Smartphone War ตอนที่ 8 : It’s time to open

ถ้าถามว่าแนวคิดหลักที่สำคัญอย่างหนึ่งของผลิตภัณฑ์ Apple ที่มีมาโดยตลอดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมานั้น ก็คือ การสร้าง ecosystem แบบปิด ที่ Apple นั้นต้องการที่จะควบคุมทุกอย่างของประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า

แน่นอนว่าข้อดี ก็อย่างที่เราทราบกันว่า Apple สามารถ Control ทุกอย่างได้อย่างที่ใจต้องการและมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และมันเป็นแนวคิดเริ่มต้นมาตั้งแต่สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในยุคแรก ๆ 

แต่เห็นได้ชัดว่าในศึกของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้น Apple พ่ายแพ้ให้กับ Microsoft อย่างราบคาบ เนื่องจาก Windows ของ Microsoft นั้นสามารถที่จะไปลงกับ Hardware ของผู้ผลิตรายใดก็ได้ ต่างจาก Mac ของ Apple ที่สามารถรันกับเครื่อง Apple ได้เพียงเท่านั้น และสุดท้าย Windows ก็เติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นมาตรฐานของวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วโลกในที่สุด

และเช่นเดียวกันกับในเรื่องนักพัฒนา ส่วนใหญ่ Apple จะค่อนข้างปิดไม่ให้นักพัฒนาภายนอกเข้ามายุ่มย่ามกับ Ecosystem ของ Apple มีเปิดบ้าง แต่เพียงน้อยนิดเท่านั้น เช่นใน iPod ที่มีการสร้างเกมส์เข้ามาจากนักพัฒนาภายนอกนั่นเอง

Apple เริ่มเปิดให้นักพัฒนาภายนอกสร้างเกมส์สำหรับ iPod
Apple เริ่มเปิดให้นักพัฒนาภายนอกสร้างเกมส์สำหรับ iPod

แต่เมื่อเหล่านักพัฒนาทั่วโลกต่างได้ยลโฉม iPhone ที่เพิ่งได้มีการเปิดตัวนั้น ต้องบอกว่าเหล่านักพัฒนาทั่วโลกต่างน้ำลายไหล ที่จะได้สร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้กับ iPhone เพราะดูเหมือนว่า iPhone นั้นสามารถที่จะสร้าง Application อีกหลายอย่างที่จะทำงานร่วมกันมันได้นั่นเอง

และเนื่องจาก Concept หลักของ iPhone นั้นมีระบบปฏิบัติการที่อยู่เบื้องหลังอยู่แล้ว เพราะเป็นการพอร์ตมาจาก OSX ระบบปฏิบัติการบนเครื่อง Mac และตอนเปิดตัว iPhone นั้นก็ชัดเจนว่า มันมี Application ที่รันอยู่บนระบบปฏิบัติการดังกล่าว เช่น  Mail , Safari หรือแม้กระทั่ง Google Maps นั่นเอง

แต่ก่อนการเกิดขึ้นของ iPhone นั้น เหล่านักพัฒนาก็อยู่ใน แพลตฟอร์มอื่นที่มี Application ให้พัฒนาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Symbian ของ Nokia หรือ Windows Mobile ของ Microsoft 

แต่ตัวจ๊อบส์เองนั้นค่อนข้างกังวลเป็นอย่างมากในเรื่องการจะทำให้ iPhone เป็นแพลตฟอร์มแบบเปิด เพราะกังวลในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลรวมถึง จ๊อบส์มองว่าเหล่า App จากภายนอกนั้นเป็นผู้รุกราน เป็นความไม่สมบูรณ์ และจะทำความเสียหายให้กับตัวเครื่อง และที่สำคัญที่สุด Apple จะไม่สามารถ Control ประสบการณ์การใช้งานจาก App จากนักพัฒนาภายนอกได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ จ๊อบส์ต้องชั่งใจเป็นอย่างยิ่ง

และหลังจากต้องตัดสินใจอย่างหนักในเรื่องนี้ ที่จะทำให้ iPhone กลายเป็นระบบปฏิบัติการแบบเปิดให้นักพัฒนาภายนอกเข้ามาได้นั้น เป็นเรื่องที่จ๊อบส์ต้องคิดหนักเป็นอย่างมาก

แต่สุดท้ายในเดือนตุลาคม ปี 2007 หลังจากปล่อย iPhone ออกจำหน่ายได้ประมาณ 10 เดือน จ๊อบส์ ก็ได้ประกาศครั้งสำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ iPhone อีกครั้ง เมื่อจ๊อบส์ประกาศให้มีการสร้าง  Native App ของนักพัฒนาภายนอก และมีการวางแผนจะเอา SDK (Software Development Kit) ให้เหล่านักพัฒนาได้ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2008

สุดท้ายก็ให้นักพัฒนาภายนอกมาสร้าง App ได้จริงในปี 2008
สุดท้ายก็ให้นักพัฒนาภายนอกมาสร้าง App ได้จริงในปี 2008

แต่มันเป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจ๊อบส์ ที่ต้อง balance กันระหว่าง การสร้างแพลตฟอร์มระดับเทพ และเป็นระบบเปิดให้กับเหล่านักพัฒนา ขณะเดียวกันก็ต้องคุ้มครองผู้ใช้ iPhone จาก ไวรัส มัลแวร์ รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานด้วย

ซึ่งทำให้แม้จะไม่เปิดหมดซะทีเดียว แต่จ๊อบส์ เชื่อในแนวทางของตนเพื่อรักษาประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้ใช้ iPhone นั่นเอง ซึ่ง App ภายนอกนั้นจะมีการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งผู้ใช้ iPhone จะสบายใจได้ว่ามีความปลอดภัยสูงสุดนั่นเอง 

และนี่ก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของวงการมือถือโลก กับการพัฒนา App รูปแบบใหม่ให้กับ iPhone ซึ่งมีความสามารถสูงกว่ามือถือที่มีอยู่ในตลาด ด้วย Features ต่างๆ เช่น การใช้งาน Multitouch หรือ เรื่องของเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ที่ตามมาภายหลัง ทำให้ Ecosystem ของ iPhone นั้นเติบโตจนฉุดไม่อยู่มาจวบจนถึงปัจจุบันนั่นเองครับ

และทางฝั่ง Google ก็ได้เริ่มแอบทำบางอย่างลับ ๆ โดยหลังจากเปลี่ยนแผนโดยฉับพลันจากมือถือที่ต้องมี keyboard แบบ Blackberry ให้กลายมาเป็นมือถือแบบจอสัมผัสแบบที่ iPhone ทำ ซึ่งการซุ่มพัฒนานี้ทำโดย Apple แทบจะไม่ระแคะระคายเลยด้วยซ้ำ เพราะหนึ่งในบอร์ดของ Apple ในขณะนั้น ก็คือ เอริก ชมิตต์ ที่เป็น CEO ของ Google นั่นเอง แต่ดูเหมือนงานนี้จะมีการหักหลังกันเกิดขึ้นแล้วในศึกสงครามมือถือครั้งนี้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อโปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับผม

–> อ่านตอนที่ 9 : Free for All

<– ย้อนกลับไปตอนที่ 1 Phone & Microsoft *** อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อน ๆ คุณได้อ่านนะครับผม***

Bionic Eyes กับอนาคตในการมองเห็นภาพแบบ Infrared

นักวิจัยจาก บริษัท  Second  Sight Medical  ได้สร้างระบบดวงตาไบโอนิครูปแบบใหม่ที่ส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังสมองของผู้สวมใส่ผ่านการใส่อุปกรณ์ทำให้คนตาบอดสามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง

และแน่นอนว่าเทคโนโลยีดังกล่าวในอนาคตวันหนึ่งอาจไม่เพียงแค่ช่วยให้คนตาบอดในการมองเห็นเท่านั้น แต่มันยังสามารถทำให้ผู้สวมใส่สามารถที่จะเห็นคลื่นอินฟราเรดได้เช่นเดียวกัน ตามรายงานของ Engadget

ระบบ Orion Visual Cortical Prosthesis ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Second Sight ประกอบด้วยกล้องขนาดเล็กที่ติดอยู่กับแว่น กล้องจะทำการแปลงสิ่งที่จับภาพได้ให้กลายเป็นสัญญาณไฟฟ้าจากนั้นจะถูกส่งไปยังสมองของผู้สวมใส่เพื่อสร้างภาพขึ้นมา

ซึ่งเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีรูปแบบเก่า ๆ อย่างการปลูกถ่ายสมองนั้นจะต้องมีการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล พร้อมทั้งเวลาในการพักฟื้นร่างกาย ซึ่งเมื่อทำสำเร็จนั้นผู้ที่ถูกปลูกถ่ายจะสามารถกระตุ้นเยื่อหุ้มสมองในส่วนของภาพของผู้สวมใส่ เพื่อสร้างแผนที่และ ซึ่งจะช่วยให้ผู้สวมใส่ สามารถมองเห็นภาพได้ แต่มันเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงมาก ๆ เมื่อเทียบกับอุปการณ์แบบสวมใส่ของ Second Sight Medical

นักวิจัยกำลังคิดล่วงหน้าว่าจะทำการเพิ่มความสามารถในการแปลงสิ่งที่จับภาพได้ให้กลายเป็นสัญญาณความร้อนแบบ Infrared เหมือนความสามารถของ “Predator” ในหนัง Hollywood นั่นเอง

“ซึ่งแน่นอนว่ามันจะดีสำหรับผู้ป่วยหรือผู้ที่สวมใส่ หากเพิ่มความสามารถในการสลับโหมดไปเป็นสัญญาณความร้อนแบบ Infrared ได้” CEO ของ  Second Sight  (Will McGuire) บอกกับสำนักข่าว Engadget

“และแน่นอนว่าจะทำให้พวกเขาสามารถระบุตำแหน่งผู้คนที่อยู่ในห้องมืดในเวลากลางคืนได้ง่ายขึ้นนั่นเอง” เขากล่าวเสริม “ ซึ่งอาจจะนำไปใช้ในการระบุส่วนที่ร้อน ๆ  ของเตา หรือถ้วยกาแฟก็เป็นไปได้เช่นกัน”

References : 
https://www.engadget.com

ตำรวจจราจร AI กับผู้บังคับกฏหมายยุคใหม่ในประเทศจีน

ตอนนี้แนวคิดใหม่สำหรับผู้บังคับกฏหมายบนท้องถนนได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการที่จีนใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มจำนวนของตำรวจ ให้รองรับกับประชากรจำนวนมหาศาลของประเทศจีนและการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มาวิ่งเต็มถนนในประเทศจีน

โดยสำนักความมั่นคงสาธารณะ เมือง Handan ที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีนได้ติดตั้งหุ่นยนต์จราจร เพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นมนุษย์เพื่อดูแลการจราจรภายในเมือง รายงานจากสำนักข่าว ซินหัว อ้างคำพูดของ Zhou Zuoying รองหัวหน้าของกระทรวงการจัดการจราจร ได้กล่าวถึงการที่จีนจะใช้งานหุ่นยนต์ตำรวจจราจรเป็นครั้งแรกในประเทศ

โดยหุ่นยนต์จะประกอบไปด้วยสามประเภท ซึ่งทั้งสามประเภทของหุ่นยนต์ จะมีลักษณะแตกต่างกัน และจะให้บริการฟังก์ชั่นที่ไม่ซ้ำกัน

ประเภทแรกคือ“ หุ่นยนต์ลาดตระเวนทางถนน” ที่ออกแบบมาให้ดูเหมือนกับเจ้าหน้าที่จราจรที่เป็นมนุษย์โดยมีเครื่องแบบสีเหลืองและหมวกสีขาว หุ่นยนต์สามารถที่จะระบุถึงตัวผู้ขับขี่ผ่านฐานข้อมูล และถ่ายภาพพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายของพวกเขาได้นั่นเอง

ประเภทที่สอง คือ “หุ่นยนต์แนะนำการจราจร” ซึ่งจะคอยตอบคำถามในสถานี ซึ่งจะตอบคำถามของผู้ขับขี่ และแนะนำเส้นทางต่าง ๆ ที่ผู้ขับขี่ไม่เข้าใจ หรือ หลงทาง นอกจากนี้ยังจะรายงานความเสี่ยงใด ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับการเดินทาง ได้ด้วย

ประเภทที่สามเป็น “หุ่นยนต์เตือนอุบัติเหตุ” ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะที่ผ่านทราบ เมื่อมีตำรวจทีเป็นมนุษย์กำลังจัดการกับอุบัติเหตุทางจราจร

หุ่นยนต์จะทำหน้าที่ 24/7 ตลอดเวลาไม่มีพัก เจ้าหน้าที่สำนักความปลอดภัยสาธารณะ Handan หลี่ ฮ่วย บอกกับเว็บไซต์ข่าวจีน hebnews.cn ตามรายงานของ Global Times ว่า ‘ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้กับหุ่นยนต์เพียงหนึ่งประเภท หรือจะใช้มันทั้งหมด’

อย่างไรก็ตามมีความชัดเจนว่าจีนกำลังโน้มน้าวให้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการบังคับใช้กฎหมายอย่างแน่นอน

ซึ่งปัจจุบันในประเทศจีนได้ติดตั้งระบบจดจำใบหน้าเพื่อจับคนเดินถนนและทำ tag RFID ที่มีการบังคับใช้ในรถทุกคัน  นอกจากนี้ยังให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนที่ใช้เทคโนโลยีแว่นตาแบบจดจำใบหน้า เพื่อช่วยให้พวกเขาเห็นคนที่ต้องการหากเกิดเหตุก่ออาชญากรรมขึ้น

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จีนนำหุ่นยนต์ตำรวจมาใช้ในปี 2016 หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยของ AnBot เริ่มงานรอบสนามบินเซินเจิ้น และในปี 2017 หุ่นยนต์ E-Patrol Robot Sheriff เริ่มออกลาดตระเวนตามท้องถนนมาแล้ว

ดูเหมือนว่าตอนนี้เทคโนโลยีทางด้านหุ่นยนต์ของจีนกำลังล้ำหน้ากว่าประเทศไหน ๆ ในโลก ด้วยการนำมาใช้ประโยชน์จริง ซึ่งจีนได้เปรียบที่เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ที่ไม่ต้องผ่านกฏหมายอะไรมากมาย เพียงได้รับไฟเขียวจากกลุ่มผู้นำก็พร้อมที่จะนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ได้ทันทีนั่นเองครับ

References : 
http://www.globaltimes.cn/content/1160691.shtml