NetScape Time ตอนที่ 5 : The Investor

แม้ในช่วงแรก ๆ นั้น Jim จะพยายามจัดการเรื่องเงินลงทุนให้เพียงพอกับการดำเนินธุรกิจได้ตามแผนงานที่เขาตั้งไว้ เพื่อที่จะยังไม่จำเป็นต้องไปร้องขอเงินทุนก้อนใหม่จากเหล่าบริษัท Venture Capital

แต่ด้วยสถานการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกินความคาดหมาย ตอนนี้บริษัทได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการคือ Mosaic Communication ส่วนตัวโปรแกรมแม้จะยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีนัก แต่ ก็มีลูกค้าหลาย ๆ รายสนใจที่จะมาใช้บริการเสียแล้ว รวมถึง การจ้างงานที่เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะเกิดหายนะกับภาระทางด้านการเงินได้ หากไม่จัดเรื่องเงินลงทุนให้เรียบร้อย

และดูเหมือนตัวเลือกแรก ๆ ของ Jim สำหรับการระดมทุนรอบสอง นั่นก็คือ กองทุน Mayfield  แม้จะเคยมีปัญหากันบ้างในบริษัทแรกของเขาอย่าง SGI ที่ Mayfield เข้าถือหุ้นถึงกว่า 40%

แต่ดูเหมือนเมื่อติดต่อทาง Mayfield ไปนั้น ก็แทบจะไม่ได้รับคำตอบจากพวกเขาอีกเลย จากนั้น Jim ก็ได้ลองพยายามหาบริษัทลงทุนใหม่ ๆ เช่น กองทุน NEA แต่ก็ได้รับการตอบสนองด้วยความระมัดระวัง ซึ่ง Jim เองนั้นก็ยังไม่ค่อยพอใจกับท่าทีจากบริษัทลงทุนทั้งสอง

ดังนั้นเขาจึงคิดว่ากองทุนอื่นที่ไม่เคยรู้จักเขา น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า โดยเฉพาะในแง่ที่เขาเคยเป็นผู้ก่อตั้งของ SGI และรู้ไส้รู้พุง นักลังทุนกลุ่มนี้หมดแล้ว และที่สำคัญในยุคนั้นบริษัทกองทุนร่วมทุน มีอยู่เต็มไปหมดใน Silicon Valley เขาไม่จำเป็นต้องแคร์ในเรื่องการถูกปฏิเสธแต่อย่างใด เพราะมีทางเลือกอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อมโอกาสใหม่ ๆ อีกเพียบ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในอดีต ก็คือ Arthur Rock ที่เคยถูกปฏิเสธกว่า 30 ครั้ง ในช่วงที่กำลังมองหาเงินลงทุน ในช่วง ปี 1960 เพื่อที่จะก่อตั้งบริษัท Fairchild Semiconductor แต่สุดท้ายความพยายามของพวกเขาก็สำเร็จเมื่อเขาได้ร่วมมือกับ Robert Noyce และ Gordon Moore ก่อตั้ง intel ให้ยิ่งใหญ่อย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบัน

Arthur Rock ตำนานแห่ง Silicon Valley ผู้เคยถูกปฏิเสธกว่า 30 ครั้ง
Arthur Rock ตำนานแห่ง Silicon Valley ผู้เคยถูกปฏิเสธกว่า 30 ครั้ง

จนเขาได้ติดต่อไปยัง John Doerr แห่งกองทุน KPCB ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนักลงทุนยุคใหม่ที่น่าจับตา และมีบทบาทที่ค่อนข้างสำคัญมาก ๆ ในยุคปฏิวัติข้อมูลข่าวสาร และประสบความสำเร็จมาแล้วในหลากหลายอุตสาหกรรมที่ได้เข้าไปลงทุน

โดย John นั้นจบการศึกษาระดับปริญญาโทในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า และ ในสาขาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขาเป็นหนึ่งในผู้ถือครองลิขสิทธิ์ของการประดิษฐ์ หน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ (RAM) และเป็นคนที่เข้าใจเทคโนโลยีไฮเทคใหม่ ๆ เหล่านี้ได้อย่างลึกซึ้ง และเข้าใจสิ่งที่ Jim และ Marc กำลังสรรค์สร้างขึ้นมาได้อย่างเต็มที่

ซึ่ง Jim ได้พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พบว่า ข้อเสนอของ John จาก KPCB นั้นดูจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบริษัท ซึ่งมีเหตุผลหลัก ๆ อยู่ 2 ประการก็คือ

หนึ่ง John นั้นมักจะกล่าวอยู่เสมอว่าไม่ต้องการเข้าไปก่อตั้งบริษัทใหม่อีกแล้ว แต่มีความต้องการที่จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมาทั้งหมด และสิ่งที่ Jim และ Marc กำลังทำอยู่นั้นถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งน่าจะตรงกับ concept การลงทุนของ John มากที่สุด

ohn Doerr อีกหนึ่งตำนานนักลงทุนแห่ง Silicon Valley
John Doerr อีกหนึ่งตำนานนักลงทุนแห่ง Silicon Valley

ส่วนประการที่สอง ก็คือ John มักเข้าไปมีส่วนอย่างยิ่งสำหรับการคัดเลือกพนักงานในธุรกิจใหม่ ๆ นี้ และที่สำคัญเขายังมีความสามารถอย่างยิ่งในการหาผู้บริหารที่เหมาะสมกับงาน ซึ่งการมีคนอย่าง John มาช่วยเหลือในเรื่องนี้ ถือว่าส่งผลดีอย่างยิ่งต่อบริษัท

ซึ่ง John ก็คงมองออกเหมือนกับสิ่งที่ Jim และ Marc มองเห็นในขณะนั้น หากพวกเขาสามารถยึดครองส่วนแบ่งทางการตลาดสำหรับโปรแกรม Browser ในการเข้าถึง internet ได้สำเร็จ มันก็จะตามมาด้วยเงินจำนวนมหาศาลนั่นเอง

ซึ่ง Deal สุดท้ายของ KPCB นั้น จะทำการลงทุนด้วยเงินจำนวน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ และตัว Jim จะเพิ่มการลงทุนเข้าไปอีก 2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อรักษาส่วนแบ่งของเขาไม่ให้ถูกลดทอนลงไปนั่นเอง และให้ John เข้ามาเป็นกรรมการของบริษัทในที่สุด

ต้องบอกว่าสถานการณ์ ณ ตอนนี้ โปรแกรม Browser ของพวกเขาก็พร้อมใกล้เสร็จสมบูรณ์เต็มที่แล้ว และที่สำคัญยังได้เงินทุนระลอกใหม่จาก KPCB และ ชายผู้มีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยมอย่าง John Doerr เข้ามาเป็นกรรมการบริษัท ก็ต้องมาตามกันต่อว่า เมื่อผลิตภัณฑ์ออกมาได้สำเร็จจริง ๆ มันจะเป็นไปตามแผนที่พวกเขาวาดไว้หรือไม่ โปรดติดตามต่อตอนหน้าครับผม

–> อ่านตอนที่ 6 : True Leader

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Billion Dollar Company *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

สร้างบ้านด้วยงบประหยัดแต่ดูแพง อบอุ่นน่าอยู่ ด้วยงบไม่เกิน 1 ล้าน

คุณกำลังมองหาบ้านสไตล์ร่วมสมัย ที่เหมาะกับคุณอยู่ใช่ไหม?

               หากคุณเป็นคนที่สนใจ และกำลังมองหาแบบบ้าน หรือตัวอย่างของบ้านที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนคุณ บ่งบอกของความมีสไตล์ในการใช้ชีวิตแล้วล่ะก็ เราขอแนะนำเป็น “บ้านชั้นเดียว สไตล์คอนเทมโพรารี” บ้านที่เราไว้ใช้ทำกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัว และใช้รับรองแขกได้อย่างสะดวกสบาย และบ่งบอกถึงความดูดี มีสไตล์ในการเลือกแบบบ้าน

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับสไตล์บ้านที่ได้รับความนิยมกันก่อนดีกว่า

บ้านสไตล์คลาสสิก (Classic)
              
บ้านสไตล์คลาสสิก(Classic) มีเอกลักษณ์ในความหรูหรา อลังการต้องบ้านสไตล์ มีความไฮโซ ดูแพง ขนาดใหญ่ มีพื้นที่บริเวณขนาดใหญ่มาก บ้านคลาสสิกได้รับอิทธิพลจากประเทศฝั่งตะวันตก เช่น กรีก โรมัน เสปน ให้ความรู้สึกหรูหรา โอ่โถ่ง ทั้งความกว้างของบ้าน และวัสดุที่ใช้  มีการประดับด้วยเส้นลายโค้ง มักใช้เสากลมที่มีการประดับหัวเสา รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ มักจะแสดงถึงความหรูหรา ผนังมักแต่งด้วยร่องคิ้ว หรือ บัว เพื่อสร้างรายให้กับมุมของบ้าน เวลาสร้างใช้ปูนที่มีคุณภาพสูง เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่ ถึงใหญ่มาก ด้วยขนาดบ้านแล้วราคาก็สูงตามความสวยงาม และหากต้องการลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อแสวงหากำไรแล้วล่ะก็ ยังเหมาะกับการสร้างเพื่อให้เช่าใช้สถานที่ในการถ่ายละครหรือทำเป็นพลูวิลล่าสไตล์คลาสสิก นอกจากมีบ้านสวยๆหรูหราแล้วยังสามารถหาเงินให้เราได้อีกด้วย

บ้านสไตล์โมเดิร์น (Modern)
               บ้านสไตล์โมเดิร์น (Modern) มีเอกลักษณ์ในความรูปทรงที่สามารถตอบสนองประโยชน์ใช้สอยได้สูงสุด บ้านโมเดิร์นมี ลักษณะเด่นในการใช้รูปทรงเรขาคณิต เช่น สี่เหลี่ยมหรือเส้นโค้งที่เกิดจากส่วนของวงกลม สำหรับแนวคิดหลักของการออกแบบโมเดิร์นเป็นการเลือกใช้รูปทรง โครงสร้างและวัสดุที่สามารถตอบสนองการใช้งานได้ดี หรืออีกนัยหนึ่งคือรูปทรงของอาคารถูกกำหนดจากลักษณะการใช้งาน ไม่มีการประดับตกแต่งส่วนเกิน เคารพในธรรมชาติของวัสดุและโครงสร้าง เช่น การโชว์เสา คาน หรือส่วนของโครงสร้างอาคารอย่างไม่มีปิดปัง ไม่ว่าจะเป็น เหล็ก คอนกรีต กระจก หรือไม้ โดยถือว่าเป็นความงามชนิดหนึ่ง หลักการสำคัญของการออกแบบบ้านโมเดิร์นอีกประการหนึ่ง คือ ความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย ไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง เช่น การออกแบบบ้านไม่มีชายคายื่นจากตัวบ้านโดยเข้าใจผิดว่าเป็นลักษณะของบ้านรูป แบบโมเดิร์นแต่มีปัญหาน้ำฝนสาดหรือรั่วเข้ามาทางประตูและหน้าต่าง ดังนั้นหลักของการออกแบบบ้านโมเดิร์น คือ การเคารพในรูปร่างธรรมชาติของวัสดุ ไม่มีการตกแต่งปิดปังให้สิ้นเปลืองและจะต้องอยู่อาศัยอย่างสะดวกสบาย

บ้านสไตล์ร่วมสมัย  (Contemporary)  

บ้านสไตล์ร่วมสมัย  (Contemporary) มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดยเป็นการผสมผสานแนวการตกแต่งของสไตล์ classic และสไตล์ modern เข้าด้วยกัน เป็นแนวการตกแต่งที่เป็นกลางๆ ไม่หรูหรา ยิ่งใหญ่อลังการ งานสร้างเกินไปเหมือนสไตล์ classic และไม่ดูทันสมัยจนมากเกินไปในแบบ modern ซึ่งบ้านสไตล์ร่วมสมัยเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัว และก่อนให้เกิดเป็นสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ที่เฉพาะตัว เป็นบ้านขนาดกลางที่ดูดี มีสไตล์และยังเป็นสไตล์ที่เป็นที่นิยมอีกด้วย

ตัวอย่างบ้านในวันนี้ที่จะขอนำเสนอนั้น เป็นบ้านสีอบอุ่นๆ ละมุนๆ เห็นแล้วรับรองว่าคุณจะต้องหลงรักบ้านหลังนี้อย่างแน่นอน เป็นบ้านสไตล์ร่วมสมัย ที่เหมาะกับทุกครอบครัว และยังสวยดูดี มีสไตล์

“บ้านชั้นเดียว สไตล์คอนเทมโพรารี” พร้อมด้วยหลังคาทรงปั้นหยาคู่ โทนสีอบอุ่น ละมุน และอบอวนไปด้วยความรัก บ้านหลังนี้มีขนาด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ครัว เหมาะกับครอบครัวขนาดกลาง เป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นประมาณ 50 เซนติเมตร หลังคาทรงปั้นหยามุงด้วยวัสดุกระเบื้องโมเนียสีน้ำตาลแดง ตัวบ้านโทนสีเหลืองอ่อนพาสเทลบางๆ อมส้มอิฐ ตัดด้วยสีเข้มโทนน้ำตาล การตัดขอบด้วยบัวปูนสีขาวสบายตา ทำให้เกิดความลงตัวในสีของบ้าน (สีอบอุ่นๆ ละมุมๆ) มีบันไดต่ำ 4 ขั้นสำหรับเดินขึ้นหน้าบ้าน เพื่อความสะดวกและสวยงาม โดนกระเบื้องที่ใช้ปูพื้นที่ขั้นบันไดใช้แบบกันลื่น เก็บคมหรือเหลี่ยมตามบันได และใส่จมูกบันไดกันลื่นสำหรับภายนอก เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในการเดินขึ้นลง

ตัวอย่าง จมูกบันไดกันลื่นสำหรับภายนอก

การประดับไฟเพื่อให้แสงสว่างก็สำคัญ เนื่องจากในเวลากลางคืนมืดๆ ตำแหน่งการติดดวงไฟที่ส่องสว่างจะทำให้ได้รับแสงสว่างที่ดีมากขึ้น หากต้องการเพิ่มเติมการติดกล้องวงจรปิดก็แสนจะง่ายด้วยดีสไตล์บ้านทำให้การติดกล้องวงจรได้ทุกมุม และได้ภาพที่ดี ชัดเจนมากขึ้น

นอกจากตัวบ้านที่มีสไตล์ที่โดดเด่นแล้ว บ้านหลังนี้ยังต่อลานเฉลียงมาพร้อมม้านั่งราวระเบียงสีดำ มีครัวพร้อมที่ล้างจานเพิ่มอีกชุด เพื่อให้ใช้ได้สะดวกหากมีงานเลี้ยง สังสรรค์กับเพื่อนหรือญาติที่อยากได้บรรยากาศการอยู่นอกบ้านแบบ outdoor มุมนี้ของบ้านยังทำให้เราได้เห็นลักษณ์เด่น ของสไตล์บ้านที่เสามุกกรุด้วยกระเบื้องกาบหินทราย 3 สีน้ำตาลอ่อน ที่เข้ากันกับสีเหลืองอ่อนพาสเทลบางๆ ของตัวบ้านเพิ่มมิติให้กับบ้านได้บ่งบอกถึงความอบอุ่น และความมีสไตล์ที่ดีในการเลือกสีบ้านอีกด้วย

ในส่วนของประตูและหน้าต่างเป็นชุดบานเลื่อนกรอบสีขาว งดงามตระการตา ภายในติดเหล็กดัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัยของผู้อาศัย และรวมทั้งติดมุ้งลวดทุกบานเพื่อป้องกันยุงและแมลงรบกวนใจ และทำร้ายคนที่คุณรัก หน้าบ้านปูพื้นกระเบื้องลายอ่อน ประตูหน้าบ้านติดกระจกสีขาวขนาดกว้าง ติดเหล็กดัดป้องกันภัย ติดบัวปูนสีขาวโดยรอบสวยโดดเด่นมาก เพดานแบบหลุมหน้าบ้านเพิ่มความมีสไตล์ และสวยงาม ทั้งไฟหน้าบ้านเป็นแบบหลอดนีออนกลมมีฝาครอบพร้อมลวดลายสวยงาม โดยหน้าบ้านจะมีไฟ อยู่ที่เสาเพื่อความสวยงาม

ส่วนด้วยหลังบ้านต่อเติมจากตัวบ้าน โดยเป็นการเพิ่มพื้นที่ใช้ส่อยเอนกประสงค์ เป็นการต่อเติมหลังคาที่เปิดโล่ง โดยมีเคาน์เตอร์ครัว แก๊สและอ่างล้างจาน เพื่ออำนวยความสะดวก สำหรับรับรองแขกหรือปาร์ตี้นอกบ้าน รวมทั้งมีการสำรองน้ำไว้ที่ถังหลังบ้าน เป็นการเตรียมการหากน้ำประปาไม่ไหลในบางวัน มีบันไดลงมาโซนหลังบ้าน พื้นที่กว้างขวาง ปลอดโปร่งเย็นสบายมาก มีชุดโต๊ะม้าหินอ่อนสีชมพูลายอ่อน ไว้นั่งรับประทานอาหารแบบชิวๆ สบายๆ รับบรรยากาศธรรมชาติที่อยู่ล้อมรอบ

แวะมาดูภายในกันซักหน่อย เป็นห้องโถงกลางบ้าน อลังการ สวยงาม ด้วยพื้นกระเบื้องแผ่นใหญ่สีขาวลายหิวอ่อนบางๆ เย็นสบายตา ดูสะอาดสะอ้านตา ติดบัวพื้นสีน้ำตาลเข้มเป็นขอบรอบบ้านตัดกับสีพื้นและผนังห้อง เพดานฉาบสีขาว ทำบัวหลุมหลายระดับพร้อมชุดไฟดูสวยงาม

เนื่องจากบ้านหลังนี้มีทั้งหมด 3 ห้องนอน มีความกว้างขวาง โดยมีหน้าต่างบานเลื่อน พร้อมเหล็กดัด ติดมุ้งลวด เปิดรับแสงจากภายนอกได้เต็มที่ และมีความปลอดภัยจากโจรและแมลงสัตว์กัดต่อยที่จะมาทำความรำคาญใจ เพดานฉาบเรียบสีขาวพร้อมไฟดาวน์ไลท์สีขาวนวลส่องสว่าง พื้นของบ้านเป็นสีเดียวกันหมด ซึ่งผสมผสานกันอย่างลงตัว

เรามาดูห้องน้ำของบ้านหลังดีกันดีกว่า โดยจะมีห้องน้ำ 2 ห้อง ลักษณะคล้ายคลึงกัน มีแตกต่างกันที่สีกระเบื้อง ทั้งกระเบื้องพื้นและกระเบื้องกรุผนัง และการใช้งานนิดหน่อย แต่วัสดุสุขภัณฑ์ และอุปกรณ์ภายในห้องน้ำเหมือนกัน ชุดสุขภัณฑ์สีขาว มีอ่างล้างมือลอยสีขาวคาสสิค ติดเครื่องทำน้ำอุ่น เพราะถูกออกแบบมาให้ใช้สำหรับเป็นห้องสุขาและห้องอาบน้ำไปในตัว การทำกิจวัตรประจำวันของคนในครอบครัวที่เหมือนกัน โดดห้องน้ำทั้ง 2 ห้องนี้จะมีหน้าต่างบานกระทุ้งขนาดเล็ก เหมาะสำหรับระบายอากาศในห้องน้ำ เพื่อระบายอากาศ และทำให้อากาศถ่ายเทได้ดี ทำให้ห้องน้ำไม่มีกลิ่นอับ หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ สีของห้องน้ำใช้โทนสว่างเพื่อทำให้เกิดความรู้สึกที่สะอาดตา และความสะอาดได้ง่าย แลดูสะอาดสะอ้าน ทำให้รู้สึกเย็นสบาย เหมาะกับการเป็นที่ปลดทุกได้อย่างดี

ภายในบ้านมีครัวด้วยนะ เนื่องจากบ้านหลังนี้มี 2 ครัวที่สร้างไว้ในบ้านและนอกบ้านในส่วนที่ต่อเติมแยกออกไป ครัวด้านนอกเป็นครัวที่รับรอง จัดงานเลี้ยง ปาร์ตี้เล็กๆ น้อกบ้านได้รับบรรยากาศแบบธรรมชาติๆ และใช้เอนกประสงค์ ส่วนครัวในบ้านนั้น ใช้ทำอาหารภายในบ้าน และการทำอาหารให้เวลากลางคืนก็มีความสะดวกมากขึ้น และปลอดภัยเพราะครัวอยู่ในตัวบ้านที่มีความมิดชิด

               ครัวด้านในมีขนาดกว้างขวาง ก่อเคาน์เตอร์ติดผนังเต็มและมีการใช้งานคล้ายกับครัวด้านนอก กระเบื้องสีโทนดำ ตัดกลับผนังสีขาวลายดอกไม้ดูสะอาดตา และเหมาะกับการทำความสะอาด บน Top วางเตาแก๊สและติดตั้งอ่างซิงค์ 2 หลุม มีหัวฮูดสำหรับดูดควันและกลิ่นเวลาประกอบอาหาร และเป็นการระบายอากาศในการประกอบอาหารได้ดี นอกจากนี้แล้วยังมีหน้าต่างเพื่อใช้ระบายอากาศ และได้รับแสงแดด เป็นแสงจากธรรมชาติที่ส่องสว่างในการใช้เวลาทำอาหารในเวลากลางวันได้เป็นอย่างดี

ภาพเปรียบเทียบกับครัวภายนอกและภายใน

บ้านชั้นเดียวหลังนี้ มีขนาด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ครัว (ในบ้านและนอกบ้าน) 1 เฉลียงหน้าบ้าน 1 โถงรับแขก 1 ลานซักล้างหลังบ้าน ตอบสนองการใช้งานอย่างคุ้มค่า และสะดวกสบายในการใช้สอย และยังดูแล้วอบอุ่นๆ ละมุนๆ น่าจะมีไว้ซักหลัง โดยงบประมาณ 1.25 ล้านบาท ซึ่งในงบขนาดนี้ถือว่าเกินคุ้มมาก สถานที่ก่อสร้างบ้านหลังนี้อยู่ที่ บ้านหนองเก้า ตำบลหนองหมี อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นการสร้างบ้านในที่ดิน ที่มีพื้นที่ใช้สอยอย่างกว้างขว้าง เนื่องจากการเลือกสีของบ้านที่อยู่ในโทนอบอุ่น ทำให้การตกแต่งภายในบ้านนั้นสามารถผสมผสานกันได้อย่างลงตัว และทำให้บ้านหน้าอยู่มากยิ่งขึ้น

“เลือกสไตล์บ้านที่เหมาะกับคุณ คุณเท่านั้นที่เป็นผู้เลือก”

ขอขอบคุณ ภาพจาก B-CAT HOUSE

NetScape Time ตอนที่ 4 : The Navigator

หลังจากทีมงานจากอิลลินอยส์เดินทางมาถึง Jim ได้พาทีมงานของเขาไปทำความคุ้นเคย เพื่อซึมซับบรรยากาศของ Silicon Valley โดยได้พาท่องไปยังบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น Intel , Apple , Sun Microsystem , HP , Xerox หรือ Adobe

แต่ Jim เอง ก็ดูเหมือนจะเริ่มกังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับ NCSA โดยเฉพาะในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งในกระบวนการผลิต Software นั้น การคิด การออกแบบ และการพัฒนาจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน โดยทีมงานชุดเดียวกันกับที่สร้าง Mosaic ให้กับ NCSA

แน่นอนว่า ตอนนี้ทั้งสองได้กลายเป็นคู่แข่งกันแบบเต็มตัว เพราะเป้าหมายคือลูกค้ากลุ่มเดียวกัน Jim จึงสั่งให้ Marc และทีมงานของเขา ห้ามไม่ไห้ดูตัวอย่างโปรแกรมจาก Mosaic เป็นเด็ดอันขาด และต้องการให้เริ่มทำสิ่งใหม่ทั้งหมดโดยเริ่มต้นจากศูนย์แทน

ต้องเรียกได้ว่า เป็นก้าวที่สำคัญมาก ๆ ของพวกเขา เพราะสถานการณ์โลกเทคโนโลยีในตอนนั้นกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เพราะการเกิดขึ้นของ ARPAnet และ internet รวมถึง World Wide Web โดย Berner-Lee ในปี 1994 มีผู้ใช้งาน internet ทั่วโลก อยู่ที่ราว ๆ 3 ล้านคน และกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Tim Berners Lee ผู้สร้าง World Wide Web
Tim Berners Lee ผู้สร้าง World Wide Web

โดยความคิดเริ่มต้นของ Marc ในการสร้าง Browser ตัวใหม่ คือความพยายามในการทำ internet ให้มีความสนุกมากขึ้น และต้องแจกจ่ายโปรแกรมดังกล่าวฟรีให้กับทุกคน Marc และทีมงานก็เริ่มลุยพัฒนาทันที ทำการเขียน Code กันจนแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน จนห้องทำงานเริ่มรกรุงรัง ข้าวของวางกระจัดกระจาย อาหารและเครื่องดื่มวางอยู่เต็มห้องทำงานของ Marc และ ทีมงานของเขา

Jim นั้นดูแลเรื่อง Business เป็นส่วนใหญ่ และมักจะออกไปคุยธุรกิจข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง เขาได้ว่าจ้างผู้จัดการมาเพิ่มเติม ซึ่งก็คือ Tom Paquin อดีตเพื่อนร่วมงาน ที่ SGI เพื่อมาดูแลทีมงาน โดยเน้นให้ทีมงานพัฒนานั้นสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ และไม่เกิดความรู้สึกรำคาญมากจนเกินไปกับระเบียบของบริษัท

รวมถึงงานด้าน PR ที่ Jim นั้นมักจะออกไปสัมภาษณ์กับสื่อ เป็นประจำ หลังจากสื่อเริ่มรับรู้ความเคลื่อนไหวของสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำ ซึ่งตอนนั้นทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นาน เริ่มมีสื่อต่าง ๆ สนใจนำเรื่องไปลงตีมพิมพ์ ซึ่งมากเกินกว่าบริษัทที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งจะได้รับ

และผลของการที่สื่อต่าง ๆ นำเรื่องไปตีพิมพ์นี่เองที่ทำให้ เริ่มมีผู้สนใจมาเป็นลูกค้าเริ่มติดต่อเข้ามา ทำให้โทรศัพท์ดังเข้ามาแทบไม่หยุดหย่อน Jim ก็แทบจะไม่เชื่อตัวเองว่า จะได้รับกระแสตอบรับรวดเร็วถึงเพียงนี้ จนในที่สุดต้องมีการเริ่มจ้างคนเข้ามาเพื่อจัดการด้าน PR ให้กับบริษัท

ผู้ก่อตั้งทั้งสองเริ่มออกสื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้ก่อตั้งทั้งสองเริ่มออกสื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ

ช่วงเวลาระหว่าง เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน ปี 1994 นั้นผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว Jim ง่วนอยู่กับการจัดการด้านธุรกิจ ส่วน Marc และ Tom คอยดูแลเรื่องเทคนิค ต้องเรียกได้ว่าทุกคนทำงานหนักกันมาก ๆ เพราะความกลัวในเรื่องการแข่งขันที่จะเกิดขึ้น ทำให้ทีมงานแทบจะไม่ได้มีวันหยุดพักผ่อน เป้าหมายของพวกเขาคือ ต้องการปล่อยผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดให้ทันก่อนสิ้นปี

โดยเป้าหมายของ Jim และ Marc นั้นมองว่า Browser ตัวใหม่ที่ทีมงานของเขากำลังสร้างสรรค์ขึ้นมานั้น ต้องเร่งสร้างส่วนแบ่งการตลาดให้เร็วที่สุด จะทำให้การปล่อยรุ่นทดลองให้เหล่าผู้ใช้งานทั่วไปใช้งานได้ฟรี ๆ และเชื่อว่าจะมีหนทางในการสร้างรายได้ เพราะลูกค้ากลุ่มบริษัทที่เป็นองค์กร ต่างมีความยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้า

ซึ่งหากทำให้ผู้ใช้งาน internet ในองค์กรใหญ่ ๆ เช่น General Motor หรือ AT&T เลือกที่จะใช้โปรแกรมของเขาในการติดต่อสื่อสารผ่านเว๊บ ก็จะทำให้พนักงานส่วนใหญ่ ในองค์กรเหล่านั้นมีโอกาสที่จะเลือกใช้เทคโนโลยีของเขาเป็นหลักก่อนคู่แข่งนั่นเอง

ซึ่งเมื่อใดที่องค์กรเหล่านี้ ต้องการเชื่อมต่อกับ internet ก็มีความเป็นไปได้สูง ที่จะเลือกใช้บริการของเขา ตัวอย่างเช่น Software ที่คอยจัดการเรื่องการสื่อสารทั้งภายในและระหว่างองค์กร เป็นต้น

แต่สำหรับลูกค้าทั่วไปนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในตอนนั้น แทบจะไม่มีใครคิดว่าระบบการจองห้องพัก และ ตั๋วเครื่องบิน จะนำมาใช้งานได้ดีกับโปรแกรมนี้ เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันมาก ๆ ในยุคนั้น ไม่มีใครเลยด้วยซ้ำในช่วงปี 1994 ที่เชื่อว่า internet จะมีโอกาสสร้างรายได้ที่เป็นเชิงพาณิชย์ได้

แต่ Jim ก็เชื่อว่า พัฒนาการที่แท้จริงของ internet คือ การนำไปสู่การปฏิวัติการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ ซึ่งข้อได้เปรียบในเรื่องความรวดเร็วในการทำทุกอย่างผ่าน internet จะมีผลทำให้วิธีการดำเนินธุรกิจให้รวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น

แน่นอนว่าสิ่งที่ Jim , Marc และทีมงานกำลังสร้างขึ้นมา จะนำมาซึ่งสื่อรูปแบบใหม่ และธุรกิจใหม่ ๆ โดยผู้คนจะหลั่งไหลกันมาใช้งาน internet กันเพิ่มมากขึ้น งานสำคัญของ Jim ในขณะที่ทีมกำลังพัฒนา ก็คือ การติดต่อบริษัทต่าง ๆ เพื่อบอกพวกเขาว่าบริษัทของเขากำลังสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ และมันจะมีความสำคัญมากเพียงใดกับธุรกิจเหล่านั้น

และในเวลาเพียงไม่กี่เดือน จำนวนพนักงานก็เพิ่มขึ้นไปแตะหลักร้อยคน เริ่มมีการแบ่งกันเป็นแผนกต่าง ๆ โดยแต่ละแผนกก็มีจำนวนพนักงานเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายขาย หรือ ฝ่ายการตลาด ที่ทำให้องค์กรนั้นมีรูปแบบที่ชัดเจนมากขึ้น

ด้วยความที่เป็นที่สนใจของสื่อเป็นจำนวนมาก นั่นทำให้ Microsoft ที่ติดตามข่าวสารผ่านทางสื่อต่างๆ อยู่เสมอ ทำให้ Microsoft เริ่มเพ่งเล็งมามากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าการเป็นจุดสนใจของสื่อนั้นเป็นข้อดีในเรื่องการตลาด ที่แทบจะเป็นการโฆษณาสินค้าให้แบบฟรี ๆ แต่ปัญหาคือ ตอนนี้ มันเริ่มเข้าไปแตะจมูกยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft เสียแล้ว ซึ่งตอนนั้น Microsoft ก็กำลังศึกษาความเป็นไปได้ของการที่จะมาลุยกับเทคโนโลยี internet อยู่พอดีเสียด้วย

ดูเหมือนตอนนี้ ทีมงานของ Jim และ Marc ต้องปั่นรีบสร้างผลิตภัณฑ์ให้ออกมาให้เร็วที่สุด เพื่อเร่งทำโปรแกรมให้สมบูรณ์พร้อมปล่อยออกสู่ตลาด เพราะคู่แข่งเริ่มเข้ามาด้อม ๆ มอง ๆ ว่าพวกเขากำลังทำอะไร และที่สำคัญ มียักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ที่เริ่มก้าวเข้ามาสนใจสิ่งที่พวกเขากำลังทำ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับพวกเขา แผนทุกอย่างที่พวกเขาวางไว้จะทำได้สำเร็จหรือไม่ โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 5 : The Investor

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Billion Dollar Company *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

NetScape Time ตอนที่ 3 : Dream Team

มันเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะทางด้านคอมพิวเตอร์ที่เรื่องของประสบการณ์นั้นไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจเสมอไป เนื่องจากบริษัทด้านเทคโนโลยีส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ถูกผลักดันด้วยพลังของคนอายุน้อย ๆ ที่ มีมันสมอง และพลังงานที่เหลือล้น

และทีมงานคนรุ่นใหม่เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัทเกิดใหม่ของ Jim และ Marc โดยทั้งสองได้บินด่วนไปที่ อิลลินอยส์ เพื่อไปดึงตัวเหล่าทีมงานเก่าที่เคยร่วมงานกับ Marc ที่ NCSA เพื่อรีบจูงใจทีมงานให้ได้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกเขาจะถูกดึงตัวโดยบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ

แม้ทีมบริหารของศูนย์ NCSA นั้นจะพยายามบอกว่า มีทีมงานที่ร่วมกันพัฒนาโปรแกรม Mosaic กว่า 40 คน แต่เมื่อ Jim ได้พบกับเพื่อน ๆ ของ Marc ก็รู้ได้ทันทีว่า มีเพียงกลุ่มคนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นตัวหลักในการพัฒนาโปรแกรม Mosaic ที่ NCSA

Jim และ Marc ได้ปรึกษากันและตกลงที่จะยื่นข้อเสนอให้กับเหล่าเพื่อน ๆ ของเขา 7 คน โดยเสนอรายได้ 65,000 เหรียญ/ปี บวกกับหุ้นของบริษัทจำนวน 1 แสนหุ้น เพื่อชักจูงพวกเขาให้กลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งของบริษัทใหม่นี้

ซึ่งรูปแบบ Model ทางด้านการบริหารบริษัทใหม่นั้น Jim เสนอให้มูลค่าโปรแกรมจากทีมงานของ Marc ที่ 3 ล้านเหรียญ ซึ่งจะเป็นมูลค่าซอฟต์แวร์ที่มีอายุ 1 ปี ออกแบบและพัฒนาโดยทีมงาน 7 คน จากนั้นก็นำเงินจำนวน 3 ล้านเหรียญเข้ามาในบริษัท เพื่อแลกกับหุ้นจำนวน 50% ของบริษัท ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะถูกลดสัดส่วนลงเรื่อย ๆ เมื่อมีการจ้างงานพนักงานคนอื่น ๆ เข้ามาเพิ่มในภายหลัง

ซึ่งต้องบอกว่าการมาที่อิลลินอยส์ ของ Jim และ Marc เป็นเวลาที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงแค่ทีมงานของ Marc กำลังจะจบจากการศึกษาเพียงเท่านั้น แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาเหล่านี้กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่พวกเขาถูกขโมยสิ่งประดิษฐ์อย่าง Mosaic ไปนั่นเอง และมันได้กลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาพร้อมที่จะมาลุยกับ Jim และ Marc เพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง

Larry Smarr ซึ่งเป็น ผู้บริหารของศูนย์ NCSA ที่ต้องการให้ผลงาน Mosaic เป็นของสถาบัน เพราะมันกำลังเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง มันจึงเป็นแรงเย้ายวนใจให้ Smarr ต้องการเข้ามาครอบครองโครงการ Mosaic ดังกล่าว เพื่อต้องการที่จะระดมทุนได้อย่างไม่สิ้นสุด เพื่อสร้างรายได้ให้แก่สถาบันและมหาวิทยาลัยของเขา

Larry Smarr ผู้บริหารของศูนย์ NCSA
Larry Smarr ผู้บริหารของศูนย์ NCSA

และในวันที่ 4 เมษายน ปี 1994 Jim ได้ทำการจดทะเบียนบริษัทอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft กำลังจัดสัมนาวางแผนอนาคตในการเข้ามาสู่ธุรกิจ internet

และในที่สุดเวลาสำหรับการออกลุยจริง ๆ จัง ๆ ก็มาถึงเสียที หลังจากการได้ทีมงานที่พร้อมจะรบแล้ว บริษัทเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว Jim ก็ได้เริ่มจัดการหาสำนักงาน เครื่องคอมพิวเตอร์ โต๊ะ โทรศัพท์ เก้าอี้ ห้องประชุม และอื่นๆ เพื่อเตรียมรองรับทีมงานที่จะมาเริ่มงานในตอนสิ้นเดือนเมษายน

Jim มั่นใจว่าทีมงานยอดอัจฉริยะของเขาสามารถสร้างโปรแกรม Browser ที่ดีกว่า Mosaic ได้ จึงได้เลือกเช่าสำนักงานขนาดใหญ่เพื่อรองรับการขยายตัว โดยเลือกห้องเช่าขนาด 11,699 ตร.ฟุต บนชั้น 4 ของตึกแห่งหนึ่งบนถนนแคสโตร ใน Moutain View ซึ่งเป็นห้องเรียบ ๆ ง่าย ๆ มีฉากกั้นที่เคลื่อนย้ายได้ ปูด้วยพรมตลอดทั้งห้อง

โดยสถานการณ์ในตอนนั้น ศูนย์ NCSA ได้ให้ลิขสิทธิ์โปรแกรม Mosaic ไปกับบริษัทต่าง ๆ ถึง 9 ราย และผู้ใช้งาน internet กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทีมงานของ Jim ก็ต้องเร่งทุกอย่างให้ทัน ก่อนที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft จะมองเห็นถึงความเคลื่อนไหวในธุรกิจนี้

Bill Gates ที่ยังมองไม่เห็นถึงพลังของ internet ในขณะนั้น
Bill Gates ที่ยังมองไม่เห็นถึงพลังของ internet ในขณะนั้น

ต้องบอกว่าโอกาสทางธุรกิจคราวนี้ไม่ใช่แค่เพียงจุดเล็ก ๆ แต่เป็นมุมมองที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก ๆ ของ internet ที่สถานการณ์ในตอนนั้น มีเหล่า Geek ทางด้านคอมพิวเตอร์ รวมถึงนักวิทยาศาสตร์ ได้เคยใช้ internet เพื่อการสื่อสารมาแล้ว และเริ่มเห็นถึงศักยภาพของมัน

แต่แทบจะไม่มีใครตระหนักถึงความเป็นไปได้ทางธุรกิจของ internet เลยด้วยซ้ำ ซึ่งต้องบอกว่า สำหรับ Jim และ Mark นั้น มันเป็นโอกาสที่น้อยมาก ๆ สำหรับพวกเขา ที่จะเข้าไปจับต้องบางสิ่งบางอย่างที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เหล่าคู่แข่งยังมองไม่เห็น

แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เนื่องจากตอนที่ Jim และ Marc ไปชักชวนทีมงานจากอิลลินอยส์นั้น พวกเขาก็แทบจะไม่ทันได้คิดว่า การดึงทีมงานเหล่านี้มาร่วมบริษัทจะส่งผลอย่างไรต่อ NCSA ซึ่ง Jim มองเพียงแค่ว่า กลุ่มนักศึกษาเหล่านี้กำลังจะเรียนจบเพียงเท่านั้น และคิดว่าไม่จำเป็นต้องแจ้งอย่างเป็นทางการกับ NCSA

แต่ Larry Smarr เมื่อได้รับรู้เรื่องราวว่าอดีตทีมงานของเขากำลังจะไปสร้างบริษัทใหม่มาแข่งกับ Mosaic ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก โดยผ่านการสัมภาษณ์กับนิตยสารหลาย ๆ ฉบับ ที่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจ ซึ่งแน่นอนว่า ประเด็นดังกล่าว มันกำลังจะนำไปสู่ปัญหาในอนาคตกับทีมงานของ Jim และ Marc ในที่สุด

ดูเหมือนเรื่องราว กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น แต่ทีมงานของ Jim และ Marc เหมือนจะต้องเจอปัญหาบางอย่างเสียแล้ว และปัญหานั้นมันคืออะไร พวกเขาจะสามารถสร้าง Browser ที่ดีกว่า Mosaic ได้ดีขนาดไหน โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 4 : The Navigator

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Billion Dollar Company *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

NetScape Time ตอนที่ 2 : Mosaic Killer

จุดเริ่มต้นของ NetScape จริง ๆ นั้น ต้องเริ่มจากชายที่มีนามว่า Jim Clark โดยในปีนั้นคือ ปี 1994 ที่ตัว Jim เองนั้่นเริ่มเบื่อการทำงานกับบริษัเก่าอย่าง SGI (Silicon Graphics) เขากำลังมีไฟที่คิดจะสร้างธุรกิจใหม่ขึ้นมา แต่ยังคิดไม่ออกว่าธุรกิจใหม่นั้นคืออะไร

ต้องบอกว่า เป็นการลาออก ที่เสี่ยงพอดูสำหรับ Jim เพราะเขาได้ทิ้งสิทธิในหุ้นมูลค่ากว่า 10 ล้านเหรียญไป แต่ด้วยความที่เขาทำงานมานานระยะหนึ่งแล้ว จึงมีทุนอยู่ส่วนตัวอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านเหรียญ ซึ่งตอนนั้นเขาก็ยังแทบจะไม่มีไอเดียอะไรเลยด้วยซ้ำ มีแต่เพียงแค่ความคิดคร่าว ๆ เกี่ยวกับอนาคตของเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร และ ต้องการเริ่มต้นใหม่ด้วยตัวเขาเพียงคนเดียว

สิ่งแรกที่เขาต้องทำสำหรับการตั้งบริษัทเทคโนโลยีก็คือ การหาวิศวกรเจ๋ง ๆ ซักคน แต่เขาก็ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เพราะวิศวกรเจ๋ง ๆ ที่เขารู้จักนั้น เขาก็ได้ชักชวนให้มาทำงานที่ SGI บริษัทเก่าของเขาหมดแล้ว

แต่ก็เหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิต เมื่อก่อนที่ตัว Jim จะลาจาก SGI นั้นก็ได้คุยกับเพื่อนร่วมงานเก่าแก่ของเขาคนหนึ่ง ว่า ทำไมไม่ลองไปพบ Marc Andreessen ดูล่ะ เขาเป็นหนึ่งในวิศวกรอัจฉริยะ ที่เพิ่งย้ายจากอิลลินอยส์ มาอยู่ที่พาโลอัลโต

แม้ตัว Jim เองจะงงว่า Marc คือใคร เพราะเขาแทบไม่เคยรู้จักชายชื่อดังกล่าวเลยด้วยซ้ำ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่า โปรแกรม Mosaic ที่ Marc เป็นคนสร้างขึ้นมานั้นคืออะไร

Jim ก็เลยได้ลองติดต่อไปทาง email เพื่ออยากพบเจอ Marc ซึ่งต้องบอกว่าตัว Marc นั้นรู้จักดีว่า Jim เป็นใคร เพราะเขาเคยใช้เครื่อง workstation ของบริษัท SGI ที่ NCSA ของมหาลัยอิลลินอยส์ สมัยที่ยังทำวิจัยอยู่ที่นั่น

การเจอกันครั้งแรกของทั้งคู่เกิดที่ ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ในเขต พาโลอัลโต ซึ่งสิ่งที่ทำให้ Jim ประทับใจ Marc ตั้งแต่การพบกันครั้งแรก ก็คงเป็นเรื่องของ การที่ Marc ได้ทำให้เขาได้เห็นโอกาสและเห็นภาพของอนาคตของเทคโนโลยีที่ชัดเจนมากขึ้น

Marc Andreessen ตำนานผู้สร้าง Mosaic
Marc Andreessen ตำนานผู้สร้าง Mosaic

Marc แสดงให้เห็นภาพของ การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ และทำให้ข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่จำนวนมากมีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญยังทำให้ง่ายต่อการใช้งานสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่เฉพาะเหล่า Geek หรือ นักวิทยาศาสตร์ เพียงเท่านั้นอีกต่อไป

ต้องบอกว่าในยุคนั้น หลังจาก Tim berners-lee ได้สร้างแนวคิดของ World Wide Web (WWW) ที่ให้บุคคลทั่วไปเข้ามาใช้งานได้ฟรี แต่อุปสรรคที่สำคัญก็คือ ในตอนนั้นมันยังส่งผ่านข้อมูลได้เฉพาะรูปแบบของข้อความเท่านั้น ยังไม่สามารถใช้กับภาพที่เป็น Graphic ได้

และในช่วงปลายปี 1992 Marc และเพื่อนนักวิจัยของเขา ที่ทำงานร่วมกันในศูนย์ NCSA ได้พัฒนาต่อยอดสิ่งที่ Tim berners-lee สร้างไว้ โดยพวกเขาได้เพิ่มส่วนที่เป็นรูปภาพและส่วนต่าง ๆ ที่จะทำให้ข้อมูลข่าวสารทาง internet สามารถเข้าได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นก็คือ Mosaic โปรแกรม Web Browser ตัวแรกของโลกนั่นเอง

Mosaic Web Browser ตัวแรกของโลก  ผลงานของ Marc และ ทีมงาน
Mosaic Web Browser ตัวแรกของโลก ผลงานของ Marc และ ทีมงาน

และเมื่อ Marc เรียนจบในเดือนธันวาคมปี 1993 เขาก็ได้ถูกชักชวนให้ทำงานต่อกับ NCSA แต่ทางสถาบันดันมีข้อแม้ว่า ให้ Marc นั้นเลิกยุ่งกับโครงการ Mosaic ซึ่งเป็นแนวคิดที่ต้องการที่จะแยกตัว Marc ออกจากสิ่งประดิษฐ์ และยกความสำเร็จผลงานที่ได้ให้กับสถาบันแทนที่จะเป็นตัวผู้ประดิษฐ์นั่นเอง

แน่นอนว่าทั้งคู่ ทั้ง Jim และ Marc นั้นมีเส้นทางเดินที่คล้ายคลึงกัน ที่ถูกปลดออกจากงานสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ที่พวกเขาได้คิดค้นขึ้นมา และสิ่งนี้ นี่เอง ที่เป็นแรงผลักดันให้ทั้งสองเข้ามาสู่เส้นทางเดียวกันได้ในที่สุด

และนั่นทำให้ทั้งสองได้เริ่มต้นบริษัทใหม่กันในที่สุด แผนของ Marc คือ การว่าจ้างเพื่อนร่วมงานของ Marc ที่เคยร่วมเขียนโปรแกรม Mosaic เข้ามาทำงาน ซึ่งกำลังใกล้ที่จะจบการศึกษาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่กำลังจะถึง

แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่แน่ใจว่า บริษัทใหม่ของพวกเขาจะทำอะไร ซึ่งทั้งสองรู้เพียงแค่ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับ internet ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะกระแสมันเริ่มมาแล้วในขณะนั้น

และที่สำคัญเหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ ในขณะนั้น กำลังสนุกกับการทำเงินจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ก็ยังแทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ กับเทคโนโลยีใหม่อย่าง internet เพราะตอนนั้นต้องบอกว่ายังมีคำถามอยู่มากมายว่าจะหาเงินจาก internet ได้อย่างไรนั่นเอง

และเมื่อผ่านไปถึงฤดูใบไม้ผลิ Marc ก็ได้เตือน Jim ว่าเพื่อน ๆ ของเขาที่อิลลินอยส์ กำลังจะเรียนจบกันแล้ว และต้องเร่งให้เกิดความคิดบางอย่างให้เร็วที่สุด เพื่อดึงดูดเหล่าทีมงานจบใหม่ของเขา

จนสุดท้าย ในค่ำคืนหนึ่ง หลังจากมีการประชุม และทานมื้อเย็นกันอยู่หลายครั้งระหว่าง Jim และ Marc ซึ่ง Jim เป็นฝ่ายเปิดประเด็นให้ Marc คิดธุรกิจอะไรมาซักอย่างที่ต้องชักจูงเขาให้ลงทุนให้ได้

และ Marc ก็ได้คิด ไอเดีย Mosaic Killer ซึ่งก็คือ โปรแกรม Browser ตัวใหม่ที่ดีกว่าโปรแกรม Mosaic ของเขาที่สร้างไว้ให้กับ NCSA นั่นเอง ซึ่งตอนนี้เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Mosaic แล้ว และทาง NCSA ก็ต้องการสร้างธุรกิจบางอย่างจาก Mosaic อยู่ ซึ่ง Marc ต้องการพิสูจน์ตัวเขาเองอีกครั้ง ด้วยการเอาชนะ Mosaic ให้ได้

ซึ่งแน่นอนว่า สถานการณ์ในตอนนั้น มันเริ่มบีบคั้นทั้งคู่ ให้ต้องตัดสินใจ Jim ก็มองว่าเป็นความคิดที่ดี ที่จะมาเริ่มต้นบริษัทใหม่ ในสิ่งที่ Marc และเพื่อน ๆ ของเขาเคยสร้างขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่า ตอนนั้น มันยังไม่มีแผนธุรกิจใด ๆ ชัดเจน แต่ Jim ก็รู้สึกตื่นเต้น กับ ความท้าทายใหม่ของ Marc ครั้งนี้ โดยพร้อมจะลุยทันที โดยไม่ต้องคิดถึงแผนธุรกิจใด ๆ ทั้งสิ้น

มาถึง ตอนนี้ ทั้งคู่ก็พร้อมที่จะลุย กับโปรเจคใหม่ เต็มตัวแล้ว และไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เพราะดูเหมือน สถานการณ์หลายๆ อย่างกำลังบังคับให้ทั้งคู่ต้องออกลุยเสียที และจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับโปรเจ็คใหม่ของทั้งสอง โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 3 : Dream Team

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 :Billion Dollar Company *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***