Movie Review : Tick, Tick… BOOM! เรื่องราวของ Jonathan Larson ฉายแววในละครเพลงที่ขับขานจากใจ

เป็นอีกหนึ่งภาพยนต์ที่น่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียวสำหรับ Tick,Tick… BOOM! จาก Netflix ซึ่งชื่อเรื่องมาจากผลงานการประพันธ์เพลงและบทละครเรื่องสุดท้ายของ โจนาธาน ลาร์สัน ที่มีชื่อว่า “Rent” และได้ถูกนำมาพัฒนาต่อ จนกระทั่งกลายมาเป็นโชว์ชื่อดังที่ broadway ในอีก 6 ปีต่อมา หลังจากที่ โจนาธาน ได้เสียชีวิตไป

โดยโจนาธานเป็นผู้เขียนบทละครเวทีเรื่อง “Rent” ที่ได้รับรางวัลมากมาย อาทิ รางวัลโทนี่สาขาละครเพลงยอดเยี่ยมในปี 1996 “Rent” ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์สาขาดราม่าในปี 1996 ซึ่งถือเป็นรางวัลทรงเกียรติที่ละคร “Hamilton” ของลิน มานูเอลได้รับในปี 2016

มีละครเวทีสาขาดราม่าเพียง 9 เรื่องเท่านั้นที่ได้รับรางวัลนี้ แต่โจนาธานได้เสียชีวิตในคืนก่อนรอบการแสดงรอบปฐมทัศน์ที่ Off-Broadway มีการจัดแสดง “Rent” นานถึง 12 ปีในบรอดเวย์ ซึ่งถือว่าเป็นละครที่มีการแสดงยาวนานที่สุดติดอันดับที่ 11 ในประวัติศาสตร์บรอดเวย์

เรื่องนี้ได้ดาราระดับซุปเปอร์สตาร์และคว้ารางวัลมามากมาย ร่วมในการแสดง โจชัว เฮนรี่ (จาก “See”) จะมาร่วมแสดงในบท “โรเจอร์”  แบรดลีย์ วิทฟอร์ด ผู้คว้ารางวัลเอมมี่  (จาก “The Handmaid’s Tale” “Perfect Harmony”) รับบท “สตีเฟน ซอนด์ไฮม์” และ  จูดิธ ไลต์ ผู้คว้ารางวัลเอมมี่และรางวัลโทนี่ (จาก “นักกวนเมือง (The Politician)” “Transparent”) รับบท “โรซ่า สตีเว่น” 

โดยทั้งหมดจะแสดงร่วมกับ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในบท “จอน” อเล็กซานดร้า ชิปป์ ในบท “คาเรสซ่า” โรบิน เด เฮซุส ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี่สามสมัย ในบท “ไมเคิล” และวาเนสซา ฮัดเจนส์ ในบท “ซูซาน” 

Tick, Tick…BOOM!” เป็นเรื่องราวในปี 1990 ที่ติดตามชีวิตจอน พนักงานเสิร์ฟในนิวยอร์กที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักแต่งเพลง เขาได้แต่งละครเพลง “Superbia” โดยหวังว่าจะกลายเป็นละครเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกาและทำให้ตัวเองแจ้งเกิดได้

ในขณะเดียวกันก็รู้สึกกดดันจากซูซาน แฟนสาวที่เบื่อกับการต้องรอเพื่อให้อาชีพของจอนถึงฝั่งฝัน ส่วนไมเคิล เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมห้องของเขาก็ได้ละทิ้งความฝัน และได้หันไปทำงานในวงการโฆษณาที่จ่ายเงินอย่างงาม และมีความมั่นคงทางการเงินที่มากกว่าการฝันลม ๆ แล้ง ๆ อย่างที่จอนทำ

วันเกิดปีที่ 30 ใกล้เข้ามาแล้ว จอนยิ่งรู้สึกกังวลและเริ่มคิดทบทวนว่าการทำฝันให้เป็นจริงครั้งนี้จะคุ้มกับสิ่งที่เสียไปไหม

เรื่องนี้ได้ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ มารับบทเป็น โจนาธาน ลาร์สัน ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ของ การ์ฟิลด์เลยก็ว่าได้ ด้วยพรสวรรค์ทางด้านการแสดงของเขา และการสวมบทบาทได้อย่างยอดเยี่ยม เหมือนกับว่าเขาเป็น โจนาธาน ลาร์สัน ตัวจริง

เรื่องนี้ต้องบอกว่าลืมภาพเก่า ๆ ของ การ์ฟิลด์ไปได้เลย เป็นการรีดศักยภาพการแสดงของเขาออกมาได้อย่างสุดยอดมาก ๆ ทั้งร้องเพลง ทั้งร้องไห้ ทั้งผิดหวัง สมหวัง หรือแม่กระทั่งการแสดงแบบสุดโต่ง ซึ่งผมคิดว่าเป็นภาพยนต์ที่รีดเอาพลังการแสดงของเขาออกมาได้มากที่สุดเรื่องนึงเลยทีเดียว

มีการถ่ายทอดความสัมพันธ์ ทั้งระหว่างเพื่อนด้วยกัน รวมถึงแฟนสาวของจอนอย่างซูซาน ที่วาดฝันชีวิตในมหานครนิวยอร์กไว้อีกแบบ ซึ่งด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่บีบคั้นจอนเอง นั่นทำให้เขาต้องเลือกตัดสินใจทางเดินชีวิตว่าเขาจะทำตามควาฝันของเขาต่อไปหรือไม่

ต้องบอกว่าภาพยนต์เรื่องนี้มีหลากหลายประเด็นที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องของสภาพสังคมของอเมริกาในยุคนั้น ปัญหาเรื่องโรคร้ายที่ถูกมองว่าเป็นโรคที่น่ากลัวใครติดแล้วต้องเสียชีวิตอย่างโรคเอดส์ กับเรื่องของเพศสภาพ LGBTQ 

แต่ภาพใหญ่ที่ภาพยนต์ต้องการสื่อ ผมมองว่าเป็นเรื่องของการสร้างแรงบันดาลใจ ในการทำตามความฝันของ โจนาธาน แม้ว่าจะผ่านอุปสรรคมามากมายขนาดไหนก็ตามที

แต่จุดต่างที่ไม่เหมือนกับภาพยนต์สร้างแรงบันดาลใจเรื่องอื่น ๆ ก็คือการถ่ายทอดในรูปแบบของละครเพลง ซึ่งเพลงประกอบในหนัง tick, tick…BOOM! นำมาจากเวอร์ชั่นละครเวทีแทบจะทั้งหมด

ซึ่งแน่นอนว่าเป็นต้นฉบับที่ โจนาธาน ลาร์สัน ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมและมีความลงตัวเอามาก ๆ เมื่อนำมาใช้ถ่ายทอดผ่านตัวภาพยนต์ ก็กลายเป็นส่วนที่ส่งเสริมเนื้อหาและอารมณ์ของภาพยนต์ ในหลายๆ ฉากได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

ต้องบอกว่า Tick,Tick… BOOM! เป็นอีหนึ่งภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้ภาพยนต์ เรื่องดัง ๆ อีกหลายเรื่อง ตัวผมเองก็ไม่เคยรับรู้เรื่องราวของโจนาธานมาก่อน หรือ “Rent” ที่เขาเป็นคนแต่ง ซึ่งคิดว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะไม่เคยได้ยินเหมือนกัน

ซึ่งภาพยนต์เรื่องนี้ให้แง่คิดที่สำคัญที่ผมมองว่าชีวิตหลายคนน่าจะเคยประสบพบเจอกับเรื่องราวอะไรแบบนี้ ที่เราพยายามทำอะไรให้ประสบความสำเร็จซักอย่าง พยายามในทุกวิถีทาง แต่มันก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเสียที อาจจะท้อถอยไปก่อน แต่ภาพยนต์เรื่องนี้จะมาปลุกไฟคุณให้กลับมาสู้เพื่อเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ อีกครั้ง เหมือนที่ โจนาธาน ทำได้สำเร็จนั่นเองครับผม

Movie Review : Beckett ปลายทางมรณะ หนังทริลเลอร์ระทึกขวัญใหม่ จาก จอห์น เดวิด วอชิงตัน

เป็นอีกหนึ่งในหนังในลิสต์ที่ผมไม่พลาดเป็นอย่างยิ่ง กับผลงานใหม่ของ จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน นักแสดงนำจากเรื่อง Tenet อีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพที่น่าจับตามอง และที่สำคัญเขาเป็นลูกชายของ เดนเซล วอชิงตัน

สำหรับ Beckett รอบนี้มาในแพล็ตฟอร์มของ Netflix ไม่ได้เข้าโรงภาพยนตร์ ซึ่งหลาย ๆ ท่านน่าจะได้รับชมกันไปแล้ว และเป็นหนังทริลเลอร์ระทึกขวัญเรื่องใหม่ ที่น่าจับตามองเลยทีเดียว

เรื่องย่อ Beckett ปลายทางมรณะ เป็นเรื่องราวของเบ็คเก็ต นักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน ที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศกรีซ กับแฟนสาว เอพริล (รับบทโดย อลิเซีย วิแคนเดอร์) เป็นการเที่ยวแบบไม่วางแผนล่วงหน้า

พวกเขาตัดสินใจออกจากเมืองเอเธนส์เพื่อไปเที่ยวที่ทางเหนือของกรีซ เพราะว่าได้รับการเตือนจากทางโรงแรมในเอเธนส์ ว่าจะมีการประท้วงด้านหน้าโรงแรม ระหว่างการเดินทางบนถนนที่วิ่งไปตามภูเขา เอพริลเผลอหลับไปทิ้งเบ็คเก็ตให้ขับรถอยู่คนเดียว

ด้วยความอ่อนล้าจึงทำให้เขาเผลอหลับใน รถจึงหล่นถนนลงไปชนบ้างร้าง หลังฟื้นจากอุบัติเหตุเขาเห็นบางสิ่งบางอย่างในบ้าน เหมือนจะเป็นผู้หญิงและเด็ก

แต่เขาไม่รู้ว่าต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เพราะหลังจากฟื้นจากอุบัติเหตุ เขาพบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลและทราบว่าแฟนสาวเสียชีวิตแล้ว เขากลับไปยังบ้านร้าง

แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเขาถูกตามไล่ล่าจากตำรวจที่ทำคดี ทำให้เขาต้องหนีตายหลายต่อหลายครั้ง เป้าหมายของการหนีคือไปขอความช่วยเหลือจากสถานฑูตอเมริกันในเอเธนส์

พล็อตเรื่องดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากมาย พระเอกอย่างเบ็คเก็ต ก็หนีตายกันอย่างเดียวทั้งเรื่อง ผ่านเรื่องราวที่ผูกปมซ่อนเงื่อนไว้ เรียกได้ว่า จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน นั้นแบกหนังเรื่องนี้ไว้แทบจะคนเดียวทั้งเรื่อง เพราะเป็นการโซโล่เดี่ยวลุยแหลกจากเขาแทบจะทั้งเรื่อง

สิ่งที่น่าชมเชย ก็ต้องบอกว่า ผลงานการแสดงของ จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน นั่นแหละที่ต้องรับบทหนักทั้งเรื่อง เป็นการรีดศักยภาพที่สูงสุดของเขาออกมาได้อย่างดีเลยทีเดียวสำหรับหนังเรื่องนี้ เป็นการพิสูจน์คุณภาพว่า เขาก็มีดีไม่แพ้พ่อของเขาอย่าง เดนเซล วอชิงตัน แต่อย่างใด

งานแสดงของ จอห์น นั้นยกระดับขึ้นมาอีกขั้น เป็นอีกหนึ่งดาราที่น่าจับตามองมาก ๆ เรื่องนี้เรียกได้ว่า มีทุกสไตล์การแสดง ทั้งแอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญ บทดราม่าเรียกน้ำตา ที่เขาสื่อสารมันออกมาได้ดีมาก

เอาจริง ๆ หนังมันดู Real ดูสมจริง เหมือนเรากำลังลุยพร้อมกับพระเอก ฝ่าด่านบอสต่าง ๆ แก้ไขปริศนาระหว่างทาง ผมมองว่ามันคล้าย ๆ เกม ที่พาเราเข้าไปเหมือนกับอยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่เราแค่ไม่สามารถบังคับตัวละครได้เท่านั้นเอง

อุปสรรคอย่างนึงของหนังเรื่องนี้ คือเรื่องของภาษา แน่นอนว่า เบ็คเก็ตเอง เป็นนักท่องเที่ยว ที่ต้องมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น การติดต่อสื่อสารกับคนในพื้นที่ ก็เป็นเรื่องยาก

ส่วนแก่นหลักของเรื่องต้องบอกว่า ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว มีการผสมผสานเรื่องการเมืองเข้ากับเรื่องราวของความรัก ลองจินตนาการว่าเราเข้าไปอยู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนในหนังเรื่องนี้ เราจะรู้สึกอย่างไร

แต่สิ่งที่ขัดใจมาก ๆ ของหนังเรื่องนี้ ก็คือ เสียงประกอบ ที่แทบจะไม่มีเลย มันทำให้หนังขาดเสน่ห์ไปมาก ๆ เสียดายตรงจุดนี้ การขาดเสียงประกอบที่ดี ทำให้หนังมันดูน่าเบื่อในบางช่วงอย่างชัดเจน

โดยรวมถือเป็นหนังที่ชวนลุ้นละทึกได้ตลอดเวลา แม้มันจะไม่ค่อยสุดก็ตาม ปมของเรื่องก็ไม่มีอะไรซับซ้อน คิดว่าหลาย ๆ คนน่าจะพอเดาตอนจบได้ไม่ยากนัก

แต่ก็ต้องบอกว่ามันไม่ได้เป็นหนังที่แย่ ยังอยู่ในระดับที่พอรับได้สำหรับในแพล็ตฟอร์มอย่าง Netflix ที่ถือว่าได้ดูพัฒนาการของนักแสดงคุณภาพอย่าง จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน ที่จะกลายเป็นนักแสดงที่น่าจับตามองในอนาคตอย่างแน่นอนครับผม

Movie Review : Sweet & Sour รักหวานอมเปรี้ยว | กับพล็อตหักมุมสุดเซอร์ไพรส์

วันศุกร์สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมพยายามควานหาหนังใน Netflix ก็ได้ไปเจอกับเรื่อง Sweet & Sour รักหวานอมเปรี้ยว ที่ติดขึ้นเทรนด์ แนะนำใน Netflix จึงอยากลองเข้าไปดูหน่อยว่าหนังเรื่องนี้มีดียังไง

ต้องบอกว่า ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เพราะดูจากชื่อเรื่องและ trailer แล้ว เหมือนจะเป็นหนังรัก ซีรีส์ เกาหลี ธรรมดา ๆ เรื่องนึง

แต่ต้องบอกว่า หลังเรื่องนี้จบความคิดเปลี่ยนไป มันเป็นหนังที่ให้อารมณ์ประมาณ My Sassy Girl ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม หนังดัง ที่หลาย ๆ คนน่าจะจดจำกันได้ดีที่เปิดตลาดหนังเกาหลี ในไทยได้อย่างประสบความสำเร็จ

หนังว่าด้วย เรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่งกับหญิงสาวอีกสองคน ชายหนุ่มคนนี้ คือ จางฮยอก (Jang Ki Yong/จางกียง จากซีรีส์เรื่อง My Roommate Is A Gumiho, Search: WWW และ My Mister) ผู้ชายที่มีความสัมพันธ์รักกับพยาบาลสาว ดาอึน (Chae Soo Bin/แชซูบิน จากซีรีส์เรื่อง I am Not a Robot, Love in the Moonlight และ A Piece of Your Mind) ซึ่งแรกคบกันก็ดูจะหวานดีอยู่หรอก

แต่วันหนึ่ง ชีวิตหน้าที่การงานของเขาก็ดันมีจุดเปลี่ยน อยู่ดีๆ เขาก็ต้องย้ายตัวเองมาทำงานเป็นพนักงานชั่วคราวในบริษัทอีกแห่งหนึ่ง ในวันที่เขาเข้าไปทำงานองค์กรใหญ่ กลับกลายเป็นว่ามันไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว

เพราะว่าในวันเดียวกันนั้น ก็มีพนักงานชั่วคราวอีกคนนึงเข้ามาด้วยพร้อมกัน เป็นหญิงสาวสวย เธอชื่อ โบยอง (Krystal/คริสตัล จากซีรีส์เรื่อง The Heirs, Prison Playbook และ The Bride of Habaek)

เนื่องด้วยมันเป็นบริษัทใหญ่ พวกเขาทั้งสองก็ต้องทำงานเต็มที่ ซึ่งตอนแรกนั้น จางฮยอกและโบยองก็เป็นคู่แข่งคนละทีมกัน แต่จู่ๆ ด้วยสถานการณ์บังคับของบริษัท ก็ได้ถูกจับมาทำงานร่วมกัน แล้วทั้งคู่ก็ใกล้ชิดกันและนั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นของความรักหวานอมเปรี้ยว ตามชื่อเรื่อง!

Netflix ได้สรุปเนื้อเรื่องของ Sweet & Sour รักหวานอมเปรี้ยวไว้ได้อย่างน่าสนใจคือ : ท่ามกลางโอกาสและอุปสรรคต่าง ๆ นานา คู่รักพยายามก้าวผ่านประสบการณ์ทั้งร้ายและดี และประคับประคงความสัมพันธ์ระยะไกล ให้อยู่รอดในโลกแห่งความเป็นจริง

ต้องบอกว่า หนังเรื่องนี้ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมยุคปัจจุบัน ที่มักเกิดขึ้นกับคู่รักหลายคู่ รักแท้ จะแพ้ ระยะทางหรือไม่ เป็นสิ่งที่เราได้ยินกันอยู่บ่อย โดยเฉพาะในสังคมยุค Social ในปัจจุบัน

เอาจริง ๆ มันเป็นหนังที่พล็อตเรื่องเรียบง่ายมาก ๆ แต่ดูสนุกแบบเหลือเชื่อ การแสดงจากนักแสดงนำทั้งหมดนั้นทำได้ดีมาก ๆ จนเราหลงเข้าไปในโลกแห่งรักสามเศร้าครั้งนี้ แต่ สิ่งที่เซอร์ไพรส์สุด ๆ ก็คือ ตอนจบของหนัง ที่เรียกได้ว่า หลอกแกงคนดูได้อย่างแนบเนียน

ที่ต้องบอกว่า มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องรักสามเศร้าแบบธรรมดา แต่มันเป็นหนังที่หลอกคนดูจนเราแทบจะไม่เชื่อสายตาว่า ตอนจบไหงมันกลายเป็นแบบนี้ แนะนำให้ไปลองรับชมกันได้เลยครับ รับรองเซอร์ไพรส์อย่างแน่นอน

Movie Review : Tenet เทเน็ท

You have to start looking at the world in a new way

ห่างหายกันไปหลายเดือน กลับมาครั้งนี้กับผู้กำกับภาพยนตร์ขวัญใจของผมในช่วงสองทศวรรษนี้  “คริสโตเฟอร์ โนแลน” ผมไม่กล้าเรียกตัวเองว่าแฟนตัวยง แต่ผมดูหนังของเค้าทุกเรื่อง และชอบมากๆทุกเรื่องจริงๆ ดังนั้นรีวิวครั้งนี้ เอนเอียงแน่นอนนะครับ

คริสโตเฟอร์ โนแลน นั้นอยากมีหนังหนังเจมส์บอนด์ของตัวเอง และเรื่องนี้เค้าก็ได้ทำมันออกมาอย่างที่ตัวเองต้องการ ในแบบของตัวเองพร้อมลายเซ็นที่ใครๆดูก็ต้องพูดเลยว่านี่มัน “หนังโนแลน”

หลายๆท่านจะคุ้นกับ Inception Interstellar Dunkurk หรือ อีกหลายเรื่องก่อนหน้านั้น และเป็นที่แน่นอนว่า ชื่อเสียงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆนั้นคงเป็นแรงกดดันพอสมควรที่จะทำหนังเรื่องต่อๆไป การสร้างสิ่งใหม่ๆ และพยายามให้หลุดพ้นจากกรอบ หรือความสำเร็จของตัวเองเป็นเรื่องยากมาก แต่ คริสโตเฟอร์ โนแลน ก็สามารถเข็นมันออกมาได้ และพร้อมให้พิสูจน์กันว่า คราวนี้จะเป็นเช่นไร

ผมเป็นแฟนหนังสายลับหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะ เจมส์ บอนด์ 4 ภาคล่าสุดนี่คือติดงอมแงมมาก การที่ได้มาเห็น เจมส์ บอนด์ เวอร์ชั่นของโนแลน เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์สุดๆ หนังได้ปูพื้นอะไรหลายๆอย่างที่สามารถไปต่อได้ยาวๆ การได้ทิ้งอะไรไว้ให้ค้างคา และเก็บมาขบคิดทีหลังตามประสาโนแลนนั้น ยังคงอยู่เช่นเดิม ลองนึกภาพที่ทุกคนออกมาจากโรงหนังแล้วมาเถียงกันอย่างเมามันส์ TENET จะทำให้ภาพนั้นกลับมาอีกครั้งแน่นอน รอเฉลยทฤษฎีต่างๆ ภาพ Infographic การอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ คลิปสรุป ฯลฯ จะมีออกมาเป็นพรวนแน่นอน

เนื้อเรื่องนั้นผมไม่ขอเล่า อยากให้ทุกคนไปมึนกันในโรงหนัง เตรียมตัวโดนรัวหมัดใส่อย่างไม่ยั้งกันได้เลย เพราะหนังไม่ประนีประนอมกับคนดู ด้วยการใส่ฉากตัวละครพูดคุยอย่างต่อเนื่อง ถ้าคุณมัวแต่คิด เผลอๆหลุดเนื้อหาไปได้เลยนะ ซึ่งขอยกตัวอย่างบทพูดนึงที่มาจากตัวอย่างหนัง คือ “Don’t try to understand it. Feel it.” แค่นี้พอแล้วจริงๆ คุณจะค่อย ๆ สงสัยและอยากรู้ไปพร้อมกับพระเอก ตัวหนังจะมีการแทรกปริศนาและเบาะแสมาอยู่เรื่อยๆ และแน่นอนคำอธิบายของหนังเรื่องนี้มีไม่มากมาย แต่อาจต้องตั้งใจฟังและอย่าพลาดรายละเอียด ดังเช่น ประโยคหนึ่งของหนังที่ปล่อยมาในตัวอย่าง คือ “Well, we’ll try and keep up”

การเล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิงของโนแลน ทั้งๆที่หนังก็เล่นกับสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว ทั้ง หนัง การ์ตูน ซีรี่ส์ ที่เกี่ยวกับ “เวลา” ยุคสมัยนี้ออกจะมีกันเยอะแยะมากมาย ผมนี่แฟนการ์ตูนโจโจ้ บอสแต่ละภาคที่เกี่ยวกับ “เวลา” นี่คือสุดๆมาก แต่ก็นั่นล่ะครับ หนังจะค่อยๆพาเราไหลไปตามกาลเวลา พร้อมนำเสนอความย้อนแย้ง ที่ไปด้วยกันได้ ในขณะเดียวกันก็แวะมาเน้นย้ำ แอบตอกหน้าคนดูเป็นระยะๆ การพยายามจัดระเบียบในบริบทของความยุ่งเหยิง นั้นสำหรับหลายๆคนอาจมองว่ามันสะดุด หลายคนคงรู้สึกอารมณ์ขาดความต่อเนื่อง อาจเพราะพยายามคิดมากไป ซึ่งแน่นอนว่าอาจนำไปสู่ประเด็นขาดการ “อิน” กับจุดๆนั้นไปได้ คำถามเต็มหัว เห้ย! ตัวนี้มาได้ไง เจอกันยังไง คนนี้ใคร นี่กำลังทำอะไรกัน เป้าหมายคืออะไร ทำแบบนี้เพื่ออะไร และที่สำคัญคือ “นี่เรากำลังนั่งดูอะไรอยู่วะเนี่ย”

สำหรับตัวละคร ในมุมมองของผม ตัวละครหลักมีเสน่ห์ทั้งหมด ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเยี่ยม John David Washington แสดงได้ดุดัน แข็งแรง เหมาะสมตามบทบาทกับจุดเริ่มต้นนี้ของเขาในเนื้อเรื่อง ในส่วนของ Robert Pattinson คือดีมากๆ จากที่ผมเฉยๆในแวมไพร์ ทไวไลท์ และตอนนี้คือขวัญใจแบทแมนคนใหม่ของผม เคมีที่เท่ากันของทั้งสองตัวละครพระเอกและพระรอง ความสมเหตุสมผลในความสัมพันธ์ที่เฉลยในตอนท้ายเรื่อง Kenneth Branagh สวมบทตัวร้ายได้สุขุม ฉลาด เด็ดขาด พร้อมกับปมที่แสดงออกมาจนนำไปสู่การทำเรื่องร้ายๆนี้ได้ดี Elizabeth Debicki นี่บอกตรงๆ ไม่คุ้นกับเธอเลย ทั้งที่ก็เคยดูหนังที่เธอเล่นมาสามสี่เรื่อง แต่เรื่องนี้คือแอบหลังรักเธอไปแล้ว มีเสน่ห์ในแบบที่อธิบายไม่ถูก การแสดงก็ดูมีมิติดี ทีแรกจากตัวอย่างหนังเหมือนไมได้สำคัญอะไร แต่พอดูจบ นี่ก็ตัวสำคัญนะเนี่ย และสำหรับใครที่รู้สึกว่าไม่อินกับตัวละคร ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครดูแข็งๆ เฉยๆ หรือแม้แต่จะเห็นใจ สงสาร เชียร์ หรือคาดหวังที่จะเห็นการพัฒนาของตัวละครนั้น คงผิดหวัง ผมขอเสียใจด้วย แต่ผม “อิน” ผมก็เลยสนุก

งานภาพ วิชวลเอฟเฟกต์ ดนตรีประกอบ เป็นไปตามมาตรฐานของโนแลน ระเบิดภูเขา เผากระท่อม ไล่ล่า เทคโนโลยี คือ มันส์ สนุก จัดเต็ม ลุ้นระทึก แน่นอน

สุดท้ายที่จะบอกนะครับ หนังของโนแลน นั้น ใช้ความเป็นวิทยาศาสตร์ ที่มีโอกาสเป็นจริงได้ ใส่ความแฟนตาซีเข้าไป หนังมีกฎของตัวเอง ใครที่ชอบ Inception บอกเลยว่า Inception นั้นดูง่ายไปเลยเมื่อเทียบกับเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ดูยากอะไรนะครับ หนังเดาทางได้ อย่างที่ผมกล่าวไปแล้ว ในตอนต้นๆ ผมไม่ดูรอบเดียวแน่นอน รอบสอง รอบสาม ก็คงไม่เบื่ออ่ะ ได้ไปตอกย้ำความสนุกต่อ ใครๆก็ชอบเนอะ ผมดูเรื่องนี้วันแรกของการเข้าฉายอย่างเป็นทางการ ขอบอกเลยว่านี่คือปรากฎการณ์ในรอบหลายเดือนของโรงหนัง โรงหนังที่ผมไปดูคนเยอะมากๆ และน่าจะเป็นเช่นนี้ไปอีกหลายวัน ผมนี่รอถกกับคนอื่นๆเลย ในเรื่องทฤษฎี หรือคำอธิบายต่างๆที่จะตามมาเหมือนตอนที่เกิดขึ้นกับ Inception และ Interstellar ช่วงเวลานั้นคือสนุกจริงๆครับ สำหรับคนดูหนัง

ดูหนังกันให้สนุกนะครับทุกท่าน สวัสดีครับ

Gaszoline Skywalker

Movie Review : Burden (เบอร์เดน)

ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่เกี่ยวข้องกับกระแสการเหยียดผิว ที่น่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับ Burden (เบอร์เดน) หลังกระแสการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวผิวสี ใน #BlackLivesMatter กำลังดังกระฉ่อนโลกอยู่ในขณะนี้

ต้องบอกก่อนว่า หนังเรื่องนี้นั้นถ่ายทอดมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริง ที่เกิดขึ้นของ ไมค์ เบอร์เดนที่รับบทโดย (Garrett Hedlund) เด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูโดยกลุ่ม คลูคลักซ์แคลน (KKK) หรือ ลัทธิเหยียดผิวหัวรุนแรง ในช่วงปี 1996 ในรัฐ เซาท์คาโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา

ซึ่งนั่นเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของการเกลียดคนผิวสีมาตั้งแต่เด็กสำหรับ ไมค์ เบอร์เดน จนชีวิตเขามาเปลี่ยนเพราะมาเจอคนรักอย่าง จูดี้ (Andrea Riseborough) ที่เขาหลงรักหัวปักหัวปำ และเป็นเธอนั่นเองที่มาเปลี่ยนแปลงชีวิต และความคิดต่าง ๆ ของ ไมค์ เบอร์เดน ในเรื่องการเหยียดผิวให้กับเขา

ซึ่งสุดท้ายมันทำให้นอกจากเบอร์เดนจะไม่เป็นที่ต้อนรับจากฝั่งของคนผิวขาวหัวรุนแรง ฝั่งของชุมชนคนผิวดำก็ไม่ต้อนรับเขาเช่นกัน ซึ่ง สาธุคุณเคนเนดี (Forest Whitaker) เป็นเพียงคนเดียวที่พยายามช่วยเหลือและเห็นใจเบอร์เดน แม้ว่ามันจะทำให้เขามีปัญหา ถูกคนในสังคมเดียวกันไม่พอใจตามไปด้วยก็ตามที

ซึ่งการดำเนินเรื่องที่ถ่ายทอดมาจากเรื่องจริง ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งการผูกปม เรื่องความรัก ครอบครัว การเหยียดผิว ทำได้อย่างลงตัวมาก ๆ มันเป็นเรื่องจริงที่เหมาะที่จะมาสร้างเป็นภาพยนต์เป็นอย่างยิ่ง

เพราะความสัมพันธ์มันเกิดการ conflict ระหว่างเรื่องของครอบครัว และ คนรักของเขา และตัว Garrett Hedlund ที่มารับบท ไมค์ เบอร์เดน นั้นทำการแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ ดูสมจริง เหมือนเขาได้เป็นไมค์ เบอร์เดนจริง ๆ (หน้าตัวจริงก็คล้าย ๆ เขาด้วย) แม้หนังจะไม่ได้ถ่ายทอดรายละเอียดของกลุ่ม KKK (คลูคลักซ์แคลน) มากนัก อย่างที่ผมหวังไว้ในตอนแรกก็ตามที

ส่วนบทบาทของ สาธุคุณเคนเนดี ที่รับบท โดย Forest Whitaker นั้นก็ยังคงมาตรฐานการแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย แม้บทของเขานั้นอาจจะดูไม่เข้มข้ม เหมือนหนังเรื่องอื่น ๆ แต่ ก็ถือเป็นนักแสดงยอดฝีมือ ที่ เหมาะกับบทนี้มาก ๆ

โดยรวมแล้วนั้น หนังได้ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ ปัญหาเรื่องความคิด ทัศนคติ เกี่ยวกับคนผิวสี การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งโดยเฉพาะลัทธิหัวรุนแรงอย่าง KKK แล้วนั้น มันทำให้เรามองเห็นภาพความสะเทือนใจของปัญหานี้ในอดีตได้อย่างดียิ่ง ที่ยังคงต่อเนื่องมาจวบจนถึงยุคปัจจุบัน ที่ปัญหาเหล่านี้ก็ดูเหมือนไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย

ข้อเสียอย่างเดียวของหนังเรื่องนี้ ก็คือ เนื่องจากมันมาจากเรื่องจริง ทำให้ตอนจบของหนัง มันดูธรรมดาไปหน่อย ไม่มีพลิก ไม่มีหักมุมใด ๆ เป็นการจบแบบเรียบ ๆ ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่ามาจากเรื่องจริง ซึ่งไม่สามารถที่จะพลิกอะไรได้มากมายอยู่แล้ว

แต่ สุดท้าย Burden ก็เป็นหนังที่ผมไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวการเหยีดสีผิว ที่เป็นปัญหาร้อนแรงในสังคมอเมริกัน ได้อย่างน่าสนใจอีกเรื่องนึงทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งครับ