The Meaning of Life กับความหมายของการมีชิวิตอยู่สำหรับยอดคนอย่าง Elon Musk

ความหมายของชีวิตคืออะไร? สำหรับ Elon Musk  มันแทบจะเป็นคำถามของเขามาตั้งแต่เด็กเลยก็ว่าได้ มันเกิดจากช่วงชีวิตวัยเด็กของเขาที่แทบจะเป็นวิกฤติสำหรับชายอย่าง Elon Musk ซึ่งกว่าที่เขาจะผ่านพ้นช่วงนั้นมาเริ่มชีวิตใหม่ในประเทศแคนาดา มันก็เป็นช่วงเวลายาวนานสำหรับเขา

Musk นั้นอ่านหนังสือมามากมาย ซึ่ง หนังสือเกี่ยวกับปรัชญานั้น เขาก็เป็นคนหนึ่งที่อ่านมาหลายเล่มมาก มันไม่ควรเป็นหนังสือที่เด็กน้อยอย่าง Musk อ่านเลยตอนยังเยาว์วัย

หนึ่งในหนังสือเชิงปรัชญาที่เขาชอบมากที่สุดคือ The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy โดย Douglas Adams ซึ่งเป็นหนังสือที่เสนอมุมมองเชิงปรัชญาในหลาย ๆ ด้าน เนื้อหานั้นเป็นเหมือนการรวมเอาหนังสืออย่าง Monty Python และ Star Wars มารวมกัน

สิ่งสำคัญที่ Musk ได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้คือ แนวคิดในการตั้งคำถามกับสิ่งต่าง ๆ มนุษย์ทุกคนนั้นมักจะมีคำถามอยู่เสมอ หากไม่เข้าใจในสิ่งใด ซึ่งเหมือน Musk ที่กำลังตั้งคำถามกับชีวิตตัวเอง ว่าความหมายในการคงอยู่ของชีวิตเขานั้นมีไว้เพื่ออะไร?

ตอนที่เขาเรียนอยู่ University of Pennsylvania นั้น เขาได้เริ่มตั้งคำถามว่าอะไรที่เป็นสิ่งที่ผลกระทบมากที่สุดต่ออนาคตของมนุษย์เราในวันข้างหน้า?

ทำไมเขาจึงต้องคำถามเหล่านี้ ส่วนนึงก็มาจากหนังสือนวนิยายที่เขาชอบอ่านของ Isaac Asimov ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเขียนในดวงใจของ Musk เลยก็ว่าได้  ซึ่งนวนิยายวิทยาศาสตร์ของ Isaac Asimov นี่เองเป็นแรงบัลดาลใจให้ Musk คิดเรื่องใหญ่ ๆ ที่ผลกระทบต่อโลกเราที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นวนิยายวิทยาศาสตร์ของ Isaac Asimov ที่เป็นแรงบัลดาลใจให้ Musk (CR:Jamie Todd Robin)
นวนิยายวิทยาศาสตร์ของ Isaac Asimov ที่เป็นแรงบัลดาลใจให้ Musk (CR:Jamie Todd Robin)

หลาย ๆ ไอเดียของ Musk ก็มาจากนวนิยายของ Asimov เนี่ยแหละ แต่เขาไม่ได้คิดแบบเพ้อฝันแบบนวนิยาย เขาคิดโดยพื้นฐานทางด้านวิศวกรรมที่เขาได้ร่ำเรียนมา ทั้งเรื่องของกระสวยอวกาศ หรือ เรื่องพลังงานที่จะใช้ขับเคลื่อนมัน Musk เปรียบเทียบกับความเป็นจริงอยู่เสมอโดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคิด

มี 3 สิ่งที่ Musk นั้นคิดเสมอว่าจะเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของมนุษย์เรามากที่สุด  สิ่งแรกนั้นคือ อินเทอร์เน็ต ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดไปยังผู้ใช้งานทั่วโลกในขณะนั้น สิ่งที่สองก็คือ พลังงานที่ยั่งยืน และสิ่งสุดท้ายก็คือการสำรวจอวกาศ

มันเป็น 3 สิ่งหลักที่อยู่ในใจ Musk เสมอ สิ่งที่ impact ต่อโลกเราในอนาคตอย่างแน่นอน แต่ Musk ก็ไม่ได้มีเพียงแค่ 3 ไอเดียดังกล่าวเท่านั้น เขายังคิดถึงเรื่อง Artificial intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์ และ ความรู้ด้านชีววิทยา เช่น การถอดรหัส DNA ของมนุษย์ที่เขามองว่าตอนนี้เทคโนโลยีที่มีอยู่นั้นยังไม่สมบูรณ์นัก มันยังมีความผิดพลาดอยู่อีกมาก เขาเปรียบเทียบการพยายามทำการอ่านรหัส DNA ของมนุษย์นั้นก็เปรียบเสมือนการอ่าน code ดี ๆ นี่เองซึ่งมักจะมี error อยู่เสมอ

สำหรับโลกของ อินเทอร์เน็ตนั้น Musk ได้เริ่มใช้งานแบบจริง ๆ จัง ๆ เมื่อตอนเรียนในสาขาฟิสิกส์ ซึ่งเขาต้องใช้ อินเทอร์เน็ตในการค้นคว้าหางานวิจัย ตอนนั้นคือปี 1994 เขามองเห็นศักยภาพของอินเทอร์เน็ตทันที และคิดว่าอินเทอร์เน็ตมันต้องเปลี่ยนโลกได้อย่างแน่นอน

ช่วงที่ Musk เริ่มใช้งานอินเทอร์เน็ตมันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน เดิมนั้นโลกของการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ต้องพึ่งพาห้องสมุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ อินเทอร์เน็ตมันได้เปลี่ยนโลกของข้อมูลข่าวสารทั่วโลกทั้งหมดให้มาสู่ที่ปลายนิ้วเพียงเท่านั้น

ในวัยเด็กนั้น การที่จะหาข้อมูลต่าง ๆ แบบที่หาได้ใน wikipedia.org ในปัจจุบันนั้น ต้องอ่านผ่าน encyclopedia เล่มหนาเต๊อะ ต่างจาก wikipedia ในโลก อินเทอร์เน็ตที่มีการอัพเดทข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทันสถานการณ์อยู่ตลอด ต่างจากการอ่าน encyclopedia ที่มีการอัพเดทข้อมูลอย่างเร็วที่สุดปีละครั้งเพียงเท่านั้น

encyclopedia หนังสือที่อัพเดทข้อมูลเพียงปีละครั้ง ที่ตอนนี้ยกเลิกการพิมพ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (CR: Fox 8 News)
encyclopedia หนังสือที่อัพเดทข้อมูลเพียงปีละครั้ง ที่ตอนนี้ยกเลิกการพิมพ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (CR: Fox 8 News)

ส่วนเรื่องพลังงานที่ยั่งยืนนั้น Musk เติบโตขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งพบปัญหากับวิกฤติทางด้านพลังงานอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งปัญหาน้ำมันซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักที่สำคัญที่สุดของแอฟริกาใต้ หนักหนาถึงขั้นที่ว่าในประเทศแอฟริกาใต้มีพลังงานเหลือให้ประชากรใช้ได้เพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น

และไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่องในแอฟริกาใต้เท่านั้น แนวคิดเรื่องพลังงานที่ยั่งยืนนั้น มาจากหนังสือนวนิยายของ Isaac Asimov นักเขียนคนโปรดของเขาอีกด้วย Musk นั้นมองปัญหาใหญ่ ๆ อยู่สม่ำเสมอ เรื่องพลังงานนั้นเป็นปัญหาใหญ่ของโลก

ซึ่ง Musk นั้นคิดว่าโลกเรามีความเป็นไปได้ที่ แหล่งพลังงานและแหล่งอาหาร นั้นจะอยู่ได้อีกไม่กี่สิบปี หากไม่ทำอะไรสักอย่าง มันจะเป็นปัญหาระดับโลกในอนาคต มันอาจจะส่งผลให้ เกิดความตื่นตระหนกวุ่นวายกันทั่วโลกเมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ การใช้ความรุนแรง การปล้น นั้นจะกลายเป็นทางเดียวที่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

ซึ่งในนวนิยายของ Asimov ก็มีการกล่าวถึงในเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน มันอาจจะเกิดสงครามระหว่างประเทศ เพื่อแย่งชิงทรัพยากร โดยเฉพาะด้านพลังงานและอาหาร และเมื่อนั้นอาจจะมีสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้นจริงก็ได้

Musk ได้กล่าวถึงการบริโภคพลังงานของมนุษย์เราในยุคปัจจุบัน นั้นสูงขึ้นกว่า 9 เท่า เมื่อเทียบกับในยุคปี 1850 หากไม่แก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจรัง มันก็จะเกิดปัญหาระดับโลกได้ กระบวนการผลิตน้ำมันมันนั้นก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ 

Peak Oil คือ จุดที่การผลิตน้ำมันดิบอยู่ในอัตราสูงสุด ซึ่งเจ้าขอทฤษฏี Peak Oil คือ ดร.เอ็ม คิง ฮับเบิร์ต นักธรณีวิทยาชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในปี 1956 เขาได้พยากรณ์ไว้ว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐอเมริกาจะถึงจุดสูงสุดในช่วงต้นทศวรรษ 1970 เลยจากจุดนั้นปริมาณน้ำมันที่ผลิตได้จะลดลงเรื่อย ๆ 

ซึ่งพยากรณ์ดังกล่าวของ ดร.ฮับเบิร์ต นั้นเป็นจริง ถึงแม้ว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐ ขึ้นถึงจุดสูงสุดในทศวรรษ 1970 หลังจากนั้นก็ลดต่ำลงมาโดยตลอด จึงมีผู้นำทฤษฏี Peak Oil ไปใช้ทำนายแนวโน้มการผิลตน้ำมันดิบของโลกจะลดลง เพราะไม่มีแหล่งน้ำมันดิบใหม่ที่คุ้มค่าในการผลิต ขณะเดียวกัน ความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น

ทฤษฏี Peak Oil ไปใช้ทำนายแนวโน้มการผิลตน้ำมันดิบของโลกจะลดลง เพราะไม่มีแหล่งน้ำมันดิบใหม่ที่คุ้มค่าในการผลิต (CR:ScienceDirect)
ทฤษฏี Peak Oil ไปใช้ทำนายแนวโน้มการผิลตน้ำมันดิบของโลกจะลดลง เพราะไม่มีแหล่งน้ำมันดิบใหม่ที่คุ้มค่าในการผลิต (CR:ScienceDirect)

ซึ่ง Musk นั้นก็เป็นคนสนใจในทฤษฏีดังกล่าวนี้เป็นอย่างมาก เขาคาดการณ์ว่า Peak Oil จะเกิดขึ้นในปี 2020 และน้ำมันจะเริ่มหมดไปในช่วงปี 2050 โลกเรานั้นใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนโดยเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 87 ล้านบาร์เรล ในปี 2010 ซึ่งมันทำให้เราจะมีน้ำมันใช้จนถึงแค่เพียง 40 ปีเท่านั้น

แนวคิดสำคัญของ Musk ก็คือ ก่อนที่น้ำมันจะหมดโลก เราควรที่จะเก็บมันไว้ใช้ในอนาคต ในวันที่เราต้องการใช้มันจริง ๆ มากกว่า ในเมื่อในตอนนี้ เราสามารถใช้พลังงานทางเลือกอื่น ๆ ได้อยู่ มันไม่มีเหตุจำเป็นใด ๆ ที่เราต้องนำน้ำมันที่กำลังจะหมดไปมาใช้ให้หมดในยุคของเราแบบทันที

เรื่องของน้ำมันที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้นเป็นเรื่องนึงที่ Musk ใส่ใจ แต่อีกประเด็นเขาก็ยังสนใจประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับปัญหานี้ คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อม เขามองว่าโลกที่ไม่ใช่พลังงานจากน้ำมันเหล่านี้นั้น จะเป็นโลกที่สะอาดขึ้น ปัญหาใหญ่คือเรื่องก๊าซ CO2 ที่ถูกปล่อยออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาโลกร้อนที่จะเกิดกับโลกเราในอนาคต

ส่วนอีกเรื่องที่ Musk สนใจนั้นคือ การอพยพ ย้ายไปอยู่ในดาวดวงอื่นนั้น หลายคนอาจจะมองเป็นสิ่งที่เพ้อฟัน เป็นเรื่องในนวนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ Musk นั้นก็มองว่า ทุกเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นบนโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสื่อสาร การแพทย์ หรือ อาวุธสงครามต่าง ๆ นั้น ล้วนเกิดจากจินตนาการที่เคยเป็นเรื่องที่เพ้อฟันแทบจะทั้งสิ้น

ความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ทั้งเรื่องปัญหาโลกร้อน หรือ ปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าโลกใบนี้จะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ Musk มองว่ามันเป็นการเตรียมตัวรับอนาคตที่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น

เขาได้กล่าวถึง หากมนุษย์เราสามารถที่จะมีชีวิตในดาวดวงอื่นได้ เราก็ต้องเรียนรู้ให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม และสภาพอากาศ และ รู้จักที่จะทำให้มันเกิดความสมดุล ไม่งั้นมันสุดท้ายมันก็จะกลายสภาพให้เป็นโลกเราที่เห็นในปัจจุบันอยู่ดี

ซึ่งสุดท้ายคิดเสมอว่า โครงการด้านอวกาศใหม่ ๆ นั้นถือเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญให้กับมนุษย์โลก ซึ่งการที่เขาได้สร้างบริษัทอย่าง spaceX ขึ้นมาในภายหลังนั้น มันถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ ต่อยุคใหม่ของเทคโนโลยีทางด้านอวกาศ ซึ่งอาจจะทำให้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์เราไปตลอดกาลก็เป็นได้

Cypherpunks Gangster อิทธิพล ความคิด สู่ชะตาลิขิตในการถือกำเนิดขึ้นของ Bitcoin

การถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ตเป็นประโยชน์สำหรับชายที่มีชื่อว่า Hal Finney ซึ่งทำให้เขาสามารถเชื่อมต่อกับคนอื่น ๆ ในสถานที่ห่างไกลที่กำลังมีแนวคิดเกี่ยวกับลัทธิไซเบอร์ยูโทเปียที่มีความคลุมเครือ ซึ่งหากมองในอีกมุมหนึ่งก็ถือว่าเป็นแนวทางของพวกหัวรุนแรงได้เช่นเดียวกัน

Hal เป็นลูกหนึ่งในสี่คนของวิศวกรปิโตรเลียม เขาอ่านหนังสือแคลคูลัสเพื่อความสนุกสนาน เข้าเรียนที่ California Institute of Technology เขามักจะท้าทายสติปัญญาของตัวเองอยู่เสมอ ในช่วงปีแรกเขาได้เข้าเรียนหลักสูตรทฤษฎีสนามโน้มถ่วงซึ่งออกแบบมาสำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา

แต่เขาไม่ใช่เด็กเนิร์ดทั่วไป ชายหนุ่มร่างใหญ่ผู้รักการเล่นสกีในภูเขาแคลิฟอร์เนียเขาเป็นคนที่ชอบเข้าสังคมเหมือนในหมู่นักเรียนส่วนใหญ่ของ Cal Tech 

Hal ได้เข้าร่วมชุมชนออนไลน์ที่เก่าแก่ที่สุดเช่น Cypherpunks และ Extropians ซึ่ง ในชุมชนดังกล่าวได้มีการถกเถียงกันว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ สามารถที่จะกำหนดอนาคตที่พวกเขาฝันไว้ได้อย่างไร

คำถามสำคัญที่ครอบงำความคิดของคนในกลุ่มเหล่านี้ก็คือเรื่องที่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงความสมดุลของอำนาจระหว่างประชาชนคนทั่วไปและรัฐบาลที่มีอำนาจได้อย่างไร

ต้องบอกว่าเทคโนโลยีได้มอบอำนาจใหม่ให้กับผู้คนทั่วไป อินเทอร์เน็ตที่เพิ่งตั้งไข่ทำให้คนเหล่านี้สามารถสื่อสารและเผยแพร่ความคิดของพวกเขาในรูปแบบที่ไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อน

ในยุคก่อนหน้าเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ของรัฐบาลกลางได้เก็บบันทึกเกี่ยวกับพลเมืองของตน ซึ่งมันต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1990 นานก่อนที่หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติจะถูกตรวจสอบว่าแอดสอดแนมโทรศัพท์มือถือของประชาชนทั่วไปและนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Facebook จะกลายเป็นประเด็นถกเถียงในระดับชาติ

Cypherpunks เห็นว่าการเปลี่ยนวิถีชีวิตสู่โลกดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้นของประชาชนคนทั่วไป ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถทำสิ่งเดิม ๆ ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น จึงตั้งคำถามขึ้นมาว่าผู้คนสามารถที่จะปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและรักษาความเป็นส่วนตัวได้อย่างไร

Hal Finney เข้าร่วมกลุ่ม Cypherpunks เพื่อแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี (CR:Bitcoin.fr)
Hal Finney เข้าร่วมกลุ่ม Cypherpunks เพื่อแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี (CR:Bitcoin.fr)

แนวคิดดังกล่าวมันได้เริ่มก่อตัวขึ้นเนื่องจากกลุ่มการเมืองที่มีแนวคิดเสรีนิยมที่เริ่มแพรกระจายไปในแคลิฟอร์เนียช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ความสงสัยเกี่ยวกับรัฐบาลเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจให้กับชายอย่าง Hal ที่ทำงานเพื่อสร้างโลกใบใหม่ผ่านการเขียนโค้ดโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่น

Hal ได้ซึมซับความคิดเหล่านี้ที่ Cal Tech และในการอ่านนวนิยายของ Ayn Rand ซึ่งในขณะนั้นประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวในยุคอินเทอร์เน็ตนั้นเริ่มได้แพร่กระจายไปไกลนอกเหนือจากกลุ่มการเมืองที่มีแนวคิดเสรีนิยมหรือในหมู่นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน

Cypherpunks ยังมองไม่เห็นวิธีแก้ปัญหา แต่ Hal และคนอื่น ๆ มุ่งค้นหาคำตอบทางเทคโนโลยีและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาสตร์แห่งการเข้ารหัสข้อมูล 

ในอดีตเทคโนโลยีการเข้ารหัสเป็นสิทธิพิเศษที่สงวนไว้สำหรับสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดเท่านั้น เอกชนสามารถพยายามเข้ารหัสการสื่อสารของตนได้ แต่รัฐบาลและกองกำลังติดอาวุธมักมีอำนาจในการถอดรหัสรหัสดังกล่าว 

ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 นักคณิตศาสตร์จาก Stanford และ MIT ได้สร้างชุดของนวัตกรรมที่ทำให้เป็นไปได้เป็นครั้งแรกสำหรับคนธรรมดาในการเข้ารหัสด้วยวิธีที่สามารถถอดรหัสได้โดยผู้รับที่ตั้งใจไว้เท่านั้น และไม่สามารถที่จะถอดรหัสมันได้แม้กระทั่งโดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สุด

The Extropians และ Cypherpunks ทำการทดลองต่างๆ มากมายที่สามารถช่วยเสริมพลังอำนาจให้กับคนธรรมดาทั่วไปที่จะสามารถต่อต้านแหล่งอำนาจดั้งเดิม ซึ่งเรื่องของเงินเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามที่จะจินตนาการอนาคตใหม่ตั้งแต่ต้นของกลุ่มดังกล่าว

เงินเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงระบบนิเวศของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับทุกอย่าง ซึ่งสำหรับเหล่าโปรแกรมเมอร์สกุลเงินที่มีอยู่ซึ่งใช้ได้เฉพาะในเขตแดนของประเทศใดประเทศหนึ่งและขึ้นอยู่กับธนาคารที่ไร้ความสามารถทางเทคโนโลยีดูเหมือนจะเป็นการถูกจำกัดโดยไม่จำเป็น

นอกเหนือจากความทะเยอทะยานเหล่านี้แล้ว Cypherpunks มองว่าระบบการเงินที่มีอยู่เป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคลซึ่งเป็นข้อมูลไม่กี่ประเภทที่มักจะมีการเปิดเผยเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างง่ายดาย

รูปแบบของเงินสดต้องบอกว่าเป็นวิธีการชำระเงินแบบไม่เปิดเผยตัวตนมานานแล้ว แต่เงินสดไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเข้าสู่อาณาจักรดิจิทัลได้ ทันทีที่เงินกลายเป็นดิจิทัล กลุ่มบุคคลที่สามบางราย เช่น ธนาคารก็มักจะมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถที่จะติดตามธุรกรรมต่าง ๆ ของคนทั่วไปได้

สิ่งที่ Hal และ Cypherpunks ต้องการคือเงินสดสำหรับยุคดิจิทัลที่สามารถรักษาความปลอดภัยและไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องสละความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

และแล้ววันหนึ่งในปี 2008 สิ่งที่เขาตามหามานานก็โผล่มากับชายที่ไร้ตัวตน เขาได้คลิกที่เว็บไซต์ที่เขาได้รับทางอีเมล : www.bitcoin.org

ต้องบอกว่า Hal เองก็ได้เห็น Bitcoin ผ่านตาครั้งแรกเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า ในข้อความที่ส่งไปยังหนึ่งในรายชื่ออีเมลที่เขาสมัครเป็นสมาชิก ซึ่งเมลที่โต้ตอบไปมานั้นส่วนใหญ่จะมาจากคนคุ้นเคยที่เขาคุยด้วยมานานหลายปีที่ค่อนข้างเชี่ยวชาญในการเขียนโค้ดและส่วนใหญ่ก็ทำงานที่เดียวกับเขา

แต่อีเมลฉบับนี้มาจากชื่อที่ไม่คุ้นเคย – Satoshi Nakamoto – และอธิบายถึงสิ่งที่เรียกว่า “e-cash” ด้วยชื่อที่ติดปากว่า Bitcoin เงินดิจิทัลซึ่งเป็นสิ่งที่ Hal ทดลองมาเป็นเวลานานมากพอที่จะทำให้เขาสงสัยว่ามันจะใช้งานได้หรือไม่

แต่มีบางอย่างปรากฏขึ้นในอีเมลฉบับนี้ Satoshi ได้กล่าวถึงรูปแบบเงินดิจิทัลชนิดหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องให้ธนาคารหรือบุคคลที่สามจัดการ มันเป็นระบบที่สามารถอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์รวมของผู้คนที่ใช้มันได้ทั้งหมด

Hal ถูกดึงดูดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคำกล่าวอ้างของ Satoshi ที่ว่าผู้ใช้สามารถเป็นเจ้าของและซื้อขาย Bitcoins ได้โดยไม่ต้องให้ข้อมูลระบุตัวตนกับหน่วยงานกลาง ซึ่งตัว Hal เองก็ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการทำงานกับโปรแกรมที่ทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถหลบเลี่ยงการจ้องมองของรัฐบาลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

หลังจากอ่านคำอธิบายเก้าหน้าซึ่งมีอยู่ใน paper แล้ว Hal ก็ได้ตอบกลับไปอย่างกระตือรือร้น:

“ตอนที่วิกิพีเดียเริ่มต้นขึ้นมาใหม่ ๆ ผมไม่เคยคิดว่ามันจะได้ผล แต่มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยเหตุผลเดียวกันนี้” เขาเขียน

เมื่อเผชิญกับความสงสัยจากผู้อื่นในรายชื่อ mailing list โดย Hal ได้เรียกร้องให้ Satoshi เขียนโค้ดจริงสำหรับระบบที่เขาได้อธิบายไว้ ไม่กี่เดือนต่อมาในวันเสาร์ของเดือนมกราคม Hal ดาวน์โหลดโปรแกรมของ Satoshi จากเว็บไซต์ Bitcoin ไฟล์ simple.exe ติดตั้งโปรแกรม Bitcoin และเปิดหน้าต่างบนเดสก์ท็อปคอมพิวเตอร์ของเขาโดยอัตโนมัติ

เมื่อโปรแกรมเปิดขึ้นเป็นครั้งแรกโปรแกรมจะสร้างรายการ address ของ Bitcoin โดยอัตโนมัติซึ่งจะเป็นหมายเลขบัญชีของ Hal ในระบบและรหัสผ่านหรือคีย์ส่วนตัวซึ่งทำให้เขาสามารถเข้าถึงได้

โปรแกรม Bitcoin ในยุคแรก (CR:Bitcoin.com)
โปรแกรม Bitcoin ในยุคแรก (CR:Bitcoin.com)

นอกเหนือจากนั้นโปรแกรมยังมีฟังก์ชันเพียงไม่กี่ฟังก์ชัน เมนูหลัก “Send Coins” ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นตัวเลือกสำหรับ Hal ที่จะทดลองใช้งานเนื่องจากเขาไม่มีเหรียญให้ส่ง แต่ก่อนที่เขาจะกดไปยังส่วนต่าง ๆ ของโปรแกรม โปรแกรมก็ error

แต่มันไม่ได้ขัดขวางความกระตือรือร้นของ Hal หลังจากดู log ในคอมพิวเตอร์ของเขา เขาเขียนถึง Satoshi เพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคอมพิวเตอร์ของเขาพยายามเชื่อมโยงกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในเครือข่าย

นอกเหนือจาก Hal แล้ว ใน log ยังแสดงให้เห็นว่ามีคอมพิวเตอร์อีกเพียงสองเครื่องในเครือข่ายและทั้งสองเครื่องมาจากที่อยู่ IP address เดียวซึ่งน่าจะเป็นของ Satoshi ซึ่งเชื่อมโยงกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในแคลิฟอร์เนีย

ภายในหนึ่งชั่วโมง Satoshi ก็เขียนตอบกลับโดยแสดงความผิดหวังกับความล้มเหลว เขาบอกว่าเขากำลังทดสอบอย่างหนักและไม่เคยพบปัญหาใด ๆ แต่เขาบอก Hal ว่าเขาได้ตัดทอนโปรแกรมเพื่อให้ดาวน์โหลดได้ง่ายขึ้น

Satoshi ส่งโปรแกรมเวอร์ชันใหม่ให้ Hal พร้อมกับคืนค่าเก่าบางส่วนและขอบคุณ Hal สำหรับความช่วยเหลือ

ในที่สุด Hal ก็ได้ใช้งานมันอีกครั้ง แล้วเขาก็คลิกที่ฟังก์ชั่นที่ทำให้เกิดเสียงที่น่าตื่นเต้นที่สุดในเมนู : “สร้างเหรียญ” เมื่อเขาทำการคลิกที่เมนูดังกล่าวหน่วยประมวลผลในคอมพิวเตอร์ของเขาก็ส่งเสียงดัง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการประมวลผลอย่างหนักแบบเห็นได้ชัด

คำแนะนำที่ Satoshi อธิบายไว้ในในซอฟต์แวร์ กล่าวว่าจริงๆ แล้ว การสร้างเหรียญอาจใช้เวลา “เป็นวันหรือเดือนขึ้นอยู่กับความเร็วของคอมพิวเตอร์ของคุณ และการแข่งขันบนเครือข่าย”

Hal ปิดท้ายข้อความสั้น ๆ เพื่อบอก Satoshi ว่าทุกอย่างได้ผล: “ผมต้องออกไปข้างนอก แต่ผมจะปล่อยให้เวอร์ชันนี้ทำงานต่อไปสักพัก”

Hal ได้อ่านมากพอที่จะเข้าใจงานพื้นฐานที่คอมพิวเตอร์ของเขากำลังทำอยู่ เมื่อโปรแกรม Bitcoin ทำงานแล้วโปรแกรมจะเข้าสู่ช่องแชทที่กำหนดเพื่อค้นหาคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่ใช้งานซอฟต์แวร์ซึ่งในขณะนั้นจะเป็นเพียงแค่เครื่องคอมพิวเตอร์ของ Satoshi เท่านั้น

ระบบเครือข่ายของ Bitcoin จะทำการเก็บข้อมูลธุรกรรมการส่ง Bitcoin ที่ส่งหากันในช่วงระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง โดยข้อมูลนี้จะถูกว่า “บล็อก” โดยบล็อกใหม่ของ Bitcoin แต่ละบล็อกจะถูกกำหนดให้กับ address ของผู้ใช้ที่เชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายและชนะการแข่งขันเพื่อไขปริศนาการคำนวณ 

เมื่อคอมพิวเตอร์ชนะการแข่งขันรอบหนึ่งและได้รับเหรียญใหม่ เครื่องอื่น ๆ ทั้งหมดในเครือข่ายจะอัปเดตบันทึกที่ใช้ร่วมกันของจำนวน Bitcoins ที่เป็น address Bitcoin ของคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น จากนั้นคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะเริ่มแข่งโดยอัตโนมัติเพื่อแก้ปัญหาใหม่เพื่อปลดล็อกชุดเหรียญถัดไป

เมื่อ Hal กลับไปที่คอมพิวเตอร์ของเขาในตอนเย็นเขาก็เห็นทันทีว่า คอมพิวเตอร์ของเขาได้สร้าง 50 Bitcoins ซึ่งถูกบันทึกไว้ที่ address Bitcoin ของเขาและยังบันทึกไว้ใน Public Ledger ที่คอยติดตาม Bitcoins ทั้งหมด บล็อกเหรียญที่สร้างขึ้นเหล่านี้เป็นหนึ่งใน 4,000 Bitcoins แรกที่นำมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนไม่มีค่าอะไรเลยจาก Bitcoins ที่เขาได้รับ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นของ Hal ลดลง ในอีเมลแสดงความยินดีถึง Satoshi ที่เขาส่งไปยังรายชื่อ mailing list ทั้งหมด ทำให้เขารู้สึกมีความหวังกับสิ่งประดิษฐ์สิ่งใหม่นี้

“ลองนึกภาพว่า Bitcoin ประสบความสำเร็จและกลายเป็นระบบการชำระเงินที่โดดเด่นในการใช้งานทั่วโลก” เขาเขียน “ถ้าอย่างนั้นมูลค่ารวมของสกุลเงินควรเท่ากับมูลค่ารวมของความมั่งคั่งทั้งหมดในโลก”

จากการคำนวณของเขาเองนั่นจะทำให้ Bitcoin แต่ละเหรียญจะมีมูลค่าประมาณ 10 ล้านดอลลาร์

“แม้ว่าอัตราต่อรองของ Bitcoin ที่จะประสบความสำเร็จในระดับนี้จะมีน้อย อาจจะเป็นโอกาสเพียงแค่ 100 ล้านต่อ 1 แต่มันไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว” เขาเขียนก่อนที่จะออกจากระบบ

จาก MS-DOS สู่ Windows พันธมิตร คู่ค้า สู่การโค่นราชาแห่งวงการคอมพิวเตอร์

ในช่วงปี 1983 Bill Gates เริ่มมองเห็นอนาคตบางอย่างของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูงกับระบบปฏิบัติการแรกของเขาอย่าง MS-DOS แต่เขาก็ได้คิดถึงแผนการในอนาคตของ Microsoft ว่าจะต้องสร้างระบบปฏิบัติการเชิงรูปภาพขึ้นมาแบบมี User Interface แทนที่จะใช้การ input แบบ terminal เหมือนใน MS-DOS

ซึ่งแน่นอนว่า หาก Microsoft ยังยึดติดอยู่กับ MS-DOS ซึ่งเป็นโปรแกรมแบบ Terminal ที่ต้อง input แบบตัวอักษร ผู้ใช้ต้องพิมพ์คำสั่งลงไปก่อนการประมวลผล และจะไปปรากฏบนหน้าจอ MS-DOS โดยไม่มีโปรแกรมรูปภาพหรือกราฟฟิกที่ช่วยให้ผู้ใช้ติดต่อกับโปรแกรมใช้งานอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย

โดยในขณะนั้น นักวิจัย จาก Xerox ที่ศูนย์วิจัย พาโลอัลโต ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ทำการทดลองสร้างวิธีการสื่อสารวิธีใหม่ระหว่างคอมพิวเตอร์กับมนุษย์ ซึ่งมีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า ‘เมาส์’ ซึ่งสามารถเลื่อนไปมาบนโต๊ะเพื่อเลื่อนลูกศรไปมาบนจอภาพได้

แม้ในขณะนั้นในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ก็ได้เริ่มนำเอาเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้บ้างแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Apple Lisa ที่ถูกสรรสร้างขึ้นมาโดย Steve Jobs แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดของราคาที่ค่อนข้างสูง

และ Jobs ก็สร้างโครงสร้างของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของ Apple ให้กลายเป็นระบบปิด มันจึงไม่สามารถดึงดูดความสนใจของบริษัทผู้ผลิต Software รายใหญ่ ๆ ให้หันมาเขียนโปรแกรมมาสนับสนุนระบบปฏิบัติการแบบใหม่นี้ได้

ซึ่งแม้ระบบปฏิบัติการแบบกราฟฟิกที่ได้รับความนิยมระบบแรก ๆ นั้นจะเป็น เครื่อง Macintosh ของ Apple ในปี 1984 ซึ่งการทำงานทุกอย่างนั้นแตกต่างจาก MS-DOS อย่างสิ้นเชิง เพราะมันทำงานผ่านกราฟฟิก และขับเคลื่อนด้วยการ input ข้อมูลแบบใหม่ผ่านเมาส์นั่นเอง

เครื่อง Macintosh ของ Apple ที่เปิดโลกสู่หน้าจอ interface รูปแบบใหม่ (CR:Ars Technica)
เครื่อง Macintosh ของ Apple ที่เปิดโลกสู่หน้าจอ interface รูปแบบใหม่ (CR:Ars Technica)

ซึ่งแน่นอนว่าเครื่อง Mac นั้นประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น แต่ปัญหาคือเรื่องของ Software ที่มีอยู่อย่างมากมายในตลาดในขณะนั้นยังไม่มาเข้าร่วมกับเครื่อง Macintosh ของ Apple ซึ่งเป็นระบบปิดอยู่

ซึ่งเบื้องหลังนั้น Microsoft ก็ได้ร่วมงานกับ Apple เพื่อช่วยกันผลักดันระบบปฏิบัติการที่เป็นกราฟฟิกให้แจ้งเกิดขึ้นมาให้ได้ ซึ่ง Microsoft ก็ได้สร้างโปรแกรม Microsoft Word และ Excel ที่เป็นระบบกราฟฟิกครั้งแรกให้กับ Macintosh นี่เอง

แต่ความคิดของ Apple นั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง Jobs ไม่ยอมให้ผู้อื่นผลิต Hardware มาใช้ร่วมกับ Apple โดยเด็ดขาด ซึ่งเป็นแนวคิดที่ล้าสมัยมากในขณะนั้น และหากผู้ใช้ต้องการใช้ระบบปฏิบัติการ Mac ก็ต้องซื้อคอมพิวเตอร์จาก Apple เท่านั้น

ซึ่งการที่ Apple เป็บระบบปิด ไม่สามารถเชื่อมต่อกับใครได้ software ก็รันของตัวเอง ก็ทำให้ครองส่วนแบ่งการตลาดได้น้อยมาก ๆ แม้จะวางจำหน่าย Macintosh พร้อมระบบ Inteface ใหม่ซึ่งมาพร้อมกับเม้าส์ที่ถือได้ว่าเป็นการปฏิวัติวงการในขณะนั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าสุดท้ายแล้ว Apple เป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ ไปเลยเมื่อเทียบกับตลาด PC ที่ IBM ครองตลาดอยู่ในตอนนั้น

ส่วนฟากฝั่งของ IBM นั้น เมื่อยอดขายของ PC เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ก็ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะย้อนกลับมาทำร้ายธุรกิจหลักของตัวเอง เพราะผู้ซื้อ PC ส่วนมากนั้นก็เป็นลูกค้าเก่าแก่ของ IBM แทบจะทั้งสิ้น ซึ่งเดิมทีนั้น IBM คิดว่า PC จะขายได้แต่ในตลาดผู้ใช้งานระดับล่างเพียงเท่านั้น

แต่เนื่องจากตัว Microprocessor ที่มีสมรรถนะที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ IBM จึงต้องเริ่มชะลอโครงการพัฒนา PC เพื่อป้องกันไม่ให้ไปทำลายตลาดเมนเฟรมซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ IBM ในยุคนั้น

แม้ในธุรกิจเมนเฟรมนั้น IBM จะคอนโทรลทุกอย่างได้ ทั้ง Hardware และ Software ที่ IBM นั้นผลิตขึ้นมาเองแทบจะทั้งหมด แต่ในตลาด PC ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว IBM ไม่สามารถโก่งราคา PC ได้ เพราะคู่แข่งสามารถสร้าง PC ที่มีคุณสมบัติเหมือนที่ IBM สร้างได้ในราคาที่ถูกกว่าเป็นอย่างมาก

และนี่เองเป็นเหตุให้เกิดแบรนด์น้องใหม่อย่าง Compaq ซึ่งมาเปลี่ยนเกมธุรกิจ PC ไปอย่างสิ้นเชิง โดย Compaq ได้เริ่มทำการผลิตตัว Compaq Portable ตัวแรกออกมา โดยใช้วิธีการ Reverse Engineer หรือ วิศวกรรมย้อนกลับจาก IBM PC  เนื่องจาก IBM ขณะนั้นประสบความสำเร็จ และขายได้ติดตลาดไปแล้ว แค่ทำทุกอย่างให้สามารถ Run Software ของ IBM ได้ทั้งหมด ก็จะเข้าถึงตลาดขนาดมหาศาลที่ IBM ได้เริ่มเปิดตลาดไว้แล้ว

Compaq แบรนด์น้องใหม่ที่ได้มาเปลี่ยนเกมธุรกิจ PC ไปอย่างสิ้นเชิง (CR:Chron)
Compaq แบรนด์น้องใหม่ที่ได้มาเปลี่ยนเกมธุรกิจ PC ไปอย่างสิ้นเชิง (CR:Chron)

ซึ่งแม้ IBM นั้นมักจะได้สิทธิ์ Exclusive กับ Chip ของบริษัท intel อยู่เสมอ แต่สำหรับ Chipset 386 นั้นถือเป็นครั้งแรกที่ IBM ถูกปฏิเสธโดย intel ซึ่ง Chipset 386 นั้นถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่ รวมถึงเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานของ Chip ที่ ทำให้การทำงานของ PC ก้าวกระโดดไปอีกขั้น

เมื่อ intel ไม่ได้ Exclusive ตัว Chip 386 กับ IBM แล้ว  Compaq ก็เร่งในการสร้างผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่ใช้ Chipset 386 เพื่อออกสู่ตลาดให้เร็วที่สุด ก่อนหน้าที่ IBM จะออกตลาด เพราะตอนนั้น IBM ก็ดูจะยังตัดสินใจได้ไม่ชัดเจนว่าจะเอายังไงกันแน่กับตลาด PC

ซึ่งไม่เพียงแค่ Chipset intel 386 เท่านั้น เมื่อ Compaq ออกผลิตภัณฑ์อย่าง Desktop386 พวกเขาได้ร่วมมือกับ Microsoft ของ Bill Gate ที่ยอมให้ระบบปฏิบัติการของพวกเขาสามารถรันได้บน Compaq แบบที่ว่าไม่ต้องไปทำการ Copy Chip Code ใด ๆ จาก IBM อีกต่อไป  เป็นการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างสิ้นเชิง และสามารถที่จะปลดแอกจาก IBM ได้ในที่สุด

การฆ่าตัวตายของ IBM

การแก้เกมของ IBM คือ ต้องมีการออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด เพื่อไม่ให้ Compaq สามารถลอกเลียนแบบได้ โดยออกระบบปฏิบัติการใหม่คือ PS/2 ที่ยากที่คู่แข่งจะเลียนแบบ ซึ่งต้องบอกว่า IBM ต้องการฆ่าทุกคนในธุรกิจนี้เลยก็ว่าได้แม้กระทั่ง Microsoft เองก็ตาม

แต่หารู้ไม่ การสร้างระบบปฏิบัติการใหม่ที่ไม่สามารถเข้ากับผลิตภัณฑ์ตัวเดิมของ IBM ได้เลยนั้น ถือเป็นการฆ่าตัวตายของ IBM เอง เพราะองค์กรใหญ่หลาย ๆ องค์กรในสหรัฐนั้น ได้สั่งซื้อเครื่อง computer ของ IBM ไปเป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่งหากต้องการเปลี่ยนต้องมีการเปลี่ยนแบบยกองค์กรต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ทำให้องค์กรหลาย ๆ องค์กรไม่ต้องการซื้อ PS/2 ของ IBM เพราะต้องมาเริ่มเรียนรู้กันใหม่หมด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่มหาศาลมาก ๆ

เหมือนยื่นดาบให้ศัตรูมาฆ่าตัวเองเลยก็ว่าได้สำหรับ IBM ชัดเจนว่า ต่อจากนี้ ตลาด PC นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว IBM ไม่ได้เป็นผู้กำหนดตลาดอีกต่อไป ซึ่งหลังจากนั้นได้มีการรวมตัวของผู้ผลิต PC ขนาดใหญ่จำนวน 9 ราย และได้มีการเจรจากับ Bill Gate และพัฒนามาตรฐานของพวกเค้าเองในชื่อ EISA (Extended Industry Standard Architecture) โดยที่ไม่เกี่ยวข้องใด  ๆ กับ IBM อีกต่อไป เป็นการถีบ IBM ออกจากตลาด PC อย่างเป็นทางการนับจากนั้นเป็นต้นมา

การเปลี่ยนผ่านสู่ยุค Graphical User Interface

หลังจากเห็นความสำเร็จของ Macintosh กับระบบปฏบัติการใหม่ที่เป็นกราฟฟิก Microsoft ก็ได้เริ่มพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเองที่ใช้รูปแบบของกราฟฟิก และ ใช้การ input ข้อมูลด้วยเม้าส์แบบเดียวกับที่ Macintosh ทำ

ซึ่งระบบปฏิบัติการดังกล่าวถูกตั้งชื่อว่า “Windows” โดยเป็นการขยายความสามารถของ MS-DOS และให้ผู้ใช้งานใช้เม้าส์สั่งงานผ่านภาพกราฟฟิกที่ปรากฏบนหน้าจอ ซึ่ง Windows มาจากการที่มีหน้าต่างหลาย ๆ หน้าต่าง แต่ละหน้าต่างจะใช้กับโปรแกรมที่แตกต่างกันออกไปนั่นเอง

เป้าหมายใหญ่ของ Microsoft ก็คือการสร้างมาตรฐานแบบเปิด และนำการสั่งงานด้วยภาพกราฟฟิกมาใช้ในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ใช้ระบบปฏิบัติการ MS-DOS ที่ในขณะนั้นได้แพร่หลายไปทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และเนื่องจากการที่ตอนนั้นมีผู้ผลิตคอมพิวเตอร์กว่าพันรายทั่วโลก ทำให้ลูกค้าทั่วไปที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมีตัวเลือกมากมาย แต่ Microsoft ได้นำเสนอความสามารถในการทำงานร่วมกันได้กับทุกผู้ผลิต

และเหล่าผู้ผลิต Software ที่เกี่ยวข้องที่ตอนนั้นกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่มาก ๆ นับแสนราย แทบจะไม่ต้องกังวลว่า Software ของตนจะนำไปเล่นในเครื่องรุ่นใด แบบใด เพราะ Windows ของ Microsoft นั้นเปิดรับให้กับผู้ผลิตทุกรายนั่นเอง

แม้ตัว Gates เองจะมองว่าความสำเร็จของ Windows นั้นอาจจะต้องใช้เวลาอีกนาน ใน Windows เวอร์ชั่นแรก ๆ นั้น ต้องใช้กับเครื่องที่มีหน่วยความจำสูงซึ่งมีราคาแพงและยังต้องใช้งานร่วมกับโปรแกรมหลายตัว

หลังจากที่ทำการปล่อย Windows 1.0 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการแบบ 16 bit ที่มีกราฟฟิก ตัวแรกของ Microsoft โดยออกวางขายในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1985 วางขายในรูปแบบของ Floppy Disk โดยผู้ใช้ต้องลง DOS ก่อน แล้วลง Windows 1.0 ตามอีกที โดยสามารถรันโปรแกรมของ MS-DOS ได้แบบ Multitasking โปรแกรมที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 1.0 เช่น Calculator, Calendar, Clock, Notepad, Paint เป็นต้น

Windows 1.0 ที่มาพร้อมโปรแกรมมากมาย (CR:Wikipedia)
Windows 1.0 ที่มาพร้อมโปรแกรมมากมาย (CR:Wikipedia)

ซึ่งหลังจากปล่อย Windows ออกมานั้น ก็มีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับระบบปฏิบัติการใหม่อย่าง Windows ในเมื่อ MS-DOS มันใช้งานได้ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องมีโปรแกรมมาเขียนซ้อนลงไปบน MS-DOS แล้วใครจะเสียเวลาทำงานกับระบบกราฟฟิกซึ่งกระแสต่อต้านเหล่านี้มีอยู่หลายปีกว่า Windows จะประสบความสำเร็จ

ความสำเร็จของ Windows นั้นมีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดย Microsoft พยายามเติมความสามารถใหม่ ๆ เข้าไปอย่างต่อเนื่องให้กับ Windows เพื่อลบคำสบประมาทเหล่านี้

และที่สำคัญยังเปิดให้เหล่าผู้ผลิต Software ทั่วโลกทุกรายสามารถเขียนโปรแกรมเพื่อทำงานบน Windows โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งหรือขออนุญาติจาก Microsoft ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Macintosh ของ Apple ที่เป็นระบบปิด

Gates นั้นเปิดเสรีเต็มที่ในด้านการพัฒนา Software เพื่อให้ทำงานกับ Windows มันเป็นการเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรม Software ให้ยกระดับจากหน้าจอ Terminal แบบเดิม ๆ ให้กลายมาเป็นระบบกราฟฟิกทั้งหมด ซึ่งแม้จะเป็นโปรแกรมที่มาแข่งกับ Microsoft เอง Gates ก็ไม่เคยโกรธเคืองแต่อย่างใด เขาเพียงต้องการให้อุตสาหกรรม Software ไปในทิศทางที่เขาคิดไว้เท่านั้น

Microsoft นั้นไม่เคยหยุดพัฒนาเพราะรู้ว่าคู่แข่งแต่ละรายนั้นไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น Macintosh , Unix หรือ OS/2 ของ IBM เองก็ตาม Microsoft จะปรับปรุงให้ Windows รุ่นใหม่ ๆ ของเขาดึงดูดใจต่อผู้บริโภคมากที่สุด ทั้งในด้านของราคาและประโยชน์การใช้สอยเองก็ตามที

และในปี 1993 Microsoft ได้ปล่อย Windows 3.11 ออกสู่ตลาด ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจาก Windows 3.1 โดยเสริมคุณสมบัติระบบ network และการสร้าง Protocol TCP/IP ที่ช่วยทำให้เครื่อง PC สามารถใช้งานได้ในระบบ Network และคอมพิวเตอร์แบบ Home user สามารถติดต่อผ่านเครือข่าย Internet นับเป็นการเปิดโลกใหม่ให้กับ PC ในแบบที่ไม่มี Windows ตัวไหนทำได้มาก่อนนั่นเอง

ซึ่งสุดท้ายด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนสามารถครองใจผู้บริโภคทั่วโลกได้สำเร็จ ก็ทำให้ Windows นั้นกลายเป็นระบบปฏิบัติการหลักที่มีผู้ใช้งานกันทั่วโลก กลายเป็นมาตรฐานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้สำเร็จอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

Operation Bear Hug กับหนึ่งในการตัดสินใจทางธุรกิจครั้งสำคัญที่สุดที่พลิกบริษัท IBM

ในช่วงทศวรรษที่ 1990 IBM กำลังประสบกับวิกฤติ พวกเขาได้สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดทั้งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและหัวใจหลักของธุรกิจอย่างคอมพิวเตอร์เมนเฟรม จนใกล้จะล้มละลายเต็มที

Louis V. Gerstner ชายที่เคยเป็นอดีตที่ปรึกษาของ McKinsey และเป็น CEO ของ American Express แทบไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจทางด้านเทคโนโลยี ถูกเรียกตัวให้มากอบกู้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของโลกอย่าง IBM

Gerstner ไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกที่จะมากอบกู้บริษัทอย่าง IBM ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดยักษ์ในยุคนั้น เขาไม่ใช่นักเทคโนโลยี เป็นเพียงที่ปรึกษาด้านการจัดการให้กับ McKinSey และเคยเป็นผู้ออกบัตรเครดิต American Express

ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของเขายังเป็นผู้นำในการฟื้นตัวของบริษัทผลิตบุหรี่และคุกกี้ RJR Nabisco บริษัท IBM ที่เขากำลังจะเข้าร่วมมีภาระใหญ่ที่หนักอึ้งมาก ๆ เพราะกำลังสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งเทรนด์ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังเติบโตและแอปพลิเคชั่นรูปแบบใหม่ที่มีแนวคิดที่ตรงกันข้ามอย่างชัดเจนกับคอมพิวเตอร์เมนเฟรมแบบรวมศูนย์ของ IBM

Gerstner ที่เคยเป็นผู้บริหารบริษัทผลิตบุหรี่และคุกกี้ อย่าง RJR Nabisco (CR:Fortune)
Gerstner ที่เคยเป็นผู้บริหารบริษัทผลิตบุหรี่และคุกกี้ อย่าง RJR Nabisco (CR:Fortune)

ราคาหุ้นของ IBM ลดลงจาก 43 ดอลลาร์ในปี 1987 เหลือเพียงแค่ 12 ดอลลาร์ในช่วงต้นปี 1990 ซึ่ง ณ เวลานั้น Gerstner เพิ่งได้พบกับผู้ถือหุ้น IBM เป็นครั้งแรก

การเดิมพันของ IBM กับ Gerstner ต่างได้รับการเย้ยหยันจากคนในวงการ ทุกคนต่างมองว่า IBM ไม่น่าจะรอด Gerstner ขาดความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์

สื่อถึงขึ้นออกมาประโคมข่าวว่า Gerstner เป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาด้านการจัดการให้กับ IBM ได้เท่านั้น ซึ่งมันตรงกันข้ามกับวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่หรือผลิตภัณฑ์สุดล้ำที่บริษัทสามารถทำได้ในยุคก่อนหน้า

หนึ่งสัปดาห์หลังจากเข้ามารับตำแหน่งที่ IBM Gerstner ได้พบกับกลุ่มลูกค้าชั้นนำ และอธิบายมุมมองของเขา

“ผมเป็นลูกค้าของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศมานานก่อนที่ผมจะกลายมาเป็นพนักงานของ IBM ในขณะที่ผมไม่ใช่นักเทคโนโลยี แต่ผมเชื่ออย่างแท้จริงว่าเทคโนโลยีสารสนเทศจะเปลี่ยนแปลง ทุก ๆ สถาบันในโลก”

Gerstner รู้สึกตกใจกับสิ่งที่เขาค้นพบที่ IBM เขาพบว่าบริษัทมีระบบการเมืองและทำตัวเชื่องช้าเหมือนกับหน่วยงานราชการ เขามองเห็นเหล่าผู้บริหารต่างแก่งแย่งชิงดีกันเองมากกว่าที่จะแสดงถึงความกังวลต่อลูกค้าที่กำลังหนีหายออกไปเรื่อย ๆ

ในเวลานั้นเหล่าผู้บริหารของ IBM ต่างมีผู้ช่วยที่เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง แต่กลายเป็นว่าคนหนุ่มเหล่านี้กลับเพียงแค่เตรียมการนำเสนอสไลด์ผลิตภัณฑ์แบบละเอียดยิบ แต่แทบไม่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้าเอาเสียเลย

Gerstner เข้าใจดีว่าการฟังลูกค้าถือเป็นกุญแจสำคัญในการปรับเปลี่ยนทิศทางของธุรกิจใหม่ ในการพบปะผู้บริหารระดับสูง 50 คนที่ IBM Gerstner ได้สั่งให้พวกเขาแต่ละคนไปเยี่ยมลูกค้ารายใหญ่อย่างน้อยห้ารายในช่วงสามเดือนแรก

Gerstner ต้องการให้ผู้บริหารของเขาตั้งใจฟังให้มากพอที่จะรายงานสิ่งที่ค้นพบให้เขาทราบได้โดยตรง เขาต้องการรายงานสั้น ๆ เพียงแค่หนึ่งหน้า สูงสุดไม่เกินสองหน้า ซึ่ง Gerstner เรียกปฏิบัติการดังกล่าวว่า “Operation Bear Hug”

เมื่อได้รับรายงานก็จะมีการส่งไปยังทีมงานอื่น ๆ ในองค์กรของ IBM ที่สามารถจะช่วยแก้ปัญหานั้น ๆ ได้ Operation Bear Hug นั้นถือเป็นก้าวแรกในการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรรมองค์กรของ IBM ซึ่ง Gerstner มองว่า ไม่เพียงแค่ IBM จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยมุมมองจากภายนอกเข้ามาเพียงเท่านั้น แต่เขายังให้ความสนใจกับสิ่งที่เหล่าผู้บริหารทำและให้พวกเขารับผิดชอบเป็นการส่วนตัวอีกด้วย

เรียกได้ว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ยิงเข้าไปตรงจุดของ IBM ที่ก่อนหน้านี้มีปัญหาอย่างชัดเจน เพราะ Operation Bear Hug นั้นสามารถบรรลุวัตถุประสงค์สามประการ คือ ทำให้ IBM กลับสู่รากเหง้าเดิมที่มุ้งเน้นไปที่ลูกค้า ทำให้ Gerstner มีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจ และ ทำให้ ซีอีโอคนใหม่ เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้นำคนเก่าของ IBM ที่เขาได้สืบทอดตำแหน่งมา

มันช่วยให้ Gerstner สามารถวิเคราะห์ถึงการตัดสินใจของผู้บริหารคนเก่าก่อนที่เขาจะมาถึง ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปตอนที่ Gerstner เดินเข้าประตูที่ IBM ในตอนแรก สถานการณ์ ณ ตอนนั้น IBM เตรียมที่จะเลิกกิจการแล้วเสียด้วยซ้ำ

สิ่งที่ Gerstner ได้ยินจากลูกค้าที่เขาพบ ควบคู่ไปกับรายงานของ Bear Hug และประสบการณ์ของเขาเองที่ American Express ทำให้เขาได้ข้อสรุปที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

สิ่งที่ Gerstner ทำแม้จะเป็นสิ่งง่าย ๆ แต่มันทำให้ IBM มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เดิมทีที่แต่ละแผนกต่างรู้สึกแตกแยก แต่ตอนนี้พวกเขาได้รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นแผนก คอมพิวเตอร์เมนเฟรม คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ดิสก์ไดรฟ์ ซอฟต์แวร์ และ ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทำให้คนในองค์กรรู้ว่า คู่แข่งยังตามหลังพวกเขาอยู่มาก

ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจเมนเฟรมที่ IBM คิดค้นและครอบครองตลาดมานานหลายปีสามารถทำกำไรได้อีกครั้ง หลังจากที่มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์โดยไม่ได้ปรับราคาให้สูงเว่อร์จนคู่แข่งสามารถเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดไป

ธุรกิจเมนเฟรมที่ IBM คิดค้นและครอบครองตลาดมานานหลายปี (CR:The Newyork Times)
ธุรกิจเมนเฟรมที่ IBM คิดค้นและครอบครองตลาดมานานหลายปี (CR:The Newyork Times)

Gerstner มองว่า IBM นั้นจะเป็นผู้ให้บริการแบบเต็มรูปแบบเพียงรายเดียวในอุตสาหกรรมนี้ แต่สิ่งที่สามารถรวบรวมข้อมูลได้จากลูกค้าก็คือพวกเขาต้องการให้ IBM เป็นบริษัทที่ให้บริการโซลูชั่นแบบครบวงจร

ก่อนหน้าที่ Gerstner จะเข้ามากุมบังเหียนนั้น ผู้บริหารคนเก่า ๆ ต่างมุ่งเน้นไปที่ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แบบสะเปะสะปะ และพลาดการให้ความสำคัญกับ “โซลูชั่น”

ยุคถัดไป IBM จะเปลี่ยนความสำคัญทั้งหมดไปที่การจัดหา “โซลูชั่น” ที่มีอัตรากำไรสูง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของการให้คำปรึกษา และ โครงการบูรณาการทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้ IBM แตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน

ด้วยการให้ความสำคัญกับลูกค้า Gerstner ยังได้ปลูกฝังนวัตกรรมบางอย่างที่เป็นแนวทางปฏิบัติมาตรฐานของ IBM มาจวบจนถึงปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงการประชุมสภา CIO กลุ่มหัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านสารสนเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของ IBM ซึ่งจะมีการรวมตัวกันเป็นระยะเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมและวิธีที่สินค้าและบริการของ IBM สามารถช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้

Operation Bear Hug ของ Gerstner นั้นได้ถูกสรุปเรื่องราวของความสำเร็จกับสิ่งที่เกิดขึ้นไว้ว่า “Louis V. Gerstner ได้กำหนดแซนด์บ็อกซ์ของเขาและเป็นแซนด์บ็อกซ์ที่ใหญ่มากและเป็นแซนด์บ็อกซ์ที่เหมาะสมมากสำหรับ IBM” Andy Grove จาก Intel กล่าวกับ Fortune ไว้ในปี 1997

References :
หนังสือ FORTUNE The Greatest Business Decisions of All Time: How Apple, Ford, IBM, Zappos, and others made radical choices that changed the course of business โดย Verne Harnish
https://moneycrown.wordpress.com/2015/07/20/the-1993-2002-turnaround-of-international-business-machines-corporation-ibm-by-louis-gerstner/

ยุค AI แล้วไง? เมื่อโลกเรากำลังเข้าสู่ยุคทองของคนทำงาน

ต้องบอกว่าแม้ยุค AI กำลังจะบูมถึงจุดสูงสุด เทคโนโลยีอย่าง Generative AI กำลังเข้ามาแย่งงานจากผู้คนจำนวนมากในหลากหลายอาชีพ แต่ยุคทองของการทำงานจริง ๆ กำลังจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะงานที่ใช้แรงงานทางกายภาพซึ่งยากต่อการถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี

รายงานจาก World Economic Forum แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าเครื่องจักร AI จะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงาน 85 ล้านตำแหน่งในปี 2025 แต่ก็จะมีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้นมา 97 ล้านตำแหน่งในปีเดียวกัน

ย้อนกลับไปในยุคพีคที่สุดของการย้ายฐานการผลิตในปี 2015 ในช่วงที่ประชากรวัยทำงานจากประเทศจีนอยู่ในระดับจุดสูงสุดถึง 998 ล้านคน

บริษัทจากโลกตะวันตกส่วนใหญ่ต่างข่มขู่แรงงาน ขูดรีดเงินเดือน ค่าจ้างอย่างไม่เป็นธรรม โดยขู่ว่าจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศจีน เพื่อบีบค่าแรงให้ต่ำลง

แต่ตัดภาพมาถึงวันนี้ ประชากรวัยทำงานของจีนกำลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ก็ประสบปัญหาในการสร้างขีดความสามารถทางด้านอุตสาหกรรม

ความไม่แน่นอนโดยเฉพาะปัญหาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ทำให้การจ้างงานในต่างประเทศลดน้อยลง โลกตะวันตกเองกำลังเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก โดยเฉพาะจำนวนประชาการที่มีอายุระหว่าง 20-54 กำลังสูญหายไป

การสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ใน 41 ประเทศโดย ManPowerGroup พบว่า 77% ของบริษัทส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานเพิ่มขึ้น 2 เท่านับตั้งแต่ปี 2015

สองในสามของโรงงานอุตสาหกรรมในโปแลนด์มีการรายงานว่าปัญหาการขาดแคลนแรงงานเป็นหนึ่งในอุปสรรคหลักต่อการผลิต

ในเยอรมนี บริการขนส่งสาธารณะถูกลดจำนวนลงไปเพราะขาดพนักงานขับรถและพนักงานรถไฟ ในเกาหลีใต้ผู้สูงอายุจำนวนมากยังคงทำงานต่อเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดแคลนแรงงาน โดย 59% ของประชากรอายุ 55 ถึง 79 ปี ยังคงทำงาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 53% เมื่อ 10 ปีที่แล้ว

การสำรวจบริษัทขนาดเล็กในอเมริกาพบว่า มากกว่า 90% พยายามรักษาพนักงานไว้หากเป็นไปได้ ในเยอรมนีที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะงักงันตั้งแต่ต้นปีที่แล้วมีการโฆษณารับสมัครงานที่ศูนย์จัดหางานกว่า 730,000 ตำแหน่ง ซึ่งใกล้เคียงกับสถิติสูงสุด

ส่วนใหญ่ของประเทศกลุ่ม OECD รวมถึงอเมริกาและฝรั่งเศส ต้องเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้เป็นไปตามอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา ในประเทศตะวันตกส่วนใหญ่มีการใช้จ่ายหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสีเขียว ลดการพึ่งพาจีน และสร้างงานใหม่ ๆ

ด้วยยุคทองของตลาดแรงงานกระตุ้นให้สหภาพแรงงานเรียกร้องวันหยุดที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนายจ้างต่างก็กังวลเป็นอย่างมาก ในขณะที่พวกเขากำลังประสบสภาวะขาดแคลนแรงงานอยู่แล้ว

คนงานเหล็กในเยอรมนีเรียกร้องให้ลดเวลาทำงานลงเหลือ 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในสเปนรัฐบาลใหม่ต้องตัดเวลาทำงานมาตรฐานที่ราว ๆ 40 ชั่วโมงลง 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งแม้แต่ชาวอเมริกันก็ต้องการทำงานน้อยลง

เทคโนโลยีกับตลาดแรงงาน

นายจ้างหลายรายหวังว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะช่วยแบ่งเบาภาระของพวกเขา เทคโนโลยี AI สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้มากยิ่งขึ้น การใช้ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่เมื่อก่อนอาจจะเป็นข้อจำกัดของเทคโนโลยีเหล่านี้

Dean Alderucci จากมหาวิทยาลัย คาร์เนกี้ เมลอน และเพื่อนร่วมงานได้ใช้ข้อมูลจากสิทธิบัตรอเมริการะหว่างปี 1990 ถึง 2018 พบว่าบริษัทที่นำ AI ขั้นพื้นฐานมาใช้มีอัตราการเติบโตของการจ้างงานสูงขึ้น 25% และรายได้เพิ่มขึ้น 40%

หากเทคโนโลยีช่วยเหลือพนักงานบริการ เช่น ในศูนย์ Call Center ทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นทำให้ประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของลูกค้าสูงขึ้นด้วย

งานวิจัยใหม่โดย Erik Brynjolfsson จาก MIT พบว่าเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากบอท AI พนักงานเหล่านี้สามารถแก้ไขปัญหาได้มากขึ้นถึง 14% ต่อชั่วโมง โดยพนักงานที่มีผลงานต่ำ ๆ จะได้รับประโยชน์จากเครื่องมือเหล่านี้มากที่สุด

พนักงานบางกลุ่มจะได้รับประโยชน์จาก AI มากกว่า เช่น แพทย์หรือทนายความ ซึ่งต้องมีการตัดสินใจระดับสูงที่มีความเสี่ยงในสถานการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งมันอาจไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเสมอไป การตัดสินใจเหล่านี้จึงต้องการการฝึกฝนอย่างหนักและประสบการณ์ ซึ่ง AI อาจช่วยคนเหล่านี้ไปถึงระดับความเชี่ยวชาญที่จำเป็น

ซึ่ง AI จะนำพาผู้คนจำนวนมากเข้าสู่งานที่ต้องการความเชี่ยวชาญที่ได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น จินตนาการว่าพยาบาลสามารถที่จะช่วยเหลือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้มากยิ่งขึ้น หรือ โปรแกรมเมอร์มือใหม่ที่สามารถรับงานโหด ๆ ได้มากขึ้นพร้อมกับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น

ค่าตอบแทนน้อยลงแต่ได้รับผลผลิตที่สูงขึ้น

ต้องบอกว่าคนงานในงานที่ได้รับผลกระทบจาก AI อาจะได้รับประโยชน์จากผลผลิตที่สูงขึ้นของพวกเขา เพราะสามารถรับจำนวนลูกค้าได้มากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะได้รับค่าตอบแทนจากงานแต่ละงานน้อยลงไปก็ตาม

ผลผลิตที่สูงขึ้นนำไปสู่อุปสงค์ที่มากขึ้นในส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น หากมีหุ่นยนต์ที่ทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ในการผลิตโทรศัพท์มือถือ การใช้หุ่นยนต์ก็จะนำไปสู่โทรศัพท์ที่มีราคาถูกลง

อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น และการผลิตที่มากขึ้นส่งผลต่อจำนวนงานของเหล่านักออกแบบโทรศัพท์และนักเขียนแอปพลิเคชั่นที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย

การศึกษาล่าสุดโดย Daron Acemoglu จาก MIT โดยใช้ข้อมูลระหว่างปี 2009 ถึง 2020 พบว่าการใช้หุ่นยนต์หมายความว่าค่าจ้างจะเพิ่มสูงขึ้นสำหรับเหล่าคนงานที่ไม่ได้ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ และประโยชน์เหล่านี้ยังแพร่กระจายไปยังบริษัทอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

บทสรุป

เศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยีอย่าง AI ทำให้มีกิจกรรมที่ไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ระหว่างปี 1980 ถึง 2010 ประมาณครึ่งหนึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจมาจากการเติบโตของการจ้างงาน หรือสร้างงานใหม่ ๆ แม้ว่า AI จะแย่งงานบางอย่างไป งานใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ AI และในส่วนอื่นๆ ของระบบเศรษฐกิจ

ซึ่งทักษะที่จำเป็นในการทำงานใหม่ๆ เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นทักษะทางด้านเทคโนโลยีเสมอไป แต่เป็นทักษะที่ใช้ในการตอบโต้กับ AI ได้ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลอาจมองหาพยาบาลยุคใหม่ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องมือ AI

และการเปลี่ยนแปลงด้านประชากร โดยเฉพาะประชากรสูงอายุที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ แห่ง จะทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้แรงงานทางกายภาพ

ตราบใดที่นโยบายการคลังยังขยายตัว ความกดดันให้เพิ่มค่าจ้างจะดำเนินต่อไป ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการใช้ AI มากขึ้น ที่อาจเป็นการผลักดันค่าจ้างให้สูงขึ้นด้วย และสุดท้ายทุกคนจะได้ใช้ประโยชน์จาก AI มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/finance-and-economics/2023/11/28/welcome-to-a-golden-age-for-workers
https://www.makeuseof.com/reasons-artificial-intelligence-cant-replace-humans/
https://www.weforum.org/publications/the-future-of-jobs-report-2020/in-full/executive-summary/