The future of Start-ups กับแนวคิดที่ควรจะเริ่มคิดทำกำไรแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่เน้นแต่การผลาญเงินเพื่อเติบโต

ส่วนตัวผมได้เห็นบทความจากสื่อใหญ่หลาย ๆ แห่ง ที่พูดทำนองเดียวกันในเรื่องนี้ ที่ต้องเรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของวงการ Startup ทั่วโลก

เราได้เห็นโมเดล Startup ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ที่เน้นการผลาญเงินลงทุนของเหล่า VC และเร่งการเติบโต ซึ่งส่วนใหญ่มันก็ได้ผล แต่ช่วงหลัง ๆ เริ่มเห็นถึงทางตัน เพราะ model ธุรกิจที่ copy กันไปกันมา

มันยากที่จะหาบริษัทที่จะสามารถเติบโตแบบ 100x , 1000x เหมือนในอดีตเช่น facebook , google หรือ amazon ได้ในยุคปัจจุบัน เพราะเทคโนโลยีทุกอย่างมันเริ่มถึงจุดอิ่มตัวแล้ว

ยุคของการระดมทุนแบบง่าย ๆ ใช้สไลด์ไม่กี่แผ่น แล้วคุยโม้โอ้อวดแผนการธุรกิจที่เพ้อฝัน กำลังจะหมดลง บริษัทเทคโนโลยีที่จะมีอนาคตต้องสร้างขึ้นบนรากฐานที่ยั่งยืนเพียงเท่านั้น

ถึงแม้จะมีการระดมทุนครั้งใหญ่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่กำลัง hot ในปีที่ผ่านมา โดยยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ได้ลงทุน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในบริษัท OpenAI

ซึ่งหากไม่มีการลงทุนของ Microsoft กับ OpenAI ไตรมาสแรกของปี 2023 จะเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุดสำหรับการลงทุนของบริษัทร่วมทุนในรอบกว่าห้าปี

ในช่วงห้าปีจนถึงสิ้นปี 2021 ปริมาณการลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณสี่เท่าเนื่องจากกองทุนใช้เงินทุนมากขึ้นในนามของนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับกองทุนป้องกันความเสี่ยงอย่าง Tiger Global

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การประเมินมูลค่าบริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่งที่เคยเป็นที่รักของนักลงทุนในซิลิคอนแวลลีย์ก็ถูกทำลายลง 

แนวโน้มดังกล่าวทำให้ VC บางรายต้องลดมูลค่าของบริษัทที่ถืออยู่ในกองทุนของตน Tiger Global ลดมูลค่าของพอร์ตการลงทุนของพวกเขาไปถึงหนึ่งในสาม เหลือประมาณ 23 พันล้านดอลลาร์จากมูลค่าก่อนหน้านี้ ซึ่งในพอร์ตโฟลิโอของพวกเขานั้นมีทั้ง Stripe และ ByteDance เจ้าของแพลตฟอร์มวีดีโอสั้นชื่อดังอย่าง TikTok

สิ่งนี้ทำให้สตาร์ทอัพจำนวนมากต้องเผชิญกับทางเลือกระหว่างการระดมทุนด้วยมูลค่าที่ต่ำกว่า การยอมรับภาระหนี้ หรือลดค่าใช้จ่ายภายในบริษัท และพยายามเอาตัวรอดจนกว่าสภาพแวดล้อมของการระดมทุนจะดีขึ้น

สอดรับกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และสภาพแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจเริ่มแย่ลง เหล่าบริษัท startup ที่ไม่ทำกำไรเน้นที่การเติบโตเพียงอย่างเดียว กำลังถูกหมางเมินมากยิ่งขึ้น บริษัทใหม่หลายพันแห่งที่มีความต้องการเงินทุนอย่างเร่งด่วนกำลังถูกบีบให้เผชิญกับสถานะล้มละลาย

เคสใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นกับ Klarna บริษัทที่ทำธุรกิจซื้อก่อนจ่ายทีหลัง ซึ่ง copy model กันทั่วทั้งโลกใครก็ทำได้ มูลค่าลดลงจาก 46 พันล้านดอลลาร์ เหลือน้อยกว่า 7 พันล้านดอลลาร์

โมเดล Buy Now Pay Later แบบ Klarna ไม่ได้มีนวัตกรรม ทำให้ถูก copy ง่าย ๆ จากทั่วโลก (CR:PYMNTS)
โมเดล Buy Now Pay Later แบบ Klarna ไม่ได้มีนวัตกรรม ทำให้ถูก copy ง่าย ๆ จากทั่วโลก (CR:PYMNTS)

โดยปรกติแล้ว เราเห็น pattern เดิม ๆ ของเหล่าบริษัทร่วมทุนหรือ VC ต่าง ๆ ที่จะมุ่งเน้นไปที่การเติบโตของรายได้เป็นหลัก ซึ่งบริษัทใด scale ได้รวดเร็วและยึดครองตลาดได้ทั้งหมดก็จะกลายเป็นผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวได้

แต่สถานการณ์การแข่งขันเรียกได้ว่าเปลี่ยนไป นวัตกรรมที่แทบไม่มีอะไรใหม่ สามารถ copy กันได้ง่าย ๆ แค่มีทุน ไล่ตั้งแต่ ธุรกิจการชำระเงิน การจัดส่งอาหาร บริการเรียกรถ ทำให้การเน้นที่การ scale บริษัทอย่างรวดเร็วเพียงอย่างเดียวมันไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว

บริษัทร่วมทุนขนาดใหญ่ตัวอย่างเช่น Vision Fund ของ Softbank นั้นขาดทุนอย่างมหาศาล หลังจากลงทุนไปในหลายๆ บริษัทที่ดูไม่มีอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเทเงินให้กับ WeWork ที่เหมือนถูกหลอกโดยลมปากของผู้ก่อตั้งอย่าง Adam Neumann ส่วนสตาร์ทอัพรายอื่นๆ ที่ Softbank เข้าไปลงทุน เช่น Katerra , OneWeb และ Zume Pizza ได้ยื่นฟ้องล้มละลายหรือปิดกิจการ

Vision Fund ของ Softbank ที่ขาดทุนอย่างมหาศาล (CR:DealStreetAsia)
Vision Fund ของ Softbank ที่ขาดทุนอย่างมหาศาล (CR:DealStreetAsia)

เหล่านักลงทุนเริ่มไม่ชอบความเสี่ยงมากขึ้นเมื่อเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น แม้แต่กลุ่มทุนที่เคยอัดเม็ดเงินก้อนใหญ่ให้กับวงการก็ตามที ตอนนี้พวกเขาต้องการให้บริษัทพิสูจน์ว่ามีเส้นทางสู่การทำกำไรที่ชัดเจน ไม่ใช่ผลาญเงินเล่นไปวัน ๆ

ตัวอย่างผู้นำด้านเทคโนโลยียุคบุกเบิกรายใหญ่อย่าง Apple และ Microsoft พวกเขาได้พิสูจน์ความสำเร็จด้วยการจัดลำดับความสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาได้ชัดเจน ควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว

เพราะฉะนั้น ทั้งโมเดลการสร้างรายได้ และที่มาของกลุ่มลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ของเหล่าบริษัท startup ในยุคถัดไป ธุรกิจต้องเดินหน้าสู่การสร้างกำไรที่แท้จริง ไม่ใช่เพื่อตอบสนองความต้องการของเหล่าผู้ก่อตั้งที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองผ่านมูลค่ากิจการที่เว่อร์เกินจริงนั่นเองครับผม

References :
https://www.ft.com/content/6b5a67f2-6028-40e1-a81b-e0e0be60facd
https://www.edexlive.com/opinion/2021/jan/02/the-future-of-start-ups-imagining-the-next-decade-for-the-entrepreneurial-sector-16983.html
https://www.ft.com/content/778e65e1-6ec5-4fd7-98d5-9d701eb29567
https://www.influencive.com/6-tips-for-improving-your-startup-pitch/

เมื่อ Rider สู้กลับ AI กับฮีโร่ผู้กอบกู้ Rider ที่ทำงานภายใต้การถูกชักใยจากอัลกอริธึม

บนเนินเขาลาดชันสูงที่สุดแห่งหนึ่งในพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลวาเนีย ในวันที่ 12 สิงหาคม 2020 เป็นวันที่ชายอย่าง Armin Samii นักกีฬาจักรยานวัย 32 ปี ตัดสินใจครั้งสำคัญในการต่อสู้กับอัลกอริธึมของ Uber Eats

Samii ตื่นนอนก่อนเวลาปรกติ เขาแต่งตัว ชงกาแฟ และนั่งลงบนคอมพิวเตอร์ และใช้เวลากว่า 16 ชั่วโมงต่อมาในการเขียนโปรแกรมสร้างเว็บแอปพลิเคชัน และถ่ายวีดีโอเพื่อแสดงวิธีการใช้งานให้กับกลุ่ม Rider คนอื่น ๆ

เขาตั้งชื่อแอปว่า UberCheats โดยเปิดระบบให้ออนไลน์ในช่วงเที่ยงคืนวันเดียวกัน และให้ทุกคนที่ได้รับความเดือดร้อนมาใช้งานกันแบบฟรี ๆ

UberCheats เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบอัลกอริธึมของ Uber โดย Samii ซึ่งทำงานเป็น Rider ให้กับแพลตฟอร์ม Uber ในพิตส์เบิร์กในเวลานั้น รู้สึกหมดความอดทนกับการโกงของอัลกอริธึมเบื้องหลังหยาดเหงื่อแรงกายของเพื่อน ๆ เหล่า Rider

Samii มั่นใจอย่างยิ่งว่าแอป Uber Eats มีข้อผิดพลาดและจ่ายค่าจ้างให้กับเขาต่ำเกินไป หลังจากพยายามอย่างหนักที่จะแจ้งไปยังแพลตฟอร์ม แต่ไร้ซึ่งการเหลียวแล เขารู้สึกไม่มีทางเลือก นอกจากต้องลงมือจัดการด้วยตัวเขาเอง

แอป UberCheats ของ Samii ทำหน้าที่สำคัญอย่างง่าย ๆ นั่นก็คือ แสดงพิกัดจีพีเอสจากใบเสร็จรับเงินและคำนวณระยะทางที่ Rider ขับไปจริง ๆ เปรียบเทียบกับระยะทางที่แสดงในแพลตฟอร์มของ Uber

Samii ที่หลงรักในการปั่นจักรยานและต้องการคืนความเป็นธรรมให้กับเหล่า Rider (CR:PublicSource)
Samii ที่หลงรักในการปั่นจักรยานและต้องการคืนความเป็นธรรมให้กับเหล่า Rider (CR:PublicSource)

โดยพื้นฐานแล้วนั้นแพลตฟอร์ม Delivery เหล่านี้ไม่มีอัตราค่าจ้างที่แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุก ๆ ชั่วโมง ในแต่ละพื้นที่ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงไปตาม Rider แต่ละคนที่แทบไม่เท่ากันเลย

ซึ่ง Uber จะทำการคำนวณจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ หรือ demand ของปริมาณลูกค้าในขณะนั้น เนื่องจาก Uber ได้ทำการปกปิดสถานที่จัดส่งจริงจาก Rider หลังจากที่พวกเขาส่งของเสร็จแล้ว

มันเป็นเรื่องยากที่เหล่า Rider จะทราบระยะทางที่แท้จริง เพราะในใบเสร็จรับเงินที่เหล่า Rider ได้รับนั้นจะเห็นเพียงแค่เส้นทางจากจุด A ไปยังจุด B พร้อมกับระยะทางเป็นไมล์และเงินที่พวกเขาได้รับ

หลังจากปล่อย Ubercheats ออกไปได้ไม่นาน Samii ก็เริ่มได้รับข้อมูลจากเหล่า Rider ของ Uber Eats จากทั่วทุกมุมโลก ทั้งที่ประเทศญี่ปุ่น บราซิล ออสเตรเลีย อินเดีย และไต้หวัน

มีการบันทึกการส่งอาหาร 6,000 ครั้งลงใน Ubercheats โดยมี 17% ที่ดูเหมือนค่าจ้างมันจะไม่แฟร์ และไม่ว่าจะอยู่ในเมืองไหน ข้อมูลที่บันทึกลงใน Ubercheats แสดงให้เห็นว่า Rider ถูกตัดค่าจ้างเป็นระยะทางเฉลี่ย 1.35 ไมล์ต่อการส่งหนึ่งครั้ง

ต้องบอกว่า Ubercheats ของ Samii เปรียบเสมือนฮีโร่ที่ช่วยมากอบกู้โลกแห่ง Delivery ซึ่งทำงานภายใต้การถูกชักใยจากอัลกอริธึม

Ubercheats ของ Samii เปรียบเสมือนฮีโร่ที่ช่วยมากอบกู้โลกแห่ง Delivery ( Twitter)
Ubercheats ของ Samii เปรียบเสมือนฮีโร่ที่ช่วยมากอบกู้โลกแห่ง Delivery ( Twitter)

ปัจจุบันมีแรงงานในกลุ่มนี้มากกว่าหนึ่งพันล้านคนในรูปแบบต่าง ๆ แอปพลิเคชันใช้เทคโนโลยี AI ได้ทำการออกคำสั่งให้แรงงานทาสเหล่านี้โดยส่งตรงไปยังโทรศัพท์มือถือของพวกเขา

ซอฟต์แวร์ที่ใช้เทคโนโลยี Machine Learning จะเป็นตัวกำหนดงานให้กับ Rider ยืนยันตัวตนของพวกเขา กำหนดอัตราค่าจ้าง มอบโบนัส ตรวจจับการทุจริตที่อาจเกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งการตัดสินใจว่าจ้างหรือปลดพนักงานเลยทีเดียว

Samii มองว่า นายจ้าง AI เหล่านี้แทบไม่มีความเป็นมนุษย์ พวกมันไม่มีความรู้สึก แถมเวลาคุยกับพวกมันก็โครตน่าหงุดหงิด

ย้อนกลับไปในเดือนกรกฎาคมปี 2020 เมื่อ Samii พยายามที่จะลงทะเบียนเพื่อสมัครเป็น Rider กับ Uber Eats แอปพลิเคชันต้องการตรวจสอบรูปภาพเพื่อพิสูจน์ตัวตน โดยใช้เทคโนโลยี Face Recognition

แต่สำหรับ Samii มันกลับไม่ได้ผล เขาพยายามถ่ายรูปซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ถูก AI แสนบื้อปฏิเสธกลับมาแทบทุกครั้ง

นั่นทำให้ Samii รู้ว่านี่คือปัญหาใหญ่สำหรับคนผิวสี เพราะเหุตการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเขา 3-4 ครั้ง โดยในครั้งที่ 4 เขาอาบน้ำ สระผม ดัดผมให้เรียบ แล้วอ้าปาก เพื่อให้เจ้าอัลกอริธึมตรวจจับใบหน้าของเขา สุดท้ายก็สำเร็จ

แม้เขาจะสามารถเริ่มทำงานได้ แต่เขายังคงมีความรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปรกติ

ความรำคาญของ Samii เริ่มสะสมขึ้นเรื่อย ๆ โดยในวันแรกของการทำงาน เขาได้รับคำสั่งซ้ำ ๆ ให้ไปรับอาหารจากร้าน McDonald สาขาหนึ่งที่ปิดไปแล้วเป็นเวลาหลายเดือน ลูกค้าแทบไม่รู้เลยว่า Uber ไม่ได้ลบสาขานั้นออกจากฐานข้อมูล

Samii พยายามที่จะโน้มน้าวให้ Uber ลบสาขานี้ออกจากระบบ แต่กลับได้รับคำตอบกลับมาว่า “เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลในระบบได้ แต่เราสามารถจ่ายเงิน 2 ดอลลาร์ให้กับคุณได้เพราะคุณได้ไปที่นั่นมาแล้ว”

Samii ที่ใช้เวลา 20 นาทีขี่จักรยานคู่ใจของเขาไปที่นั่น และอีก 45 นาทีเพื่อคุยโทรศัพท์กับฝ่าย support ของ Uber แต่สุดท้ายได้เงินมาเพียงแค่ 2 ดอลลาร์

Samii รับไม่ได้ที่ไม่มีมนุษย์คนใดที่เขาสามารถพูดคุยด้วยและมีอำนาจในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานแบบนี้ได้

พื้นฐานของ Samii เองพอมีความรู้ทางด้านการเขียนโปรแกรมอยู่บ้าง และรู้ด้วยว่ามันเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับนักพัฒนาในการแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านี้

Samii อายุ 32 ปี เป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัวชาวอิหร่านที่อพยพมายังแคลิฟอร์เนียในปี 1960 โดยพ่อแม่ของเขาทั้งคู่เป็นวิศวกรโยธา แม่ของเขาทำงานในหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นคอยคำนวณทราฟฟิกของจราจรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างถนน ส่วนพ่อของเขาเป็นวิศวกรที่สร้างสะพานและรางรถไฟให้กับเมืองซานดิเอโก

สำหรับสิ่งที่เขารักมาก ๆ ก็คือการปั่นจักรยาน เขามีจักรยานอยู่ 5 คัน และงานในฝันของเขาก็คืองานที่ต้องขี่จักรยานตลอดทั้งวัน

เมื่อย้ายจากเบิร์กลีย์ รัฐแคลิฟอร์เนียมายังพิตส์เบิร์กในปี 2019 เขาได้เข้าร่วมการประชุมกับผู้แทนในท้องถิ่นโดยมีความพยายามที่จะทำให้เมืองนี้ปลอดภัยสำหรับนักปั่นจักรยานมากขึ้น

ปัจจุบันเขาก่อตั้งสตาร์ทอัพชื่อ Dashcam For Your Bike ซึ่งช่วยให้นักปั่นจักรยานในเมืองสามารถบันทึกภาพวีดีโอเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน โดยเรียกได้ว่าเขาเป็นนักกิจกรรมตัวยง

Samii ยังเคยทำงานให้กับบริษัท Argo.ai ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติที่ได้รับเงินทุนจาก Ford และ Volkswagen

เขาเป็นผู้นำทีมออกแบบระบบให้รองรับการสื่อสารระหว่างผู้โดยสารที่เป็นมนุษย์กับยานยนต์ไร้คนขับ ซึ่งเขาตระหนักอย่างยิ่งว่าเขากำลังเขียนโปรแกรมที่หากผิดพลาดอาจนำไปสู่การสังหารชีวิตมนุษย์ได้

ในช่วงฤดูร้อนปี 2020 เขาได้ลาออกจากงาน เพราะมองว่ารถยนต์ไร้คนขับแม้มันจะทำให้การขับขี่มีความปลอดภัยมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้น

ในช่วงที่เขาหยุดพักเพื่อคิดว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิต Samii รู้ว่าเขาอยากสำรวจเมืองพิตส์เบิร์กด้วยการปั่นจักรยาน นั่นจึงเป็นที่มาของความคิดที่จะเป็นพนักงานส่งอาหารของ Uber Eats

จุดหมายปลายทางแรกของเขาคือบนยอดเนินพิกฮิลล์ ซึ่งเป็นเนินเขาที่สูงชันที่สุดแห่งหนึ่งในพิตส์เบิร์ก Samii ใช้เวลา 50 นาทีในการปั่นจักรยานขึ้นไปส่งอาหารจานแรก

ในขณะที่ยังไม่หายเหนื่อย งานที่สองก็เด้งเข้ามา เขาต้องใช้เวลาอีก 40 นาที ในการจัดส่งจนงานที่สองสำเร็จ ทำให้ลูกค้ารายที่สองของเขาต้องรอนานถึงชั่วโมงครึ่ง แถมยังถูกบ่นใส่อีกต่างหาก แต่ก็ยังอุตส่าห์มอบทิปราว ๆ 1 ดอลลาร์ให้กับ Samii

สิ่งที่ประหลาดคืออัลกอริธึมบอกว่างานทั้งหมดนี้จะใช้เวลาเพียงแค่ 6 นาที แต่กลับใช้เวลาทำงานจริง ๆ ถึง 90 นาที ในตอนแรกเขาคิดว่านี่เป็นเพียงแค่ความผิดพลาดธรรมดา ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

แต่เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าแม้กระทั่งการขับรถยนต์ก็ไม่สามารถที่จะเดินทางในระยะทางดังกล่าวนี้ได้ในเวลาเพียงแค่ 6 นาที “นี่ไม่ใช่ความแตกต่างระหว่างการปั่นจักรยานและการขับรถ” เขากล่าว “นี่คือ Bug จริง ๆ”

ในสัปดาห์ต่อมา Samii ส่งข้อความถึง Uber มากกว่าสิบสองข้อความ เขาได้รับคำแนะนำอัตโนมัติจากระบบไม่ว่าจะเป็นการให้ออกจากระบบ , เริ่มแอปใหม่ , รีสตาร์ทอุปกรณ์ , ลบและติดตั้งแอปใหม่ , อัปเดทแอป , รีเซ็ตการตั้งค่าเน็ตเวิร์ก หากรอนานเกิน 10 นาทีให้ยกเลิกคำสั่งซื้อ แต่ก็ต้องบอกว่าที่ไล่ยาวมาทั้งหมดมันไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับเขาได้เลย

เข้าได้สร้างสเปรดชีตขึ้นมาเพื่อบันทึกการติดต่อกับฝ่ายบริการลูกค้าของ Uber อย่างละเอียด เขาบันทึกไว้ 14 รายการและการสนทนาทางศัพท์นาน 126 นาที

“สุดท้ายผมก็ได้คุยกับคนที่สามารถเปิด Google Maps และบอกว่า ‘นี่คือจุดบกพร่องจริง ๆ'”

และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นไอเดียที่แว๊บเข้ามาในสมองของเขาว่า เขาสามารถที่จะหาพิกัดจากใบเสร็จรับเงินแล้วนำไปค้นใน Google ด้วยตัวเองเพื่อตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่

ต้องบอกว่าแอปส่งอาหารส่วนใหญ่ไม่ได้กำหนดค่าจ้างมาตรฐานแบบตายตัว แต่อัลกอริธึมจะกำหนดราคาแต่ละงานโดยใช้สูตรคำนวณที่คำนึงถึงตัวแปรต่าง ๆ อาจมีปัจจัยใดก็ได้ที่ส่งผลต่อราคา ตั้งแต่คะแนนความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อ Rider ไปจนถึงสัดส่วนของงานที่พวกเขาปฏิเสธ

การคิดคำนวณโดยอัลกอริธึมแบบเพี้ยน ๆ ของ Uber (CR:Reddit)
การคิดคำนวณโดยอัลกอริธึมแบบเพี้ยน ๆ ของ Uber (CR:Reddit)

Samii รู้ว่าเขาได้รับค่าจ้างที่ต่ำเกินไป แต่ยังมีคำถามอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้รับคำตอบ เช่น แล้วเหตุการณ์เหล่านี้มันเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน? Rider คนอื่น ๆ ในระบบได้รับค่าจ้างที่ไม่แฟร์แบบนี้ด้วยหรือไม่? และมันต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเท่าไหร่กันแน่?

ระบบทำให้สับสนเพราะบางครั้งจำนวนเงินที่น้อยนั้นไม่ได้เกี่ยวกับระยะทางเลย แต่มันเกี่ยวกับอัลกอริธึม Machine Learning ที่ตัดสินว่าพวกเขาจะจ่ายให้ Rider น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ต่างหาก

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2021 หลังจาก UberCheats เปิดตัวไปไม่นาน ทนายความของ Uber ก็ทำการร้องเรียนและขอให้ Google บล็อกแอปนี้บนเบราว์เซอร์ Chrome โดยอ้างว่าผู้คนอาจสับสนว่าเป็นผลิตภัณฑ์จริงของ Uber

เมื่อ Google ปฏิบัติตามคำร้องจาก Uber ทาง Samii ก็ส่งอีเมลอุทรณ์ถึง Google อย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดการบล็อกก็ถูกยกเลิก แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 เขาติดสินใจปิด UberCheats แม้ว่ามันจะมีประโยชน์กับเหล่า Rider แต่มันกลายเป็นภาระที่มากเกินไปสำหรับเขา เพราะเมื่อ Uber ทำการปรับเปลี่ยนอัลกอริธึม เขาก็ต้องคอยมานั่งแก้ซึ่งมันไม่สนุกเลย

Samii ไม่มีทรัพยากรหรือแรงจูงใจมากพอที่จะฟ้อง Uber เขาสร้างเครื่องมือนี้เพื่อให้สังคมตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เพราะเรื่องราวเหล่านี้ในที่สุดมันก็ขึ้นสู่ชั้นศาล ในปี 2021 ศาลในเมืองอัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ Uber ในยุโรป ตัดสินว่า Uber ใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมดในการหักเงินรายได้ของคนขับคนหนึ่ง เป็นการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งต้องมีการพิจารณาทบทวนอัลกอริธึมโดยมนุษย์

นอกจากนั้นยังสั่งให้ Uber เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เสียหายในคดีนี้ และสั่งให้ Uber คิดคำนวณคะแนนของ Rider อย่างเป็นกลาง

อย่างไรก็ตามศาลสนับสนุน Uber ในการกล่าวอ้างเรื่องความโปร่งใสของอัลกอริธึม และไม่ได้สั่งให้ Uber เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการคำนวณราคา หรือวิธีที่ Rider ถูกตัดสินว่าฉ้อโกง

และที่สำคัญยังปฏิเสธคำกล่าวอ้างของเหล่า Rider ที่ว่า Uber ไม่มีการควบคุมและดูแลโดยมนุษย์ในกระบวนการแจกจ่ายงานและการลงโทษพักงาน ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในการตีความกฎหมายครั้งแรกเกี่ยวกับพื้นที่ที่ซับซ้อนระหว่างมนุษย์กับการตัดสินใจโดย AI

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2021 มีคำตัดสินครั้งสำคัญโดยศาลฎีกาของสหราชอาณาจักรได้กล่าวว่า Rider ของแพลตฟอร์ม Uber ควรได้รับการปฏิบัติเหมือนแรงงานทั่วไปที่มีสิทธิได้ค่าแรงขั้นต่ำ สิทธิ์ในการลาป่วย และเงินบำนาญ ซึ่งต่างจากบุคคลที่ประกอบอาชีพอิสระ

นับเป็นครั้งแรกที่เหล่า Rider สามารถเรียกร้องสิทธิแรงงานที่บังคับใช้กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ส่วนใหญ่ รวมถึงการลาป่วยและวันหยุด และคำตัดสินคล้าย ๆ กันนี้ก็เกิดขึ้นในแคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ และฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน

ในช่วงบ่ายฝนตกในฤดูร้อนปี 2022 ของพิตส์เบิร์ก Samii คว้าหมวกกันน็อคและจักรยานของเขา และได้เปิดใช้งานบัญชี Uber Eats อีกครั้งในช่วงสั้น ๆ เพื่อเช็คข้อมูลเกี่ยวกับค่าจ้างที่เหล่าเพื่อน ๆ Rider จะได้รับนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19

Samii กล่าวว่าเหล่า Rider ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายที่มากขึ้นนับตั้งแต่เขาสร้าง UberCheats ในปี 2020 มันเปรียบเสมือนการลุกขึ้นมาต่อสู้เป็นครั้งแรกโดย Samii ในฐานะ Rider ที่โดนเหล่าแพลตฟอร์มเอาเปรียบมานานแสนนาน

ก็ต้องบอกว่ามันกลายเป็นเคสตัวอย่างอย่างที่น่าสนใจที่โลกของเราตอนนี้ ไม่เพียงแต่แพลตฟอร์มในด้านการจัดส่งอาหารเพียงเท่านั้น เพราะแทบจะทุกแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีนั้นกำลังถูกควบคุมโดย AI แทบจะทั้งสิ้น

ซึ่งบางครั้งเรื่องโง่ ๆ บางอย่าง AI มันก็ยังไม่สามารถแก้ไขให้ได้ ทั้งที่เป็นเรื่องง่ายดายก็ตามที แม้มันจะเป็นชัยชนะเล็ก ๆ ของเหล่า Rider แต่ท้ายที่สุดแล้วอัลกอริธึมที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AI มันก็ไม่เคยหยุดนิ่ง ยังพัฒนาต่อไป เพื่อขยายช่องว่างทางเศรษฐกิจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเองครับผม

References :
https://www.ft.com/content/5c72d938-5d17-4600-a2e4-1cc20d3f9de1
https://www.wired.com/story/gig-workers-gather-data-check-algorithm-math/
https://www.vice.com/en/article/wx8yvm/uber-shuts-down-app-that-lets-users-know-how-badly-theyve-been-cheated
https://barkanmeizlish.com/uber-eats-and-the-pandemic-economy/

Compaq Computer ผู้ปฏิวัติวงการ PC ตัวจริงที่ถูกลืม

ถ้ากล่าวถึงแบรนด์อย่าง Compaq คิดว่าหลายคนคงจะลืมกันไปแล้วว่ามีแบรนด์ นี้อยู่ในโลกด้วยหรือ แต่ถ้าย้อนไปในยุคเริ่มต้นของการกำหนดของ PC หรือ ยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้น ต้องถือว่า Compaq เป็นแบรนด์แรก ๆ ที่กล้ามาต่อกรกับยักใหญ่อย่าง IBM ในสมัยนั้นได้

ต้องบอกว่า Compaq นั้นมีประวัติที่น่าสนใจ ที่ไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงกันนัก ซึ่ง Campaq นั้นเกิดขึ้นในช่วงประมาณปี 1982 ซึ่งเป็นยุคตั้งไข่ของ PC พอดิบพอดี ซึ่งก่อตั้งโดยอดีตพนักงานของบริษัทยักษ์ใหญ่ในสมัยนั้นอย่าง Texus Intrument ซึ่งเหล่าผู้ก่อตั้งทั้ง 3 คนประกอบไปด้วย Rod Canion , Jim Harris และ Bill Murto

ต้องบอกว่าเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเลยทีเดียวสำหรับการเริ่มธุรกิจ ซึ่ง Rod Canion นั้นถนัดทางด้านบริหารธุรกิจ Murto ถนัดทางด้านการตลาด ส่วน Harris นั้น จะถนัดทางด้าน Engineer แต่ต้องบอกว่า การที่ทั้งสามออกจากบริษัทยักษ์ และมั่นคงอย่าง Texus Intrument แล้วมาเริ่มธุรกิจนั้น มีแต่คนหาว่าพวกเขาบ้าแม้กระทั่งครอบครัวของพวกเขาเองก็ตาม

เริ่มต้นจากงานอดิเรก และความคิดบ้า ๆ

มันเป็นการเริ่มต้นจากงานอดิเรกพร้อมกับความคิดบ้า ๆ ของทั้งสามคน ที่ต้องการจะก่อตั้งบริษัท ซึ่งตอนนั้นต้องบอกว่าทั้งสามไม่ได้มีเงินมากมายรวมถึงไม่ได้มีแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงง่ายอย่าง Startup ในปัจจุบัน ทั้งสามต้องจำนองบ้าน รวมถึงขายรถเพื่อมาเป็นทุนในการเริ่มต้นเปิดบริษัท

ในยุคนั้นต้องบอกว่า IBM นั้นถือเป็นยักษ์ใหญ่มาก ๆ ของวงการธุรกิจของอเมริกาควบคุมทุกอย่างอย่างเบ็ดเสร็จในโลกเทคโนโลยี ทำทุกอย่างตั้งแต่ computer mainframe สำหรับองค์กร ไปจนถึง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การที่จะมาสู้กับยักษ์ใหญ่อย่าง IBM นั้นถือว่าไม่ใ่ช่เรื่องที่ควรจะทำเป็นอย่างยิ่ง

แต่อย่างไรก็ดีเหล่า 3 ผู้ก่อตั้งแห่ง Compaq นั้นได้เห็นช่องว่างทางการตลาดบางอย่าง ที่ IBM ยังครอบครองแบบไม่เบ็ดเสร็จนั่นก็คือตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่สามารถพกพาได้ หรือ ตลาด notebook ในปัจจุบันนั่นเอง

ถ้าย้อนกลับไปในยุคนั้น ต้องบอกว่าแม้จะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถพกพาได้ แต่ขนาดเครื่องก็มีขนาดใหญ่เทอะทะ และมีรูปร่างไม่สวยรวมถึงไม่ได้มีแบตเตอรี่ที่รองรับการใช้งานแบบไม่ต้องเสียบปลั๊กเหมือนในยุคปัจจุบัน

การเริ่มหาทุนในการตั้งบริษัทนั้น ในขณะที่ทั้งสามมีแต่ไอเดียและร่างแบบคร่าว ๆ ของคอมพิวเตอร์แบบพกพา ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะหาทุนเริ่มต้นในสมัยนั้น

ทาง Rod Canion จึงได้เขียนแผนธุรกิจคร่าว ๆ ขึ้นมา และได้มีโอกาสไปพบกับ Ben Rosen โดยเริ่มลงทุนให้ 750,000 เหรียญเป็นทุนตั้งต้นในการเริ่มธุรกิจ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปในยุคนั้น Silicon Valley ยังคงเป็นเพียงแค่ทุ่งและ สวนผลไม้

ทั้งสามคนก็ได้เริ่มว่าจ้างทีมงานจากเงินลงทุนเริ่มต้น และเริ่มทำการผลิตตัว Compaq Portable ตัวแรกออกมา โดยใช้วิธีการ Reverse Engineer หรือ วิศวกรรมย้อนกลับจาก IBM PC  เนื่องจาก IBM ขณะนั้นประสบความสำเร็จ และขายได้ติดตลาดไปแล้ว ต้องทำทุกอย่างให้สามารถ Run Software ของ IBM ได้ทั้งหมด ก็จะเข้าถึงตลาดขนาดมหาศาลที่ IBM ได้เริ่มเปิดตลาดไว้แล้ว

การเริ่มต้นคือต้องทำการลอก Code ของ IBM ที่เป็นตัว Chip หลักที่ใช้ Control PC เพราะส่วนประกอบอื่น ๆ ของ PC นั้นสามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไป สิ่งที่เป็นจุดต่างคือ Chip ที่มีรหัสพิเศษของ IBM เท่านั้น เครื่องก็จะสามารถทำงานกับ Software และ Hardware ต่าง ๆ ของ IBM ได้

ผลิตภัณฑ์ตัวแรก Compaq Portable PC
ผลิตภัณฑ์ตัวแรก Compaq Portable PC

ในทีุ่สดพวกเขาก็ทำสำเร็จ และสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ตัวแรกอย่าง Compaq Portable PC ออกมาได้ และสามารถใช้งานได้กับ Software ของ IBM ได้ทุกอย่าง โดยมีขนาดเบากว่าและราคาที่ถูกกว่า บริษัทได้เชิญสื่อมามากมายในวันเปิดตัวปี 1982 ใน นิวยอร์ก

จากการเปิดตัวทำให้บริษัทเริ่มมีชื่อเสียงผู้คนเริ่มชอบในผลิตภัณฑ์ของ Compaq ซึ่งต้องบอกว่าพวกเขาได้สร้างผลิตภัณฑ์ตัวแรกมาได้อย่างดีมาก พนักงานที่ขายผลิตภัณฑ์ของ IBM อยู่แล้วก็ไม่ยากเลยที่จะขายผลิตภัณฑ์ของ Compaq เพราะมันสามารถทำงานได้เหมือนกัน ต้องบอกว่าสินค้าขายดีมากและผลิตแทบจะไม่ทันกันเลยทีเดียวในปีแรกที่ออกวางจำหน่าย

แค่ปีแรกเพียงปีเดียว Compaq สามารถขาย Portable PC ของตัวเองไปได้ถึง 53,000 เครื่อง สื่อถึงกับยกให้บริษัท Compaq นั้นเป็นบริษัทที่เติบโตได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา

สู้กับยักษ์ใหญ่อย่าง IBM

หลังจากนั้น IBM ก็ได้ออก Portable PC เพื่อมาตอบโต้กลับในปี 1984  โดยออกมาเพื่อจะฆ่า Compaq โดยเฉพาะ แต่สิ่งที่พวกเขาพลาดไปและมั่นใจเกินไปนั่นคือ Portable PC ของ IBM นั้นไม่สามารถรัน Software บางส่วนของ IBM PC เดิมได้

และนั่นได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของอุตสาหกรรม PC เลยก็ว่าได้  Compaq แทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะ Portable PC นั้นสามารถ run ทุกอย่างของ IBM PC ได้ ทำให้ยอดขายยิ่งกระฉูดขึ้นไปอีก มีการขยายโรงงานการผลิต รวมถึงรับพนักงานมากจนถึงกว่า 1000 คนภายในเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น

สร้างวัฒนธรรมใหม่ให้กับ Silicon Valley

ถ้าถามว่าวัฒนธรรมการแจกอาหารฟรี รวมถึงบริการต่าง ๆ ที่ให้กับพนักงานได้อย่างเต็มที่ของบริษัท Startup ในปัจจุบันนั้นใครเป็นคนริเริ่ม ก็ต้องบอกว่า Compaq นี่แหละเป็นผู้ที่สร้างวัฒนธรรมนี้ให้กับ Silicon Valley

เพราะ Compaq เป็นบริษัทแรกที่มีการแจกอาหารและเครื่องดื่ม ให้พนักงานได้รับประทานกันแบบฟรี ๆ ในยุคนั้น ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่แปลกใหม่พอสมควร ทำให้คนสนใจที่จะมาทำงานกับ Compaq มากยิ่งขึ้น และสามารถ Focus กับงานที่ทำได้อย่างเต็มที่

แล้วบริษัทอย่าง Apple หายไปไหนในช่วงนั้น

ช่วงปีต้น ๆ ของ Compaq นั้น Apple ก็ได้ออกวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ขนาดตลาดของ Apple เมื่อเทียบกับขนาดตลาดของ PC ที่ IBM เป็นคนเปิดตลาดมีความแตกต่างกันอย่างมาก ถ้าเทียบตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั้งหมดนั้น Apple สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้เพียงแค่ 4-5% เท่านั้น


และการที่ Apple เป็บระบบปิดไม่สามารถเชื่อมต่อกับใครได้ software ก็รันของตัวเอง ก็ทำให้ครองส่วนแบ่งการตลาดได้น้อยมาก ๆ แม้จะวางจำหน่ายแมคอินทอชพร้อมระบบ Inteface ใหม่ พร้อม mouse ที่เป็นการปฏิวัติวงการในขณะนั้น

แต่ก็ต้องยอมรับว่าสุดท้ายแล้ว Apple เป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ ไปเลยเมื่อเทียบกับตลาด PC ที่ IBM ครองตลาดอยู่ในตอนนั้น ซึ่ง Compaq มาแย่งส่วนแบ่งการตลาดของ IBM ซึ่งใหญ่มาก ๆ ทำให้ Compaq แทบจะเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์การก่อตั้งบริษัทของประเทศอเมริกา

การเติบโตแบบก้าวกระโดด

ด้วยความผิดพลาดของ IBM รวมถึง Apple ก็ไม่สามารถแจ้งเกิดได้กับแมคอินทอชรวมถึงลิซ่า ทำให้ Steve Jobs ก็ต้องถูกบีบให้ออกจาก apple ไปในที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น ก็ไม่มีใครจะมาขัดขวางการเติบโตของ compaq ได้อีกต่อไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องของเทคโนโลยีรวมถึงการตลาด ที่เริ่มนำเอาผู้มีเชื่อเสียงมาช่วยในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทำให้ยอดขายของ Compaq เติบโตขึ้นเกินกว่าปีละ 100% ตลอดในช่วงแรกเริ่มและพุ่งไปถึงกว่า 500 ล้านเหรียญในปี 1985

จุดเปลี่ยนที่สำคัญกับการเข้ามาของ Intel Chipset 386

IBM นั้นมักจะได้สิทธิ์ Exclusive กับ Chip ของบริษัทชื่อดังอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ IBM ถูกปฏิเสธโดย Intel ซึ่ง Chipset 386 นั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่ รวมถึงเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานของ Chip ที่ทำให้การทำงานของ PC ก้าวกระโดดไปอีกขั้น

เมื่อ Intel ไม่ได้ Exclusive ตัว Chip 386 กับ IBM แล้ว  Compaq ก็เร่งในการสร้างผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่ใช้ Chipset 386 เพื่อออกสู่ตลาดให้เร็วที่สุด

ผลิตภัณฑ์อย่าง Desktop386 ขายดีสุด ๆ
ผลิตภัณฑ์อย่าง Desktop386 ขายดีสุด ๆ

ไม่เพียงแค่ Chipset Intel 386 เท่านั้น เมื่อ Compaq ออกผลิตภัณฑ์อย่าง Desktop386 ก็ได้มีการร่วมมือกับ Microsoft ของ Bill Gate ที่ยอมให้ระบบปฏิบัติการของ Windows สามารถรันได้บน Compaq ได้แบบที่ว่าไม่ต้องไปทำการ Copy Chip Code ใด ๆ จาก IBM อีกต่อไป  เป็นการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างสิ้นเชิงและปลดแอกจาก IBM ในที่สุด

ความสุดยอดของ Chipset 386 ทำให้ Compaq เติบโตอย่างก้าวกระโดด และเริ่มฉีกหนี IBM ออกไป และสามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดจาก IBM ไปได้อย่างมาก

แม้ตลาดองค์กร IBM จะเป็นเจ้าตลาดอยู่ก็ตามแต่ตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้นต้องบอกว่า Compaq ได้ทำยอดขายแซง IBM ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว Compaq ใช้เวลาเพียง 3 ปีก็เข้าสู่ทำเนียบ Fortune 500 ได้สำเร็จ

สามผู้ก่อตั้งต่างร่ำรวยจากมูลค่าหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่พนักงานกลุ่มแรก ๆ ที่ได้หุ้น ก็ทยอยกลายเป็นเศรษฐีกันไปด้วย ต้องบอกว่า Compaq เป็นบริษัทที่ใช้เวลาสร้างกิจการได้รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา และสามารถทำยอดขายแตะ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐได้เร็วที่สุดอีกด้วย

ความผิดพลาดซ้ำสองของ IBM

การพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของ IBM ถือเป็นครั้งแรก ๆ ในประวัติศาสตร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM ที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับบริษัทที่เพิงเกิดใหม่เพียงไม่กี่ปีอย่าง Compaq

IBM ต้องเริ่มใช้การฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิบัตรของ Compaq โดยใช้การ Reverse Engineer ที่ Compaq ทำมาตั้งแต่ต้น ซึ่งก็ถือว่ามีความสุ่มเสี่ยงเหมือนกันที่ Compaq จะถูกฟ้องร้องจนอาจต้องถูกปิดบริษัทไปเลย แต่สุดท้าย Rod Canion ก็ใช้วิธีการเจรจาและชดใช้ค่าเสียหายจนตกลงกันได้ที่ประมาณ 130 ล้านเหรียญสหรัฐ

IBM PS2 ความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยของ IBM
IBM PS2 ความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยของ IBM

ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของ IBM คือการต้องการออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด เพื่อไม่ให้ Compaq สามารถลอกเลียนแบบได้ โดยออกระบบปฏิบัติการใหม่คือ PS/2 ที่ยากที่คู่แข่งจะเลียนแบบ ซึ่งต้องบอกว่า IBM ต้องการฆ่าทุกคนในธุรกิจนี้เลยก็ว่าได้

แต่หารู้ไม่การสร้างระบบปฏิบัติการใหม่ที่ไม่สามารถเข้ากับผลิตภัณฑ์ตัวเดิมของ IBM ได้เลยนั้นถือเป็นการฆ่าตัวตายของ IBM เอง เพราะองค์กรใหญ่หลาย ๆ องค์กรในสหรัฐได้สั่งซื้อเครื่อง computer ของ IBM ไปเป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่งหากต้องการเปลี่ยนต้องมีการเปลี่ยนแบบยกองค์กรและต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ทำให้องค์กรหลาย ๆ องค์กรไม่ต้องการซื้อ PS/2 ของ IBM เพราะต้องมาเริ่มเรียนรู้กันใหม่หมดซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่มหาศาลมาก ๆ

เหมือนยื่นดาบให้ศัตรูมาฆ่าตัวเองเลยก็ว่าได้สำหรับ IBM ชัดเจนว่าต่อจากนี้ ตลาด PC นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว IBM ไม่ได้เป็นผู้กำหนดตลาดอีกต่อไป มีการรวมตัวของผู้ผลิต PC ขนาดใหญ่จำนวน 9 ราย รวมถึงมีการเจรจากับ Bill Gate จาก Microsoft และพัฒนามาตรฐานของพวกเค้าเองในชื่อ EISA (Extended Industry Standard Architecture) โดยที่ไม่เกี่ยวข้องใด  ๆ กับ IBM อีกต่อไปเป็นการถีบ IBM ออกจากตลาด PC แบบถาวรเลยก็ว่าได้

เมื่อ Compaq เข้าสู่ยุคตกต่ำ

แม้การรวมตัวจะเป็นผลดีและทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้นและที่สำคัญสามารถกำจัด IBM ออกจากตลาดได้สำเร็จ แต่ขนาดองค์กรของ Compaq ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มยากที่จะบริหารให้ได้เหมือนตอนเริ่มต้นกิจการ

Compaq เริ่มมีการขยายตลาดไปยังยุโรป ทำให้ได้เจอกับ Eckhard Pfeiffer ที่ถนัดในเรื่องการผลิตในปริมาณมาก ๆ แต่ตัว Rod Canion เองนั้นอยากให้ผลิตภัณฑ์ยังมีคุณภาพเหมือนเดิมต่อไป รวมถึงผู้ผลิตจากญี่ปุ่นอย่างโตชิบ้าก็สามารถผลิตในราคาที่ถูกกว่าซึ่งเป็นการเข้ามากำจัดจุดเด่นของ Compaq ในยุคแรก ๆ ไปเลยก็ว่าได้

ปัญหาต่าง ๆ เริ่มรุมเร้าตัว Rod Canion เองและไม่สามารถแก้ปัญหาได้เริ่มมีการตีตลาดจากแบรนด์นอก รวมถึงดาวรุ่งที่พุ่งแรงขึ้นมาอย่าง Dell ที่สามารถผลิตสินค้าในราคาถูกกว่า Compaq

ทำให้ยอดขายของ Compaq เริ่มตก บริษัทเริ่มปลดพนักงานออกไป Rod Canion เริ่มถูกกดดันจากกรรมการบริษัทคล้าย ๆ กรณีของ Steve Jobs ที่ถูกกดดันให้ออกจาก Apple

Rod Canion เริ่มทนกระแสกดดันไม่ไหวจนต้องยอมถอนตัวออกไป เป็นการสิ้นสุด Compaq ของยุคผู้ก่อตั้งทั้งสามและให้ Eckhard Pfeiffer เข้ามาเป็น CEO แทน

ซึ่งสุดท้ายก็มีการควบรวมกิจการกับ HP เพื่อกลายเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2002 เป็นการสิ้นสุดแบรนด์ Compaq ไปในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
https://www.wikipedia.org
https://history-computer.com/the-real-reason-compaq-failed-spectacularly/
https://www.pcmag.com/news/the-golden-age-of-compaq-computers
https://www.wnyc.org/story/unlikely-pioneers-who-founded-compaq-and-transformed-tech/

Rust เปลี่ยนจากการแก้ปัญหาลิฟต์ค้างไปสู่ภาษาเขียนโปรแกรมที่มีคนชื่นชอบมากที่สุดในโลกได้อย่างไร

โครงการซอฟต์แวร์จำนวนมากเกิดขึ้นเพราะโปรแกรมเมอร์มีปัญหาส่วนตัวที่ต้องแก้ไข ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Graydon Hoare เช่นเดียวกัน

ในปี 2006 Hoare โปรแกรมเมอร์อายุ 29 ปีที่ทำงานให้กับ Mozilla ซึ่งเป็นบริษัทเบราว์เซอร์โอเพ่นซอร์ส เมื่อกลับถึงบ้านที่อพาร์ตเมนต์ของเขาในแวนคูเวอร์ เขาพบว่าลิฟต์เสีย เนื่องจากปัญหาซอฟต์แวร์ขัดข้อง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเกิดปัญหานี้ขึ้น

Hoare อาศัยอยู่บนชั้นที่ 21 และในขณะที่เขาขึ้นบันได เขาก็รู้สึกรำคาญสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก “มันไร้สาระ” เขาคิด

Hoare รู้ว่าการล่มดังกล่าวหลายครั้งเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับวิธีการใช้หน่วยความจำของอุปกรณ์ ซึ่งซอฟต์แวร์ภายในอุปกรณ์เช่นลิฟต์มักเขียนด้วยภาษาโบราณเช่น C++ หรือ C ซึ่งมักอนุญาตให้โปรแกรมเมอร์เขียนโค้ดที่ทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีขนาดค่อนข้างเล็ก 

ปัญหาคือภาษาเหล่านั้นยังทำให้ง่ายต่อการทำให้เกิดข้อบกพร่องของหน่วยความจำโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดที่จะทำให้ทุกอย่างหยุดทำงาน Microsoft ประมาณการว่า 70% ของช่องโหว่ในโค้ดเกิดจากข้อผิดพลาดของหน่วยความจำจากโค้ดที่เขียนด้วยภาษาเหล่านี้

Graydon Hoare ผู้ก่อตั้งภาษา Rust (CR:wikipedia)
Graydon Hoare ผู้ก่อตั้งภาษา Rust (CR:wikipedia)

หากคนส่วนใหญ่หากพบว่าตัวเองต้องเดินขึ้นบันได 21 ขั้น คงจะเพียงแค่รู้สึกหงุดหงิด แต่ Hoare ตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเปิดแล็ปท็อปและเริ่มออกแบบภาษาคอมพิวเตอร์ใหม่ ซึ่งเป็นภาษาที่เขาหวังว่าจะทำให้สามารถเขียนโค้ดขนาดเล็กและรวดเร็วได้โดยไม่มีข้อบกพร่องในเรื่องหน่วยความจำโดยเขาได้ตั้งชื่อมันว่า Rust

สิบเจ็ดปีต่อมา Rust ได้กลายเป็นหนึ่งในภาษาใหม่ที่ร้อนแรงที่สุดในโลก มีผู้เขียนโค้ด 2.8 ล้านคนที่เขียนด้วยภาษา Rust และบริษัทต่างๆ ตั้งแต่ Microsoft ไปจนถึง Amazon มองว่าสิ่งนี้เป็นกุญแจสู่อนาคตของพวกเขา 

แพลตฟอร์มแชท Discord ใช้ Rust เพื่อเร่งความเร็วระบบ Dropbox ใช้เพื่อซิงค์ไฟล์กับคอมพิวเตอร์ของลูกค้า และ Cloudflare ใช้เพื่อประมวลผลมากกว่า 20% ของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตทั้งหมด 

ผู้บริหารของ Mozilla รู้สึกทึ่งพวกเขาตระหนักว่า Rust สามารถช่วยพวกเขาสร้างเอ็นจิ้นเบราว์เซอร์ที่ดีขึ้นได้ซึ่งแน่นอนว่าเบราว์เซอร์เป็นซอฟต์แวร์ที่มีความซับซ้อนสูงและมีโอกาสมากมายที่จะเกิดข้อบกพร่องของหน่วยความจำที่เป็นอันตราย

ในปี 2009 Mozilla ตัดสินใจสนับสนุน Rust อย่างเป็นทางการ โดยทำให้ภาษาเป็นโอเพ่นซอร์ส Mozilla เริ่มลงทุนด้วยการจ่ายเงินให้กับกลุ่มวิศวกรเพื่อมาสานต่อโปรเจ็กต์นี้ 

Dave Herman ผู้ร่วมก่อตั้ง Mozilla Research ขนานนามสถานที่ทำงานของกลุ่มหัวกะทิที่มาเริ่มโปรเจ็กต์ Rust ว่า “ถ้ำเด็กเนิร์ด”  ซึ่งอีก 10 ปีให้หลัง Mozilla ได้ว่าจ้างวิศวกรกว่า 12 คนให้ทำงานเต็มเวลากับ Rust

ในช่วงต้นทศวรรษ 2010 วิศวกรของ Mozilla และอาสาสมัครของ Rust ทั่วโลกได้ค่อยๆ พัฒนาแกนกลางของ Rust ซึ่งเป็นวิธีที่ออกแบบมาเพื่อจัดการหน่วยความจำพวกเขาสร้างระบบที่ถูกเรียกว่า “ownership” เพื่อให้ข้อมูลสามารถอ้างอิงได้ด้วยตัวแปรเพียงตัวเดียว 

สิ่งนี้ช่วยลดโอกาสของปัญหาหน่วยความจำได้อย่างมากโดยคอมไพเลอร์ของ Rust จะบังคับใช้กฎ ownership อย่างเข้มงวด หากผู้เขียนโปรแกรมละเมิดกฎ คอมไพเลอร์จะปฏิเสธที่จะคอมไพล์โค้ดและไม่สามารถที่จะเปลี่ยนให้เป็นโปรแกรมที่รันได้

เทคนิคหลายอย่างที่ Rust ใช้ไม่ใช่แนวคิดใหม่: “ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยที่มีอายุหลายสิบปี” Manish Goregaokar ผู้ดูแลทีมเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาของ Rust และทำงานให้กับ Mozilla ในช่วงปีแรก ๆ กล่าว แต่วิศวกรของ Rust เชี่ยวชาญในการค้นหาแนวคิดที่เฉียบคมเหล่านี้และเปลี่ยนให้เป็นคุณสมบัติที่ใช้งานได้จริง

ในขณะที่ทีมปรับปรุงระบบการจัดการหน่วยความจำ Rust ก็มีความต้องการ  garbage collector ของตัวเองน้อยลงเรื่อยๆ และในปี 2013 ทีมงานก็ได้นำระบบดังกล่าวออก โปรแกรมที่เขียนด้วย Rust จึงทำงานได้เร็วขึ้น

Hoare ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่วิศวกรซอฟต์แวร์บางคนได้โต้แย้งว่า Rust ยังคงมีองค์ประกอบที่เหมือนกับ garbage collection (process ที่ทำให้หน่วยความจำว่างสำหรับการนำมาใช้งานอีกครั้ง) นั่นคือระบบ “reference counting” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการทำงานของกลไกในการจองพื้นที่ของหน่วยความจำ แต่ไม่ว่าด้วยวิธีใดประสิทธิภาพของ Rust ก็มีมากกว่าภาษาอื่น ๆ อย่างน่าทึ่ง 

ในไม่ช้าการลงทุนของ Mozilla ก็เริ่มได้ผลตอบแทน ในปี 2016 กลุ่ม Mozilla ได้เปิดตัว Servo ซึ่งเป็นเอ็นจิ้นเบราว์เซอร์ใหม่ที่สร้างขึ้นโดยใช้ภาษา Rust 

ในปีถัดไป กลุ่มอื่น ๆ เริ่มใช้ Rust เพื่อเขียนส่วนของ Firefox ที่แสดงผล CSS (Cascading Style Sheets) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในการตกแต่งเว็บไซต์ การเปลี่ยนแปลงทำให้เบราว์เซอร์เพิ่มประสิทธิภาพอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้บริษัทยังใช้ Rust ในการเขียนโค้ดใหม่ที่ใช้จัดการไฟล์มัลติมีเดีย MP4 เพิ่มอีกด้วย

เมื่อ Rust เริ่มแพร่กระจายเป็น Viral

ในไม่ช้าก็เริ่มได้ยินจากบริษัทอื่นๆ ที่กำลังลองใช้ภาษาใหม่ของพวกเขา ผู้เขียนโค้ดของ Samsung ซึ่งทำงานจากสำนักงานของ Mozilla ในฝรั่งเศสได้บอกว่าพวกเขาจะเริ่มใช้มัน Facebook (Meta) ใช้ Rust เพื่อออกแบบซอฟต์แวร์ใหม่ที่โปรแกรมเมอร์ใช้ในการจัดการซอร์สโค้ดภายใน 

ในไม่ช้า Rust ก็ปรากฏตัวขึ้นที่แกนกลางของซอฟต์แวร์ที่สำคัญ ในปี 2020 Dropbox ได้เปิดตัว “เครื่องมือซิงค์” เวอร์ชันใหม่ ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่รับผิดชอบในการซิงโครไนซ์ไฟล์ระหว่างคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้กับที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ของ Dropbox ซึ่งวิศวกรได้เขียนขึ้นใหม่โดยใช้ภาษา Rust 

เดิมทีระบบเขียนด้วยภาษา Python แต่ด้วยการที่แพลตฟอร์มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนต้องจัดการไฟล์หลายพันล้านไฟล์ Rust ช่วยให้จัดการกับความซับซ้อนนั้นได้ง่ายขึ้น Parker Timmerman วิศวกรซอฟต์แวร์ที่เพิ่งออกจาก Dropbox กล่าว

“มันสนุกที่ได้เขียนโดยภาษา Rust ซึ่งอาจจะแปลกที่จะพูด แต่แค่ตัวภาษามันก็ยอดเยี่ยมแล้ว มันสนุก. คุณรู้สึกเหมือนเป็นนักมายากล และนั่นไม่เคยเกิดขึ้นในภาษาอื่น” เขากล่าว “เราวางเดิมพันครั้งใหญ่แน่นอน มันเป็นเทคโนโลยีใหม่”

บางบริษัทค้นพบว่า Rust ได้ช่วยเหลือพวกเขาเกี่ยวกับข้อบกพร่องในการจัดการหน่วยความจำ Mara Bos ใช้ Rust เพื่อเขียนซอฟต์แวร์ของบริษัทใหม่ทั้งหมดสำหรับควบคุมโดรนซึ่งเดิมเขียนด้วยภาษา C++ 

ที่ Discord วิศวกรรู้สึกหงุดหงิดมานานแล้วที่ garbage collector ในภาษา Go ซึ่งเป็นภาษาที่พวกเขาใช้สร้างส่วนสำคัญของซอฟต์แวร์จะทำให้สิ่งต่างๆ ช้าลง 

ซอฟต์แวร์ Go ของพวกเขาจะดำเนินการตามขั้นตอนทุก ๆ สองนาทีโดยประมาณ แม้ว่าวิศวกรของ Discord จะเขียนสิ่งต่าง ๆ อย่างระมัดระวังแล้วก็ตามที ในปี 2020 พวกเขาเขียนระบบใหม่ทั้งหมดโดยใช้ Rust และพบว่ามันรันเร็วขึ้นถึง 10 เท่า 

แม้แต่ผู้บริหารและวิศวกรของ Amazon Web Services ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคลาวด์คอมพิวติ้งของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ก็ยังเชื่อมั่นว่า Rust สามารถช่วยพวกเขาเขียนโค้ดที่ปลอดภัยและเร็วขึ้นได้ 

“Rust อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนใครซึ่งมีข้อได้เปรียบที่ผมไม่สามารถหาได้จากภาษาอื่น มันให้พลังวิเศษมากมายในภาษาเดียว” Shane Miller ผู้สร้างทีม Rust ที่ AWS ก่อนออกจากบริษัทเมื่อปีที่แล้วกล่าว 

บางทีสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับยักษ์ใหญ่ด้านการประมวลผลแบบคลาวด์คือ การศึกษาโค้ดที่อิงกับ Rust พบว่าโค้ดทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากจนใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงครึ่งเดียวของโปรแกรมที่คล้ายกันที่เขียนด้วย Java ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันทั่วไปใน AWS 

Rust ช่วยประหยัดทรัพยากรในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่อย่าง AWS หรือ Azure ได้เป็นอย่างมาก (CR:Soft Consulting)
Rust ช่วยประหยัดทรัพยากรในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่อย่าง AWS หรือ Azure ได้เป็นอย่างมาก (CR:Soft Consulting)

“ดังนั้นผมจึงสามารถสร้างศูนย์ข้อมูลที่รันได้ถึง 2 เท่าของเวิร์กโหลดที่ผมใช้ในปัจจุบัน” Miller กล่าว หรือทำงานแบบเดียวกันนี้ในศูนย์ข้อมูลที่มีขนาดเพียงครึ่งเดียวซึ่งทำให้สามารถประหยัดเงินได้อย่างมหาศาล

ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีนำภาษานี้ไปใช้ พวกเขายังได้รับอิทธิพลจากภาษานี้มากขึ้นด้วย พวกเขามีเงินมากพอที่จะจ่ายให้วิศวกรทำงานเต็มเวลาในการพัฒนา Rust  มีผู้นำของทีม Rust หลายคนได้กลายเป็นพนักงานของ ทั้ง Amazon และ Microsoft 

แม้ว่าตอนนี้ โค้ดภาษาโบราณอย่าง C และ C++ ทั้งหมดที่มีอยู่จะยังไม่หายไป ซึ่งยังคงต้องมีการใช้งานต่อไปอีกหลายสิบปี แต่ถ้า Rust กลายเป็นวิธีทั่วไปในการเขียนโค้ดใหม่ที่ต้องการความเร็ว เราอาจจะได้เห็นซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ทั่วโลกที่น่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อย ๆ มีโอกาสเกิดความผิดพลาดน้อยลง และมีความเสถียรเพิ่มมากขึ้นในอนาคตนั่นเองครับผม 

References :
https://www.technologyreview.com/2023/02/14/1067869/rust-worlds-fastest-growing-programming-language/
https://en.wikipedia.org/wiki/Rust_(programming_language)
https://thenewstack.io/graydon-hoare-remembers-the-early-days-of-rust/
https://wikitia.com/wiki/Graydon_Hoare

20 ปี Facebook ความหวัง ความฝัน ความทรงจำทั้งดีร้ายบนแพลตฟอร์มโซเชียลอันดับหนึ่ง

เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านมา 20 ปีแล้วนะครับ สำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอันดับหนึ่งของโลกอย่าง Facebook

ผมคิดว่าหลาย ๆ คนคงมีทั้งความทรงจำที่ดีและร้ายที่ถูกถ่ายทอดผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแห่งนี้

ผมยังจำได้ดีในช่วงแรกของการเปิดตัว ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถสมัคร facebook ได้แบบทันที แต่ต้องมี invite จากผู้ที่เป็นสมาชิกอยู่แล้วให้ไปสมัคร ซึ่งมันคงความเป็น exclusive network ได้อยู่ในช่วงระยะเวลานึง

Feeling มันก็คล้าย ๆ กับตอน Clubhouse เปิดตัว ทุกคนอยากเข้าไปเล่นแต่ต้องได้รับการ invite ซึ่ง concept ของ Clubhouse นั้นก็เลียนแบบมาจากโซเชียลมีเดียรุ่นพี่อย่าง facebook นั่นแหละ

ผมคิดว่าหลาย ๆ ท่านคงมีความผูกพันกับแพลตฟอร์มแห่งนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคน Gen Y ขึ้นไป เรียกได้ว่าเติบโตมาพร้อมกับมันเห็นความเปลี่ยนแปลงของมันมานับต่อนับ

ย้อนวันวานจุดเริ่มต้นของ Facebook

มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนกับการเกิดขึ้นของ facemash จากการที่ Mark Zuckerberg ถูกผู้หญิงทิ้งแล้วต้องการที่จะทำบางอย่างเพื่อลบความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์

ด้วยความอัจฉริยะทางด้านคอมพิวเตอร์ก็เลยคิดไอเดียแปลก  ๆ ขึ้นมา โดย Zuckerberg ได้ทำการสร้างเว็บไซต์ เปรียบเทียบใบหน้าของผู้หญิง แล้วให้โหวตว่าใคร hot สุด โดยจะ random หน้าของสาว ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วทำการคำนวนผ่าน algorithm ที่เขาคิดค้นขึ้น

ปัญหาคือจะเอารูปของนักศึกษาในมหาลัยมาจากไหนแต่ด้วยความเป็น hacker เป็นทุนเดิมอยู่แล้วของ Zuckerberg จึงไม่ใช่เรื่องยากเลย ในการที่จะไปดูดเอารูปมาจากเว็บไซต์ประจำหอพักต่าง ๆ ของมหาลัยซึ่งมีการเก็บข้อมูลแยกกันอยู่และไม่ได้มีการวางระบบ Security ไว้อย่างแน่นหนาพอ

Zuckerberg ใช้เวลาเพียงไม่นานโดยระหว่างเขียน code ก็ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปด้วยแล้วก็ทำทุกอย่างเสร็จ ซึ่งไอเดีย ตอนแรกที่เขาเขียนไว้ใน blog ส่วนตัวนั้น เขาโมโห ถึงขนาดว่าจะเอารูปหน้าคนไปเปรียบเทียบกับสัตว์เลยด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้ทำมันในเว็บจริง ๆ ของ facemash

แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้อยากให้มันเผยแพร่กระจายไปทั่วมหาลัยเลย เขาเพียงแค่ส่ง link ไปให้เพื่อนไม่กี่คนของเขา เพื่อให้ดูว่ามันเจ๋งแค่ไหนเท่านั้นและเขาก็ปล่อย server วางไว้อย่างงั้นจนข้ามวัน

พลังของ Network

ผ่านพ้นคืนนั้นไป Zuckerberg ก็ได้ไปเข้าเรียนปรกติ แต่สิ่งที่ผิดปรกติคือเริ่มมีคนมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ จนเมื่อกลับมาถึงห้องพักพบว่าคอมพิวเตอร์ที่วางตัวเป็น server นั้นเริ่มค้างทำให้เขาถึงกับเข่าทรุดไปเลยทีเดียว

การส่ง link ไปให้เพื่อนเพียงไม่กี่คนผ่าน email ในตอนแรกนั้น ถูก forward ต่อกระจายไปยังหลาย mailing list ของมหาลัย Harvard ในคืนนั้น โดยมีผู้คนเข้ามาใช้งาน facemash ถึงกว่า 22,000 ครั้ง และกลายเป็นว่าทำให้มีคนไม่พอใจเป็นอย่างมากกับการกระทำของ Zuckerberg ในครั้งนี้

แม้ผู้ชายจะเล่น facemash กันอย่างสนุกสนานทั้งมหาลัย แต่มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสำหรับสาว ๆ Harvard กลายเป็นว่า มันมีผลต่อการเหยียดเชื้อชาติ สีผิว กับการเปรียบเทียบรูปร่างหน้าตาแบบนี้ทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ในที่สุด

สุดท้าย Zuckerberg ก็โดนทัณฑ์บนโดยมหาวิทยาลัยสั่งห้ามทำเรื่องเสียหายแบบนี้อีกไม่งั้นจะถูกไล่ออก แต่ หนังสือพิมพ์ชื่อดังของ Harvard อย่าง The Harvard Crimson ก็ลงข่าวเรื่องนี้ทำให้ชื่อเสียง Zuckerberg แพร่กระจายไปทั่วมหาลัย แต่ไม่ใช่เรื่องดีอย่างที่ Zuckerberg ต้องการกลับกลายเป็นคนที่ผู้หญิงทั้งมหาลัยยี้ภายในคืนเดียวด้วยความไม่ตั้งใจ

ถามว่าทำไม facemash ถึงเป็นจุดเริ่มต้นก็เพราะมันทำให้ Zuckerberg ได้เห็นถึงพลังของเครือข่าย แม้จะเป็นแค่เครือข่ายที่ทำการส่ง forward mail ยังทำให้คนเข้ามาใช้จน server พังได้

facemash ที่ทำให้ Zuckerberg เห็นถึงศักยภาพของ Network (CR:Social Student)
facemash ที่ทำให้ Zuckerberg เห็นถึงศักยภาพของ Network (CR:Social Student)

ถ้าย้อนกลับไปในช่วงปี 2004 นั้นก็ต้องบอกว่าเว็บไซต์ social network ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วและมีเจ้าตลาดอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น friendster หรือ myspace  หรือในไทยเราก็เริ่มใช้ Hi5 กันแล้วถ้าหลาย ๆ คนยังคงจำได้

แล้ว facebook มันจะแจ้งเกิดได้อย่างไรในวันที่ระบบ social network เต็มไปหมดแล้ว ซึ่งถ้าใครหลายคนยังจำได้ การเข้าใช้งาน facebook ในช่วงแรก ๆ ที่เปิดให้คนทั่วไปใช้งานนั้น ต้องมีการ invite เข้าไปเล่นไม่สามารถสมัครได้โดยตรง

ซึ่งความเป็น Exclusive Network นี่แหละคือไอเดียเริ่มต้นของการสร้าง facebook เลยก็ว่าได้เพราะไม่งั้น Zuckerberg ก็คงเพียงสร้าง social network ธรรมดา ๆ ขึ้นมาที่ไม่ต่างจาก frienster หรือ myspace ทำเท่านั้นและคงไม่ดังกระฉูดมาจนถึงทุกวันนี้

Harvard Connection (Exclusive Social Network)

Harvard นั้นมีชมรมลับอยู่มากมายที่เหล่านักศึกษาทั่วมหาลัยหมายปองที่จะเข้าไปอยู่เพราะไม่ใช่แค่เรื่องเรียนเท่านั้น ที่ Harvard มีจุดเด่น

แต่เรื่อง connection ต่าง ๆ เป็นเรื่องสำคัญศิษย์เก่าหลาย ๆ คนเป็นใหญ่เป็นโตเป็นนักธุรกิจร่ำรวยมีหน้ามีตาในสังคมทั้งนั้นไล่ตั้งแต่ประธานาธิดีไปจนถึงนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิคซึ่งล้วนแล้วแต่ผ่านการเข้าชมรมที่ exclusive เหล่านี้แทบจะทั้งสิ้น

สองพี่น้อง Winklevoss ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยสองคนนี้เป็นฝีพายอันดับต้น ๆ ของประเทศแถมยังเรียนเก่งและมาจากตระกูลเศรษฐีอีกต่างหากต้องบอกว่าเป็นหนุ่ม ๆ ที่สาว ๆ ใน Harvard ถวิลหาเลยก็ว่าได้

ซึ่งทั้งสองนั้นเป็นสมาชิกชมรม Poselion Club ซึ่งนับได้ว่าเป็นชมรมระดับต้น ๆ ของมหาวิทยาลัย Harvard ซึ่งการจะเข้าชมรมดังกล่าวได้ต้องมีดีพร้อมทุกอย่างเท่านั้นโดยชมรมนี้จะเน้นไปในเรื่องของการหา connection ทางด้านธุรกิจ เป็นหลักไม่ได้เน้นเรื่องปาร์ตี้เหมือนชมรมอื่น ๆ ใน Harvard

ซึ่งทั้งฝาแฝดทั้งสองและเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งคือ divya narendra กำลังสร้างธุรกิจบางอย่างอยู่ที่พวกเขาทั้งสามทำมากว่า 2 ปีแล้วแต่มันไม่เสร็จซักที เนื่องจากโปรแกรมเมอร์หลักของทีมที่ชื่อ Victor นั้นกำลังวุ่นอยู่กับการเรียนในปีท้าย ๆ ซึ่งถือว่าหนักอยู่พอสมควรจึงเป็นที่มาของการหาโปรแกรมเมอร์คนใหม่เพื่อมาสานต่อไอเดียธุรกิจที่พวกเขาคิดไว้ให้สำเร็จนั่นเอง

สองพี่น้อง Winklevoss และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ Divya Narendra (CR:Switchere official blog)
สองพี่น้อง Winklevoss และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ Divya Narendra (CR:Switchere official blog)

ชื่อเสียงด้านความอัจฉริยะของ Zuckerberg โดยเฉพาะจากเรื่องของ facemash ได้ไปเข้าหูของสองพี่น้อง Winklevoss และพาร์ทเนอร์ธุรกิจอีกคนอย่าง divya narendra ที่กำลังหาโปรแกรมเมอร์คนใหม่มาสานฝันต่อไอเดียธุรกิจของพวกเขา

และในที่สุดทั้งสี่คนก็ได้พบเจอกันมันเหมือนพรหมลิขิตที่ถูกขีดชะตาไว้เรียบร้อยแล้ว Zuckerberg ที่กำลังชื่อเสียงแย่จาก facemash ต้องการที่จะกู้ชื่อเสียงตัวเองกลับมา รวมถึงไอเดียธุรกิจแสนบรรเจิดของสองพี่น้อง winklevoss และ divya narendra นั้นก็คือ email ตระกูล @harvard.edu ซึ่งเป็น email ที่ exclusive สุด ๆ ที่ใช้กันเฉพาะนักศึกษาหรือ ศิษย์เก่าของ harvard เพียงเท่านั้น

ไอเดียของพวกเขาที่แตกต่างจาก social network อย่าง friendster หรือ myspace คือความเป็น exclusive network เฉพาะภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้นซึ่งมันใกล้ชิดกว่านักศึกษาก็นำข้อมูลส่วนตัวมาลงได้อย่างไม่เคอะเขินเพราะรู้ว่า เป็นการใช้แค่เพียงในมหาวิทยาลัยเท่านั้น

และสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนชีวิตในมหาวิทยาลัยคือการได้ลุ้นกับการเดทกับสาว ๆ มากหน้าหลายตาโดยทำความรู้จักกันผ่านเครือข่ายสังคมสุด exclusive นี้

ซึ่ง Zuckerberg ก็ได้ตกลงที่จะรับเป็นโปรแกรมเมอร์ให้โปรเจคดังกล่าวทันที เพราะไอเดียนี้มันเข้าท่าอย่างชัดเจนไม่ต้องมีการ hack ระบบใด ๆ ทุกคนสามารถนำข้อมูล รูปภาพ ต่าง ๆ เข้าสู่เว็บไซต์ได้ด้วยตัวเอง และ Zuckerberg ก็หวังว่าโปรเจคนี้แหละจะช่วยกู้ชื่อเสียงที่ย่ำแย่ที่ทำไว้กับ facemash กลับมาได้อีกครั้ง

แต่สิ่งที่สองพี่น้องไม่รู้ถึงความแสบของ Zuckerberg ก็คือ Zuckerberg ได้แอบสร้างโปรเจค social network ขึ้นมาอีกตัวโดยใช้ชื่อว่า thefacebook ซึ่งเป็นชื่อแรกก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็น facebook จนถึงทุกวันนี้

thefacebook ที่ Zuckerberg แอบซุ่มทำโดยทื่สองพี่น้อง Winklevoss ไม่รู้ (CR:Feedough)
thefacebook ที่ Zuckerberg แอบซุ่มทำโดยทื่สองพี่น้อง Winklevoss ไม่รู้ (CR:Feedough)

แม้ไอเดียหลาย ๆ อย่างจะไม่เหมือนกันเลยซะทีเดียวเพราะทาง harvard connection นั้นจะมีส่วนของเว็บที่เป็นการหาคู่เดทแต่ key หลัก ๆ ที่เหมือนกันคือความเป็น exclusive network ซึ่งเป็นฟีเจอร์หลักของทั้ง thefacebook และ harvard connection

แต่หลาย ๆ ฟีเจอร์นั้น Zuckerberg ก็ได้ใส่เพิ่มเข้าไปเองใน thefacebook โดยเน้นให้เป็น social network แบบ exclusive จริง ๆ มีการสร้าง profile มีการ invite friend การ share รูปภาพ และความสนใจต่าง  ๆ  , คลาสเรียนซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของเหล่านักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น

โดยยัดทั้งหมดมาไว้ในระบบ online ซึ่งความเป็น social นั้น thefacebook ของ Zuckerberg มีมากกว่า harvard connection ของสองพี่น้อง winklevoss อย่างเห็นได้ชัดที่ Zuckerberg มองเป็นแค่เว็บหาคู่เดทออนไลน์เพียงเท่านั้น

Welcome to the facebook

ในระหว่างการตอบโต้ email กับทางฝั่งพี่น้อง winklevoss ทาง Zuckerberg ก็ใช้เวลาแทบจะทั้งหมดสร้าง thefacebook ขึ้นมาโดยไม่สนใจงานของ harvard connection อีกเลย

โดยเขาทำทั้งหมดอยู่คนเดียวต้องเขียนโค้ดกว่าหลายหมื่นบรรทัดซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับตัว Zuckerberg เลย เพราะเป็นงานที่เขาถนัดอยู่แล้วในเรื่องการเขียนโปรแกรม

Zuckerberg ที่ปั่นเว็บไซต์ thefacebook ด้วยตัวคนเดียว (CR:Harvard Crimson)
Zuckerberg ที่ปั่นเว็บไซต์ thefacebook ด้วยตัวคนเดียว (CR:Harvard Crimson)

สุดท้ายในช่วงต้น ปี 2004 Zuckerberg ใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ ในการเขียนโค้ดทั้งวันทั้งคืนโดดเรียนแทบจะทุกวิชาเพื่อมุ่งพัฒนา thefacebook เพียงอย่างเดียวจนมันเสร็จสมบูรณ์พร้อมออนไลน์

และฟีเจอร์ที่สำคัญสุดท้าย ที่ Zuckerbergได้ใส่ไปใน thefacebook นั่นคือ Relationship Status ฟังก์ชั่นนี้แหละได้กลายเป็นฟีเจอร์สำคัญที่จะทำให้คนแห่กันเข้ามาใช้ เพราะทำให้รู้ว่าใครโสดหรือไม่โสดหรือต้องการหาแฟนเหมือนป้ายห้อยติดคอบอกสถานะว่าเรามีแฟนแล้วหรือยังนั่นเอง

ในที่สุดวันที่รอคอย ก็มาถึง 4 กุมภาพันธ์ 2004 ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นวันแรกของการก่อกำเนิดเว็บไซต์โซเชียลมีเดียที่ยิ่งใหญ่อย่าง thefacebook (ก่อนเปลี่ยนมาเป็น facebook ในภายหลัง) และเรื่องราวถัดจากนั้นก็คือตำนานอย่างที่พวกเราได้รับรู้กัน