ทำช้าแต่ชัวร์ vs ทำเร็วแต่พัง : จาก Google Glass ถึง Theranos บทเรียนราคาแพงของความรีบร้อน

เคยสังเกตกันมั๊ยว่า ในการแข่งรถ แทบไม่มีนักแข่งคนไหนเหยียบคันเร่งตลอดเวลา พวกเขาต้องรู้จังหวะเบรกตอนเข้าโค้ง ต้องแวะพิทสต็อป และถ้าเกิดไฟไหม้ก็ต้องรีบออกจากรถ ซึ่งชีวิตการทำงานก็เหมือนกัน บางทีการชะลอตัวหรือการมีอุปสรรคก็อาจเป็นเรื่องดี

Bob Sutton นักจิตวิทยาองค์กรและผู้เขียนหนังสือขายดี 8 เล่ม มองเห็นความเชื่อมโยงนี้ เขาเขียนหนังสือชื่อ “The Friction Project” พูดถึงเรื่อง “ความฝืด” หรือสิ่งที่ทำให้งานช้าลง ยากขึ้น หรือน่าหงุดหงิด แต่บางทีความฝืดพวกนี้ก็มีประโยชน์

ลองคิดดู ถ้าเราจะจ่ายบิลหรือเบิกค่าเดินทาง มันควรทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องมีขั้นตอนยุ่งยาก แต่ถ้าใครจะขโมยเงินหรือทำผิดกฎหมาย มันควรจะยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย นี่แหละคือหัวใจของการจัดการความฝืดที่ฉลาด

มันมีเรื่องที่น่าสนใจ Elizabeth Holmes อดีต CEO ของ Theranos เคยพยายามขายเครื่องตรวจเลือดที่ใช้งานไม่ได้ เธอถึงขั้นใช้นายพลระดับ 4 ดาวไปกดดันทหารให้ติดตั้งเครื่องบนเฮลิคอปเตอร์ แต่ด้วยกฎของ FDA ที่เข้มงวด แผนนี้เลยล้มไป

ตรงกันข้ามกับบริษัท Sequel ในซานฟรานซิสโก ที่ทำผ้าอนามัยแบบสอดรุ่นใหม่ พวกเขายอมเสียเวลาทำตามขั้นตอนการทดสอบและขออนุมัติจาก FDA อย่างครบถ้วน ตอนนี้เลยมีผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและใช้ได้จริง

Sutton เรียกคนที่รู้จักจัดการกับความฝืดว่า “นักแก้ความฝืด (friction fixer)” พวกเขาเก่งเรื่องการทำให้สิ่งที่ควรง่ายเป็นเรื่องง่าย และทำให้สิ่งที่ควรยากเป็นเรื่องยาก

เขาเล่าประสบการณ์ที่ Department of Motor Vehicles (DMV) ตอนไปถึงมีคนรอคิวอยู่ 60 คน คิดว่าต้องเสียเวลาทั้งวัน แต่มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินมาถามทุกคนว่ามาทำอะไร คนไหนทำไม่ได้ที่นี่ก็ให้กลับ คนที่ทำได้ก็แจกฟอร์มให้เลย สุดท้ายใช้เวลาแค่ 35 นาที

ที่สำคัญคือ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บริหารระดับสูงก็เป็นนักแก้ความฝืดได้ แค่คิดถึงเวลาของคนอื่น และพยายามทำให้งานที่ควรง่ายเป็นเรื่องง่ายขึ้น

เวลาจะตัดสินใจอะไร นักแก้ความฝืดมักถามตัวเองสองคำถาม คำถามแรกคือ “เรารู้จริงๆ หรือเปล่าว่ากำลังทำอะไร?” บางทีการหยุดคิดก็ดีกว่าการรีบทำ

อย่างกรณี Google Glass แว่นตาอัจฉริยะที่ Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้ง Google รีบเอาออกมาขายทั้งที่ทีมบอกว่ายังไม่พร้อม ผลคือมีปัญหาสารพัด ทั้งแบตหมดเร็ว ความปลอดภัย ใช้งานยาก จนติดอันดับผลิตภัณฑ์แย่ที่สุดตลอดกาล

คำถามที่สองคือ “ถ้าทำไปแล้วย้อนกลับได้ไหม?” ถ้าเป็นเรื่องใหญ่อย่างการไล่ CEO หรือการควบรวมกิจการ ต้องคิดให้ดี แต่ถ้าเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ ก็ลองทำดู

อย่างที่บริษัท IDEO ตอนที่โตจาก 50 คนเป็น 150 คน เกิดความวุ่นวาย David Kelly CEO ของบริษัทเลยตัดสินใจปรับโครงสร้างองค์กร แต่ที่น่าสนใจคือวิธีสื่อสารของเขา

ก่อนประชุม Kelly โกนหนวดแบบ Groucho Marx ที่ติดหน้าของเขามาทั้งชีวิตออก ทำเอาทุกคนตกใจ แม้แต่เมียยังร้องกรี๊ด เขาบอกว่า “การปรับโครงสร้างก็เหมือนหนวดผม ถ้าไม่ดีก็เปลี่ยนกลับได้ ไม่เหมือนกับการตัดนิ้ว ที่ตัดแล้วตัดเลย”

เรื่องความฝืดในองค์กรเลยเหมือนการขับรถแข่ง บางทีต้องเร่ง บางทีต้องเบรก บางทีต้องหยุด สำคัญที่สุดคือต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรทำอะไร

ความฝืดไม่ใช่ศัตรูที่ต้องกำจัด แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องเรียนรู้วิธีใช้ ถ้าใช้เป็น มันช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น และสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

ทำไมสมองถึงเชื่อในสิ่งที่เห็น? กลลวงนักมายากล กับความจริงที่น่าทึ่งเบื้องหลังการหลอกสมองมนุษย์

Kyle Eschen นักมายากลผู้มากความสามารถ ได้นำพาผู้ชม TEDxVienna เข้าสู่โลกแห่งมายากลและจิตวิทยาการรับรู้อันน่าทึ่ง ผ่านการแสดงที่ผสมผสานระหว่างความบันเทิงและความลึกซึ้งทางวิชาการได้อย่างลงตัว

การแสดงของเขาไม่เพียงแต่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชม แต่ยังเผยให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอันน่าสนใจระหว่างศิลปะการแสดงมายากลและกลไกการทำงานของสมองมนุษย์

Eschen เริ่มต้นการแสดงด้วยการแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง เล่าว่ามายากลเป็นงานอดิเรกที่เขาหลงใหลมาเป็นเวลาหลายปี ในขณะที่คนอื่นอาจเลือกสะสมแสตมป์ เล่นดนตรี เล่นกีฬา ฯลฯ แต่เขากลับหลงใหลในศิลปะแห่งการหลอกตา

การแสดงเริ่มต้นด้วยการใช้ผ้าเช็ดหน้าธรรมดา ที่เปลี่ยนจากผ้าไหมเป็นผ้าเรยอนผสม แม้จะเป็นมายากลเรียบง่าย แต่ก็แสดงให้เห็นถึงทักษะพื้นฐานของ sleight-of-hand หรือการใช้มือล่อตา ซึ่งเป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยความชำนาญในการจัดการกับวัตถุขนาดเล็ก

Eschen เล่าถึงความเข้าใจผิดที่มักเกิดขึ้นเมื่อผู้คนแนะนำให้เขาพัฒนาไปสู่การแสดงที่ใหญ่โตกว่า ด้วยกล่องขนาดใหญ่และสัตว์ต่างๆ เขาเปรียบเทียบอย่างชาญฉลาดว่า นั่นเหมือนกับการบอกนักไวโอลินว่าถ้าฝึกฝนหนัก สักวันหนึ่งจะสามารถเล่นเชลโลได้ การเปรียบเทียบนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้คนมักไม่เข้าใจว่ามายากลแต่ละประเภทต้องการทักษะและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับเครื่องดนตรีแต่ละชนิด

จิตวิทยาและมายากล

สิ่งที่ทำให้ Eschen หลงใหลในมายากลไม่ใช่เพียงการสร้างความประหลาดใจ แต่เป็นการศึกษาจิตวิทยาการรับรู้ของมนุษย์ เขาสนใจวิธีที่ผู้คนตีความโลกรอบตัว การหาความเชื่อมโยง และการสร้างข้อสรุป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาสนใจในจุดอ่อนของกระบวนการคิดที่ทำให้คนเราถูกชักนำให้หลงทางได้

การศึกษาด้านประสาทวิทยาศาสตร์พบว่า สมองมนุษย์มีกลไกการคัดกรองข้อมูลที่ซับซ้อน โดยจะเลือกรับรู้เฉพาะสิ่งที่คิดว่าสำคัญในขณะนั้น เพื่อประหยัดพลังงานในการประมวลผล นักมายากลจึงสามารถใช้ความรู้นี้ในการสร้างภาพลวงตาที่น่าทึ่ง

การแสดงสองชุด: การเปรียบเทียบที่น่าสนใจ

ในการแสดงครั้งนี้ Eschen นำเสนอมายากลสองชุดที่แตกต่างกัน ชุดแรกเป็นมายากลที่เขาเรียกว่า “แย่” จนนำความอับอายมาสู่ครอบครัว เป็นการแสดงที่ใช้ไม้สองท่อนที่มีเชือกแขวนอยู่ การแสดงนี้ดูเหมือนจะไม่มีจุดหมายที่ชัดเจน แม้จะจบลงด้วยการเชื่อมต่อของไม้ทั้งสองท่อนอย่างน่าประหลาดใจ

ระหว่างการแสดง เขาสอดแทรกอารมณ์ขันด้วยการเล่าถึงความคิดเห็นบน YouTube ที่มีคนท้วงว่ามุมที่เขาแยกไม้ไม่ใช่ 30 องศาแต่เป็น 45 องศา แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในการแสดงที่เขาเรียกว่า “แย่” ก็ยังมีองค์ประกอบของการมีส่วนร่วมกับผู้ชม

มายากลชุดที่สองมีความน่าสนใจมากกว่า เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากการทดลองทางจิตวิทยาในปี ค.ศ. 1999 โดย Daniel Simons และ Christopher Jarvis การทดลองนี้ให้ผู้เข้าร่วมดูวิดีโอการเล่นบาสเกตบอลและนับจำนวนครั้งที่ลูกบอลถูกส่งระหว่างผู้เล่น

ระหว่างการทดลอง มีคนแต่งตัวเป็นกอริลลาเดินผ่านกลางวิดีโอ แต่ผู้เข้าร่วมการทดลองครึ่งหนึ่งไม่สังเกตเห็นกอริลลาเลย เพราะพวกเขาจดจ่ออยู่กับการนับลูกบอล ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “inattentional blindness” หรือการมองไม่เห็นเพราะไม่ได้ตั้งใจ

นักประสาทวิทยาศาสตร์อธิบายว่า inattentional blindness เป็นผลมาจากข้อจำกัดในการประมวลผลข้อมูลของสมอง เมื่อเราให้ความสนใจกับงานใดงานหนึ่งอย่างเข้มข้น สมองจะลดการรับรู้สิ่งเร้าอื่นๆ ลง แม้ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในระยะการมองเห็นก็ตาม

Eschen นำหลักการนี้มาใช้ในมายากลชุดที่สอง โดยใช้ถ้วยและลูกบอลยางฟองน้ำสีแดง เขาทำให้ลูกบอลหายไปและปรากฏขึ้นใต้ถ้วยต่างๆ สร้างความประหลาดใจให้ผู้ชม แต่จุดที่น่าทึ่งที่สุดคือการเผยให้เห็นว่าใต้ถ้วยที่ถูกตรวจสอบอย่างละเอียดและไม่เคยหายไปจากสายตาผู้ชม มีมะนาวปรากฏขึ้นถึงสามลูก

ความน่าสนใจของมายากลชุดนี้ไม่ได้อยู่ที่วิธีการ แต่อยู่ที่การเข้าใจจิตวิทยาการรับรู้ของมนุษย์ ลูกบอลยางฟองน้ำทำหน้าที่เหมือนลูกบาสเกตบอลในการทดลองเรื่องกอริลลา คือดึงความสนใจของผู้ชมไปจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริง

การศึกษาด้านการรับรู้ทางสายตาแสดงให้เห็นว่า สมองมนุษย์มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับวัตถุที่เคลื่อนไหวมากกว่าวัตถุที่อยู่นิ่ง และมักจะมองข้ามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ หรือไม่ได้อยู่ในจุดสนใจหลัก นักมายากลจึงใช้หลักการนี้ในการสร้างภาพลวงตา

บทสรุปและข้อคิด

Eschen ชี้ให้เห็นว่าแม้จะสามารถค้นหาวิธีทำมายากลได้ทาง Google แต่ความลับที่แท้จริงคือการที่มนุษย์มีจุดบอดในการรับรู้ที่กว้างใหญ่กว่าที่สัญชาตญาณบอก การแสดงของเขาไม่เพียงสร้างความบันเทิง แต่ยังให้ข้อคิดลึกซึ้งเกี่ยวกับการทำงานของจิตใจมนุษย์

ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ด้านการรับรู้ได้นำหลักการของมายากลมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาการทำงานของสมอง โดยเฉพาะในด้านความสนใจและการรับรู้ การเข้าใจกลไกเหล่านี้ไม่เพียงช่วยพัฒนาศิลปะการแสดงมายากล แต่ยังมีประโยชน์ในการออกแบบระบบความปลอดภัย การพัฒนาส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ และการรักษาโรคทางระบบประสาท

การแสดงของ Kyle Eschen ที่ TEDxVienna จึงเป็นมากกว่าการแสดงมายากลทั่วไป แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความบันเทิง วิทยาศาสตร์ และปรัชญา ที่ทำให้เราตระหนักว่า บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าเห็นอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด และสิ่งที่เราไม่ได้สังเกตอาจสำคัญกว่าที่เราคิด

References :
The art of cognitive blindspots | Kyle Eschen | TEDxVienna
https://youtu.be/OOG65rSM5fA?si=KZCbY3N6S5kFMIqH

หยุดกลัวการถูกปฏิเสธ! ชายจีนผู้ท้าทายการถูกปฏิเสธ 100 วัน และบทเรียนที่เปลี่ยนชีวิต

ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจและการใช้ชีวิตประจำวัน เราทุกคนต่างเคยเผชิญกับความกลัวการถูกปฏิเสธมาแล้วทั้งนั้น บางคนถึงขั้นยอมทิ้งความฝันและโอกาสดีๆ ในชีวิตเพียงเพราะกลัวคำว่า “ไม่”

แต่มีชายคนหนึ่งที่กล้าท้าทายความกลัวนี้ด้วยวิธีที่แปลกประหลาดและน่าสนใจ เขาคือ Jia Jiang ชายชาวจีนผู้อพยพมาอเมริกาพร้อมความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการ

Jia Jiang เกิดและเติบโตในเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน ตั้งแต่เด็กเขามีความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการในอเมริกา แรงบันดาลใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้พบกับ Bill Gates ในงานที่โรงเรียนตอนอายุ 14 ปี ทำให้เขาตัดสินใจมุ่งมั่นที่จะย้ายมาเรียนและทำงานในอเมริกา

แม้จะประสบความสำเร็จในการเรียนและการทำงานในบริษัทชั้นนำ แต่ความฝันของเขากลับถูกขัดขวางด้วยความกลัวการถูกปฏิเสธที่ฝังรากลึก จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากนักลงทุนปฏิเสธที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพของเขา แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับตัดสินใจท้าทายตัวเองด้วยการทำภารกิจที่เรียกว่า “100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ” ซึ่งผมว่ามันเป็นการทดลองที่เจ๋งมาก ๆ

แรงบันดาลใจในการทำภารกิจนี้มาจาก Jason Comely ผู้สร้างเกม “Rejection Therapy” ที่มีกฎง่ายๆ คือผู้เล่นต้องทำให้ตัวเองถูกปฏิเสธจากใครสักคนทุกวัน Comely สร้างเกมนี้หลังจากที่ภรรยาของเขาจากไป และเขาต้องต่อสู้กับความกลัวการถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง

ภารกิจของ Jia Jiang เริ่มต้นด้วยการขอสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในแต่ละวัน เช่น การขอยืมเงิน 100 ดอลลาร์จากคนแปลกหน้า การขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก การเคาะประตูบ้านคนแปลกหน้าเพื่อขอเล่นฟุตบอลในสนามหลังบ้าน การขอถ่ายรูปกับพนักงานรักษาความปลอดภัยในท่าซูเปอร์ฮีโร่ หรือแม้แต่การเดินเข้าไปในออฟฟิศแบบสุ่มเพื่อขอทำงานเพียงวันเดียว

หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดคือวันที่เขาขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทรูปวงแหวนโอลิมปิก แทนที่จะถูกปฏิเสธ Jackie พนักงานที่อยู่เวรกลับใช้เวลา 15 นาทีในการวาดและจัดวางโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก พร้อมทั้งใช้น้ำตาลสีต่างๆ ตกแต่งให้สวยงาม โดยไม่คิดเงินเพิ่ม

จากการทดลองนี้ Jia Jiang ได้ค้นพบความจริงที่น่าทึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของการถูกปฏิเสธ ประการแรก เขาพบว่าการถูกปฏิเสธนั้นเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ต่างจากการที่คนไม่ชอบไอศกรีมรสมินต์ปฏิเสธที่จะรับประทาน มันไม่ได้สะท้อนถึงคุณค่าของตัวเราแต่อย่างใด

ในระหว่างการทดลอง เขาพบว่าผู้คนมักมีเหตุผลส่วนตัวในการปฏิเสธที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย เช่น กฎระเบียบขององค์กร ข้อจำกัดด้านเวลา หรือแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้น การเข้าใจเรื่องนี้ช่วยให้เขารับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ Joshua Bell นักไวโอลินรางวัล Grammy ที่แต่งตัวธรรมดาใส่ยีนส์และหมวกเบสบอล ไปเล่นดนตรีในสถานีรถไฟใต้ดิน DC มีเพียง 7 คนจาก 1,097 คนที่หยุดฟัง ทั้งที่การแสดงของเขามักได้รับเสียงปรบมือยืนยาวในคอนเสิร์ตฮอลล์ชื่อดังอย่าง John F. Kennedy Center

การทดลองของ Joshua Bell เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่จัดทำโดยหนังสือพิมพ์ Washington Post ในปี 2007 เพื่อศึกษาการรับรู้ความงามของศิลปะในบริบทที่ไม่คาดคิด Bell เล่นบทเพลงคลาสสิกที่ยากที่สุดบางบทด้วยไวโอลิน Stradivarius มูลค่า 3.5 ล้านดอลลาร์ แต่ได้รับเงินบริจาคเพียง 32 ดอลลาร์จากการแสดง 45 นาที

นี่แสดงให้เห็นว่าบริบทและจังหวะเวลามีผลต่อการตอบรับมากกว่าความสามารถที่แท้จริง เช่นเดียวกับที่คนในสถานีรถไฟไม่ได้ปฏิเสธความสามารถของ Joshua Bell แต่พวกเขาแค่ไม่ได้อยู่ในโหมดที่จะชื่นชมดนตรีคลาสสิกในตอนเช้าที่เร่งรีบ

ประการที่สอง การถามหาเหตุผลของการปฏิเสธอย่างสุภาพสามารถเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ได้ เช่นครั้งที่ Jia Jiang ขอประกาศเรื่องความปลอดภัยบนเครื่องบิน Southwest แม้จะถูกปฏิเสธในตอนแรก แต่เมื่อถามถึงเหตุผล พนักงานกลับคิดหาทางออกใหม่ให้เขาได้พูดต้อนรับผู้โดยสารแทน

การถามหาเหตุผลยังช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของอีกฝ่าย และบางครั้งอาจนำไปสู่ทางออกที่ดีกว่าเดิม เช่นกรณีที่เขาขอใช้เครื่องประกาศเสียงที่ร้าน Costco เพื่อประกาศชมเชยพนักงาน แม้จะถูกปฏิเสธ แต่ผู้จัดการกลับรู้สึกประทับใจในความตั้งใจดีของเขาและเลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทน

นอกจากนี้ การถามเหตุผลยังช่วยให้เราได้ข้อมูลที่มีค่าสำหรับการปรับปรุงคำขอในครั้งต่อไป เช่น เมื่อเขาขอให้สายการบินอนุญาตให้ประกาศ เขาได้เรียนรู้ว่ามีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่ต้องคำนึงถึง ทำให้ในครั้งต่อไปเขาสามารถปรับคำขอให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเหล่านั้นได้

ประการที่สาม การลดขนาดคำขอลง หรือที่ Robert Cialdini ผู้เขียนหนังสือ “Influence” เรียกว่า “Retreating” เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะผู้คนมักรู้สึกไม่สบายใจที่จะปฏิเสธคำขอเล็กๆ หลังจากที่ปฏิเสธคำขอใหญ่ไปแล้ว

จากการศึกษาของ Cialdini พบว่าการลดขนาดคำขอสามารถเพิ่มโอกาสการตอบรับได้ถึง 76% เพราะเป็นการแสดงความยืดหยุ่นและความเข้าใจต่อข้อจำกัดของอีกฝ่าย นอกจากนี้ ยังเป็นการใช้ประโยชน์จากหลักจิตวิทยาที่เรียกว่า “การตอบแทน (Reciprocity)” ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าควรตอบแทนความยืดหยุ่นที่เราแสดงออก

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อ Jia Jiang ขอแซนด์วิช McGriddle จาก McDonald’s ในตอนบ่าย 2 โมง ซึ่งเลยเวลาอาหารเช้าไปแล้ว เมื่อถูกปฏิเสธและได้รับคำอธิบายว่าเครื่องทำไข่และไส้กรอกถูกล้างไปแล้ว เขาจึงปรับคำขอเป็นขนมปังกริดเดิลราดน้ำผึ้งกับชีสแทน ซึ่งพนักงานสามารถจัดให้ได้

การลดขนาดคำขอยังช่วยให้เราได้เรียนรู้ว่าบางครั้งสิ่งที่เราต้องการจริงๆ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราขอในตอนแรก เช่น ในกรณีของ McDonald’s เขาได้ค้นพบว่าสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือรสชาติของขนมปังกริดเดิล ไม่ใช่แซนด์วิช McGriddle ทั้งชิ้น

การถูกปฏิเสธยังมีประโยชน์แฝงอยู่หลายประการที่น่าสนใจ ประการแรกคือการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการถูกปฏิเสธในอนาคต เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ได้ทำลายคุณค่าในตัวเรา เราจะกล้าเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น เหมือนการฉีดวัคซีนที่ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรค การเผชิญกับการถูกปฏิเสธบ่อยๆ จะช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้น

ในช่วงท้ายของการทดลอง Jia Jiang พบว่าเขาสามารถรับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้นมาก เขารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงเมื่อถูกปฏิเสธ และสามารถมองหาโอกาสใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับนักมวยที่โดนต่อยบ่อยๆ จนชินและรู้วิธีรับมือกับหมัด

ประการที่สองคือการเพิ่มแรงจูงใจ เหมือนกรณีของ Michael Jordan ที่ใช้การถูกปฏิเสธจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมเป็นแรงผลักดันในการฝึกซ้อมหนักขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในนักบาสเก็ตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

Michael Jordan เคยเล่าว่าเขาถูกตัดตัวจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมปลายในปีที่สอง แต่แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับใช้ความผิดหวังนั้นเป็นแรงผลักดันให้ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อซ้อมก่อนเข้าเรียน และซ้อมต่อจนถึงค่ำทุกวัน จนในที่สุดเขาก็ได้กลับเข้าทีมและกลายเป็นดาวเด่น

ประการสุดท้ายคือการให้แนวทางในการปรับปรุง ดังที่ Thomas Edison กล่าวว่า เขาไม่ได้ล้มเหลว 10,000 ครั้ง แต่ค้นพบ 10,000 วิธีที่ใช้ไม่ได้ผล การมองการปฏิเสธแบบไม่มีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องจะช่วยให้เราเห็นจุดที่ต้องปรับปรุงได้ชัดเจนขึ้น

Edison เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้การล้มเหลวเป็นบทเรียน ในการคิดค้นหลอดไฟฟ้า เขาทดลองวัสดุที่จะใช้เป็นไส้หลอดมากกว่า 6,000 ชนิด แต่ละครั้งที่ล้มเหลว เขาจดบันทึกอย่างละเอียดว่าทำไมมันถึงใช้ไม่ได้ จนในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าใยไม้ไผ่เป็นวัสดุที่เหมาะสมที่สุด

หลังจากจบภารกิจ 100 วัน Jia Jiang ได้กลายเป็นวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญด้านการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้เขียนหนังสือ “Rejection Proof” และให้การบรรยาย TED Talk ที่มีผู้ชมนับล้าน ประสบการณ์ของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลกกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวการถูกปฏิเสธ

ปัจจุบัน Jia Jiang ได้ก่อตั้งบริษัท Rejection Therapy เพื่อช่วยให้ผู้คนและองค์กรต่างๆ เอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้รับเชิญไปบรรยายในองค์กรชั้นนำมากมาย เช่น Google, Microsoft, และ Bank of America โดยเขาเน้นย้ำว่าการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธไม่เพียงช่วยให้เราประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่ยังช่วยให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้นด้วย

ในท้ายที่สุด Jia Jiang สรุปว่า การถูกปฏิเสธที่เคยเป็นเหมือนยักษ์โกลิอัทในชีวิตของเขา ได้กลายเป็นเพียงความท้าทายที่สามารถเอาชนะได้ด้วยมุมมองที่ถูกต้องและการฝึกฝน เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ใช่การตัดสินคุณค่าของเรา เราก็จะมีอิสระในการขอสิ่งที่ต้องการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขอเลื่อนตำแหน่ง การขอความช่วยเหลือ หรือแม้แต่การขอโอกาสในการทำความฝันให้เป็นจริง

References :
หนังสือ Rejection Proof: How I Beat Fear and Became Invincible Through 100 Days of Rejection โดย Jia Jiang

ชีวิตคือการออกแบบ : จากสถาปนิกสู่ผู้บริหาร Mercedes-Benz เส้นทางชีวิตที่ไม่มีใครกล้าฝัน

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที Ted Talks กันอีกครั้ง กับเรื่องราวของ Parul Pradhan แบ่งปันเรื่องราวการเดินทางอันเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอในการฝ่าฟันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของเธอในฐานะสถาปนิกจนกระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการออกแบบในบริษัทที่มีชื่อเสียงอย่าง General Motors และ Mercedes-Benz R&D India

ก็ต้องบอกว่าการศึกษาถือเป็นรากฐานสำคัญที่หล่อหลอมตัวตนของ Parul ด้วยพื้นฐานด้านสถาปัตยกรรมจาก GNC และการต่อยอดด้วยปริญญาโทด้านการออกแบบจาก IIT Bombay ทำให้เธอมีความรู้และทักษะที่แข็งแกร่ง แม้จะเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดี แต่เส้นทางอาชีพในช่วงแรกกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คาดหวัง

ในปี 2001 Parul เริ่มต้นอาชีพในอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เปิดโอกาสให้เธอได้สัมผัสกับงานที่หลากหลาย ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กอย่างขวด ไปจนถึงโครงการขนาดใหญ่อย่างรถยนต์

ประสบการณ์เหล่านี้ได้หล่อหลอมให้เธอเป็นนักออกแบบที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และรู้จักเรียนรู้จากทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว

การทำงานในภาคบริการได้สอนบทเรียนสำคัญหลายอย่าง ทั้งการนำเสนองานอย่างมืออาชีพ การจัดการกับความคาดหวังของลูกค้า และการพัฒนาทักษะด้านซอฟต์แวร์ที่จำเป็น

ทุกโครงการคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต แม้บางครั้งจะต้องเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรค แต่สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่ช่วยวางรากฐานสำหรับความสำเร็จในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตของ Parul เกิดขึ้นเมื่อเธอตัดสินใจที่จะก้าวออกจากความสบายของการเป็นพนักงานประจำ เพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองร่วมกับ Gorov สามีของเธอซึ่งเป็นนักออกแบบจาก NID ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่างไม้และไผ่ พวกเขามุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างและความยั่งยืนให้กับโลก

ช่วงเวลาของการเป็นผู้ประกอบการเป็นบทเรียนที่มีค่า แม้จะมีแนวคิดที่ดีและผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ แต่การขาดประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจและเงินทุนที่จำกัดทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย

การทำงานกับหน่วยงานภาครัฐและการรอรับชำระเงินที่ล่าช้าได้สอนให้รู้ว่า passion เพียงอย่างเดียวมันไม่เพียงพอสำหรับความสำเร็จในธุรกิจ

เมื่อต้องเผชิญกับความล้มเหลวของธุรกิจ Parul ไม่ยอมแพ้ แต่เลือกที่จะปรับตัวด้วยการรับงานพาร์ทไทม์และเป็นอาจารย์ในวิทยาลัย แม้จะเป็นประสบการณ์ที่ท้าทาย แต่มันก็ทำให้เธอได้เรียนรู้และเติบโต การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อเธอตัดสินใจกลับเข้าสู่การทำงานประจำที่ General Motors Technical Center

ที่ General Motors Parul ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถและความทุ่มเทจนได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายสีและวัสดุตกแต่ง และได้เป็นตัวแทนของอินเดียในสำนักงานใหญ่ที่ Detroit การทำงานในบริษัทระดับโลกเปิดโอกาสให้เธอได้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการได้รับประกาศนียบัตรจาก IIM Bangalore

แต่แล้วในปี 2015 การตัดสินใจของ General Motors ที่จะปิดการดำเนินงานด้านการออกแบบในอินเดียได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับชีวิตของเธออีกครั้ง แทนที่จะจมอยู่กับความกลัวและความผิดหวัง Parul เลือกที่จะมองหาโอกาสใหม่ และนั่นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สามเมื่อเธอได้ร่วมงานกับ Mercedes-Benz R&D India

ที่ Mercedes-Benz Parul ได้รับโอกาสให้นำทีมออกแบบและสร้างความร่วมมือกับสตูดิโอออกแบบในเยอรมนี ด้วยวิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหาร เธอสามารถขยายทีมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ทั้งสตูดิโอ 3D printing และห้องปฏิบัติการเสมือนจริงสำหรับโครงการ mixed reality

ความสำเร็จที่ Mercedes-Benz ไม่เพียงแต่เป็นการพิสูจน์ความสามารถของ Parul แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานประสบการณ์ทั้งหมดที่เธอได้สั่งสมมา ทั้งการเป็นผู้ประกอบการ การบริหารทีม และความเข้าใจในอุตสาหกรรมยานยนต์

ภายในเวลาเพียง 6 ปี เธอสามารถสร้างผลงานที่มีส่วนร่วมในการออกแบบรถยนต์ Mercedes ทุกรุ่น ตั้งแต่ระดับ C-Class ไปจนถึง S-Class และรถยนต์ไร้คนขับ

ปัจจุบัน Parul ยังคงไม่หยุดที่จะพัฒนาและท้าทายตัวเอง ด้วยการก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ในด้านบริการหลังการขาย แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากประสบการณ์เดิมอย่างสิ้นเชิง แต่เธอเชื่อว่าการกล้าที่จะออกจาก comfort zone คือหนทางสู่การเติบโตและการค้นพบโอกาสใหม่ๆ

บทเรียนสำคัญที่ Parul ได้เรียนรู้จากการเดินทางในชีวิตคือการไม่กลัวที่จะเริ่มต้นใหม่ การทำงานหนัก และการกล้าที่จะเสี่ยง เธอเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงโดยทางเลือกคือวิธีที่จะช่วยให้เราสามารถออกแบบชีวิตได้อย่างมีความหมาย แทนที่จะปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา ทุกการเปลี่ยนแปลงคือโอกาสที่จะได้สร้างเรื่องราวใหม่และความสำเร็จในชีวิต

เรื่องราวของ Parul เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยความบังเอิญหรือโดยการเลือก สิ่งสำคัญคือการมองเห็นโอกาสในทุกสถานการณ์และกล้าที่จะก้าวออกจาก Safe Zone เพื่อค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในชีวิต

จากประสบการณ์อันหลากหลาย Parul ได้แบ่งปันบทเรียนสำคัญที่เธอค้นพบ ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน เมื่อไม่รู้ว่าก้าวต่อไปควรเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ ก็ตาม เพราะการรอคอยให้ทุกอย่างลงตัวอาจทำให้พลาดโอกาสที่สำคัญไป

การทำงานหนักคือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ แม้บางครั้งผลลัพธ์อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่ความพยายามและความทุ่มเทจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ เสมอ นอกจากนี้ การรักษาความกระตือรือร้นและความกระหายที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้า

เรื่องราวของ Parul ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงในชีวิตไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่เป็นโอกาสในการเติบโตและค้นพบตัวตนที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากสถานการณ์บังคับหรือการเลือกด้วยตัวเอง สิ่งสำคัญคือการมองเห็นคุณค่าและโอกาสในทุกการเปลี่ยนแปลง เพราะนั่นคือวิธีที่จะทำให้เราสามารถออกแบบชีวิตได้อย่างมีความหมายและประสบความสำเร็จในที่สุด

ปัจจุบัน Parul ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายผ่านการแบ่งปันประสบการณ์และมุมมองของเธอ การเดินทางของเธอแสดงให้เห็นว่าความสำเร็จไม่ได้วัดจากตำแหน่งหรือเงินเดือน แต่วัดจากความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและความสามารถในการปรับตัวเพื่อเติบโตในทุกสถานการณ์นั่นเองครับผม

References :
Change by chance and change by choice | Parul Pradhan | TEDxMGMU
https://youtu.be/DJW1aLpVdGQ?si=vfyX-zP1uHCc-ey5

เลิกทุกข์ได้ ถ้ากล้าให้เขาเกลียด : จิตวิทยา Adlerian กับบทเรียนจากหนังสือ The Courage to be Disliked

ในยุคที่ผู้คนต่างแสวงหาความสุขและความสำเร็จในชีวิต หนังสือ “The Courage to be Disliked” โดย Ichiro Kishimi และ Fumiaki Koga ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการค้นพบความสุขที่แท้จริง ผ่านแนวคิดจิตวิทยา Adlerian ที่มีมานานกว่าศตวรรษ

เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามที่ว่า ทำไมเราถึงไม่มีความสุข? คำตอบที่น่าประหลาดใจคือ ความทุกข์ที่เราเผชิญอยู่นั้นไม่ได้เกิดจากสภาพแวดล้อมหรือโชคชะตา แต่เป็นเพราะเราเลือกที่จะทุกข์ด้วยตัวเอง ความโกรธ ความวิตกกังวล และความเครียดที่เราเผชิญล้วนมีจุดประสงค์แอบแฝง เราใช้อารมณ์เหล่านี้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ

เมื่อมีคนทำร้ายจิตใจเรา เราเลือกที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวดนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดและพยายามชดเชยมัน ความเจ็บปวดจึงกลายเป็นอาวุธที่เราใช้เพื่อเรียกร้องความสนใจและความเห็นอกเห็นใจ เช่นเดียวกับความโกรธที่เราแสดงออกมาเพื่อบอกว่า “มองฉันสิ” หรือความเหนื่อยล้าที่เราใช้เป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความกลัวการถูกปฏิเสธ

หากลองจินตนาการว่าเราเป็นมนุษย์คนสุดท้ายบนโลก ไม่มีใครให้เราต้องรู้สึกประทับใจ ไม่มีใครปฏิเสธเรา และไม่มีแรงกดดันทางสังคม เราก็จะดำเนินชีวิตไปอย่างเรียบง่าย ปราศจากความปั่นป่วนทางอารมณ์ โดยเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนมุมมองและวิธีที่เราสัมพันธ์กับผู้อื่น

ประการแรก เราต้องตระหนักว่าไม่มีความสัมพันธ์แนวตั้งในโลกนี้ มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน การที่เรามักเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ทำให้เกิดปมด้อยและปมเหนือกว่าที่บั่นทอนความสุขของเรา

เมื่อรู้สึกด้อยเราจะหมกมุ่นกับการถูกตัดสินจากคนที่เราคิดว่าเหนือกว่า เมื่อรู้สึกเหนือกว่า เราก็จะหวาดกลัวการสูญเสียตำแหน่งนั้น ทำให้ชีวิตกลายเป็นการแข่งขันที่น่าเบื่อหน่าย

แต่หากเราเปลี่ยนมุมมองใหม่ โดยมองว่าทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกันอยู่บนระนาบเดียวกัน ความปั่นป่วนจะค่อยๆ สงบลง เพราะไม่มีใครที่เราต้องพยายามทำให้ประทับใจ และไม่มีใครที่ทำให้เรารู้สึกว่าถูกคุกคาม

เราสามารถเห็นคุณค่าที่มีอยู่ในตัวทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทารกแรกเกิดที่นำความสุขมาสู่ครอบครัวเพียงแค่การมีตัวตน หรือคนชราที่เป็นโรคสมองเสื่อมที่ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกหลานระลึกถึงความรักและคุณค่าที่ได้รับการส่งต่อ

ในทางกลับกัน สิ่งที่เรามองว่าเป็นข้อได้เปรียบในชีวิต เช่น ความมั่งคั่งและชื่อเสียง อาจกลายเป็นสิ่งที่ผูกมัดผู้คนไว้กับภาระที่ไม่ได้เลือก จนสูญเสียอิสรภาพในการใช้ชีวิต หากเราได้เห็นปัญหาที่แท้จริงของคนที่เรามองว่าประสบความสำเร็จ เราอาจพบว่าปัญหาของเราไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิด

ประการที่สอง เราต้องแยกแยะภารกิจในความสัมพันธ์ให้ชัดเจน ในทุกปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ มีภารกิจหลักสองประการ คือ ภารกิจของเราในการหาวิธีที่ดีที่สุดในการมีส่วนร่วม และภารกิจของผู้อื่นในการตัดสินใจว่าจะตอบสนองต่อการมีส่วนร่วมของเราอย่างไร โดยสรุปคือ เราทำหน้าที่ของเราในการให้ และปล่อยให้ผู้อื่นมีอิสระในการคิดและทำอะไรก็ได้กับสิ่งที่เราให้

ยกตัวอย่างเช่น ในฐานะพ่อแม่ หน้าที่ของเราคือการสร้างโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้และเติบโต แต่การที่ลูกจะใช้โอกาสเหล่านั้นหรือไม่ เป็นการตัดสินใจของพวกเขา ในที่ทำงาน หน้าที่ของเราคือการทำงานให้ดีที่สุด ส่วนผู้อื่นจะชื่นชมความพยายามของเราหรือไม่ เป็นเรื่องของพวกเขา

ปัญหาความสัมพันธ์มักเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวก่ายภารกิจของผู้อื่น เช่น การพยายามบังคับให้คนอื่นชื่นชมหรือยอมรับในสิ่งที่เราทำ ทั้งที่จริงแล้ว ภารกิจของเราคือการใช้ความรู้ความสามารถที่มีเพื่อสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น การมีส่วนร่วมของเราควรชัดเจนในตัวเอง โดยไม่ต้องการการยืนยันจากใคร

บางครั้งการมีส่วนร่วมที่ดีที่สุดอาจเป็นเพียงการรับฟังอย่างตั้งใจ การให้กำลังใจ หรือแม้แต่การให้พื้นที่ผู้อื่นได้เติบโตด้วยตัวเอง ยิ่งเราทุ่มเทกับการเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมากเท่าไร เราจะยิ่งพบความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนมากขึ้นเท่านั้น เพราะความสุขที่แท้จริงเกิดจากความรู้สึกว่าได้มีส่วนร่วมในการสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่น

เมื่อเรารู้ว่าได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดแล้ว เราก็ไม่ต้องกังวลว่าใครจะคิดอย่างไรกับเรา นี่คือสิ่งที่ Kishimi และ Koga เรียกว่า “ความกล้าที่จะถูกเกลียด” ซึ่งเป็นอิสรภาพขั้นสูงสุดที่จะปลดปล่อยเราจากความทุกข์ทั้งปวง และนำพาเราไปสู่ความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน

การเดินทางสู่ความสุขที่แท้จริงอาจไม่ใช่เส้นทางที่ง่าย แต่ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องและความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เราทุกคนสามารถก้าวผ่านความกลัวและความทุกข์ไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและเต็มเปี่ยมด้วยความสุขได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ The Courage to Be Disliked: How to Free Yourself, Change your Life and Achieve Real Happiness โดย Ichiro Kishimi, Fumitake Koga