ตัวอย่างผู้นำด้านเทคโนโลยียุคบุกเบิกรายใหญ่อย่าง Apple และ Microsoft พวกเขาได้พิสูจน์ความสำเร็จด้วยการจัดลำดับความสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาได้ชัดเจน ควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
มันเป็นเรื่องยากที่เหล่า Rider จะทราบระยะทางที่แท้จริง เพราะในใบเสร็จรับเงินที่เหล่า Rider ได้รับนั้นจะเห็นเพียงแค่เส้นทางจากจุด A ไปยังจุด B พร้อมกับระยะทางเป็นไมล์และเงินที่พวกเขาได้รับ
ปัจจุบันมีแรงงานในกลุ่มนี้มากกว่าหนึ่งพันล้านคนในรูปแบบต่าง ๆ แอปพลิเคชันใช้เทคโนโลยี AI ได้ทำการออกคำสั่งให้แรงงานทาสเหล่านี้โดยส่งตรงไปยังโทรศัพท์มือถือของพวกเขา
ปัจจุบันเขาก่อตั้งสตาร์ทอัพชื่อ Dashcam For Your Bike ซึ่งช่วยให้นักปั่นจักรยานในเมืองสามารถบันทึกภาพวีดีโอเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน โดยเรียกได้ว่าเขาเป็นนักกิจกรรมตัวยง
Samii ยังเคยทำงานให้กับบริษัท Argo.ai ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติที่ได้รับเงินทุนจาก Ford และ Volkswagen
“สุดท้ายผมก็ได้คุยกับคนที่สามารถเปิด Google Maps และบอกว่า ‘นี่คือจุดบกพร่องจริง ๆ'”
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นไอเดียที่แว๊บเข้ามาในสมองของเขาว่า เขาสามารถที่จะหาพิกัดจากใบเสร็จรับเงินแล้วนำไปค้นใน Google ด้วยตัวเองเพื่อตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่
ก็ต้องบอกว่ามันกลายเป็นเคสตัวอย่างอย่างที่น่าสนใจที่โลกของเราตอนนี้ ไม่เพียงแต่แพลตฟอร์มในด้านการจัดส่งอาหารเพียงเท่านั้น เพราะแทบจะทุกแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีนั้นกำลังถูกควบคุมโดย AI แทบจะทั้งสิ้น
ซึ่งบางครั้งเรื่องโง่ ๆ บางอย่าง AI มันก็ยังไม่สามารถแก้ไขให้ได้ ทั้งที่เป็นเรื่องง่ายดายก็ตามที แม้มันจะเป็นชัยชนะเล็ก ๆ ของเหล่า Rider แต่ท้ายที่สุดแล้วอัลกอริธึมที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AI มันก็ไม่เคยหยุดนิ่ง ยังพัฒนาต่อไป เพื่อขยายช่องว่างทางเศรษฐกิจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเองครับผม
ทาง Rod Canion จึงได้เขียนแผนธุรกิจคร่าว ๆ ขึ้นมา และได้มีโอกาสไปพบกับ Ben Rosen โดยเริ่มลงทุนให้ 750,000 เหรียญเป็นทุนตั้งต้นในการเริ่มธุรกิจ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปในยุคนั้น Silicon Valley ยังคงเป็นเพียงแค่ทุ่งและ สวนผลไม้
ทั้งสามคนก็ได้เริ่มว่าจ้างทีมงานจากเงินลงทุนเริ่มต้น และเริ่มทำการผลิตตัว Compaq Portable ตัวแรกออกมา โดยใช้วิธีการ Reverse Engineer หรือ วิศวกรรมย้อนกลับจาก IBM PC เนื่องจาก IBM ขณะนั้นประสบความสำเร็จ และขายได้ติดตลาดไปแล้ว ต้องทำทุกอย่างให้สามารถ Run Software ของ IBM ได้ทั้งหมด ก็จะเข้าถึงตลาดขนาดมหาศาลที่ IBM ได้เริ่มเปิดตลาดไว้แล้ว
การเริ่มต้นคือต้องทำการลอก Code ของ IBM ที่เป็นตัว Chip หลักที่ใช้ Control PC เพราะส่วนประกอบอื่น ๆ ของ PC นั้นสามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไป สิ่งที่เป็นจุดต่างคือ Chip ที่มีรหัสพิเศษของ IBM เท่านั้น เครื่องก็จะสามารถทำงานกับ Software และ Hardware ต่าง ๆ ของ IBM ได้
ในทีุ่สดพวกเขาก็ทำสำเร็จ และสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ตัวแรกอย่าง Compaq Portable PC ออกมาได้ และสามารถใช้งานได้กับ Software ของ IBM ได้ทุกอย่าง โดยมีขนาดเบากว่าและราคาที่ถูกกว่า บริษัทได้เชิญสื่อมามากมายในวันเปิดตัวปี 1982 ใน นิวยอร์ก
จากการเปิดตัวทำให้บริษัทเริ่มมีชื่อเสียงผู้คนเริ่มชอบในผลิตภัณฑ์ของ Compaq ซึ่งต้องบอกว่าพวกเขาได้สร้างผลิตภัณฑ์ตัวแรกมาได้อย่างดีมาก พนักงานที่ขายผลิตภัณฑ์ของ IBM อยู่แล้วก็ไม่ยากเลยที่จะขายผลิตภัณฑ์ของ Compaq เพราะมันสามารถทำงานได้เหมือนกัน ต้องบอกว่าสินค้าขายดีมากและผลิตแทบจะไม่ทันกันเลยทีเดียวในปีแรกที่ออกวางจำหน่าย
หลังจากนั้น IBM ก็ได้ออก Portable PC เพื่อมาตอบโต้กลับในปี 1984 โดยออกมาเพื่อจะฆ่า Compaq โดยเฉพาะ แต่สิ่งที่พวกเขาพลาดไปและมั่นใจเกินไปนั่นคือ Portable PC ของ IBM นั้นไม่สามารถรัน Software บางส่วนของ IBM PC เดิมได้
และนั่นได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของอุตสาหกรรม PC เลยก็ว่าได้ Compaq แทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะ Portable PC นั้นสามารถ run ทุกอย่างของ IBM PC ได้ ทำให้ยอดขายยิ่งกระฉูดขึ้นไปอีก มีการขยายโรงงานการผลิต รวมถึงรับพนักงานมากจนถึงกว่า 1000 คนภายในเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น
ช่วงปีต้น ๆ ของ Compaq นั้น Apple ก็ได้ออกวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ขนาดตลาดของ Apple เมื่อเทียบกับขนาดตลาดของ PC ที่ IBM เป็นคนเปิดตลาดมีความแตกต่างกันอย่างมาก ถ้าเทียบตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั้งหมดนั้น Apple สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้เพียงแค่ 4-5% เท่านั้น
แต่ก็ต้องยอมรับว่าสุดท้ายแล้ว Apple เป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ ไปเลยเมื่อเทียบกับตลาด PC ที่ IBM ครองตลาดอยู่ในตอนนั้น ซึ่ง Compaq มาแย่งส่วนแบ่งการตลาดของ IBM ซึ่งใหญ่มาก ๆ ทำให้ Compaq แทบจะเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์การก่อตั้งบริษัทของประเทศอเมริกา
การเติบโตแบบก้าวกระโดด
ด้วยความผิดพลาดของ IBM รวมถึง Apple ก็ไม่สามารถแจ้งเกิดได้กับแมคอินทอชรวมถึงลิซ่า ทำให้ Steve Jobs ก็ต้องถูกบีบให้ออกจาก apple ไปในที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น ก็ไม่มีใครจะมาขัดขวางการเติบโตของ compaq ได้อีกต่อไปแล้ว
การพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของ IBM ถือเป็นครั้งแรก ๆ ในประวัติศาสตร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM ที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับบริษัทที่เพิงเกิดใหม่เพียงไม่กี่ปีอย่าง Compaq
IBM ต้องเริ่มใช้การฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิบัตรของ Compaq โดยใช้การ Reverse Engineer ที่ Compaq ทำมาตั้งแต่ต้น ซึ่งก็ถือว่ามีความสุ่มเสี่ยงเหมือนกันที่ Compaq จะถูกฟ้องร้องจนอาจต้องถูกปิดบริษัทไปเลย แต่สุดท้าย Rod Canion ก็ใช้วิธีการเจรจาและชดใช้ค่าเสียหายจนตกลงกันได้ที่ประมาณ 130 ล้านเหรียญสหรัฐ
ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของ IBM คือการต้องการออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด เพื่อไม่ให้ Compaq สามารถลอกเลียนแบบได้ โดยออกระบบปฏิบัติการใหม่คือ PS/2 ที่ยากที่คู่แข่งจะเลียนแบบ ซึ่งต้องบอกว่า IBM ต้องการฆ่าทุกคนในธุรกิจนี้เลยก็ว่าได้
แต่หารู้ไม่การสร้างระบบปฏิบัติการใหม่ที่ไม่สามารถเข้ากับผลิตภัณฑ์ตัวเดิมของ IBM ได้เลยนั้นถือเป็นการฆ่าตัวตายของ IBM เอง เพราะองค์กรใหญ่หลาย ๆ องค์กรในสหรัฐได้สั่งซื้อเครื่อง computer ของ IBM ไปเป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่งหากต้องการเปลี่ยนต้องมีการเปลี่ยนแบบยกองค์กรและต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ทำให้องค์กรหลาย ๆ องค์กรไม่ต้องการซื้อ PS/2 ของ IBM เพราะต้องมาเริ่มเรียนรู้กันใหม่หมดซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่มหาศาลมาก ๆ
เหมือนยื่นดาบให้ศัตรูมาฆ่าตัวเองเลยก็ว่าได้สำหรับ IBM ชัดเจนว่าต่อจากนี้ ตลาด PC นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว IBM ไม่ได้เป็นผู้กำหนดตลาดอีกต่อไป มีการรวมตัวของผู้ผลิต PC ขนาดใหญ่จำนวน 9 ราย รวมถึงมีการเจรจากับ Bill Gate จาก Microsoft และพัฒนามาตรฐานของพวกเค้าเองในชื่อ EISA (Extended Industry Standard Architecture) โดยที่ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับ IBM อีกต่อไปเป็นการถีบ IBM ออกจากตลาด PC แบบถาวรเลยก็ว่าได้
เมื่อ Compaq เข้าสู่ยุคตกต่ำ
แม้การรวมตัวจะเป็นผลดีและทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้นและที่สำคัญสามารถกำจัด IBM ออกจากตลาดได้สำเร็จ แต่ขนาดองค์กรของ Compaq ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มยากที่จะบริหารให้ได้เหมือนตอนเริ่มต้นกิจการ
Hoare รู้ว่าการล่มดังกล่าวหลายครั้งเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับวิธีการใช้หน่วยความจำของอุปกรณ์ ซึ่งซอฟต์แวร์ภายในอุปกรณ์เช่นลิฟต์มักเขียนด้วยภาษาโบราณเช่น C++ หรือ C ซึ่งมักอนุญาตให้โปรแกรมเมอร์เขียนโค้ดที่ทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีขนาดค่อนข้างเล็ก
ปัญหาคือภาษาเหล่านั้นยังทำให้ง่ายต่อการทำให้เกิดข้อบกพร่องของหน่วยความจำโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดที่จะทำให้ทุกอย่างหยุดทำงาน Microsoft ประมาณการว่า 70% ของช่องโหว่ในโค้ดเกิดจากข้อผิดพลาดของหน่วยความจำจากโค้ดที่เขียนด้วยภาษาเหล่านี้
ผู้บริหารของ Mozilla รู้สึกทึ่งพวกเขาตระหนักว่า Rust สามารถช่วยพวกเขาสร้างเอ็นจิ้นเบราว์เซอร์ที่ดีขึ้นได้ซึ่งแน่นอนว่าเบราว์เซอร์เป็นซอฟต์แวร์ที่มีความซับซ้อนสูงและมีโอกาสมากมายที่จะเกิดข้อบกพร่องของหน่วยความจำที่เป็นอันตราย
ในปี 2009 Mozilla ตัดสินใจสนับสนุน Rust อย่างเป็นทางการ โดยทำให้ภาษาเป็นโอเพ่นซอร์ส Mozilla เริ่มลงทุนด้วยการจ่ายเงินให้กับกลุ่มวิศวกรเพื่อมาสานต่อโปรเจ็กต์นี้
Dave Herman ผู้ร่วมก่อตั้ง Mozilla Research ขนานนามสถานที่ทำงานของกลุ่มหัวกะทิที่มาเริ่มโปรเจ็กต์ Rust ว่า “ถ้ำเด็กเนิร์ด” ซึ่งอีก 10 ปีให้หลัง Mozilla ได้ว่าจ้างวิศวกรกว่า 12 คนให้ทำงานเต็มเวลากับ Rust
บางบริษัทค้นพบว่า Rust ได้ช่วยเหลือพวกเขาเกี่ยวกับข้อบกพร่องในการจัดการหน่วยความจำ Mara Bos ใช้ Rust เพื่อเขียนซอฟต์แวร์ของบริษัทใหม่ทั้งหมดสำหรับควบคุมโดรนซึ่งเดิมเขียนด้วยภาษา C++
ที่ Discord วิศวกรรู้สึกหงุดหงิดมานานแล้วที่ garbage collector ในภาษา Go ซึ่งเป็นภาษาที่พวกเขาใช้สร้างส่วนสำคัญของซอฟต์แวร์จะทำให้สิ่งต่างๆ ช้าลง
ผมคิดว่าหลาย ๆ ท่านคงมีความผูกพันกับแพลตฟอร์มแห่งนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคน Gen Y ขึ้นไป เรียกได้ว่าเติบโตมาพร้อมกับมันเห็นความเปลี่ยนแปลงของมันมานับต่อนับ
ย้อนวันวานจุดเริ่มต้นของ Facebook
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนกับการเกิดขึ้นของ facemash จากการที่ Mark Zuckerberg ถูกผู้หญิงทิ้งแล้วต้องการที่จะทำบางอย่างเพื่อลบความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์
ด้วยความอัจฉริยะทางด้านคอมพิวเตอร์ก็เลยคิดไอเดียแปลก ๆ ขึ้นมา โดย Zuckerberg ได้ทำการสร้างเว็บไซต์ เปรียบเทียบใบหน้าของผู้หญิง แล้วให้โหวตว่าใคร hot สุด โดยจะ random หน้าของสาว ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วทำการคำนวนผ่าน algorithm ที่เขาคิดค้นขึ้น
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้อยากให้มันเผยแพร่กระจายไปทั่วมหาลัยเลย เขาเพียงแค่ส่ง link ไปให้เพื่อนไม่กี่คนของเขา เพื่อให้ดูว่ามันเจ๋งแค่ไหนเท่านั้นและเขาก็ปล่อย server วางไว้อย่างงั้นจนข้ามวัน
พลังของ Network
ผ่านพ้นคืนนั้นไป Zuckerberg ก็ได้ไปเข้าเรียนปรกติ แต่สิ่งที่ผิดปรกติคือเริ่มมีคนมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ จนเมื่อกลับมาถึงห้องพักพบว่าคอมพิวเตอร์ที่วางตัวเป็น server นั้นเริ่มค้างทำให้เขาถึงกับเข่าทรุดไปเลยทีเดียว