Geek Story EP184 : ความล้มเหลวของ Apple Maps กับบทพิสูจน์ความเป็นผู้นำสูงสุดครั้งแรกของ Tim Cook

ใครที่ทำงานในองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะที่มีขนาดใหญ่ จะพบว่าเรื่องการเมืองภายในองค์กรนั้นเป็นเรื่องปรกติมากที่แทบจะทุกองค์กรต้องประสบพบเจอ

แต่นั่นเป็นเพียงแค่เรื่องราวเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับ บริษัทขนาดยักษ์ระดับล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ แถมยังมีพนักงานระดับเทพ ศิลปินที่ยึดติดกับความเชื่อมั่นของตนเอง หรือ ทีมงานยุคก่อร่างสร้างบริษัทที่ต้องลุยด้วยกันมา เรียกได้ว่า บทพิสูจน์ใหญ่ Tim Cook ในการก้าวขึ้นมากุมบังเหียน Apple ในช่วงแรก ๆ นั่นก็คือจะจัดการกับเรื่องราวเหล่านี้อย่างไร

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
http://tinyurl.com/bdz65ya9

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
http://tinyurl.com/46z6c27s

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
http://tinyurl.com/25y39khm

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
 http://tinyurl.com/368fx3hh

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/br3myEzxbdA

อันตรายที่แท้จริง ที่ Facebook , Google และการผูกขาดทางเทคโนโลยีกำลังทำลายสังคมของเรา

มนุษย์เราส่วนใหญ่กลัวและเกลียดชังการผูกขาด เพราะมันเป็นการครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จและบีบไม่ให้มีการแข่งขัน แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของภูเขาน้ำแข็งของภัยคุกคามที่เหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีได้สร้างไว้

ความสามารถในการใช้อำนาจนี้เหนือกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีแห่งอนาคต บริษัทเหล่านี้ดำเนินการทั้งแบบผูกขาดและทำลายล้างคู่แข่งให้ไม่เหลือซากในสาขาของตน: Google, Facebook (Meta), Uber, Airbnb, Amazon, X (Twitter), Instagram, Spotify เทคโนโลยีของพวกเขาจะรวมเข้ากับทุกสิ่ง ทุกที่ และทั่วโลก

บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ 4 แห่ง ได้แก่ Amazon, Google, Meta และ Apple มีวิธีการหลายวิธีในการบล็อกบริษัทสตาร์ทอัพที่เป็นนวัตกรรมใหม่ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามของพวกเขา

อย่างแรกคือกลยุทธ์ “ซื้อ” โดยที่พวกเขากลืนกินคู่แข่งมากกว่าที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำของตัวเอง หลังจากที่ Amazon ซื้อบริษัทหุ่นยนต์คลังสินค้า Kiva ในปี 2012 บริษัทได้ยกเลิกสัญญาของ Kiva กับผู้ค้าปลีกรายอื่น และดึงเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำออกจากตลาด ซึ่งนำไปสู่การเป็นผู้นำในด้านโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซสำหรับพวกเขาเอง

 Amazon ที่เข้าซื้อบริษัทหุ่นยนต์คลังสินค้า Kiva (CR:Drapers)
Amazon ที่เข้าซื้อบริษัทหุ่นยนต์คลังสินค้า Kiva (CR:Drapers)

การเข้าซื้อกิจการ Instagram ของ Facebook ในปี 2012 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง เมื่อสมาร์ทโฟนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น Facebook ถูกแซงหน้าโดยแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อทำงานบนแอป  “การซื้อดีกว่าการแข่งขัน” Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook กล่าว

จากนั้นก็มีกลยุทธ์ “ซื้อและฆ่าทิ้ง” ที่ซึ่งบริษัทขนาดเล็กถูกซื้อกิจการและกำจัดทิ้งไป Facebook ซื้อและฆ่าบริการเครือข่ายสังคมหลายแห่ง รวมถึง Nextstop, Gowalla, Beluga และ Lightbox ระหว่างปี 2007 ถึง 2019 มีบริษัทปิดกิจการอย่างน้อย 39 แห่ง  Microsoft ฆ่าผลิตภัณฑ์ประมาณครึ่งหนึ่งจากที่พวกเขาได้เข้าซื้อกิจการตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2019

Apple ซึ่งมีรายงานว่าซื้อบริษัททุกๆ สามถึงสี่สัปดาห์ กำหนดว่าผู้ใช้ iOS ของตนสามารถติดตั้งแอปได้ผ่าน App Store ของตัวเองเท่านั้น และโดยทั่วไปจะคิดค่าคอมมิชชัน 30 เปอร์เซ็นต์จากนักพัฒนาสำหรับการดาวน์โหลดที่ต้องมีการเสียเงิน

การครอบงำของ Amazon ในการซื้อของออนไลน์ ธุรกิจอิสระหลายแสนรายจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขายบนแพลตฟอร์มของ Amazon เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

Amazon ใช้อำนาจไม่เพียงแต่เพื่อติดตามข้อมูลของผู้ขายเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์มาแข่งขันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการขูดรีดค่าธรรมเนียมที่ได้รับจากธุรกิจรายเล็ก ๆ เหล่านี้ด้วย 

ในปี 2019 Amazon เก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ขายได้ 60,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนปี 2020 เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 120,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการผูกขาดของ Amazon ต่อไป

สิ่งเหล่านี้คือความลับเบื้องหลังการปฏิวัติดิจิทัล และเหตุผลที่เหล่าสตาร์ทอัพแห่กันไปที่ Silicon Valley ไม่ใช่แค่คำพูดเพ้อฝันที่จะสร้างโลกที่ดีกว่า แต่เป็นเพราะที่นั่นคือที่ที่มีการร่วมทุนอยู่ เงินและความคิดใน Silicon Valley มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกันเป็นอย่างมาก 

แม้แต่ผู้ที่เริ่มมีวิสัยทัศน์และนักประดิษฐ์ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลก็ต้องการเงินเพื่อเอาชีวิตรอด จ่ายค่าเช่าย่าน Bay Area ที่แพงอย่างบ้าคลั่ง และจ้างโปรแกรมเมอร์ที่เก่งที่สุดให้เข้ามาร่วมงานให้จงได้ 

Silicon Valley ใช้เงินเพื่อแลกกับแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงโลก แต่การลงทุนนำมาซึ่งความรับผิดชอบใหม่ ไมว่าจะเป็นอัตรากำไรรายไตรมาส และเป้าหมายการเติบโตที่โหดเหี้ยมจากความต้องการของนักลงทุน

ในบางแง่เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือล่าสุดสำหรับเหล่าคนรวยที่จะใช้เทคนิคที่ได้รับการทดสอบอย่างดีในการแสวงหาอิทธิพลทางการเมือง พฤติกรรมผูกขาด และการหลีกเลี่ยงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อช่วยให้พวกเขาร่ำรวยยิ่งขึ้นไปอีก

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ได้ปลูกฝังแนวคิดของแคลิฟอร์เนียอย่างระมัดระวัง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่มีทีมประชาสัมพันธ์มากมายอยู่แล้วก็ตามที

พวกเขาถูกครอบงำโดยคนผิวขาวที่ร่ำรวย พวกเขาพูดถึงความยุติธรรมทางสังคมและความเท่าเทียมกัน  แต่ในปี 2014 พนักงาน Facebook เพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นคนผิวดำ และไม่ถึงหนึ่งในสามเป็นผู้หญิง 

Facebook เองยังถูกจับได้ว่าให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อมูลผู้ใช้ต่อคณะกรรมาธิการยุโรปในระหว่างการซื้อ WhatsApp และในปีนั้นเอง Zuckerberg กล่าวว่า “ปรัชญาของเราคือ เราจะใส่ใจผู้คนก่อน” 

อิทธิพลที่แพร่หลายของ Google เป็นตัวอย่างที่สำคัญอย่างหนึ่ง แต่มันมากกว่านั้นมาก iPhone และเว็บเบราว์เซอร์ที่พวกเราใช้ได้นำเอาอุดมการณ์ของชาวแคลิฟอร์เนียเผยแพร่ไปยังทั่วโลก ทำให้เราทุกคนติดใจด้วยแนวคิดที่เย้ายวนใจว่าการ disruption คือการปลดปล่อย

iPhone และเว็บเบราว์เซอร์ที่เราใช้ได้นำเอาอุดมการณ์ของชาวแคลิฟอร์เนียเผยแพร่ไปยังทั่วโลก (CR:Everything 2G)
iPhone และเว็บเบราว์เซอร์ที่เราใช้ได้นำเอาอุดมการณ์ของชาวแคลิฟอร์เนียเผยแพร่ไปยังทั่วโลก (CR:Everything 2G)

เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงอนาคตที่ไม่มีโรงเรียนที่เต็มไปด้วย iPads (Apple), ชุดหูฟัง VR (Oculus ที่ Meta เป็นเจ้าของ) และชั้นเรียนออนไลน์ (ที่ดำเนินการโดย Google) หรืออนาคตของอุปกรณ์สุดล้ำตัวใหม่อย่าง Apple Vision Pro

การวิจัยจาก NSPCC พบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของเด็กทั้งหมดต้องการประกอบอาชีพด้านเทคโนโลยี สถิติที่น่าหดหู่ยิ่งกว่านั้นคือ 30 เปอร์เซ็นต์หวังว่าจะเป็น YouTuber แต่มีเพียงแค่หนึ่งในล้านที่สามารถเลี้ยงตัวด้วยอาชีพนี้ได้จริง ๆ  

ทุกประเทศต้องการสร้าง Silicon Valley ของตนเอง และทุกเมืองมีความทะเยอทะยานที่จะเป็นศูนย์กลางทางเทคโนโลยี หากลองอ่านแถลงการณ์ทางการเมืองจากทั่วทุกมุมโลก แล้วจะพบว่ามันเต็มไปด้วยคำ buzzword ไม่ว่าจะเป็น Smart Cities , Lean Governments และ Flexible Workers

และตอนนี้เราได้เปลี่ยนมุมมองที่ว่าใครกันแน่ที่จะมาแก้ปัญหาสังคมส่วนรวมของเรา? มันไม่ใช่หน้าที่ของรัฐอีกต่อไป แต่เป็นซูเปอร์ฮีโร่แนวเทคโนโลยีล้ำสมัย เฉกเช่น การเดินทางในอวกาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มาพร้อมกับชายที่ชื่อ Elon Musk 

เรามองไปที่ Google เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพ Facebook , X (Twitter) แทบจะเป็นคนตัดสินว่าว่า Free Speech คืออะไร รวมถึงการต่อสู้กับ Fake News ที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปเลย ในขณะที่ Jeff Bezos แห่ง Amazon ได้เข้ามาช่วยชีวิต Washington Post จากการล้มละลาย 

หรือกลุ่ม Sharing Economy ที่นำโดย Uber หรือบริการคล้ายคลึงกันอย่าง Grab ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ Airbnb ที่คอยโขกสับกดจนกลุ่มที่พวกเขาเรียกว่าพาร์ทเนอร์ (Rider) แทบจะจมดิน

ชัยชนะโดยรวมของการผูกขาดไม่ได้อยู่เหนือเศรษฐกิจหรือการเมือง มันอยู่เหนือสมมติฐาน ความคิด และอนาคตที่เป็นไปได้ เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์นั้น เหล่าบริษัท Big Tech จะไม่ต้องวิ่งเต้นหรือซื้อคู่แข่งอีกต่อไป พวกเขาจะเพียงแค่หลอกหลอนชีวิตและจิตใจของเราจนเราไม่สามารถจินตนาการถึงโลกที่ปราศจากพวกเขาได้อีกนั่นเองครับผม

References :
https://ilsr.org/in-financial-times-the-innovations-we-lose-if-we-dont-break-up-big-tech/
https://hbr.org/2018/03/here-are-all-the-reasons-its-a-bad-idea-to-let-a-few-tech-companies-monopolize-our-data
https://blog.ed.ted.com/2018/10/01/heres-the-real-danger-that-facebook-google-and-the-other-tech-monopolies-pos-to-our-society
https://www.theguardian.com/technology/2021/nov/21/can-big-tech-ever-be-reined-in

Apple iPhone กลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดตลอดกาลได้อย่างไร

ในงาน Macworld ในเมืองซานฟรานซิสโก ช่วงเดือนมกราคม 2007 Steve Jobs ได้ขึ้นกล่าวบนเวทีว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เขาจะเปิดตัวนั้น จะปฏิวัติวงการพลิกโฉมทุกสิ่งทุกอย่างจนไม่เหลือเค้าเดิมอีกต่อไป

ก่อนจะพูดถึง 2 ผลิตภัณฑ์ที่เข้าข่ายนี้คือ คอมพิวเตอร์ Macintosh รุ่นแรกซึ่งพลิกโฉมอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ทั้งหมด และ iPod รุ่นแรก ซึ่งเปลี่ยนอุตสาหกรรมเพลงไปทั้งหมด ซึ่ง Jobs ได้กล่าวในการเปิดตัว iPhone ว่า

“วันนี้เราจะแนะนำผลิตภัณฑ์ที่พลิกโฉมสินค้าประเภทเดียวกัน 3  อย่าง อย่างแรกคือ iPod แบบจอกว้างที่ควบคุมด้วยการสัมผัส อย่างที่สองคือ โทรศัพท์มือถือที่ปฏิวัติวงการ และอย่างที่สาม คือ อุปกรณ์สื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตที่ฉีกแนวไปจากเดิม และมันไมใช่อุปกรณ์ 3 ชิ้นแยกกัน แต่เป็นอุปกรณ์ชิ้นเดียวที่เราเรียกมันว่า iPhone”

ซึ่งหลังจากวันนั้นวิถีชีวิตของมนุษย์เราให้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ตัดภาพมาที่ปัจจุบันเป็นเวลาเกือบสองทศวรรษ และผลิตภัณฑ์อีก 42 รุ่น iPhone ได้กลายเป็นหนึ่งในโทรศัพท์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก Apple ขาย iPhone ได้มากกว่า 2.3 พันล้านเครื่อง และมีผู้ใช้งานมากกว่า 1.5 พันล้านคน

เมื่อพูดถึงจุดเริ่มต้นหลังการเปิดตัว Apple ขาย iPhone ได้เพียง 1.4 ล้านเครื่องในปี 2007 โดย 80% ของยอดขายมาในไตรมาสที่ 4 ของปีนั้น

ในปีเดียวกันนั่นเอง Nokia ซึ่งเป็นผู้ผลิต Nokia 3310 อันโด่งดัง ขายโทรศัพท์มือถือได้ 7.4 ล้านเครื่องในไตรมาสที่ 4 เพียงอย่างเดียว

Nokia 3310 อันโด่งดังที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า (CR:Edge Mobile East)
Nokia 3310 อันโด่งดังที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า (CR:Edge Mobile East)

ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีฟันธงไว้ในปีเดียวกันนั้นว่า “Nokia ยากที่จะถูกล้ม!!!”

iPhone รุ่นแรกมันมีเพียงแค่แอปพื้นฐานที่ทั้งหมดสร้างจากทีมงานของ Apple โดยมี แอปอย่าง Mail , Safari , iTunes , Photos , Messages , Visual Voicemail , Weather , Camera , the Calendar , the clock รวมถึงแอปเสริมอื่น ๆ อีกเพียงไม่กี่แอป

แต่สิ่งต่าง ๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปหลังจากปี 2008 เมื่อ Apple เปิดตัว App Store ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดคลื่นลูกใหม่ของบริษัทเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น Uber , Airbnb และทำให้ Apple นำหน้าคู่แข่งแทบจะทันที

หลังจากเปิดตัว iPhone 3G ได้ไม่นาน App Store ก็เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 กรกฎาคม 2008 โดยมีแอป 500 แอปที่ได้ทำการเปิดตัวพร้อมกัน

ต้องบอกว่า App Store นั้นได้รับความนิยมจากผู้บริโภคแทบจะทันที เนื่องจากใช้งานง่ายแม้กระทั่งกลุ่มลูกค้าที่ไม่ค่อยเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีก็สามารถใช้มันได้อย่างง่ายดาย มันเป็นการนำเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตทุกประเภทมาสู่อาณาจักรของ Apple

และเพียงไม่นานหลังการเปิดตัว App Store ได้เปลี่ยนชีวิตผู้คนในทุก ๆ ด้าน โดยให้บริการแอปสำหรับการออกกำลังกาย เกม การนำทาง การอ่านหนังสือ ecommerce และอื่นๆ อีกมากมาย

การปฏิวัติการสตรีมมิ่งวีดีโอที่มี Netflix เป็นผู้นำนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยแอปใน App Store รวมถึงแอปอย่าง Tinder หรือแอปเกี่ยวกับแผนที่ต่าง ๆ ที่ทำให้การออกเดทไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

App Store ได้กลายเป็นระบบนิเวศพื้นฐานที่สำคัญ เพราะไม่ว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของ Apple ที่ออกมาอย่าง iPad , Apple Watch ก็ล้วนแล้วแต่ได้ใช้ประโยชน์จาก App Store แทบจะทั้งสิ้น

App Store ที่ทำให้ iPhone พุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด (CR:CNBC)
App Store ที่ทำให้ iPhone พุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด (CR:CNBC)

Apple มียอดขาย iPhone เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีหลังจากการเปิดตัว App Store บริษัทได้บรรลุเป้าหมายสำคัญ โดยมียอดขายมากกว่า 50 ล้านเครื่องในปี 2011

ด้วยพลังของ iPhone 4s บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 72 ล้านเครื่องในปีนั้น และภายในปี 2015 Apple ขาย iPhone ได้กว่า 200 ล้านเครื่องต่อปี

iPhone ได้สร้างมาตรฐานที่โทรศัพท์เกือบทุกเครื่องต้องปฏิบัติตามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลังเกิด App Store ได้ไม่นาน Android ก็พัฒนา Play Store ออกมาแทบจะทันที

จิตวิทยาชั้นครู

การผลิต iPhone รุ่นใหม่แต่ละครั้งมีคุณสมบัติใหม่ ๆ เช่น iPhone 4 ในปี 2011 นำกล้อง “เซลฟี่” แบบหันหน้าไปทางด้านหน้าเป็นครั้งแรก ในขณะที่ iPhone 5S ในปี 2013 เปิดตัวการสแกนลายนิ้วมือ Touch ID ส่วนรุ่นล่าสุดอย่าง iPhone 12 มีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G ที่เร็วขึ้นและกล้องที่สุดล้ำ

“ถึงแม้ว่า iPhone เครื่องปัจจุบันของคุณจะทำงานได้ดีอยู่แล้วก็ตาม แต่ผู้คนต่างสนใจการปรับปรุงคุณภาพและความสามารถเหล่านั้น” Kelly Goldsmith รองศาสตราจารย์ด้านการตลาดจาก Vanderbilt University ใน Owen Graduate School of Management กล่าว

โทรศัพท์รุ่นใหม่แต่ละรุ่น และ Apple ในฐานะแบรนด์ก็ได้แสดงถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาอยู่เสมอ และคำว่า “what’s next” ซึ่งผู้บริโภคมักจะให้ความสำคัญเป็นอย่างสูง Katie Martell ที่ปรึกษาด้านการตลาดกล่าว “เราอาศัยอยู่ในโลกที่มีอะไรใหม่ ๆ และอะไรที่เป็นสิ่งใหม่ ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด”

มันเป็นส่วนหนึ่งในตัวตนของคุณ

ในปี 2011 Samsung คู่แข่งของ Apple ได้เปิดตัวโฆษณาที่ล้อเลียนผู้คนที่มาต่อแถวนอกร้านค้า Apple เพื่อรอการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ มีการล้อเลียนในโฆษณาว่า “ถ้าหน้าตาของเครื่องมือถือมันเหมือนกัน คนอื่นจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณได้อัปเกรดรุ่นใหม่ไปแล้ว” 

การมีโทรศัพท์รุ่นล่าสุดและดีที่สุดเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะ Goldsmith กล่าว “ มันเป็นสิ่งที่คุณพกติดตัวตลอดเวลาดังนั้นมันจึงถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับคุณให้คนอื่นรู้” เธอกล่าว

โทรศัพท์ของคุณยังเป็นกลไกที่แข็งแกร่งสำหรับสิ่งที่เรียกว่า ”สัญลักษณ์ของตัวคุณ” ซึ่งเป็นแนวคิดในเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของคุณที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อเกี่ยวกับตัวคุณเอง

ในกรณีนี้การมี iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดสามารถเพิ่มความนับถือต่อตนเอง และเตือนคุณว่าคุณไม่ได้ล้าสมัย “ทุกครั้งที่คุณมองไปที่โทรศัพท์เครื่องนั้น จะบอกคุณบางอย่างเกี่ยวกับตัวคุณและมันเป็นการตอกย้ำลักษณะบางอย่างของตัวคุณเอง” Goldsmith กล่าว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Apple มีแนวโน้มที่จะส่งเสริมผู้บริโภคด้วยการโปรโมตเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้กับ iPhone เครื่องใหม่ของพวกเขา Martell กล่าว 

ตัวอย่างเช่น Apple สนับสนุนให้ผู้คนแชร์รูปภาพที่ถ่ายบน iPhone ด้วย แฮชแท็ก “#ShotoniPhone” เพื่อนำไปรวมอยู่ในป้ายโฆษณาและแคมเปญโฆษณาของ Apple นี่เป็นการส่งสัญญาณให้ผู้บริโภคทราบว่า “คุณมีอำนาจนั้นอยู่ในมือ”

ช้าอดหมดนะจ๊ะ!!!

เมื่อ iPhone รุ่นใหม่พร้อมใช้งานเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นเหล่าสาวกมารอคอยรอบ ๆ ร้าน Apple หลายชั่วโมงก่อนที่ร้านจะเปิด แฟน ๆ Apple ต้องการเป็นคนแรกที่มีและใช้อุปกรณ์และมักหลีกเลี่ยงการรอคอยจากความล่าช้าในการจัดส่ง

สำหรับผู้บริโภคเส้นแบ่งที่อยู่นอกร้านเป็นสัญญาณว่าอะไรก็ตามที่อยู่ภายในร้าน Apple นั้นมีคุณค่า มีแนวคิดเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมสองประการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว : การพิสูจน์ทางสังคม (การทำให้เชื่อว่าคนอื่นก็ต้องการสินค้า) และ ความขาดแคลน (ความกลัวว่าอาจมีไม่เพียงพอ) Goldsmith กล่าว

การวิจัยพบว่าเมื่อคุณคิดว่าสิ่งของหายากมันจะเพิ่มความเร้าอารมณ์ของคุณ และทำให้คุณรู้สึกตื่นตระหนกในการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว การรับรู้ถึงความขาดแคลนทำให้คุณมีความเข้าใจในความจริงน้อยลง และมีแนวโน้มที่จะปล่อยใจไปกับสิ่งของที่คุณชื่นชอบมากกว่าการหาทางเลือกอื่น ๆ ที่มีเหตุผลมากกว่า

″นั่นทำให้คุณอยากซื้อ ทำให้คุณอยากเข้าแถวและทำให้คุณไม่อยากพลาด” เธอกล่าว

“ผู้บริโภคตอบสนองแทบจะรุนแรงเกินไปต่อกลยุทธ์ทางการตลาดที่ขาดแคลนเหล่านี้” Goldsmith กล่าว

การพุ่งทะยานของ iPhone

เพียงหนึ่งทศวรรษหลังจากการเปิดตัว iPhone ทำให้ Apple ได้กลายเป็นบริษัทสหรัฐฯแห่งแรกที่มีมูลค่ากิจการทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ และปัจจุบันพวกเขาเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก

ล่าสุด Apple ได้แซงหน้า Samsung ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่แข่งรายใหญ่ที่สุด โดยแซงขึ้นเป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนของโลกเป็นครั้งแรก โดย Apple ครองส่วนแบ่งการตลาดเพียงแค่ 20% ซึ่งเป็นจุดที่ Samsung ครองตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ปี 2010

สิ่งที่ Apple เชี่ยวชาญที่สุดก็คือการสร้างระบบนิเวศของตนเอง ซึ่งเป็นแต้มต่อที่สำคัญมาก ๆ ที่ทำให้พวกเขามีชัยชนะเหนือ Samsung ที่ไม่สามารถสร้างระบบนิเวศแบบเดียวกันเพื่อทำลาย Apple ได้

อนาคตด้าน AI

หลายคนอาจจะเป็นห่วง Apple ที่ดูเงียบผิดปรกติในเรื่องเทคโนโลยี AI ซึ่งถ้าเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น Microsoft , Google หรือ Amazon เรียกได้ว่าออกตัวแรงไปเต็มที่แล้ว

แต่แนวทางกลยุทธ์ที่สำคัญของ Apple ต่อเทคโนโลยี AI ก็คือ ไม่มีการคุยโม้ แต่ต้องทำให้มันใช้งานได้จริงในทางปฏิบัติ

การออกตัวก่อนไม่จำเป็นต้องผู้ชนะในสงครามนี้เสมอไป แต่ใครจะสร้างผลิตภัณฑ์ที่ถูกใจผู้บริโภคมากที่สุดต่างหาก ซึ่ง Apple ไม่เป็นสองรองใครในเรื่องนี้

แม้ Apple เองแทบจะไม่เคยกล่าวถึงคำว่า “AI” ซะด้วยซ้ำ ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา พวกเขามักจะหลีกเลี่ยงไปใช้คำว่า “Machine Learning” แทน

Apple ที่มักหลีกเลี่ยงคำว่า
Apple ที่มักหลีกเลี่ยงคำว่า “AI’ แล้วหันไปใช้คำว่า “Machine Learning” แทน (CR:Aple Developer)

Apple มองว่าบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน AI มีพื้นฐานทางด้านเทคนิคชั้นยอด สิ่งนี้นำไปสู่การเน้นไปที่ การโชว์ Performance ของมัน ตัวเลขต่าง ๆ แต่ผู้บริโภคงงว่าจะได้อะไรจากสิ่งเหล่านี้

Apple เป็นบริษัทด้านผลิตภัณฑ์และมีการปกปิดข้อมูลอย่างเข้มข้นมานานหลายทศวรรษ แทนที่พวกเขาจะพูดถึงโมเดล AI ที่เฉพาะเจาะจง ข้อมูลการ training หรือตัวเลขบ้าบอต่าง ๆ

แต่ Apple เพียงแค่พูดถึงแต่ฟีเจอร์และบอกว่าพวกเขามีเทคโนโลยีเจ๋ง ๆ ที่ทำงานได้จริงอย่างไร และเหล่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากมันได้อย่างไร และสุดท้ายผู้บริโภคก็จะหลงรักเหมือนที่ Apple เคยทำได้สำเร็จมานับต่อนับมาแล้วนั่นเองครับผม

References :
https://www.cnbc.com/2024/01/27/how-the-apple-iphone-changed-the-world.html
https://www.cnbc.com/2023/06/05/apple-practical-approach-to-ai-no-bragging-just-features.html
https://www.businessofapps.com/data/app-stores/
https://appleinsider.com/articles/18/07/05/apple-details-history-of-app-store-on-its-10th-anniversary
https://9to5mac.com/2022/01/09/steve-jobs-original-iphone-announcement-15-years/

AirAsia MOVE เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ MOVETIX แพลตฟอร์มจำหน่ายตั๋วระดับโลก ยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้ผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง

airasia MOVE (เดิมชื่อ airasia Superapp) แอปพลิเคชั่นจองการเดินทางชั้นนำของเอเชีย ผนึกความร่วมมือกับ Coras ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจำหน่ายตั๋วระดับโลก เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ MOVETIX  นวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่จะช่วยให้ผู้ใช้งาน airasia MOVE เข้าถึงดีลสุดพิเศษพร้อมกิจกรรมมากมายกว่า 10,000 รายการไม่ว่าจะเป็นเที่ยวบิน โรงแรม เรียกรถยนต์รับส่ง และอื่นๆอีกมากมายเพียงปลายนิ้วคลิกในแอปเดียว

การดำเนินงานของ MOVETIX จะอยู่ภายใต้การนำของ Hassan Choudhury นักบริหารผู้มากประสบการณ์ในอุตสาหกรรมบันเทิงระดับโลก และเขายังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของ  RedRecords ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง AirAsia และ Universal Music

แพลตฟอร์ม MOVETIX บนแอป airasia move (หรือเดิมชื่อ airasia Superapp) ขับเคลื่อนโดย Coras ซึ่งมีเครือข่ายพันธมิตรสายการบินดังระดับโลกได้แก่ Ryanair, Pegasus, Frontier และอีกมากมาย คลิกที่นี่ เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม

ในการเปิดตัวครั้งนี้ StarHub และ World Football Legends ได้ประกาศแต่งตั้ง MOVETIX ให้เป็นพันธมิตรด้านการขายตั๋วอย่างเป็นทางการของเทศกาล StarHub Football Festival ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 21 เมษายน 2567 ที่ Our Tampines Hub ประเทศสิงคโปร์ โดยในเทศกาลสองวันยังมีการแข่งขันระหว่างตำนานพรีเมียร์ลีกอังกฤษและตำนานของสิงคโปร์ อย่าง David James, Dwight Yorke, Teddy Sheringham และอีกมากมาย

ในฐานะพันธมิตรผู้จำหน่ายตั๋วอย่างเป็นทางการ ผู้สนใจสามารถซื้อบัตรเข้างานได้ในราคา 60 ดอลลาร์สิงคโปร์สำหรับผู้ใหญ่, 30 ดอลลาร์สิงคโปร์สำหรับผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี และเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี และแพ็กเกตครอบครัวในราคา 150 ดอลลาร์สิงคโปร์

ซึ่งครอบคลุมการเข้างานสำหรับเด็ก 2 คน และผู้ใหญ่ 2 คน ผ่านการจัดจำหน่ายบน airasia Superapp ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2567 รายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายบัตรจะบริจาคสมทบทุนให้กับ Dyslexic Association และ HCA Hospice Care ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างชุมชนอันเข้มแข็งให้กับพวกเรา

จองตั๋วของคุณตอนนี้ด้วยขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้ได้เลย:

1. เปิดแอปพลิเคชั่น  airasia Superapp

2. คลิกที่ไอคอน “MOVETIX”

3. เลือกกิจกรรมของคุณและกรอกรายละเอียดที่จำเป็น

นาเดีย โอเมอร์ ประธานกรรมการบริหารของ airasia MOVE กล่าวว่า “ความบันเทิงเป็นส่วนสำคัญของการเดินทาง และบทบาทของ Hassan ภายใต้การนำใน RedRecords และ MOVETIX สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการส่งมอบคุณค่าสูงสุดในการเดินทางและพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถในอาเซียนอย่างสมบูรณ์แบบ

การร่วมมือกับ Coras บนแพลตฟอร์ม airasia MOVE จะช่วยยกระดับประสบการณ์ของนักเดินทาง ขณะเดียวกันก็รักษาการส่งมอบคุณค่าของแบรนด์เราอย่างแท้จริง ด้วย MOVETIX ผู้ใช้แอปของเราสามารถจองการเดินทางทั้งหมดได้อย่างราบรื่น

ไม่ว่าจะเป็นการจองเที่ยวบิน โรงแรม บริการเรียกรถยนต์รับส่งผ่าน airasia ride หรือจองโต๊ะร้านอาหารสุดโปรดผ่านบริการ Dine-in ทั้งหมดนี้อยู่ในระบบอีโคซิสเต็มที่เชื่อมโยงกันบนแอปอย่างไร้รอยต่อ”

มาร์ค แมคลาฟลิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Coras กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับ airasia MOVE ซึ่งจะช่วยให้ฐานลูกค้ามากกว่า 15 ล้านรายต่อเดือนสามารถซื้อตั๋วเข้าชมโรงละคร กีฬา ดนตรีสด และสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดทั่วเอเชียทั้ง 67 เมือง ใน 20 ประเทศได้

สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือตลาดต่อไปที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดสำหรับอุตสาหกรรมความบันเทิง และเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนานี้”

ติดตามข่าวสารล่าสุดจาก airasia Superapp โดยติดตาม @airasiasuperapp บน Instagram, Threads & TikTok หรือ @airasia บน Twitter เพื่อรับข่าวสารล่าสุด

เพื่อประสบการณ์ที่ราบรื่นและดียิ่งขึ้น ดาวน์โหลด airasia Superapp ของคุณ (ที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น airasia MOVE เร็วๆ นี้) จาก Apple App Store และ Google Play Store หรือ Huawei AppGallery 

Geek Monday EP212 : Kojima x Toyota กับเคสตัวอย่างฝันร้ายของความปลอดภัยทางไซเบอร์ในประเทศญี่ปุ่น

Kojima Industries Corp เป็นบริษัทขนาดเล็กที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักนอกประเทศญี่ปุ่น โดยผลิตที่วางแก้วน้ำ ช่องเสียบ USB และช่องใส่ของข้างประตูสำหรับการตกแต่งภายในรถยนต์ 

แต่บทบาทเล็กน้อยในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อบริษัทถูกเจาะระบบในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 และทำให้สายการผลิตทั้งหมดของ Toyota Motor Corp. หยุดชะงัก 

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
http://tinyurl.com/bdhzr8bt

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
http://tinyurl.com/ye7krss4

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://tinyurl.com/hefdsv8r

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
http://tinyurl.com/bdhaur3r

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/kJJNIeiPP3g