เมื่อบริการออนไลน์จากจีน ไม่สามารถที่จะก้าวผ่านกำแพงเมืองจีนได้เสียที

ยักษ์ใหญ่ทางด้านบริการออนไลน์ของประเทศจีน หรือ BAT ที่ประกอบไปด้วย Baidu , Alibaba และ Tencent นั้น กำลังพยายามที่จะก้าวข้ามผ่านการเป็นเพียงแค่บริการในประเทศจีนเท่านั้น แต่ดูเหมือนมันเป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกินสำหรับพวกเขา

เรียกได้ว่า ตัวเลขรายได้นอกประเทศจีนของทั้งสามบริการนั้นมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อย Baidu ที่ 1% , Tencent ที่ 5% ส่วน Alibaba ที่มากหน่อยก็ทำได้เพียงแค่ 11% ซึ่งด้วยความพยายามรุกตลาดสากลของ Alibaba โดยการผลักดันโฆษณา ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2018 ในประเทศเกาหลีใต้

แน่นอนว่าการเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกานั้น เป็นความท้าทายมาก ๆ ของ BAT เครื่องมือค้นหาของ Baidu นั้นเคยมีความพยายามในการเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น เมื่อปี 2007 ด้วยการสร้างเครื่องมือค้นหาภาษาญี่ปุ่น ซึ่งมีอักขระคล้ายกับภาษาจีน แต่ในที่สุด ก็ถูกตีพ่ายยับ จากคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่าอย่าง Google และ Yahoo ทำให้ Baidu ต้องหนีออกจากตลาดไปในท้ายที่สุด

Jack Ma นั้นเคยกล่าวไว้ว่าเป้าหมายของ Alibaba คือการได้ยอดขายครึ่งหนึ่งจากนอกประเทศจีน แต่ก็ต้องดิ้นรนอย่างมากเพื่อให้สามารถที่จะตั้งหลักได้ในอเมริกา Jack Ma ได้ขึ้นข่าวพาดหัวหลายครั้ง ในการสัญญากับประธานาธิบดี ทรัมป์ ในการสร้างงานในอเมริกาให้มากขึ้น และเพื่อดึงดูดธุรกิจขนาดเล็กในอเมริกาให้มาใช้บริการของ Alibaba

แต่สงครามการค้าที่ยิ่งทวีความรุนแรงระหว่างจีน กับ อเมริกา ก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลงไปอย่างรวดเร็ว

ในฟากฝั่ง Tencent นั้น บริการอย่าง Wechat ที่ความนิยมแบบผูกขาดในประเทศจีน ไม่ได้ทำให้พวกเขาเข้มแข็งมากนักนอกประเทศจีน แม้ขนาดประเทศไทย Wechat ยังไม่สามารถที่จะต่อกรกับ Line จากประเทศ ญี่ปุ่น ได้เลย มีผู้ใช้บริการเพียงแค่น้อยนิด ซึ่งไม่ต้องพูดถึงในอเมริกา ที่ส่วนใหญ่ ผู้ใช้งานก็มีแค่ ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ที่ต้องติดต่อทำมาค้าขายกับประเทศบ้านเกิดเพียงเท่านั้น

แม้ว่ามีความพยายาม ที่จะปรับบริการให้เข้ากับวัฒนธรรมของอเมริกา ไม่มีการเก็บข้อมูลประวัติของข้อความ หรือเพิ่มบริการชำระเงินเข้าไป ก็ไม่สามารถที่จะต่อกรกับบริการเจ้าถิ่นอย่าง Paypal หรือ Stripe ได้

ซึ่งส่วนใหญ่แอปสำหรับชำระเงินของ Wechat นั้นก็มีไว้เพื่อบริการ ผู้บริหารชาวจีน นักท่องเที่ยว หรือ นักเรียนที่มีบัญชีธนาคารจีน และบัตรประจำตัวประชาชนจีนเป็นหลักเพียงเท่านั้น

นวัตกรรมทางด้านออนไลน์ของจีนเจ๋งจริงหรือ?

ต้องบอกว่า อย่าคาดหวังกับนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีชั้นนำจากประเทศจีน ที่จะก้าวไปสู่กระแสหลักในประเทศอย่างอเมริกาในเร็ววันนี้

เนื่องด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรม แบรนด์ที่ชาวอเมริกาไม่เหลียวแล และกฏระเบียบต่าง ๆ ของรัฐบาล รวมถึงความกลัวว่าบริการออนไลน์จากจีนจะไม่ปลอดภัย เป็นเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลของการก้าวไปสู่ระดับโลกของ แบรนด์ทางด้านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตจากจีน เพราะมันเป็นเรื่องของปัจจัยทางจิตใจและอารมณ์เสียเป็นส่วนใหญ่

แต่ถามว่า เมื่อดูจากการเจาะตลาดไปยังประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อเมริกานั้น บริการเหล่านี้ ก็ยังถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นเอเชียด้วยกันเอง อย่าง ญี่ปุ่น หรือ ไทย พวกเขาก็ไม่สามารถเจาะเข้ามาได้ มีบริการน้อยมากที่จะฮิตกลายเป็นกระแสหลักนอกประเทศจีน เหมือนบริการจากประเทศอเมริกา

ต้องบอกว่าแม้บริการออนไลน์ของพวกเขาจะเจ๋ง มีนวัตกรรมล้ำเลิศแค่ไหนในประเทศจีน แต่ดูเหมือนว่า นอกกำแพงเมืองจีน นั้น แทบจะไม่มีใครสนใจบริการของพวกเขาแต่อย่างใดนั่นเองครับผม

References : https://chinafund.com/great-firewall-of-china/

ทำไม Linkedin ถึงสามารถบุกตลาดจีนได้สำเร็จ

ต้องบอกว่า Linkedin นั้นถือเป็นหนึ่งในบริษัททางด้าน internet น้อยรายจากอเมริกาที่สามารถเข้าถึงได้ในประเทศจีน ซึ่ง Facebook , Google , Twitter หรือ Pinterest นั้นต่างถูกบล็อก

ซึ่ง Linkedin นั้นจะมุ่งเน้นไปที่เครือข่ายของมืออาชีพ และได้รับความสนใจจากประชากรชาวเน็ตในประเทศจีน ซึ่งมีการเติบโตของกลุ่มผู้คนมืออาชีพกว่า 140 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวแทนของเหล่าพนักงานที่มีความรู้ประมาณ 1 ใน 5 ของโลก

โดย Jeff Weiner ซีอีโอ ของ Linkedin ได้กล่าวในการเปิดตัวเว๊บไซต์ภาษาจีนในปี 2014 ว่า “เป้าหมายของ Linkedin คือ เชื่อมโยงเหล่าผู้ใช้งานมืออาชีพชาวจีน เข้ากับสมาชิกที่เหลือของ Linkedin กว่า 277 ล้านคนใน 200 ประเทศทั่วโลก”

ต้องบอกว่า Linkedin นั้นได้ทำสิ่งที่แตกต่างจากบริการอื่น ๆ สิ่งแรกคือ เวอร์ชั่นภาษาจีนที่มีเนื้อหาเป็นภาษาท้องถิ่น และมีการตั้งบริษัทเข้าไปลงทุนในประเทศจีน รวมถึงการว่าจ้าง Derek Chen ผู้ประกอบการทางด้านเทคโนโลยีที่มีประสบการณ์ ที่ได้รับการว่าจ้างเป็นผู้นำ Linkedin ในสาขาประเทศจีน

ซึ่ง Chen นั้น มีอิสระในการปรับแต่งเว๊บไซต์ ซึ่งสมาชิก Linkedin ในประเทศจีนนั้นสามารถที่จะ import รายชื่อผู้ติดต่อจาก Weibo และเชื่อมโยงบัญชีของพวกเขาไปยัง Wechat เพื่อทำการแบ่งปันเนื้อหาข้ามเครือข่ายได้

และเป็นเวลาเพียงไม่ถึง 4 ปี ที่ Linkedin China นั้นมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 8 เท่า และจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นจาก 4 ล้านคน เป็น 41 ล้านคนในประเทศจีน และนับเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้บริการท้องถิ่นที่เข้ามาแข่งขันนั้นต้องปิดตัวลง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมากกับบริการ internet ในประเทศจีน

ซึ่งแม้ว่า Linkedin China นั้นจะรอดพ้นเงื้อมมือจาก Startup ในประเทศจีน ที่ทำการลอกเลียนแบบ Features ของ Linkedin เหมือนกับที่ทำในบริการอื่น ๆ มีบริการอย่าง Vaideo จากฝรั่งเศษ หรือ Ushi บริการอีกรายที่ก่อตั้งในเซี่ยงไฮ้ ที่พยายามทำตัวเป็น Linkedin of china แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

แล้วสาเหตุใดที่ Linkedin สามารถประสบความสำเร็จได้ในแผ่นดินจีน

ต้องบอกว่ามีปัจจัยหลายประการที่ Linkedin สามารถยืนหยัดได้ในประเทศจีน การทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมจีน การปรับแต่งบริการสำหรับผู้บริโภคชาวจีน รวมถึงการให้อำนาจแก่ผู้นำในท้องถิ่น เพื่อการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่ง แตกต่างจากบริการอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ที่มักจะใช้นโยบายเดียวกับบริษัทแม่ในอเมริกาเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถสรุปเป็นหัวข้อได้ดังนี้

  1. ให้หาหุ้นส่วนจีนในท้องถิ่น อย่าบุกตะลุยเดี่ยวเพียงอย่างเดียว
  2. จ้างทีมงานท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ในธุรกิจและเทคโนโลยีของจีน
  3. ให้ความเป็นอิสระแก่ทีมงาน ที่สามารถตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ทันท่วงที โดยไม่ต้องขึ้นกับสำนักงานใหญ่ที่อเมริกา
  4. ปรับแต่งบริการและคุณสมบัติสำหรับลูกค้าชาวจีน
  5. วางกลยุทธ์การซื้อกิจการที่สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว
  6. เรียนรู้ที่จะเจรจากับลูกค้าชาวจีนที่ต้องการ และอย่าคาดหวังว่าจะชนะทุกครั้ง
  7. ตั้งเป้าที่การเติบโตก่อนมองหาผลกำไร
  8. พัฒนากลยุทธ์ส่งเสริมการขายที่สร้างสรรค์
  9. เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการเมืองอย่างกะทันหันในจีน
  10. พยายามรักษาวิสัยทัศน์ และ มองการแข่งขันในระยะยาว

References : หนังสือ Tech Titans of China เขียนโดย Rebecca A.Fannin

Geek Monday EP61 : Neural Link กับความคืบหน้าล่าสุดจาก Elon Musk

Elon Musk ได้ขึ้นเวทีที่สำนักงานใหญ่ของ Neural Link เพื่อเปิดเผยต้นแบบ V2 ของเครื่อง Neural Link ที่ได้มีการเปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว

และการเปิดเผยครั้งสำคัญในครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นการ ปฏิวัติวงการแพทย์ เมื่อชิป ดับกล่าวจะสามารถ วัดอุณหภูมิ ความดัน และ การเคลื่อนไหวของผู้ป่วย ซึ่งอาจให้คำเตือบล่วงหน้าเกี่ยวกับ อาการหัวใจวาย หรือ โรคหลอดเลือดสมอง ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่คร่าชีวิตของมนุษย์ในลำดับต้น ๆ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ 

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3jpyXv6

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3lth6VY

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/JztCGywUueE

References : https://www.somagnews.com/elon-musk-introduced-neuralink-all-the-details/

Geek Life EP5 : Team First กับแนวคิดการจัดการทีมของสุดยอดโค้ชซีอีโอ Bill Campbell

Bill Campbell เป็นสุดยอดโค้ชของทีมบริหารของ Google ในยุคตั้งไข่ เขาทำการปั้นและสร้างทีมงานผู้เล่นที่เหมาะสมในแต่ละตำแหน่ง ทำการให้กำลังใจพวกเขาและตักเตือนหากผลงานของทีมโดยรวมต่ำกว่าเป้าหมาย

Bill มักพูดอยู่เสมอว่า คุณไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จได้หากไม่มีทีม คุณสามารถที่จะประสบความสำเร็จและทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จได้ด้วยวัตถุประสงค์ร่วมกันในทีมเท่านั้น ต้องบอกว่า มีหลายคนที่ไม่เข้าใจสิ่งนี้ และแม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำมันอย่างไร และนี่่คือความอัจฉริยะของ Bill Campbell

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/2GcdMyr

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/2QzyRVm

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3jwEjVz

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/v8abi4pVNBg

References : https://adolfofernandez.org/category/books/

Elon Musk กับการอัพเดทความก้าวหน้าครั้งสำคัญของ Neural Link

ถือเป็นการอวดผลงานครั้งสำคัญของสุดยอดนักประดิษฐ์ และ นักเทคโนโลยีอย่าง Elon Musk ที่มีการเปิดเผยถึงความคืบหน้าของโครงการ Neural Link อินเทอร์เฟซระหว่างสมองและเครื่องจักรกล ที่จะปฏิวัติวงการ และเป็นก้าวที่สำคัญ ที่จะทำให้มนุษย์เราสามารถต่อสู้กับความสามารถของ AI ที่นับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดย Elon Musk ได้ขึ้นเวทีที่สำนักงานใหญ่ของ Neural Link เพื่อเปิดเผยต้นแบบ V2 ของเครื่องต้นแบบที่มีการเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว โดยรุ่น V2 นี้จะบรรจุอิเล็กโทรดมากถึง 1,024 ตัว และจะแตะเพียงแค่ผิวเปลือนอกของสมองมนุษย์เพียงเท่านั้น

โดยอิเล็กโทรดเหล่านี้จะเชื่อต่อกับชิป “Link 0.9” ของ Neural Link ซึ่งเป็นชิปขนาด 23 มม. * 8 มม. ซึ่งจะเสียบเข้ากับรูเล็ก ๆ ที่เจาะเข้าไปในกะโหลดศรีษะของผู้ป่วย และเป็นตัวที่ใช้ในการรวบรวมสัญญาณ

โดยจะสามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วระดับ เมกะบิต ต่อ วินาที และด้วยแบตเตอรี่เทคโนโลยีใหม่ มีรายงานว่าสามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้เต็มวัน และช่วยให้ผู้ใช้สามารถชาร์จไฟได้ในขณะนอนหลับ

และการเปิดเผยครั้งสำคัญในครั้งนี้ เรียกได้ว่า ปฏิวัติวงการแพทย์ เมื่อชิป ดับกล่าวจะสามารถ วัดอุณหภูมิ ความดัน และ การเคลื่อนไหวของผู้ป่วย ซึ่งอาจให้คำเตือบล่วงหน้าเกี่ยวกับ อาการหัวใจวาย หรือ โรคหลอดเลือดสมอง ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่คร่าชีวิตของมนุษย์ในลำดับต้น ๆ

โดยในระหว่างการสาธิตนั้น Musk ได้เปิดเผยการทดลองกับ หมู 3 ตัว ได้แก่ Joyce , Gertrude และ Dorothy โดย Joyce นั้นไม่ได้รับการปลูกถ่าย ส่วน Dorothy นั้นได้รับการปลูกถ่าย และได้ถอดออกในภายหลัง ส่วน Gertrude นั้นได้รับการปลูกถ่าย และอุปกรณ์ Link ก็ยังฝังอยู่ในตัวของมัน

เพื่อทำการทดสอบเปรียบเทียบผลกระทับทั้งสามตัวอย่าง และเก็บข้อมูลเพื่อมาวิเคราะห์ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ทำการทดลองในหนู และได้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างดีเยี่ยม ที่ Musk เคยออกมากล่าวว่า “Link สามารถที่จะควบคุมคอมพิวเตอร์ด้วยสมองได้”

การปลูกถ่ายไปยังสมองมนุษย์ | cr : cnet.com
การปลูกถ่ายไปยังสมองมนุษย์ | cr : cnet.com

ต้องบอกว่า ถือเป็นการยกระดับเทคโนโลยี โดยเฉพาะในเรื่องของอุปกรณ์ Device ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับมนุษย์เราที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่ง ใน V2 ที่ Musk ได้ออกมากล่าวนั้น ต้องบอกว่ามันเหมือนกับอุปกรณ์อย่าง Fitbit ในกะโหลกศีรษะของมนุษย์เรา

แน่นอนว่าเป้าหมายแรกของ Elon Musk ก็คงเป็นการช่วยเหลือผู้ป่วย หรือ การทำการ Monitor สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย เพื่อแจ้งเตือนล่วงหน้า จะดีแค่ไหน เมื่อ อุปกรณ์อย่าง Link สามารถแจ้งเตือนอาการ อย่าง โรคหัวใจวาย หรือ หลอดเลือดสมองตีน ให้เราเหมือนมีระบบ Notification บนมือถือ ที่ต้องบอกว่าโรคดังกล่าวนั้นได้คร่าชีวิต ผู้คนที่คุณรักแบบไม่ทันได้ตั้งตัวมาอย่างมากมาย

รวมถึงการช่วยเหลือ ผู้ป่วยพิการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสายตา หรือ การได้ยิน ที่อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถที่จะมาช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ Musk ก็ยังหวังว่า สุดท้ายแล้วจุสามารถยกระดับอุปกรณ์ดังกล่าว ให้สามารถอ่านจิตใต้สำนึกของมนุษย์ และทำให้เราสามารถสื่อสารกับเครื่องจักร หรือ AI ได้ โดยใช้เพียงแค่ความคิด หรือ ถึงขนาดที่ว่าในอนาคตเราสามารถที่จะบันทึก หรือ เล่นซ้ำ ความทรงจำเก่า ๆ เหมือนที่เราทำกับสื่อดิจิตอล ได้นั่นเอง

ต้องบอกว่า Elon Musk นั้นมองปัญหาใหญ่ ๆ ของโลกเราเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังงานทดแทน หรือ การเดินทางในอวกาศ ซึ่งล้วนแล้วต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการสร้างฝันของเขาให้สำเร็จขึ้นมาได้

และที่สำคัญ การหลอมรวมกันอย่างกลมกลืนของซอฟต์แวร์ อิเล็กทรอนิกส์ วัสดุล้ำสมัย และประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ มันคือพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ของ Elon Musk ที่ยากจะหาใครเทียบได้ในยุคปัจจุบัน 

ทั้ง SpaceX , Tesla , SolarCity หรือ โครงการล่าสุดอย่าง Neural Link นั้น เป็นบริษัทที่ล้วนอยู่ในอุตสาหกรรมที่มี Impact ต่อโลกเราอย่างมหาศาล ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นมีหลายคนเคยปรามาสว่าเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน และไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ Musk ก็ได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าแม้จะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ หรือ ยากเย็นเพียงใด เขาก็สามารถทำมันให้เห็นผลเป็นประจักษ์ได้สำเร็จได้นั่นเองครับ และผมก็เชื่อเช่นนั้นครับ..

References : https://www.newscientist.com/article/2253274-elon-musk-demonstrated-a-neuralink-brain-implant-in-a-live-pig
https://www.engadget.com/elon-musk-unveils-v-2-of-the-neuralink-brainmachine-interface-surgery-bot-231559145.html
https://www.cnet.com/news/elon-musks-neuralink-its-like-a-fitbit-in-your-skull/