The Transformative Power กับการเปลี่ยนถ่ายอำนาจครั้งสำคัญของมวลมนุษยชาติ

ต้องบอกว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ มักมาพร้อมกับภัยคุกคามใหม่ ๆ เสมอ ซึ่งโลกเราได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่จะส่งผลกระทบรุนแรงได้เท่าครั้งนี้

ในอดีตปืนใหญ่ทำให้กองกำลังพลขนาดเล็กสามารถทำลายป้อมปราการและกองทัพขนาดใหญ่ได้ ทหารเพียงไม่กี่นายจากเมืองเล็ก ๆ ก็สามารถรัฐประหารชนพื้นเมืองหลายพันคนด้วยอาวุธที่ทันสมัยกว่าได้แบบง่ายดาย

แท่นพิมพ์ช่วยให้โรงพิมพ์แห่งเดียวสามารถผลิตแผ่นใบปลิวได้หลายพันชิ้น ทำให้แพร่กระจายความคิดได้อย่างง่ายดาย ซึ่งถ้าย้อนกลับไปมันเป็นสิ่งที่นักบวชในยุคกลางแทบจะจินตนาการไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

กำลังจากเครื่องจักรไอน้ำทำให้โรงงานแห่งเดียวสามารถทำงานได้เท่ากับหมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน

อินเทอร์เน็ตยกระดับความสามารถเหล่านี้สู่จุดสูงสุด เพียงแค่ทวีตเดียวหรือภาพเพียงภาพเดียวอาจแพร่กระจายไปทั่วโลกได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที

หรืออัลกอริธึมเจ๋ง ๆ ซักอันอาจช่วยให้บริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็กเติบโตเป็นบริษัทระดับพันล้านได้อย่างรวดเร็วได้เช่นเดียวกัน

ต้องบอกว่าปัจจุบันผลกระทบในรูปแบบดังกล่าวนั้นมันยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น คลื่นเทคโนโลยีใหม่ได้ปลดปล่อยศักยภาพที่น่าสะพรึงกลัว เข้าถึงได้ง่าย และมีราคาที่ถูกแสนถูก

สิ่งนี้ชัดเจนว่ามันนำมาซึ่งความเสี่ยง มันไม่ใช่แค่ในแวดวงทหาร ตัวอย่างยูเครนหรือกองกำลังกะเหรี่ยงพม่าที่กล้าท้าชนคู่ต่อสู้ที่แข็งกว่าโดยใช้อาวุธอย่างโดรนราคาไม่กี่ร้อยเหรียญ

Audrey Kurth Croni ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงกล่าวว่า “แทบไม่เคยมียุคไหนที่คนมากมายมีสิทธิ์เข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถก่อให้เกิดความตายและความวุ่นวายได้เท่าในยุคนี้”

ในทุกวันหน่วยโดรนจากกองทัพยูเครน สามารถเข้าโจมตีและทำลายชิ้นส่วนปืนใหญ่ หรือรถถังราคาแพงมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันแสดงให้เห็นถึงบทบาทของเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนสนามรบยุคใหม่

ในการปะทะนอกกรุงเคียฟ โดรนที่ใช้เป็นเหมือนของเล่นของคนทั่วไป บริษัท DJI ซึ่งตั้งอยู่ในเซินเจิ้น ผลิตสินค้าราคาไม่แพงและเข้าถึงได้ง่าย เช่น Phantom camera quadcopter ราคา 1,399 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมันมีคุณภาพดีจนกองทัพสหรัฐฯต้องนำมาใช้งาน

หากความก้าวหน้าด้าน AI โดรนราคาถูกแต่มีประสิทธิภาพ ผนวกกับความคืบหน้าในสาขาต่าง ๆ ตั้งแต่หุ่นยนต์ไปจนถึงเทคโนโลยี Computer Vision ก็จะได้อาวุธที่มีพลังทำลายล้างสูง แม่นยำ และอาจจะถึงขั้นไม่สามารถที่จะตรวจจับได้ง่าย ๆ

แน่นอนว่าฝ่ายตั้งรับที่เราเห็นกันมาหลายเคสแล้วว่าทำได้ไม่ง่ายแม้จะมีสรรพกำลังที่มากกว่า ตัวอย่างเคสของกองทัพพม่าน่าจะบอกเรื่องราวนี้ได้อย่างดี

กลุ่มต่อต้านรัฐประหารของพม่าซึ่งเชี่ยวชาญด้านการทำสงครามด้วยโดรน ในตอนแรกพวกเขาใช้เพียงแค่โดรนขนาดเล็กที่มีน้ำหนักเบา แต่สถานการณ์ในปัจจุบันกลุ่มต่อต้านดังกล่าวใช้ระบบที่มีความซับซ้อนกว่าเดิมเป็นอย่างมากเพื่อทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายทางการทหารได้อย่างแม่นยำจนสามารถยึดจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ๆ ได้อย่างง่ายดาย

หรือในเคสของกองทัพอเมริกันและอิสราเอลที่ต้องใช้ขีปนาวุธ Patriot ราคา 3 ล้านดอลลาร์ เพื่อยิงโดรนที่มีราคาเพียงสองร้อยดอลลาร์

ปัจจุบันอุปกรณ์รบกวนสัญญาณ ขีปนาวุธ และระบบต่อต้านโดรนยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นเพียงเท่านั้น และไม่ค่อยได้รับการทดสอบในสนามรบจริงมากนัก

การพัฒนาเหล่านี้จะนำไปสู่การถ่ายโอนอำนาจครั้งใหญ่จากรัฐและกองทัพแบบดั้งเดิม ไปสู่กลุ่มคนทั่วไป ใครก็ตามที่มีศักยภาพและแรงจูงใจในการนำอุปกรณ์เหล่านี้มาใช้

คนบ้า ๆ คนหนึ่งที่มีเงินตรา ก็สามารถที่จะซื้อและบังคับควบคุมโดรนนับพันตัวได้อย่างง่ายดาย

โปรแกรม chatbot AI เพียงตัวเดียวก็สามารถที่จะสรรสร้างข้อความได้มากเท่ากับมวลมนุษยชาติรวมกันแทบจะทั้งหมด

โมเดลการสร้างภาพขนาด 2 กิกะไบต์ที่รันบนแล็ปท็อปของทุกคนสามารถที่จะบีบอัดภาพทั้งหมดบนเว็บที่มีอยู่บนโลกนี้ได้ง่ายดาย

การทดลองด้านจุลชีววิทยาเพียงครั้งเดียวอาจก่อให้เกิดการระบาดครั้งใหญ่ เหตุการณ์ขนาดเล็กในระดับโมเลกุลที่มีผลกระทบในวงกว้าง

คอมพิวเตอร์ควอนตัมที่ใช้การได้เพียงเครื่องเดียวอาจทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านการเข้ารหัสของโลกล้าสมัยทันที

ความเชื่อมโยงและขนาดของคลื่นเทคโนโลยีใหม่นี้สร้างความเสี่ยงในระบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งความล้มเหลวเพียงจุดเดียวอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ลุกลามไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ยิ่งเทคโนโลยีเปิดมากขึ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งยากที่จะควบคุมได้

ลองคิดถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ อุบัติเหตุจราจรที่มีมาตั้งแต่ในอดีต ที่ล้วนแล้วเกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์จะลดน้อยลงไป

ในอนาคตฝูงรถยนต์แสนฉลาดจะเชื่อมโยงกันได้ หรือมีระบบที่สามารถควบคุมยานพาหนะอัตโนมัติทั้งหมด แม้จะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยและระบบรักษาความปลอดภัยมากมาย แต่ขนาดของผลกระทบกลับกว้างใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา

AI จะสร้างความเสี่ยงที่จะขยายไปยังสังคมทั้งระบบ ทำให้มันไม่ใช่ถูกใช้เป็นเพียงแค่เครื่องมือเท่านั้น แต่มันจะสร้างผลกระทบในวงกว้าง ซึ่งไม่แปลกที่เหล่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องการมีส่วนร่วม และไม่ตกขบวนรถนี้เท่านั้น แต่ต้องการที่จะมีอำนาจเหนือมัน

เราอยู่ในยุคของระบบโลกที่เชื่อมโยงกันอยู่แล้ว ในคลื่น AI ที่กำลังมาถึงนี้ เพียงแค่จุดเดียว โปรแกรมเพียงโปรแกรมเดียว การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมเพียงครั้งเดียว อาจจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไปแบบสิ้นเชิง

References :
หนังสือ The Coming Wave :  Technology, Power, and the Twenty-first Century’s Greatest Dilemma โดย Mustafa Suleyman
https://www.aljazeera.com/news/2024/4/4/myanmar-opposition-launches-drone-attack-on-militarys-stronghold-capital
https://www.reuters.com/graphics/UKRAINE-CRISIS/DRONES/dwpkeyjwkpm/

สุขภาพจิตแย่จริงหรือ? ผลกระทบที่แท้จริงกับเวลาในการเสพติดหน้าจอมือถือของเด็ก

ต้องเรียกได้ว่ามีรายงานวิจัยออกมาเรื่อย ๆ สำหรับผลกระทบของเวลาที่ใช้กับสมาร์ทโฟนที่มีผลกระทบต่อเด็ก ๆ

กลุ่มที่มีชื่อว่า Smartphone-Free Childhood ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 60,000 คน ที่มาร่วมถกเถียงกันในเรื่องการหาวิธีการให้ลูก ๆ ของพวกเขาไม่ให้เข้าใกล้มือถือสมาร์ทโฟนที่พวกเขามองว่ามีพิษร้ายแรงต่อเด็ก

กลุ่มนี้ตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษ ไม่ใช่กลุ่มเดียวที่มีความกังวลกับผลกระทบของสมาร์ทโฟนกันเด็ก

เมื่อเดือนที่ผ่านมารัฐฟลอริดาได้ออกกฎหมายห้ามเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปีใช้โซเชียลมีเดีย ฟากฝั่งรัฐบาลอังกฤษก็กำลังพิจารณาห้ามไม่ให้ขายโทรศัพท์มือถือให้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี

ต้องบอกว่าข้อกังวลเหล่านี้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ในหนังสือเล่มใหม่ที่มีชื่อว่า “The Anxious Generation” ของ Jonathan Haidt ซึ่งกล่าวว่าสมาร์ทโฟนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงได้ผ่านสมาร์ทโฟนนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงวัยเด็กไปในทิศทางที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง

ในการถกเถียงกันในหัวข้อดังกล่าวมีสองเรื่องที่ค่อนข้างชัดเจนมาก ๆ ก็คือ สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียกลายเป็นส่วนสำคัญของวัยเด็กไปแล้ว

ตามการวิจัยในประเทศอังกฤษเมื่ออายุได้ 12 ปี เด็กเกือบทุกคนจะมีโทรศัพท์มือถือ และเมื่อพวกเขาได้รับโทรศัพท์ไปแล้ว โซเชียลมีเดียจะเป็นสิ่งที่พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่บนหน้าจอ

จากการสำรวจของ Gallup วัยรุ่นชาวอเมริกันใช้เวลากับแอปโซเชียลมีเดียประมาณ 5 ชั่วโมงต่อวัน Youtube , TikTok และ Instagram เป็นที่นิยมมากที่สุด ส่วน Facebook ที่เป็นเครือข่ายโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่อันดับรั้งท้ายสำหรับกลุ่มวัยรุ่น

ส่วนที่สองก็คือ ส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันว่าในหมู่ประเทศพัฒนาแล้ว จะมีการเสื่อมถอยของสุขภาพจิตในหมู่เยาวชน

สัดส่วนของวัยรุ่นอเมริกันที่รายงานว่าตนเองมีภาวะซึมเศร้าอย่างหนักอย่างน้อยหนึ่งครั้งในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นมากกว่า 150%

โดยใน 17 ประเทศที่มีฐานะร่ำรวยหรือเป็นประเทศพัฒนาแล้ว มีการเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจของอัตราการฆ่าตัวตายในหมู่วัยรุ่นโดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง

ต้องบอกว่าปรากกฎการณ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อมโยงกันแทบจะทั้งสิ้น สุขภาพจิตของเด็กเริ่มตกต่ำลงพร้อม ๆ กับการเติบโตของสมาร์ทโฟนและแอปเครือข่ายโซเชียลมีเดียในช่วงทศวรรษ 2010

ในปี 2017 Roberto Mosquery จาก Unversidad de las Americas และเพื่อนร่วมงาน ให้กลุ่มทดลองที่เป็นผู้ใช้ facebook ในอเมริกาหยุดใช้แพลตฟอร์มนี้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ผู้ที่งดใช้ facebook รายงานพวกเขามีอารการซึมเศร้าน้อยลง และมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น แถมยังบริโภคข่าวสารน้อยลง

ในปี 2018 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและนิวยอร์กได้ทำการทดลองในลักษณะเดียวกันอีกครั้งโดยให้กลุ่มตัวอย่างในอเมริกาหยุดใช้ facebook เป็นเวลาหนึ่งเดือน

นั่นทำให้คนกลุ่มดังกล่าวรู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้น ใช้เวลาอยู่บนโลกออนไลน์น้อยลง ใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนมากขึ้น และมีความคิดเห็นทางการเมืองแบบสุดโต่งที่น้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม การทดลองแบบสุ่มดังกล่าวนี้ส่วนใหญ่แล้วทำกับผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลักที่น่ากังวล และส่วนใหญ่เน้นศึกษาไปที่ facebook เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันไม่ได้เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว

และที่สำคัญความสัมพันธ์ของมนุษย์เราก็เครือข่ายโซเชียลมีเดียก็มีความซับซ้อนเกินกว่าที่จะจำแนกมันง่าย ๆ เหมือนในอดีต

การทดลองของ Mosquery ที่พบว่า แม้คนจะบอกว่าเขามีความสุขมากขึ้นเมื่อไม่ได้ใช้ facebook แต่ยังไง facebook ก็ยังมีประโยชน์อีกด้านหนึ่งเช่นเดียวกัน

หลังจากงดใช้งาน facebook เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ กลุ่มทดลองดังกล่าวกลับพบว่าพวกเขาประเมินคุณค่าของ facebook สูงขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

การถามว่าโซเชียลมีเดีย ดีหรือไม่ดี ต่อสุขภาพจิตนั้นผิดตั้งแต่ต้นแล้ว Peter Etechells จากมหาวิทยาลัย Bath Spa ผู้แต่งหนังสือ “Unlocked” ซึ่งมีมุมมองที่เป็นกลางมากกว่าเกี่ยวกับเวลาในการใช้กับหน้าจอมือถือ กล่าวว่า คำถามที่น่าสนใจคือ “ทำไมบางคนจึงประสบความสำเร็จมากขึ้นจากการเสพสิ่งเหล่านี้?”

แล้วทำไมถึงต้องมีการห้ามเพียงแค่โซเชียลมีเดีย ทั้งที่มันมีอีกหลายสิ่งเช่นเกมอย่าง “Fornite” ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเด็ก ๆ ได้เช่นเดียวกัน

Dr. Gentzkow ผู้ที่สนับสนุนให้เพิ่มอายุขั้นต่ำสำหรับโซเชียลมีเดียบางแพลตฟอร์ม เตือนว่าไม่ควรที่จะจำกัดทั้งหมดในมาตรฐานเดียวกัน เพราะแอปโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่มีฟังก์ชันที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถนำมาใช้ในทางที่เป็นมุมบวกหรือมุมลบก็ได้

แม้ผู้เชี่ยวชาญจะพยายามเสนอแนะให้ควบคุมเครือข่ายโซเชียลมีเดีย แต่สถานการณ์ ณ ปัจจุบันต้องบอกว่า ผู้ใช้ทั่วไปส่วนใหญ่กำลังทำสิ่งนั้นด้วยตนเอง

การโพสต์เกี่ยวกับตนเองต่อสาธารณะกำลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในปีที่แล้วมีเพียง 28% ของชาวอเมริกันที่บอกว่าชอบโชว์ชีวิตตนเองบนโลกออนไลน์ ลดลงจาก 40% ในปี 2020 ตามการสำรวจของบริษัทวิจัย

การสื่อสารในเครือข่ายโซเชียลมีเดียเหล่านี้กำลังเปลี่ยนแปลงจากการเปิด publc แบบสาธารณะไปสู่การสนทนาแบบส่วนตัวมากยิ่งขึ้น บนเครือข่ายอย่าง Instagram ขณะนี้มีการแชร์ภาพผ่าน inbox message ส่วนตัวมากกว่าการโพสต์บนฟีดหลัก

ในขณะที่ผู้ใหญ่บางคนกำลังกลัวปัญหาของเครือข่ายโซเชียลมีเดียเหล่านี้ แต่คนรุ่นใหม่อาจจะก้าวข้ามสิ่งที่พวกเขากังวลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

บทสรุป

แม้จะมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านลบของการใช้สมาร์ทโฟนและเครือข่ายโซเชียลมีเดียต่อสุขภาพจิตของเด็ก แต่หลักฐานเชิงประจักษ์นั้นยังมีอยู่อย่างจำกัดมาก ๆ

การศึกษาส่วนใหญ่ที่ผ่านมาจะมุ่งเน้นไปที่ผู้ใหญ่และแพลตฟอร์มเฉพาะอย่าง facebook มากกว่าแอปอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมมากกว่าในหมู่กลุ่มวัยรุ่น

ความสัมพันธ์ของมนุษย์เรากับสื่อสังคมออนไลน์ก็เริ่มมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ บางคนดูจะได้ประโยชน์จากมันในขณะที่บางคนก็ประสบกับปัญหา การแบนหรือบังคับห้ามใช้งานนั้นดูเหมือนมันจะไม่ใช่ทางออกของปัญหาในระยะยาว

เพราะตอนนี้มันเริ่มมีสัญญาณโดยเฉพาะจากกลุ่มคนรุ่นใหม่เองที่กำลังปรับตัวเพื่อใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโซเชียลมีเดียเหล่านี้ที่หลาย ๆ คนมองว่าเป็นพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/science-and-technology/2024/04/17/what-is-screen-times-doing-to-children
https://www.theguardian.com/technology/2024/feb/17/thousands-join-uk-parents-calling-for-smartphone-free-childhood
https://smartphonefreechildhood.co.uk/

CHIP WAR จากการคัดลอกสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของญี่ปุ่น

ถ้าย้อนกลับไปมองประเทศญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเรียกได้ว่าญี่ปุ่นได้กลายเป็นประเทศที่แทบจะแตกสลาย ญี่ปุ่นเองโดนระเบิดนิวเคลียร์ไปถึงสองลูกที่เมืองนางาซากิและฮิโรชิมาอย่างที่เราได้รับรู้กัน

แต่พวกเขาสามารถที่จะพลิกประเทศกลับมารวดเร็วได้อย่างน่าเหลือเชื่อมากๆ ซึ่งก็ต้องบอกว่าอุตสาหกรรมชิปเองก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นพลิกประเทศให้กลายมาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วสามารถต่อสู้กับสหรัฐอเมริกาและกลายเป็นศัตรูที่สำคัญทางด้านเศรษฐกิจของอเมริกาได้

ในช่วงแรกแม้ญี่ปุ่นจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญมีวิศวกรระดับสูงเหมือนที่ซิลิคอนวัลเลย์ในอเมริกามี แต่พวกเขาอาศัยรูปแบบของการก๊อปปี้หรือคัดลอกเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาเป็นหลักก่อน

มันเป็นเรื่องปรกติมากในยุคนั้นที่หลาย ๆ ประเทศก็ใช้วิธีการแบบนี้ คือการคัดลอกเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาเรียนรู้และพัฒนาด้วยตัวเองด้วยต้นทุนด้านต่าง ๆ ที่ต่ำกว่า

สหรัฐอเมริกาอาจจะเป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมที่สุดล้ำมากมาย แต่ก็นำไปใช้ในวงการทหารเป็นหลัก แต่ญี่ปุ่นมีวิสัยทัศน์อีกแบบนึง พวกเขาแทบจะไม่มีกองทัพเป็นของตนเองหลังจากสงครามโลก การที่จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่และทำให้พวกเขาสามารถที่จะจำหน่ายไปทั่วโลกได้ก็ต้องเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการอุปโภคบริโภคโดยคนทั่วไป

ความน่าสนใจก็คือหลังจากที่โตเกียวถูกทิ้งระเบิดราบเป็นหน้ากอง พวกเขาสามารถที่จะเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ ๆ จากนักฟิสิกส์ชั้นนำของอเมริกา เพราะว่าสำนักงานใหญ่ขององค์กรต่าง ๆ ของสหรัฐอยู่ในโตเกียวแทบจะทั้งหมด และได้อนุญาตให้นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นเข้าถึง know-how ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงานวิจัยที่เกี่ยวกับแอพพลายฟิสิกส์ รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดนั่นก็คือ อากิโอะ โมริตะ ที่ได้ก้าวเข้ามาในธุรกิจนี้แม้ตอนแรก โมริตะ จะทำธุรกิจโรงกลั่นสาเกซึ่งถือว่าเป็นโรงกลั่นที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น

แต่โมริตะชื่นชอบในการซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เขาเรียนจบปริญญาด้านฟิสิกส์ ซึ่งความเชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์นี่เองที่ช่วยชีวิตเขา โดยโมริตะร่วมมือกับอดีตผู้ร่วมงานชื่อ มาซารุ อิบุกะ สร้างธุรกิจทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา

ต่อมาพวกเขาก็ตั้งชื่อบริษัทว่า Sony มาจากภาษาละติน Sonus ที่แปลว่าเสียง และยังใช้ชื่อเล่นแบบอเมริกันว่า Sunny อุปกรณ์ชิ้นแรกของพวกเขาคือหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่ตอนนั้นต้องบอกว่ามันเป็นสินค้าที่ดูไร้เสน่ห์เป็นอย่างมาก

โมริตะร่วมมือกับอดีตผู้ร่วมงานชื่อ มาซารุ อิบุกะ สร้างบริษัท Sony ขึ้นมา (CR:GettyImage)
โมริตะร่วมมือกับอดีตผู้ร่วมงานชื่อ มาซารุ อิบุกะ สร้างบริษัท Sony ขึ้นมา (CR:GettyImage)

แต่โมริตะเห็นถึงศักยภาพของอุปกรณ์อิเล็กทรอนนิกส์ว่ามันคืออนาคตของเศรษฐกิจโลก Sony เองได้ประโยชน์จากการมีค่าแรงที่ถูกกว่าในญี่ปุ่น รวมถึงโมริตะมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบผลิตภัณฑ์และการตลาด

บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งมีชื่อเสียงในการผลิตเป็นเลิศ โดยสามารถสร้างตลาดใหม่ ด้วยวงจรเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของซิลิคอนวัลเลย์ แผนของโมริตะก็คือการชี้นำประชาชนด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แทนที่จะถามพวกเขาว่าต้องการผลิตภัณฑ์ประเภทใด  

มันเป็นสิ่งที่ที่ไม่น่าแปลกใจที่ สตีฟ จ็อบส์ อดีตซีอีโอผู้ล่วงลับของ Apple นั้นก็ได้รับแรงบันดาลใจที่สำคัญจากโมริตะ จนถึงขึ้นที่จ็อบส์เองต้องการสร้าง Apple ให้เหมือน Sony ซึ่งจ็อบส์มักจะนึกถึงการเปลี่ยนแปลงโลกมากกว่าการทำกำไรให้กับบริษัท และมีวิสัยทัศน์แบบเดียวกับโมริตะในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต่างหลงรัก

ความสำเร็จแรกของ Sony ในการเข้าสู่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ก็คือวิทยุทรานซิสเตอร์ แต่ตอนนั้นพวกเขาก็ไม่มีปัญญาที่จะสร้างชิปขึ้นมาเองต้องพึ่งพาบริษัทในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะจากซิลิคอนวัลเลย์

ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ก็มีการป้อนชิปเหล่านี้ให้กับญี่ปุ่น ดังนั้นถ้าอเมริกาเองก็ไม่คิดว่าญี่ปุ่นจะสามารถสร้างเทคโนโลยีสุดล้ำอะไรได้มากมาย พวกเขาจึงไม่ได้มีการระแวดระวังมากนักในการป้องกันทรัพย์สินทางปัญญาของพวกเขา

ในช่วงแรกทั้งสองประเทศก็มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างเกื้อหนุนกัน เพราะว่าในสหรัฐอเมริกาสามารถสร้างคอมพิวเตอร์ได้ดีที่สุด แต่ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในญี่ปุ่นอย่าง Sony ก็จะผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขับเคลื่อนการบริโภคชิปที่ผลิตโดยสหรัฐอเมริกา

ซึ่งจะเห็นได้ว่าเมื่ออเมริกามาลงทุนเปิดโรงงานผลิตชิปที่ประเทศใดก็จะมีการถ่ายทอดเรื่องของเทคโนโลยีให้กับวิศวกรในประเทศนั้น ๆ ซึ่งจะได้เรียนรู้วิธีการผลิตหรือถึงขั้นอาจจะสามารถคัดลอกนวัตกรรมบางอย่างมาได้เลย

ยักษ์ใหญ่ด้านเซมิคอนดักเตอร์อย่างเท็กซัส อินสตรูเมนต์ ที่พยายามจะเข้ามาเปิดโรงงานในญี่ปุ่น แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านกฎหมายมากมาย แต่โมริตะสามารถไปช่วยเคลียร์กับหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ให้ทางเท็กซัส อินสตรูเมนต์มาสร้างโรงงานได้สำเร็จ

นั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการคิดที่จะสร้างชิปด้วยตัวเองของประเทศญี่ปุ่น และเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทอเมริกันอย่างอินเทลหรือเท็กซัส อินสตรูเมนต์ รวมถึงบริษัทญี่ปุ่นอย่างโตชิบาหรือเอ็นอีซีก็สามารถที่จะสร้างชิปหน่วยความจำดีแรมของตัวเองขึ้นมาได้สำเร็จ

ตอนนั้นอเมริกาก็มองญี่ปุ่นแบบตลก ๆ ว่าคงเป็นนวัตกรรมที่ไม่ได้เลิศหรูอะไรแต่อย่างใด แต่ว่าเมื่อผลิตไปจริงๆ แล้ว กลับพบว่าชิปที่ผลิตจากญี่ปุ่นกลับมีคุณภาพที่ดีกว่าบริษัทคู่แข่งในสหรัฐอเมริกา  

ชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ ทำงานผิดพลาดถึง 4 เท่าครึ่ง เมื่อเทียบกับการทำงานของชิปที่ผลิตโดยประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่างกันมาก นั่นทำให้ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แม้กระทั่งในอเมริกาเองก็ตาม เริ่มที่จะหันมามองชิปจากบริษัทในประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น

ชิปที่ผลิตโดยประเทศญี่ปุ่นได้รับการยอมรับมากขึ้นในตลาดโลก (CR:Escape Authority)
ชิปที่ผลิตโดยประเทศญี่ปุ่นได้รับการยอมรับมากขึ้นในตลาดโลก (CR:Escape Authority)

แล้วที่สำคัญก็คือพวกเขาสามารถทำราคาได้ถูกมากๆ ด้วยต้นทุนด้านแรงงานรวมถึงต้นทุนในการจัดหาเงินกู้ ด้วยการอุดหนุนจากรัฐบาลที่มีนโยบายช่วยเหลือเกื้อกูลบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น เพราะทางรัฐบาลต้องการผลักดันให้ประเทศเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์  

ความเข้าใจในยุคก่อนหน้าของผลิตภัณฑ์จากญี่ปุ่นที่เป็นสินค้าราคาถูก ไร้คุณภาพ แต่แบรนด์อย่าง Sony ได้ทำให้ชื่อเสียงด้านแย่ ๆ เหล่านี้หมดไป ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ราคาไม่แพง คุณภาพสูงเทียบเท่ากับคู่แข่งในอเมริกา

นั่นเองที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นกล้าที่จะตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นไปอีก ในการท้าทายอุตสาหกรรมของอเมริกาตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งต้องบอกว่าทำให้อเมริกาเองต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากญี่ปุ่น

ในช่วงปี 1980 อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคได้กลายเป็นสินค้าเฉพาะของญี่ปุ่น ซึ่งพวกเขาได้กลายเป็นผู้นำในการเปิดตัวสินค้าอุปโภคบริโภคใหม่ ๆ และสามารถคว้าส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งในอเมริกา

แม้ในช่วงแรกบริษัทญี่ปุ่นจะประสบความสำเร็จด้วยการเลียนแบบผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งในสหรัฐฯ โดยผลิตให้มีคุณภาพสูงขึ้นและราคาที่ถูกลง ชาวญี่ปุ่นบางคนมองว่าพวกเขาเก่งในการนำทฤษฎีไปปฏิบัติในขณะที่อเมริกาเก่งกว่าพวกเขาในด้านการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ

ในปี 1979  Sony ได้เปิดตัวอุปกรณ์อย่าง Walkman ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาที่ปฏิวัติวงการเพลงโดยสิ้นเชิงโดยการสร้างวงจรชิปที่ทันสมัยของบริษัท

อุปกรณ์อย่าง Walkman นี่เองที่วัยรุ่นทั่วโลกสามารถพกพาเพลงโปรดใส่ในกระเป๋าและใช้พลังงานจากชิปที่บุกเบิกจากซิลิคอนวัลเลย์แต่พัฒนาในญี่ปุ่น ทำให้ Sony ขายไปได้กว่า 385 ล้านเครื่องทั่วโลก ทำให้ Walkman กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภคที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์และเป็นนวัตกรรมที่บริสุทธิ์ที่สุดที่ผลิตในญี่ปุ่น

Walkman ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาที่ปฏิวัติวงการเพลงโดยสิ้นเชิง (CR:The Verge)
Walkman ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาที่ปฏิวัติวงการเพลงโดยสิ้นเชิง (CR:The Verge)

ต้องบอกว่ามันมีหลายปัจจัยที่ทำให้ญี่ปุ่นสามารถก้าวเข้ามาเป็นผู้นำในอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคอิเล็กทรอนิกส์อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ได้

ปัจจัยแรกก็คือเรื่องของรัฐบาลที่ช่วยอุดหนุนอุตสาหกรรมนี้อย่างเต็มที่ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากๆ ในการเข้าถึงเงินทุนเพราะว่าชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีอัตราการออมที่สูงมาก ทำให้ธนาคารมีเงินสดเหลือเยอะมากๆ มาปล่อยกู้ในดอกเบี้ยที่แสนถูก

รวมถึงการที่พวกเขามีต้นทุนทางด้านแรงงานที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับอเมริกา และนั่นเองที่ทำให้ในท้ายที่สุดพวกเขาก็สามารถเอาชนะอเมริกาในการแข่งขันด้านชิปในช่วงทศวรรษที่ 1980 ไปได้สำเร็จนั่นเองครับผม

References :
เรียบเรียงจากหนังสือ Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology โดย Chris Miller
https://failurebeforesuccess.com/akio-morito/

กระเป๋านับพันล้าน ธุรกิจบริการกับการพุ่งทะยานของ Apple สู่ใจกลาง Wall Street

เมื่อสิ้นสุดปี 2018 Tim Cook ได้ลดคำสั่งซื้อชิ้นส่วนประกอบที่รวมอยู่ใน iPhone 3 รุ่นล่าสุด แม้ว่า iPhone X จะทำให้แฟรนไชส์ของ iPhone กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งก็ตามที

Cook และบริษัทมีความคาดหวังสูงสำหรับ iPhone รุ่น XR โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่ง Cook ได้ทำการตลาดโทรศัพท์รุ่นดังกล่าวให้ผู้ติดตามนับล้านบน Weibo แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชั้นนำของจีน

แต่ก็ต้องบอกว่าสถานการณ์ ณ ขณะนั้น ภูมิทัศน์การแข่งขันของจีนกำลังเปลี่ยนไป Huawei ผู้ผลิตมือถือรายใหญ่ทำการตลาดด้วยโทรศัพท์หลายรุ่นที่มีคุณสมบัติที่ดีกว่าและราคาถูกกว่าของ Apple

หนึ่งในนั้นคือ Huawei P20 ซึ่งราคาแทบจะหารสามจากราคาของ iPhone XR แต่มีพื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่า กล้องที่ดีกว่า และแบตเตอรี่ความจุมากกว่าแบบกินขาด

นั่นทำให้ลูกค้าชาวจีนมองไปที่ Huawei แทน เพราะตอบโจทย์ของพวกเขามากกว่า และพวกเขาแทบไม่ได้ประโยชน์จากบริการด้านซอฟต์แวร์ระดับเทพของ Apple อยู่แล้ว

เนื่องจากผู้ใช้มือถือสมาร์ทโฟนในจีนส่วนใหญ่ ต้องตกอยู่ภายใต้การครอบงำจาก ecosystem ของ WeChat ซึ่งเป็น Super Apps หลักที่ชาวจีนใช้กัน เนื่องจากใช้งานได้ทุกอย่างตั้งแต่การส่งข้อความ การชำระเงิน ไปจนถึงเครือขายโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งบริการเรียกรถ

Huawei P20 ที่แรงขึ้นมาท้าชน iPhone (CR:Black Miners Museum)
Huawei P20 ที่แรงขึ้นมาท้าชน iPhone (CR:Black Miners Museum)

เมื่อ iPhone XR ขายไม่ออก Cook ก็เริ่มโฟกัสไปที่ทีมขายและทีมงานด้านการตลาดของเขา และต้องพบความจริงที่แสนปวดร้าว เพราะ iPhone นั้นมีคุณภาพสูงเกินไป ทำให้การอัพเกรดจาก iPhone รุ่นเก่า ๆ เริ่มช้าลง

ฝั่ง Wall Street ผลกระทบนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน มูลค่าของ Apple ที่ครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกถูกแทนที่ด้วย Microsoft อดีตศัตรูตัวฉกาจของพวกเขา

วันที่ 2 มกราคม 2019 Apple ได้ออกจดหมายจาก Tim Cook ถึงนักลงทุนโดยลดการคาดการณ์ยอดขายรายไตรมาสของบริษัทเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี

โดย Cook ได้กล่าวว่า Apple ได้คาดการณ์ยอดขายที่ 84 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหวังไว้ที่ 89 พันล้านดอลลาร์

การปรับลดลงอย่างน่าประหลาดใจนี้ทำให้บริษัทคาดการณ์การเติบโตของบริษัทที่ลดลง 4.5 เปอร์เซ็นต์

Cook ได้พูดถึงความต้องการ iPhone ที่ลดลงและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนเป็นต้นเหตุของความถดถอยของ Apple

“เราเชื่อว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในจีนได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นกับสหรัฐอเมริกา” เขาเขียน “ในขณะที่บรรยากาศของความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน และผลกระทบดูเหมือนจะไปถึงกลุ่มผู้บริโภคด้วยเช่นเดียวกัน โดยปริมาณ Traffic ในร้านค้าปลีกของเราและพันธมิตรช่องทางการขายของเราในจีนลดลดเมื่อไตรมาสที่ผ่านมา”

และเพียงแค่วันถัดมาราคาหุ้นของ Apple ก็ร่วงลงไป 10 เปอร์เซ็นต์และบริษัทก็สูญเสียมูลค่าไปถึง 75 พันล้านดอลลาร์

ซึ่งการลดลงในวันเดียวครั้งนี้เป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดของ Apple ในรอบ 6 ปี และทำให้การประเมินมูลค่าของบริษัทลดลงไปสู่ระดับที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2017

แน่นอนว่ามันทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ สั่นคลอนได้เลยทีเดียว เพราะ Apple ได้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่เหล่านักลงทุนสถาบันถือไว้มากที่สุด ซึ่งรวมอยู่ทั้งในกองทุนรวม กองทุนดัชนี ฯลฯ

ผลกระทบนั้นยังส่งไปถึงนักลงทุนชื่อดังอย่าง Warren Buffet จาก Berkshire Hathaway หรือแม้กระทั่งคนเฒ่าคนแก่ในฟลอริดาไปจนถึงคนทำงานในอุตสาหกรรมรถยนต์แถบมิดเวสต์ต่างก็ลงทุนในธุรกิจของ Apple ซึ่งพวกเขาทั้งหมดได้รับความเดือดร้อน

ในขณะที่ธุรกิจ iPhone กำลังถดถอย คำถามสำคัญของ Cook ก็พุ่งเป้าไปที่ Apple Store ที่เป็นธุรกิจค้าปลีกที่ดูแลโดย Angela Ahrendts อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Burberry

ต้องเรียกได้ว่า Cook คาดหวังกับผลงานกับเธอไว้สูงมาก แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการอันล้นเหลือจาก Cook ได้เลย

คนที่ทำงานกับ Ahrendts กล่าวว่าเธอไม่ได้มีตัวเลขหรือมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับตัวเลขปลีกย่อยตามที่ Cook ต้องการ เพราะเธอมาจากสายแฟชั่นที่เน้นไปที่เรื่องของอารมณ์เป็นหลัก ไม่ได้มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาซัพพอร์ตมากนัก

และการประชุมเริ่มดุเดือดขึ้นหลายครั้งในช่วงต้นปี 2019 ทำให้สุดท้าย Cook และ Ahrendts ตกลงที่จะแยกทางกัน

เพื่อทดแทนตำแหน่งดังกล่าว Cook จึงหันไปหา Deirdre O’Brien ซึ่งเป็นลูกหม้อเก่าของ Cook จากทีมสาย Operation มาอย่างยาวนาน

O’Brien เคยร่วมงานกับ Apple ในปี 1998 ตอนที่ Cook เพิ่มมาถึง และสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเองในฐานะสมาชิกคนสำคัญของทีม Operation ด้วยการคาดการณ์ความต้องการผลิตภัณฑ์ของ Apple ได้อย่างแม่นยำ และแทบจะมีนิสัยที่ตรงข้ามกับ Ahrendts เพราะเธอสนุกสนานไปกับเรื่องตัวเลขรวมถึงรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งเป็นผลพลอยได้ที่เธอผ่านการทำงานกับ Cook มาก่อนหน้านี้

Deirdre O'Brien ซึ่งเป็นลูกหม้อเก่าของ Cook จากทีมสาย Operation ที่เข้ามาแทนที่ Ahrantds (CR:Khaleej Times)
Deirdre O’Brien ซึ่งเป็นลูกหม้อเก่าของ Cook จากทีมสาย Operation ที่เข้ามาแทนที่ Ahrantds (CR:Khaleej Times)

ไม่นานหลังจากมีการการประกาศการจากลาของ Ahrendts ทางฝั่งของ Jimmy Iovine ผู้ก่อตั้ง Beats ที่ Apple ได้เข้าซื้อกิจการมาก็วางแผนที่จะแยกทางกับบริษัทเช่นเดียวกัน

Apple Music ที่เขาช่วยสร้าง มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และคอนเทนต์จากฮอลลีวูและที่เขาผลักดันได้รับการพัฒนาโดยอดีตผู้บริหารของ Sony อย่าง Zack Van Amburg และ Jamie Erlicht

Iovine เริ่มรู้สึกว่า Apple มีขนาดใหญ่เกินไปและเป็นองค์กรแบบราชการเกินกว่าจะก้าวตามวัฒนธรรมแบบสมัยนิยมได้ และมันไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นห้าปีหลังจากการขาย Beats ให้กับ Apple มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ เขาจึงตัดสินใจที่จะเกษียณ

Eddy Cue ซึ่งเป็นผู้ดูแลด้านบริการของ Apple ได้เข้ามาทำหน้าที่แทน Iovine และในช่วงไม่กี่เดือนถัดมา ครีเอทีฟอาวุโสที่สุดของ Apple สองคนก็ได้ลาออกตามไป

Cook ได้ทำการยกเครื่องบอร์ดบริหารครั้งใหญ่ ดูเหมือนว่าเขากำลังสร้างบริษัทขึ้นมาใหม่อีกครั้งที่เขาสามารถควบคุมได้ทุกอย่างแบบเบ็ดเสร็จ ในสถานการณ์ที่วิกฤติเขาจึงต้องพึ่งพามือดีที่เป็นคนรู้ใจ เหล่าผู้บริหารที่มีวินัยและทักษะในสิ่งที่เขารู้ดีที่สุด นั่นก็คือ ผู้บริหารลูกหม้อเก่าจากฝ่าย Operation ที่เขาเคยกุมบังเหียนมาก่อน

กระเป๋านับพันล้าน

สำหรับ Cook แล้ว เขาได้เตรียมรับมือสิ่งเหล่านี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะวิกฤติที่เกิดขึ้นกับ iPhone ที่เป็นผลิตภัณฑ์ทำเงินหลักของบริษัท

Cook วางแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เขาตั้งใจสร้างสรรค์และจะกลายเป็นจุดหักเหที่สำคัญที่สุดของ Apple เลยก็ว่าได้

ที่ Apple Park ทาง Cook ได้เชิญเหล่าดารา เซเลบริตี้ชื่อดังในฮอลลีวูดมาที่สำนักงานใหญ่ของ Apple เพื่อแสดงสิ่งบางอย่าง

กลยุทธ์ส่วนหนึ่งเกิดจากความจำเป็น Cook ได้มองเห็นอนาคตที่ App Store ที่เคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำแหล่งทำเงินหลักในสินค้าด้านบริการกำลังจะสูญสิ้นไป

Apple ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากการเรียกเก็บเงิน 30 เปอร์เซ็นต์ที่เรียกเก็บจากเหล่านักพัฒนาเพื่อขายผลิตภัณฑ์ของตนเองให้กับผู้ใช้ iPhone

มีการร้องเรียนในรูปแบบเดียวกันจากเหล่าบริษัทเช่น Epic Games ผู้สร้าง Fortnite หรือ Spotify บริการ Music Streaming ชื่อดัง ที่มองว่า Apple กำลังผูกขาดผ่านนโยบายของ App Store

Cook รู้ดีว่าวิธีหนึ่งที่บริษัทจะปกป้องตัวเองได้คือการสร้างบริการเหล่านี้ของตัวเอง

แต่กลยุทธ์ดังกล่าวก็เรียกว่าท้าทาย Apple เป็นอย่างมาก เพราะจุดแข็งของ Apple คือการสร้างอุปกรณ์ที่น่าทึ่งด้วยซอฟต์แวร์ที่ผสานกันได้อย่างลงตัวมาโดยตลอดตั้งแต่ยุคของ Jobs

ส่วนประวัติความเป็นมาในธุรกิจด้านบริการนั้น ไล่มาตั้งแต่ iTunes ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามซึ่งได้เปลี่ยนโฉมวงการเพลง ส่วน Apple Maps กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า หรือ Siri ซึ่งเป็นบริการผู้ช่วยเสมือนจริงของ Apple ก็ล้าหลังคู่แข่งในด้านประสิทธิภาพ

ในกรณีที่ไม่มีอุปกรณ์ที่เปลี่ยนเกมตัวถัดไปอย่างที่พวกเขาเคยทำได้กับ iPhone , iPad หรือแม้กระทั่ง iPod ตัว Cook เองเลือกที่จะเดิมพันว่าเขาสามารถโน้มน้าวให้ลูกค้ายึดติดกับ iPhone โดยเชื่อมโยงเข้ากับบริการอย่าง Apple Music และบริการอื่น ๆ

ตามสูตรการนำเสนอของ Apple Cook ได้เปลี่ยนผู้ชมจากบริการหนึ่งไปอีกบริการหนึ่ง เขาเริ่มต้นด้วยการแนะนำ Apple News+ ซึ่งเป็นบริการที่มีค่าใช้จ่าย 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน

โดยสามารถเข้าถึงนิตยสารมากกว่า 300 ฉบับได้ไม่จำกัด รวมถึง Vogue , The New Yorker และ National Geographic

เขาเปิดตัวบัตรเครดิต Apple Card ซึ่งพัฒนาร่วมกับ Goldman Sachs และยังได้แนะนำ Apple Arcade ซึ่งเป็นบริการสมัครสมาชิกวีดีโอเกมรายเดือน

แต่ในขณะที่ Cook กำลังท่องบทอยู่บนเวที มันแทบไม่น่าตื่นเต้น ฝูงชนจากฮอลลีวูดเริ่มกระสับกระส่ายและเบื่อหน่าย ทั้ง นิตยสาร บัตรเครดิต และวีดีโอเกม มันแทบไม่เหมือนกับความคุ้นเคยที่พวกเขาเคยดู Steve Jobs เปิดตัวอุปกรณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกมานานหลายปี

หรือการปิดท้ายด้วยบริการทีเด็ดที่ Cook หวังจะได้รับเสียงปรบมืออย่าง Apple TV+ ที่โม้ว่าจะมีเหล่านักแสดงชื่อดัง ผู้กำกับชื่อดังมาเข้าร่วมนั้นมันก็ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนทำให้เหล่าฝูงชนผิดหวัง

แต่ความผิดหวังของผู้ชมไม่ได้หยุด Cook เพราะเขาได้ขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งแล้วบอกว่ามีอีกเรื่องหนึ่ง (one more thing)

ทั้งห้องมืดลงเมื่อวีดีโอเริ่มเล่นพร้อมด้วยข้อความสีขาวบนหน้าจอสีดำ เมื่อแสงสว่างสาดส่องไปที่กลางเวที Oprah Winfrey ยืนอยู่บนเวทีในชุดเสื้อสีขาวและกางเกงสีดำ ฝูงชนต่างพากันลุกขึ้นยืน กรีดร้องและปรบมือกันอย่างหนัก

“โอเค” ในที่สุดเธอก็พูดออกมา “สวัสดี.” ฝูงชนหัวเราะขณะที่น้ำเสียงที่เป็นมิตรของเธอดังไปทั่วทั้งห้อง

“พวกเราทุกคนต่างโหยหาความสัมพันธ์” เธอกล่าว “เราค้นหาพื้นที่ร่วมกัน เราต้องการให้มีคนฟัง แต่เราก็ต้องฟัง เปิดกว้างและมีส่วนร่วมด้วยเช่นเดียวกัน”

เธอบอกว่านั่นคือเหตุผลที่เธอเซ็นสัญญาเป็นพิธีกรในรายการของ TV+ เพราะ Apple อนุญาตให้เธอทำสิ่งที่เธอทำมานานหลายปีในวิธีการแบบใหม่แทบจะทั้งหมด”

“เพราะว่า” – เธอยักไหล่และยกมือขึ้น จากนั้นเธอก็โน้มตัวไปข้างหน้าราวกับจะบอกความลับ – “พวกเขามีอุปกรณ์ (iPhone) ในกระเป๋าของผู้คนนับพันล้าน”

เมื่อเธอพูดจบ Cook ก็เดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมปรบมือ เขาโน้มตัวลงไปกอดเธอ “คุณนี่น่าทึ่งมาก” เขาพูดเบา ๆ

แขนของ Oprah โอบล้อมเอวของ Cook ขณะที่เขากำลังเช็ดน้ำตาจากหางตา นั่นทำให้เพื่อนร่วมงานของ Cook ประหลาดใจกับการแสดงออกทางอารมณ์ครั้งนี้ และต่างคิดว่าชายผู้มาจากเมืองเล็ก ๆ ในแอละบามาคงรู้สึกเอ่อล้นจากการที่เขามีส่วนในการชวน Oprah ให้มาเป็นคีย์หลักของรายการโทรทัศน์ที่พวกเขาต้องการนำเสนอต่อโลก

Oprah ที่ทำให้ Tim Cook ถึงกับต้องเสียน้ำตา (CR:Shacknews)
Oprah ที่ทำให้ Tim Cook ถึงกับต้องเสียน้ำตา (CR:Shacknews)

Oprah ยิ้มและหัวเราะ การนำพาความรู้สึกอันลึกซึ้งของผู้คนออกมาคือพลังพิเศษของเธอ และเธอก็ทำให้คนนับไม่ถ้วนร้องไห้ในอาชีพการงานของเธอ การที่เธอสามารถปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกของ CEO ที่ไม่ค่อยแสดงความคิดหรืออารมณ์ออกมายิ่งเสริมเสน่ห์ให้กับเธอมากยิ่งขึ้น

“ผมจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้” Cook พูดพร้อมกับหัวเราะ และเช็ดน้ำตาอีกครั้ง “ขอโทษ” เขากล่าวกับฝูงชน

ข้างหลังเขามีภาพขาวดำของรูปถ่ายในคืนก่อนหน้านั้นซึ่งมีทีมงานของ Apple ทุกคนยกเว้น Cook

“คนกลุ่มนี้คือผู้ที่เรานับถือสำหรับเสียงที่ยิ่งใหญ่ ความคิดสร้างสรรค์อันน่ามหัศจรรย์และมุมมองที่หลากหลายอย่างยิ่ง” Cook กล่าว “พวกเขามีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและสังคมของเรา และเราตื่นเต้นมาก” เสียงของเขาสั่นเครือ และเขาหยุดพูดชั่วขณะ

“ผมรู้สึกได้รับเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับพวกเขา” Cook กล่าว

ในขณะที่ฝูงชนเริ่มออกจากงาน บางคนรู้สึกสับสน คนจากฮอลลีวูดต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนรายการทีวี คนในโลกการเงินต่างตะเกียกตะกายเพื่อเพื่อค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตรเครดิต อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอปข่าว แต่ละกลุ่มถูกบดบังด้วยทัศนคติแคบ ๆ ของตนเอง กระบวนการปฏิวัติครั้งนี้จึงแทบจะผ่านไปโดยแทบไม่มีใครสังเกต

หลังจากถูกถามคำถามเดิม ๆ นานนับปีว่า อุปกรณ์ใหม่ตัวถัดไปคืออะไร? – ในที่สุด Cook ก็ได้คำตอบแล้วว่า “ไม่มีเลย”

ข้อความของเขาต้องการสื่อสารไปยัง Wall Street ว่าเขาต้องการให้นักลงทุนเห็นว่า Apple กำลังทำการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

แทนที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียง Cook วาดภาพอนาคตที่ Apple จะเฉิดฉายในรัศมีของผู้อื่นแทน

เขาไม่ต้องการเพียงแค่อัปเดท iPhone ทุกปีเท่านั้น เขาต้องการให้ผู้คนจ่ายค่าสมัครสมาชิก Apple สำหรับภาพยนตร์ที่พวกเขาดูบน iPhone

เขาไม่ต้องการเพียงแค่อำนวยความสะดวกในการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัล เขาต้องการให้ Apple เป็นผู้ประมวลผลทุกธุรกรรม และเขาไม่ต้องการให้ Apple เป็นเพียงหน้าจอที่ผู้คนอ่านบทความ เขาต้องการขายสิทธิ์ในการเข้าถึงนิตยสารที่พวกเขาอ่าน

Cook มองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากธุรกิจเหล่านี้มาหลายปีแล้ว เขาเพียงแค่วางแผนที่จะไปถึงจุดนั้น โดยเริ่มจากการซื้อ Beats ในปี 2014 ชักชวนตัวแทนและผู้กำกับจากฮอลลีวูดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและสร้างพันธมิตรที่แน่นแฟ้นกับ Goldman Sachs

Cook มองเห็นทุกสิ่งเหล่านี้ที่จะช่วยให้ Apple หลุดพ้นจากวงจรการขายฮาร์ดแวร์ที่เหมือนจะดูเหนื่อยล้าเต็มที แล้วก้าวเข้าสู่โลกของธุรกิจบริการที่มีโอกาสเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

และสุดท้ายเมื่อ Wall Street เริ่ม Get กับกลยุทธ์ดังกล่าวนี้ ราคาหุ้นของ Apple ก็พุ่งทะยาน แทบจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสิ้นปี บริษัทที่เคยเป็นที่รักของมหาชนได้กลายมาเป็นที่รักของ Wall Street มันเป็นชัยชนะของ Tim Cook อย่างสมบูรณ์แบบ

References :
หนังสือ After Steve: How Apple Became a Trillion-Dollar Company and Lost Its Soul โดย Tripp Mickle
https://www.cnet.com/tech/services-and-software/oprah-brings-apple-ceo-tim-cook-to-tears/
https://www.cnbc.com/2019/03/26/oprah-had-best-explanation-for-what-apples-tv-event-was-really-about.html

The Second Coming กับการตัดสินใจที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการธุรกิจ

ต้องบอกว่าถือเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการธุรกิจที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการบริหารของ Apple ในปี 1996 เพื่อนำ Steve Jobs กลับคืนสู่บริษัทที่เขาร่วมก่อตั้งมา

ในช่วงเวลาทศวรรษครึ่งระหว่างการกลับมาของ Steve Jobs ไปจวบจนถึงการเสียชีวิตของเขาในปี 2011 เขาได้ทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก 

อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงและสถานการณ์ของการกลับมาของ Jobs แสดงให้เห็นว่าเบื้องหลังการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่บางอย่างหรืออาจจะทั้งหมดเป็นการผสมผสานระหว่างจังหวะเวลาที่ดีและเรื่องของโชคชะตา

ต้องบอกว่า Apple เป็นเรื่องราวความสำเร็จของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 จากความแข็งแกร่งของคอมพิวเตอร์ Macintosh และการทำให้ Mac เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับผู้บริโภคเครื่องแรกที่มีอินเทอร์เฟซผู้ใช้แบบกราฟิกและเมาส์ซึ่งได้กลายมาเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมในภายหลัง

ภายใต้คำบรรยายอันสวยหรูของ Steve Jobs เครื่อง Mac นั้นใช้งานง่ายและวางตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยแคมเปญโฆษณาชื่อดัง “1984” ที่ Apple เปิดตัวในงาน Super Bowl โดยในปีนั้น Apple แสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นผู้กำราบ IBM ที่เป็นยักษ์ใหญ่ที่ทรงพลังมาก ๆ ในยุคนั้นได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตามในหลายปีต่อมา Apple ก็ต้องสะดุดเพราะเริ่มมีการขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์หลายประเภทตั้งแต่เครื่องพิมพ์ไปจนถึงคอมพิวเตอร์พกพาอย่างเครื่อง Newton

หากการจัดการของ Apple อ่อนแอคณะกรรมการของบริษัทก็อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกันนัก ในปี 1993 เหล่าคณะกรรมการได้แทนที่ CEO คนเก่าอย่าง John Sculley ด้วยหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการที่เยอรมันของ Apple อย่าง Michael Spindler 

Spindler ต้องเข้ามากอบกู้ Apple ที่กำลังตกต่ำ ในปี 1995 เขาพยายามที่จะขายบริษัทให้กับ Sun Microsystems แต่สุดท้ายข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่ได้เกิดขึ้น 

และในช่วงเวลาเดียวกันกับมหาเศรษฐี Larry Ellison ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ Steve Jobs ได้พิจารณาซื้อ Apple และจะนำเพื่อนของเขาอย่าง Jobs กลับมาอีกครั้งในตำแหน่ง CEO 

แต่ทว่า Ellison ไม่เคยเปลี่ยนการพูดคุยของเขาให้กลายเป็นการกระทำอย่างแท้จริง และในปี 1996 คณะกรรมการไม่พอใจกับ Spindler และหันไปหา Gil Amelio ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทผู้ผลิตชิป National Semiconductor

โดยพื้นฐานแล้ว Amelio ไม่เคยแม้จะมีโอกาสที่จะกลายมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของ Apple เลยด้วยซ้ำ ด้วยภูมิหลังที่ขายส่วนประกอบให้กับผู้ผลิตรายอื่นเขาจึงไม่มีประสบการณ์ด้านสินค้าสำหรับผู้บริโภค

ในปี 1996 Apple ขาดทุน 816 ล้านดอลลาร์จากยอดขาย 9.8 พันล้านดอลลาร์ซึ่งบริษัทกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ผิดโดยยอดขายลดลง 11% จากปีก่อนหน้า

ในช่วงเวลาอันมืดมนนี้คณะกรรมการของ Apple ซึ่งมีความผิดฐานจ้าง CEO ที่ล้มเหลวมาแล้วถึง 2 คน และเกือบจะล้มเหลวเป็นครั้งที่สามกับ Amelio 

แต่ Amelio ทำให้คณะกรรมการเชื่อมั่นว่า Apple จำเป็นต้องซื้อบริษัทซอฟต์แวร์เพื่อที่จะได้ทรัพย์สินทางปัญญาและความสามารถในการแทนที่ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการที่มีอายุมากเกินไปของพวกเขา

Apple ได้ยื่นข้อเสนอให้กับบริษัท Be ซึ่งบริหารงานโดย Jean-Louis Gassée อดีตผู้บริหารของ Apple  แต่ Gassée ไม่พอใจกับข้อเสนอของ Apple เท่าใดนัก

และในช่วงเวลาเดียวกันนี่เอง Garrett Rice ผู้บริหารระดับกลางของ NeXT ได้ติดต่อผู้บริหารระดับสูงของ Apple พร้อมคำแนะนำว่า Apple ควรซื้อ NeXT เพราะผู้ก่อตั้ง NeXT ไม่ใช่ใครอื่นเพราะเขาคือ Steve Jobs

Steve Jobs ที่ได้ไปเริ่มต้นใหม่กับ NeXT แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร (CR: Cult of Mac)
Steve Jobs ที่ได้ไปเริ่มต้นใหม่กับ NeXT แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร (CR: Cult of Mac)

เขาเริ่มต้นบริษัทได้ไม่นานหลังจากออกจาก Apple ซึ่งเดิมทีนั้น NeXT เป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ที่พุ่งเป้าหมายไปที่ตลาดการศึกษา อย่างไรก็ตาม NeXT ก็ล้มเหลวในฐานะผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และกำลังประสบปัญหาในตลาดซอฟต์แวร์ด้วยเช่นเดียวกัน 

Garrett โทรหา Apple โดยที่ไม่รู้ปัญหาในอดีตของ Jobs แต่อย่างใด และ Apple ก็เริ่มคุยกับ NeXT โดยที่ภายในบอร์ดของ Apple ไม่มีใครรู้เรื่องดังกล่าวนี้ 

ในช่วงปลายปี 1996 การเจรจากับ Be สิ้นสุดลง และ Apple เริ่มเจรจาอย่างจริงจังกับ NeXT คราวนี้ Gil Amelio ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของการสนทนา 

Amelio เข้าใจถึงคุณค่าของซอฟต์แวร์ของ NeXT และผลกระทบต่อขวัญกำลังใจต่อเหล่าพนักงานของ Apple ทั้งเรื่องวิสัยทัศน์ของผลิตภัณฑ์และความคิดสร้างสรรค์ซึ่งอาจมาจากการโน้มน้าวให้ Steve Jobs กลับมาร่วมงานที่ Apple อีกครั้ง

Amelio เคยพบกับ Jobs ในปี 1994 เมื่อ Amelio เข้าร่วมคณะกรรมการ Apple และ Jobs ขอความช่วยเหลือจาก Amelio ในการตั้ง CEO ของบริษัท

Amelio อาจจะคิดไปเองว่า Jobs เป็น CEO ที่มีชื่อเสียงอย่างฉาวโฉ่ในการบริหารงาน Apple ในวาระแรก และที่ NeXT เอง Jobs ก็ไม่ได้ถือว่าประสบความสำเร็จมากนัก แม้ว่า Jobs จะเก่งและมีเสน่ห์ แต่ Jobs ในปี 1996 นั้นก็ไม่ใช่ตัวแทนของ CEO ที่ชัดเจนนักที่จะฝากฝังอนาคตไว้ได้แต่อย่างใด

ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่า Jobs จะไม่แยแสกับการเข้าร่วม Apple อีกครั้ง จนเขาปฏิเสธคำขอของ Amelio ในการเซ็นสัญญาจ้างงานกับบริษัทโดย Jobs เลือกที่จะเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการมากกว่า

นอกจากนี้ Jobs ยังเรียกร้องให้ Apple จ่ายเงินจำนวน 427 ล้านดอลลาร์ให้กับ NeXT เป็นเงินสดซึ่งหมายความว่า Jobs แทบจะไม่สนใจสิ่งจูงใจในระยะยาวว่าการเข้าซื้อ NeXT ของ Apple จะประสบความสำเร็จมากกว่าที่เขาได้รับเงินเป็นเงินสด

โดย Jobs ได้ขอที่นั่งในบอร์ดบริหารของ Apple แต่คำขอดังกล่าวถูก Amelio ปฏิเสธ ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการประกาศเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 1996 และอีกหลายสัปดาห์ต่อมา Jobs มีบทบาทเล็กน้อยในการนำเสนอของ Apple ในงาน Macworld ในปีนั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1997 เป็นการตัดสินใจที่สำคัญอีกครั้ง Amelio ที่ต้องการเวทมนต์ของ Jobs เพื่อมากอบกู้ Apple อย่างชัดเจน แม้ว่า Amelio ก็ต้องการที่จะรักษางานของเขาไว้ด้วยก็ตามที

ไม่นานหลังจากที่ Jobs ได้กลายมาเป็น “ที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการ” ให้กับบริษัทเดิมของเขา เขาก็เริ่มท่องไปในบริษัทราวกับว่าเขาเป็นเจ้านายคนใหม่ ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้พบกับ Jonathan Ive นักออกแบบรุ่นใหม่ไฟแรงซึ่งเมื่อปีก่อนหน้าเพิ่งได้รับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Apple 

Jobs ได้ชื่นชมต้นแบบที่ Ive กำลังสร้างอยู่รวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ All – In – One โปร่งแสงที่จะกลายเป็น iMac ในภายหลัง ซึ่ง Jobs ยังอยากรู้ในสิ่งที่ทุกคนทำอยู่หลังจากหายไปจากบริษัทเป็นเวลาเนิ่นนาน

Jobs เองก็ไม่ได้เป็นพนักงานของ Apple (ในความเป็นจริงเขาเป็น CEO ของ Pixar ในเวลานั้น) เขาไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นที่สำคัญ เขาไม่ได้เป็นสมาชิกของคณะกรรมการด้วยซ้ำ แต่ข่าวลือรอบ ๆ Apple ก็เริ่มมีกระแสที่จะเกิดการรัฐประหารขึ้นกับ Apple ซึ่งในไม่ช้าชาวซิลิกอนวัลเลย์ก็รู้ว่า Jobs กำลังแย่งชิงอำนาจจาก Amelio อย่างเงียบ ๆ

ในเวลานั้นสมาชิกคณะกรรมการคนใหม่ล่าสุดของ Apple อดีต CEO ของดูปองท์อย่าง Edgar Woolard เริ่มตื่นตระหนกเกี่ยวกับ Amelio เขาพูดคุยกับทั้ง Amelio และ Jobs รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของ Apple คนอื่น ๆ

ในขณะที่ Apple อยู่ในโหมดของการลดขนาดองค์กรอย่างต่อเนื่อง และ Woolard ก็กังวลเกี่ยวกับความสามารถของ บริษัทในการบรรลุตามแผนการรวมถึงเรื่องของขวัญกำลังใจพนักงานที่กำลังตกต่ำแบบสุดขีด

ในเดือนกรกฎาคมหลังจากปรึกษากับ Jobs ก็เป็น Woolard นี่เองที่เป็นหัวหอกในการตัดสินใจของคณะกรรมการที่จะไล่ Amelio ออกไปให้พ้นทาง 

ในขณะที่ Woolard เองก็ไม่แน่ใจว่า Jobs จะก้าวเข้ามาเป็น CEO หรือไม่ แต่เขารู้สึกได้ว่าองค์กรเริ่มจะคล้อยตามอดีตผู้นำของพวกเขา ซึ่งการไล่ Amelio นั้นเป็นการตัดสินใจที่จะช่วยให้ Jobs ฟื้นอำนาจในบริษัทได้ในท้ายที่สุด 

Gil Amelio ผู้นำพา Steve Jobs กลับมา ก่อนที่ตัวเองจะถูกไล่ออกตามไป (CR:Allaboutstevejobs)
Gil Amelio ผู้นำพา Steve Jobs กลับมา ก่อนที่ตัวเองจะถูกไล่ออกตามไป (CR:Allaboutstevejobs)

แม้ว่า Amelio จะจากไปแล้วก็ตามที Jobs ก็ยังไม่เต็มใจที่จะเป็น CEO ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกังวลว่าเขาไม่สามารถเป็น CEO ของ Apple และ Pixar พร้อมกันได้ และส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่แน่ใจว่า Apple จะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่ในสมรภูมิธุรกิจสุดโหดในยุคนั้น

อย่างไรก็ตาม Jobs ตกลงที่จะเข้าร่วมคณะกรรมการของ Apple ด้วยเงื่อนไขที่คณะกรรมการทุกคนต้องอึ้ง เพราะเขาต้องการให้ทุกคนในคณะกรรมการยกเว้นเพียงแค่ Woolard ลาออกไป เพื่อให้ Jobs สามารถสร้างบอร์ดบริหารชุดใหม่สำหรับคนที่เขาไว้ใจได้ 

เมื่อ Amelio จากไป Jobs ก็เริ่มบริหารงาน Apple อย่างมีประสิทธิภาพ Fred Anderson ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทกลายเป็น CEO ชั่วคราว แต่ก็อยู่ในการควบคุมของ Jobs

เขาจัดการการเจรจากับ Microsoft ซึ่งส่งผลให้เกิดการลงทุนใน Apple มูลค่า 150 ล้านดอลลาร์ซึ่งประกาศในเดือนสิงหาคมรวมทั้งความมุ่งมั่นของ Microsoft ในการสร้าง Microsoft Office สำหรับ Macintosh ต่อไป

ภายในเดือนกันยายน Jobs ได้กวาดล้างบอร์ด Apple และได้นำเอาเพื่อนจำนวนหนึ่งซึ่งรวมทั้ง Ellison และ Bill Campbell อดีตผู้บริหารของ Apple เข้ามาแทนที่ ในเดือนนั้นเขาได้ประกาศว่าเขาจะเป็น “CEO ชั่วคราว” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีบันทึกภายใน Apple ในฐานะ iCEO 

Jobs กลับมาแล้ว แต่ในแง่หนึ่งคณะกรรมการก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะพาเขากลับมา คณะกรรมการได้ว่าจ้างบริษัท ภายนอกเพื่อค้นหา CEO ถาวร แต่ไม่มีใครเก่งพอที่จะรับงานเพื่อกอบกู้สถานการณ์ของ Apple ในตอนนั้น 

“มีพวกเราจำนวนหนึ่งในคณะกรรมการที่ตัดสินใจซื้อ NeXT เพียงเพื่อนำ Jobs กลับมาที่บริษัท ” เบอร์นาร์ด โกลด์สไตน์ อดีตผู้บริหารวาณิชธนกิจ เล่าถึงประสบการณ์ที่ถูกปลดออกจากบอร์ด “เราไม่ได้คาดหวังว่า NeXT จะนำความก้าวหน้าทางเทคนิคมาให้เรา ผมโหวตให้ Jobs กลับมาแม้ว่า Jobs จะบอกชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการให้ผมอยู่ต่อไปก็ตามที”

ในที่สุด Jobs ได้นำพาบอร์ดบริหารชุดใหม่ที่ประกอบด้วยบุคคลที่ประสบความสำเร็จสูงซึ่งยังคงถูกมองว่าเป็นที่ปรึกษาให้กับเขามากกว่าเจ้านาย

โดยขั้นตอนที่ Jobs ใช้ในการฟื้นฟู Apple นั้นเด็ดขาด เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อกำจัดโครงสร้างที่อ่อนแอของ Apple ให้กลับมาฟื้นคืนชีพได้อีกครั้งหนึ่ง

โดยเลือกที่จะรวมการตัดสินใจทั้งเรื่องการวางแผนและการโฆษณาไว้ที่เดียวแทน โดยเขาได้ไล่ผู้จัดการระดับกลางหลายพันคนและทำการว่าจ้างผู้บริหารด้านโลจิสติกส์คนใหม่

Tim Cook ซึ่งเข้ามาช่วยในการปิดโรงงานและคลังสินค้าที่เป็นของ Apple และทำการละทิ้งผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มากมาย รวมถึง Newton และกล้องดิจิทัลรุ่นแรกของ Apple อย่าง QuickTake 150

สิ่งที่ทำให้การกลับมาของ Steve Jobs น่าสนใจมากคือความเป็นผู้นำของเขาเข้ากับวัฒนธรรมของบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นได้อย่างไร พนักงานและลูกค้าของ Apple ต่างชื่นชอบ เพราะเขาแสดงถึงความมีไหวพริบและความภาคภูมิใจที่ทำให้ผู้คนกลับมามีความรู้สึกตื่นเต้นกับ Apple ได้อีกครั้ง

ในการนำเสนอในงาน Macworld ในช่วงต้นปี 1998 ซึ่งเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากเข้าควบคุมบริษัท Jobs ได้แสดงให้แฟน ๆ ของบริษัทเห็นกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นและปลูกฝังความรู้สึกที่ว่า Apple พร้อมที่จะกลับมาแล้ว และอย่างที่เราได้รับรู้กันในวันนี้ ความจริงที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของธุรกิจทั่วโลกในอีกหลายปีข้างหน้านับจากที่เขากลับเข้ามากุมบังเหียน Apple ได้สำเร็จอีกครั้งนั่นเองครับผม

References : หนังสือ The Greatest Business Decisions of All Time
https://www.thejournal.ie/steve-jobs-predicted-commerce-1821623-Dec2014/
https://appleinsider.com/articles/18/07/10/gil-amelio-resigned-at-apple-ceo-21-years-ago-paving-the-way-for-steve-jobs-ascension-as-ceo