เจาะลึกกลยุทธ์ Red Bull แบรนด์ที่มากกว่าแค่เครื่องดื่ม กับการเปลี่ยนพลังงานให้กลายเป็นวัฒนธรรมโลก

เรื่องราวของ Red Bull เป็นตำนานแห่งการสร้างแบรนด์ที่น่าทึ่งเป็นอย่างมาก เริ่มต้นจากการที่ Dietrich Mateschitz นักธุรกิจชาวออสเตรีย ได้ค้นพบเครื่องดื่มชูกำลังท้องถิ่นของไทยที่ชื่อว่า “กระทิงแดง” ในปี 1982 ระหว่างการเดินทางธุรกิจ เขาประทับใจกับสรรพคุณของเครื่องดื่มที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็ทแล็กได้อย่างมาก จนเกิดแรงบันดาลใจที่จะนำผลิตภัณฑ์นี้กลับไปยังตลาดตะวันตก

แม้จะถูกนักลงทุนหลายรายปฏิเสธ เพราะมองไม่เห็นโอกาสทางการตลาดนอกเอเชีย แต่ Mateschitz ไม่ย่อท้อ เขาตัดสินใจลงทุน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ และร่วมมือกับเจ้าของบริษัทผู้ผลิตกระทิงแดง (คุณเฉลียว อยู่วิทยา) ซึ่งลงทุนอีกครึ่งหนึ่งเพื่อถือหุ้นร่วมกัน Mateschitz ปรับสูตรและรสชาติให้เหมาะกับตลาดยุโรป และเปิดตัว Red Bull ในออสเตรียเมื่อปี 1987

จุดเริ่มต้นของความสำเร็จมาจากการที่ Red Bull ถูกห้ามจำหน่ายในเยอรมนีในช่วงแรก ทำให้เกิดกระแสความนิยมในหมู่วัยรุ่นที่พากันข้ามพรมแดนไปซื้อเครื่องดื่ม “ต้องห้าม” นี้ ส่งผลให้ยอดขายพุ่งสูงถึงหนึ่งล้านกระป๋องในปีแรกที่เปิดตลาด

Dietrich Mateschitz ที่เห็นโอกาสจากเครื่องดื่มที่เขาพบระหว่างบินไปทำธุรกิจ (CR:Reddit)
Dietrich Mateschitz ที่เห็นโอกาสจากเครื่องดื่มที่เขาพบระหว่างบินไปทำธุรกิจ (CR:Reddit)

จากนั้น Red Bull ก็แผ่ขยายไปทั่วยุโรปอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มจากสโลวาเกียและฮังการีในปี 1992 ตามด้วยเยอรมนีและสหราชอาณาจักรในปี 1994 และเมื่อบุกตลาดสหรัฐอเมริกาในปี 1997 ยอดขายก็พุ่งทะยานถึงหนึ่งล้านกระป๋องต่อวัน

กลยุทธ์ทางธุรกิจของ Red Bull แตกต่างจากบริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่อย่าง Coca-Cola และ Pepsi อย่างสิ้นเชิง Mateschitz เลือกที่จะสร้างบริษัทรูปแบบใหม่ โดยจ้างบริษัทภายนอกดำเนินการด้านการผลิตและโลจิสติกส์ ทำให้ Red Bull สามารถทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดไปกับการทำตลาดและสร้างแบรนด์

ความสำเร็จของ Red Bull ไม่ได้มาจากการขายเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการสร้างวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์รอบๆ แบรนด์ พวกเขาเริ่มต้นด้วยการมุ่งเน้นไปที่ฉากคลับและปาร์ตี้

ใช้กลยุทธ์ “ผู้จัดการแบรนด์นักศึกษา (student brand managers)” ที่ช่วยโปรโมต Red Bull ในมหาวิทยาลัยและจัดปาร์ตี้ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการแจกตัวอย่างฟรีตามชายหาด มหาวิทยาลัย โรงยิม และอาคารสำนักงาน ด้วยรถ Volkswagen Beetle ที่มีกระป๋อง Red Bull ขนาดใหญ่ติดอยู่

การผสม Red Bull กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น วอดก้าหรือ Jägermeister กลายเป็นเทรนด์ยอดนิยมในบาร์และไนต์คลับทั่วโลก สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับแบรนด์จากออสเตรียนี้อย่างมาก แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกลไกการตลาดอันทรงพลังของ Red Bull เพียงเท่านั้น

Red Bull ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง แต่พวกเขาก้าวไปไกลกว่านั้นด้วยการสร้างจักรวาลแห่งแบรนด์ผ่านการสนับสนุนและเป็นเจ้าของทีมกีฬาหลากหลายประเภท

ไม่ว่าจะเป็นทีมแข่งรถสูตรหนึ่ง สโมสรฟุตบอลอาชีพ และทีมฮอกกี้น้ำแข็ง รวมถึงการจัดกิจกรรมสุดท้าทายอย่าง Crashed Ice Challenge และ Wings for Life Run พวกเขายังสนับสนุนนักกีฬานับพันคนและผลิตสื่อของตัวเองอีกด้วย

วิธีการทำการตลาดของ Red Bull แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ อย่างสิ้นเชิง แทนที่จะเล่าเรื่องแบบจืดชืดหรือพยายามหาเรื่องราวมาเชื่อมโยง พวกเขาเลือกที่จะสร้างเรื่องราวของตัวเองและผลิตเนื้อหาผ่านบริษัทสื่อของตัวเอง

การถือลิขสิทธิ์ภาพถ่ายทั้งหมดของกิจกรรมที่พวกเขาจัดขึ้น ทำให้ Red Bull สามารถควบคุมการสื่อสารและสร้างผลกระทบแบบไวรัลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดของการสร้างเรื่องราวแบบ Red Bull คือโครงการ Stratos ในปี 2012 ที่ Felix Baumgartner กระโดดร่มจากชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ แม้จะใช้งบประมาณมหาศาลถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มูลค่าของการรายงานข่าวทั่วโลกเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ถูกประเมินว่าสูงถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าโครตคุ้ม

Felix Baumgartner กระโดดร่มจากชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ (CR:Youtube Red Bull)
Felix Baumgartner กระโดดร่มจากชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ (CR:Youtube Red Bull)

การสนับสนุนกิจกรรมกีฬาสุด Extreme ควบคู่ไปกับการขายผลิตภัณฑ์ที่มีภาพลักษณ์ที่เฉียบแหลม ช่วยให้ Red Bull ยังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาดในประเภทสินค้าของตน

ในปี 2019 พวกเขาสามารถขายเครื่องดื่มได้ถึง 7.5 พันล้านกระป๋อง สร้างรายได้มากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้งบประมาณเกือบหนึ่งในสามไปกับการทำการตลาด

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของรายได้ Red Bull เริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ปี 2012 เนื่องจากบริษัทพึ่งพารายได้จากเครื่องดื่มชูกำลังเพียงอย่างเดียวเกือบทั้งหมด ซึ่งอาจกลายเป็นความเสี่ยงในอนาคต

โดยเฉพาะเมื่อผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงสุขภาพและโภชนาการมากขึ้น การมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น ปัญหาโรคอ้วน นอนไม่หลับ และเบาหวาน อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในอนาคตได้

ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในทีมกีฬาและการผลิตสื่อของ Red Bull จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมทางการตลาดเท่านั้น แต่เป็นความพยายามในการกระจายความเสี่ยงและสร้างห่วงโซ่คุณค่าเพิ่มเติมนอกเหนือจากธุรกิจขายเครื่องดื่ม

Red Bull ใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ด้านความบันเทิงและสื่อแบบครบวงจร ตั้งแต่การผลิตสื่อ การเป็นเจ้าของทีม การจัดการด้านการออกอากาศ ไปจนถึงการบริหารสัญญา

ตัวอย่างหนึ่งของวิธีที่กลยุทธ์นี้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้คือการลงทุนในทีมฟุตบอล การเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลหลายทีมทำให้ Red Bull สามารถใช้ประโยชน์จากการผนึกกำลังในการพัฒนานักเตะ

โดยนักฟุตบอลคนหนึ่งอาจเริ่มต้นอาชีพในบราซิล ย้ายมายุโรปเพื่อเล่นในลีกออสเตรียที่เล็กกว่าให้กับทีม Red Bull Salzburg และในที่สุดก็เข้าร่วมทีม RB Leipzig เมื่อพร้อมที่จะเล่นในแชมเปียนส์ลีก ในช่วงท้ายของอาชีพ เขาอาจย้ายไปเล่นให้กับ New York Red Bulls เพื่อใช้เวลาช่วงสุดท้ายในเมเจอร์ลีกซอคเกอร์

การลงทุนในทีม New York Red Bulls เป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ Red Bull ซื้อทีมในราคาประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2006 และปัจจุบันทีมมีมูลค่าสูงถึง 290 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการประเมินของ Forbes

นั่นหมายความว่า Red Bull สามารถเพิ่มมูลค่าการลงทุนได้ถึงสิบเท่าในเวลาเพียงไม่กี่ปี และด้วยตลาดฟุตบอลในสหรัฐอเมริกาที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง มูลค่าของแฟรนไชส์ในนิวยอร์กซิตี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคต

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Red Bull จะประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจไปสู่วงการกีฬาและสื่อ แต่แหล่งรายได้หลักของบริษัทยังคงมาจากการขายเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 97% ของรายได้ทั้งหมด

Red Bull มองว่ากิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากการขายเครื่องดื่มเป็น “การลงทุนในแบรนด์อย่างต่อเนื่อง” ซึ่งบ่งชี้ว่าธุรกิจเหล่านี้อาจยังไม่สร้างผลกำไรในปัจจุบัน แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต

การที่ Red Bull ยังคงพึ่งพารายได้จากเครื่องดื่มชูกำลังเป็นหลักนั้น อาจเป็นดาบสองคมสำหรับบริษัท ในขณะที่ยอดขายเครื่องดื่มยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่การพึ่งพาผลิตภัณฑ์เพียงประเภทเดียวก็อาจทำให้บริษัทเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

บทสรุป

Red Bull เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการสร้างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในยุคสมัยใหม่ จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงเครื่องดื่มชูกำลังจากประเทศไทย Red Bull ได้เติบโตกลายเป็นจักรวาลแบรนด์ที่ครอบคลุมทั้งวงการกีฬา สื่อ และความบันเทิง

ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่แหวกแนวและการสร้างเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น Red Bull ไม่เพียงแต่ขายเครื่องดื่ม แต่ยังขายไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคทั่วโลก

ในท้ายที่สุด ความสำเร็จของ Red Bull ไม่ได้อยู่ที่การขายเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจและความตื่นเต้นให้กับผู้คนทั่วโลก หากพวกเขาสามารถรักษาพลังงานและความคิดสร้างสรรค์นี้ไว้ได้ พร้อมทั้งปรับตัวให้เข้ากับความท้าทายใหม่ๆ Red Bull ก็มีแนวโน้มที่จะยังคงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกต่อไปในอนาคต

References :
https://en.wikipedia.org/wiki/Red_Bull
https://medium.com/@stellar.alchemist/how-red-bull-makes-money-unleashing-the-secrets-behind-its-success-64710c6cfee7
https://youtu.be/cBRNQMolTPw?si=BOMJfz5YykIXiu1r
https://voymedia.com/red-bull-marketing-strategy/

จากความตลกสู่โศกนาฏกรรม กับ 10 โฆษณา Super Bowl ที่ทำให้คนพูดถึงมากกว่าเกมการแข่งขัน

ในโลกของการโฆษณา เส้นแบ่งระหว่างความคิดสร้างสรรค์และความไม่เหมาะสมนั้นเรียกได้ว่าบางเฉียบยิ่งกว่าเส้นผม การสร้างสรรค์งานโฆษณาที่โดดเด่นและน่าจดจำนั้นเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับนักการตลาดและครีเอทีฟในยุคปัจจุบัน ที่ต้องเดินบนเส้นทางที่ต้องการสร้างผลงานให้มีความ impact สูง โดยไม่ล้ำเส้นไปสู่การสร้างความไม่พอใจหรือความขุ่นเคืองใจให้กับผู้ชม

กรณีล่าสุดของ Apple กับโฆษณาชุด “The Underdog” ที่ถูกถอดออกจาก YouTube นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการสื่อสารในยุคดิจิทัล แม้ Apple จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างสรรค์เนื้อหาที่ถูกใจทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ผู้บริโภคมีความหลากหลายทางความคิดและมุมมองมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่นานมานี้ Apple ยังเคยประสบปัญหาคล้ายกันกับโฆษณา iPad Pro ชุด “Crush!” ที่นำเสนอภาพอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลากหลายชนิดถูกบดอัดจนแบน เหลือเพียง iPad Pro เท่านั้นที่รอดพ้น

แนวคิดนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะจากดาราดังอย่าง Hugh Grant ที่มองว่าเป็นการ “ทำลายล้างประสบการณ์ของมนุษย์ ผลผลิตจาก Silicon Valley” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลเรื่องอิทธิพลของเทคโนโลยีที่มีต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของผู้คน

โฆษณา Super Bowl

ทุกปี บริษัทต่างๆ ทุ่มเงินมหาศาล – ประมาณ 5 ล้านดอลลาร์สำหรับโฆษณา 30 วินาที – เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับชาวอเมริกันกว่า 100 ล้านคนที่คาดว่าจะรับชม เมื่อพวกเขาใช้เงินจำนวนมากเพื่อนำเสนอโฆษณา บริษัทต่างๆ จึงพยายามสร้างสรรค์โฆษณาที่น่าจดจำ แต่โฆษณาบางชิ้นในอดีตอาจจะเกินเลยไปบ้าง

ตั้งแต่เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมทางวัฒนธรรมไปจนถึงโฆษณาที่ยอมรับได้แต่กลับสร้างความขัดแย้งให้กับสังคม เราลองมาดูกันกับ 10 โฆษณา Super Bowl ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักที่สุดตลอดกาล

Nationwide — ‘Baby’

Nationwide Insurance สร้างความตกใจให้กับผู้ชมในระหว่าง Super Bowl 2015 ด้วยการเปิดตัวโฆษณาที่นำเสนอเด็กชายตัวน้อยที่ไม่สามารถสัมผัสประสบการณ์ชีวิตทั้งด้านบวกและลบได้ – เพราะเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ แม้ว่าโฆษณาจะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์บ้าง (เช่น การเก็บน้ำยาล้างจานให้พ้นมือเด็ก) แต่มันก็ทำให้ผู้ชมทั่วประเทศรู้สึกหดหู่และกลายเป็นหนึ่งในโฆษณาที่สร้างความขัดแย้งมากที่สุดตลอดกาล

โฆษณานี้ถึงกับทำให้ Matt Jauchius ผู้บริหารฝ่ายการตลาดของ Nationwide ต้องลาออกจากบริษัทเพียงไม่กี่เดือนหลังจากแคมเปญนี้ออกอากาศ

Cheerios — ‘Gracie’

Cheerios เลือกใช้ครอบครัวเชื้อสายผสมในแคมเปญปี 2013 แต่โฆษณาดังกล่าวกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงทางออนไลน์ด้วยคำวิจารณ์เชิงเหยียดเชื้อชาติ จนถึงขั้นที่ YouTube ต้องปิดการแสดงความคิดเห็นใต้วิดีโอ อย่างไรก็ตาม แทนที่จะถอนโฆษณาที่สร้างความขัดแย้งนี้ General Mills กลับเลือกที่จะนำเสนอโฆษณาข้างต้น ซึ่งมีครอบครัวเดียวกันนี้พูดคุยเกี่ยวกับน้องชายและลูกสุนัข ในระหว่าง Super Bowl 2014

รองประธานฝ่ายการตลาดของ Cheerios ตอบสนองต่อความขัดแย้ง โดยกล่าวว่า “ผู้บริโภคตอบรับเชิงบวกต่อโฆษณา Cheerios ใหม่ของเรา ที่ Cheerios เรารู้ว่ามีครอบครัวหลากหลายรูปแบบ และเราเฉลิมฉลองให้กับทุกครอบครัว”

84 Lumber — ‘The Journey Begins’

โฆษณาปี 2017 ของ 84 Lumber นี้ออกอากาศบนเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโทรทัศน์ หลังจากฤดูกาลเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ทำให้ประเด็นเรื่องการอพยพเข้าเมืองกลายเป็นหัวข้อสนทนาอันดับต้นๆ เรื่องราวที่แสดงให้เห็นการเดินทางอันแสนอันตรายของแม่และลูกสาวเพื่อไปถึงสหรัฐอเมริกา ทำให้หลายคนรู้สึกอึดอัดกับโฆษณานี้ ซึ่งเป็นตัวอย่างสั้นๆ ของวิดีโอยาว 6 นาทีที่เผยแพร่ทางออนไลน์

บางคนกังวลว่าบริษัทใช้ประเด็นการอพยพเข้าเมืองเป็นเครื่องมือทางการตลาด ในขณะที่คนอื่นๆ มองว่าเป็นการโจมตี Donald Trump เนื่องจากเวอร์ชันเต็มของโฆษณาจบลงด้วยฉากที่ครอบครัวนี้สามารถก้าวข้ามกำแพงไปได้ โฆษณานี้ออกอากาศเพียงไม่ถึงสองสัปดาห์หลังจากการเข้ารับตำแหน่งของ Trump

Carl’s Jr. — ‘All-Natural’

Carl’s Jr. คุ้นเคยกับการใช้เสน่ห์ทางเพศในโฆษณา Super Bowl แต่โฆษณาชิ้นนี้ในปี 2015 ทำให้ผู้ชมหลายคนรู้สึกขมขื่นต่อแบรนด์อาหารจานด่วนนี้ โฆษณาที่นำแสดงโดยนางแบบ Charlotte McKinney ที่ดูเหมือนจะไม่สวมใส่อะไรเลย ทำให้ผู้ชมวิจารณ์ว่าเป็นโฆษณาที่เหยียดเพศและต่อต้านสตรีนิยม

Snickers — ‘Kissing’

โฆษณา Snickers นี้ ซึ่งออกอากาศระหว่าง Super Bowl ในปี 2007 แสดงให้เห็นช่างซ่อมรถสองคนที่แบ่งปันช็อกโกแลตบาร์แบบ Lady and the Tramp และจูบกันโดยบังเอิญ หลังจากนั้นพวกเขารู้สึกว่าต้องทำสิ่งที่พิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นลูกผู้ชายตัวจริง เช่น ถอนขนหน้าอกของตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่เกย์

หลังจากโฆษณานี้ออกฉาย Human Rights Campaign และ Gay and Lesbian Alliance Against Defamation ร้องเรียนว่าโฆษณานี้เป็นการเหยียดเพศและ Snickers ถูกกดดันให้ถอนโฆษณานี้ออกจากการออกอากาศ

GM — ‘Robot Suicide’

General Motors สร้างความหดหู่ให้กับประเทศในปี 2007 หลังจากโฆษณาที่น่าตกใจของพวกเขาแสดงให้เห็นหุ่นยนต์ตกงานที่โดดน้ำลงจากสะพาน ในตอนท้าย เปิดเผยว่าเป็นเพียงฝันร้ายของหุ่นยนต์ แต่ผู้ชมไม่พอใจกับเนื้อหาที่แฝงอยู่ซึ่งบ่งบอกว่าการว่างงานและการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ควบคู่กัน

โฆษณานี้ถูกเปลี่ยนแปลงหลังจาก American Foundation for Suicide Prevention กล่าวว่าโฆษณานี้เป็นการส่ง message ที่อันตรายและไม่เหมาะสม

Groupon — ‘Brazilian Wax’ และ ‘Tibet’

กลยุทธ์ทางการตลาดของ Groupon ในปี 2011 เปรียบเทียบประเด็นระดับโลกกับบริการส่วนลด และผู้ชมไม่พอใจกับกลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดของบริษัท

ในโฆษณาหนึ่ง Elizabeth Hurley พูดถึงปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าในป่าฝนบราซิลเพื่อโฆษณาการกำจัดขนแบบบราซิเลียน โดยกล่าวว่า “การตัดไม้ทำลายป่าไม่ได้เลวร้ายเสมอไป” ในอีกโฆษณาหนึ่ง บริษัทล้อเลียนปัญหาทางการเมืองของทิเบตกับจีนเพื่อส่งเสริมข้อเสนอส่วนลดร้านอาหาร “แกงปลาสุดอร่อย” ในท้ายที่สุด บริษัทได้ถอนซีรีส์โฆษณาทั้งหมด

Andrew Mason ผู้ก่อตั้ง Groupon โพสต์คำขอโทษและเพิ่มเติมว่า “เรารู้ว่าการใช้แนวทางนี้อาจนำมาซึ่งเงินทุนและการสนับสนุนมากขึ้นให้กับประเด็นที่เราหยิบยกขึ้นมา… เราได้รับฟังความคิดเห็นของคุณ และเนื่องจากเราไม่เห็นประโยชน์ในการสร้างความโกรธให้ผู้คนต่อไป เราจึงตัดสินใจถอนโฆษณาเหล่านี้”

Holiday Inn — ‘Bob Johnson’

ในโฆษณา Super Bowl ปี 1997 Holiday Inn เปิดตัวโฆษณาที่เปรียบเทียบการปรับปรุงโรงแรมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์กับผู้หญิงข้ามเพศ โฆษณา 30 วินาทีนี้ติดตามผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินผ่านงานคืนสู่เหย้าของโรงเรียนมัธยมปลาย จนกระทั่งมีคนจำเธอได้ว่าเป็น “Bob Johnson” หลังจากที่การผ่าตัดราคาแพงถูกกล่าวถึง

“ลองจินตนาการดูว่า Holiday Inn จะดูเป็นอย่างไรถ้าเราใช้เงินหลายพันล้าน” บริษัทเปิดเผยสโลแกนนี้ในตอนท้าย

โฆษณานี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากผู้ชม จนทำให้ Holiday Inn ต้องยกเลิกแคมเปญนี้ในเวลาไม่นานหลังจาก Super Bowl

GoDaddy — ‘Lola Lingerie’

GoDaddy มีโฆษณาที่หยาบคายมาหลายชิ้น แต่โฆษณานี้ในปี 2010 ถูกรายงานว่าถูกแบนเนื่องจากเป็นโทนที่แสดงถึงการเหมารวม ซึ่งโฆษณาชิ้นนี้นำเสนอ Lola นักฟุตบอลที่เกษียณแล้วในกระบวนการสร้างเว็บไซต์สำหรับบริษัทชุดชั้นในของเขา ซึ่ง Bob Parsons ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ GoDaddy ไม่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมเลย

“จากแนวคิดโฆษณา 5 ชิ้นที่เราส่งไปขออนุมัติในปีนี้ ผมไม่เคยคิดเลยว่าชิ้นนี้จะเป็นชิ้นที่ไม่ได้รับการอนุมัติ” Parsons กล่าวในขณะนั้น

ในปี 2013 บริษัทประกาศว่าจะไม่สร้างโฆษณาแนวเสียดสีแบบนี้อีกต่อไป

“เราเติบโตขึ้นแล้ว เราพัฒนาขึ้นแล้ว” Barb Rechterman ผู้บริหารฝ่ายการตลาดกล่าวในแถลงการณ์ “โฆษณา Super Bowl รูปแบบใหม่ของเราจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเราทำอะไรและเรายืนหยัดเพื่ออะไร เราอาจจะเปลี่ยนแนวทาง แต่อย่างที่เราพูดเสมอ เราไม่สนใจว่านักวิจารณ์จะคิดอย่างไร เราให้ความสำคัญกับลูกค้าของเราเท่านั้น”

PETA — ‘Sexy Vegetables’

PETA สร้างโฆษณาที่สร้างความขัดแย้งมาอย่างยาวนานเพื่อส่งเสริมจุดยืนเรื่องการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างมีจริยธรรม แต่ความพยายามในการออกอากาศโฆษณาในช่วง Super Bowl ของพวกเขาล้วนถูกแบนทั้งหมด ในโฆษณาที่เสนอนี้ในปี 2010 ซึ่ง PETA เสนอเงิน 3 ล้านดอลลาร์ให้ NBC เพื่อออกอากาศ แสดงให้เห็นผู้หญิงในชุดชั้นในกำลังสัมผัสกับผักอย่างใกล้ชิด

ในอีกโฆษณาหนึ่งของ PETA ที่ถูกแบนก่อน Super Bowl 2016 กลุ่มนี้เสนอแนวคิดว่าถ้าคุณไม่กินเนื้อสัตว์ คุณจะอึดทนได้นานขึ้นในเรื่องเพศ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่าสิ่งนี้เป็นความจริง โฆษณานี้ถูกแบนเนื่องจากมีเนื้อหาที่ล่อแหลมเกินไปสำหรับการแข่งขันครั้งใหญ่

บทสรุป

ผมว่าถ้าลองดูโฆษณา 10 ตัวนี้ หลายคน ๆ ก็คงคิดมุมกลับได้แบบเดียวกับที่คิดกับโฆษณา The Underdogs ของ Apple หากมองในมุมของการสร้างสรรค์งานศิลปะ โฆษณาเหล่านี้อาจถูกตีความได้ในหลายแง่มุม บางคนอาจมองว่าเป็นเพียงการนำเสนอแบบตลกร้าย (Dark Humor) ที่มีเจตนาสร้างความประทับใจและสร้างการจดจำ มากกว่าการเหยียดหยามหรือดูถูกผู้อื่น แต่ในขณะเดียวกัน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอารมณ์ขันแบบนี้อาจสร้างความไม่สบายใจให้กับบางคนได้เช่นกัน

มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าประเทศเราเป็นประเทศล้าหลังรับเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้ หรือหลายคนอาจจะพูดว่าประเทศพัฒนาแล้วเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องปกติมาก ซึ่งมันไม่เป็นความจริงเลย จากตัวอย่าง 10 โฆษณา Super Bowl ที่ถูกแบนมันก็บอกเราได้ว่า หากมันข้ามเส้นบาง ๆ เมื่อไหร่ คนส่วนใหญ่ของสังคมก็มีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์งานศิลปะเหล่านี้ และผลลัพธ์สุดท้ายที่โฆษณาเหล่านี้ที่มันถูกแบนนั่นเองมันก็ได้ตอบทุกอย่างอยู่แล้วว่าบริษัทเหล่านี้คิดผิดที่ทำมันออกมา

ประเด็นสำคัญที่เราต้องตระหนักคือ ในโลกยุคปัจจุบันที่การสื่อสารไร้พรมแดน ความเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความอ่อนไหวต่อประเด็นต่างๆ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนักการตลาดและผู้สร้างสรรค์คอน การสร้างงานที่ทั้งสร้างสรรค์ น่าสนใจ และเคารพความรู้สึกของทุกฝ่ายนั้น เป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจในตลาด ความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม

ในท้ายที่สุด บทเรียนจากกรณีของ Apple และแบรนด์อื่นๆ ที่เคยเผชิญกับปัญหาคล้ายกัน ชี้ให้เห็นว่าแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกก็ยังต้องระมัดระวังและเรียนรู้อยู่เสมอ การสร้างสมดุลระหว่างความคิดสร้างสรรค์และความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาวนั่นเองครับผม

References :
https://popculture.com/sports/news/super-bowl-commercials-banned-companies-dont-want-remember/
https://www.marketingoops.com/news/viral-update/crush-ipad-pro-ad-drama/

TikTok x Propaganda เมื่อยักษ์ใหญ่โซเชียลจากจีนพยายามยัดเยียดโฆษณาชวนเชื่อไปยังยุโรป

ต้องบอกว่าเครือข่ายโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ทั่วโลกต่างเคยตกเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อกันมาแทบจะทั้งหมดแล้ว กรณีใหญ่ ๆ ที่เคยเกิดขึ้นตัวอย่างเช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2016 หรือเคสที่เกิดขึ้นกับ Brexit ที่มีหลักฐานมากมายจากการสืบสวนสอบสวนในภายหลัง

แน่นอนว่า TikTok กำลังก้าวขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์มที่มีจำนวนผู้ใช้งานหลักพันล้านคน การถูกใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อนั้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด

และ TikTok เองก็มีข้อมูลที่เปิดเผยสู่สาธารณะในข้อมูลจากคลังโฆษณาที่เผยแพร่โดยบริษัทเองเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ความน่าสนใจคือจากการวิเคราะห์ที่จัดทำโดยสื่อใหญ่อย่าง Forbes (เอนเอียงไปทางโลกตะวันตก) แสดงให้เห็นว่าโฆษณามากกว่า 1,000 รายการจากสื่อของรัฐจีน เช่น People’s Daily และ CGTN ได้ถูกแสดงบนแพลตฟอร์มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022

โฆษณาเหล่านี้ได้ถูกแสดงต่อผู้ใช้หลายล้านคนทั่ว ออสเตรีย เบลเยียม สาธารณรัฐเช็ก เยอรมนี กรีซ ฮังการี อิตาลี ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ และสหราชอาณาจักร

โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ที่โฆษณาโดยสื่อทางการของจีนบน TikTok นั้นเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ

ประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ (CR:The Conversation)
ประเด็นที่มีการถกเถียงกันในวงกว้าง เช่นเรื่อง ซินเจียง มุสลิมอุยกูร์ (CR:The Conversation)

โฆษณาชิ้นหนึ่งซึ่งถูกโปรโมตในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดย China News International นำเสนอชายคนหนึ่งกำลังเต้นรำที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมภายใต้คำบรรยายว่า “ซินเจียงเป็นสถานที่ที่ดี!”

วีดีโออีกรายการแสดงให้เห็นพิธีกร CGTN เยี่ยมชมโรงเรียนประถมในซินเจียง ซึ่งเป็นนสถานที่ที่สถาบันนโยบายยุทธศาสตร์ของออสเตรเลียกำลังติดตามการก่อสร้างสถานที่กักกัน 6 แห่ง โฆษณายังโน้มน้าวการท่องเที่ยวในภูมิภาคและวัฒนธรรมของชาวมุสลิมอุยกูร์ส่วนใหญ่

โฆษณาชิ้นหนึ่งซึ่งถูกโปรโมตในช่วงเดือนธันวาคม นำเสนอเนื้อหาทางวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์การต่อต้านของสหรัฐฯ และยุโรปต่อโครงการพัฒนาระหว่างประเทศของจีนอย่าง Belt & Road Initiative

โฆษณาอีกชิ้นแสดงวีดีโอจากบล็อกเกอร์ที่กล่าวหาสื่อตะวันตกว่าโกหกเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลจีน

เมื่อ TikTok ห้ามโฆษณาทางด้านการเมือง

เรื่องที่ตลกก็คือ TikTok นั้นมีนโยบายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการห้ามโฆษณาในประเด็นทางสังคม การเลือกตั้ง และการเมือง แต่ก็มีข้อยกเว้นไว้ว่า “หน่วยงานของรัฐอาจมีสิทธิ์โฆษณาหากทำงานร่วมกับตัวแทนการขายโฆษณาของ TikTok”

การที่ TikTok ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด ดูจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาของประเทศไทย เมื่อเครื่องมือจากตะวันตกที่เข้าถึงผู้ใช้ระดับ mass อย่าง Facebook นั้นค่อนข้างเข้มงวดกับการใช้แพลตฟอร์มของพวกเขาเป็นเครื่องมือในการหาเสียงเลือกตั้ง เนื่องจากเคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016

Facebook ที่เคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016 (CR:NBC News)
Facebook ที่เคยเจอปัญหาในประเทศสหรัฐอเมริกาเองกับการเลือกตั้งปี 2016 (CR:NBC News)

TikTok จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก ๆ เพราะเป็นโซเชียลมีเดียที่สามารถเข้าถึงผู้คนระดับ mass ไม่ต่างจาก Facebook แต่มีนโยบายการกลั่นกรองที่อาจจะไม่เข้มงวดเท่าแพลตฟอร์มจากตะวันตก

แต่อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเนื้อหาที่ผู้ใช้ในแพลตฟอร์มสร้างขึ้นมาเอง เพื่อสนับสนุนพรรคการเมืองที่พวกเขารัก ซึ่งไม่ได้ใช้รูปแบบการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มเหมือนเคสที่เกิดขึ้นในยุโรป

TikTok กำลังเผชิญกับการสอบถามจากรัฐบาลมากมายทั้งในยุโรปและต่างประเทศเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับจีน สำนักงานรัฐบาลในสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เบลเยียม เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์ รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ได้แบน TikTok จากอุปกรณ์ของรัฐบาลเนื่องจากกังวลว่าแอปดังกล่าวนี้ซึ่ง ByteDance ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนเป็นเจ้าของ

ความกังวลอันดับต้น ๆ ของหน่วยงานกำกับดูแลเกี่ยวกับ TikTok คือความกลัวว่ารัฐบาลจีนอาจใช้มันเพื่อบิดเบือนวาทกรรมของพลเมืองในประเทศประชาธิปไตย

สื่อของรัฐจีนเองก็มีประวัติในการใช้การโฆษณาบนโซเชียลมีเดียเพื่อผลักดันเรื่องเล่าที่สนับสนุนจีนในฝั่งตะวันตก ซึ่งคลังโฆษณาของทั้ง Meta และ Google ก็มีการโฆษณาทำนองนี้จากสื่อของจีนเช่นเดียวกัน

ในปี 2021 พนักงานของ Meta แสดงความกังวลเกี่ยวกับโฆษณาสื่อของรัฐจีนบน Facebook ที่แสดงถึงชาวมุสลิมที่มีความสุขในซินเจียง ซึ่ง Meta กลับมองว่าโฆษณาดังกล่าวไม่ได้ละเมิดนโยบายของบริษัท อย่างไรก็ตามความแตกต่างมันอยู่ตรงที่ว่า Meta และ Google นั้นไม่ได้ห้ามในส่วนนี้ แต่ TikTok ประกาศชัดเจนว่าห้ามโฆษณาเกี่ยวกับการเมือง ปัญหาสังคม หรือการเลือกตั้งบนแพลตฟอร์มของตน

บทสรุป

เอาจริง ๆ บทความนี้เนื้อหาส่วนใหญ่เรียบเรียงมากจาก Forbes ซึ่งแน่นอนว่านำเสนอมุมมองที่เป็นบวกต่อโลกตะวันตก และพยายามยัดเยียดความผิดให้ฝั่งจีนเป็นส่วนใหญ่ ถ้าใครอ่านบทความจากสื่อตะวันตกบ่อย ๆ จะทราบดีว่าพวกเขาก็มี agenda แอบแฝงเช่นเดียวกัน

ผมว่ามันเป็นเรื่องปรกติ ที่แพลตฟอร์มเหล่านี้จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการโฆษณาชวนเชื่อ เพราะแพลตฟอร์มโลกตะวันตกก็ทำอย่างนี้เช่นเดียวกัน และอัลกอริธึมก็มีความ Bias อย่างชัดเจนมาก ๆ

ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ผมแทบจะ engagement กับสื่อจากรัสเซียอย่าง Russia Today แทบจะตลอดเวลา แต่ Facebook มีความชัดเจนในการลดการมองเห็นแบบสุด ๆ สำหรับเนื้อหาในฟีดจากสื่อที่เป็นปฏิปักษ์กับโลกตะวันตกในแพลตฟอร์มของพวกเขา และแน่นอนว่าสื่อจากจีนก็โดนแบบนั้นเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น ในเมื่อ TikTok มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นของจีน ผมว่ามันไม่แปลกที่พวกเขาจะมีโอกาสชี้แจงข้อมูลอีกด้าน ไม่ใช่ถูกยัดเยียดจากความ Bias ของสื่อตะวันตกเพียงอย่างเดียว เพราะสุดท้ายทุกคนต้องได้รับข้อมูลที่รอบด้าน และควรมา คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ด้วยตนเอง ว่าควรจะเชื่อฝั่งไหนมากกว่ากันนั่นเองครับผม

References :
https://www.forbes.com/sites/iainmartin/2023/07/26/tiktok-chinese-propaganda-ads-europe/?sh=2fdc2bcd203d
https://www.wsj.com/articles/facebook-staff-fret-over-chinas-ads-portraying-happy-muslims-in-xinjiang-11617366096
https://hacked.com/tiktok-propaganda-the-latest-danger-to-your-kids/

Adidas จะสามารถตามทันผู้นำอย่าง Nike ได้หรือไม่?

Nike และ Adidas คือคู่ต่อสู้ที่ดุเดือดในการแข่งขันที่ครอบงำอุตสาหกรรมชุดกีฬามาเกือบ 60 ปี พวกเขาทั้งสองพยายามออกแบบ สรรหาบุคลากรและสร้างความเจ๋งให้กันและกัน เพื่อครองตลาดสินค้ากีฬาทั่วโลกที่มีมูลค่าสูงถึง 310,000 ล้านดอลลาร์

ความเฟื่องฟูของปลายทศวรรษที่ 1960 และ 70 การขับเคี่ยวอย่างดุเดือดในศึกรองเท้าผ้าใบ พวกเขาทั้งสองมีความใกล้ชิดกับนักกีฬาและคนดังและได้ทำการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ และประสบความสำเร็จในการฝังตัวเองเข้ากับวัฒนธรรมของผู้บริโภคไปพร้อมกัน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่า Adidas ได้ขึ้นมาท้าทาย Nike ในฐานะผู้ผลิตชุดกีฬารายใหญ่ที่สุดของโลก แม้ Nike จะยังคงนำอยู่ แต่คู่แข่งชาวเยอรมันสามแถบก็มีความทะเยอทะยานภายใต้การนำของ Kasper Rorsted ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารในเดือนตุลาคม 2016

Kasper Rorsted ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารในเดือนตุลาคม 2016 (CR:TheIndustry.fashion)
Kasper Rorsted ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารในเดือนตุลาคม 2016 (CR:TheIndustry.fashion)

รายได้ของ Adidas ได้พุ่งทะยานสูงขึ้น โดยคิดเป็น 30% หรือมากกว่าในช่วงสามปีแรกของการเข้ามากุมอำนาจของ Rorsted

ข้อตกลงในปี 2013 กับ Kanye West แร็ปเปอร์ชาวอเมริกัน มันได้กลายเป็นดีลครั้งประวัติศาสตร์ เพราะภายในปี 2021 สายผลิตภัณฑ์ Yeezy ของ West นั้นมีส่วนแบ่ง 12% ของยอดขายรองเท้าโดยรวมของ Adidas

ในปี 2021 มูลค่าตลาดของ Adidas พุ่งสูงถึง 67 พันล้านยูโร (79 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งสูงขึ้นเกือบ 5 เท่ากับเมื่อเทียบกับห้าปีก่อนหน้า

แต่ในวันนี้ ดูเหมือนสถานการณ์ของ Adidas เริ่มสะดุด บริษัทได้เปิดเผยผลขาดทุนจากการดำเนินงานในไตรมาสสุดท้ายของปี 2022 ที่ 722 ล้านยูโร

ในขณะที่เมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา Nike ได้รายงานยอดขายประจำไตรมาสอยู่ที่ 12 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าปีก่อนหน้า 14% และสูงกว่า Adidas ถึงสองเท่า และมีอัตรากำไรจากการดำเนินงาน 13% มูลค่าตลาดของ Adidas ลดลงเหลือ 2.5 หมื่นล้านยูโร ซึ่งคิดเป็นเพียงแค่ 1 ใน 7 ของ Nike

การถดถอยของ Adidas บางส่วนเป็นผลมาจากปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุม ทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ทำให้ต้นทุนในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทสูงขึ้น บริษัทต้องยุติการดำเนินธุรกิจในรัสเซียหลังจากประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ส่งรถถังบุกเข้ายูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งกระตุ้นให้บริษัทจากโลกตะวันตกต้องอพยพออกจากตลาดรัสเซีย

ปล่อยมือจาก Kanye West

ยังรวมถึงปัจจัยที่ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นกับ Kanye West ที่มีพฤติกรรมเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำให้ Adidas ได้ตัดความสัมพันธ์กับแหล่งทำเงินหลักในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา

Kanye West ที่มีพฤติกรรมเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำให้ Adidas ได้ตัดความสัมพันธ์ (CR:New York Post)
Kanye West ที่มีพฤติกรรมเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำให้ Adidas ได้ตัดความสัมพันธ์ (CR:New York Post)

นั่นทำให้ Yeezys ที่ขายไม่ออกหลายล้านคู่มีมูลค่าประมาณ 1.2 พันล้านยูโร ซึ่งทาง Adidas คาดว่าในช่วงสิ้นปี 2023 จะมีผลประกอบการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 30 ปี ซึ่งอาจจะอยู่ที่ 700 ล้านยูโร

รวมถึงต้องเผชิญกับแนวโน้มของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในยุโรปและอเมริกาเหนือ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจีน

การบริหารงานของ Rorsted ที่เน้นประสิทธิภาพและบีบต้นทุน แม้ว่าจะแลกมาด้วยบางสิ่งที่น่ายินดี แต่เขาก็ปฏิบัติต่อคู่ค้าปลีกของ Adidas อย่างต่ำต้อย โดยเลือกที่จะเน้นขายโดยตรงกับผู้บริโภคผ่านร้านค้าของบริษัทเอง

นอกจากนี้เขายังละเลยในเรื่องการลงทุนด้านนวัตกรรม แม้ Rorsted จะเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินที่ดี Florian Reidmuller จาก Nuremberg Institute of Technology กล่าว แต่เขาเป็นตัวอย่างของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณเลือกคนผิดให้ดำรงตำแหน่งสูงสุดขององค์กร

เปลี่ยนผ่านผู้นำ

คณะกรรมการของ Adidas ได้มองหาทางเลือกใหม่ และคิดว่าได้คนที่เหมาะสมแล้ว Bjorn Gulden ซึ่งเข้ามารับตำแหน่ง CEO เมื่อต้นปี 2023

ภารกิจแรกของ Gulden คือตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับ Yeezys ทั้งหมด ซึ่งมีตัวเลือกทั้งการพยายามขายเพื่อโละสต็อก หรือบริจาคให้กับการกุศล เช่น ผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวในตุรกีและซีเรีย

ความท้าทายระยะยาวของ Adidas คือจะจัดการอย่างไรกับประเทศจีน ซึ่งในปีที่แล้วยอดขายในจีนของ Adidas ลดลง 36% ด้วยนโยบาย Zero Covid ของรัฐบาลจีนอย่างเข้มงวดและพฤติกรรมการคว่ำบาตรแบรนด์ตะวันตกที่แสดงความเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยมุสลิมอุยกูร์ของจีน ก็น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก แม้กระทั่ง Nike ก็มียอดขายที่ลดลง 8% ในจีนเช่นเดียวกันในไตรมาสที่ผ่านมา

Adidas ไม่เหมือน Nike ที่กลายเป็นแบรนด์ชุดกีฬาที่ขายดีที่สุดของจีน ซึ่งปรับตัวเข้ากับรสนิยมของคนในท้องถิ่นได้อย่างช่ำชอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักในกีฬาบาสเก็ตบอลที่เพิ่มมากขึ้น ยอดขายในจีนของ Adidas ถูกแซงหน้าโดย Anta ซึ่งเป็นคู่แข่งในท้องถิ่นที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และตอนนี้มีความเสี่ยงที่จะเสียตำแหน่งหมายเลขสามให้กับ Li Ning ไปอีกราย

ยอดขายในจีนของ Adidas ถูกแซงหน้าโดย Anta ซึ่งเป็นคู่แข่งในท้องถิ่นที่เติบโตอย่างรวดเร็ว (CR:SCMP)
ยอดขายในจีนของ Adidas ถูกแซงหน้าโดย Anta ซึ่งเป็นคู่แข่งในท้องถิ่นที่เติบโตอย่างรวดเร็ว (CR:SCMP)

Gulden เรียกปี 2023 ว่าเป็น “ปีเปลี่ยนผ่าน” ซึ่งจะทำให้เป็นเส้นทางสู่การสร้างธุรกิจที่ทำกำไรด้อย่างราบรื่นในปี 2024 เขาวางแผนที่จะลดเงินปันผล เพิ่มส่วนลดสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ขายไม่ออก กระชับความสัมพันธ์กับเหล่าผู้ค้าปลีกใหม่ และลงทุนเพิ่มเติมในผลิตภัณฑ์และแบรนด์ Adidas เพิ่มมากยิ่งขึ้น

แต่นั่นเปรียบเสมือนการเริ่มต้นใหม่ ถ้าหาก Adidas ต้องการตามให้ทัน Nike จริง ๆ พวกเขาจำเป็นต้องเร่งจังหวะให้เร็วกว่านี้อีกมากเลยทีเดียวครับผม

References :
https://www.economist.com/business/2023/03/23/can-adidas-ever-catch-up-with-nike
https://shoeeffect.com/how-can-adidas-compete-with-nike/
https://www.marketingdive.com/news/sneaker-supremacy-nike-adidas-brand-rivalry/621712/
https://www.bbc.com/news/business-53761933

De-influencing กับเทรนด์ TikTok ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เราคิดใหม่เกี่ยวกับสิ่งที่เราจะซื้อ

หลายท่านที่มีการเสพสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น TikTok , Facebook , Instagram หรือ Youtube เราจะเห็นพลังของอินฟลูเอนเซอร์ ที่ตอนนี้เกิดขึ้นมากมาย มีการโปรโมตแบรนด์ต่าง ๆ และกลายเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มีเงินหมุนเวียนจำนวนมหาศาล

แต่บางครั้งมันดูล้นจนเกินไป คุณคงเคยพบเจอคลิป Viral ไปงานแต่งแฟนเก่าแล้วลดน้ำหนักลงไปจำนวนมาก คลิปการใช้สินค้าที่มันดูเว่อร์จนเกินจริงแบบไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะเหล่าผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ลดน้ำหนักทั้งหลาย ที่มีคลิปแนวเหล่านี้มากมายเต็มฟีดไปหมด

แต่ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ครีเอเตอร์จำนวนมากขึ้นบน TikTok กำลังกระตุ้นให้ผู้คนต่อต้านการล่อลวงของการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์ และหันมาประเมินการจับจ่ายใช้สอยใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระแสที่ถูกเรียกว่า “de-influencing (ลดอิทธิพล)” ทำให้เกิดแฮชแท็กและมีผู้เข้าชมเกือบ 180 ล้านครั้ง

ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้คนจำนวนมากกำลังประเมินการใช้จ่ายของตนใหม่อย่างรุนแรงเพื่อตอบสนองต่อการปลดพนักงานครั้งใหญ่ อัตราเงินเฟ้อและราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น 

มันทำให้เกิดการถกเถียงกันเกี่ยวกับความถูกต้องของการตลาดที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งบังคับให้ผู้คนต้องคิดใหม่ว่าผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาซื้อตามคำแนะนำของอินฟลูเอนเซอร์นั้นมันดีจริงอย่างที่พวกเขาคาดหวังไว้หรือไม่ 

แฮชแท็ก de-influencing ทำให้เกิดวิดีโอที่วิพากษ์วิจารณ์การบริโภคมากเกินไปและวิดีโอที่มีการโฆษณาเกินจริงของผลิตภัณฑ์และชี้ให้ผู้ชมเห็นถึงทางเลือกที่ดีกว่า 

แพลตฟอร์มอย่างเช่น TikTok และ Instagram ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อต่อต้านการบริโภคที่มากเกินไป พวกมันถูกออกแบบมาเพื่อจัดลำดับความสำคัญของปัจเจกบุคคลเหนือส่วนรวมและการบริโภคสินค้าก็เป็นหนึ่งในแกนหลักของแพลตฟอร์มเหล่านี้

แต่ก็ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่จุดจบของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ เพราะการลดอิทธิพลมันกลับไปสร้างอิทธิพลในรูปแบบใหม่แทนนั่นเอง ซึ่งวีดีโอส่วนใหญ่มันยังคงเกี่ยวกับการแนะนำและการขายไม่ต่างจากเทคนิคของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์เดิม ๆ ใช้กัน 

แต่สิ่งที่พวกเราควรคาดหวังได้ก็คืออินฟลูเอนเซอร์จะมีจุดยืนมากขึ้นในการนำเสนอสินค้าหรือผลิตภัณฑ์เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ติดตามจะไว้วางใจพวกเขา  และอย่างน้อยก็เป็นการพัฒนาขึ้นจากที่แต่เดิมนั้นแบรนด์สามารถจ่ายเงินก้อนโตเพื่อให้แนะนำผลิตภัณฑ์ยาลดน้ำหนักปลอม ๆ กับผู้ติดตามหลายแสนคนอย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าเราไม่สามารถควบคุมกลไกของแพลตฟอร์มของ Big Tech และอุตสาหกรรมที่สร้างขึ้นรอบ ๆ แพลตฟอร์มเหล่านี้ได้มากนัก แต่สิ่งที่แนวโน้มของการลดอิทธิพลมีให้คือพื้นที่สำหรับผู้คนที่จะหยุดและคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขากับอุตสาหกรรมอินฟลูเอนเซอร์ รวมถึงวิธีที่พวกเขาใช้จ่ายผ่านการติดตามอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้

ไม่ว่าการลดอิทธิพลจะเป็นเพียงเทรนด์ TikTok ระยะสั้นหรือการเปลี่ยนแปลงระยะยาว สิ่งที่ชัดเจนคือมันได้เริ่มเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่พวกเราซื้อสินค้าในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
https://www.standard.co.uk/insider/deinfluencing-trend-what-is-it-tiktok-b1062075.html
https://www.cnet.com/culture/internet/under-de-influence-this-tiktok-trend-aims-to-get-us-to-rethink-what-we-buy/
https://www.ft.com/content/38d04f54-a8b3-435e-b2bd-2f392e3b31f4
https://thetechboss.us/this-is-the-ultimate-guide-to-tiktok-influencer-marketing/