รักแรก รักเดียว และรักแท้ ของชายที่ชื่อ Mark Zuckerberg

เรื่องราวความรักจากการเผชิญหน้ากันครั้งแรกของ Mark Zuckerberg และ Priscilla Chan ได้รับการเปิดเผยจากหลายแหล่ง แต่ข้อเท็จจริงแล้วนั้นมันเกิดขึ้นระหว่างงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยลูกพี่ลูกน้องของ Mark Zuckerberg ในปี 2003 และสิ่งที่น่าประหลาดใจในการพบกันครั้งแรกของพวกเขาก็คือ พวกเขาพบกันในห้องน้ำ

หลังจากนั้นนักเรียน Harvard สองคนนี้ได้เริ่มคบกัน เมื่อถูกถามเกี่ยวกับความประทับใจเกี่ยวกับ Mark Zuckerberg “เขาเป็นเด็ก nerd ที่แสบไม่ใช่ย่อยเลยทีเดียว” Chan กล่าว “ฉันจำได้ว่าเขามีแก้วเบียร์ที่เขียนว่า ‘pound include beer dot H’ ซึ่งมันเป็นแท็กสำหรับโปรแกรมภาษา C++ มันเหมือนกับอารมณ์ขันในวิทยาลัย แต่มีความน่ารัก แฝงไปด้วยความน่าสนใจทางวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์

ในสมัยนั้น Mark Zuckerberg เป็นเพียงนักศึกษาธรรมดาที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าพ่อ Social Network เหมือนอย่างที่เห็นในปัจจุบัน เขาเปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ ซึ่งกิจวัตรประจำวันส่วนใหญ่ของเขาคือการเขียน Code รวมถึง แก้ปัญหาต่างๆ ทั้งวัน ด้วยพลังงานที่ล้นเหลือ 

หนุ่มเนิร์ดที่รักการเขียนโค้ด ด้วยพลังที่ล้นเหลือ
หนุ่มเนิร์ดที่รักการเขียนโค้ด ด้วยพลังที่ล้นเหลือ

อันที่จริงผู้หญิงแทบทุกคนใน Harvard ในตอนแรกเหมือนจะไม่ชอบในตัว Mark Zuckerberg เพราะเขาทำผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ ที่มีการปล่อยรูปถ่ายของนักเรียนผ่านเว็บไซต์ที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบความ Hot ของสาว ๆ อย่าง Facemash  

แต่ถึงอย่างนั้น Chan ก็ตกหลุมรักเขาตั้งแต่เริ่มแรก และเช่นเดียวกัน Zuckerberg เองก็รักเธอมากเช่นกัน โดยเขามักทำเรื่องตลก ๆ ตามสไตล์ของเด็กเนิร์ด เขาอยากจะออกเดทกับเธอมากกว่าที่จะตั้งใจเรียนให้จบกลางภาคเรียนซะด้วยซ้ำในตอนนั้น นอกจากนี้ Zuckerberg ยังพยายามเรียนภาษาจีนอย่างรวดเร็วเพื่อให้มีส่วนร่วมกับครอบครัวของ Chan มากยิ่งขึ้น

ต่อมา Mark Zuckerberg ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้งในชีวิตของเขา เขาได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาบริหารกิจการของเขาซึ่งนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของ Facebook ด้วยการที่ใช้ชีวิตร่วมกันตั้งแต่การกำเนิดขึ้นของ Facebook ทำให้พวกเขาได้ผ่านช่วงเวลาสำคัญด้วยกันมากมาย

ในปี 2006 มีข้อเสนอมากมายที่ตั้งใจจะซื้อ Facebook รวมถึงจาก Yahoo ที่มาพร้อมกับข้อเสนอมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ 

ซึ่งก็ต้องบอกว่าตัวของ Zuckerberg กำลังดิ้นรนภายใต้แรงกดดันมากมายในช่วงเวลานั้น และ Chan ก็จำได้ว่า “ฉันจำได้ว่าเรามีการสนทนาเกี่ยวกับข้อตกลงของ Yahoo อยู่เสมอ แต่ในที่สุดเราก็ตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายใหญ่ที่สุดในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกนี้ผ่านแพลตฟอร์ม Facebook” 

สำหรับข้อเสนอต่าง ๆ มากมายที่เข้ามาหา Zuckerberg เขาได้ปฏิเสธข้อเสนอการซื้อกิจการแทบจะทั้งหมด และตอนนี้มันก็ได้พิสูจน์ในสิ่งที่เขาทำ เมื่อ Facebook ได้กลายเป็น Social Network ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก

แม้ว่า Zuckerberg เป็นคนบ้างาน แต่ Chan ก็เป็นผู้หญิงที่ฉลาดที่รู้วิธีรักษาความสัมพันธ์ที่ดี Chan ได้วางกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดสำหรับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ซึ่งพวกเขาต้องทำตาม “หนึ่งวันต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย ที่ต้องใช้เวลาร่วมกันอย่างน้อยหนึ่งร้อยนาที และสถานที่ต้องไม่ใช่ในอพาร์ตเมนต์ของเขา และแน่นอนว่าไม่ใช่ที่ Office ของ Facebook”

แม้จะงานยุ่งขนาดไหน ทั้งคู่มีกฏที่ต้องใช้เวลาร่วมกันอย่างน้อยอาทติย์ละครั้ง
แม้จะงานยุ่งขนาดไหน ทั้งคู่มีกฏที่ต้องใช้เวลาร่วมกันอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง

เมื่อ Chan อายุเพียง 13 ปีเธอตั้งใจจะเข้ามหาวิทยาลัย Harvard ชีวิตนั้นยากเกินกว่าที่เธอคาดหวังไว้ แต่เธอถูกสอนให้เป็นผู้หญิงที่ฉลาด โดยพ่อของ Chan เป็นชาวจีนและแม่ของเธอเป็นชาวเวียดนาม 

ทั้งครอบครัวอาศัยอยู่ในเวียดนามเป็นระยะเวลาหนึ่งและจากนั้นย้ายเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ลี้ภัย พ่อแม่ของ Chan ทำงานอย่างหนักมากถึง 18 ชั่วโมงต่อวันในการบริหารร้านอาหาร 

สำหรับความพยายามของพวกเขาทั้งคู่ก็คือการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น และการให้การศึกษาที่ดีสำหรับลูก ๆ  อย่างไรก็ตามทั้งพ่อและแม่ของ Chan นั้นมีเวลาไม่มากนักในการดูแลลูก ๆ ซึ่งพวกเขาต้องทิ้ง Chan ไว้ให้คุณยายเลี้ยงดู

ซึ่งแม้ว่าคุณยายของ Chan นั้นจะไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยก็ตาม แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่มีเหตุผล เธอช่วย Chan ให้วางแผนชีวิตที่ถูกต้องและสอนให้เธอพึ่งพาตนเอง และมีความมั่นใจในตัวเอง

ในช่วงมัธยมปลายของ Chan เธอได้รับรางวัลพิเศษมากมาย เมื่อเธอถามครูสอนเทนนิสเกี่ยวกับการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Harvard หลังจากสำเร็จการศึกษา ครูแนะนำให้ Chan เข้าร่วมทีมเทนนิสเพราะ Harvard ต้องการให้นักเรียนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่จากทุกด้านรวมถึงกิจกรรมด้านกีฬา 

Chan เข้าร่วมทีมเทนนิส และมีความพยายามอย่างมากที่จะพาตัวเองเข้าสู่ Harvard ให้ได้  และในที่สุดเธอก็ได้รับการตอบรับทุนจากมหาวิทยาลัย Harvard

หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Harvard Chan ได้มาเป็นนักศึกษาแพทย์ที่ University of California, San Francisco เธอไม่ได้เลือกที่จะทำงานใน Facebook แต่เธอเลือกที่จะทำงานที่ FASE และ สอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียน Harker เพราะเธอเป็นคนรักเด็ก ๆ มาก

ทั้งคู่ที่คบกันมา 9 ปี ก่อนที่จะแต่งงานกันในปี 2012 มีรายงานว่างานแต่งงานเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับแขกที่ได้รับการแจ้งว่าพวกเขากำลังจะมาร่วมงานฉลองสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ของ Chan และไม่มีใครคาดคิดว่าคู่นี้จะแต่งงานในหนึ่งวันหลังจากที่ Facebook ทำ IPO ในตลาดหุ้น

ซึ่งสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้จัดงานแต่งงานในสวนหลังบ้านใน Palo Alto ของ Zuckerberg และในที่สุด Zuckerberg ก็สวมชุดสูทมากกว่าที่จะเป็นฮูดเครื่องหมายการค้าของเขา นอกจากนี้เขายังออกแบบแหวนด้วยตัวเองและเป็นสิ่งที่ทำมาเซอร์ไพรซ์ Chan ในวันแต่งงาน

Zuckerberg และ Chan ทำสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบง่ายที่สุดเสมอ สำหรับการ ฮันนีมูน ในอิตาลี พวกเขายังมานั่งทานแมคโดนัลด์กัน ดังนั้นหนังสือพิมพ์บางฉบับจึงกล่าวถึงฮันนีมูนว่า “McHoneymoon ของ Zuck” แต่จากรูปคุณจะเห็นว่าพวกเขาสนุกกับงานเลี้ยงของ McDonald มากมายขนาดไหน

ในขณะที่ Chan อาจเป็นที่รู้จักจากความพยายามด้านการกุศล ซึ่งเธอและ Zuckerberg มีเป้าหมายเดียวกันและกลายเป็นผู้บริจาครายใหญ่ในที่สุด จนถึงตอนนี้พวกเขาได้มอบเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการศึกษา 

โดยทั้งคู่ยังประกาศว่าพวกเขาจะบริจาคเงิน 120 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นกองทุนสาธารณะสำหรับโรงเรียนของรัฐซานฟรานซิสโก ซึ่งหลังจากที่ลูกสาวคนแรกของพวกเขาเกิด พวกเขาตั้งใจจะบริจาคมากถึง 99% ของจำนวนหุ้นใน Facebook เพื่อต่อสู้เรื่องสิทธิ์ในความเท่าเทียมและความรัก การตัดสินใจนี้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ Chan คิดทั้งหมด

หลังจากคลอดลูกสาวคนแรกทั้งคู่ก็ทุ่มเงินให้การกุศลทั้งหมด
หลังจากคลอดลูกสาวคนแรกทั้งคู่ก็ทุ่มเงินให้การกุศลทั้งหมด

ต้องบอกว่าเรื่องราวความรักของทั้งคู่นั้น มันเกินขอบเขตของเผ่าพันธุ์และเชื้อชาติ จากเรื่องราวความรักของ Mark Zuckerberg และ Priscilla Chan เราสามารถเรียนรู้ได้ว่าการได้รับการสนับสนุนและความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคู่รักทุกคู่ 

พวกเขาถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของการเป็นคู่รักที่ทรงพลังและสร้าง Impact อย่างมหาศาลให้กับโลกของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวคิดการบริจาคหุ้นที่มีแทบจะทั้งหมดให้กับการกุศล หรือ เรื่องราวของธุรกิจที่ Mark Zuckerberg กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากให้เกิดขึ้นกับโลกของเรา และเรื่องราวทั้งสองด้านของคู่รักคู่นี้ เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชื่นชมเป็นอย่างมากนั่นเองครับ

–> อ่านเพิ่มเติมประวัติ Mark Zuckerberg

References : https://www.bollywoodshaadis.com/articles/the-love-story-of-mark-zuckerberg-and-priscilla-chan-1839 https://www.businessinsider.com/mark-zuckerberg-and-priscilla-chans-12-year-relationship-in-photos-2015-7 https://people.com/human-interest/mark-zuckerberg-priscilla-chan-love-story/ https://fabiosa.com/rsako-auemm-pbdar-phkan-a-timeline-of-unconditional-love-the-story-of-mark-zuckerberg-and-priscilla-chan/

Bill Gates , Mark Zuckerberg กับความเชื่อผิด ๆ ที่ไม่ต้องเรียนในชั้นมหาวิทยาลัยก็ประสบความสำเร็จได้

หลายท่านอาจจะเคยได้เห็นคำคม หรือ บทความใด ๆ ที่มักยกตัวอย่างการเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยของสองตำนานนักธุรกิจอย่าง Mark Zuckerberg และ Bill Gates ที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน เพื่อมาทำตามความฝันของตัวเอง

ใช่แล้ว ทั้ง Zukcerberg และ Bill Gates นั้น ต่างลาออกจากมหาวิทยาลัย แต่น้อยคนนักที่จะเป็นได้เป็นแบบพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะไม่จบการศึกษา แต่ประสบการณ์ในมหาวิทยาลัย ก็ยังคงมีส่วนสำคัญในความสำเร็จของพวกเขา

Zuckerberg นั้นได้สร้าง Facebook ในมหาวิทยาลัย จนกลายเป็นกระแสในหมู่นักศึกษา เพราะมันได้สร้างขึ้นจากความต้องการที่แท้จริงในมหาวิทยาลัย

ส่วน Gates นั้นใช้เวลา 3 ปี ในการเรียนคณิตศาสตร์ และ การเขียนโปรแกรมที่ Harvard อย่างเข้มข้น ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นสร้างบริษัทตัวเองอย่าง Microsoft ขึ้นมา และที่มหาวิทยาลัยนี่เองที่เขาได้พบกับ Steve Ballmer ชายที่เข้ามากุมบังเหียนของ Microsoft ในอีก 4 ทศวรรษต่อมา

ต้องบอกว่ามีสถานที่ล้ำค่าไม่กี่แห่งในโลก และช่วงเวลาในชีวิตเรา ที่อยู่รายล้อมไปด้วย ความกระตือรือร้น พลังผลักดันอันแรงกล้า ในช่วงชีวิตในมหาวิทยาลัย

การไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ทำให้เราได้เรียนรู้มากกว่าเพียงแค่ในห้องเรียน และใน case ที่ร้ายแรงที่สุดอย่างน้อย เราก็ได้ตีตรา ว่าผ่านการจบสถาบันการศึกษาในมหาวิทยาลัยมาแล้ว ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดของเราในการเริ่มต้นชีวิตทำงาน

แผนกทรัพยากรบุคคลในบริษัทยักษ์ใหญ่ส่วนใหญ่ ยังมีความคิดที่ยากจะเปลี่ยนแปลงไปในเร็ว ๆ วันนี้ พวกเขายังคัดคนจากมหาวิทยาลัยระดับท็อปเป็นสิ่งแรก แม้จะมีตัวเลือกระดับเทพมากมายที่อาจจะเรียนรู้เฉพาะทางจากโลกที่เปิดการเรียนรู้อย่างมากมายในปัจจุบัน

ตัวอย่างในประเทศอเมริกา แม้จะไม่มีใครเชื่อ แต่ต้องยอมรับจริง ๆ ว่า อเมริกานั้น มีระบบชั้นวรรณะ ที่เรียกว่า มหาวิทยาลัย เมื่อถึงจุดสูงสุดของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ อัตราการว่างงานในกลุ่มผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยมีน้อยกว่า 5% ในขณะที่ผู้ที่จบเพียงชั้นมัธยมปลายนั้น มีอัตราว่างงานสูงถึง 15% และระดับความสำเร็จในชีวิตคุณนั้นจะแบ่งตามมหาวิทยาลัยที่คุณเข้าเรียน ซึ่ง ตรงนี้ คงไม่ต่างจากในประเทศไทยสักเท่าใดนัก

ตอนนี้มีความเข้าใจผิดมาก ๆ ที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่า บริษัท เทคโนโลยีเฉพาะ ที่เป็นยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley นั้น กำลังปฏิวัติการศึกษาในแบบแผนเดิม ที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องรับคนที่จบมหาวิทยาลัยเข้าทำงาน

แต่ในทางกลับกันนั้น Harvard, Yale , MIT และ Stanford กลับกลายเป็นมหาวิทยาลัยรายการโปรด ตัวเลือกแรก ๆ ในการรับเข้าทำงานของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้

ต้องบอกว่าในมหาวิทยาลัยชั้นนำ เพียงแค่ชื่อ หรือ แบรนด์ของมหาวิทยาลัยนั้นไม่ใช่สิ่งเดียว ที่เราจะได้รับนอกเหนือจากเรื่องของการศึกษา Connection คือสิ่งสำคัญมาก ๆ ที่ได้รับจากมหาวิทยาลัยระดับท็อปเหล่านี้

ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะกลายเป็นเครือข่าย Connection ที่่สำคัญ ในการทำงานในอนาคตนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเราเติบโตขึ้น เราไม่ได้ประสบความสำเร็จด้วยตัวเองเพียงคนเดียวอีกต่อไป ส่วนใหญ่แล้วบุคคลในระดับสูงที่ประสบความสำเร็จก็มักจะมีส่วนช่วยที่สำคัญจากที่ปรึกษา หรือ พันธมิตรทางธุรกิจ ที่เราได้รับจาก Connection เมื่อครั้งยังเรียนในระดับมหาวิทยาลัยนั่นเองครับ

References : https://www.wired.com/story/playing-monopoly-what-zuck-can-learn-from-bill-gates/
หนังสือ The Four The Hidden DNA of Amazon, Apple, Facebook, and Google

Elon Musk กล่าว “คนที่ไม่คิดว่า AI จะฉลาดกว่าพวกเขา เป็นคนโง่กว่าที่คิด”

Elon Musk CEO ของ Tesla กล่าวย้ำถึงข้อกังวลของเขาเกี่ยวกับอนาคตของปัญญาประดิษฐ์ในวันพุธที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า ผู้ที่ไม่เชื่อว่าคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เกินขีดความสามารถทางปัญญาของพวกเราได้ เป็นคนโง่กว่าที่คิด

Musk กล่าว “เราควรกังวลว่า AI กำลังจะก้าวไปถึงจุดไหน และคนที่คิดผิดมากที่สุดเกี่ยวกับ AI คือคนที่ฉลาดมาก ๆ เพราะพวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าคอมพิวเตอร์จะฉลาดกว่าพวกเขา เป็นตรรกะที่โง่กว่าที่คิด

ก่อนหน้านี้ Musk ได้กล่าวว่าเขาเชื่อว่า AI ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อมนุษยชาติมากกว่าอาวุธนิวเคลียร์และเรียกร้องให้มีกฎระเบียบในการตรวจสอบในการพัฒนาเทคโนโลยี AI

“อันตรายของ AI นั้นใหญ่กว่าอันตรายจากหัวรบนิวเคลียร์เป็นอย่างมาก” Musk กล่าวในปี 2018 “ไม่มีใครในโลกนี้อยากให้โลกสร้างหัวรบนิวเคลียร์ขึ้นมาเพิ่มอีก : แต่ AI จะอันตรายยิ่งกว่านิวเคลียร์ “

Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook ไม่เห็นด้วยกับ Musk และกล่าวว่า AI มีประโยชน์มากมาย ทั้งการปรับปรุงการดูแลสุขภาพ และสามารถลดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะที่เห็นว่า Musk นั้นมอง AI ในแง่ร้ายมากเกินไปเกี่ยวกับ AI

สำหรับโดยส่วนตัวนั้น ก็ถือว่า ติดตามเทคโนโลยีด้าน AI มาอยู่ตลอดเป็นเวลาหลายปี และใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการทำงานด้วย ต้องบอกว่าความเห็นส่วนตัวนั้น ค่อนข้างที่จะเห็นด้วยกับ Elon Musk

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ผมมองเห็นน่าจะเป็นการสร้าง Alpha Go ที่เอาชนะแชมป์โกะโลกได้ ต้องบอกว่า ก่อนหน้านี้ ที่ IBM เคยเอาชนะแชมป์หมากรุกโลกได้นั้น ถือเป็นเรื่องเล็ก ๆ ไปเลย เมื่อเทียบกับเกมส์โกะ เพราะเกมส์โกะ เป็นเกมส์ที่มีความน่าจะเป็นในกระดานสูงมาก และต้องคิดแบบหลายชั้น

ซึ่งการที่ AI สามารถเอาชนะขีดจำกัดในข้อนี้ของมนุษย์ได้นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา เราต้องลองจินตนาการว่า หาก Alpha Go สามารถเอาชนะแชมป์โลกโกะ ได้ แล้วต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ AI สามารถเรียนรู้การทำงานของมนุษย์ และรู้ถึงจุดอ่อนของมนุษย์เราได้

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ คือการเกิดขึ้นของ Alpha Go
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ คือการเกิดขึ้นของ Alpha Go

ต่อจากนี้เราก็อาจจะได้เห็น Alpha Go ในทุก Domain เลยก็ว่าได้ลองจินตนาการว่า  หมอที่เก่งที่สุดในโลกในด้านที่ AI สามารถจำลองการทำงานได้ เช่น รังสีแพทย์ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลจากการถ่าย X-RAY ไม่ว่าจะเป็น Ultrasound , MRI , CT-Scan เพื่อใช้ในการวิเคราะห์โรคร้ายต่าง ๆ ซึ่งหมอเล่านี้นั้น ต้องใช้การเรียนรู้ + ประสบการณ์ในการ วิเคราะห์ภาพที่ได้จากเครื่อง X-RAY ชนิดต่าง ๆ ซึ่ง ไม่ยากเลยสำหรับ AI ที่จะเรียนรู้แบบหมอได้

และเทคโนโลยีปัจจุบันนั้น คิดว่า สมมติว่ามีการแข่งขัน ให้หมอที่เทพที่สุดด้านนี้ มาแข่งกับ AI ผลน่าจะไม่ต่างจากเกมส์โกะ ที่สามารถเอาชนะแชมป์โลกไปได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ก็อยู่ที่ว่ามนุษย์เรานั้นจะสามารถยอมรับได้หรือไม่ หากต่อไป นั้น เราจะถูกวินิจฉัยโดย AI ซึ่งไม่ใช่หมอ

เช่นเดียวกับ ในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะยอมรับได้มั๊ยว่า รถแบบขับเคลื่อนอัตโนมัตินั้น จะเป็นรถปรกติที่วิ่งบนถนนเดียวกับเรา ซึ่ง ยังไงอัตรการเกิดอุบติเหตุจาก AI เหล่านี้ ก็น่าจะน้อยกว่ามนุษย์อยู่แล้ว เพราะความแม่นยำที่สามารถตรวจสอบได้ และขีดจำกัดหลาย ๆ อย่างของมนุษย์นั้น จะไม่สามารถทำงานได้เทียบเท่า AI อีกต่อไป

แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ???

References : https://www.businessinsider.com/elon-musk-smart-people-doubt-ai-dumber-than-they-think-2020-7

Copycat กับกลยุทธ์ง่าย ๆที่ Facebook ใช้จัดการกับภัยคุกคามที่มาจาก Snapchat

Mark Zuckerberg ตระหนักดีถึงภัยคุกคามที่อาจทำให้ Facebook ถึงคราวล่มสลายได้จากบริการ Social Network ดาวรุ่งอื่น ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้เข้าซื้อ Startup ยอดนิยมเช่น Instagram, WhatsApp  เพื่อไม่ให้กลายมาเป็นภัยคุกคามกับบริการหลักอย่าง Facebook ของเขาในอนาคต

แต่วิธีการนั้นใช้ไม่ได้กับ Snapchat เมื่อ Facebook พยายามซื้อในปี 2013 แต่ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Snapchat อย่าง Evan Spiegel ได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 3 พันล้านเหรียญ 

สำหรับ Zuckerberg นั้น Snapchat กลายเป็นเด็กดื้อ ที่ไม่ยอมเชื่อฟังพวกเขาแต่โดยดี และที่สำคัญ Snapchat ก็ยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ดึงดูดผู้ใช้มากขึ้นและที่สำคัญยังพยายามเข้ามาแย่งส่วนแบ่งของบริการรูปภาพและวิดีโอที่ผู้ใช้โพสต์ไปยัง Facebook หรือ Instagram อีกด้วย

Evan Spiegel CEO ของ Snapchat ปฏิเสธการเข้าซื้อของ Mark Zuckerberg
Evan Spiegel CEO ของ Snapchat ปฏิเสธการเข้าซื้อของ Mark Zuckerberg

Snapchat พิสูจน์แล้วว่ามีตลาดขนาดใหญ่สำหรับวิธีการของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับความพยายามที่ล้มเหลวในการซื้อ Snapchat ของ Zuckerberg และนั่นทำให้ Zuckerberg พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อโจมตีภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของ Facebook ในหลาย ๆ ด้านทันที

Facebook คัดลอกฟีเจอร์ Story ของ Snapchat ซึ่งให้ผู้ใช้โพสต์ภาพสไลด์และวิดีโอสไลด์ที่หายไปหลังจาก 24 ชั่วโมง ในแอพ Facebook, Messenger, WhatsApp และ Instagram  

ไม่เพียงเท่านั้น Facebook ยังเพิ่มตัวเลือกการส่งข้อความที่ไม่ถาวรซึ่งเป็นการเลียนแบบมากจาก Snapchat โดยตรง ให้กับบริการทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Instagram และ Messenger และเริ่มทำการทดสอบ Filter ใบหน้าที่คล้ายคลึงกันกับเลนส์ของ Snapchat

ในช่วงกีฬาโอลิมปิก ในประเทศบราซิลและแคนาดา ผู้ใช้ที่เปิดแอป Facebook ของพวกเขาจะเห็นหน้าต่างกล้องเปิดขึ้นซึ่งคล้ายกับ Snapchat ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาใช้สีใบหน้าแบบบราซิลหรือแคนาดาเพื่อให้กำลังใจประเทศของพวกเขาในการเชียร์กีฬาโอลิมปิก  พวกเขายังสามารถเพิ่มตัวบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์บนภาพถ่ายที่กล่าวว่า “ทีมแคนาดา” และ “ทีมบราซิล” ได้อีกด้วย

นี่คือสงคราม Copycat อย่างแท้จริง ด้วยการใช้คุณสมบัติทั้งหมดของ Snapchat ในส่วนต่าง ๆ ของอาณาจักร Facebook และ Instagram และแน่นอนว่ามันส่งผลให้การเติบโตของ Snapchat ช้าลงทันที ผู้คนหลายร้อยล้านคนใช้ Facebook และ Instagram แทนที่ Snapchat เพราะมันทำทุกอย่างได้เหมือนกัน

ตลอดสิ้นปี 2016 และต้นปี 2017 มีการแสดงความคิดเห็น และจำนวนการ View บน Instagram Stories มากกว่าใน Snapchat Stories 

ในช่วงดังกล่าว Instagram มีผู้ใช้งานมากกว่า 700 ล้านรายต่อวันเปรียบเทียบกับ Snapchat เพียงแค่ 166 ล้านคนและผู้ใช้ส่วนใหญ่มีเพื่อนและผู้ติดตามบน Instagram มากกว่าบน Snapchat 

Story ได้กลายมาเป็น Features สุดฮิตบน Instragram
Story ได้กลายมาเป็น Features สุดฮิตบน Instragram

ด้วย Features Story ที่เพิ่มเข้ามา มันได้สร้างความตื่นเต้นที่ได้เห็นว่ามีคนกี่คนกำลังเฝ้าดู Story ของผู้ใช้งานแต่ละคน Zuckerberg ต้องขอบคุณ Snapchat ที่ได้สร้าง Features ดี ๆ แบบนี้ออกมา และมันกำลังแพร่กระจายผ่านฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ของ Instagram ในท้ายที่สุด

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งบทเรียนทางธุรกิจที่น่าสนใจมาก ๆ ในเรื่องนี้ ที่ Facebook พยายามคัดลอก Snapchat หลายครั้ง เพราะความล้มเหลวในการเข้าซื้อกิจการ Snapchat มันไม่สำคัญอีกต่อไป พวกเขามองเพียงแค่ความสำเร็จเท่านั้น และสุดท้ายพวกเขาก็ชนะในเกมครั้งนี้นั่นเองครับ

–> อ่าน Blog Series ประวัติ Mark Zuckerberg
ตอนที่ 1 : Facemash (The Beginning)

References : https://thenextweb.com/socialmedia/2018/05/21/facebook-is-killing-snapchat-with-the-format-it-created/
https://www.wired.com/story/copycat-how-facebook-tried-to-squash-snapchat/
https://www.businessinsider.com/how-developer-mark-zuckerberg-invented-instagram-stories-copied-snapchat-2020-4

เรียนเขียนโปรแกรม 2 วันเพื่อก้าวสู่เส้นทางมหาเศรษฐีของ Facebook Co-Founder อย่าง Dustin Moskovitz

ลองนึกภาพการใช้เวลาสองสามวันเพื่อเรียนรู้ภาษาการเขียนโปรแกรมใหม่ที่จะเปลี่ยนคุณให้กลายเป็นมหาเศรษฐี ฟังดูเรื่องราวเหล่านี้มันเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่คุณรู้หรือไม่ว่าเรื่องราวดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงที่เกิดกับชายที่ชื่อว่า Dustin Moskovitz

ในปี 2005 เมื่อ Facebook เพิ่งเป็นบริษัทเล็ก ๆ กับพนักงานเพียง 50 คน Mark Zuckerberg CEO ได้รับเชิญให้ไปบรรยายที่โรงเรียนเก่าของเขา Harvard

เขาเป็นคนที่ไม่มีใครในเวลานั้นไม่รู้จักสิ่งที่เขาสร้างมันขึ้นมาที่ Harvard

ในปี 2005 Facebook สร้างกระแสในโลกนี้ มันได้กลายเป็นเครือข่ายทางสังคมสำหรับนักศึกษาที่แพร่กระจายไปยังมหาวิทยาลัยกว่า 2,000 แห่งและสร้างการเข้าชมเว๊บไซต์ประมาณ 400 ล้านครั้งต่อวัน Zuckerberg กล่าวกับผู้ชมในวันนั้น

เมื่อเราย้อนอดีตกลับไปในปี 2005 Yahoo ยังคงเป็นแพลตฟอร์มใหญ่ที่สุดสำหรับการค้นหา และได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งใน บริษัท อินเทอร์เน็ตที่ประสบความสำเร็จขนาดใหญ่พร้อมกับบริการอย่าง eBay และบริการขายหนังสือออนไลน์ ในขณะนั้นอย่าง Amazon

เรื่องที่ดีที่สุดที่เขาบอกในการบรรยายในครั้งนั้น ก็คือ รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีที่เพื่อนร่วมห้องของเขา Dustin Moskovitz เข้ามาเกี่ยวข้องกับ Facebook ได้อย่างไร

Mark Zuckerberg สร้าง Facebook ในห้องพักหอพักของเขาโดยใช้ภาษาในการเขียนโปรแกรมคือ PHP และเว็บไซต์ดังกล่าวก็กลายเป็นที่นิยม จนฉุดไม่อยู่

“ผมเริ่มเขียนเว๊บไซต์และเปิดตัวที่ Harvard ในเดือนกุมภาพันธ์ 2004 และภายในสองสามสัปดาห์คน 2-3 พันคนสมัครเข้ามาใช้งานและเราเริ่มได้รับอีเมลจากผู้คนที่มหาวิทยาลัยอื่น ๆ เรียกร้องให้เราเปิดตัว Facebook ที่มหาลัยของพวกเขา “เขากล่าว

เขาเรียนวิชาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์อย่างหนัก แต่มันก็สนุกมาก ๆ “แม้มันจะไม่ได้ทำให้ผมมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำอะไรกับ Facebook มากมายนักในช่วงเริ่มต้น ดังนั้นเพื่อนร่วมห้องของผม Dustin จึงเป็นมากกว่าแค่ผู้ร่วมก่อตั้ง ‘ผมต้องการความช่วยเหลือ เราจะทำการขยาย Facebook ” นั่นเป็นประโยคแรกที่ Mark Zuckerberg ได้กล่าวกับเพื่อนร่วมห้องของเขาอย่าง Dustin Moskovitz ให้เข้ามาร่วมงานใน Facebook

Zuckerberg บอกกับ Moskovitz ว่า   “Facebook มันค่อนข้างเจ๋ง แต่ดูเหมือนนายจะไม่รู้เกี่ยวกับภาษา PHP เลย”

โชคดีที่ PHP นั้นเรียนรู้ได้ง่ายโดยเฉพาะถ้าคุณรู้จักภาษา C ซึ่ง  Moskovitz ได้เรียนรู้มา

PHP ไม่ใช่ PERL เพื่อน

“วันหยุดสุดสัปดาห์นั้น Moskovitz ก็ได้กลับบ้านและไปซื้อหนังสือ ‘PERL for Dummies’ กลับมาและบอกกับ Zuckerberg ว่า ‘ฉันพร้อมจะลุยกับนายแล้วเพื่อน’ ก่อนที่ทาง Zuckerberg จะบอกกับเขาว่า “เว็บไซต์ของ Facebook เขียนด้วย PHP ไม่ใช่ PERL นะครับเพื่อน”

หลังจากนั้น Moskovitz ก็ได้ศึกษา PHP อย่างหนัก และเรียนรู้ภาษา PHP อย่างรวดเร็วภายใน “2-3 วัน” และ เริ่มที่จะมาช่วย Zuckerberg จากปัญหาทางเทคนิคของการขยายจากมหาวิทยาลัยหนึ่งไปยังอีกหลายมหาวิทยาลัย

Dustin Moskovitz เรียนรู้ PHP อย่างรวดเร็วจนมาเป็นกำลังสำคัญของ Facebook
Dustin Moskovitz เรียนรู้ PHP อย่างรวดเร็วจนมาเป็นกำลังสำคัญของ Facebook

Zuckerberg และ Moskovitz ได้ย้ายจาก Harvard ไปที่ Palo Alto, California เพื่อทำงานกับ Facebook แบบเต็มเวลาในท้ายที่สุด

Moskovitz ออกจาก Facebook ในปี 2008 สามปีหลังจากการพูดคุยครั้งนี้ ซึ่งหุ้น Facebook ของเขา ในภายหลังจะทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีหนุ่มเช่นเดียวกัน

หลายปีต่อมาเรื่องราวที่เล่าขานกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาได้กลายมาเป็นแก่นกลางในหนังสือ “The Accidental Billionaires” ซึ่งนำไปสู่ภาพยนตร์เรื่อง “The Social Network” ในท้ายที่สุด

และ Zuckerberg พูดอย่างอื่นในการบรรยายที่น่าสนใจมาก : เขาไม่เคยวางแผนที่จะให้ Facebook กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่ยิ่งใหญ่อย่างในทุกวันนี้

“ ลักษณะหนึ่งของ บริษัท ที่ประสบความสำเร็จจริง ๆ ไม่ใช่ว่าเราเพียงแค่ทำมันให้ประสบความสำเร็จจริง ๆ แต่เราต้องตกอยู่ห้วงเวลาที่ พวกเราพยายามทำสิ่งที่เจ๋ง ๆ ออกมาตลอดเวลา และมีไฟที่จะทำมันอยู่เรื่อย ๆ ไม่ใช่เพียงแค่พยายามสร้างบริษัทเพียงเท่านั้น” เขากล่าว

นี่คือ VDO การบรรยายเต็มรูปแบบซึ่งมีความยาวประมาณหนึ่งชั่วโมง ต้องบอกว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ๆ ของทั้งคู่ในการนำพา Facebook ก้าวมาอยู่ในจุดที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ :

อ่าน Blog Series : ประวัติ Mark Zuckerberg

References : https://en.wikipedia.org/wiki/Dustin_Moskovitz
https://www.businessinsider.com/how-moskovitz-became-facebook-cofounder-2016-3
https://www.forbes.com/profile/dustin-moskovitz/
https://www.capitalism.com/dustin-moskovitz-net-worth/
https://www.arkansasonline.com/news/2012/apr/16/true-silicon-valley-spirit-facebook-alumn-20120416/
https://www.newstatesman.com/world/2018/01/imperial-ambitions-facebook-founder-mark-zuckerberg