บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ 4 แห่ง ได้แก่ Amazon, Google, Meta และ Apple มีวิธีการหลายวิธีในการบล็อกบริษัทสตาร์ทอัพที่เป็นนวัตกรรมใหม่ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามของพวกเขา
สิ่งเหล่านี้คือความลับเบื้องหลังการปฏิวัติดิจิทัล และเหตุผลที่เหล่าสตาร์ทอัพแห่กันไปที่ Silicon Valley ไม่ใช่แค่คำพูดเพ้อฝันที่จะสร้างโลกที่ดีกว่า แต่เป็นเพราะที่นั่นคือที่ที่มีการร่วมทุนอยู่ เงินและความคิดใน Silicon Valley มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกันเป็นอย่างมาก
แม้แต่ผู้ที่เริ่มมีวิสัยทัศน์และนักประดิษฐ์ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลก็ต้องการเงินเพื่อเอาชีวิตรอด จ่ายค่าเช่าย่าน Bay Area ที่แพงอย่างบ้าคลั่ง และจ้างโปรแกรมเมอร์ที่เก่งที่สุดให้เข้ามาร่วมงานให้จงได้
Silicon Valley ใช้เงินเพื่อแลกกับแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงโลก แต่การลงทุนนำมาซึ่งความรับผิดชอบใหม่ ไมว่าจะเป็นอัตรากำไรรายไตรมาส และเป้าหมายการเติบโตที่โหดเหี้ยมจากความต้องการของนักลงทุน
เรามองไปที่ Google เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพ Facebook , X (Twitter) แทบจะเป็นคนตัดสินว่าว่า Free Speech คืออะไร รวมถึงการต่อสู้กับ Fake News ที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปเลย ในขณะที่ Jeff Bezos แห่ง Amazon ได้เข้ามาช่วยชีวิต Washington Post จากการล้มละลาย
ในงาน Macworld ในเมืองซานฟรานซิสโก ช่วงเดือนมกราคม 2007 Steve Jobs ได้ขึ้นกล่าวบนเวทีว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เขาจะเปิดตัวนั้น จะปฏิวัติวงการพลิกโฉมทุกสิ่งทุกอย่างจนไม่เหลือเค้าเดิมอีกต่อไป
ก่อนจะพูดถึง 2 ผลิตภัณฑ์ที่เข้าข่ายนี้คือ คอมพิวเตอร์ Macintosh รุ่นแรกซึ่งพลิกโฉมอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ทั้งหมด และ iPod รุ่นแรก ซึ่งเปลี่ยนอุตสาหกรรมเพลงไปทั้งหมด ซึ่ง Jobs ได้กล่าวในการเปิดตัว iPhone ว่า
ต้องบอกว่า App Store นั้นได้รับความนิยมจากผู้บริโภคแทบจะทันที เนื่องจากใช้งานง่ายแม้กระทั่งกลุ่มลูกค้าที่ไม่ค่อยเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีก็สามารถใช้มันได้อย่างง่ายดาย มันเป็นการนำเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตทุกประเภทมาสู่อาณาจักรของ Apple
การปฏิวัติการสตรีมมิ่งวีดีโอที่มี Netflix เป็นผู้นำนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยแอปใน App Store รวมถึงแอปอย่าง Tinder หรือแอปเกี่ยวกับแผนที่ต่าง ๆ ที่ทำให้การออกเดทไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
App Store ได้กลายเป็นระบบนิเวศพื้นฐานที่สำคัญ เพราะไม่ว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของ Apple ที่ออกมาอย่าง iPad , Apple Watch ก็ล้วนแล้วแต่ได้ใช้ประโยชน์จาก App Store แทบจะทั้งสิ้น
Apple มียอดขาย iPhone เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีหลังจากการเปิดตัว App Store บริษัทได้บรรลุเป้าหมายสำคัญ โดยมียอดขายมากกว่า 50 ล้านเครื่องในปี 2011
iPhone ได้สร้างมาตรฐานที่โทรศัพท์เกือบทุกเครื่องต้องปฏิบัติตามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลังเกิด App Store ได้ไม่นาน Android ก็พัฒนา Play Store ออกมาแทบจะทันที
“ถึงแม้ว่า iPhone เครื่องปัจจุบันของคุณจะทำงานได้ดีอยู่แล้วก็ตาม แต่ผู้คนต่างสนใจการปรับปรุงคุณภาพและความสามารถเหล่านั้น” Kelly Goldsmith รองศาสตราจารย์ด้านการตลาดจาก Vanderbilt University ใน Owen Graduate School of Management กล่าว
เพียงหนึ่งทศวรรษหลังจากการเปิดตัว iPhone ทำให้ Apple ได้กลายเป็นบริษัทสหรัฐฯแห่งแรกที่มีมูลค่ากิจการทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ และปัจจุบันพวกเขาเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก
ล่าสุด Apple ได้แซงหน้า Samsung ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่แข่งรายใหญ่ที่สุด โดยแซงขึ้นเป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนของโลกเป็นครั้งแรก โดย Apple ครองส่วนแบ่งการตลาดเพียงแค่ 20% ซึ่งเป็นจุดที่ Samsung ครองตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ปี 2010
สิ่งที่ Apple เชี่ยวชาญที่สุดก็คือการสร้างระบบนิเวศของตนเอง ซึ่งเป็นแต้มต่อที่สำคัญมาก ๆ ที่ทำให้พวกเขามีชัยชนะเหนือ Samsung ที่ไม่สามารถสร้างระบบนิเวศแบบเดียวกันเพื่อทำลาย Apple ได้
อนาคตด้าน AI
หลายคนอาจจะเป็นห่วง Apple ที่ดูเงียบผิดปรกติในเรื่องเทคโนโลยี AI ซึ่งถ้าเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น Microsoft , Google หรือ Amazon เรียกได้ว่าออกตัวแรงไปเต็มที่แล้ว
แต่แนวทางกลยุทธ์ที่สำคัญของ Apple ต่อเทคโนโลยี AI ก็คือ ไม่มีการคุยโม้ แต่ต้องทำให้มันใช้งานได้จริงในทางปฏิบัติ
การออกตัวก่อนไม่จำเป็นต้องผู้ชนะในสงครามนี้เสมอไป แต่ใครจะสร้างผลิตภัณฑ์ที่ถูกใจผู้บริโภคมากที่สุดต่างหาก ซึ่ง Apple ไม่เป็นสองรองใครในเรื่องนี้
Apple มองว่าบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน AI มีพื้นฐานทางด้านเทคนิคชั้นยอด สิ่งนี้นำไปสู่การเน้นไปที่ การโชว์ Performance ของมัน ตัวเลขต่าง ๆ แต่ผู้บริโภคงงว่าจะได้อะไรจากสิ่งเหล่านี้
Apple เป็นบริษัทด้านผลิตภัณฑ์และมีการปกปิดข้อมูลอย่างเข้มข้นมานานหลายทศวรรษ แทนที่พวกเขาจะพูดถึงโมเดล AI ที่เฉพาะเจาะจง ข้อมูลการ training หรือตัวเลขบ้าบอต่าง ๆ
แต่ Apple เพียงแค่พูดถึงแต่ฟีเจอร์และบอกว่าพวกเขามีเทคโนโลยีเจ๋ง ๆ ที่ทำงานได้จริงอย่างไร และเหล่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากมันได้อย่างไร และสุดท้ายผู้บริโภคก็จะหลงรักเหมือนที่ Apple เคยทำได้สำเร็จมานับต่อนับมาแล้วนั่นเองครับผม
Kojima Industries Corp เป็นบริษัทขนาดเล็กที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักนอกประเทศญี่ปุ่น โดยผลิตที่วางแก้วน้ำ ช่องเสียบ USB และช่องใส่ของข้างประตูสำหรับการตกแต่งภายในรถยนต์
แต่บทบาทเล็กน้อยในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อบริษัทถูกเจาะระบบในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 และทำให้สายการผลิตทั้งหมดของ Toyota Motor Corp. หยุดชะงัก