Rust เปลี่ยนจากการแก้ปัญหาลิฟต์ค้างไปสู่ภาษาเขียนโปรแกรมที่มีคนชื่นชอบมากที่สุดในโลกได้อย่างไร

โครงการซอฟต์แวร์จำนวนมากเกิดขึ้นเพราะโปรแกรมเมอร์มีปัญหาส่วนตัวที่ต้องแก้ไข ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Graydon Hoare เช่นเดียวกัน

ในปี 2006 Hoare โปรแกรมเมอร์อายุ 29 ปีที่ทำงานให้กับ Mozilla ซึ่งเป็นบริษัทเบราว์เซอร์โอเพ่นซอร์ส เมื่อกลับถึงบ้านที่อพาร์ตเมนต์ของเขาในแวนคูเวอร์ เขาพบว่าลิฟต์เสีย เนื่องจากปัญหาซอฟต์แวร์ขัดข้อง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเกิดปัญหานี้ขึ้น

Hoare อาศัยอยู่บนชั้นที่ 21 และในขณะที่เขาขึ้นบันได เขาก็รู้สึกรำคาญสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก “มันไร้สาระ” เขาคิด

Hoare รู้ว่าการล่มดังกล่าวหลายครั้งเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับวิธีการใช้หน่วยความจำของโปรแกรม ซอฟต์แวร์ภายในอุปกรณ์ เช่น ลิฟต์ มักเขียนด้วยภาษาโบราณเช่น C++ หรือ C ซึ่งมักอนุญาตให้โปรแกรมเมอร์เขียนโค้ดที่ทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีขนาดค่อนข้างเล็ก 

ปัญหาคือภาษาเหล่านั้นยังทำให้ง่ายต่อการทำให้เกิดข้อบกพร่องของหน่วยความจำโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดที่จะทำให้ทุกอย่างหยุดทำงาน Microsoft ประมาณการว่า 70% ของช่องโหว่ในโค้ดเกิดจากข้อผิดพลาดของหน่วยความจำจากโค้ดที่เขียนด้วยภาษาเหล่านี้

Graydon Hoare ผู้ก่อตั้งภาษา Rust (CR:wikipedia)
Graydon Hoare ผู้ก่อตั้งภาษา Rust (CR:wikipedia)

หากคนส่วนใหญ่หากพบว่าตัวเองต้องเดินขึ้นบันได 21 ขั้น คงจะเพียงแค่รู้สึกหงุดหงิด แต่ Hoare ตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเปิดแล็ปท็อปและเริ่มออกแบบภาษาคอมพิวเตอร์ใหม่ ซึ่งเป็นภาษาที่เขาหวังว่าจะทำให้สามารถเขียนโค้ดขนาดเล็กและรวดเร็วได้โดยไม่มีข้อบกพร่องในเรื่องหน่วยความจำ โดยเขาได้ตั้งชื่อมันว่า Rust

สิบเจ็ดปีต่อมา Rust ได้กลายเป็นหนึ่งในภาษาใหม่ที่ร้อนแรงที่สุดในโลก มีผู้เขียนโค้ด 2.8 ล้านคนที่เขียนด้วยภาษา Rust และบริษัทต่างๆ ตั้งแต่ Microsoft ไปจนถึง Amazon มองว่าสิ่งนี้เป็นกุญแจสู่อนาคตของพวกเขา 

แพลตฟอร์มแชท Discord ใช้ Rust เพื่อเร่งความเร็วระบบ Dropbox ใช้เพื่อซิงค์ไฟล์กับคอมพิวเตอร์ของลูกค้า และ Cloudflare ใช้เพื่อประมวลผลมากกว่า 20% ของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตทั้งหมด 

ผู้บริหารของ Mozilla รู้สึกทึ่ง พวกเขาตระหนักว่า Rust สามารถช่วยพวกเขาสร้างเอ็นจิ้นเบราว์เซอร์ที่ดีขึ้นได้ เบราว์เซอร์เป็นซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนซึ่งมีโอกาสมากมายที่จะเกิดข้อบกพร่องของหน่วยความจำที่เป็นอันตราย

ในปี 2009 Mozilla ตัดสินใจสนับสนุน Rust อย่างเป็นทางการ โดยทำให้ภาษาเป็นโอเพ่นซอร์ส Mozilla เริ่มลงทุนด้วยการจ่ายเงินให้กับกลุ่มวิศวกรเพื่อมาสานต่อโปรเจ็กต์นี้ 

Dave Herman ผู้ร่วมก่อตั้ง Mozilla Research ขนานนามสถานที่ทำงานของกลุ่มหัวกะทิที่มาเริ่มโปรเจ็กต์ Rust ว่า “ถ้ำเด็กเนิร์ด”  ซึ่งอีก 10 ปีให้หลัง Mozilla ได้ว่าจ้างวิศวกรกว่า 12 คนให้ทำงานเต็มเวลากับ Rust

ในช่วงต้นทศวรรษ 2010 วิศวกรของ Mozilla และอาสาสมัครของ Rust ทั่วโลกได้ค่อยๆ พัฒนาแกนกลางของ Rust ซึ่งเป็นวิธีที่ออกแบบมาเพื่อจัดการหน่วยความจำ พวกเขาสร้างระบบที่ถูกเรียกว่า “ownership” เพื่อให้ข้อมูลสามารถอ้างอิงได้ด้วยตัวแปรเพียงตัวเดียว 

สิ่งนี้ช่วยลดโอกาสของปัญหาหน่วยความจำได้อย่างมาก คอมไพเลอร์ของ Rust จะบังคับใช้กฎ ownership อย่างเข้มงวด หากผู้เขียนโปรแกรมละเมิดกฎ คอมไพเลอร์จะปฏิเสธที่จะคอมไพล์โค้ดและเปลี่ยนให้เป็นโปรแกรมที่รันได้

เทคนิคหลายอย่างที่ Rust ใช้ไม่ใช่แนวคิดใหม่: “ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยที่มีอายุหลายสิบปี” Manish Goregaokar ผู้ดูแลทีมเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาของ Rust และทำงานให้กับ Mozilla ในช่วงปีแรก ๆ กล่าว แต่วิศวกรของ Rust เชี่ยวชาญในการค้นหาแนวคิดที่เฉียบคมเหล่านี้และเปลี่ยนให้เป็นคุณสมบัติที่ใช้งานได้จริง

ในขณะที่ทีมปรับปรุงระบบการจัดการหน่วยความจำ Rust ก็มีความต้องการ  garbage collector ของตัวเองน้อยลงเรื่อยๆ และในปี 2013 ทีมงานก็ได้นำระบบดังกล่าวออก โปรแกรมที่เขียนด้วย Rust จึงทำงานได้เร็วขึ้น

Hoare ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่วิศวกรซอฟต์แวร์บางคนได้โต้แย้งว่า Rust ยังคงมีองค์ประกอบที่เหมือนกับ garbage collection (process ที่ทำให้หน่วยความจำว่างสำหรับการนำมาใช้งานอีกครั้ง) นั่นคือระบบ “reference counting” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการทำงานของกลไกในการจองพื้นที่ของหน่วยความจำ แต่ไม่ว่าด้วยวิธีใด ประสิทธิภาพของ Rust ก็มีมากกว่าภาษาอื่น ๆ อย่างน่าทึ่ง 

ในไม่ช้าการลงทุนของ Mozilla ก็เริ่มได้ผลตอบแทน ในปี 2016 กลุ่ม Mozilla ได้เปิดตัว Servo ซึ่งเป็นเอ็นจิ้นเบราว์เซอร์ใหม่ที่สร้างขึ้นโดยใช้ภาษา Rust 

ในปีถัดไป กลุ่มอื่น ๆ เริ่มใช้ Rust เพื่อเขียนส่วนของ Firefox ที่แสดงผล CSS (Cascading Style Sheets) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในการตกแต่งเว็บไซต์ การเปลี่ยนแปลงทำให้เบราว์เซอร์เพิ่มประสิทธิภาพอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ บริษัทยังใช้ Rust ในการเขียนโค้ดใหม่ที่ใช้จัดการไฟล์มัลติมีเดีย MP4 เพิ่มอีกด้วย

เมื่อ Rust เริ่มแพร่กระจายเป็น Viral

ในไม่ช้าก็เริ่มได้ยินจากบริษัทอื่นๆ ที่กำลังลองใช้ภาษาใหม่ของพวกเขา ผู้เขียนโค้ดของ Samsung ซึ่งทำงานจากสำนักงานของ Mozilla ในฝรั่งเศสได้บอกว่าพวกเขาจะเริ่มใช้มัน Facebook (Meta) ใช้ Rust เพื่อออกแบบซอฟต์แวร์ใหม่ที่โปรแกรมเมอร์ใช้ในการจัดการซอร์สโค้ดภายใน 

ในไม่ช้า Rust ก็ปรากฏตัวขึ้นที่แกนกลางของซอฟต์แวร์ที่สำคัญ ในปี 2020 Dropbox ได้เปิดตัว “เครื่องมือซิงค์” เวอร์ชันใหม่ ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่รับผิดชอบในการซิงโครไนซ์ไฟล์ระหว่างคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้กับที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ของ Dropbox ซึ่งวิศวกรได้เขียนขึ้นใหม่โดยใช้ภาษา Rust 

เดิมทีระบบเขียนด้วยภาษา Python แต่ด้วยการที่แพลตฟอร์มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนต้องจัดการไฟล์หลายพันล้านไฟล์ Rust ช่วยให้จัดการกับความซับซ้อนนั้นได้ง่ายขึ้น Parker Timmerman วิศวกรซอฟต์แวร์ที่เพิ่งออกจาก Dropbox กล่าว

“มันสนุกที่ได้เขียนโดยภาษา Rust ซึ่งอาจจะแปลกที่จะพูด แต่แค่ตัวภาษามันก็ยอดเยี่ยมแล้ว มันสนุก. คุณรู้สึกเหมือนเป็นนักมายากล และนั่นไม่เคยเกิดขึ้นในภาษาอื่น” เขากล่าว “เราวางเดิมพันครั้งใหญ่แน่นอน มันเป็นเทคโนโลยีใหม่”

บางบริษัทค้นพบว่า Rust ได้ช่วยเหลือพวกเขาเกี่ยวกับข้อบกพร่องในการจัดการหน่วยความจำ Mara Bos ใช้ Rust เพื่อเขียนซอฟต์แวร์ของบริษัทใหม่ทั้งหมดสำหรับควบคุมโดรน ซึ่งเดิมเขียนด้วยภาษา C++ 

ที่ Discord วิศวกรรู้สึกหงุดหงิดมานานแล้วที่ garbage collector ในภาษา Go ซึ่งเป็นภาษาที่พวกเขาใช้สร้างส่วนสำคัญของซอฟต์แวร์จะทำให้สิ่งต่างๆ ช้าลง 

ซอฟต์แวร์ Go ของพวกเขาจะดำเนินการตามขั้นตอนทุก ๆ สองนาทีโดยประมาณ แม้ว่าวิศวกรของ Discord จะเขียนสิ่งต่าง ๆ อย่างระมัดระวังแล้วก็ตามที ในปี 2020 พวกเขาเขียนระบบใหม่ทั้งหมดโดยใช้ Rust และพบว่าตอนนี้มันรันเร็วขึ้นถึง 10 เท่า 

แม้แต่ผู้บริหารและวิศวกรของ Amazon Web Services ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคลาวด์คอมพิวติ้งของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ก็ยังเชื่อมั่นว่า Rust สามารถช่วยพวกเขาเขียนโค้ดที่ปลอดภัยและเร็วขึ้นได้ 

“Rust อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนใครซึ่งมีข้อได้เปรียบที่ผมไม่สามารถหาได้จากภาษาอื่น มันให้พลังวิเศษมากมายในภาษาเดียว” Shane Miller ผู้สร้างทีม Rust ที่ AWS ก่อนออกจากบริษัทเมื่อปีที่แล้วกล่าว 

บางทีสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับยักษ์ใหญ่ด้านการประมวลผลแบบคลาวด์คือ การศึกษาโค้ดที่อิงกับ Rust พบว่าโค้ดทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากจนใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงครึ่งเดียวของโปรแกรมที่คล้ายกันที่เขียนด้วย Java ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันทั่วไปใน AWS 

Rust ช่วยประหยัดทรัพยากรในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่อย่าง AWS หรือ Azure ได้เป็นอย่างมาก (CR:Soft Consulting)
Rust ช่วยประหยัดทรัพยากรในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่อย่าง AWS หรือ Azure ได้เป็นอย่างมาก (CR:Soft Consulting)

“ดังนั้นผมจึงสามารถสร้างศูนย์ข้อมูลที่รันได้ถึง 2 เท่าของเวิร์กโหลดที่ผมใช้ในปัจจุบัน” Miller กล่าว หรือทำงานแบบเดียวกันนี้ในศูนย์ข้อมูลที่มีขนาดเพียงครึ่งเดียว ซึ่งทำให้สามารถประหยัดเงินได้อย่างมหาศาล

ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีนำภาษานี้ไปใช้ พวกเขายังได้รับอิทธิพลจากภาษานี้มากขึ้นด้วย พวกเขามีเงินมากพอที่จะจ่ายให้วิศวกรทำงานเต็มเวลาในการพัฒนา Rust  มีผู้นำของทีม Rust หลายคนได้กลายเป็นพนักงานของ ทั้ง Amazon และ Microsoft 

แม้ว่าตอนนี้ โค้ดภาษาโบราณอย่าง C และ C++ ทั้งหมดที่มีอยู่จะยังไม่หายไป ซึ่งยังคงต้องมีการใช้งานต่อไปอีกหลายสิบปี แต่ถ้า Rust กลายเป็นวิธีทั่วไปในการเขียนโค้ดใหม่ที่ต้องการความเร็ว เราอาจจะได้เห็นซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ทั่วโลกที่น่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อย ๆ มีโอกาสเกิดความผิดพลาดน้อยลง และมีความเสถียรเพิ่มมากขึ้นนั่นเองครับผม 

References :
https://www.technologyreview.com/2023/02/14/1067869/rust-worlds-fastest-growing-programming-language/

คำขู่จากอดีตวิศวกร เมื่อ Twitter กำลังจะพังทลายในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนี้

การเปลี่ยนผ่านขององค์กรธุรกิจนั้นเป็นเรื่องปรกตินะครับ คนเก่าจากไปคนใหม่เข้ามา ในทุกตำแหน่งขององค์กรแล้วส่วนใหญ่ ก็มักจะไม่ได้มีปัญหาอะไรที่จะทำให้ถึงขั้นองค์กรต้องล่มสลาย หรือผลิตภัณฑ์ต้องได้รับผลกระทบอย่างหนัก

แต่การเปลี่ยนผ่านองค์กรแบบที่ Elon Musk กำลังทำกับ Twitter นั้น เรียกได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ที่น้อยองค์กรจะพบเจอ ตัวอย่างเช่นการตัดพนักงานออกไปกว่าครึ่ง และส่วนใหญ่ล้วนคลุกคลีอยู่กับผลิตภัณฑ์หลักของ Twitter

แม้ Elon Musk จะเป็นยอดมนุษย์ขนาดไหน แต่เขาก็ไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว ทุก ๆ กิจการที่เขาประสบความสำเร็จนั้น ต้องผ่านการสร้างทีมที่ดี และสามารถทำงานร่วมกับสไตล์การทำงานอันสุดโหดของ Elon Musk ได้

แต่กับ Twitter นั้นมันเป็นเรื่องใหม่สำหรับ Elon Musk เพราะเขาไม่ได้สร้างมันมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก Elon Musk ไล่พนักงานครึ่งหนึ่งจาก 7,500 คนที่เคยทำงานใน Twitter ออก มันได้เริ่มเห็นสัญญาณบางอย่างที่เกิดขึ้นกับแพลตฟอร์มอย่าง Twitter

Twitter เปิดตัวฟีเจอร์อย่าง Re-Tweet ในปี 2009 โดยเปลี่ยนสิ่งที่ผู้คนทำอยู่แล้วโดยใส่ชื่อผู้ใช้และ Tweet ของคนอื่น นำหน้าด้วยตัวอักษร RT ลงในแพลตฟอร์มของพวกเขา ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นฟีเจอร์ยอดฮิตที่นิยมใช้กันมากในแพลตฟอร์มอย่าง Twitter

“บางครั้งคุณจะได้รับการแจ้งเตือนที่ไม่ค่อยดีนัก” วิศวกรคนหนึ่งซึ่งเคยทำงานที่ Twitter กล่าว

โดยเหล่าวิศวกรที่เหลืออยู่เริ่มกังวลกับแพลตฟอร์มหลังจากที่เพื่อนร่วมงานจำนวนมากที่เคยถูกจ้างให้แพลตฟอร์มอย่าง Twitter ทำงานได้อย่างราบรื่นถูกไล่ออกไป

มีการแจ้งเตือนในระบบเกี่ยวกับสิ่งผิดปรกติที่เกิดขึ้นและเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหล่าวิศวกรที่เหลืออยู่ที่จัดการกับโครงสร้างพื้นฐานของแพลตฟอร์มนั้น ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นและพวกเขากำลังจะหมดแรง

ซึ่งก็ต้องบอกว่า Twitter นั้นเป็นแพลตฟอร์มที่แตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่น ๆ ตัวอย่างเช่นเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอย่าง Ecommerce ซึ่งทราฟฟิกขนาดใหญ่นั้นค่อนข้างที่จะสามารถระบุเวลาได้ชัดเจนเช่นเทศกาล Black Friday , Cyber Monday

แต่ Twitter บางครั้งจู่ ๆ ก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นแบบฉับพลันในที่แห่งหนึ่งของโลก แล้วทราฟฟิกก็พุ่งแบบกระฉูด โดยไม่สามารถคาดเดาวันเวลาได้

วิศวกรที่ไม่เปิดเผยนามได้กล่าวว่า ด้วยปัญหาที่รุมเร้าในขณะที่การ maintenance และการแก้ไขปัญหาต่างๆ นั้นต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น สิ่งต่าง ๆ จะเริ่มพังทลาย และจะพังไปอีกนาน ด้วยรูปแบบที่รุนแรงมากขึ้นจนในที่สุดอาจจะทำให้แพลตฟอร์มกลายเป็นอัมพาต

เหล่าวิศวกรที่ถูกไล่ออกไปนั้นหลายๆ คนทำงานมาเป็น 10 ปี ทำให้องค์ความรู้ที่สะสมมาของบุคคลเหล่านั้นก็หายไปพร้อมกับพวกเขา เนื่องจากเป็นการปลดพนักงานแบบฟ้าผ่าแบบที่ไม่มีใครได้ตั้งตัวทัน

นั่นยังไม่รวมถึงโครงการ “Deep Cuts Plan” จาก Elon Musk ที่หวังจะลดโหลดของเซิร์ฟเวอร์คลาวด์คอมพิวติ้งของ Twitter เพื่อพยายามลดค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สูงถึง 3 ล้านเหรียญต่อวัน

ต้องบอกว่าสถานการณ์ของ Twitter ณ ตอนนี้อยู่ในจุดเสี่ยง รอยร้าวที่เริ่มปรากฎออกมาบ้างแล้ว แม้มันจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ก็เป็นสถานการณ์ที่มีความท้าทายเป็นอย่างมากสำหรับ Elon Musk ในการนำพา Twitter ไปให้ถึงฝั่งฝันอย่างที่เขาได้จินตนาการไว้นั่นเองครับผม

References :
https://www.technologyreview.com/2022/11/08/1062886/heres-how-a-twitter-engineer-says-it-will-break-in-the-coming-weeks
https://www.reuters.com/technology/musk-orders-twitter-cut-infrastructure-costs-by-1-bln-sources-2022-11-03/

The future of Start-ups กับแนวคิดที่ควรจะเริ่มคิดทำกำไรแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่เน้นแต่การผลาญเงินเพื่อเติบโต

ส่วนตัวผมได้เห็นบทความจากสื่อใหญ่หลาย ๆ แห่ง ที่พูดทำนองเดียวกันในเรื่องนี้ ที่ต้องเรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของวงการ Startup ทั่วโลก

เราได้เห็นโมเดล Startup ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ที่เน้นการผลาญเงินลงทุนของเหล่า VC และเร่งการเติบโต ซึ่งส่วนใหญ่มันก็ได้ผล แต่ช่วงหลัง ๆ เริ่มเห็นถึงทางตัน เพราะ model ธุรกิจที่ copy กันไปกันมา

มันยากที่จะหาบริษัทที่จะสามารถเติบโตแบบ 100x , 1000x เหมือนในอดีตเช่น facebook , google หรือ amazon ได้ในยุคปัจจุบัน เพราะเทคโนโลยีทุกอย่างมันเริ่มถึงจุดอิ่มตัวแล้ว

ยุคของการระดมทุนแบบง่าย ๆ ใช้สไลด์ไม่กี่แผ่น แล้วคุยโม้โอ้อวดแผนการธุรกิจที่เพ้อฝัน กำลังจะหมดลง บริษัทเทคโนโลยีที่จะมีอนาคตต้องสร้างขึ้นบนรากฐานที่ยั่งยืนเพียงเท่านั้น

สอดรับกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และสภาพแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจเริ่มแย่ลง เหล่าบริษัท startup ที่ไม่ทำกำไรเน้นที่การเติบโตเพียงอย่างเดียว กำลังถูกหมางเมินมากยิ่งขึ้น

เคสใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นกับ Klarna บริษัทที่ทำธุรกิจซื้อก่อนจ่ายทีหลัง ซึ่ง copy model กันทั่วทั้งโลกใครก็ทำได้ มูลค่าลดลงจาก 46 พันล้านดอลลาร์ เหลือน้อยกว่า 7 พันล้านดอลลาร์

โมเดล Buy Now Pay Later แบบ Klarna ไม่ได้มีนวัตกรรม ทำให้ถูก copy ง่าย ๆ จากทั่วโลก (CR:PYMNTS)
โมเดล Buy Now Pay Later แบบ Klarna ไม่ได้มีนวัตกรรม ทำให้ถูก copy ง่าย ๆ จากทั่วโลก (CR:PYMNTS)

โดยปรกติแล้ว เราเห็น pattern เดิม ๆ ของเหล่าบริษัทร่วมทุนหรือ VC ต่าง ๆ ที่จะมุ่งเน้นไปที่การเติบโตของรายได้เป็นหลัก ซึ่งบริษัทใด scale ได้รวดเร็วและยึดครองตลาดได้ทั้งหมดก็จะกลายเป็นผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวได้

แต่สถานการณ์การแข่งขันเรียกได้ว่าเปลี่ยนไป นวัตกรรมที่แทบไม่มีอะไรใหม่ สามารถ copy กันได้ง่าย ๆ แค่มีทุน ไล่ตั้งแต่ ธุรกิจการชำระเงิน การจัดส่งอาหาร บริการเรียกรถ ทำให้การเน้นที่การ scale บริษัทอย่างรวดเร็วเพียงอย่างเดียวมันไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว

บริษัทร่วมทุนขนาดใหญ่ตัวอย่างเช่น Vision Fund ของ Softbank นั้นขาดทุนอย่างมหาศาล หลังจากลงทุนไปในหลายๆ บริษัทที่ดูไม่มีอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเทเงินให้กับ WeWork หรือ แม้กระทั่ง Uber เองที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นกลับมาได้ในเร็ววันนี้

Vision Fund ของ Softbank ที่ขาดทุนอย่างมหาศาล (CR:DealStreetAsia)
Vision Fund ของ Softbank ที่ขาดทุนอย่างมหาศาล (CR:DealStreetAsia)

เหล่านักลงทุนเริ่มไม่ชอบความเสี่ยงมากขึ้นเมื่อเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น แม้แต่กลุ่มทุนที่เคยอัดเม็ดเงินก้อนใหญ่ให้กับวงการก็ตามที ตอนนี้พวกเขาต้องการให้บริษัทพิสูจน์ว่ามีเส้นทางสู่การทำกำไรที่ชัดเจน ไม่ใช่ผลาญเงินเล่นไปวัน ๆ

ตัวอย่างผู้นำด้านเทคโนโลยียุคบุกเบิกรายใหญ่อย่าง Apple และ Microsoft พวกเขาได้พิสูจน์ความสำเร็จด้วยการจัดลำดับความสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาได้ชัดเจน ควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว

เพราะฉะนั้น ทั้งโมเดลการสร้างรายได้ และที่มาของกลุ่มลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ของเหล่าบริษัท startup ในยุคถัดไป ธุรกิจต้องเดินหน้าสู่การสร้างกำไรที่แท้จริง ไม่ใช่เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดสมมติที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงนั่นเอง

References :
https://www.ft.com/content/6b5a67f2-6028-40e1-a81b-e0e0be60facd
https://www.edexlive.com/opinion/2021/jan/02/the-future-of-start-ups-imagining-the-next-decade-for-the-entrepreneurial-sector-16983.html
https://www.ft.com/content/778e65e1-6ec5-4fd7-98d5-9d701eb29567
https://www.influencive.com/6-tips-for-improving-your-startup-pitch/

เหตุใด “ประสบการณ์ของนักพัฒนา” จึงส่งผลต่อการก้าวไปข้างหน้าของนวัตกรรมระดับโลก

ภาพขาวดำหมุนวนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาล ภาพการสแกนด้วย MRI แม้แต่สายตาที่ฝึกมาก็ยังมองเห็นสิ่งผิดปกติได้ยาก แต่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์ที่ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับรูปภาพที่คล้ายกันนับพันๆ ภาพ จะมองเห็นสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็ง ตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ การพยากรณ์โรคทำได้ดีอย่างน่าทึ่ง

เบื้องหลังนวัตกรรมอันน่าทึ่งนี้ เช่นเดียวกับหลายๆ อย่างในชีวิตของเราในปัจจุบัน คือสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งและมักถูกมองข้ามไป นั่นก็คือโค้ด

ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพหรือวิธีการสั่งอาหาร การธนาคาร หรือการขับเคลื่อนรถแบบอัตโนมัติ นวัตกรรมที่ใหญ่ที่สุดที่กำหนดชีวิตเราในปัจจุบันนั้นขับเคลื่อนโดยซอฟต์แวร์ทางด้านคอมพิวเตอร์แทบจะทั้งสิ้น

โดยเฉพาะจากเหล่านักพัฒนาประมาณ 30 ล้านคนทั่วโลกที่เขียนโค้ดขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าในตอนนี้ชีวิตเราก้าวหน้าได้เร็วเพียงใดทั้งในธุรกิจและสังคม ขึ้นอยู่กับความรวดเร็ว และประสิทธิภาพในการทำงานของพวกเขาเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกัน

แต่ประสิทธิภาพของการแปลงแนวคิดดิบ ๆ เป็นโค้ดและท้ายที่สุดการนำไปยังผู้ใช้ปลายทางนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน 

ในทุกวันนี้ นักพัฒนา ซึ่งเป็นแรงผลักดันเบื้องหลังความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากมาย กำลังถูกขัดขวางโดยกระบวนการที่ล้าสมัยและการขาดเครื่องมือช่วยเหลือที่ดีมากพอ

การขจัดปัญหาคอขวดเหล่านี้เป็นมากกว่าแค่เรื่องของความสะดวกต่อกลุ่มคนเหล่านี้เพียงเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความก้าวหน้าของนวัตกรรมระดับโลกเช่นเดียวกัน

งานหนักที่ขวางกั้น Supply Chain ด้านนวัตกรรม 

เราได้เห็นในช่วงการแพร่ระบาดว่าบางสิ่ง เช่น การไม่มีตู้คอนเทนเนอร์สามารถส่งผลกระทบต่อการพาณิชย์และการผลิตไปทั่วโลกได้อย่างไร 

ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก (CR:Pixabay)
ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก (CR:Pixabay)

เฉกเช่นเดียวกัน ในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ปัญหาใหญ่ที่รั้งนักพัฒนาไว้ตอนนี้คือปริมาณงานหนักที่คืบคลานเข้ามาในแต่ละวัน ตามที่นักวิจัย Vivek Rau ระบุในงานของเขากับ Google ความเหน็ดเหนื่อยของนักพัฒนาหมายถึงกระบวนการใดๆ ก็ตามที่ มีความซ้ำซาก จำเจ ไร้ซึ่งคุณค่าที่ยั่งยืน และต้องเพิ่มปริมาณงานตามการเติบโตของบริการเหล่านนั้นต ซึ่งงานหนักส่วนใหญ่คืองานด้านธุรการและงานยุ่งอื่น ๆ ที่ควบคู่ไปกับการเขียนซอฟต์แวร์

เนื่องจากซอฟต์แวร์มีความซับซ้อนมากขึ้น นักพัฒนาต้องทำงานหนักมากเช่นกัน โดยสละเวลาอันมีค่าไปจากงานสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา

ตอนนี้วิศวกรซอฟต์แวร์ใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งวันในการเขียนโค้ด โดยประมาณการว่า ตัวเลข นั้นต่ำถึง 20% เวลาที่เหลือของพวกเขาจมอยู่กับงานต่างๆ เช่น การทดสอบและตรวจสอบโค้ด การรอให้งานอื่น ๆ สร้างให้เสร็จก่อน หรืออุปสรรคด้านการดูแลระบบ เช่น การต้องได้รับการอนุมัติเพื่อดำเนินการในขั้นต่อไปของการเปลี่ยนแปลงแก้ไขโค้ด

ภาวะ overload ของเหล่านักพัฒนาทั่วโลก (CR:Freepik)
ภาวะ overload ของเหล่านักพัฒนาทั่วโลก (CR:Freepik)

สิ่งนี้ส่งผลในหลายระดับ สำหรับนักพัฒนา มันเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังอย่างยิ่งและยับยั้งความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานซึ่งจะนำไปสู่ความเบื่อหน่ายและมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการขาดแคลนของนักพัฒนา ที่หลาย ๆ คนเลิกสนใจอาชีพนี้ 

สำหรับธุรกิจที่แข่งขันกันเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม อาจทำให้ผลิตภัณฑ์ที่จะออกมาช้าลงและจำกัดความสามารถในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้แบบทันท่วงที 

การปล่อยให้นักพัฒนาสร้างนวัตกรรมได้เร็วยิ่งขึ้น 

การปลดล็อก Supply Chain ของนวัตกรรมจำเป็นต้องนำประสบการณ์ของนักพัฒนามาเป็นจุดสนใจ ซึ่งในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าทั้งประสบการณ์ของผู้ใช้และแม้แต่ประสบการณ์ของพนักงานได้กลายเป็นจุดสนใจร่วมกันขององค์กรที่ต้องการปรับปรุงผลลัพธ์ให้ดีขึ้น

แต่กลับกันเงื่อนไขที่นักพัฒนาทำงานภายใต้แรงกดดันต่าง ๆ และสิ่งที่พวกเขาถูกขอให้ใช้เวลาอยู่กับมันอย่างยาวนานบางคนใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนชีวิตในการเขียนโค้ด แต่สิ่งเหล่านนี้กลับถูกละเลย

แนวคิดของ “DX (Developer Experience)” ได้เกิดขึ้นในแวดวงเทคโนโลยีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และขณะนี้กำลังเริ่มเข้าสู่ชุมชนธุรกิจที่กว้างขึ้น บริษัทจำนวนมากขึ้นตระหนักดีว่าการได้ประโยชน์จากนักพัฒนามากขึ้นหมายถึงการมีพื้นที่ว่างสำหรับความคิดสร้างสรรค์และลดความซับซ้อนของเวิร์กโฟลว์การทำงานลงไป

การใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้กระบวนการที่ซ้ำซากจำเจกลายเป็นให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติ เช่น การทดสอบ การรักษาความปลอดภัย และการส่งมอบงาน เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำเช่นนั้นได้  

อีกปัญหาที่สำคัญและมีความท้าทายมาก ๆ คือ เรื่องวัฒนธรรมของบริษัทซึ่งหลาย ๆ องค์กรน่าจะประสบพบเจอกัน โดยปรกติแล้วนั้นเหล่านักพัฒนาทำงานได้ดีที่สุดเมื่อได้รับความไว้วางใจและอิสระในการทำงานมากที่สุด 

แต่ผู้จัดการและองค์กรที่มีลำดับชั้นจำนวนมากเกินไปทำให้ทีมนักพัฒนาต้องประสบพบเจอกับความชะงักงันด้วยกระบวนการต่างๆ ที่มีความซับซ้อนหรืองานธุรการที่มากเกินกว่างานสร้างสรรค์ที่แท้จริงที่เป็นนจุดเด่นหลักของเหล่านักพัฒนา 

การเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้มีมากกว่าเพียงแค่ประโยชน์ต่อธุรกิจ ในทุกวันนี้นวัตกรรมคลื่นลูกใหม่ก้าวไปไกลกว่าความสะดวกสบายของผู้บริโภค เช่น การสตรีมวีดีโอหรือแอปส่งอาหาร แบตเตอรี่ที่มีพลังมากขึ้นสามารถช่วยบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การรักษาแบบไบโอเมตริกซ์อาจกำจัดมะเร็งบางชนิดได้ และอวัยวะที่พิมพ์ด้วยเทคโนโลยี 3 มิติอาจยืดอายุขัยของคนอีกจำนวนนับไม่ถ้วน

การขจัดงานหนักจากเส้นทางอาชีพของเหล่านักพัฒนา และการปลดล็อก supply chain ของนวัตกรรม จะช่วยให้โลกเราสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วขึ้น เมื่อภาระที่แบกบนไหล่ของเหล่านักพัฒนาทั่วโลกลดลงไปได้ พร้อมกับประสบการณ์ที่ดีขึ้นของพวกเขาเหล่านี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.future-processing.com/blog/how-many-developers-are-there-in-the-world-in-2019/
https://sre.google/sre-book/eliminating-toil/
https://content.techgig.com/career-advice/5-types-of-computer-programming-jobs-to-look-out-for/articleshow/87363459.cms
https://www.fastcompany.com/90771120/why-developer-experience-is-holding-back-the-pace-of-global-innovation
https://codilime.com/blog/developer-experience-what-is-dx-and-why-you-should-care/