Cathie Wood ผู้หญิงที่ Wall Street กลัว จากครอบครัวผู้อพยพสู่เส้นทางราชินีหุ้นเทค

ในโลกการเงินที่มักถูกครอบงำโดยผู้ชาย มีผู้หญิงคนหนึ่งที่กล้าท้าทายกฎเกณฑ์เดิมๆ และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการ เธอคือ Cathie Wood ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ ARK Investment Management บริษัทจัดการกองทุนที่เน้นลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก แต่ก่อนที่เธอจะมาถึงจุดนี้ได้ เธอต้องผ่านการต่อสู้และความท้าทายมากมาย

จุดเริ่มต้นของ Cathie Wood เริ่มจากครอบครัวผู้อพยพชาวไอริชที่ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่ Los Angeles ในยุค 50s ช่วงเวลาที่เมืองนี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาเดือนละกว่า 3,000 คน พ่อของเธอรับราชการในกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในตำแหน่งวิศวกรเรดาร์ การที่ครอบครัวต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้งตามการโยกย้ายของพ่อ ทำให้ Cathie ได้เรียนรู้การปรับตัวและเปิดรับความคิดที่หลากหลายตั้งแต่เยาว์วัย

ตั้งแต่เด็ก Cathie มีความชื่นชมในตัวพ่อของเธออย่างมาก ซึ่งส่งผลให้เธอพัฒนาวิธีคิดแบบวิศวกร ชอบวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบและมองหาวิธีแก้ไขที่สร้างสรรค์ และด้วยความขยันและมุ่งมั่น เธอสามารถจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งและได้รับการตอบรับเข้าเรียนที่ University of Southern California

“การเป็นลูกของผู้อพยพในสหรัฐฯ ฉันรู้สึกกลัวมากตอนเข้ามหาวิทยาลัย เพราะฉันเป็นลูกคนโตและต้องแบกรับความคาดหวังของครอบครัว” Cathie เล่าถึงความรู้สึกในวันแรกที่ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ช่วงเวลานั้นเป็นยุคที่ครอบครัวชนชั้นกลางส่วนใหญ่ในอเมริกากำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเงิน อัตราการว่างงานทั่วรัฐพุ่งสูงถึง 9.3% มีชาวแคลิฟอร์เนียกว่า 920,000 คนที่ตกงาน

แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก Cathie ไม่เคยย่อท้อ เธอทำงานพาร์ทไทม์เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียน ในขณะที่ฝันอยากจะเดินตามรอยพ่อในสายงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่พ่อของเธอกลับมองเห็นอนาคตที่แตกต่างออกไป เขาแนะนำให้ลูกสาวเลือกเส้นทางธุรกิจ เพราะเชื่อว่าเธอจะประสบความสำเร็จได้มากกว่าในเส้นทางนี้

Cathie จึงตัดสินใจเลือกเรียนด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน ด้วยความหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้ในอนาคต ในฐานะลูกคนโตและคริสเตียนที่เคร่งครัด เธอตระหนักดีว่าการดูแลครอบครัวคือความรับผิดชอบสำคัญของเธอ

จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของ Cathie เกิดขึ้นเมื่อเธอได้เรียนกับ Arthur Laffer นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจากสำนัก Austrian school ผู้คิดค้นทฤษฎี Laffer Curve ที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอัตราภาษีและรายได้ภาครัฐ

Laffer เป็นที่ปรึกษาที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อแนวคิดของ Cathie โดยเฉพาะในเรื่องของการลดภาษีเพื่อกระตุ้นนวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

Arthur Laffer นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจากสำนัก Austrian school ผู้คิดค้นทฤษฎี Laffer Curve (CR:wikipedia)

“เขาเป็นที่ปรึกษาของฉันที่ USC และเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก เขาเป็นที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” Cathie กล่าวถึง Laffer ด้วยความชื่นชม แนวคิดของเขายังคงมีอิทธิพลต่อเธอจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่าการลดภาษีจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานวัตกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ด้วยความฉลาดและความขยันขันแข็ง Cathie กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นที่สุดในชั้นเรียน Laffer เห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในตัวเธอและช่วยแนะนำงานที่ Capital Group หนึ่งในบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงต้นทศวรรษ 1980

การเริ่มต้นอาชีพที่ Capital Group เปิดโอกาสให้ Cathie ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะในวงการการเงินอย่างรวดเร็ว หลังจากทำงานได้เพียงสามปี ความสามารถของเธอก็เป็นที่ประจักษ์จนได้รับการทาบทามให้ไปดำรงตำแหน่งหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ Jennison Associates บริษัทลงทุนแห่งใหม่ในนิวยอร์ก ขณะนั้นเธออายุเพียง 25 ปี

ช่วงที่ Cathie เข้าสู่ Wall Street เป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทศวรรษ 1970 ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ด้วยปัญหาเงินเฟ้อและการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นพร้อมกัน ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม

เมื่อประธานาธิบดี Reagan เข้ารับตำแหน่งในปี 1981 เขานำนโยบายเศรษฐกิจแนวใหม่มาใช้ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก

Henry Kaufman หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Solomon Brothers ผู้ได้ฉายาว่า “Dr. Doom” ถึงกับออกมาเตือนว่านโยบายของ Reagan จะทำให้อัตราดอกเบี้ยและค่าเงินดอลลาร์พุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง แต่ Cathie กลับมองเห็นโอกาสท่ามกลางวิกฤต หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เธอพบหลักฐานที่ขัดแย้งกับข้อกล่าวอ้างของ Kaufman

แม้จะเป็นผู้หญิงในวงการการเงินที่ผู้ชายเป็นใหญ่ในช่วงต้นทศวรรษ 80 และมักถูกเพิกเฉย แต่ Cathie ก็ไม่ย่อท้อ เธอยืนหยัดในจุดยืนของตัวเอง และเวลาก็พิสูจน์ว่าการวิเคราะห์ของเธอถูกต้อง

ภายในเดือนตุลาคม 1982 เงินเฟ้อลดลงเหลือเพียง 5% และอัตราดอกเบี้ยระยะยาวเริ่มปรับตัวลดลง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยอมผ่อนคลายนโยบายการเงินโดยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 9%

ความสำเร็จในการคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจทำให้อาชีพของ Cathie เติบโตอย่างก้าวกระโดดที่ Jennison Associates เธอไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการภายในปี 1998 หลังจากทำงานที่นั่น 18 ปี นับเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าเธอต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูลูกสามคนไปพร้อมกัน

ในช่วงปลายทศวรรษ 90 ซึ่งเป็นยุคที่ฟองสบู่ดอทคอมกำลังใกล้จะแตก Cathie ได้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัทเทคโนโลยีมากมาย เธอเริ่มมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจของตัวเอง ประกอบกับการเฟื่องฟูของเศรษฐกิจที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของกองทุนเฮดจ์ฟันด์รูปแบบใหม่ ที่มีโครงสร้างพิเศษเอื้อให้ผู้จัดการกองทุนสร้างความมั่งคั่งมหาศาล

โอกาสทองมาถึงเมื่อ Lulu Wang เพื่อนร่วมงานที่ Jennison Associates ชวน Cathie ร่วมก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งก็ต้องบอกว่า Wang เป็นตัวอย่างของความสำเร็จที่น่าทึ่ง จากการเป็นแม่บ้านธรรมดา เธอตัดสินใจกลับไปเรียนต่อปริญญาโทบริหารธุรกิจที่ Columbia และไต่เต้าจนกลายเป็นรองประธานบริหารที่ดูแลสินทรัพย์มากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์

ในปี 1998 ทั้งคู่จึงร่วมกันก่อตั้ง Tupelo Capital Management ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว สามารถระดมทุนได้ถึง 800 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2000 นับเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดที่บริหารโดยผู้หญิงในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม Cathie เริ่มตระหนักว่านี่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่แท้จริงของเธอ

Lulu Wang ที่ชวน Cathie มาก่อตั้งบริษัท (CR:MSNBC)
Lulu Wang ที่ชวน Cathie มาก่อตั้งบริษัท (CR:MSNBC)

ความหลงใหลที่แท้จริงของ Cathie อยู่ที่การค้นหาและลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลก ซึ่งมักถูก Wall Street ประเมินมูลค่าต่ำเกินไป หลังจากบริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้สามปี เธอตัดสินใจย้ายไปร่วมงานกับ Alliance Bernstein บริษัทกองทุนรวมชั้นนำ ที่นี่เธอได้รับมอบหมายให้ดูแลเงินกองทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์

ที่ Alliance Bernstein Cathie ใช้แนวทางการลงทุนแบบธีมาติก (Thematic Investment) มองหาโอกาสในที่ที่คนอื่นมองข้าม โดยเฉพาะในหุ้นขนาดเล็กที่มีศักยภาพการเติบโตสูง

ก่อนปี 2006 กองทุนของเธอทำผลงานได้ดีกว่าดัชนีอ้างอิงเกือบทุกปี แต่พอร์ตการลงทุนมีความผันผวนสูงเกินกว่าที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะยอมรับได้

วิกฤตการเงินโลกในปี 2008 เป็นบททดสอบครั้งสำคัญ หุ้น Penny Stock ที่เธอลงทุนมีราคาตกหนักกว่าดัชนี S&P 500 เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดที่แห้งเหือด นักลงทุนหลายรายเริ่มถอนเงินออกจากกองทุน ด้วยความกังวลเรื่องการสูญเสียลูกค้า ผู้บริหาร Alliance Bernstein จึงขอให้เธอปรับกลยุทธ์โดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนดัชนีเพื่อลดความผันผวน

แม้การถือครองกองทุนดัชนีจะช่วยลดความผันผวนได้ แต่ก็ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนลดลงด้วย ภายในปี 2014 ที่อายุ 54 ปี แม้จะมีความมั่งคั่งมากพอที่จะเกษียณได้อย่างสบาย แต่ Cathie กลับเลือกที่จะเริ่มต้นใหม่ ด้วยความเชื่อมั่นในพระเจ้าและวิสัยทัศน์ของตนเอง

จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงเมื่อ Bill Hwang นักลงทุนผู้มีชื่อเสียงและเป็นคริสเตียนที่ศรัทธาแรงกล้าเช่นเดียวกับ Cathie เข้ามาสนับสนุนวิสัยทัศน์ของเธอ

Hwang เป็นศิษย์เอกของ Julian Robertson นักลงทุนระดับตำนาน และสามารถสร้างกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของตนเองจนมีสินทรัพย์ 30 พันล้านดอลลาร์ภายในเวลาไม่ถึง 20 ปี เขาตัดสินใจให้เงินทุนตั้งต้นแก่ ETFs ที่ Kathy กำลังจะเปิดตัว

Cathie เล็งเห็นโอกาสในการสร้าง ETFs รูปแบบใหม่ที่ยังไม่มีในตลาด ในขณะที่อุตสาหกรรมการลงทุนกำลังเคลื่อนตัวไปสู่การลงทุนแบบ Passive หลังวิกฤตปี 2008 เธอกลับเชื่อมั่นในการบริหารแบบ Active โดยเฉพาะในการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก

สิ่งที่ทำให้ Cathie แตกต่างจากผู้จัดการกองทุนคนอื่นคือการใช้ประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Twitter และ Reddit เธอเลือกที่จะเปิดเผยงานวิจัยการลงทุนของเธอต่อสาธารณะ แทนที่จะปิดบังไว้เป็นความลับเหมือนที่ผู้จัดการกองทุนทั่วไปทำ แนวทางที่โปร่งใสนี้ทำให้เธอสร้างฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่งในหมู่นักลงทุนรายย่อย

จุดพลิกผันที่ทำให้ Cathie กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างคือการทำนายว่าราคาหุ้น Tesla จะเพิ่มขึ้น 1,100% ในช่วงที่บริษัทกำลังประสบปัญหาการผลิต Model 3 และ Elon Musk ต้องนอนในโรงงานเพื่อแก้ปัญหา แม้จะถูกเย้ยหยันจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ แต่ภายในปี 2021 Tesla ก็ทำราคาได้เกินเป้าหมายที่เธอทำนายไว้ล่วงหน้าถึงสองปี

การระบาดของ COVID-19 ในปี 2020 กลายเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดการเงิน รัฐบาลสหรัฐฯ อัดฉีดเงินหลายล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ประกอบกับการเข้าถึงแพลตฟอร์มการเทรดที่ง่ายขึ้น ทำให้นักลงทุนรายย่อยมีพลังมากขึ้นกว่าที่เคย Cathie ซึ่งมักถูก Wall Street มองข้าม กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม

ในช่วงการระบาด กองทุน ARK ของ Cathie เติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากการลงทุนในบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนในยุค New Normal เช่น การทำงานทางไกล การซื้อของออนไลน์ และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทาย

ต้นปี 2021 กองทุน ARK ประสบกับการถอนเงินกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์และมูลค่าตลาดลดลง 14% แต่ Cathie ยังคงยืนหยัดในความเชื่อของเธอ เธอมองว่าความผันผวนเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในนวัตกรรม และความเสี่ยงที่แท้จริงอยู่ที่การยึดติดกับอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมที่กำลังถูกเทคโนโลยีใหม่เข้ามาทำลาย

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ Cathie จะมีความเชื่อมั่นสูงในวิสัยทัศน์ของเธอ แต่เธอก็ยังคงรักษาวินัยในการลงทุนอย่างเคร่งครัด เช่น การจำกัดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งไม่ให้เกิน 10% ของพอร์ต และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนการลงทุนเมื่อพื้นฐานของธุรกิจเปลี่ยนแปลง

ปัจจุบัน Cathie Wood ยังคงเป็นบุคคลที่สร้างความขัดแย้งในวงการการเงิน แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเธอได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการลงทุน เรื่องราวของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้หญิง ที่ต้องการท้าทายระบบเดิมและสร้างการเปลี่ยนแปลงในโลกการเงิน

เส้นทางของ Cathie Wood จากเด็กผู้อพยพสู่การเป็นผู้นำด้านการลงทุนในนวัตกรรม แสดงให้เห็นว่าด้วยความมุ่งมั่น ความกล้าที่จะแตกต่าง และความสามารถในการปรับตัว เราสามารถประสบความสำเร็จได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายที่สุด

เธอไม่เพียงสร้างความสำเร็จให้ตัวเอง แต่ยังเปิดทางให้คนรุ่นใหม่กล้าที่จะคิดต่าง และท้าทายสถานะเดิมในโลกการเงิน นับเป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ความสำเร็จไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำตามกรอบที่มีอยู่ แต่บางครั้งการกล้าที่จะออกนอกกรอบต่างหากที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่

iPod อัศวินผู้กู้ชีพ Apple : จากขอบเหวสู่ผลิตภัณฑ์พลิกชะตาบริษัท

“พันเพลงในกระเป๋าของคุณ” – นี่คือคำกล่าวอันโด่งดังของ Steve Jobs ในงานเปิดตัวของ Apple เมื่อปี 2001 เขาได้ชูอุปกรณ์สีขาวขนาดเท่ากับสำรับไพ่ที่สามารถเก็บและเล่นเพลงได้ทั้งคลังเพลงโดยไม่มีสะดุด ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงในยุคนั้น เพราะเครื่องเล่น MP3 แบบ Flash ทั่วไปจะเก็บเพลงได้เพียง 20-30 เพลงเท่านั้น แต่ Apple สัญญาและส่งมอบเครื่องเล่นที่เก็บเพลงได้พันเพลงในรูปแบบของ iPod

ผมว่าหลายคนคงเคยเป็นเจ้าของ iPod รุ่นใดรุ่นหนึ่งและมีความทรงจำที่ดีกับมัน คงจะกล่าวไม่เกินเลยว่าผลิตผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยพลิกฟื้นบริษัทจากขอบเหว

iPod รุ่นแรกนั้นบุกเบิกในแง่ของการออกแบบที่เรียบง่ายและฟังก์ชันการใช้งานที่ง่ายดาย แต่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า iPod ถูกออกแบบและผลิตในเวลาเพียงไม่กี่เดือน และ Apple ได้ให้เครดิตแนวคิดของ iPod แก่ชายผู้ไม่เป็นที่รู้จักนามว่า Ken Kramer

เรื่องราวการสร้าง iPod รุ่นแรกเริ่มต้นจากเหตุการณ์ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน ลำดับของเหตุการณ์และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีจะเกิดขึ้นในจังหวะที่เหมาะเจาะพอดีที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้

ทุกอย่างเริ่มต้นในช่วงปลายทศวรรษ 1990 หลังจาก Steve Jobs ถูกเนรเทศไป 11 ปี เขาได้กลับมาที่ Apple ในปี 1997 บริษัทกำลังประสบวิกฤตทางการเงิน และ Jobs ถูกเรียกตัวกลับมาด้วยความหวังว่าเขาจะสามารถนำพาบริษัทไปในทิศทางที่ถูกต้อง

ในตอนนั้น Apple ยังต้องการไอเดียใหม่ๆ เพื่อสร้างจุดเด่นในช่วงเปลี่ยนผ่าน ต้องบอกว่าศตวรรษที่ 20 มันเป็นยุคแห่งการเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต และโลกทั้งใบกำลังเปลี่ยนเป็นดิจิทัล

เมื่อ Jobs กลับมาเพื่อให้ทันกับยุคสมัย เขาได้นำกลยุทธ์ Digital Hub มาใช้ แนวคิดคือการผสมผสานฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการของ Apple เพื่อให้ผู้ใช้มีแพลตฟอร์มที่เป็นหนึ่งเดียวสำหรับไลฟ์สไตล์ดิจิทัล

พูดง่ายๆ คือระบบนิเวศที่ทุกอย่างทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และอย่างที่ทุกคนรู้กันดี ระบบนิเวศของ Apple กลายเป็นส่วนสำคัญของอนาคตบริษัท แต่ในตอนนั้นแนวคิดนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเพียงเท่านั้น

จุดศูนย์กลางของ Digital Hub คือ iMac แต่ที่น่าสนใจคือ Steve Jobs ได้ตระหนักถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของพอร์ต FireWire มาตรฐานการเชื่อมต่อข้อมูลดิจิทัลนี้ถูกพัฒนาโดย Apple ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 และถูกใช้มาหลายปีโดย Apple เองและบริษัทอื่นๆ เช่น Sony

FireWire สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์อย่างกล้องวิดีโอและกล้องดิจิทัลเข้ากับคอมพิวเตอร์ ประโยชน์หลักคือความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่เร็วกว่ามาตรฐานอื่นๆ ในยุคนั้นถึงเกือบ 30 เท่า ด้วยความเร็ว 400 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งตอนนี้อาจเป็นเรื่องน่าขัน แต่ในยุคนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่มาก

Steve Jobs ตัดสินใจรวม FireWire เข้ากับ iMac G3 รุ่นโปร่งใสสุด Cool ที่เปิดตัวในปี 1998 Apple คิดว่าการมี FireWire จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายโอนวิดีโอจากกล้องดิจิทัลและแก้ไขบนคอมพิวเตอร์ได้ง่าย แต่ปรากฏว่าผู้คนสนใจเรื่องดนตรีมากกว่า

iMac G3 รุ่นโปร่งใสสุด Cool (CR:Wikipedia)
iMac G3 รุ่นโปร่งใสสุด Cool (CR:Wikipedia)

ในยุค 90 อินเทอร์เน็ตกำลังครองโลก ผู้คนแชร์ไฟล์และข้อมูลออนไลน์กันมากขึ้น แต่การแชร์ไฟล์เพลงยังคงยากลำบาก ซึ่งในช่วงต้นทศวรรษ 90 เนื่องจากความเร็วอินเทอร์เน็ตช้ามาก เพลงส่วนใหญ่ถูกริปจากซีดีและมีขนาดไฟล์ใหญ่มาก

แต่นักวิจัยที่สถาบัน Fraunhofer ในเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี มีแนวคิดบางอย่าง หลังจากทำงานหนักสี่ปี พวกเขาได้สร้างรูปแบบไฟล์ใหม่ที่เราทุกคนรู้จักกันดี นั่นก็คือ MP3 มันช่วยลดขนาดไฟล์เพลงได้อย่างมากโดยไม่สูญเสียคุณภาพเสียง

การเติบโตของรูปแบบไฟล์ MP3 สร้างความปั่นป่วนให้อุตสาหกรรมดนตรี ประการแรก ทุกคนสามารถริปซีดีเป็นไฟล์ MP3 และเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น เวลานั้นมันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะมาก ๆ ที่จะมีอุปกรณ์เล็กๆ มาช่วยให้ผู้คนพกพาไฟล์เหล่านี้ติดตัวไปได้

ภายในปี 1998 เครื่องเล่น MP3 อย่าง MP Man F-100 จาก Elga Labs และ Diamond Rio PMP300 ได้เข้าสู่ตลาด ทั้งคู่มีขนาดใหญ่ เล่นเพลงได้แค่ 30 นาที และราคาสูงกว่า 200 ดอลลาร์ แต่ก็ได้รับความนิยมเพราะผู้คนชื่นชอบการฟังเพลงแบบพกพา

จากนั้นประตูก็เปิดกว้าง เว็บไซต์แชร์ไฟล์แบบ peer-to-peer ทำให้ผู้คนดาวน์โหลดเพลงได้ฟรี แอปพลิเคชั่นหนึ่งชื่อ Napster กลายเป็นที่นิยมข้ามคืน จนได้เข้าสู่ข้อพิพาททางกฎหมายกับวงเฮฟวี่เมทัลระดับยักษ์ใหญ่อย่าง Metallica

อุตสาหกรรมดนตรีทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างหนัก และค่ายเพลงสูญเสียรายได้หลายล้าน อย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างตระหนักว่าอนาคตของการจัดจำหน่ายเพลงอยู่ในรูปแบบดิจิทัล

ซึ่งในระหว่างกระแสดนตรีดิจิทัลที่กำลังเติบโต Apple เห็นช่องว่างใหญ่ในกลยุทธ์ Digital Hub ของตน เพื่อเติมเต็มช่องว่างนี้ Apple ได้ซื้อ SoundJam MP ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นเข้ารหัสและเล่น MP3 ที่ได้รับความนิยม

วิศวกรสามคนที่เสกแอปนี้ขึ้นมาก็ได้ถูกนำตัวมาที่ Apple ด้วย พวกเขาจะเปลี่ยน SoundJam ให้กลายเป็น iTunes Jobs ต้องการให้ iTunes ถ่ายโอนไฟล์เพลงจากคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องเล่น MP3 ได้อย่างราบรื่น

อย่างไรก็ตาม ขณะตรวจสอบ ทีม Apple พบว่าเครื่องเล่นส่วนใหญ่ใช้งานไม่ได้ผล พวกมันหรือแพงเกินไป ใหญ่เกินไป เล็กเกินไป หรือใช้งานยากเกินไป และการถ่ายโอนไฟล์เพลงจากคอมพิวเตอร์ก็ช้ามาก นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ Steve Jobs เห็นโอกาสทอง

ในฐานะแฟนเพลงตัวยง เขาวางแผนที่จะสร้างเครื่องเล่น MP3 พกพาขนาดเล็กที่สามารถเก็บเพลงได้หลายร้อยเพลงและเล่นเพลงคุณภาพเทียบเท่าซีดี เขาต้องการให้เครื่องเล่นทำงานร่วมกับ iTunes ได้ดี เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาใช้แพลตฟอร์ม Mac มากขึ้น

ในช่วงปลายปี 2000 Jobs ได้มอบหมายงานให้ Jon Rubinstein ซึ่งเข้าร่วม Apple ในปี 1997 เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมฮาร์ดแวร์และที่ปรึกษาด้านฮาร์ดแวร์ที่ Jobs ไว้วางใจที่สุด

Rubinstein ตระหนักว่า Apple มีส่วนประกอบส่วนใหญ่ที่จำเป็นในการสร้างเครื่องเล่น MP3 อยู่แล้ว พอร์ต FireWire สามารถแก้ปัญหาความเร็วในการถ่ายโอน ชิ้นส่วนอื่นๆ สามารถหาได้จากแผนกฮาร์ดแวร์ภายในหรือซัพพลายเออร์ภายนอก

มีปัญหาเดียวคือหน่วยความจำแบบแฟลชมีราคาแพงเกินไป ดังนั้นฮาร์ดไดรฟ์จึงเป็นตัวเลือกเดียว แต่จะหาฮาร์ดไดรฟ์ที่เล็กพอแต่มีความจุสูงพอได้อย่างไร?

โชคดีที่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2001 Rubenstein ได้พบอุปกรณ์ดังกล่าวโดยบังเอิญ นั่นคือฮาร์ดไดรฟ์ความจุ 5 กิกะไบต์ ระหว่างการเยี่ยมชมบริษัท Toshiba ในญี่ปุ่น

วิศวกรของ Toshiba เองยังไม่รู้ว่าจะใช้มันทำอะไร แต่นี่คือจุดเปลี่ยนเกมสำหรับ Rubenstein เขารีบซื้อสิทธิ์ในทันทีด้วยมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์ หลังจากได้รับอนุญาตจาก Steve Jobs แล้ว

หลายคนไม่รู้ว่าสองปีก่อนหน้านี้ในปี 1999 บริษัทคอมพิวเตอร์ Compaq ก็มีแนวคิดเดียวกับ Apple แต่พวกเขาใช้ฮาร์ดไดรฟ์แล็ปท็อป แม้จะมีความจุ 4.8 กิกะไบต์ แต่ราคา 799 ดอลลาร์นั้นไม่ถูกเลย และสุดท้ายก็มีขนาดใหญ่เทอะทะเกินไป

Apple จ้าง Tony Fadell มาทำงานต่อในโครงการนี้ Fadell เคยทำงานให้กับ General Magic และ Phillips Electronics มาก่อน จึงมีประสบการณ์มากมายในการพัฒนาอุปกรณ์พกพาอย่าง PDA และ Palm Tops

เมื่อ Fadell มาถึง Apple ในเดือนกุมภาพันธ์ 2001 เขามีเวลาเพียง 6 สัปดาห์ในการนำเสนอต้นแบบ เรียกได้ว่ามันเป็นสถานการณ์ที่สุดโหด เพราะไม่มีการวิจัย ไม่มีการออกแบบมาก่อนหน้าเลยด้วซ้ำย หรือแม้แต่ทีมงานที่จะช่วยเหลือเขาก็แทบเป็นศูนย์

Tony Fadell ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่ง iPod (CR:Flickr)
Tony Fadell ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่ง iPod (CR:Flickr)

อย่างไรก็ตาม เขายึดมั่นและสามารถพัฒนาแนวคิดสามอย่างได้ด้วยตัวเอง ในกลางเดือนเมษายน 2001 เขานำเสนอต้นแบบต่อผู้บริหาร Apple รวมถึง Steve Jobs

ในการประชุมครั้งเดียวกันนั้น Phil Schiller หัวหน้าฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของ Apple ได้เสนอการออกแบบปุ่มเลื่อนแบบกลไกที่กลายเป็นเอกลักษณ์ และมันไม่ใช่แนวคิดใหม่ เพราะเขาได้แรงบันดาลใจจากอุปกรณ์อื่น เช่น โทรศัพท์ Bang & Olufsen BeoCom แต่ Schiller เชื่อว่าผู้ใช้จะสามารถเลื่อนดูเพลงหลายร้อยเพลงได้เร็วกว่าวิธีของเครื่องเล่น MP3 อื่นๆ ที่ใช้ปุ่มเลื่อนขึ้นลง และเขาก็คิดถูกต้อง

เมื่อมีแนวคิดพื้นฐานแล้ว Fadell ได้รับการจ้างงานประจำที่ Apple เขามีเวลาเพียง 6 เดือนตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงตุลาคม ในช่วงเวลานั้นเขาต้องจัดตั้งทีม พัฒนาผลิตภัณฑ์ ผลิต และส่งออกจำหน่าย

วิศวกรของ Apple ติดงานโครงการ Mac อยู่ ดังนั้น Fadell จึงต้องรวบรวมทีม 25 คนจากพนักงานประจำและ outsource จากภายนอก บางคนมาจากบริษัท Fuse ของเขาเอง และวิศวกรอาวุโสบางคนมาจาก General Magic และ Phillips

เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา ทีมของ Fadell ต้องใช้วิธีการทำงานแบบร่วมมือกัน บริษัท Portal Player ใน Silicon Valley จัดหาชิปเซ็ตเฉพาะทางสำหรับเล่น MP3

บริษัท Pixo ในเมือง Cupertino จัดหาระบบปฏิบัติการพื้นฐาน Jeff Robin นักออกแบบอินเตอร์เฟซ และ Tim Wasko แปลงระบบปฏิบัติการให้เป็นส่วนติดต่อผู้ใช้ระดับสูงและซอฟต์แวร์เล่นเพลง ความเชี่ยวชาญภายในองค์กรช่วยเรื่องแหล่งจ่ายไฟและจอแสดงผล และ Apple ก็มีฮาร์ดดิสก์ Toshiba ขนาด 5 กิกะไบต์ แบตเตอรี่จาก Sony และ FireWire อยู่แล้ว

เพื่อให้ทันกำหนด สมาชิกทุกคนในทีมต้องทำงาน 18-20 ชั่วโมงต่อวัน เจ็ดวันต่อสัปดาห์ แทบไม่ต้องคิดเลยว่ามันส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวของพวกเขาอย่างหนัก ตามคำบอกเล่าของ Fadell มันหนักหนาสาหัสถึงขนาดที่เขาต้องเลิกกับแฟนในตอนนั้น

ในขณะเดียวกัน ทีมออกแบบของ Apple นำโดย Jonathan Ive ก็ทำงานในส่วนของกระบวนการออกแบบ Jobs ยืนกรานที่จะไม่ทำอะไรมากเกินไปกับผลิตภัณฑ์ เขาต้องการให้อุปกรณ์ใช้งานได้แต่เรียบง่าย และมีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ทีมของ Johnny Ive ตัดสินใจเลือกกล่องขนาดพอดีเท่าสำรับไพ่ หลังจากสร้างต้นแบบมาแล้วกว่าสิบชิ้น พวกเขาใช้โพลีคาร์บอเนตสีขาวที่ด้านหน้าอุปกรณ์และสแตนเลสสตีลที่ด้านหลัง เป็นรูปแบบที่เรียบง่ายคล้ายกับวิทยุพกพา Braun T3 ผลงานของ Dieter Rams นักออกแบบอุตสาหกรรมชาวเยอรมัน ซึ่ง Johnny Ive ชื่นชมผลงานการออกแบบที่เรียบหรูและเป็นแรงบันดาลใจของเขามาโดยตลอด

ชื่อ iPod ถูกเสนอโดย Vinnie Chieco นักเขียนอิสระจากซานฟรานซิสโก Jobs มักพูดถึงแนวคิด Digital Hub ของ Apple บ่อยๆ ขณะพูดคุยเกี่ยวกับเครื่องเล่น โดย Mac เป็นศูนย์กลางสำหรับอุปกรณ์อื่นๆ และ Chieco เปรียบเทียบศูนย์กลางนี้เหมือนยานอวกาศ ในขณะที่ยานเล็กๆ หรือ “pod” จะเข้าออกมาเชื่อมต่อ

เมื่อเห็นต้นแบบ การออกแบบสีขาวทำให้เขานึกถึงภาพยนตร์เรื่อง 2001: A Space Odyssey จึงคิดคำว่า “pod” ขึ้นมา และเติมคำนำหน้า “i” เพื่อให้เข้ากับ iMac

หลังจากทำงานหนักมาหกเดือน อุปกรณ์ก็พร้อมแล้ว ในวันที่ 23 ตุลาคม 2001 Steve Jobs เปิดตัว iPod สู่โลก แม้จะมีราคา 399 ดอลลาร์ แต่ผู้คนก็รักอุปกรณ์นี้และมันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความ Cool อย่างรวดเร็ว ด้วยความจุ 1,000 เพลง มันเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่สำหรับเครื่องเล่น MP3 แต่ตรงกันข้ามกับความเชื่อทั่วไป มันไม่ได้ประสบความสำเร็จในทันที

iPod ที่กลายเป็นสินค้ายอดฮิตทันทีหลังเปิดตัว (CR:Wikipedia)
iPod ที่กลายเป็นสินค้ายอดฮิตทันทีหลังเปิดตัว (CR:Wikipedia)

Steve Jobs ยืนกรานว่า iPod ควรมีให้ใช้งานเฉพาะกับ Mac เท่านั้น เขาคิดว่าผลิตภัณฑ์นี้น่าดึงดูดมากพอที่จะทำให้ผู้คนเปลี่ยนมาใช้ระบบนิเวศของ Apple

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการตัดตลาดขนาดใหญ่ออกไป ในที่สุดผู้บริหารระดับสูงก็โน้มน้าวให้ Jobs ยอมให้ใช้งานบน Windows ได้ด้วย และนับจากช่วงเวลานั้น iPod ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก

iPod ได้ปูทางสู่การครองตลาดในอุตสาหกรรมดนตรีของ Apple บริษัทเปิดตัว iTunes Store ทำให้ผู้ใช้สามารถซื้อเพลงแต่ละเพลงได้ในราคา 99 เซนต์แทนการซื้อทั้งอัลบั้ม iTunes ครองส่วนแบ่งตลาดดาวน์โหลดเพลงถึง 70% ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดในปี 2007

แม้ตัวเลขจะน่าประทับใจ แต่กลับไม่สำคัญสำหรับ Apple เพราะ iTunes เป็นเพียงตัวขับเคลื่อนให้กับผลิตภัณฑ์หลักที่ทำเงินคือ iPod

iPod เพียงเครื่องเดียวพลิกฟื้นบริษัท Apple ขึ้นมา ด้วยยอดขายกว่า 100 เครื่องต่อนาที มันแก้ปัญหาสถานการณ์ทางการเงินและทำให้บริษัทกลับมา “Cool” อีกครั้ง จากที่เคยเป็นบริษัทที่กำลังล้มเหลวในยุค 90

บทสรุป

Apple ขาย iPod ไปมากกว่า 400 ล้านเครื่องก่อนที่จะยุติผลิตภัณฑ์ iPod ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2022 ซึ่งต้องบอกว่า Apple ได้สร้างสายผลิตภัณฑ์ในหลากหลายรุ่นตั้งแต่ iPod mini, Shuffle, Nano และ Touch มีหลากหลายรูปแบบ สี ขนาด และฟีเจอร์ แต่ทุกรุ่นของ iPod ยังคงแก่นแท้เดียวกันคือความเรียบง่ายและการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ

เรื่องราวของการสร้าง iPod นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งทางด้านวิศวกรรมและการออกแบบมากมาย แต่ Steve Jobs เชื่อมั่นว่าทีมของเขาจะทำได้ เขาทำให้ทีมของเขาทำสิ่งที่ใครในโลกไม่คิดว่าจะทำได้ 

iPod มันจึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่วิเศษที่สุด มันเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรีได้เลยด้วยซ้ำ และมันเป็นการพลิกโฉมของ Apple เข้าสู่ยุคใหม่อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน

และเพราะ ipod นี่เอง ที่ทำให้ Jobs กล้าที่จะสร้าง iPhone หรือ iPad ตามมาได้ เพราะเขาสามารถทำเรื่องที่เหลือเชื่อ ด้วยทีมที่มีความพร้อมขนาดนี้ได้แล้ว มันทำให้ Jobs กล้าที่จะทำอะไรแหกกฏที่เคยมีมา ลองจินตนาการกลับไปทั้งยุคของเครื่องเล่น MP3 ก่อน ที่ iPod จะผลิตออกมา หรือมือถือสมาร์ทโฟนก่อนยุค iPhone

Jobs ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะทำได้ทั้งนั้น เพราะมันแตกต่าง มันไม่เหมือนใคร และมันเป็น DNA ของการ Think Different ที่เป็น DNA หลักของ Apple เลยก็ว่าได้ เมื่อ Jobs พร้อมจะลุย ลูกทีมของเขาก็พร้อมจะสู้กับ Jobs ไม่ว่าอุปสรรคจะยากหรือท้าทายมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยกลัว

ทำไมสมองถึงเชื่อในสิ่งที่เห็น? กลลวงนักมายากล กับความจริงที่น่าทึ่งเบื้องหลังการหลอกสมองมนุษย์

Kyle Eschen นักมายากลผู้มากความสามารถ ได้นำพาผู้ชม TEDxVienna เข้าสู่โลกแห่งมายากลและจิตวิทยาการรับรู้อันน่าทึ่ง ผ่านการแสดงที่ผสมผสานระหว่างความบันเทิงและความลึกซึ้งทางวิชาการได้อย่างลงตัว

การแสดงของเขาไม่เพียงแต่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชม แต่ยังเผยให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอันน่าสนใจระหว่างศิลปะการแสดงมายากลและกลไกการทำงานของสมองมนุษย์

Eschen เริ่มต้นการแสดงด้วยการแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง เล่าว่ามายากลเป็นงานอดิเรกที่เขาหลงใหลมาเป็นเวลาหลายปี ในขณะที่คนอื่นอาจเลือกสะสมแสตมป์ เล่นดนตรี เล่นกีฬา ฯลฯ แต่เขากลับหลงใหลในศิลปะแห่งการหลอกตา

การแสดงเริ่มต้นด้วยการใช้ผ้าเช็ดหน้าธรรมดา ที่เปลี่ยนจากผ้าไหมเป็นผ้าเรยอนผสม แม้จะเป็นมายากลเรียบง่าย แต่ก็แสดงให้เห็นถึงทักษะพื้นฐานของ sleight-of-hand หรือการใช้มือล่อตา ซึ่งเป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยความชำนาญในการจัดการกับวัตถุขนาดเล็ก

Eschen เล่าถึงความเข้าใจผิดที่มักเกิดขึ้นเมื่อผู้คนแนะนำให้เขาพัฒนาไปสู่การแสดงที่ใหญ่โตกว่า ด้วยกล่องขนาดใหญ่และสัตว์ต่างๆ เขาเปรียบเทียบอย่างชาญฉลาดว่า นั่นเหมือนกับการบอกนักไวโอลินว่าถ้าฝึกฝนหนัก สักวันหนึ่งจะสามารถเล่นเชลโลได้ การเปรียบเทียบนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้คนมักไม่เข้าใจว่ามายากลแต่ละประเภทต้องการทักษะและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับเครื่องดนตรีแต่ละชนิด

จิตวิทยาและมายากล

สิ่งที่ทำให้ Eschen หลงใหลในมายากลไม่ใช่เพียงการสร้างความประหลาดใจ แต่เป็นการศึกษาจิตวิทยาการรับรู้ของมนุษย์ เขาสนใจวิธีที่ผู้คนตีความโลกรอบตัว การหาความเชื่อมโยง และการสร้างข้อสรุป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาสนใจในจุดอ่อนของกระบวนการคิดที่ทำให้คนเราถูกชักนำให้หลงทางได้

การศึกษาด้านประสาทวิทยาศาสตร์พบว่า สมองมนุษย์มีกลไกการคัดกรองข้อมูลที่ซับซ้อน โดยจะเลือกรับรู้เฉพาะสิ่งที่คิดว่าสำคัญในขณะนั้น เพื่อประหยัดพลังงานในการประมวลผล นักมายากลจึงสามารถใช้ความรู้นี้ในการสร้างภาพลวงตาที่น่าทึ่ง

การแสดงสองชุด: การเปรียบเทียบที่น่าสนใจ

ในการแสดงครั้งนี้ Eschen นำเสนอมายากลสองชุดที่แตกต่างกัน ชุดแรกเป็นมายากลที่เขาเรียกว่า “แย่” จนนำความอับอายมาสู่ครอบครัว เป็นการแสดงที่ใช้ไม้สองท่อนที่มีเชือกแขวนอยู่ การแสดงนี้ดูเหมือนจะไม่มีจุดหมายที่ชัดเจน แม้จะจบลงด้วยการเชื่อมต่อของไม้ทั้งสองท่อนอย่างน่าประหลาดใจ

ระหว่างการแสดง เขาสอดแทรกอารมณ์ขันด้วยการเล่าถึงความคิดเห็นบน YouTube ที่มีคนท้วงว่ามุมที่เขาแยกไม้ไม่ใช่ 30 องศาแต่เป็น 45 องศา แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในการแสดงที่เขาเรียกว่า “แย่” ก็ยังมีองค์ประกอบของการมีส่วนร่วมกับผู้ชม

มายากลชุดที่สองมีความน่าสนใจมากกว่า เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากการทดลองทางจิตวิทยาในปี ค.ศ. 1999 โดย Daniel Simons และ Christopher Jarvis การทดลองนี้ให้ผู้เข้าร่วมดูวิดีโอการเล่นบาสเกตบอลและนับจำนวนครั้งที่ลูกบอลถูกส่งระหว่างผู้เล่น

ระหว่างการทดลอง มีคนแต่งตัวเป็นกอริลลาเดินผ่านกลางวิดีโอ แต่ผู้เข้าร่วมการทดลองครึ่งหนึ่งไม่สังเกตเห็นกอริลลาเลย เพราะพวกเขาจดจ่ออยู่กับการนับลูกบอล ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “inattentional blindness” หรือการมองไม่เห็นเพราะไม่ได้ตั้งใจ

นักประสาทวิทยาศาสตร์อธิบายว่า inattentional blindness เป็นผลมาจากข้อจำกัดในการประมวลผลข้อมูลของสมอง เมื่อเราให้ความสนใจกับงานใดงานหนึ่งอย่างเข้มข้น สมองจะลดการรับรู้สิ่งเร้าอื่นๆ ลง แม้ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในระยะการมองเห็นก็ตาม

Eschen นำหลักการนี้มาใช้ในมายากลชุดที่สอง โดยใช้ถ้วยและลูกบอลยางฟองน้ำสีแดง เขาทำให้ลูกบอลหายไปและปรากฏขึ้นใต้ถ้วยต่างๆ สร้างความประหลาดใจให้ผู้ชม แต่จุดที่น่าทึ่งที่สุดคือการเผยให้เห็นว่าใต้ถ้วยที่ถูกตรวจสอบอย่างละเอียดและไม่เคยหายไปจากสายตาผู้ชม มีมะนาวปรากฏขึ้นถึงสามลูก

ความน่าสนใจของมายากลชุดนี้ไม่ได้อยู่ที่วิธีการ แต่อยู่ที่การเข้าใจจิตวิทยาการรับรู้ของมนุษย์ ลูกบอลยางฟองน้ำทำหน้าที่เหมือนลูกบาสเกตบอลในการทดลองเรื่องกอริลลา คือดึงความสนใจของผู้ชมไปจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริง

การศึกษาด้านการรับรู้ทางสายตาแสดงให้เห็นว่า สมองมนุษย์มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับวัตถุที่เคลื่อนไหวมากกว่าวัตถุที่อยู่นิ่ง และมักจะมองข้ามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ หรือไม่ได้อยู่ในจุดสนใจหลัก นักมายากลจึงใช้หลักการนี้ในการสร้างภาพลวงตา

บทสรุปและข้อคิด

Eschen ชี้ให้เห็นว่าแม้จะสามารถค้นหาวิธีทำมายากลได้ทาง Google แต่ความลับที่แท้จริงคือการที่มนุษย์มีจุดบอดในการรับรู้ที่กว้างใหญ่กว่าที่สัญชาตญาณบอก การแสดงของเขาไม่เพียงสร้างความบันเทิง แต่ยังให้ข้อคิดลึกซึ้งเกี่ยวกับการทำงานของจิตใจมนุษย์

ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ด้านการรับรู้ได้นำหลักการของมายากลมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาการทำงานของสมอง โดยเฉพาะในด้านความสนใจและการรับรู้ การเข้าใจกลไกเหล่านี้ไม่เพียงช่วยพัฒนาศิลปะการแสดงมายากล แต่ยังมีประโยชน์ในการออกแบบระบบความปลอดภัย การพัฒนาส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ และการรักษาโรคทางระบบประสาท

การแสดงของ Kyle Eschen ที่ TEDxVienna จึงเป็นมากกว่าการแสดงมายากลทั่วไป แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความบันเทิง วิทยาศาสตร์ และปรัชญา ที่ทำให้เราตระหนักว่า บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าเห็นอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด และสิ่งที่เราไม่ได้สังเกตอาจสำคัญกว่าที่เราคิด

References :
The art of cognitive blindspots | Kyle Eschen | TEDxVienna
https://youtu.be/OOG65rSM5fA?si=KZCbY3N6S5kFMIqH

หยุดกลัวการถูกปฏิเสธ! ชายจีนผู้ท้าทายการถูกปฏิเสธ 100 วัน และบทเรียนที่เปลี่ยนชีวิต

ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจและการใช้ชีวิตประจำวัน เราทุกคนต่างเคยเผชิญกับความกลัวการถูกปฏิเสธมาแล้วทั้งนั้น บางคนถึงขั้นยอมทิ้งความฝันและโอกาสดีๆ ในชีวิตเพียงเพราะกลัวคำว่า “ไม่”

แต่มีชายคนหนึ่งที่กล้าท้าทายความกลัวนี้ด้วยวิธีที่แปลกประหลาดและน่าสนใจ เขาคือ Jia Jiang ชายชาวจีนผู้อพยพมาอเมริกาพร้อมความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการ

Jia Jiang เกิดและเติบโตในเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน ตั้งแต่เด็กเขามีความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการในอเมริกา แรงบันดาลใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้พบกับ Bill Gates ในงานที่โรงเรียนตอนอายุ 14 ปี ทำให้เขาตัดสินใจมุ่งมั่นที่จะย้ายมาเรียนและทำงานในอเมริกา

แม้จะประสบความสำเร็จในการเรียนและการทำงานในบริษัทชั้นนำ แต่ความฝันของเขากลับถูกขัดขวางด้วยความกลัวการถูกปฏิเสธที่ฝังรากลึก จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากนักลงทุนปฏิเสธที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพของเขา แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับตัดสินใจท้าทายตัวเองด้วยการทำภารกิจที่เรียกว่า “100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ” ซึ่งผมว่ามันเป็นการทดลองที่เจ๋งมาก ๆ

แรงบันดาลใจในการทำภารกิจนี้มาจาก Jason Comely ผู้สร้างเกม “Rejection Therapy” ที่มีกฎง่ายๆ คือผู้เล่นต้องทำให้ตัวเองถูกปฏิเสธจากใครสักคนทุกวัน Comely สร้างเกมนี้หลังจากที่ภรรยาของเขาจากไป และเขาต้องต่อสู้กับความกลัวการถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง

ภารกิจของ Jia Jiang เริ่มต้นด้วยการขอสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในแต่ละวัน เช่น การขอยืมเงิน 100 ดอลลาร์จากคนแปลกหน้า การขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก การเคาะประตูบ้านคนแปลกหน้าเพื่อขอเล่นฟุตบอลในสนามหลังบ้าน การขอถ่ายรูปกับพนักงานรักษาความปลอดภัยในท่าซูเปอร์ฮีโร่ หรือแม้แต่การเดินเข้าไปในออฟฟิศแบบสุ่มเพื่อขอทำงานเพียงวันเดียว

หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดคือวันที่เขาขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทรูปวงแหวนโอลิมปิก แทนที่จะถูกปฏิเสธ Jackie พนักงานที่อยู่เวรกลับใช้เวลา 15 นาทีในการวาดและจัดวางโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก พร้อมทั้งใช้น้ำตาลสีต่างๆ ตกแต่งให้สวยงาม โดยไม่คิดเงินเพิ่ม

จากการทดลองนี้ Jia Jiang ได้ค้นพบความจริงที่น่าทึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของการถูกปฏิเสธ ประการแรก เขาพบว่าการถูกปฏิเสธนั้นเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ต่างจากการที่คนไม่ชอบไอศกรีมรสมินต์ปฏิเสธที่จะรับประทาน มันไม่ได้สะท้อนถึงคุณค่าของตัวเราแต่อย่างใด

ในระหว่างการทดลอง เขาพบว่าผู้คนมักมีเหตุผลส่วนตัวในการปฏิเสธที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย เช่น กฎระเบียบขององค์กร ข้อจำกัดด้านเวลา หรือแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้น การเข้าใจเรื่องนี้ช่วยให้เขารับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ Joshua Bell นักไวโอลินรางวัล Grammy ที่แต่งตัวธรรมดาใส่ยีนส์และหมวกเบสบอล ไปเล่นดนตรีในสถานีรถไฟใต้ดิน DC มีเพียง 7 คนจาก 1,097 คนที่หยุดฟัง ทั้งที่การแสดงของเขามักได้รับเสียงปรบมือยืนยาวในคอนเสิร์ตฮอลล์ชื่อดังอย่าง John F. Kennedy Center

การทดลองของ Joshua Bell เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่จัดทำโดยหนังสือพิมพ์ Washington Post ในปี 2007 เพื่อศึกษาการรับรู้ความงามของศิลปะในบริบทที่ไม่คาดคิด Bell เล่นบทเพลงคลาสสิกที่ยากที่สุดบางบทด้วยไวโอลิน Stradivarius มูลค่า 3.5 ล้านดอลลาร์ แต่ได้รับเงินบริจาคเพียง 32 ดอลลาร์จากการแสดง 45 นาที

นี่แสดงให้เห็นว่าบริบทและจังหวะเวลามีผลต่อการตอบรับมากกว่าความสามารถที่แท้จริง เช่นเดียวกับที่คนในสถานีรถไฟไม่ได้ปฏิเสธความสามารถของ Joshua Bell แต่พวกเขาแค่ไม่ได้อยู่ในโหมดที่จะชื่นชมดนตรีคลาสสิกในตอนเช้าที่เร่งรีบ

ประการที่สอง การถามหาเหตุผลของการปฏิเสธอย่างสุภาพสามารถเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ได้ เช่นครั้งที่ Jia Jiang ขอประกาศเรื่องความปลอดภัยบนเครื่องบิน Southwest แม้จะถูกปฏิเสธในตอนแรก แต่เมื่อถามถึงเหตุผล พนักงานกลับคิดหาทางออกใหม่ให้เขาได้พูดต้อนรับผู้โดยสารแทน

การถามหาเหตุผลยังช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของอีกฝ่าย และบางครั้งอาจนำไปสู่ทางออกที่ดีกว่าเดิม เช่นกรณีที่เขาขอใช้เครื่องประกาศเสียงที่ร้าน Costco เพื่อประกาศชมเชยพนักงาน แม้จะถูกปฏิเสธ แต่ผู้จัดการกลับรู้สึกประทับใจในความตั้งใจดีของเขาและเลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทน

นอกจากนี้ การถามเหตุผลยังช่วยให้เราได้ข้อมูลที่มีค่าสำหรับการปรับปรุงคำขอในครั้งต่อไป เช่น เมื่อเขาขอให้สายการบินอนุญาตให้ประกาศ เขาได้เรียนรู้ว่ามีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่ต้องคำนึงถึง ทำให้ในครั้งต่อไปเขาสามารถปรับคำขอให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเหล่านั้นได้

ประการที่สาม การลดขนาดคำขอลง หรือที่ Robert Cialdini ผู้เขียนหนังสือ “Influence” เรียกว่า “Retreating” เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะผู้คนมักรู้สึกไม่สบายใจที่จะปฏิเสธคำขอเล็กๆ หลังจากที่ปฏิเสธคำขอใหญ่ไปแล้ว

จากการศึกษาของ Cialdini พบว่าการลดขนาดคำขอสามารถเพิ่มโอกาสการตอบรับได้ถึง 76% เพราะเป็นการแสดงความยืดหยุ่นและความเข้าใจต่อข้อจำกัดของอีกฝ่าย นอกจากนี้ ยังเป็นการใช้ประโยชน์จากหลักจิตวิทยาที่เรียกว่า “การตอบแทน (Reciprocity)” ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าควรตอบแทนความยืดหยุ่นที่เราแสดงออก

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อ Jia Jiang ขอแซนด์วิช McGriddle จาก McDonald’s ในตอนบ่าย 2 โมง ซึ่งเลยเวลาอาหารเช้าไปแล้ว เมื่อถูกปฏิเสธและได้รับคำอธิบายว่าเครื่องทำไข่และไส้กรอกถูกล้างไปแล้ว เขาจึงปรับคำขอเป็นขนมปังกริดเดิลราดน้ำผึ้งกับชีสแทน ซึ่งพนักงานสามารถจัดให้ได้

การลดขนาดคำขอยังช่วยให้เราได้เรียนรู้ว่าบางครั้งสิ่งที่เราต้องการจริงๆ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราขอในตอนแรก เช่น ในกรณีของ McDonald’s เขาได้ค้นพบว่าสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือรสชาติของขนมปังกริดเดิล ไม่ใช่แซนด์วิช McGriddle ทั้งชิ้น

การถูกปฏิเสธยังมีประโยชน์แฝงอยู่หลายประการที่น่าสนใจ ประการแรกคือการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการถูกปฏิเสธในอนาคต เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ได้ทำลายคุณค่าในตัวเรา เราจะกล้าเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น เหมือนการฉีดวัคซีนที่ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรค การเผชิญกับการถูกปฏิเสธบ่อยๆ จะช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้น

ในช่วงท้ายของการทดลอง Jia Jiang พบว่าเขาสามารถรับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้นมาก เขารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงเมื่อถูกปฏิเสธ และสามารถมองหาโอกาสใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับนักมวยที่โดนต่อยบ่อยๆ จนชินและรู้วิธีรับมือกับหมัด

ประการที่สองคือการเพิ่มแรงจูงใจ เหมือนกรณีของ Michael Jordan ที่ใช้การถูกปฏิเสธจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมเป็นแรงผลักดันในการฝึกซ้อมหนักขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในนักบาสเก็ตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

Michael Jordan เคยเล่าว่าเขาถูกตัดตัวจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมปลายในปีที่สอง แต่แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับใช้ความผิดหวังนั้นเป็นแรงผลักดันให้ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อซ้อมก่อนเข้าเรียน และซ้อมต่อจนถึงค่ำทุกวัน จนในที่สุดเขาก็ได้กลับเข้าทีมและกลายเป็นดาวเด่น

ประการสุดท้ายคือการให้แนวทางในการปรับปรุง ดังที่ Thomas Edison กล่าวว่า เขาไม่ได้ล้มเหลว 10,000 ครั้ง แต่ค้นพบ 10,000 วิธีที่ใช้ไม่ได้ผล การมองการปฏิเสธแบบไม่มีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องจะช่วยให้เราเห็นจุดที่ต้องปรับปรุงได้ชัดเจนขึ้น

Edison เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้การล้มเหลวเป็นบทเรียน ในการคิดค้นหลอดไฟฟ้า เขาทดลองวัสดุที่จะใช้เป็นไส้หลอดมากกว่า 6,000 ชนิด แต่ละครั้งที่ล้มเหลว เขาจดบันทึกอย่างละเอียดว่าทำไมมันถึงใช้ไม่ได้ จนในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าใยไม้ไผ่เป็นวัสดุที่เหมาะสมที่สุด

หลังจากจบภารกิจ 100 วัน Jia Jiang ได้กลายเป็นวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญด้านการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้เขียนหนังสือ “Rejection Proof” และให้การบรรยาย TED Talk ที่มีผู้ชมนับล้าน ประสบการณ์ของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลกกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวการถูกปฏิเสธ

ปัจจุบัน Jia Jiang ได้ก่อตั้งบริษัท Rejection Therapy เพื่อช่วยให้ผู้คนและองค์กรต่างๆ เอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้รับเชิญไปบรรยายในองค์กรชั้นนำมากมาย เช่น Google, Microsoft, และ Bank of America โดยเขาเน้นย้ำว่าการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธไม่เพียงช่วยให้เราประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่ยังช่วยให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้นด้วย

ในท้ายที่สุด Jia Jiang สรุปว่า การถูกปฏิเสธที่เคยเป็นเหมือนยักษ์โกลิอัทในชีวิตของเขา ได้กลายเป็นเพียงความท้าทายที่สามารถเอาชนะได้ด้วยมุมมองที่ถูกต้องและการฝึกฝน เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ใช่การตัดสินคุณค่าของเรา เราก็จะมีอิสระในการขอสิ่งที่ต้องการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขอเลื่อนตำแหน่ง การขอความช่วยเหลือ หรือแม้แต่การขอโอกาสในการทำความฝันให้เป็นจริง

References :
หนังสือ Rejection Proof: How I Beat Fear and Became Invincible Through 100 Days of Rejection โดย Jia Jiang

ชีวิตคือการออกแบบ : จากสถาปนิกสู่ผู้บริหาร Mercedes-Benz เส้นทางชีวิตที่ไม่มีใครกล้าฝัน

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที Ted Talks กันอีกครั้ง กับเรื่องราวของ Parul Pradhan แบ่งปันเรื่องราวการเดินทางอันเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอในการฝ่าฟันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของเธอในฐานะสถาปนิกจนกระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการออกแบบในบริษัทที่มีชื่อเสียงอย่าง General Motors และ Mercedes-Benz R&D India

ก็ต้องบอกว่าการศึกษาถือเป็นรากฐานสำคัญที่หล่อหลอมตัวตนของ Parul ด้วยพื้นฐานด้านสถาปัตยกรรมจาก GNC และการต่อยอดด้วยปริญญาโทด้านการออกแบบจาก IIT Bombay ทำให้เธอมีความรู้และทักษะที่แข็งแกร่ง แม้จะเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดี แต่เส้นทางอาชีพในช่วงแรกกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คาดหวัง

ในปี 2001 Parul เริ่มต้นอาชีพในอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เปิดโอกาสให้เธอได้สัมผัสกับงานที่หลากหลาย ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กอย่างขวด ไปจนถึงโครงการขนาดใหญ่อย่างรถยนต์

ประสบการณ์เหล่านี้ได้หล่อหลอมให้เธอเป็นนักออกแบบที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และรู้จักเรียนรู้จากทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว

การทำงานในภาคบริการได้สอนบทเรียนสำคัญหลายอย่าง ทั้งการนำเสนองานอย่างมืออาชีพ การจัดการกับความคาดหวังของลูกค้า และการพัฒนาทักษะด้านซอฟต์แวร์ที่จำเป็น

ทุกโครงการคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต แม้บางครั้งจะต้องเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรค แต่สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่ช่วยวางรากฐานสำหรับความสำเร็จในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตของ Parul เกิดขึ้นเมื่อเธอตัดสินใจที่จะก้าวออกจากความสบายของการเป็นพนักงานประจำ เพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองร่วมกับ Gorov สามีของเธอซึ่งเป็นนักออกแบบจาก NID ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่างไม้และไผ่ พวกเขามุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างและความยั่งยืนให้กับโลก

ช่วงเวลาของการเป็นผู้ประกอบการเป็นบทเรียนที่มีค่า แม้จะมีแนวคิดที่ดีและผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ แต่การขาดประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจและเงินทุนที่จำกัดทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย

การทำงานกับหน่วยงานภาครัฐและการรอรับชำระเงินที่ล่าช้าได้สอนให้รู้ว่า passion เพียงอย่างเดียวมันไม่เพียงพอสำหรับความสำเร็จในธุรกิจ

เมื่อต้องเผชิญกับความล้มเหลวของธุรกิจ Parul ไม่ยอมแพ้ แต่เลือกที่จะปรับตัวด้วยการรับงานพาร์ทไทม์และเป็นอาจารย์ในวิทยาลัย แม้จะเป็นประสบการณ์ที่ท้าทาย แต่มันก็ทำให้เธอได้เรียนรู้และเติบโต การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อเธอตัดสินใจกลับเข้าสู่การทำงานประจำที่ General Motors Technical Center

ที่ General Motors Parul ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถและความทุ่มเทจนได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายสีและวัสดุตกแต่ง และได้เป็นตัวแทนของอินเดียในสำนักงานใหญ่ที่ Detroit การทำงานในบริษัทระดับโลกเปิดโอกาสให้เธอได้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการได้รับประกาศนียบัตรจาก IIM Bangalore

แต่แล้วในปี 2015 การตัดสินใจของ General Motors ที่จะปิดการดำเนินงานด้านการออกแบบในอินเดียได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับชีวิตของเธออีกครั้ง แทนที่จะจมอยู่กับความกลัวและความผิดหวัง Parul เลือกที่จะมองหาโอกาสใหม่ และนั่นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สามเมื่อเธอได้ร่วมงานกับ Mercedes-Benz R&D India

ที่ Mercedes-Benz Parul ได้รับโอกาสให้นำทีมออกแบบและสร้างความร่วมมือกับสตูดิโอออกแบบในเยอรมนี ด้วยวิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหาร เธอสามารถขยายทีมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ทั้งสตูดิโอ 3D printing และห้องปฏิบัติการเสมือนจริงสำหรับโครงการ mixed reality

ความสำเร็จที่ Mercedes-Benz ไม่เพียงแต่เป็นการพิสูจน์ความสามารถของ Parul แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานประสบการณ์ทั้งหมดที่เธอได้สั่งสมมา ทั้งการเป็นผู้ประกอบการ การบริหารทีม และความเข้าใจในอุตสาหกรรมยานยนต์

ภายในเวลาเพียง 6 ปี เธอสามารถสร้างผลงานที่มีส่วนร่วมในการออกแบบรถยนต์ Mercedes ทุกรุ่น ตั้งแต่ระดับ C-Class ไปจนถึง S-Class และรถยนต์ไร้คนขับ

ปัจจุบัน Parul ยังคงไม่หยุดที่จะพัฒนาและท้าทายตัวเอง ด้วยการก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ในด้านบริการหลังการขาย แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากประสบการณ์เดิมอย่างสิ้นเชิง แต่เธอเชื่อว่าการกล้าที่จะออกจาก comfort zone คือหนทางสู่การเติบโตและการค้นพบโอกาสใหม่ๆ

บทเรียนสำคัญที่ Parul ได้เรียนรู้จากการเดินทางในชีวิตคือการไม่กลัวที่จะเริ่มต้นใหม่ การทำงานหนัก และการกล้าที่จะเสี่ยง เธอเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงโดยทางเลือกคือวิธีที่จะช่วยให้เราสามารถออกแบบชีวิตได้อย่างมีความหมาย แทนที่จะปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา ทุกการเปลี่ยนแปลงคือโอกาสที่จะได้สร้างเรื่องราวใหม่และความสำเร็จในชีวิต

เรื่องราวของ Parul เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยความบังเอิญหรือโดยการเลือก สิ่งสำคัญคือการมองเห็นโอกาสในทุกสถานการณ์และกล้าที่จะก้าวออกจาก Safe Zone เพื่อค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในชีวิต

จากประสบการณ์อันหลากหลาย Parul ได้แบ่งปันบทเรียนสำคัญที่เธอค้นพบ ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน เมื่อไม่รู้ว่าก้าวต่อไปควรเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ ก็ตาม เพราะการรอคอยให้ทุกอย่างลงตัวอาจทำให้พลาดโอกาสที่สำคัญไป

การทำงานหนักคือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ แม้บางครั้งผลลัพธ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่ความพยายามและความทุ่มเทจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ เสมอ นอกจากนี้ การรักษาความกระตือรือร้นและความกระหายที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้า

เรื่องราวของ Parul ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงในชีวิตไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่เป็นโอกาสในการเติบโตและค้นพบตัวตนที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากสถานการณ์บังคับหรือการเลือกด้วยตัวเอง สิ่งสำคัญคือการมองเห็นคุณค่าและโอกาสในทุกการเปลี่ยนแปลง เพราะนั่นคือวิธีที่จะทำให้เราสามารถออกแบบชีวิตได้อย่างมีความหมายและประสบความสำเร็จในที่สุด

ปัจจุบัน Parul ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายผ่านการแบ่งปันประสบการณ์และมุมมองของเธอ การเดินทางของเธอแสดงให้เห็นว่าความสำเร็จไม่ได้วัดจากตำแหน่งหรือเงินเดือน แต่วัดจากความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและความสามารถในการปรับตัวเพื่อเติบโตในทุกสถานการณ์นั่นเองครับผม

References :
Change by chance and change by choice | Parul Pradhan | TEDxMGMU
https://youtu.be/DJW1aLpVdGQ?si=vfyX-zP1uHCc-ey5