Overture เป็นหนึ่งในนั้นได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากนักธุรกิจชั้นยอด Bill Gross เป็นผู้บุกเบิกด้านการโฆษณาอินเทอร์เน็ตตัวจริงในวันที่โลกยังไม่รู้จักกับ Google
วันที่ 24 พฤษภาคม 2002 ในห้องครัวของ Google ที่ 2400 Bayshore Parkway ในเมาน์เทนวิว แคลิฟอร์เนีย Larry Page ได้ปักข้อความไว้ที่ผนังที่ประกอบด้วยคำสามคำ
“THESE ADS SUCK”
ต้องบอกว่าในโลกธุรกิจแบบดั้งเดิม มันไม่ใช่เรื่องปรกติที่จะทิ้งโน้ตแบบนี้ไว้ในห้องครัวของบริษัท แต่นั่นไม่ใช่กับบริษัทสตาร์ทอัพเล็ก ๆ อย่าง Google ที่กำลังก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา
ในวันที่ Page ปักโน้ตไว้ที่ผนังห้องครัว การแข่งขันของ Google กับ Overture เรียกได้ว่ายังห่างชั้นนัก Google ได้สร้างเครื่องมือที่เรียกว่า AdsWords แต่ตอนนั้นกำลังประสบปัญหาใใหญ่ในการทำงานพื้นฐานการจับคู่ข้อความค้นหากับโฆษณาที่เหมาะสม
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพิมพ์ค้นหารถจักรยานยนต์ Kawasaki H1B คุณจะได้รับโฆษณาจากนักกฎหมายที่เสนอความช่วยเหลือในการยื่นขอวีซ่าต่างประเทศ H-1B แทน
มันเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ของ Google ซึ่งอาจจะทำลายทั้งบริษัทได้เลย หากไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ดังนั้น Page จึงพิมพ์ตัวอย่างความล้มเหลวนี้ เขียนเป็นคำสามคำด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ และปักหมุดไว้ที่กระดานข่าวในครัว จากนั้นเขาก็จากไป
Jeff Dean เป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในออฟฟิสของ Google คนสุดท้ายในวันนั้น ซึ่งเขาก็มีงานส่วนตัวที่ยุ่งมากอยู่แล้ว แต่ในวันนั้น Dean ได้เดินไปที่ห้องครัวเพื่อทำคาปูชิโน่ และเห็นโน้ตของเพจ เขาพลิกดูโน้ตที่แนบมา และในขณะที่กำลังมองไปที่โน้ตใบนั้น ความคิดก็แล่นเข้ามาในหัวเขา
เขาคุ้นว่านี่เป็นปัญหาที่เขาเพิ่งเจอมาไม่นาน Dean ได้เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของเขา และเริ่มพยายามแก้ไขเครื่องมือ AdsWord เขาไม่ได้ขออนุญาตหรือบอกใครเลยด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่เห็นมัน และแก้ไขปัญหาทันที
ในวันหนึ่งของปี 2013 Jonathan Rosenberg ที่ปรึกษาของ Google ได้ติดต่อ Dean เพื่อต้องการฟังเรื่องราวในเวอร์ชั่นของ Dean
แต่ Dean กลับจ้องไปที่ Rosenberg ด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า เขาแทบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ มันไม่ใช่คำตอบที่ Rosenberg คาดหวังที่จะได้จาก Dean มันไม่ต่างอะไรกับการที่ Michael Jordan ลืมไปว่าเขาคว้าแชมป์ NBA ได้ 6 สมัย
Lee Byung-Chul ผู้ก่อตั้งซัมซุงซึ่งแต่เดิมทีทำธุรกิจเล็กๆ เป็นธุรกิจค้าของชำ ปลาแห้ง หรือแม้กระทั่งขายผักโดยเป็นการนำผลผลิตจากเกาหลีและส่งไปยังจีนตอนเหนือเพื่อป้อนให้กับเหล่าทหารญี่ปุ่นในช่วงยุคสงครามเกาหลี
เกาหลีเป็นประเทศที่ยากจนไม่มีอุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยีอะไรเลย แต่ Lee เองมีความฝันที่จะสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศของพวกเขา
Lee ได้เริ่มขยายธุรกิจหลังสงครามโดยที่ทำสิ่งต่างๆเพื่อผลประโยชน์ของประเทศทำให้เหล่านักการเมืองก็หันมาสนับสนุน Lee ในการผลักดันให้กิจการของเขาเติบโตขึ้น ขยายธุรกิจไปตั้งแต่การแปรรูปหนัง สิ่งทอ ปุ๋ย การก่อสร้าง การธนาคาร รวมถึงธุรกิจด้านประกันภัย
ซึ่งตอนนั้นเศรษฐกิจของเกาหลีก็เริ่มเฟื่องฟูในช่วงปี 1960 และปี 1970 แต่ Lee มีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นต้องการที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยเขาได้เฝ้าดูบริษัทยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นโตชิบาและฟูจิตสึซึ่งครองตลาดชิป DRAM ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 และต้นทศวรรษที่ 1980
แม้ว่าการที่จะก้าวข้ามจากประเทศยากจนไปเป็นประเทศที่ใช้แรงงานทักษะสูงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าการผลิตชิปเป็นเรื่องที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเป็นอย่างมาก แต่ว่า Lee เองก็ไม่เคยย่อท้อ
การที่ฝันของ Lee จะเป็นจริงก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลแน่นอนว่าเงินทุนเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ด้วยความที่มีคอนเนคชั่นที่ดีมากๆ กับหน่วยงานรัฐบาลอยู่แล้วทางรัฐบาลก็ยืนยันที่จะสนับสนุน Lee ในการเดิมพันในการผลิตชิปของซัมซุง และถือเป็นการเดิมพันในการสร้างชาติใหม่สู่ยุคความรุ่งเรืองอีกด้วย
ฝั่งสหรัฐอเมริกาไม่ได้เป็นเพียงแค่ตลาดสำหรับชิป DRAM ของเกาหลีใต้เท่านั้นเพราะว่าผู้ผลิตในซิลิคอนวัลเลย์เองก็มีการส่งต่อเทคโนโลยีให้กับซัมซุงด้วย เพราะว่าตอนนั้นมีการแข่งขันจากญี่ปุ่นเอง ทำให้บริษัทอเมริกันส่วนใหญ่ใกล้จะล่มสลายเต็มทีจึงได้ถ่ายโอนเทคโนโลยีชั้นสูงไปยังเกาหลี
Lee จึงได้ออกใบอนุญาตการออกแบบสำหรับชิป 64K DRAM ของ Micron ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพหน่วยความจำซึ่งตอนนั้นขาดเงินทุนเป็นอย่างมาก ซึ่งมันเป็นทางลัดที่สำคัญมากๆของซัมซุงในการก้าวขึ้นมากลายเป็นมหาอำนาจทางด้านเซมิคอนดักเตอร์ แถมมันเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวของทางสหรัฐอเมริการวมถึงบริษัทในซิลิคอนวัลเลย์
“Meta มองเห็นโอกาสในการแนะนำเครื่องมือ AI ให้กับผู้คนหลายพันล้านคนในรูปแบบที่เป็นประโยชน์และมีความหมายกับพวกเขา” Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta กล่าวกับนักลงทุน
ในขณะที่ยังคงคลุมเครือว่า Meta จะเพิ่ม AI แบบเดียวกับ ChatGPT ลงในแอปได้อย่างไร Zuckerberg ได้แสดงตัวอย่างที่ละเอียดที่สุดในการโชว์รายผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของบริษัทในปีนี้ โดย Meta สร้างรายได้ 28.6 พันล้านดอลลาร์และผู้ใช้รายวัน 2 พันล้านรายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ของแอป Facebook ซึ่งสูงกว่าการประมาณการของ Wall Street โดยกำไรของ Meta สำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 5.7 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 24% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว