Geek Talk EP31 : Running With the Devil กับเรื่องราวแปลกประหลาดและบ้าคลั่งสุดขีดของ John McAfee

มีบางเรื่องที่แปลกกว่านิยาย มีความลึกลับที่ยังไม่มีคำตอบ แต่คงไม่มีเรื่องไหนที่แปลกประหลาดและบ้าบอเท่า Running with the Devil: The Wild World ของ John McAfee เรื่องราวของเจ้าพ่อโปรแกรม Antivirus สุดเพี้ยนคนนี้

สารคดีที่ถ่ายทอดฟุตเทจของนักข่าว Rocco Castoro และตากล้อง Robert King ซึ่งถ่ายทำในปี 2012 เมื่อพวกเขาเข้าร่วมกับผู้บุกเบิกซอฟต์ Antivirus ชื่อดัง (ซึ่งบริษัทมีชื่อของเขา) ในขณะที่เขากำลังหลบหนีจากการบังคับใช้กฎหมายในเบลีซ ซึ่งเขาถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมเกรกอรี่ ฟอลล์ เพื่อนบ้านของเขา 

แต่เรื่องราวสุดพีคเรื่องนี้ มันไม่ได้จบลงด้วยดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว McAfee ถูกจับกุมในสเปนและพบว่าได้ฆ่าตัวตายในคุกเมื่อปี 2021

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
http://bit.ly/3KSbFyO

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
http://bit.ly/3ZvxB7h

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/3Z9sycQ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
http://bit.ly/3Zaygep

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/OL9dHhVTzr8

ChatGPT ในประเทศจีน ไม่มีทางปรากฏขึ้นในชั่วข้ามคืน แม้ว่าหลายๆ บริษัทในจีนอาจอาจจะคุยโวไว้เกินจริงก็ตามที

เรียกได้ว่าเป็นการโหนกระแส ChatGPT ไปทั่วโลกนะครับ เมื่อการแข่งขันครั้งใหญ่โดยบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีนเกือบทุกแห่งประกาศแผนการที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกับ ChatGPT ของตนเอง  ในขณะที่ประชาชนชาวจีน ได้ทดลองใช้บริการ ChatGPT กันอย่างเมามัน

คนส่วนใหญ่ที่เคยสัมผัส ChatGPT โดยตรงในจีนเข้าถึงได้ผ่าน VPN รวมถึงผู้คนจำนวนมากที่ได้เห็นผลลัพธ์ผ่านภาพหน้าจอและวิดีโอโซเชียลสั้น ๆ ที่แสดงคำตอบของ ChatGPT ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ได้กวาดล้างโซเชียลมีเดียของจีนในช่วงเดือนที่ผ่านมา

นอกเหนือจากเสน่ห์ของความแปลกใหม่และเข้าถึงยากแล้ว ยังมีแนวโน้มว่าเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT จากอเมริกาจะได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากความสามารถในการตอบคำถามในภาษาจีนของ ChatGPT นั้นเกินความคาดหมายของหลายๆ คน

ก่อนหน้านี้ GPT-3 รุ่นก่อนหน้าของเทคโนโลยีนี้จาก OpenAI ซึ่งเปิดตัวในปี 2020 และไม่พร้อมใช้งานในจีน ใช้งานกับเนื้อหาภาษาจีนได้ไม่ดีนัก 

ในขณะที่บริษัทจีนไม่กี่แห่งพัฒนาแชทบ็อตที่แปลเป็นภาษาท้องถิ่นแทน GPT-3 พวกเขามักถูกผู้ใช้เย้ยหยันว่าเป็นเป็นเทคโนโลยีที่กระจกอก สามารถคาดการณ์ได้ ซ้ำซาก และหากนำไปเทียบกับ ChatGPT เรียกได้ว่าต่างกันคนละโลก

ChatGPT มีการสร้างคำตอบที่เป็นธรรมชาติ แม้ว่าจะดูเป็นทางการเล็กน้อย แต่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจการอ้างอิงแบบดั้งเดิม มันสามารถเลียนแบบสไตล์การเขียนของ Hu Xijin อดีตบรรณาธิการบริหาร Global Times ซึ่งเป็นกระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อหลักของจีนได้เสียด้วยซ้ำ

สามารถเลียนแบบสไตล์การเขียนของ Hu Xijin อดีตบรรณาธิการบริหาร Global Times (SCMP)
สามารถเลียนแบบสไตล์การเขียนของ Hu Xijin อดีตบรรณาธิการบริหาร Global Times (SCMP)

มันรู้จักเพลงมีมในภาษาจีนและสามารถสร้างเนื้อเพลงที่คล้ายกันตั้งแต่เริ่มต้น และสามารถเขียนโพสต์ในรูปแบบอิโมจิจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีนเช่นเดียวกับในภาษาอังกฤษ

ความแม่นยำของคำตอบในภาษาจีนของ ChatGPT มักจะลดลงเมื่อมีการเริ่มถามคำถามยาก ๆ และทำให้เกิดความผิดพลาดได้ แต่ความจริงที่ว่าแชทบ็อตที่พัฒนาโดยบริษัทอเมริกันได้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างมากเกี่ยวกับจีนในปัจจุบันนี้ยังคงสร้างความประทับใจให้กับสาธารณชนชาวจีนเป็นอย่างมาก 

Buzzword ใหม่ที่จีนต้องการเข้ามาร่วมแข่งขันด้วย

มันจึงไม่แปลกใจเลยที่ตอนนี้บริษัทเทคโนโลยีของจีนต้องการมีส่วนร่วมในการแข่งขันดังกล่าวนี้ Baidu บริษัทด้านการค้นหาและ AI ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดในการสร้างทางเลือกมาแทน ChatGPT จะเสร็จสิ้นการทดสอบ “Ernie Bot” ในเดือนมีนาคม และรวมไว้ในผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ส่วนใหญ่ของพวกเขา 

แผนกวิจัยของอาลีบาบา DAMO Academy กำลังทดสอบเครื่องมือที่คล้ายกันเป็นการภายใน และ 360 บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และการค้นหากล่าวว่าจะปล่อยตัวอย่าง “ASAP” บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น NetEase, iFlytek และ JD.com ยังต้องการใช้แชทบอท AI ของตนเองในสถานการณ์เฉพาะ เช่น การศึกษา อีคอมเมิร์ซ และฟินเทค

กระแสที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขับเคลื่อนด้วย FOMO (Fear of missing out) ในแง่หนึ่ง มีผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีเพียงไม่กี่รายการที่สามารถดึงดูดความสนใจของสาธารณชนได้มากเท่ากับ ChatGPT ซึ่งทำให้บริษัทจีนยังห่างชั้นจากโลกตะวันตกอย่างมากในเทคโนโลยีดังกล่าวนี้

ในทางกลับกันมีแรงกดดันอย่างชัดเจนต่อบริษัทเหล่านี้ไม่ให้พลาดแนวโน้มครั้งใหญ่นี้  โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่โดยพื้นฐานแล้วมีความคลั่งไคล้ในการมองหาบริษัทจีนใด ๆ ที่มีธุรกิจที่แสดงถึงความเกี่ยวข้องกับ AI หรือแชทบอท 

ตัวอย่างเช่น Secoo บริษัทอีคอมเมิร์ซที่ล้มเหลวและมีพื้นฐานด้าน AI เพียงเล็กน้อย ประกาศเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ว่าจะสำรวจการใช้เทคโนโลยีที่คล้ายกับ ChatGPT ในบริการของตน ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 124.4% ในวันนั้นทันที 

ในขณะเดียวกัน Wang Huiwen ผู้ร่วมก่อตั้ง Meituan บริษัทขนส่งยักษ์ใหญ่ของจีน ได้โพสต์บนโซเชียลมีเดียว่าเขาลงทุน 50 ล้านดอลลาร์เพื่อก่อตั้งบริษัทที่มีลักษณะคล้าย ChatGPT ในช่วงเวลานั้น เขาได้รับเงินสนับสนุนจาก VC เพิ่มอีก 230 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าเขาไม่เข้าใจเทคโนโลยี AI และยังคงเรียนรู้อยู่

Wang Huiwen ผู้ร่วมก่อตั้ง Meituan ที่ประกาศลงทุนในเทคโนโลยีดังกล่าว (CR:caixinglobal)
Wang Huiwen ผู้ร่วมก่อตั้ง Meituan ที่ประกาศลงทุนในเทคโนโลยีดังกล่าว (CR:caixinglobal)

แน่นอนว่าความโกลาหลจะเข้าสู่ภาวะความสงบนิ่งในไม่ช้า และจากนั้นคำถามก็คือว่าบริษัทจีนจะตามทันสิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ได้จริงหรือไม่ ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีทุกแห่งก็ดูเหมือนจะอยู่ในการแข่งขันด้านบ็อตเช่นกันแต่ยังมีอุปสรรคที่สำคัญอยู่มาก

Jeffrey Ding ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน กล่าวว่า พวกเขาน่าจะเข้าถึงข้อมูลที่ใช้ในการฝึกอบรม AI ภาษาจีนที่ดีกว่า และมีแรงจูงใจในเชิงพาณิชย์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างรวดเร็ว “สิ่งเหล่านี้คือธุรกิจ ท้ายที่สุดแล้ว” เขากล่าว “OpenAI, Microsoft พวกเขาต้องการสร้างรายได้ด้วย ChatGPT และตลาดหลักของพวกเขาคือภาษาอังกฤษ ดังนั้นจึงสมเหตุสมผลที่พวกเขาจะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาษาอังกฤษ 

ในทางกลับกัน สำหรับ Baidu พวกเขาไม่ได้พยายามจับตลาดภาษาอังกฤษ ดังนั้นพวกเขาจะปรับให้เหมาะสมสำหรับตลาดจีน” แต่ในบรรดาบริษัทจำนวนมากที่เริ่มเข้าสู่วงการแชทบอทอัจฉริยะ มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่ควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นคู่แข่งที่จริงจังกับ ChatGPT“

Ding สังเกตว่าเขาเห็น GPT-3 เวอร์ชันแปลเป็นภาษาจีนประมาณ 5-6 เวอร์ชัน รวมถึง Wenxin ของ Baidu (หรือที่รู้จักในชื่อ ENRIE 3.0 Titan), PanGu-Alpha ของ Huawei และ Yuan 1.0 ของ Inspur 

แต่บริษัทเหล่านี้ยังอาจใช้เวลาอีกมากโข Baidu ใช้เวลา 18 เดือนหลังจาก OpenAI เปิดตัว GPT-3 เพื่อปล่อย Wenxin มันคือตัวอย่างความล่าช้าระหว่างบริษัทจีนและตะวันตกในรูปแบบภาษาขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง

อุปสรรคที่สำคัญจากรัฐบาลจีน

ยังมีอุปสรรคที่สำคัญจากการเมืองของจีนอีกด้วย การควบคุมการส่งออกชิปล่าสุดของสหรัฐอเมริกา GPU ที่ล้ำสมัยเช่น A100 และ H100 ของ Nvidia ไม่สามารถขายให้กับประเทศจีนได้อีกต่อไป ซึ่งจะจำกัดความสามารถในการคำนวณของบริษัทจีนในการฝึกและเรียกใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่เช่นเดียวกับที่ขับเคลื่อน ChatGPT 

การเซ็นเซอร์ข้อมูลออนไลน์ของจีนยังหมายถึงการเดิมพันสูงหากแชทบอทที่ผลิตในประเทศสร้างคำตอบที่ละเอียดอ่อนทางการเมือง 

ก่อนหน้านี้ผู้ใช้จำเป็นต้องสมัครเพื่อเข้าถึง GPT-3 ที่พัฒนาโดยบริษัทจีน บริษัทอาจต้องทำในลักษณะเดียวกันสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คล้ายกับ ChatGPT เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดทางการเมืองเพราะความเข้มงวดของพรรคคอมมิวนิสต์ในเรื่องละเอียดอ่อนเหล่านี้

ด้วยกระแสเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ความคลั่งไคล้ ChatGPT ในประเทศจีน แต่ก็อย่าคาดหวังว่า ChatGPT เวอร์ชันภาษาจีนจะปรากฏในชั่วข้ามคืน มันยังเป็นหนทางอีกยาวไกลสำหรับบริษัท AI ของจีน ในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ให้ทัดเทียมโลกตะวันตกได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.reuters.com/technology/chatgpt-frenzy-sweeps-china-firms-scramble-home-grown-options-2023-02-10/
https://www.cnbc.com/2023/02/07/baidu-shares-leaps-as-it-reveals-plan-for-chatgpt-style-ernie-bot.html
https://www.technologyreview.com/2023/02/15/1068624/chatgpt-race-china-baidu-ai
https://en.gizchina.it/2023/02/chatgpt-banned-in-china/
https://www.whatsonweibo.com/chatgpt-in-china-online-discussions-concerns-and-chinas-chatgpt-style-bots/

 

Geek Monday EP167 : Temu พลิกแซง Shein ขึ้นมาครองอันดับหนึ่งของแอป ecommerce ใน US ได้อย่างไร

Temu แอปช้อปปิ้งของจีนทำการตลาดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดตัวในสหรัฐอเมริกาด้วยโฆษณา Super Bowl แพลตฟอร์มของ Temu นั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำการช็อปปิ้งทางโซเชียลซึ่งเป็นปรากฏการณ์อยู่แล้วในจีนมาสู่อเมริกาเหนือ

นับตั้งแต่เปิดตัวอย่างเงียบ ๆ ในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 6 เดือนก่อน Temu ก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอันดับ 1 ของ Apple หมวดช้อปปิ้งใน App Store แซงหน้า Shein, Amazon.com และ Walmart โดย Temu เป็นบริษัทในเครือของ PDD Holdings ซึ่งเป็นเจ้าของแอปอีคอมเมิร์ซ Pinduoduo  การเปิดตัวโฆษณา Super Bowl Temu ได้มอบรางวัล 10 ล้านดอลลาร์ให้กับผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดแอปและเล่นเกมเพื่อรับส่วนลด 

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
http://bit.ly/3maxEXs

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
http://bit.ly/3kveefD

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/3Y8RO1j

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/BJpcItsSXxA

เมื่อ VC เข็ดขยาดวงการ Crypto ทำให้เม็ดเงินอัดฉีดเข้าลงทุนในวงการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

Founder Fund ของ Peter Thiel , Vision Fund ของ Softbank เรียกได้ว่าคงเข็ดกับการลงทุนใน crypto ไปไม่ใช่น้อยนะครับ เมื่อสถานการณ์ในตอนนี้พวกเขาเริ่มที่จะดึงเงินกลับจากการลงทุนในวงการ crypto จากที่มันเคยเป็นกระแส Buzzword ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

ย้อนไปเมื่อ 9 เดือนที่แล้ว Peter Thiel ปรากฎตัวที่งาน Bicoin 2022 ในไมอามีบีช เขาเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยความรวดเร็ว ด้วยความศรัทธาปลอม ๆ ใน Bitcoin เขาได้หยิบธนบัตรมูลค่า 100 ดอลลาร์ ออกมาปึกหนึ่ง

“มันแปลกจริง ๆ นี่คืออะไร?” Thiel ถามกับฝูงชนพลางโบกมือไปมา

“มันแทบจะไร้ค่ามากกว่ากระดาษชำระ เพราะมันเป็นเงินเฟียตที่เส็งเคร็ง”

จากนั้นเขาก็ขยำธนบัตรเป็นก้อนกลม ๆ โยนเข้าไปในฝูงชน และเยอะเย้ยใครก็ตามที่หยิบมันขึ้นมา “ผมคิดว่าพวกคุณควรจะเป็น Bitcoin Maximalists (คนที่มีความเชื่อมั่นเหนือ Bitcoin และไม่ยอมรับสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ)”

มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่ Thiel จะมีทัศนคติเช่นนั้น เพราะก่อนหน้านั้นในเดือนตุลาคม 2021 ตัวเขาเองได้ทุ่มเงินอย่างบ้าคลั่งในแวดวงของ crypto

Founders Fund ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ Thiel ได้ทำการเทขายก่อนที่ตลาด crypto จะพัง Founders Fund ได้ดึงเงินออกจากพอร์ดโฟลิโอ crypto ทั้งหมดภายในช่วงสิ้นเดือนมีนาคม 2022

ฝั่ง Masayoshi Son แห่ง Softbank ก็รู้สึกสยดสยองไม่แพ้กันกับการลงทุนในวงการ crypto รายงาน ผลประกอบการรายไตรมาสที่น่าสยอง ซึ่งรวมถึงการขาดทุน 5.9 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 3 ของบริษัท และการลงทุนใน startup ที่ลดลงกว่า 90% เมื่อรวมกับมูลค่าตลาด crypto ที่ลดลงได้ทำลายความคาดหวังของผลตอบแทนที่สูงในวงการนี้อย่างหมดสิ้น

บริษัทไม่ได้ลงทุนสาธารณะในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ crypto เลยตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2022 เมื่อ Vision Fund 2 ของบริษัทร่วมเป็นผู้นำในการระดมทุน 66 ล้านดอลลาร์สำหรับ InfStones ซึ่งเป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน 

Vision Fund 2 ซึ่งเป็นบริษัทที่มีพอร์ตโฟลิโอในวงการ crypto และบล็อกเชนส่วนใหญ่ของ SoftBank ได้สูญเสียไปราวๆ 16.7 พันล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ก่อตั้งในเดือน มิถุนายน 2019 ด้วยเงินลงทุน 49.9 พันล้านดอลลาร์ บริษัทได้สูญเสียเงิน 34.5 พันล้านดอลลาร์จาก Vision Funds

ธุรกิจบางแห่งที่เคยระดมทุนจาก SoftBank ได้หันไปหาแหล่งอื่น Candy Digital ซึ่งเป็นเจ้าของคอลเลกชัน NFT อย่างเป็นทางการของเมเจอร์ลีกเบสบอล ระดมทุนได้ 100 ล้านดอลลาร์จาก SoftBank ในรอบการระดมทุนซีรีส์ A ในเดือนตุลาคม 2021 ซึ่งบริษัทระบุว่าประเมินมูลค่าไว้ที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์ 

แต่รอบการลงทุนใหม่ในเดือนมกราคมสามารถระดมทุนได้เพียง 38.4 ล้านดอลลาร์จากบริษัทร่วมทุนสามแห่ง ได้แก่ Galaxy Digital, 10T Holdings และ ConsenSys และ Softbank ก็ไม่ได้เข้าร่วมลงทุนเพิ่มในรอบนี้แต่อย่างใด

เมื่อมองถึงสถานการณ์ในบริษัทร่วมทุนอื่น ๆ กับสตาร์ทอัพด้าน crypto ซึ่งมีมูลค่าลดลงเหลือเพียง 548 ล้านดอลลาร์ในเดือนที่แล้ว ลดลงอย่างมากจาก 6 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2022 ซึ่งจำนวนธุรกรรมลดลงเหลือ 62 จาก 166 รายการ และข้อตกลงส่วนใหญ่ในปี 2023 เป็นของบริษัทขนาดเล็กที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นเพียงเท่านั้น

ก็ต้องบอกว่ามันมองเห็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนเมื่อ VC เริ่มเข็ดขยาดกับการลงทุนในแวดวงนี้ คงส่งผลกระทบกับวงการไม่ใช่น้อย ซึ่งสาเหตุสำคัญก็คงมาจากการล่มสลายของ FTX ซึ่งสถานการณ์คงยังไม่ดีขึ้นหากไม่หาวิธีกำจัด หรือกำกับดูแลเหล่ายอดอัจฉริยะในคราบของโจรให้หมดสิ้นไปนั่นเองครับผม

References :
https://www.forbes.com/sites/digital-assets/2023/02/23/softbank-puts-blockchain-investments-on-ice-as-part-of-startup-pullback
https://www.coindesk.com/business/2023/02/02/crypto-winter-led-to-91-plunge-in-vc-and-other-investments-for-january/
https://www.bloomberg.com/news/newsletters/2023-01-24/peter-thiel-is-not-a-crypto-true-believer

การแบน TikTok จากสหรัฐฯ กับเหตุผลที่เป็นมากกว่าแค่เรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

“ถ้ามีประเทศหนึ่งเต็มใจที่จะบินบอลลูนเหนือน่านฟ้าของเรา และผู้คนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แล้วเหตุใดพวกเขาจะไม่ใช้เครื่องมือโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok ให้กลายเป็นอาวุธ? หรือแอปดักข้อมูลในโทรศัพท์ของชาวอเมริกัน 60 ล้านคน” Marco Rubio รองประธานคณะกรรมการข่าวกรองวุฒิสภา จากพรรคริพับริกันกล่าว

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ กับกระแสที่นักการเมืองสายเหยี่ยวของอเมริกากำลังโจมตี TikTok อย่างหนัก มีการเรียกร้องให้แบนแพลตฟอร์มนี้ทั่วทั้งประเทศ เรียกร้องให้ทั้ง Apple และ Google ลบแอปออกจาก Store

TikTok ซึ่งมีเจ้าของคือ ByteDance ในประเทศจีน ได้กลายเป็นแอปโซเชียลมีเดียที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ได้ถูกนักการเมืองสหรัฐไล่บี้อย่างหนัก ในความพยายามห้ามใช้แอปยอดนิยมบนอุปกรณ์ของรัฐบาลซึ่งได้รับการผลักดันในระดับรัฐ

ในขณะนี้รัฐบาลกว่าครึ่งของมลรัฐทั่วสหรัฐอเมริกาสั่งห้าม TikTok รวมถึงการแบนจากเครือข่ายของมหาวิทยาลัยของรัฐหลายแห่ง

ซึ่งนอกจากความสัมพันธ์ของ TikTok กับพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนแล้ว นักการเมืองสหรัฐฯ ยังกังวลเกี่ยวกับความซับซ้อนของอัลกอริธึมการแนะนำวีดีโอของแอป

ปัจจัยสำคัญของความสำเร็จของ TikTok นั้น คือความสามารถในการคาดเดาว่าผู้ใช้ต้องการดูวีดีโอใด ซึ่งบางวีดีโอนั้นผู้ใช้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าชอบจนกว่าหน้า For You ของแอปจะโน้มน้าวใจพวกเขาไปยังวีดีโอถัดไป

ก็ต้องบอกว่า TikTok เองนั้นไม่เพียงแค่ดึงข้อมูลผู้ใช้ แต่ยังสามารถมีอิทธิพลต่อรสนิยมของผู้ใช้โดยการจัดการกับอารมณ์ ซึ่ง TikTok ได้คอยปรับแต่งและในที่สุดก็สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้โดยสิ้นเชิง (ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากแพลตฟอร์มของอเมริกาเองอย่าง Facebook) ซึ่งเหล่านักการเมืองสายเหยี่ยวของอเมริกาต่างเกรงกลัวกันว่าจีนจะมุ่งเป้าไปที่เกมระยะยาว

“ข้อมูลเป็นสินค้าที่มีค่าที่สุดในโลก การมีข้อมูลเกือบทั้งหมดบนอุปกรณ์ของชาวอเมริกันกว่า 50 ล้านคนที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าถึงได้ทุกวันจะก่อให้เกิดความเสี่ยงที่มากเกินไปต่อความมั่นคงของประเทศอเมริกา ต่อเศรษฐกิจของเรา และต่อความสามารถในการแข่งขันของเรา” Rubio กล่าว

Marco Rubio รองประธานคณะกรรมการข่าวกรองวุฒิสภา จากพรรคริพับริกัน (CR:Engadget)
Marco Rubio รองประธานคณะกรรมการข่าวกรองวุฒิสภา จากพรรคริพับริกัน (CR:Engadget)

ในขณะที่ฟากฝั่งบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เองก็ใช่ย่อย ซึ่งสิ่งที่นักการเมืองสหรัฐฯ กล่าวหา TikTok นั้นก็เป็นสิ่งเดียวกับที่แพลตฟอร์มของบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐเองนั้นกระทำไปทั่วโลก

ด้วยผลประโยชน์จำนวนมหาศาลจากแพลตฟอร์มเหล่านี้ ไม่น่าแปลกใจว่าบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐเองก็พยายามล็อบบี้นักการเมืองของพวกเขาเพื่อสร้างกฎเกณฑ์ที่เอื้อประโยชน์ให้กับพวกเขาเอง

ข้อมูลโดยเฉพาะในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องจักรทำเงินที่สำคัญ และ TikTok ก็มองเห็นสิ่งนั้นและกำลังจะแย่งชิงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้จากบริษัทจากซิลิกอนวัลเลย์อยู่

คงไม่พูดเกินเลยนักว่ามันเปรียบเสมือนสุภาษิตไทยที่ว่า “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” เพราะสิ่งที่นักการเมืองสหรัฐมองเห็นสิ่งที่ TikTok มีนั้น มันก็มาจากข้อมูลที่เหล่าบริษัทเทคโนโลยีอเมริกาได้รับมาก่อน พวกเขาจึงเห็นศักยภาพของมันว่ามหาศาลขนาดไหน

แต่สิ่งที่ TikTok จากประเทศจีนได้เปรียบกว่ามาก ๆ โดยเฉพาะเรื่องการค้าขาย เช่นในธุรกิจ Ecommerce เมื่อพวกเขาเรียนรู้พฤติกรรมทุกอย่างของผู้ใช้งานทั่วโลก ด้วยการที่เป็นฐานการผลิตขนาดยักษ์ สินค้าที่มีตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ ข้อมูลพฤติกรรมความชอบเหล่านี้ที่ TikTok ได้ไปนั้น จะสร้างมูลค่าทั้งต่อทั้งแพลตฟอร์มและต่อประเทศจีนได้มากกว่าเครือข่ายที่มุ่งเน้นแต่การขายโฆษณาจากซิลิกอนวัลเลย์ได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
https://www.wired.com/story/us-congress-tiktok-ban-privacy-law
https://sea.mashable.com/life/22405/these-college-campuses-are-banning-tiktok-heres-why
https://gizmodo.com/tiktok-china-byte-dance-ban-viral-videos-privacy-1850034366
https://amac.us/biden-ignores-tiktok-national-security-threat-for-political-expediency/
https://www.express.co.uk/news/world/1447673/joe-biden-tiktok-donald-trump-ban-review-us-latest-breaking-news