่งลุยทันทีโดยให้ Amazon ทำสัญญากับบริษัทรวบรวมข้อมูลของออสเตรเลียที่มีชื่อว่า Appen โดยทำงานร่วมกับทีม Alexa ทำการเช่าบ้านและอพาร์ตเมนต์ โดยเริ่มจากในเมืองบอสตันเป็นอันดับแรก

จากนั้น Amazon ก็ได้วางอุปกรณ์ เช่น ไมโครโฟนแบบตั้งพื้น เครื่องเกม Xbox โทรทัศน์ และแท็บเล็ต โดยทำการสอดแนมด้วยอุปกรณ์ของ Alexa ประมาณ 20 ชิ้นที่ติดตั้งอยู่รอบ ๆ ห้องที่มีความสูงแตกต่างกัน โดยแต่ละชิ้นหุ้มด้วยผ้ากันเสียงเพื่อซ่อนอุปกรณ์เหล่านั้นจากการมองเห็น แต่ปล่อยให้เสียงลอดผ่านได้

จากนั้น Appen ก็ได้ทำการเซ็นสัญญากับบริษัท outsource ว่าจ้างคนงานให้มาอยู่ในห้องดังกล่าว แปดชั่วโมงต่อวัน หกวันต่อสัปดาห์ อ่านสคริปต์จาก iPad ที่มีประโยคและคำถามปลายเปิด เช่น “ขอให้เล่นเพลงโปรดของคุณ” หรือ “ถามอะไรก็ได้ที่คุณอยากให้ผู้ช่วยทำ”

ลำโพงจะถูกปิด ดังนั้น Alexa จึงไม่ได้ยินเสียงใด ๆ แต่ไมโครโฟนทั้งเจ็ดตัวในแต่ละอุปกรณ์จะจับทุกอย่างและสตรีมเสียงไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Amazon

เหล่ากองทัพคนงาน outsource จะมีการใส่คำอธิบายประกอบการถอดเสียง โดยจัดประเภทคำถามที่อาจทำให้เครื่องสะดุด เช่น “เปิด Hunger Games” ซึ่งเป็นการร้องขอให้เล่นภาพยนตร์ของ Jennifer Lawrence เพื่อที่ครั้งต่อไป Alexa จะได้เรียนรู้

ต้องบอกว่าการทดสอบครั้งใหญ่ในบอสตันเหมือนจะเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ดังนั้น Amazon จึงขยายโครงการโดยเช่าบ้านและอพาร์ตเมนต์เพิ่มเติมในซีแอตเทิลและเมืองอื่น ๆ อีก 10 เมืองในช่วงหกเดือนเพื่อบันทึกเสียงและรูปแบบคำพูดของอาสาสมัครที่ได้รับค่าจ้างอีกหลายพันคน

มันทำให้ทีมงาน Amazon ได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับข้อมูลของการวางตำแหน่งอุปกรณ์ สภาพแวดล้อมของเสียง เสียงพื้นหลัง สำเนียงที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค และวิธีที่มนุษย์อาจะใช้วลีคำของ่าย ๆ เพื่อฟังสภาพอากาส เป็นต้น หรือให้เล่นเพลงฮิตของ Justin Timberlake

ภายในปี 2014 บริษัทได้เพิ่มการจัดเก็บข้อมูลคำพูดสูงขึ้นหมื่นเท่า และสามารถปิดช่องว่างทางด้านข้อมูลเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Apple และ Google ได้สำเร็จ

แต่เมื่อ Alexa มันใกล้จะเสร็จสมบูรณ์เต็มทีแล้ว ทีมงานยังไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้ว่าอย่างไร มันเป็นเวลาเกือบสี่ปีที่ทีมงานต่างถกเถียงกันในเรื่องชื่อที่แท้จริงของอุปกรณ์ตัวนี้

ทีมงานต่างถกเถียงกันไม่รู้จบว่าควรจะมีหนึ่งหรือสองชื่อสำหรับผู้ช่วยเสมือน (Alexa) และชื่อของอุปกรณ์ที่เป็นฮาร์ดแวร์

แต่ไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนที่จะเปิดตัว Bezos ได้ตัดสินใจเลือกที่จะนำเอาฟีเจอร์ของ Alexa นั่นก็คือ Echo ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ผู้ใช้งานสามารถขอให้ Alexa พูดคำหรือวลีซ้ำออกมาได้ (หลังจากนั้นคำสั่งนี้ถูกเปลี่ยนเป็น “Simon Says”)

การเปิดตัว Amazon Echo เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2014 เกิดขึ้นหลังจากความล้มเหลวของ Fire Phone เพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้า ไม่มีการแถลงข่าวหรือการกล่าวสุนทรพจน์โดย Bezos แต่อย่างใด

ในทางกลับกัน Bezos ดูจะสบายใจกว่าด้วยแนวทางใหม่ที่เรียบง่าย : ทีมงานได้ประกาศเรื่องอุปกรณ์ Echo พร้อมข่าวประชาสัมพันธ์และวีดีโออธิบายความยาวสองนาทีบน Youtube ที่มีครอบครัวหนึ่งพูดคุยกับ Alexa อย่างร่าเริงเพียงเท่านั้น

เหล่าผู้บริหาร Amazon เองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจอุปกรณ์ตัวนี้เท่าไหร่นัก พยายามที่จะบอกกับกลุ่มลูกค้าว่ามีหลายๆ โดเมนที่พวกเขามั่นใจว่ามีประโยชน์ เช่น การส่งข่าวสารและสภาพอากาศ การตั้งเวลา การซื้อของ และการเล่นเพลง

หลังจากสี่ปีของการพัฒนาอย่างยากลำบาก เหล่าทีมงาน Doppler หลายคนเริ่มวิตกกังวลว่า Amazon Echo จะเจริญรอยตามความล้มเหลวของ Fire Phone เพราะพวกเขายังแทบไม่มั่นใจในผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ

แต่สิ่งที่เหลือเชื่อคือ ไม่กี่สัปดาห์ถัดมา ลูกค้าจำนวนหนึ่งแสนเก้าพันรายได้ลงทะเบียนเพื่อรอรับ Echo แถมยังได้รับการวิจารณ์เชิงบวกจากสื่อต่างๆ โดยบางสื่อถึงกับเล่นข่าวว่า “นี่คืออุปกรณ์ที่ล้ำสมัยที่สุดที่ Amazon ผลิตในรอบหลายปี”

Amazon Echo รุ่นแรกที่ประสบความสำเร็จแทบจะทันทีที่วางจำหน่าย (CR:Life Mobile)
Amazon Echo รุ่นแรกที่ประสบความสำเร็จแทบจะทันทีที่วางจำหน่าย (CR:Life Mobile)

เรียกได้ว่าสัญชาตญาณของ Bezos นั้นถูกต้อง มันเป็นอุปกรณ์มหัศจรรย์ตามความฝันของ Bezos ที่เข้ามาอยู่ในบ้านของชาวอเมริกันหลายล้านคน ลำโพงที่สามารถตอบสนองได้ดั่งมีเวทย์มนต์โดยที่ผู้คนแทบจะไม่ต้องแตะหน้าจอสมาร์ทโฟน

ณ สิ้นปี 2016 Amazon Echo ถูกจำหน่ายไปกว่าแปดล้านเครื่อง ผลักดันให้ Amazon บริษัทลำโพงที่มียอดขายสูงที่สุดในโลก และขึ้นมาสู่แนวหน้าของการเป็นบริษัทด้าน AI ชั้นนำของโลก

ต้องบอกว่าวิสัยทัศน์พร้อมกับความกล้า บ้าบิ่นของ Bezos เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุปกรณ์ตัวใหม่อย่าง Echo ประสบความสำเร็จ แน่นอนว่าการเข้ามาคลุกคลีแบบถึงลูกถึงคนของ Bezos นั้นอาจจะทำให้ทีมงานแทบไม่ได้หลับนอน แต่สุดท้ายมันก็ให้ผลลัพธ์ที่ประเมินค่าไม่ได้อย่างที่ Echo ได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามาปฏิวัติวงการได้สำเร็จนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Amazon Unbound: Jeff Bezos and the Invention of a Global Empire โดย Brad Stone
https://en.wikipedia.org/wiki/Amazon_Echo
https://www.businessinsider.com/the-inside-story-of-how-amazon-created-echo-2016-4
https://www.wired.com/story/how-amazon-made-alexa-smarter/

iTunes Phone เมื่อการร่วมสร้างมือถือเครื่องแรกของ Steve Jobs ไม่ใช่ iPhone

หนึ่งในลางร้ายที่เกิดขึ้นบนเวทีการเปิดตัวมือถือรุ่นแรกที่ Apple ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการผลิต คือ การที่ สตีฟ จ็อบส์ ซีอีโอของ Apple สะดุดล้มในการสาธิตบนเวทีเกี่ยวกับหนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของ ROKR นั่นก็คือ การสวิตช์เปลี่ยนจากเครื่องเล่น MP3 ไปเป็นโทรศัพท์

มันไม่เหมือนกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ Apple เคยทำมาที่ทุกอย่างต้องพร้อมเสมอ แต่ครั้งนี้หลังจากทดลองรับสายจากเพื่อนร่วมงาน จ็อบส์ก็ได้พยายามที่จะสวิตช์กลับมาในโหมดการเล่น MP3 แต่ดูเหมือนว่า มันจะไม่ทำงาน และจ็อบส์ดูงุนงงบนเวที และกล่าวว่า “ฉันควรที่จะสามารถเปิดเพลงต่อไปได้นะ…” จากนั้นจ็อบส์กล่าว่า “อุ๊ย! ฉันกดปุ่มผิด”

แน่นอนว่ามันดูเหมือนจะไม่ใช่ความผิดพลาดของมือถือ ROKR แต่เนื่องจากการนำเสนอของจ็อบส์มักจะทำได้อย่างไร้ที่ติ สิ่งที่เกิดขึ้นมันคงไม่ใช่ลางดีอย่างแน่นอน

แม้ว่าทาง Apple จะสร้าง iPod ให้กลายเป็นสินค้ายอดฮิตยอดขายถล่มทลาย กลายเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วโลก แต่ในปี 2004 หากพูดถึงบริษัทอย่าง Apple กับธุรกิจโทรศัพท์มือถือนั้น คงไม่มีใครคาดคิดว่า Apple บริษัทที่เริ่มต้นด้วยการขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้นจะพลิกตัวเองมาลุยในตลาดมือถืออย่างแน่นอน

สิ่งแรกคือเรื่องของ Knowhow ต่าง ๆ ในเรื่องมือถือนั้นต้องเรียกได้ว่า Apple แทบจะไม่เคยย่างกรายเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้เลยด้วยซ้ำ และการครองตลาดอย่างเบ็ดเสร็จของ Nokia ที่มีทีมงานที่พร้อมทุกอย่างทั้งเรื่อง Hardware , Software รวมถึง Knowledge ด้านโทรคมนาคมคงเป็นเรื่องยากที่ใครจะสามารถล้ม Nokia ลงได้ในขณะนั้น

แนวคิดแรกของ Apple กับมือถือนั้น เป็นเพียงการร่วมเป็น Partner กับ Motorola ในการผลิตมือถือเพื่อนำ iTunes เข้าไปลงเป็นส่วนของ Software จัดการเพลงเพียงเท่านั้น

ตลาดโทรศัพท์มือถือนั้นเป็นตลาดที่ใหญ่โตมหาศาลเมื่อเทียบกับตลาดเครื่องเล่นเพลงแบบดิจิทัลที่ iPod สามารถเอาชนะได้สำเร็จ เรียกได้ตลาดเครื่องเล่นพลงดิจิทัลเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของตลาดขนาดใหญ่มหึมาที่ Apple ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

และการได้ร่วมมือกับ Motorola เป็นอีกหนึ่งในวิธีในการต่อต้านภัยคุกคามที่มีต่อ iPod โดยตรง ซึ่งครองตลาดเครื่องเล่นเพลงในสหรัฐฯ อยู่แล้ว ในช่วงเวลานั้นผู้บริโภคทั่วโลกคาดว่าจะซื้อเครื่องเล่น MP3 75 ล้านเครื่อง แต่พวกเขาจะซื้อโทรศัพท์มือถือในจำนวนที่สูงถึงกว่า 10 เท่า

แน่นอนว่าหากเครื่องเล่นเพลงกลายเป็นมาตรฐานในโทรศัพท์มือถือ iPod ก็อาจจะประสบปัญหาได้ การพันธมิตรกับ Motorola ทำให้ Apple มีช่องทางในการเข้าสู่ตลาดและแถมยังเป็นการปกป้อง iPod ไปในตัว

ทั้ง Apple และ Motorola จึงได้ร่วมกันพัฒนา ROKR มือถือรุ่นใหม่ของ Motorola และยังได้ร่วมมือกับ  Cingular ซึ่ง ณ ขณะนั้นเป็นค่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดของอเมริกา และหวังจะลองชิมลางเพื่อเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่โตมหาศาลอย่างตลาดโทรศัพท์มือถือ

iPod Suffle บนโทรศัพท์ของคุณ

ในเดือนกันยายนปี 2005 ทั้งโลกได้ยลโฉมมือถือเครื่องแรกที่มี iTunes ของ Apple ซึ่งทำให้ผู้ใช้มีอินเทอร์เฟซการใช้งานแบบเดียวกับ iPod

ทั้งสองบริษัทต่างตั้งความหวังไว้กับมือถือรุ่นนี้สูงมาก ๆ เพราะมองว่ามันจะเป็นการมอบประสบการณ์ iTunes บนโทรศัพท์ช่วยให้เจ้าของสามารถโหลดคลังเพลงใน iTunes ของตนหรือแม้กระทั่ง Audio book และ podcast ลงบนมือถือเครื่องนี้ได้

ซึ่งตามคำพูดของจ็อบส์ระหว่างการเปิดตัว Motorola ROKR “มันคือ iPod Suffle บนโทรศัพท์ของคุณ”

มือถือที่หวังว่าจะเป็น iPod Suffle บนโทรศัพท์ (CR:GSMArena)
มือถือที่หวังว่าจะเป็น iPod Suffle บนโทรศัพท์ (CR:GSMArena)

แต่กระบวนการสร้าง มือถือ ROKR นั้น เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย ด้วยการที่ต้องมีการร่วมมือกันของหลาย ๆ บริษัทที่เกี่ยวข้อง ระบบบริหารที่ล้าหลังของ Motorola ก็เป็นหนึ่งในอุปสรรคที่สำคัญในการกีดขวางกระบวนการออกแบบ

ความทะเยอทะยานของทั้งสองบริษัทที่ดูเหมือนจะสอดคล้องกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วแนวคิดของพวกเขาทั้งคู่มีความขัดแย้งกันตั้งแต่แรกเพราะ Motorola ใฝ่ฝันที่จะนำ iPod ไปสู่กลุ่มผู้ซื้อโทรศัพท์มือถือ ในขณะที่ Apple พยายามปกป้อง iPod ผลิตภัณฑ์แสนรักแสนหวงของพวกเขาในตอนนั้น

เมื่อร่วมงานจริง ๆ ทีมงานจากทั้งสองบริษัทก็ต้องพบกับฝันร้ายอย่างรวดเร็ว ทาง Motorola พบว่าการทำงานร่วมกับ Apple ไม่ใช่เรื่องง่ายต้องยอมประนีประนอมในหลายๆ อย่าง

ตัวอย่างเช่นเรื่องซอฟต์แวร์ในการจัดการลิขสิทธิ์ของทางฝั่ง Apple ที่เรียกว่า FairPlay ที่มันเป็นเหมือนปราการป้องกันไม่ให้มือถือ ROKR เล่นเพลงจากร้านค้าออนไลน์รายใหญ่อื่น ๆ ได้นอกจาก iTunes ซึ่งทำเพื่อเป็นการปกป้อง iPod นั่นเอง

สุดท้ายเมื่อเปิดตัวออกมา ROKR เป็นเพียงแค่โทรศัพท์ดาด ๆ ในปี 2005 ที่มีจอแสดงผลขนาดเล็กเพียง 1.9 นิ้วที่วางอยู่เหนือแผงปุ่มกดตัวอักษรและตัวเลข และมีกล้อง VGA ที่ด้านหลัง คุณสมบัติอื่น ๆ ได้แก่ ลำโพงสเตอริโอคู่ หูฟังสเตอริโอ ปุ่มเพลงเฉพาะที่ใช้เปิด iTunes ไฟด้านข้างแบบดิสโก้

นอกจากนี้ดูเหมือนว่า ROKR ไม่ได้เป็นโทรศัพท์รุ่นใหม่เลยซะทีเดียว แต่มันเป็นการเปลี่ยนโฉมจากรุ่น Motorola E398 ในปี 2004 เพียงเท่านั้น

และที่สำคัญมาก ๆ ก็คือวัฒนธรรมองค์กรของ Motorola นั้นมันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเมื่อเทียบกับฝั่งของ Apple ที่เน้นไปที่ประสบการณ์ของผู้ใช้งานเป็นหลัก สุดท้าย ROKR มันได้กลายเป็นมือถือที่ห่วยแตก เหมือนสินค้าด้อยคุณภาพ ไม่ต่างจาก iPod ห่วย ๆ ที่มีฟังก์ชั่นในการโทรศัพท์ได้นั่นเอง

รวมถึงรูปแบบการโอนเพลงเข้าโทรศัพท์ที่ใช้สาย USB กับคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมต่อกับ iTunes ซึ่งแน่นอนว่าจ็อบส์ อยากให้ Ecosystem ของ Apple นั้นคงไว้เหมือนกับที่ทำสำเร็จกับ iPod

แต่มันเป็นที่ถูกใจของบริษัทเครือข่ายมือถืออย่าง Cingular ที่ต้องการขายเพลงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของพวกเขาเท่านั้น และมันได้ทำให้เรื่อง Promotion ที่ปรกติต้องทำกับเครือข่ายนั้นถูกตัดออกทันที ทำให้ผู้ซื้อที่ต้องการใช้ ROKR นั้นต้องจ่ายราคาเต็มของมือถือที่ 250 ดอลลาร์ แถมยังต้องจ่ายค่าบริการรายเดือนอีกด้วย

การร่วมมือกับ Cingular ที่ต้องการขายเพลงผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของพวกเขาเท่านั้น (CR:ebay)
การร่วมมือกับ Cingular ที่ต้องการขายเพลงผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของพวกเขาเท่านั้น (CR:ebay)

ซึ่งแน่นอนว่า ROKR นั้นมันคือหายนะอย่างแท้จริงสำหรับ Apple ในการที่จะก้าวเข้าสู่ตลาดโทรศัพท์มือถือ ทำให้ตัวจ็อบส์นั้นหงุดหงิดหัวเสียกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่ต้องการจะตัดคนกลางทั้งหลายออกจากวงจรนี้

Apple นั้นต้องการควบคุมทุกอย่างแบบเบ็ดเสร็จ แบบที่พวกเขาทำได้กับ iPod ทั้ง Hardware , Software หรือแม้กระทั่งเครือข่ายโทรศัพท์ก็ตามและต้องการที่จะนำผลิตภัณฑ์ของ Apple ส่งไปถึงมือของลูกค้าได้โดยตรง

และไม่ใช่ว่าในช่วงนั้นจะไม่มีคู่แข่งเลยเสียทีเดียวสำหรับ บริษัทมือถือที่ต้องการเข้ามาลุยในตลาดเพลง แน่นอนว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Nokia ก็ได้ออก Nokia N91 ที่สามารถเก็บเพลงได้กว่า 1,000 เพลง คล้าย ๆ iPod Mini แต่สุดท้าย Nokia ก็ไม่สามารถที่จะผลักดันตัวเองให้เข้าไปสู่ธุรกิจเพลงอย่างที่คาดหวังได้เช่นกัน เพราะเหล่าค่ายโทรศัพท์มือถือในสหรัฐอเมริกาไม่ยอมนั่นเอง

Nokia N91 ที่ออกมาท้าชนในตลาดเดียวกับ (CR:IMEI.info)
Nokia N91 ที่ออกมาท้าชนในตลาดเดียวกับ (CR:IMEI.info)

รวมถึงยังมีอีกหลายคนที่ตัดสินใจซื้อโทรศัพท์มือถือ และ iPod แยกกันยังดูจะคุ้มซะกว่า ซึ่ง Apple ก็ได้เปิดตัว iPod Nano ในช่วงเวลาเดียวกันพอดี โดยรุ่น 1 GB สามารถเก็บเพลงได้ 240 เพลง ซึ่งมากกว่า ROKR สองเท่า

ซึ่งเราจะเห็นได้ถึงบทสรุปของการลุยเข้าไปสู่ตลาดมือถือของ Apple ครั้งแรกนั้น ต้องจบลงด้วยความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะ ROKR ไม่ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีเหมือนที่ลูกค้าคาดหวังจาก Apple และเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความตกต่ำของ Motorola ในคราเดียวกัน

แต่อย่างน้อย ROKR ได้กลายเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าของทีมงาน Apple ทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะตัวจ็อบส์เอง และมันได้ทำให้จ็อบส์นั้นค้นพบว่า Apple ควรทำอะไรที่แท้จริงในตลาดโทรศัพท์มือถือ

มันเหมือนเป็นการปลุกไฟของ จ๊อบส์ ให้มีความอยากที่จะสร้างมือถือที่จะปฏิวัติวงการไปแบบสิ้นเชิง มันได้ปลุกไฟของจ๊อบส์ให้กลับมาลุกโชติช่วงอีกครั้งหลังจากได้ปฏิวัติวงการเพลงสำเร็จไปแล้วด้วย iPod

ซึ่งแน่นอนว่าจ็อบส์จะไม่ยอมให้ใครมาครอบงำการสร้างผลิตภัณฑ์ของ Apple อีกต่อไปมันได้เป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ว่าหาก Apple ไม่สามารถ Control ทุกอย่างได้เหมือนที่พวกเขาเคยทำ หายนะก็มาเยือนอย่างที่ประสบพบเจอกับมือถือ ROKR นั่นเอง

References :
https://screenrant.com/motorola-rokr-itunes-phone-apple-history/
https://www.gsmarena.com/flashback_the_motorola_rokr_e1_was_a_dud_but_it_paved_the_way_for_the_iphone-news-38934.php
https://www.wired.com/2005/11/phone-2/
หนังสือ สตีฟ จ๊อบส์ : Steve Jobs
ผู้เขียน : Walter Isaacson (วอลเตอร์ ไอแซคสัน)
ผู้แปล : ณงลักษณ์ จารุวัฒน์ และคณะ

Geek Daily EP223 : เมื่อจีนเล่นใหญ่สั่งแบน Intel และ AMD ในคอมพิวเตอร์ของรัฐบาล

จีนได้ออกกฎระเบียบใหม่ที่ห้ามการใช้โปรเซสเซอร์ของสหรัฐอเมริกาจาก AMD และ Intel ในคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ของรัฐบาล รวมถึงยังมีการบล็อก Microsoft Windows และผลิตภัณฑ์ฐานข้อมูลต่างประเทศเพื่อสนับสนุนโซลูชันภายในประเทศ นับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดในสงคราม การค้าเทคโนโลยี ที่ดำเนินมายาวนานระหว่างทั้งสองประเทศ

ขณะนี้หน่วยงานของรัฐต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนภายในประเทศที่มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ เพื่อทดแทนชิป AMD และ Intel โดยรายชื่อประกอบด้วยโปรเซสเซอร์ที่ได้รับการอนุมัติ 18 ตัว รวมถึงชิปจาก Huawei และบริษัท Phytium ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ซึ่งทั้งสองแบรนด์นี้ถูกแบนในสหรัฐอเมริกา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4sv3dw43

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4rffxakb

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2ukwe8t2

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/yktdxnbv

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/qL00CTAkfoQ

The future of Start-ups กับแนวคิดที่ควรจะเริ่มคิดทำกำไรแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่เน้นแต่การผลาญเงินเพื่อเติบโต

ส่วนตัวผมได้เห็นบทความจากสื่อใหญ่หลาย ๆ แห่ง ที่พูดทำนองเดียวกันในเรื่องนี้ ที่ต้องเรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของวงการ Startup ทั่วโลก

เราได้เห็นโมเดล Startup ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ที่เน้นการผลาญเงินลงทุนของเหล่า VC และเร่งการเติบโต ซึ่งส่วนใหญ่มันก็ได้ผล แต่ช่วงหลัง ๆ เริ่มเห็นถึงทางตัน เพราะ model ธุรกิจที่ copy กันไปกันมา

มันยากที่จะหาบริษัทที่จะสามารถเติบโตแบบ 100x , 1000x เหมือนในอดีตเช่น facebook , google หรือ amazon ได้ในยุคปัจจุบัน เพราะเทคโนโลยีทุกอย่างมันเริ่มถึงจุดอิ่มตัวแล้ว

ยุคของการระดมทุนแบบง่าย ๆ ใช้สไลด์ไม่กี่แผ่น แล้วคุยโม้โอ้อวดแผนการธุรกิจที่เพ้อฝัน กำลังจะหมดลง บริษัทเทคโนโลยีที่จะมีอนาคตต้องสร้างขึ้นบนรากฐานที่ยั่งยืนเพียงเท่านั้น

ถึงแม้จะมีการระดมทุนครั้งใหญ่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่กำลัง hot ในปีที่ผ่านมา โดยยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ได้ลงทุน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในบริษัท OpenAI

ซึ่งหากไม่มีการลงทุนของ Microsoft กับ OpenAI ไตรมาสแรกของปี 2023 จะเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุดสำหรับการลงทุนของบริษัทร่วมทุนในรอบกว่าห้าปี

ในช่วงห้าปีจนถึงสิ้นปี 2021 ปริมาณการลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณสี่เท่าเนื่องจากกองทุนใช้เงินทุนมากขึ้นในนามของนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับกองทุนป้องกันความเสี่ยงอย่าง Tiger Global

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การประเมินมูลค่าบริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่งที่เคยเป็นที่รักของนักลงทุนในซิลิคอนแวลลีย์ก็ถูกทำลายลง 

แนวโน้มดังกล่าวทำให้ VC บางรายต้องลดมูลค่าของบริษัทที่ถืออยู่ในกองทุนของตน Tiger Global ลดมูลค่าของพอร์ตการลงทุนของพวกเขาไปถึงหนึ่งในสาม เหลือประมาณ 23 พันล้านดอลลาร์จากมูลค่าก่อนหน้านี้ ซึ่งในพอร์ตโฟลิโอของพวกเขานั้นมีทั้ง Stripe และ ByteDance เจ้าของแพลตฟอร์มวีดีโอสั้นชื่อดังอย่าง TikTok

สิ่งนี้ทำให้สตาร์ทอัพจำนวนมากต้องเผชิญกับทางเลือกระหว่างการระดมทุนด้วยมูลค่าที่ต่ำกว่า การยอมรับภาระหนี้ หรือลดค่าใช้จ่ายภายในบริษัท และพยายามเอาตัวรอดจนกว่าสภาพแวดล้อมของการระดมทุนจะดีขึ้น

สอดรับกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และสภาพแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจเริ่มแย่ลง เหล่าบริษัท startup ที่ไม่ทำกำไรเน้นที่การเติบโตเพียงอย่างเดียว กำลังถูกหมางเมินมากยิ่งขึ้น บริษัทใหม่หลายพันแห่งที่มีความต้องการเงินทุนอย่างเร่งด่วนกำลังถูกบีบให้เผชิญกับสถานะล้มละลาย

เคสใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นกับ Klarna บริษัทที่ทำธุรกิจซื้อก่อนจ่ายทีหลัง ซึ่ง copy model กันทั่วทั้งโลกใครก็ทำได้ มูลค่าลดลงจาก 46 พันล้านดอลลาร์ เหลือน้อยกว่า 7 พันล้านดอลลาร์

โมเดล Buy Now Pay Later แบบ Klarna ไม่ได้มีนวัตกรรม ทำให้ถูก copy ง่าย ๆ จากทั่วโลก (CR:PYMNTS)
โมเดล Buy Now Pay Later แบบ Klarna ไม่ได้มีนวัตกรรม ทำให้ถูก copy ง่าย ๆ จากทั่วโลก (CR:PYMNTS)

โดยปรกติแล้ว เราเห็น pattern เดิม ๆ ของเหล่าบริษัทร่วมทุนหรือ VC ต่าง ๆ ที่จะมุ่งเน้นไปที่การเติบโตของรายได้เป็นหลัก ซึ่งบริษัทใด scale ได้รวดเร็วและยึดครองตลาดได้ทั้งหมดก็จะกลายเป็นผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวได้

แต่สถานการณ์การแข่งขันเรียกได้ว่าเปลี่ยนไป นวัตกรรมที่แทบไม่มีอะไรใหม่ สามารถ copy กันได้ง่าย ๆ แค่มีทุน ไล่ตั้งแต่ ธุรกิจการชำระเงิน การจัดส่งอาหาร บริการเรียกรถ ทำให้การเน้นที่การ scale บริษัทอย่างรวดเร็วเพียงอย่างเดียวมันไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว

บริษัทร่วมทุนขนาดใหญ่ตัวอย่างเช่น Vision Fund ของ Softbank นั้นขาดทุนอย่างมหาศาล หลังจากลงทุนไปในหลายๆ บริษัทที่ดูไม่มีอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเทเงินให้กับ WeWork ที่เหมือนถูกหลอกโดยลมปากของผู้ก่อตั้งอย่าง Adam Neumann ส่วนสตาร์ทอัพรายอื่นๆ ที่ Softbank เข้าไปลงทุน เช่น Katerra , OneWeb และ Zume Pizza ได้ยื่นฟ้องล้มละลายหรือปิดกิจการ

Vision Fund ของ Softbank ที่ขาดทุนอย่างมหาศาล (CR:DealStreetAsia)
Vision Fund ของ Softbank ที่ขาดทุนอย่างมหาศาล (CR:DealStreetAsia)

เหล่านักลงทุนเริ่มไม่ชอบความเสี่ยงมากขึ้นเมื่อเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น แม้แต่กลุ่มทุนที่เคยอัดเม็ดเงินก้อนใหญ่ให้กับวงการก็ตามที ตอนนี้พวกเขาต้องการให้บริษัทพิสูจน์ว่ามีเส้นทางสู่การทำกำไรที่ชัดเจน ไม่ใช่ผลาญเงินเล่นไปวัน ๆ

ตัวอย่างผู้นำด้านเทคโนโลยียุคบุกเบิกรายใหญ่อย่าง Apple และ Microsoft พวกเขาได้พิสูจน์ความสำเร็จด้วยการจัดลำดับความสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาได้ชัดเจน ควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว

เพราะฉะนั้น ทั้งโมเดลการสร้างรายได้ และที่มาของกลุ่มลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ของเหล่าบริษัท startup ในยุคถัดไป ธุรกิจต้องเดินหน้าสู่การสร้างกำไรที่แท้จริง ไม่ใช่เพื่อตอบสนองความต้องการของเหล่าผู้ก่อตั้งที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองผ่านมูลค่ากิจการที่เว่อร์เกินจริงนั่นเองครับผม

References :
https://www.ft.com/content/6b5a67f2-6028-40e1-a81b-e0e0be60facd
https://www.edexlive.com/opinion/2021/jan/02/the-future-of-start-ups-imagining-the-next-decade-for-the-entrepreneurial-sector-16983.html
https://www.ft.com/content/778e65e1-6ec5-4fd7-98d5-9d701eb29567
https://www.influencive.com/6-tips-for-improving-your-startup-pitch/