3 ลักษณะพิเศษที่ Elon Musk, Albert Einstein และ Steve Jobs มีเหมือนกัน

ต้องบอกว่า Albert Einstein, Steve Jobs และ Elon Musk มีอะไรที่เหมือนกันค่อนข้างมาก ตามการวิเคราะห์ของศาสตราจารย์ Melissa Schilling จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในหนังสือของเธอที่ชื่อ “Quirky”

“สุดยอดนักประดิษฐ์เหล่านี้ทำงานในสาขาที่แตกต่างกันและในเวลาที่ต่างกัน แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันบางอย่าง” Schilling กล่าว  

“แม้ว่าพวกเขาจะมีลักษณะบางอย่างที่เราไม่สามารถเลียนแบบได้ แต่ก็มีลักษณะอื่นๆ ที่เราสามารถใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้ เช่น การสร้างเป้าหมายที่มีความทะเยอทะยาน สร้างการรับรู้ในขีดความสามารถของตนเอง และการใช้เวลาตามลำพังเพื่อฝึกฝนความคิดที่เป็นอิสระของของตนเอง”

ในหนังสือ “Quirky” Schilling ได้วิเคราะห์ชีวิตของ Einstein , Musk และ Jobs รวมถึงคนอื่นๆ เพื่อพิจารณาว่าพวกเขาแต่ละคนค้นพบสิ่งที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของมนุษย์เราได้อย่างไร

“การศึกษาบุคคลสำคัญอย่างลึกซึ้งเหล่านี้แสดงให้เราเห็นว่ามีวิธีต่างๆ ที่เราสามารถบ่มเพาะศักยภาพด้านนวัตกรรมที่ก้าวล้ำในตัวเราทุกคนได้” Schilling กล่าว ซึ่งงานวิจัยของเขามุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมและกลยุทธ์ในอุตสาหกรรมไฮเทค

ในฐานะนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ต่อไปนี้คือคุณลักษณะสามอย่างที่ Einstein , Musk และ Jobs มีเหมือนกัน ตามการวิเคราะห์ของ Schilling

พวกเขาพึ่งตนเองได้

Einstein , Musk และ Jobs ต่างแยกตัวออกจากสังคม หรือไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม Schilling กล่าว

เมื่อตอนเป็นเด็ก Musk ตัวเล็กที่สุดในชั้นเรียน เป็น ”เด็กเนิร์ด” ที่มักถูกรังแกอยู่เสมอ

Schilling ชี้ให้เห็นว่าเนื่องจากครอบครัวของเขาย้ายที่อยู่บ่อยมาก Musk จึงไปโรงเรียนที่แตกต่างกันถึง 7 แห่งตั้งแต่เติบโตมา จึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเพื่อน ๆ เหมือนเด็กคนอื่น ๆ

Schilling กล่าวว่า “Musk ตอบสนองต่อความรู้สึกนี้ด้วยการหนีไปอ่านหนังสือและเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในที่สุดเขาก็เขียนและขายวิดีโอเกมเกมแรกเมื่ออายุได้ 12 ปี” Schilling กล่าว

สำหรับ Jobs นั้น Schilling กล่าวว่าบุคลิกที่เอาแต่ใจและค่อนข้างแข็งกร้าวของเขาทำให้เขารักษามิตรภาพกับคนที่มีความใกล้ชิดกับเขาได้ยาก 

Chrisann Brennan แฟนคนแรกของ Jobs และเป็นแม่ของลูกคนแรกของเขากล่าวว่าแม้แต่ในโรงเรียนมัธยม Jobs ก็ยังแทบจะไม่สุงสิงกับใคร เขามีส่วนผสมผสานระหว่างความอัจฉริยะ ความจริงใจ และความเป็นคนอารมณ์ร้อน”

Einstein พูดอย่างชัดเจนว่าการเป็นตัวของตัวเองทำให้เขาไม่ยอมก้มหัวให้กับแนวคิดทางด้านวิชาการแบบเดิม ๆ

“นี่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาสามารถละทิ้งแนวคิดแบบนิวตันที่ขัดขวางความก้าวหน้าของนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ และทำให้เขาสามารถคิดทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นการปฏิวัติจริงๆ ในยุคของเขา” Schilling กล่าว

ดังที่ Schilling ชี้ให้เห็น Einstein เคยกล่าวไว้ว่า : ”ความรู้สึกอย่างแรงกล้าในความยุติธรรมทางสังคมและความรับผิดชอบต่อสังคมของฉันขัดแย้งกับเสรีภาพที่เด่นชัดของฉันเสมอจากความจำเป็นในการที่ต้องมีการปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วฉันได้สร้างเส้นทางเดินชีวิตของตัวฉันเอง”

ในที่สุด Schilling กล่าวว่านั่นทำให้พวกเขาเป็นนักคิดที่สามารถท้าทายสภาพที่เป็นอยู่

“เพราะพวกเขารู้สึกว่าตัวเองแตกต่างและแปลกแยกจากสังคมรอบข้าง พวกเขาจึงไม่ปฏิบัติตามกฎเหมือนคนอื่น ๆ ซึ่งทำให้พวกเขาพัฒนาความคิดที่กล้าได้กล้าเสียแม้ต้องเผชิญกับคำวิจารณ์มากมายเพียงใดก็ตาม” เธอกล่าว “สิ่งนี้เน้นให้เห็นคุณค่าของการใช้เวลาตามลำพัง ทั้งการอ่าน เขียน และคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เราพบว่าน่าสนใจอย่างแท้จริง”

พวกเขาเป็นนักอุดมคติ

Einstein , Musk และ Jobs แสดงความเป็นอุดมคติในอาชีพของพวกเขา Schilling กล่าว

“Jobs ต้องการปฏิวัติวิธีคิดของเราด้วยคอมพิวเตอร์ Einstein ต้องการค้นหาความจริงง่ายๆ เกี่ยวกับวิธีการทำงานของจักรวาล และ Musk ต้องการช่วยเผ่าพันธุ์ของเราด้วยการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและสร้างอาณานิคมบนดาวอังคาร” เธอกล่าว

เมื่อผู้คนมีแรงจูงใจอย่างแท้จริงที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง พวกเขาจะทำงานหนักขึ้นและนานขึ้น และจะยึดมั่นในเป้าหมายเมื่อต้องเผชิญกับคำวิจารณ์ Schilling อธิบาย 

พวกเขายังต้องพึ่งพาคนฉลาดอื่นๆ เพื่อที่จะสามารถดำเนินการตามความคิดของพวกเขาให้สำเร็จ ซึ่งในกรณีของพวกเขาเหล่านี้การเข้าถึงความเชี่ยวชาญหรือทรัพยากรทางปัญญามีความสำคัญต่อพวกเขามากกว่าการเข้าถึงทรัพยากรทางด้านการเงิน

Schilling กล่าวว่า “การทำตามเป้าหมายที่พวกเขามองว่าเป็นสิ่งที่สูงส่งและสำคัญนั้นทำให้พวกเขามีแรงจูงใจและความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า และเป็นรูปแบบหนึ่งของเกราะป้องกันจากคำวิจารณ์และความล้มเหลว” Schilling กล่าว “เราทุกคนสามารถได้รับประโยชน์จากการปลูกฝังความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ เป้าหมายที่ใหญ่พอที่จะขยายวิสัยทัศน์ของเราออกไปให้ไกลกว่าสิ่งที่คนอื่น ๆ มองเห็น และมีความสำคัญมากพอที่มันจะกระตุ้นความพยายามอันแน่วแน่ของเรา”

พวกเขาไม่ใช่นักเรียนระดับเทพ

“ผู้ชายเหล่านี้แต่ละคนไม่ค่อยชอบโครงสร้างการศึกษาในระบบแบบเดิม ๆ ” Schilling กล่าว

แม้ว่า Einstein จะมีพรสวรรค์อย่างลึกซึ้งในวิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ แต่ความก้าวร้าวของเขาก็ได้สร้างความขัดแย้งกับครูของเขาเช่นเดียวกัน เขามักจะขาดเรียนหรือมาสาย และแม้แต่ตอนที่อยู่ในชั้นเรียน ครูของเขามองว่าเขาเป็นคนดื้อรั้น ต่อมาครูเหล่านั้นก็ทำให้ Einstein ได้รับตำแหน่งทางวิชาการได้ยาก

Schilling ระบุว่า Jobs ตอนเรียนในชั้นเกรด 4 เขามีความสามารถที่จะสอบได้ที่ระดับชั้นเกรด 10 แม้ว่าเขาจะลาออกจาก Reed College แต่เขาก็อยู่ในมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าเรียนในชั้นเรียนที่เขาเลือกเอง ภายหลังเขากล่าวว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา เพราะมันทำให้เขาได้ศึกษาสิ่งต่าง ๆ ที่เขาพบว่าน่าสนใจอย่างแท้จริง

ในขณะเดียวกัน Musk เรียนได้เกรดที่ดีมาก ๆ ในคลาสเรียนที่เขาสนใจ เมื่อมาถึงคลาสเรียนที่เขาไม่สนใจเขาก็มักจะประสบกับปัญหาทันที Musk ตั้งข้อสังเกตว่าในมหาวิทยาลัยเขาไม่ค่อยเข้าชั้นเรียนและมุ่งไปที่การสอบเพื่อให้ผ่านในวิชาต่าง ๆ แทน

Musk เริ่มเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยควีนส์ในแคนาดา หลังจากนั้นสองปีก็ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และได้รับปริญญาตรีใบที่สองในสาขาเศรษฐศาสตร์ที่วอร์ตันสคูล เขาเข้าเรียนที่สแตนฟอร์ดเพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกในสาขาฟิสิกส์ประยุกต์แต่ลาออกเพื่อก่อตั้งบริษัทกับพี่ชายของเขา

แม้ว่าชายเหล่านี้แต่ละคนจะพบว่าโครงสร้างของการศึกษาในระบบเป็นข้อจำกัด แต่ Schilling กล่าวว่า เราไม่ควรสรุปว่าการศึกษาไม่สำคัญสำหรับพวกเขา

“ความหมายประการหนึ่งสำหรับพวกเราทุกคน ไม่ว่าเราจะลงทุนในการศึกษาของระบบปรกติหรือไม่ก็ตาม เราควรมองหาหัวข้อที่เราพบว่าน่าสนใจและมีความสำคัญ และศึกษาอย่างเข้มข้นในแง่มุมของเราเอง” Schilling กล่าว “หัวข้อที่เราศึกษาด้วยตัวเองเป็นพื้นที่ที่เรามีแนวโน้มที่จะพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ได้ในอนาคต”

ยอดอัจฉริยะในทุกวงการมักมีความพิเศษที่แตกต่างจากคนอื่นๆ เสมอ

ตัดมาที่ภาพของนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่อย่าง Cristiano Ronaldo ที่ถือได้ว่าเขาเป็นหนึ่งใน icon ของวงการฟุตบอล ซึ่งจากบทความข้างต้น เราจะเห็นอะไรบางอย่างของ Ronaldo ที่มีความคล้ายคลึงกัน เช่น ใน ข้อที่ 1 และ 2

Ronaldo ก็แทบไม่ต่างจาก Albert Einstein, Steve Jobs และ Elon Musk ในสาขาของตัวเองคือเรื่องฟุตบอล Ronaldo มีแนวคิดพึ่งพาตนเอง ปลีกแยกออกจากสังคม เพราะเขาต้องการสร้างสิ่งที่แตกต่าง หรือแม้กระทั่ง เรื่องการเป็นนักอุดมคติอย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้

โลกเราบางครั้งมันก็ไม่ได้เป็นโลกที่สวยงาม คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ มักจะมีนิสัยบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน เช่น ความมีอีโก้ ในตัวเองสูง หรือ ใครหลายๆ คนอาจจะร่วมงานกับพวกเขาได้ยากมาก ๆ เพราะพวกเขามีเป้าหมายที่สูงส่งและมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า

แต่สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้พวกเขามีเหนือคนทั่วไป และสร้างประวัติศาสตร์ได้สำเร็จในยุคของพวกเขานั่นเองครับผม

References :
https://www.cnbc.com/2018/03/12/3-traits-elon-musk-albert-einstein-and-steve-jobs-have-in-common.html
https://paulkeijzer.com/2022/01/18/breakthrough-innovators-einstein-jobs-and-elon-musk-three-traits/
หนังสือ Quirky: The Remarkable Story of the Traits, Foibles, and Genius of Breakthrough Innovators Who Changed the World โดย Melissa A Schilling


Bill Gates : กุญแจสู่ความสำเร็จของ Warren Buffett คือ ‘สิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้’

Warren Buffett ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปจากคนอื่น ๆ นักลงทุนในตำนานที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 82,000 ล้านเหรียญซึ่งทำให้เขาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

ในวัย 88 ปี เขายังคงบริหาร Berkshire Hathaway ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งของเขาที่เป็นเจ้าของธุรกิจอย่าง Geico, Dairy Queen และ See’s Candies หรือแม้กระทั่งการถือหุ้นในบริษัท Apple ที่เป็นผู้นำในธุรกิจด้านเทคโนโลยี

กุญแจสู่ความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาของ Buffetf คือนิสัยที่เรียบง่ายและ “เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้” Bill Gates เพื่อนเก่าแก่ของเขาชี้ให้เห็นในบล็อกโพสต์สำหรับเคล็ดลับที่สำคัญของ Buffett นั่นก็คือ “เขาอ่านหนังสือทุกวัน”

Buffett ซึ่งใช้เวลาระหว่างห้าถึงหกชั่วโมงต่อวันในการอ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์ซึ่งพบว่า ”การคิดเกี่ยวกับธุรกิจและปัญหาการลงทุนเป็นเรื่องสนุก” เขากล่าวในสารคดีเรื่อง Becoming Warren Buffett ของ HBO

นอกจากนี้ การติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับธุรกิจและเหตุการณ์ปัจจุบันเป็นวิธีที่ค่อนข้างง่ายเพื่อให้เขามีความได้เปรียบในการแข่งขัน “ทุกคนสามารถอ่านสิ่งที่ผมอ่านได้ มันเป็นสนามแข่งขันที่มีความเท่าเทียมกัน” Buffetf เคยบอกภรรยาผู้ล่วงลับของเขา Susan Buffetf ตามข้อมูลในสารคดีของ HBO

“และเขาชอบสิ่งนั้นเพราะเขาชอบแข่งขัน” Susan พูดถึง Buffetf “เขานั่งอยู่คนเดียวในห้องทำงาน อ่านสิ่งเหล่านี้ที่คนอื่นอ่านได้ แต่เขาชอบความคิดที่ว่าเขากำลังจะชนะ”

Mark Cuban ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีและมหาเศรษฐีที่สร้างตัวเองยังเป็นนักอ่านตัวยงและใช้นิสัยนี้เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพการงานของเขา เขาตระหนักถึงคุณค่าที่การอ่านสามารถกลับมาได้ในช่วงต้นอาชีพของเขา ในขณะที่สร้างธุรกิจเทคโนโลยีแห่งแรกของเขาที่ชื่อว่า MicroSolutions

Mark Cuban ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีและมหาเศรษฐีที่สร้างตัวเอง (CR:Entrepreneur)
Mark Cuban ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีและมหาเศรษฐีที่สร้างตัวเอง (CR:Entrepreneur)

“ผมจำได้ว่าอ่านคู่มือ PC DOS และรู้สึกภูมิใจที่ผมสามารถหาวิธีตั้งค่าเมนูเริ่มต้นสำหรับลูกค้าของผมได้” เขาเขียนในบล็อกของเขา “ผมอ่านหนังสือและนิตยสารทุกเล่มเท่าที่ทำได้  การใช้จ่าย 3 ดอลลาร์ สำหรับนิตยสาร, 20 ดอลลาร์ สำหรับหนังสือดี ๆ ซักเล่ม ซึ่งจะได้ความคิดที่ดีที่นำไปสู่การสร้างลูกค้าหรือโซลูชันใหม่ ๆ และมันมักได้ผลตอบแทนคุ้มค่าอยู่เสมอ”

″ทุกสิ่งที่ผมอ่านเป็นข้อมูลสาธารณะ” เขากล่าวเสริม “ใครๆ ก็ซื้อหนังสือและนิตยสารเล่มเดียวกันได้ ข้อมูลเดียวกันนี้มีให้สำหรับทุกคนที่ต้องการ กลายเป็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการมัน”

สำหรับ Cuban การสละเวลาเพื่อ ”หาข้อได้เปรียบด้านความรู้” ช่วยให้เขามีประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่ง เขากล่าว “ผู้ชายที่มีพื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์น้อยสามารถแข่งขันกับผู้ชายที่มีประสบการณ์มากกว่าได้ เพียงเพราะผมทุ่มเทเวลาเพื่อเรียนรู้ทุกอย่างที่ทำได้”

การอ่านเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ

แต่สำหรับ Bill Gates แม้ว่าการอ่านสำหรับ Gates จะเปรียบเสมือนเป็นการ explore ประเด็นใหม่ๆ เรื่องราวใหม่ๆ และไขความสงสัยที่เคยอยากรู้อยากเห็นได้ แต่ก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของเส้นทางความสำเร็จของ Gates เพราะมันต้องมีการ take action มากกว่านั้น

Gates มองว่า ความฉลาดที่ได้จากการอ่านไม่ใช่เพียงแค่การเลือกหนังสือเท่านั้น เพราะทุกเล่มทุกสไตล์การเขียนมีคุณค่าซ่อนอยู่เสมอ แต่อยู่ที่คนอ่านจะรู้จักหยิบมุมคิดเล็กๆ เหล่านั้นมาใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไร

การอ่าน เป็นการกระตุ้นความคิด และการหาไอเดียใหม่ๆ แต่ความสำเร็จในธุรกิจจะต้องอาศัยหลักคิดจากประสบการณ์ตรงด้วย ไม่ว่าจะความล้มเหลว หรือความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ เพราะมันบ่มเพาะ specific skills บางอย่างให้กับนักธุรกิจได้ และสะสมความอดทนในยามที่ธุรกิจเผชิญปัญหานั่นเองครับผม

References :
https://www.cnbc.com/2019/06/03/bill-gates-this-is-the-key-to-warren-buffetts-success.html
https://www.marketingoops.com/exclusive/opinion/bill-gates-billionaires-say-this-one-habit-is-secret-to-sucess/

5 บทเรียนแห่งความสำเร็จจาก Walt Disney ผู้สร้าง ‘Mickey Mouse’

Walter Elias “Walt” Disney เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ปี 1901 ในเมืองเฮอร์โมซา รัฐอิลลินอยส์ เขาและ Roy น้องชายของเขาร่วมกันก่อตั้ง Walt Disney Productions ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก Disney เป็นนักสร้างสรรค์แอนิเมชั่นและสร้างตัวการ์ตูน Mickey Mouse

Walt Disney มีจุดเริ่มต้นที่ต่ำต้อยมาก ๆ  เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อความสำเร็จ แต่เขาสร้างความสำเร็จขึ้นมาแทน มีบทเรียนอันล้ำค่าบางประการที่ผู้ประกอบการทุกคนสามารถเรียนรู้จากสิ่งที่เขาสามารถทำได้ในชีวิตของเขา ด้านล่างนี้คือ 5 สิ่งที่คุณสามารถเรียนรู้จากหนึ่งในผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์

บทที่ 1: ทำสิ่งที่คุณทำอย่างจริงจัง
เมื่อใดก็ตามที่ Walt Disney สร้างการ์ตูนของเขา เขามักจะใส่ใจในทุกรายละเอียดและจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่สูงสุด เขาไม่เคยเอาศิลปะและพรสวรรค์ของเขามาเป็นรางวัล

คุณจะไม่มีวันพบ Walt Disney ในสตูดิโอของเขาเพียงแค่ทำงานอย่างเอื่อยเฉื่อยและผัดวันประกันพรุ่งในโครงการของเขา เขาเป็นผู้นำเสมอเมื่อต้องทำในสิ่งที่เขารักและเขาจะไม่มีวันเอาความหลงใหลส่วนตัวของเขาไปทิ้งไว้เบื้องหลัง

บทเรียนที่ 2: อย่ากลัวที่จะเสี่ยง
นอกเหนือจากการเป็นผู้บุกเบิกด้านแอนิเมชั่นแล้ว Walt Disney ค่อนข้างเชี่ยวชาญในแง่ของการสร้างแบรนด์และการตลาด Snow White and the Seven Dwarfs เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่มีแคมเปญขายสินค้าเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย

ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไป 1.5 ล้านเหรียญ และสิ่งนี้เกิดขึ้นในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ เนื่องจากความเสี่ยงของ Disney บริษัทจึงขยายตัวจากนั้นอย่างทวีคูณ “มันสนุกดีที่ได้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้” – Walt Disney

บทที่ 3: โอบรับเทคโนโลยีใหม่
ทศวรรษที่ 1920 และ 30 เป็นยุคที่ใช้เทคโนโลยีเก่ามาก แต่ก็เป็นช่วงเวลาแห่งนวัตกรรมเช่นกัน สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เช่น สีและเสียงถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงที่ท้าทายสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์ นักแสดง ผู้กำกับ และแม้แต่ผู้ชมบางคนไม่ชอบอย่างไรก็ตาม ตามที่ Wesley Stout จาก Saturday Evening Post ทำนายไว้ ในที่สุดผู้คนก็ปรับหูและตาของพวกเขาได้ และ Disney ก็ได้รับเงิน

นอกจากนี้เขายังสร้างภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรก (“Snow White and the Seven Dwarfs”) และจากข้อมูลของ Entrepreneur เขาเป็นหัวหน้าสตูดิโอฮอลลีวูดคนแรกที่ร่วมผลิตรายการโทรทัศน์ ซึ่งกลายเป็นว่าสามารถทำรายได้ค่อนข้างดี เนื่องจาก “Mickey Mouse Club” ที่มีชื่อเสียงทำให้เด็ก ๆ หลงใหลไปทุกที่ในขณะที่เป็นการโฆษณาแบรนด์ Disney ไปในตัว

บทเรียนที่ 4: จงมีความกล้าที่จะไล่ตามความฝัน
หากคุณฝันได้ คุณก็ทำได้ ” Walt Disney.  ความฝันไม่ได้กลายเป็นความจริงด้วยตัวมันเอง คุณต้องให้ความสนใจกับมัน คุณต้องมีความมั่นใจในสิ่งที่คุณต้องการและกล้าที่จะลงมือทำตามความฝันของคุณ

ไม่มีใครบอกว่าการใช้ชีวิตตามความฝันของคุณเป็นเรื่องง่าย ถ้าเป็นเช่นนั้น มนุษย์คงทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากกว่านี้ “ทุกความฝันของเราสามารถเป็นจริงได้หากเรากล้าที่จะไล่ตามมัน” Walt Disney. อย่ามัวแต่ฝันโดยไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง นั่นไม่ได้ช่วยใครเลยแม้แต่น้อยสำหรับคุณ

บทเรียนที่ 5: อย่ายอมแพ้
มนุษย์หลายคนไม่รู้ว่า Walt Disney ไม่ได้ประสบความสำเร็จชั่วข้ามคืน เขาเริ่มต้นธุรกิจมากมายที่ล้มละลาย เขาเริ่มก่อตั้งสตูดิโอศิลปะเชิงพาณิชย์และประสบความสำเร็จ เขาพยายามสร้างโฆษณา แต่ก็ล้มเหลวเนื่องจากขาดรายได้ แทนที่จะยอมแพ้หรือล้มเลิก Walt Disney พยายามทำต่อไปโดยไม่ยอมแพ้เสมอ

References :
https://millionairex101.com/success-advice/1727/5-success-lessons-from-mickey-mouse-creator-walt-disney
https://lanetaneta.com/las-mejores-frases-de-walt-disney-el-creador-de-mickey-mouse/
https://parade.com/1120968/alexandra-hurtado/walt-disney-quotes/

7 ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า EV

ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) พุ่งสูงขึ้นกว่าเท่าตัวในปี 2021 เมื่อเทียบกับปี 2020 และบริษัทยานยนต์ประกาศการลงทุนมหาศาลในเทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่ การเปลี่ยนจากน้ำมันเป็นยานพาหนะที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ถึงกระนั้น ข้อมูลผิด ๆ ก็ยังมีอยู่มากมายในระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอันน่าตื่นเต้นนี้ ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวเข้าใจผิดที่ใหญ่ที่สุด 7 ประการเกี่ยวกับรถยนต์ EV

1. รถยนต์ไฟฟ้ามักจะมีราคาแพงกว่าเสมอ ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนศตวรรษ จนถึงจุดที่ในตอนนี้ราคาใกล้เคียงกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

ราคาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนลดลง 97% ตั้งแต่ปี 1991 และมีแนวโน้มว่าจะถูกลงเรื่อยๆ เนื่องจากงานวิจัยด้านต่างๆ ยังคงสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีและการผลิตจำนวนมากให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การประมาณการบางส่วนจากกระทรวงพลังงานและ นิตยสาร Car and Driver Magazine ของสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า ตลอดอายุขัยของยานพาหนะ รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกกว่ารถยนต์แบบน้ำมันเมื่อเทียบเคียงในขนาดเดียวกันอยู่แล้ว และเมื่อคำนึงถึงค่าบำรุงรักษา การซ่อมแซม การเสียภาษี และค่าเชื้อเพลิง เรียกได้ว่า EV กินขาด

เจเนอรัล มอเตอร์ส เพิ่งประกาศว่าเชฟโรเลต โบลต์ EV ปี 2023 จะมีราคาเริ่มต้นที่ราคา 26,595 ดอลลาร์ และจิม ฟาร์ลีย์ ซีอีโอของฟอร์ดคาดการณ์ว่าสงครามราคารถยนต์ไฟฟ้ากำลังจะเกิดขึ้นซึ่งจะทำให้ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าตกลงอย่างรวดเร็ว

เชฟโรเลต โบลต์ EV ปี 2023 มีราคาเริ่มต้นที่ราคา 26,595 ดอลลาร์ (CR:Car and Driver)
เชฟโรเลต โบลต์ EV ปี 2023 มีราคาเริ่มต้นที่ราคา 26,595 ดอลลาร์ (CR:Car and Driver)

2. รถยนต์ไฟฟ้าจะโอเวอร์โหลดกริด มีแนวคิดที่กระจายไปอย่างผิด ๆ ว่าโครงข่ายไฟฟ้าที่เปราะบางและล้าสมัยของอเมริกาหรือในหลายๆ ประเทศจะไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากรถยนต์ไฟฟ้าได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจากห้องปฏิบัติการชั้นนำของประเทศกล่าวว่าเป็นเรื่องไร้สาระ หากรถยนต์และรถบรรทุกทั้งหมดของประเทศ (อเมริกา) ใช้ไฟฟ้าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้นประมาณ 25% แต่การเพิ่มขึ้นนั้นจะเกิดขึ้นทีละน้อยเท่านั้น

3. แบตเตอรี่ EV อยู่ได้ไม่นาน ในการสำรวจความคิดเห็นเมื่อเร็วๆนี้ ประมาณ 46% ของผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคิดว่าชุดแบตเตอรี่จะอยู่ได้ไม่เกิน 65,000 ไมล์ (ประมาณ 100,000 กิโลเมตร) ความคิดดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นการดูถูกดูแคลนอย่างมาก ต่ำกว่าการรับประกันที่บริษัทส่วนใหญ่เสนอเกี่ยวกับแบตเตอรี่ของ EV 

ความจริงก็คือ เมื่อพิจารณาจากประสิทธิภาพของรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานบนท้องถนนมากว่าทศวรรษแล้ว คาดว่าแบตเตอรี่ EV จะรักษาความจุได้ 80% ขึ้นไปอย่างสบายๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 200,000 ไมล์ (ประมาณ 322,000 กิโลเมตร) ในการขับขี่ 

ข้อมูลที่เป็นรูปธรรมจากรถยนต์ Tesla Model S บ่งชี้ว่าความจุเริ่มต้นลดลง 5% ในช่วง 50,000 ไมล์แรก (ประมาณ 80,000 กิโลเมตร) ตามด้วยอีก 5% ลดลงในอีก 150,000 ไมล์ (ประมาณ 240,000 กิโลเมตร)

Tesla Model S ที่ความจุเริ่มต้นลดลง 5% ในช่วง 50,000 ไมล์แรก (CR:Electrek)
Tesla Model S ที่ความจุเริ่มต้นลดลง 5% ในช่วง 50,000 ไมล์แรก (CR:Electrek)

4. ช่วงระยะการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้ายังน้อยเกินไป ระยะกลางของรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ประมาณ 240 ไมล์ (ประมาณ 386 กิโลเมตร) เมื่อพิจารณาว่า 99% ของการเดินทางทั้งหมดอยู่ในระยะไม่เกิน 100 ไมล์ (ประมาณ 160 กิโลเมตร) และคนขับโดยเฉลี่ยเดินทางประมาณ 40 ไมล์ (ประมาณ 64 กิโลเมตร) ต่อวัน นั่นทำให้รถยนต์ไฟฟ้า EV ที่มีอยู่จะครอบคลุมความต้องการรายวันของผู้ขับขี่เกือบทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย 

อย่างไรก็ตาม ด้วยโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จที่จำกัดบนทางหลวงของสหรัฐอเมริกา และเมื่อพิจารณาจากความเร็วที่เกิน 70 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 113 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ประกอบกับอุณหภูมิที่เย็นจัด สามารถลดระยะการเดินทางของรถยนต์ EV ได้มากถึง 40% แต่อย่างไรก็ตามการเดินทางบนถนนหลายวัน รถยนต์ EV ก็ยังทำได้ดีที่สุด อาจจะไม่สะดวกแต่ก็ไม่ได้แย่ 

ภาพรวมโดยรวม: ในครัวเรือนที่มีรถหลายคัน ระยะการใช้งานไม่เป็นอุปสรรคต่อการมี EV อย่างน้อยหนึ่งคัน

5. การชาร์จจะช้าเกินไปเสมอ เวลาในการชาร์จอย่างรวดเร็ว (Fast-charging) ของ EV ลดลงอย่างมาก จนถึงจุดที่รถที่ขายอยู่ในปัจจุบันสามารถชาร์จจาก 10% ถึง 80% ได้ในเวลาเพียง 18 นาที 

การออกแบบแบตเตอรี่ใหม่ที่พร้อมจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ทำให้ลดเวลาในการชาร์จลงครึ่งหนึ่งเหลือไม่ถึงสิบนาที การลดลงนี้จะทำให้การชาร์จสะดวกยิ่งขึ้นในการเดินทางไกล 

อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่สามารถชาร์จที่บ้าน ที่ทำงาน หรือที่จอดรถได้โดยไม่ต้องใช้ Fast-charging สำหรับความต้องการในการขับขี่ในแต่ละวัน

6. เราไม่สามารถรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ได้ ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าในราวๆ ทศวรรษหรือประมาณนั้น แบตเตอรี่ลิเธียมที่ใช้แล้วจะเริ่มกลายเป็นขยะที่เริ่มล้นโลก และได้เรียกร้องให้มีการหาโซลูชันในการรีไซเคิล 

ปัจจุบันมีบริษัท ประมาณร้อยแห่งที่กำลังสำรวจและและค้นหาวิธีที่จะทำการรีไซเคิลขยะพวกนี้ ดังนั้นทางเลือกที่ดีและประหยัดจึงอาจอยู่ในระหว่างดำเนินการ เพราะมันจะกลายเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้อย่างมหาศาลในอนาคต

7. รถยนต์ไฟฟ้าส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพพื้นฐานมากกว่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน ในขณะที่เครื่องยนต์น้ำมันจะแปลงพลังงานที่เก็บไว้ของน้ำมันเบนซินเพียง 20% ให้เป็นพลังงานสำหรับการขับเคลื่อน ในขณะที่มอเตอร์ EV จะแปลงพลังงานสูงถึงประมาณ 60% ถึง 77% จากแบตเตอรี่ 

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับ EV ได้โต้แย้งว่าเมื่อคุณคำนึงถึงการผลิตของรถยนต์ EV ซึ่งรวมถึงการขุดเหมืองแร่สำหรับวัตถุดิบแบตเตอรี่ ความได้เปรียบของ EV จะลดลง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด 

มีรายงานการวิเคราะห์ life cycle ของรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่แสดงให้เห็นว่า EV มีห่วงโซ่อุปทานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า สาเหตุหลักเป็นเพราะพวกเขาต้องการชิ้นส่วนน้อยกว่ามากในการสร้างรถยนต์ขึ้นมาในแต่ละคันนั่นเอง

References :
https://www.myev.com/research/ev-101/10-common-electric-car-myths-busted
https://auto.howstuffworks.com/myths-electic-cars-vehicles.htm
https://www.freethink.com/technology/myths-about-electric-vehicle
https://www.electrichybridvehicletechnology.com/news/industry-news/world-ev-day-biggest-myths-busted-about-owning-an-electric-car.html

TikToker in your area เมื่อพนักงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดนไล่ออก หลัง vlogs บันทึกวันทำงานของพวกเขา

กลายเป็นพฤติกรรมใหม่ที่น่าสนใจไปแล้วนะครับ สำหรับ vlogs ตามที่สาธารณะต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นชาว TikToker ซึ่งเราได้พบเห็นกันเป็นเรื่องปรกติในยุคนี้

ด้วยเครื่องมือการทำคลิปวีดีโอที่แสนง่ายดายของ TikTok นั้นก็ทำให้คนสามารถทำคลิปออกมาได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แสดงตัวตนของตัวเองได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ต้องใช้เครื่องมือที่มีความซับซ้อนในการตัดต่อวีดีโอแบบในอดีตอีกต่อไป

และแน่นอนว่ามันรวมถึงเรื่องงานด้วย เพราะในตอนนี้ พนักงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยเฉพาะบริษัท Big Tech ยักษ์ใหญ่ได้สร้างวีดีโอที่มียอดวิวนับล้าน และสร้างผู้ติดตามได้จำนวนมาก ผ่าน TikTok

เว๊บไซต์ Theverge ได้เขียนบทความในเรื่องดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นพฤติกรรมใหม่ของ TikToker ในอุตสาหกรรมทางด้านเทคโนโลยี ที่มีการสร้าง vlogs เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ แสดงให้ผู้ติดตามเห็นถึงรายละเอียดของวันทำงาน

วีดีโอที่ส่วนใหญ่ทำแบบง่าย ๆ ใช้ดนตรีประกอบที่มีความสนุกสนานและมีชีวิตชีวา โดยถ่ายช่วงสั้น ๆ ของกิจกรรมระหว่างวัน ไม่ว่าจะเป็น สไลด์การประชุม ห้องทำงาน หรือลิ้นชักที่เต็มไปด้วยของว่าง

แต่มันได้กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า มันเกิดขอบเขตของเรื่องส่วนตัวไปหรือไม่ เพราะมันเป็นสถานที่ทำงาน ทำให้เกิดคำเตือนของฝ่าย HR หรือแม้กระทั่งในเคสที่เลวร้ายที่สุดอาจจะถูกไล่ออกได้เลยด้วยซ้ำ

ตัวอย่าง Michelle Serna ที่ใช้ account @brokeasshorsegirl บน TikTok ได้อัพเดทชีวิตประจำวันของเธอทั้งในฟาร์มม้าและที่ทำงาน

Serna ซึ่งทำงานในบริษัทเทคโนโลยีด้านสุขภาพ Visionable ระมัดระวังที่จะไม่เปิดเผยชื่อนายจ้างของเธอบน TikTok

ในเดือนสิงหาคม Serna ได้อัปโหลดวีดีโอสั้นๆ ไปยัง TikTok เพื่อแสดงกาแฟที่เธอทำหกในเช้าวันจันทร์ แต่ดันบังเอิญว่าคลิปวีดีโอดังกล่าวมีเสียงการประชุมของบริษัทเบา ๆ ซึ่งวีดีโอดังกล่าวมีผู้ชมเพียงไม่กี่พันครั้ง แต่วันรุ่งขึ้น เธอถูกไล่ออกเนื่องจากความประมาทเลินเล่อ

เคสของ Serna ถือว่าน่าสนใจมาก ๆ นะครับ เพราะเธอแทบจะไม่เคยพูดถึงผลงานของเธอในที่ทำงานเลย และไม่มีคำเตือนใด ๆ จากบริษัทเกี่ยวกับที่เธอลงคลิป TikTok แต่ก็โดนไล่ออกแบบฉับพลันทันที

หรืออีกเคส Nylah Boone ครีเอเตอร์ TikTok ที่คิดว่าตัวเองเป็น micro influencers โดยปล่อยคลิปเกี่ยวกับการทำงานซึ่งเธอทำงานอยู่ที่ Apple

Nylah Boone ครีเอเตอร์ TikTok ที่ vlogs กิจวัตรในออฟฟิสจนตกงาน (CR:9to5mac)
Nylah Boone ครีเอเตอร์ TikTok ที่ vlogs กิจวัตรในออฟฟิสจนตกงาน (CR:9to5mac)

เธอได้โพสต์วีดีโอเกี่ยวกับการทำงานวันแรกของเธอจากสำนักงาน Apple ซึ่งได้แสดงกิจวัตรตอนเช้า และการเดินทางของเธอ พร้อมตัวอย่างอาคารภายในสำนักงานของ Apple หรือแม้กระทั่ง snack ที่มีอยู่ภายในสำนักงาน

วีดีโอชื่อ “หนึ่งวันในชีวิตสาวผิวดำที่ทำงานนด้านเทคโนโลยี” มีผู้เข้าชมเกือบ 400,000 ครั้ง โดยมีความคิดเห็นนับร้อยที่ขอคำแนะนำจากก Boone เกี่ยวกับอาชีพและคำถามเกี่ยวกับงานและกิจวัตรประจำวันของเธอ

“ผู้ติดตามหรือคนที่ติดต่อมาหาฉันหรือแสดงความคิดเห็นเป็นผู้หญิงผิวดำ 80%” Boone กล่าว

ซึ่งนั่นเป็นสิ่งสำคัญที่ Boone มองว่าเธอสามารถที่จะเชื่อมต่อกับผู้หญิงผิวดำคนอื่น ๆ ได้เพื่อให้กำลังใจพวกเขา และแสดงให้เห็นว่า คนแบบเธอสามารถทำงานในอุตสาหกรรมนี้และบทบาทนี้ได้ ในบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple

แต่ในเดือนพฤษภาคม Boone ตกงานโดยไม่คาดคิด Apple ไม่ต่อสัญญากับเธอ และเธอได้ทำวีดีโอเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งคลิปสามนาทีที่บันทึกการตกงานของเธอมีผู้เข้าชมประมาณ 150,000 ครั้ง

บทสรุป

ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับ ที่ตอนนี้เทรนด์ของโลกโดยเฉพาะสำหรับคนยุคใหม่ ๆ นั้นเป็นแบบนี้ไปแล้ว กิจวัตรประจำวันแม้แต่เรื่องการทำงานอาจจะถูกบันทึกไว้และถูกเผยแพร่ไปในโลกออนไลน์อย่าง TikTok

ซึ่งแน่นอนว่ามันก็มีทั้งผลดีและผลเสียกับองค์กร หากเป็นวีดีโอที่แสดงด้านดี ๆ ขององค์กร มันก็เหมือนการโปรโมตไปในตัว ว่าสถานที่แห่งนี้มันน่าทำงานขนาดไหน

แต่ก็อย่างว่า โลกมีสองด้านเสมอ หากมีการถ่ายคลิปในเรื่องแย่ ๆ ขององค์กร ก็อาจจะส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กรเช่นเดียวกัน ซึ่ง ส่วนตัวก็มองว่า HR ยุคใหม่ควรเริ่มเข้ามาสนใจประเด็นเหล่านี้ให้มากขึ้น ควรแม้กระทั่งกำหนดไว้ในสัญญาจ้างงานเลยด้วยซ้ำว่าสิ่งเหล่านี้มันทำได้หรือไม่ เพราะไม่งั้นเหล่า TikToker ที่ทำ vlogs เป็นชีวิตจิตใจ อาจจะประสบชะตากรรมเดียวกับ Serna และ Boone โดยไม่รู้ตัวได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.theverge.com/23399448/big-tech-employees-tiktok-youtube-influencers-tech-girlies-vlogs
https://www.reddit.com/r/GoldandBlack/comments/n6ftna/tech_workers_turning_down_jobs_at_tiktok_after/