Movie Review : MONDO รัก|โพสต์|ลบ|ลืม หนังโรแมนติก ฟีลกู๊ด ที่เข้าใจโลกของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง

หนังไทยเรื่องสุดท้ายที่ตัวผมเองได้มีโอกาสเข้าไปรับชมในโรงนี่แทบจะจำไม่ได้แล้วนะครับ แต่หนังเรื่องใหม่จาก คุณมะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับหนังชื่อดังอย่าง รักแห่งสยาม และพล็อตเรื่องที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีโดยตรง ทำให้ผมเกิดสนใจหนังเรื่องนี้ขึ้นมา

ยอมรับตามตรงว่าก่อนเข้าไปรับชม ก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะ perfect สำหรับหนังไทย และมาเล่นกับเรื่องราวของเทคโนโลยี ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าหนังไทยที่ผ่านมานั้นทำเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ไม่แนบเนียนเท่าที่ควร

“MONDO” (มอนโด / Working Title) หนังรักโรแมนติกไซไฟสร้างสรรค์จากไอเดียและวิสัยทัศน์สุดล้ำไม่ซ้ำแนวหนังรักเรื่องใดๆ กับเรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์ ความสำเร็จในชีวิต และการก้าวผ่านวัยของหนุ่มสาววัยแสวงหาในโลกยุคใหม่

หนังเล่าเรื่องราวของ “ยี่หวา” หญิงสาวสดใสร่าเริงที่มีอาชีพเป็นยูทูบเบอร์ช่อง “โสดไปไหน” เธอพยายามจะผลักดันตัวเองให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน โดยตั้งเป้าอยากจะเพิ่มจำนวนผู้ติดตามโซเชียลมีเดียทุกช่องทางของตัวเอง

จนกระทั่งได้มาพบ “เม-บอต” (MayBot) ซึ่งเป็น AI ผู้ช่วยสุดอัจฉริยะที่เข้ามาช่วยวางแผนธุรกิจให้ โดยที่เธอต้องปิดเรื่องคบหากับ “ดอม” เพื่อนวัยมัธยมไว้เป็นความลับเพราะเหตุผลทางธุรกิจ จนกระทั่งวันที่ดอมอยากจะสร้างอนาคตร่วมกับยี่หวา

“หวัง” เพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนก็ปรากฏตัวขึ้นในฐานะนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่อยากเข้ามาสนับสนุนแชนแนลของยี่หวา ด้วยการพาเธอไปรู้จักกับโลกเมตาเวิร์สมอนโด (Mondo) จนกลายเป็นเรื่องราวความรักที่สวนทางกับความสำเร็จ พร้อมกับการตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิตที่ AI ก็ไม่อาจทำแทนได้

หลังดูจบ ต้องบอกว่าผิดคาดมาก ๆ หนังเรื่องนี้สะท้อนอะไรหลายๆ อย่างในสังคมปัจจุบัน และจิกกัดโลกเทคโนโลยีได้น่าสนใจมาก ๆ

ชีวิตที่เหมือนหนูถีบจักรของมนุษย์เราในปัจจุบัน บางครั้งมันถูกกดดันจากโลกเสมือนจริง ซึ่งในปัจจุบันมันก็คือโลกของโซเชียลนั่นเอง ที่ทุกคนต่างโชว์แต่ชีวิตด้านดี ๆ ของตนเอง แต่มันก็ช่วยผลักดันให้คนเรามักจะมองหาวิธีในการเร่งตัวเองให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วกันมากขึ้นเช่นเดียวกัน

มันกลายเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้วในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีต่างๆได้ นำพามนุษย์เราหลีกหนีไปจากสังคมจริง ๆ ไปจากคนรอบข้าง ทั้งเพื่อนฝูง พ่อแม่ พี่น้อง โดยเฉพาะคนในครอบครัวเองที่มักจะถูกมองข้ามมากที่สุด

หนังเรื่องนี้ได้นำเอาประเด็นของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI , Metaverse , Blockchain เข้ามาผสานเรื่องราวเข้ากับบทของหนังได้อย่างดี และที่สำคัญผมมองว่า ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในหนังเรื่องนี้นั้น มันไม่ใช่เรื่อง Sci-Fi เว่อร์เกินจริง แต่มันมีพื้นฐานจากเทคโนโลยีจริงที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ทีมงานผู้สร้างเรียกได้ว่า ทำการบ้านมาอย่างดี เข้าใจถึงเทคโนโลยีดังกล่าวที่เกี่ยวข้องและมาสร้างเป็นบทให้กับหนังเรื่องนี้ รวมถึงฉากต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งห้อง server ขนาดยักษ์ (แม้จะใช้ CG) หรือการจำลองโลก Metaverse , MayBot AI การจิกกัดเหรียญ Crypto และทำการผสานรวมเรื่องราวของทุกเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว

หนังเรื่องนี้สะท้อนภาพชีวิตมนุษย์ในยุคปัจจุบันได้ดี และสื่อให้เห็นว่าเทคโนโลยีมันมีบทบาทอย่างไรต่อชีวิต ต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์เรา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่จริงแท้เป็นอย่างมาก

ผสานกับเรื่องราวความรักแบบโรแมนติก ฟีลกู๊ด มีการผูกเรื่องราวของตัวละครทุกตัวได้อย่างน่าสนใจ แถมมีฉากเรียกเสียงฮาได้เป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะแอนนา ชวนชื่น ที่เล่นได้พีคมาก ๆ

จึงไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ว่า คุณพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมากล่าวชื่นชมพร้อมกับเชิญชวนให้ผู้คนออกมาสนับสนุนหนังเรื่องนี้ ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเอง

CR: Instagram (Pita.ig)
CR: Instagram (Pita.ig)

ซึ่งส่วนตัวเองก็มองว่า เป็นหนังที่ดูได้ทุกเพศทุกวัย มันทำให้เราได้หยุดคิดถึงชีวิต ซึ่งหลายๆ คนน่าจะอินกับหนังเรื่องนี้ บางครั้งการขวนขวายหาความสำเร็จด้วยการถูกบีบให้เกิดการแข่งขันกัน มันก็ทำให้พวกเราได้ทิ้งคนหลายคนที่รักเรามาก ๆ ไว้เบื้องหลังนั่นเองครับผม

Movie Review : Oppenheimer – ชีวประวัตินักวิทยาศาสตร์หรือเรื่องน่าอนาถของเกมการเมืองแบบอเมริกัน

ส่วนตัวเองก็ห่างหายจากการเข้าโรงภาพยนต์มาเป็นปี ๆ แล้ว แต่ต้องบอกว่าเรื่องราวของ Oppenheimer บิดาผู้สร้างระเบิดนิวเคลียร์นั้น ทำให้อดใจไม่ไหวที่จะต้องเข้าไปดูในโรง IMAX อีกครั้งหนึ่ง

มันเป็นเรื่องแปลกที่น่าเหลือเชื่อที่ชื่อของนักวิทยาศาสตร์ที่มีสร้างผลงานกระฉ่อนโลกอย่าง เจ. ออพเพนไฮเมอร์ นั้น ผมคิดว่าหลาย ๆ คนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเขาด้วยซ้ำมาก่อนหน้านี้ แม้กระทั่งบทเรียนทางวิทยาศาสตร์ของไทยเราก็แทบไม่ค่อยที่จะเอ่ยถึงชื่อของชายคนนี้มากนัก

ขอออกตัวก่อนว่าบทความนี้อาจจะมีการ spoil เนื้อหาบางส่วนของหนัง หากใครต้องการได้รับประสบการณ์ในการรับชมแบบเต็ม ๆ ที่ไม่ขัดใจสามารถเลื่อนผ่านไปได้ครับผม

หนังเรื่องนี้จะพาเราไปรู้จักกับชีวประวัติของ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ที่เป็นบิดาของระเบิดปรมาณู เรื่องราวดราม่าของชีวิตชายคนนี้ ทั้งเรื่องราวดราม่าความรัก เพื่อนเลิฟ และบุคคลสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขา กว่าที่เขาจะนำทีมสร้างระเบิดมหาประลัย ที่สามารถยุติสงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จที่ช่วยเหลือชีวิตเหล่าทหารชาวอเมริกันจำนวนมาก ที่ไม่ต้องยกพลขึ้นบกประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะมีการสูญเสียอย่างหนัก

เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ที่เป็นบิดาของระเบิดปรมาณู (CR:history.com)
เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ที่เป็นบิดาของระเบิดปรมาณู (CR:history.com)

ชื่อของคริสโตเฟอร์ โนแลน รับประกันผลงานได้ดี ซึ่งจะเห็นจากกระแสของหนังเรื่องนี้ ที่สามารถเรียกกระแสให้ผู้คนเข้ามาดูกันในโรงภาพยนตร์แบบเต็มโรงกันได้อีกครั้ง

เอาจริง ๆ ส่วนตัวก็หวังว่าหนังเรื่องนี้จะฉายภาพชีวประวัติของ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ กันแบบเต็ม ๆ เพราะหากมีโอกาสได้ดู trailer ของภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น มันค่อนข้างชัดเจนว่าจะเนื้อหามันจะสื่อไปทำนองนั้น

แต่กลายเป็นว่าเนื้อหาของ Oppenheimer กว่าครึ่งนั้นกลายเป็นเรื่องของเกมการเมืองแบบสไตล์อเมริกันในยุคนั้น ด้วยความยาว 3 ชั่วโมงเต็ม ๆ เป็นการตัดสลับฉากเล่าสองเหตุการณ์เข้าด้วยกัน ที่ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ กำลังโดนสืบสวนสอบสวนในข้อหาทรยศต่อชาติที่ตกอยู่ภายใต้เกมการเมืองของผู้มีอำนาจ และ หน้าที่หลักของเขาในการระดมเหล่านักวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างระเบิดนิวเคลียร์ในโปรเจคแมนฮัตตัน

มีดาราชื่อดังมากมายที่มาร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น เจ โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ (Cillian Murphy) , พันเอกเลสลีย์ โกรฟ (Matt Damon) ,  คิตตี้ ออปเพนไฮเมอร์ (Emily Blunt)  ภรรยาของ เจ โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ หรือแม้กระทั่ง ลิวอิส สเตราส์ (Robert Downey Jr.) รวมถึงดาราชื่อดังอีกมากมายที่เข้าร่วมในหนังเรื่องนี้

ดาราชื่อดังเพียงที่เข้าร่วมเล่นหนังเรื่องนี้ (CR:Digital Mafia Talkies)
ดาราชื่อดังเพียงที่เข้าร่วมเล่นหนังเรื่องนี้ (CR:Digital Mafia Talkies)

ถ้าจะดูให้สนุกจริง ๆ ต้องทำการบ้านมาบ้างพอสมควร เพราะเป็นการดำเนินเรื่องตัดสลับไปสลับมาตามสไตล์ของโนแลน และดำเนินเรื่องแบบรวดเร็วมาก ๆ ตัวละครในเรื่องบางคนนั้น แทบไม่ได้เกริ่นเรื่องราวของเขามาก่อนเลย อยู่ดี ๆ ก็จัดเข้ามาแบบเต็ม ๆ ตลอดทั้งเรื่อง ทำให้ไม่แปลกที่กระแสเรื่องนี้ ทำให้หลายคนอาจจะบ่นว่างงกับเนื้อหาของมัน ซึ่งเรียกได้ว่าต้องอ่าน sub กันแบบเมามัน พลาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว

ผมว่าถ้าเป็นแฟนโนแลนอยู่แล้ว ต้องชอบแน่นอนสำหรับหนังเรื่องนี้ เพราะยังคงสไตล์ของพี่เค้าได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะลำดับการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ติดตัวเขาไปเสียแล้ว มันเป็นการ Mixed รวมสไตล์การเล่าแบบทั้ง Interstellar , Dunkirk หรือแม้กระทั่ง Inception มารวม ๆ กันได้อย่างน่าสนใจอีกเรื่องนึงที่คนทั่วไปคงไม่งงเท่า Tenet และผลงานเรื่องนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งผลงานขึ้นหิ้งของ โนแลน ได้อีกเรื่องหนึ่งอย่างแน่นอน

แต่ผมมองว่าหากเป็นคนทั่วไป ที่ต้องการเสพเนื้อเรื่องแบบสนุก ๆ เล่าชีวประวัติแบบเพลิดเพลินเหมือนหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เล่าเรื่องราวชีวประวัติของเหล่านักวิทยาศาสตร์ อาจจะไม่ได้ประทับใจมากนัก

สิ่งที่ผมไม่ชอบจากผลงานหลัง ๆ ของ โนแลน ก็คือ เรื่อง sound ที่ใส่มาเกินเบอร์มาก ๆ บางครั้งฉากธรรมดามาก ๆ แต่ใส่ sound อลังการงานสร้างเกินจริง ผมสังเกตเห็นมาตั้งแต่เรื่อง Dunkirk แล้วว่า โนแลน พยายามยัด sound ที่มันเว่อร์วังอลังการเกินฉากของเนื้อเรื่องจริง ๆ ไปมาก

แต่เรื่องอื่น ๆ ทั้งงานออกแบบภาพ มุมกล้องในการถ่ายทำ การถ่ายทอดอารมณ์ของเหล่านักแสดงคุณภาพทั้งหมด มีฉากตื่นเต้นที่บีดรัดหัวใจตลอดแทบจะทั้งเรื่อง ผสมผสานการถ่ายทอดเรื่องราวความรู้ทั้ง ประวัติศาสตร์ ชีวประวัติของบุคคลสำคัญ การเมือง และวิทยาศาสตร์ ได้อย่างลงตัว

คือสรุปหนังเรื่องนี้ คุณอาจจะดูจากตัวอย่าง trailer หนังนั้น อาจจะไม่ตรงปกซะทีเดียว เพราะในตัวอย่างแทบไม่มีฉากของการสอบสวนอย่างหนักในข้อหาทรยศชาติของ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ที่เข้าไปพัวพันกับพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังก่อตัว ที่เป็นเนื้อหาเกินกว่าครึ่งของหนังเรื่องนี้

แต่เราก็ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชายที่ยิ่งใหญ่อีกคนที่เหมือนจะไม่ได้รับการยกย่อง และให้เครดิตกับผลงานของเขาเมื่อเทียบกับนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่น ๆ ซึ่งผลงานของเขาในเชิงวิทยาศาสตร์นั้นก็เป็นที่ประจักษ์ไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังหลายๆ ที่เป็นตำนานในบทเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์

เจ. ออพเพนไฮเมอร์ นั้นเป็นบุคคลสำคัญที่มีผลกระทบต่อจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์มนุษชาติ เพราะการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ที่เป็นผลงานเขาและทีมงาน กับเมืองฮิโรชิม่า และ นางาซากิ ของประเทศญี่ปุ่นนั้น มันเป็นเหตุการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของอาวุธที่จะสามารถทำลายล้างโลกของเราอย่างระเบิดนิวเคลียร์ไปตลอดกาลนั่นเองครับผม

Movie Review : Tick, Tick… BOOM! เรื่องราวของ Jonathan Larson ฉายแววในละครเพลงที่ขับขานจากใจ

เป็นอีกหนึ่งภาพยนต์ที่น่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียวสำหรับ Tick,Tick… BOOM! จาก Netflix ซึ่งชื่อเรื่องมาจากผลงานการประพันธ์เพลงและบทละครเรื่องสุดท้ายของ โจนาธาน ลาร์สัน ที่มีชื่อว่า “Rent” และได้ถูกนำมาพัฒนาต่อ จนกระทั่งกลายมาเป็นโชว์ชื่อดังที่ broadway ในอีก 6 ปีต่อมา หลังจากที่ โจนาธาน ได้เสียชีวิตไป

โดยโจนาธานเป็นผู้เขียนบทละครเวทีเรื่อง “Rent” ที่ได้รับรางวัลมากมาย อาทิ รางวัลโทนี่สาขาละครเพลงยอดเยี่ยมในปี 1996 “Rent” ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์สาขาดราม่าในปี 1996 ซึ่งถือเป็นรางวัลทรงเกียรติที่ละคร “Hamilton” ของลิน มานูเอลได้รับในปี 2016

มีละครเวทีสาขาดราม่าเพียง 9 เรื่องเท่านั้นที่ได้รับรางวัลนี้ แต่โจนาธานได้เสียชีวิตในคืนก่อนรอบการแสดงรอบปฐมทัศน์ที่ Off-Broadway มีการจัดแสดง “Rent” นานถึง 12 ปีในบรอดเวย์ ซึ่งถือว่าเป็นละครที่มีการแสดงยาวนานที่สุดติดอันดับที่ 11 ในประวัติศาสตร์บรอดเวย์

เรื่องนี้ได้ดาราระดับซุปเปอร์สตาร์และคว้ารางวัลมามากมาย ร่วมในการแสดง โจชัว เฮนรี่ (จาก “See”) จะมาร่วมแสดงในบท “โรเจอร์”  แบรดลีย์ วิทฟอร์ด ผู้คว้ารางวัลเอมมี่  (จาก “The Handmaid’s Tale” “Perfect Harmony”) รับบท “สตีเฟน ซอนด์ไฮม์” และ  จูดิธ ไลต์ ผู้คว้ารางวัลเอมมี่และรางวัลโทนี่ (จาก “นักกวนเมือง (The Politician)” “Transparent”) รับบท “โรซ่า สตีเว่น” 

โดยทั้งหมดจะแสดงร่วมกับ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในบท “จอน” อเล็กซานดร้า ชิปป์ ในบท “คาเรสซ่า” โรบิน เด เฮซุส ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี่สามสมัย ในบท “ไมเคิล” และวาเนสซา ฮัดเจนส์ ในบท “ซูซาน” 

Tick, Tick…BOOM!” เป็นเรื่องราวในปี 1990 ที่ติดตามชีวิตจอน พนักงานเสิร์ฟในนิวยอร์กที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักแต่งเพลง เขาได้แต่งละครเพลง “Superbia” โดยหวังว่าจะกลายเป็นละครเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกาและทำให้ตัวเองแจ้งเกิดได้

ในขณะเดียวกันก็รู้สึกกดดันจากซูซาน แฟนสาวที่เบื่อกับการต้องรอเพื่อให้อาชีพของจอนถึงฝั่งฝัน ส่วนไมเคิล เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมห้องของเขาก็ได้ละทิ้งความฝัน และได้หันไปทำงานในวงการโฆษณาที่จ่ายเงินอย่างงาม และมีความมั่นคงทางการเงินที่มากกว่าการฝันลม ๆ แล้ง ๆ อย่างที่จอนทำ

วันเกิดปีที่ 30 ใกล้เข้ามาแล้ว จอนยิ่งรู้สึกกังวลและเริ่มคิดทบทวนว่าการทำฝันให้เป็นจริงครั้งนี้จะคุ้มกับสิ่งที่เสียไปไหม

เรื่องนี้ได้ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ มารับบทเป็น โจนาธาน ลาร์สัน ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ของ การ์ฟิลด์เลยก็ว่าได้ ด้วยพรสวรรค์ทางด้านการแสดงของเขา และการสวมบทบาทได้อย่างยอดเยี่ยม เหมือนกับว่าเขาเป็น โจนาธาน ลาร์สัน ตัวจริง

เรื่องนี้ต้องบอกว่าลืมภาพเก่า ๆ ของ การ์ฟิลด์ไปได้เลย เป็นการรีดศักยภาพการแสดงของเขาออกมาได้อย่างสุดยอดมาก ๆ ทั้งร้องเพลง ทั้งร้องไห้ ทั้งผิดหวัง สมหวัง หรือแม่กระทั่งการแสดงแบบสุดโต่ง ซึ่งผมคิดว่าเป็นภาพยนต์ที่รีดเอาพลังการแสดงของเขาออกมาได้มากที่สุดเรื่องนึงเลยทีเดียว

มีการถ่ายทอดความสัมพันธ์ ทั้งระหว่างเพื่อนด้วยกัน รวมถึงแฟนสาวของจอนอย่างซูซาน ที่วาดฝันชีวิตในมหานครนิวยอร์กไว้อีกแบบ ซึ่งด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่บีบคั้นจอนเอง นั่นทำให้เขาต้องเลือกตัดสินใจทางเดินชีวิตว่าเขาจะทำตามควาฝันของเขาต่อไปหรือไม่

ต้องบอกว่าภาพยนต์เรื่องนี้มีหลากหลายประเด็นที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องของสภาพสังคมของอเมริกาในยุคนั้น ปัญหาเรื่องโรคร้ายที่ถูกมองว่าเป็นโรคที่น่ากลัวใครติดแล้วต้องเสียชีวิตอย่างโรคเอดส์ กับเรื่องของเพศสภาพ LGBTQ 

แต่ภาพใหญ่ที่ภาพยนต์ต้องการสื่อ ผมมองว่าเป็นเรื่องของการสร้างแรงบันดาลใจ ในการทำตามความฝันของ โจนาธาน แม้ว่าจะผ่านอุปสรรคมามากมายขนาดไหนก็ตามที

แต่จุดต่างที่ไม่เหมือนกับภาพยนต์สร้างแรงบันดาลใจเรื่องอื่น ๆ ก็คือการถ่ายทอดในรูปแบบของละครเพลง ซึ่งเพลงประกอบในหนัง tick, tick…BOOM! นำมาจากเวอร์ชั่นละครเวทีแทบจะทั้งหมด

ซึ่งแน่นอนว่าเป็นต้นฉบับที่ โจนาธาน ลาร์สัน ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมและมีความลงตัวเอามาก ๆ เมื่อนำมาใช้ถ่ายทอดผ่านตัวภาพยนต์ ก็กลายเป็นส่วนที่ส่งเสริมเนื้อหาและอารมณ์ของภาพยนต์ ในหลายๆ ฉากได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

ต้องบอกว่า Tick,Tick… BOOM! เป็นอีหนึ่งภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้ภาพยนต์ เรื่องดัง ๆ อีกหลายเรื่อง ตัวผมเองก็ไม่เคยรับรู้เรื่องราวของโจนาธานมาก่อน หรือ “Rent” ที่เขาเป็นคนแต่ง ซึ่งคิดว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะไม่เคยได้ยินเหมือนกัน

ซึ่งภาพยนต์เรื่องนี้ให้แง่คิดที่สำคัญที่ผมมองว่าชีวิตหลายคนน่าจะเคยประสบพบเจอกับเรื่องราวอะไรแบบนี้ ที่เราพยายามทำอะไรให้ประสบความสำเร็จซักอย่าง พยายามในทุกวิถีทาง แต่มันก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเสียที อาจจะท้อถอยไปก่อน แต่ภาพยนต์เรื่องนี้จะมาปลุกไฟคุณให้กลับมาสู้เพื่อเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ อีกครั้ง เหมือนที่ โจนาธาน ทำได้สำเร็จนั่นเองครับผม

Movie Review : Beckett ปลายทางมรณะ หนังทริลเลอร์ระทึกขวัญใหม่ จาก จอห์น เดวิด วอชิงตัน

เป็นอีกหนึ่งในหนังในลิสต์ที่ผมไม่พลาดเป็นอย่างยิ่ง กับผลงานใหม่ของ จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน นักแสดงนำจากเรื่อง Tenet อีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพที่น่าจับตามอง และที่สำคัญเขาเป็นลูกชายของ เดนเซล วอชิงตัน

สำหรับ Beckett รอบนี้มาในแพล็ตฟอร์มของ Netflix ไม่ได้เข้าโรงภาพยนตร์ ซึ่งหลาย ๆ ท่านน่าจะได้รับชมกันไปแล้ว และเป็นหนังทริลเลอร์ระทึกขวัญเรื่องใหม่ ที่น่าจับตามองเลยทีเดียว

เรื่องย่อ Beckett ปลายทางมรณะ เป็นเรื่องราวของเบ็คเก็ต นักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน ที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศกรีซ กับแฟนสาว เอพริล (รับบทโดย อลิเซีย วิแคนเดอร์) เป็นการเที่ยวแบบไม่วางแผนล่วงหน้า

พวกเขาตัดสินใจออกจากเมืองเอเธนส์เพื่อไปเที่ยวที่ทางเหนือของกรีซ เพราะว่าได้รับการเตือนจากทางโรงแรมในเอเธนส์ ว่าจะมีการประท้วงด้านหน้าโรงแรม ระหว่างการเดินทางบนถนนที่วิ่งไปตามภูเขา เอพริลเผลอหลับไปทิ้งเบ็คเก็ตให้ขับรถอยู่คนเดียว

ด้วยความอ่อนล้าจึงทำให้เขาเผลอหลับใน รถจึงหล่นถนนลงไปชนบ้างร้าง หลังฟื้นจากอุบัติเหตุเขาเห็นบางสิ่งบางอย่างในบ้าน เหมือนจะเป็นผู้หญิงและเด็ก

แต่เขาไม่รู้ว่าต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เพราะหลังจากฟื้นจากอุบัติเหตุ เขาพบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลและทราบว่าแฟนสาวเสียชีวิตแล้ว เขากลับไปยังบ้านร้าง

แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเขาถูกตามไล่ล่าจากตำรวจที่ทำคดี ทำให้เขาต้องหนีตายหลายต่อหลายครั้ง เป้าหมายของการหนีคือไปขอความช่วยเหลือจากสถานฑูตอเมริกันในเอเธนส์

พล็อตเรื่องดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากมาย พระเอกอย่างเบ็คเก็ต ก็หนีตายกันอย่างเดียวทั้งเรื่อง ผ่านเรื่องราวที่ผูกปมซ่อนเงื่อนไว้ เรียกได้ว่า จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน นั้นแบกหนังเรื่องนี้ไว้แทบจะคนเดียวทั้งเรื่อง เพราะเป็นการโซโล่เดี่ยวลุยแหลกจากเขาแทบจะทั้งเรื่อง

สิ่งที่น่าชมเชย ก็ต้องบอกว่า ผลงานการแสดงของ จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน นั่นแหละที่ต้องรับบทหนักทั้งเรื่อง เป็นการรีดศักยภาพที่สูงสุดของเขาออกมาได้อย่างดีเลยทีเดียวสำหรับหนังเรื่องนี้ เป็นการพิสูจน์คุณภาพว่า เขาก็มีดีไม่แพ้พ่อของเขาอย่าง เดนเซล วอชิงตัน แต่อย่างใด

งานแสดงของ จอห์น นั้นยกระดับขึ้นมาอีกขั้น เป็นอีกหนึ่งดาราที่น่าจับตามองมาก ๆ เรื่องนี้เรียกได้ว่า มีทุกสไตล์การแสดง ทั้งแอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญ บทดราม่าเรียกน้ำตา ที่เขาสื่อสารมันออกมาได้ดีมาก

เอาจริง ๆ หนังมันดู Real ดูสมจริง เหมือนเรากำลังลุยพร้อมกับพระเอก ฝ่าด่านบอสต่าง ๆ แก้ไขปริศนาระหว่างทาง ผมมองว่ามันคล้าย ๆ เกม ที่พาเราเข้าไปเหมือนกับอยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่เราแค่ไม่สามารถบังคับตัวละครได้เท่านั้นเอง

อุปสรรคอย่างนึงของหนังเรื่องนี้ คือเรื่องของภาษา แน่นอนว่า เบ็คเก็ตเอง เป็นนักท่องเที่ยว ที่ต้องมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น การติดต่อสื่อสารกับคนในพื้นที่ ก็เป็นเรื่องยาก

ส่วนแก่นหลักของเรื่องต้องบอกว่า ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว มีการผสมผสานเรื่องการเมืองเข้ากับเรื่องราวของความรัก ลองจินตนาการว่าเราเข้าไปอยู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนในหนังเรื่องนี้ เราจะรู้สึกอย่างไร

แต่สิ่งที่ขัดใจมาก ๆ ของหนังเรื่องนี้ ก็คือ เสียงประกอบ ที่แทบจะไม่มีเลย มันทำให้หนังขาดเสน่ห์ไปมาก ๆ เสียดายตรงจุดนี้ การขาดเสียงประกอบที่ดี ทำให้หนังมันดูน่าเบื่อในบางช่วงอย่างชัดเจน

โดยรวมถือเป็นหนังที่ชวนลุ้นละทึกได้ตลอดเวลา แม้มันจะไม่ค่อยสุดก็ตาม ปมของเรื่องก็ไม่มีอะไรซับซ้อน คิดว่าหลาย ๆ คนน่าจะพอเดาตอนจบได้ไม่ยากนัก

แต่ก็ต้องบอกว่ามันไม่ได้เป็นหนังที่แย่ ยังอยู่ในระดับที่พอรับได้สำหรับในแพล็ตฟอร์มอย่าง Netflix ที่ถือว่าได้ดูพัฒนาการของนักแสดงคุณภาพอย่าง จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน ที่จะกลายเป็นนักแสดงที่น่าจับตามองในอนาคตอย่างแน่นอนครับผม

Movie Review : Sweet & Sour รักหวานอมเปรี้ยว | กับพล็อตหักมุมสุดเซอร์ไพรส์

วันศุกร์สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมพยายามควานหาหนังใน Netflix ก็ได้ไปเจอกับเรื่อง Sweet & Sour รักหวานอมเปรี้ยว ที่ติดขึ้นเทรนด์ แนะนำใน Netflix จึงอยากลองเข้าไปดูหน่อยว่าหนังเรื่องนี้มีดียังไง

ต้องบอกว่า ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เพราะดูจากชื่อเรื่องและ trailer แล้ว เหมือนจะเป็นหนังรัก ซีรีส์ เกาหลี ธรรมดา ๆ เรื่องนึง

แต่ต้องบอกว่า หลังเรื่องนี้จบความคิดเปลี่ยนไป มันเป็นหนังที่ให้อารมณ์ประมาณ My Sassy Girl ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม หนังดัง ที่หลาย ๆ คนน่าจะจดจำกันได้ดีที่เปิดตลาดหนังเกาหลี ในไทยได้อย่างประสบความสำเร็จ

หนังว่าด้วย เรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่งกับหญิงสาวอีกสองคน ชายหนุ่มคนนี้ คือ จางฮยอก (Jang Ki Yong/จางกียง จากซีรีส์เรื่อง My Roommate Is A Gumiho, Search: WWW และ My Mister) ผู้ชายที่มีความสัมพันธ์รักกับพยาบาลสาว ดาอึน (Chae Soo Bin/แชซูบิน จากซีรีส์เรื่อง I am Not a Robot, Love in the Moonlight และ A Piece of Your Mind) ซึ่งแรกคบกันก็ดูจะหวานดีอยู่หรอก

แต่วันหนึ่ง ชีวิตหน้าที่การงานของเขาก็ดันมีจุดเปลี่ยน อยู่ดีๆ เขาก็ต้องย้ายตัวเองมาทำงานเป็นพนักงานชั่วคราวในบริษัทอีกแห่งหนึ่ง ในวันที่เขาเข้าไปทำงานองค์กรใหญ่ กลับกลายเป็นว่ามันไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว

เพราะว่าในวันเดียวกันนั้น ก็มีพนักงานชั่วคราวอีกคนนึงเข้ามาด้วยพร้อมกัน เป็นหญิงสาวสวย เธอชื่อ โบยอง (Krystal/คริสตัล จากซีรีส์เรื่อง The Heirs, Prison Playbook และ The Bride of Habaek)

เนื่องด้วยมันเป็นบริษัทใหญ่ พวกเขาทั้งสองก็ต้องทำงานเต็มที่ ซึ่งตอนแรกนั้น จางฮยอกและโบยองก็เป็นคู่แข่งคนละทีมกัน แต่จู่ๆ ด้วยสถานการณ์บังคับของบริษัท ก็ได้ถูกจับมาทำงานร่วมกัน แล้วทั้งคู่ก็ใกล้ชิดกันและนั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นของความรักหวานอมเปรี้ยว ตามชื่อเรื่อง!

Netflix ได้สรุปเนื้อเรื่องของ Sweet & Sour รักหวานอมเปรี้ยวไว้ได้อย่างน่าสนใจคือ : ท่ามกลางโอกาสและอุปสรรคต่าง ๆ นานา คู่รักพยายามก้าวผ่านประสบการณ์ทั้งร้ายและดี และประคับประคงความสัมพันธ์ระยะไกล ให้อยู่รอดในโลกแห่งความเป็นจริง

ต้องบอกว่า หนังเรื่องนี้ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมยุคปัจจุบัน ที่มักเกิดขึ้นกับคู่รักหลายคู่ รักแท้ จะแพ้ ระยะทางหรือไม่ เป็นสิ่งที่เราได้ยินกันอยู่บ่อย โดยเฉพาะในสังคมยุค Social ในปัจจุบัน

เอาจริง ๆ มันเป็นหนังที่พล็อตเรื่องเรียบง่ายมาก ๆ แต่ดูสนุกแบบเหลือเชื่อ การแสดงจากนักแสดงนำทั้งหมดนั้นทำได้ดีมาก ๆ จนเราหลงเข้าไปในโลกแห่งรักสามเศร้าครั้งนี้ แต่ สิ่งที่เซอร์ไพรส์สุด ๆ ก็คือ ตอนจบของหนัง ที่เรียกได้ว่า หลอกแกงคนดูได้อย่างแนบเนียน

ที่ต้องบอกว่า มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องรักสามเศร้าแบบธรรมดา แต่มันเป็นหนังที่หลอกคนดูจนเราแทบจะไม่เชื่อสายตาว่า ตอนจบไหงมันกลายเป็นแบบนี้ แนะนำให้ไปลองรับชมกันได้เลยครับ รับรองเซอร์ไพรส์อย่างแน่นอน