จากคนที่แย่ที่สุด สู่คนที่ดีที่สุด : Your Future Self หยุดทำร้ายตัวเองในอนาคตด้วยการตัดสินใจผิดๆ วันนี้

ต้องบอกว่าเป็นหนังสือที่น่าสนใจอีกหนึ่งเล่มนะครับ หนังสือ “Your Future Self” ที่เขียนโดย Hal Hershfield ได้เปิดมุมมองใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง ผ่านแนวคิดที่ท้าทายความเชื่อดั้งเดิมที่ว่าตัวตนของเราเป็นสิ่งที่หยุดนิ่งและไม่เปลี่ยนแปลง

Hershfield นำเสนอมุมมองที่แตกต่างว่า ตัวตนของเราคือการเดินทาง เป็นเรื่องราวที่เขียนขึ้นใหม่ได้เสมอผ่านการตัดสินใจและการกระทำในแต่ละวัน

เรื่องราวของ Pedro Rodriguez Filio ที่ถูกหยิบยกมาเป็นตัวอย่างในหนังสือ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันน่าทึ่งของมนุษย์ในการเปลี่ยนแปลงตนเอง แม้จะเคยเป็นอาชญากรที่โหดร้าย แต่เขาก็สามารถพลิกผันชีวิตและสร้างตัวตนใหม่ได้อย่างสิ้นเชิง

การเปลี่ยนแปลงของเขาไม่เพียงท้าทายความเชื่อเรื่องโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เราตั้งคำถามกับความเชื่อที่ว่าตัวตนของเราถูกกำหนดโดยอดีตเพียงอย่างเดียว

การค้นพบตัวตน

จากการศึกษาของ Harvard Medical School พบว่า สมองของมนุษย์มีความยืดหยุ่นและสามารถสร้างเส้นทางประสาทใหม่ได้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นพื้นฐานทางชีววิทยาที่รองรับความสามารถในการเปลี่ยนแปลงตนเองของมนุษย์ เรื่องราวของ Rodriguez Filio เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความจริงข้อนี้

เขาเกิดมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรุนแรง มีรอยแผลเป็นบนกะโหลกศีรษะจากการถูกพ่อแท้ ๆ ทำร้าย ความรุนแรงในวัยเด็กนำไปสู่เส้นทางอาชญากรรม

จนกระทั่งในปี 1985 เขากลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 71 ราย แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2007 เมื่อเขาได้รับโอกาสกลับสู่สังคม การเปลี่ยนแปลงของเขาเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมพื้นฐาน เช่น การตื่นแต่เช้าตรู่ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการละเว้นจากสิ่งเสพติดทุกชนิด

การศึกษาอันลึกซึ้งของ Professor Nina Strohminger ได้ช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับธรรมชาติของอัตลักษณ์มนุษย์ ผ่านการศึกษาผู้ป่วยกลุ่มต่างๆ ทั้งผู้ป่วย Alzheimer’s, ALS และ frontotemporal dementia ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า แก่นแท้ของตัวตนไม่ได้อยู่ที่ร่างกายหรือความทรงจำ แต่อยู่ที่คุณค่าทางศีลธรรมและจริยธรรมที่เรายึดถือ

นักประสาทวิทยาได้ค้นพบว่า บริเวณสมองส่วน prefrontal cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเชิงจริยธรรมและการควบคุมพฤติกรรม สามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงได้แม้ในวัยผู้ใหญ่ ผ่านการฝึกฝนและประสบการณ์ใหม่ๆ การค้นพบนี้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของ Rodriguez Filio ที่เลือกสร้างตัวตนใหม่บนพื้นฐานของคุณค่าที่ดีงาม

ความท้าทายและอุปสรรค

การเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยความท้าทาย เราต้องเผชิญกับอคติทางความคิดหลายประการที่ฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ หนึ่งในนั้นคือ “projection bias” ที่ทำให้เราเชื่อว่าความรู้สึกและความต้องการในปัจจุบันจะคงอยู่ตลอดไป เช่น การตัดสินใจซื้อบ้านในวันที่อากาศร้อนจัด อาจทำให้เราให้ความสำคัญกับระบบปรับอากาศมากเกินไป โดยลืมพิจารณาปัจจัยสำคัญอื่นๆ

อีกหนึ่งอคติที่สำคัญคือ “end of history illusion” ที่ทำให้เราเชื่อว่าตัวตน ความชอบ และค่านิยมของเราจะไม่เปลี่ยนแปลงในอนาคต

การศึกษาจาก MIT แสดงให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่มักประเมินการเปลี่ยนแปลงของตนเองในอนาคตต่ำกว่าความเป็นจริงถึง 40% ความเชื่อนี้อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่เหมาะสม เช่น การสักรูปที่อาจไม่สะท้อนตัวตนในอนาคต หรือการเลือกเส้นทางอาชีพโดยไม่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของความสนใจ

ความท้าทายสำคัญอีกประการหนึ่งคือการมองตัวตนในอนาคตเป็นคนแปลกหน้า ทำให้เรามักตัดสินใจโดยคำนึงถึงแต่ความสุขเฉพาะหน้า เช่น การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยด้วยบัตรเครดิต การผลัดวันประกันพรุ่งในการทำงานสำคัญ หรือการเลือกรับประทานอาหารที่ให้ความสุขทันทีแทนที่จะคำนึงถึงสุขภาพในระยะยาว

การก้าวข้ามอุปสรรคสู่ความสำเร็จ

Hershfield นำเสนอกลยุทธ์ที่น่าสนใจในการเชื่อมโยงกับตัวตนในอนาคต โดยเริ่มจากการเปลี่ยนมุมมอง แทนที่จะมองพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า ให้มองว่าเป็นเพื่อนที่ต้องการความช่วยเหลือและการดูแล สร้างวิธีการในการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เช่น การเขียนจดหมายถึงตัวเองในอนาคต การสร้างแคปซูลเวลาที่บรรจุความหวังและความฝันของเรา และการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนพร้อมแผนการปฏิบัติที่เป็นขั้นเป็นตอน

นักจิตวิทยาจาก University of Pennsylvania พบว่า การจินตนาการถึงตัวเองในอนาคตอย่างละเอียดสามารถเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานหนักเพื่อเป้าหมายระยะยาวได้ถึง 80%

การสร้างภาพที่ชัดเจนของตัวตนในอนาคตช่วยให้เราตัดสินใจในปัจจุบันได้ดีขึ้น เช่น การจินตนาการถึงตัวเองในวัยเกษียณที่มีความมั่นคงทางการเงิน อาจช่วยให้เราเริ่มออมและลงทุนตั้งแต่วันนี้

การสร้างสมดุลระหว่างความสุขในปัจจุบันกับเป้าหมายระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญ แทนที่จะมองว่าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เราสามารถผสมผสานทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกันได้อย่างชาญฉลาด เช่น การฟัง Audio Book หรือพอดแคสต์ที่ให้ความรู้ระหว่างออกกำลังกาย การทำงานในร้านกาแฟที่ชื่นชอบเพื่อเพิ่มความสุขในการทำงาน หรือการแบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นขั้นตอนย่อยๆ ที่ทำให้รู้สึกสำเร็จและมีความสุขได้ในทุกๆ วัน

การวิจัยด้านพฤติกรรมศาสตร์พบว่า การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อพฤติกรรมที่ต้องการมีประสิทธิภาพมากกว่าการพึ่งพาแรงจูงใจเพียงอย่างเดียวถึง 3 เท่า ดังนั้น การจัดสภาพแวดล้อมให้สนับสนุนเป้าหมายระยะยาว เช่น การเก็บอาหารที่มีประโยชน์ไว้ใกล้มือ การตั้งค่าหักเงินออมอัตโนมัติ หรือการจัดตารางเวลาที่เอื้อต่อการออกกำลังกาย จึงเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการสร้างการเปลี่ยนแปลง

บทส่งท้าย: สู่อนาคตที่ดีกว่า

การเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นการเดินทางที่ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์และความมุ่งมั่นในการพัฒนา แนวคิดของ Hershfield ไม่เพียงช่วยเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวตนในปัจจุบันและอนาคต แต่ยังชี้ให้เห็นว่า การสร้างความเชื่อมโยงกับตัวตนในอนาคตเป็นกุญแจสำคัญสู่การตัดสินใจที่ดีในปัจจุบัน

เมื่อเรามองตัวตนในอนาคตเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่ไกลเกินเอื้อม เราจะเริ่มเห็นว่าการตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันล้วนมีความหมาย เปรียบเสมือนการวาดภาพที่ค่อยๆ เติมสีและรายละเอียดทีละนิด จนกลายเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบในที่สุด

ในท้ายที่สุด การสร้างอนาคตที่ดีกว่าไม่ใช่เรื่องของการเสียสละความสุขในปัจจุบันทั้งหมด แต่เป็นเรื่องของการสร้างสมดุลและความเชื่อมโยงระหว่างตัวตนในแต่ละช่วงเวลา เหมือนการเต้นรำที่ต้องก้าวไปข้างหน้าและถอยหลังอย่างสอดประสาน เพื่อสร้างท่วงทำนองที่งดงามของชีวิตนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Your Future Self: How to Make Tomorrow Better Today โดย Hal Hershfield

4 ฤดูกาลแห่งชีวิต : เข้าใจตัวเอง เข้าใจโลก เข้าใจความสำเร็จ กับบทเรียนจาก Tony Robbins

ทุกความสำเร็จล้วนมีจุดเริ่มต้น เช่นเดียวกับเรื่องราวของ Tony Robbins ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ที่เริ่มต้นอาชีพด้วยความกล้าที่จะท้าทายตนเอง และเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่สนใจจาก PBD Podcast ที่สัมภาษณ์ Tony Robbins โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจมาก ๆ ในหัวข้อ “Patterns Can Make You UNSTOPPABLE” 

ในปี 1984 ที่ Los Angeles Tony ได้ทำงานกับนักกีฬาโอลิมปิก จนประสบความสำเร็จด้วยการคว้าชัยชนะในการแข่งขันว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์ 1,500 เมตร ทั้งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน จากนั้นเขาได้ร่วมงานกับบุคคลสำคัญระดับโลกมากมาย ทั้ง Nelson Mandela, Mother Teresa, Gorbachev และ Clinton

ปัจจุบัน Tony กำลังจะมีอายุครบ 65 ปี มีครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมด้วยลูก 5 คนและหลาน 5 คน โดยลูกสาวคนโตอายุ 50 ปี และคนเล็กอายุเพียง 3 ปีครึ่ง เนื่องจากเขารับเด็ก 3 คนมาเลี้ยงดูตั้งแต่อายุ 24-25 ปี

เมื่อมองไปที่อนาคตของลูกหลาน Tony ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะการที่ 40% ของงานจะถูกแทนที่ด้วย AI หุ่นยนต์ สิ่งนี้ทำให้เขาค้นพบว่าทักษะสำคัญที่จะช่วยให้มนุษย์ประสบความสำเร็จในอนาคตประกอบด้วยการจดจำรูปแบบ การใช้รูปแบบ และการสร้างรูปแบบใหม่ ๆ

Tony อธิบายว่าการจดจำรูปแบบที่เคยเกิดขึ้นจะช่วยขจัดความกลัว เช่น เมื่อเราเข้าใจว่าความขัดแย้งทางการเมืองไม่ได้รุนแรงเท่าในอดีต ซึ่งการใช้รูปแบบสามารถเรียนรู้ได้จากผู้ประสบความสำเร็จ เช่น นักลงทุนระดับโลกอย่าง Ray Dalio, Carl Icahn และ Warren Buffett ส่วนการสร้างรูปแบบใหม่จะเกิดขึ้นได้หลังจากที่เราเรียนรู้และเข้าใจรูปแบบที่มีอยู่อย่างลึกซึ้ง

การพัฒนาของมนุษยชาติมีจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อเราเริ่มเข้าใจ “ฤดูกาล” ย้อนไปในยุคโบราณ มนุษย์เราต้องเร่ร่อนเพื่อหาอาหาร แต่เมื่อเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เราจึงสามารถตั้งถิ่นฐาน สร้างชุมชน และพัฒนาอารยธรรมขึ้นมาได้

Tony ชี้ให้เห็นว่าการทำสิ่งที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ เปรียบเสมือนการเพาะปลูกที่ต้องทำในฤดูกาลที่เหมาะสม

ชีวิตมนุษย์ก็เช่นกัน มีฤดูกาลของตัวเอง เริ่มจากฤดูใบไม้ผลิในช่วงอายุ 0-21 ปี เป็นช่วงที่ทุกอย่างเติบโตได้ง่าย ได้รับการปกป้องดูแลและการศึกษา ต่อด้วยฤดูร้อนในช่วงอายุ 22-42 ปี เป็นช่วงแห่งการทดสอบที่ท้าทาย หลายคนเริ่มเข้าใจว่าความฝันและความเป็นจริงอาจแตกต่างกัน จากนั้นเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงในช่วงอายุ 43-63 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ประสบความสำเร็จและมีพลังสูงสุด และสุดท้ายคือฤดูหนาวในช่วงอายุ 63 ปีขึ้นไป เป็นช่วงที่ได้เก็บเกี่ยวผลแห่งความสำเร็จและพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์ให้กับผู้อื่น

Tony ยังได้วิเคราะห์วงจรของประวัติศาสตร์ผ่านมุมมองของคนที่เกิดในปี 1910 ซึ่งเริ่มต้นชีวิตในยุคเฟื่องฟู แต่ต้องเผชิญกับ Great Depression ในปี 1929 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 คนรุ่นนี้ถูกเรียกว่า “The Greatest American Generation” เพราะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากและกลับมาเป็นวีรบุรุษ

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกเข้าสู่ยุคแห่งความหวังในช่วงปี 1950 ถึงต้นปี 1960 แต่หลังจากการลอบสังหาร Kennedy, Bobby Kennedy และ Martin Luther King Jr. สังคมก็เปลี่ยนแปลงไป เกิดความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ส่งผลให้รูปแบบการเลี้ยงดูลูกเปลี่ยนไป เกิดปรากฏการณ์ “latchkey kids” หรือเด็กที่ต้องดูแลตัวเองที่บ้าน

ค่านิยมในสังคมก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย จากที่เคยให้ความสำคัญกับปรัชญาชีวิตที่ทำให้มีความสุขในช่วงปี 1960-1970 กลับเปลี่ยนมาเน้นทักษะปฏิบัติเพื่อความมั่นคงทางการเงินในช่วงปี 1980-2000

Tony มองว่าปัจจุบันเราอยู่ในช่วงฤดูหนาวของประวัติศาสตร์ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจและความขัดแย้งรูปแบบใหม่ แต่เขาเชื่อว่าหลังจากนี้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่ม Millennials และ Generation Z ที่กำลังผ่านช่วงเวลายากลำบากจะกลายเป็นวีรบุรุษรุ่นต่อไป

ในด้านการทำธุรกิจ Tony เน้นย้ำว่าความสำเร็จประกอบด้วยจิตวิทยาและอารมณ์ 80% และกลยุทธ์ 20% โดยกลยุทธ์ที่ถูกต้องสามารถประหยัดเวลาได้ถึง 10 ปี

โดยตัวเขาเองบริหารธุรกิจ 114 บริษัทมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์ ด้วยการเป็นเจ้าของที่แท้จริงและบริหารโดยตรงเพียง 12 บริษัท ที่เหลือให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ผ่านโปรแกรม Business Mastery ที่รับประกันการเติบโต 30-130% ภายใน 18 เดือน

สาระสำคัญที่ Tony ต้องการสื่อคือ การเข้าใจวัฏจักรของชีวิต ธุรกิจ และประวัติศาสตร์ จะช่วยให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและใช้ประโยชน์จากทุกสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งมักเป็นโอกาสในการสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ดังที่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า บริษัทชั้นนำถึง 60% ใน Fortune 1000 เกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ เช่น FedEx และ Disney

ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ในฤดูกาลไหน แต่อยู่ที่ว่าเราเข้าใจและใช้ประโยชน์จากฤดูกาลนั้นได้ดีเพียงใด การรู้จักจังหวะของชีวิตและประวัติศาสตร์จะช่วยให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายและเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกสถานการณ์ได้นั่นเองครับผม

References :
“Patterns Can Make You UNSTOPPABLE” – Tony Robbins BREAKS DOWN The Cycles Of Failure & Success
https://youtu.be/_uVm_MykGLk?si=Hqki639sLqXR_Q7y

เปลี่ยนชีวิตด้วยวิธีคิดแบบไคเซ็น : ก้าวเล็กๆ สู่ความสำเร็จครั้งใหญ่ ด้วยวิธีคิดแบบปรัชญาญี่ปุ่น

ท่ามกลางความวุ่นวายของโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน มีปรัชญาการพัฒนาที่น่าสนใจจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย

เรื่องราวนี้เริ่มต้นจาก Robert Maurer นักจิตวิทยาคลินิกแห่ง UCLA ที่ได้สังเกตเห็นโฆษณารถยนต์ Lexus ซึ่งภาคภูมิใจนำเสนอรางวัลคุณภาพมากมายที่ได้รับตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

สิ่งนี้จุดประกายความสงสัยในใจของเขาว่า อะไรทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นสามารถรักษามาตรฐานคุณภาพระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง

คำตอบของปริศนานี้ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1940 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Dr. Edward Deming ชาวอเมริกันเดินทางมาญี่ปุ่นเพื่อช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมการผลิต ด้วยประสบการณ์จากการมีส่วนสำคัญในการพัฒนาการผลิตของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงคราม ทำให้ชาวญี่ปุ่นให้ความสนใจแนวคิดของเขาเป็นอย่างมาก

Deming ได้มอบหลักการสำคัญให้กับคนงานในโรงงานญี่ปุ่น นั่นคือการตั้งคำถามกับตัวเองทุกวันว่า “มีขั้นตอนเล็กๆ อะไรบ้างที่ฉันสามารถทำเพื่อพัฒนากระบวนการหรือผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น”

แนวคิดนี้ได้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “Kaizen” หรือ “ไคเซ็น” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ญี่ปุ่นฟื้นตัวจากความเสียหายของสงครามและก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านการผลิตในช่วงปลายศตวรรษที่ 20

จากความสำเร็จในภาคอุตสาหกรรม Robert Maurer จึงเกิดแนวคิดที่จะนำหลักการ Kaizen มาประยุกต์ใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา

เขาเริ่มแนะนำให้คนไข้ทำการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย แทนที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทันที เช่น แทนที่จะแนะนำให้ลาออกจากงานที่ไม่พอใจ เขากลับให้คนไข้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีต่อวันในการจินตนาการถึงงานในฝัน หรือแทนที่จะกำหนดให้ออกกำลังกายที่ยิมนาน 30 นาที เขาแนะนำให้เริ่มจากการเดินอยู่หน้าทีวีในช่วงโฆษณาเพียง 1 นาที

การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เหล่านี้ดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญ แต่กลับสร้างผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง เพราะสมองของมนุษย์มีกลไกการทำงานที่น่าสนใจ เมื่อเราเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สมองส่วน amygdala จะถูกกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองแบบ “สู้หรือหนี” ทำให้เราหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความท้าทายและหันไปหาความสบายใจชั่วคราวแทน

แต่เมื่อเราใช้หลักการ Kaizen การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยจะช่วยให้เราหลบผ่านระบบเตือนภัยของสมอง ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกกลัวหรือต่อต้าน เราจึงสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง

ตัวอย่างความสำเร็จที่น่าประทับใจมาจากกรณีของ Jack St. นักธุรกิจที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อย่างรุนแรง จนต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการข้ออักเสบกว่า 20 จุด แม้แพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายทั้งหมด แต่ Jack เลือกที่จะใช้หลักการ Kaizen ด้วยการเริ่มจากก้าวเล็กๆ และให้รางวัลกับตัวเองในทุกความสำเร็จ

ทุกเช้า Jack จะตั้งเป้าหมายเพียงแค่การลุกจากเตียง เมื่อทำสำเร็จ เขาจะให้กำลังใจตัวเองด้วยคำชมสั้นๆ แต่จริงใจ จากนั้นเขาจึงเดินทางไปยิม โดยตั้งใจเพียงแค่จะพูดคุยกับพนักงานที่นั่น

เมื่อก้าวขึ้นลู่วิ่ง เขาเริ่มต้นด้วยการเดินเพียง 2 นาที พร้อมให้รางวัลตัวเองด้วยคำชมและกำลังใจ ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งคือ เมื่อ Jack อายุ 70 ปี เขาสามารถคว้าแชมป์การแข่งขัน Mr. World bodybuilding ในรุ่นอายุของเขาได้สำเร็จ

การเปลี่ยนแปลงแบบ Kaizen ไม่เพียงใช้ได้ผลในการพัฒนาร่างกาย แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับการพัฒนาในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่ การพัฒนาอาชีพ หรือแม้แต่การสร้างความสัมพันธ์

Michael Ondaatje ผู้เขียนนวนิยายรางวัลวรรณกรรมเรื่อง “The English Patient” ใช้หลักการคล้ายคลึงกันในการสร้างสรรค์ผลงาน

แทนที่จะตั้งคำถามใหญ่ว่าจะสร้างตัวละครที่น่าประทับใจได้อย่างไร เขาเลือกที่จะเริ่มจากคำถามเล็กๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์หนึ่ง เช่น “ใครคือชายในเครื่องบินที่ตก” “เขามาที่นี่ได้อย่างไร” “ทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุ” คำถามเล็กๆ เหล่านี้ค่อยๆ นำไปสู่การสร้างเรื่องราวและตัวละครที่มีมิติลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ในโลกปัจจุบันที่ผู้คนมักถูกกดดันให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว หลักการ Kaizen อาจดูขัดกับกระแสหลัก แต่การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยกลับเป็นวิธีที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะช่วยให้เราสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและพัฒนาไปอย่างมั่นคง โดยไม่ต้องต่อสู้กับความกลัวหรือแรงต้านจากภายในจิตใจของเราเอง

การนำหลักการ Kaizen มาใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้หมายความว่าเราต้องล้มเลิกความฝันหรือเป้าหมายใหญ่ แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีการเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้น ด้วยการแบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นก้าวเล็กๆ ที่จับต้องได้ และให้รางวัลกับตัวเองในทุกความสำเร็จ

วิธีการนี้อาจดูเรียบง่ายเกินไปสำหรับบางคน แต่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่มักเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ ที่มั่นคง

References :
หนังสือ One Small Step Can Change Your Life: The Kaizen Way โดย Robert Maurer Ph.D.

ทำช้าแต่ชัวร์ vs ทำเร็วแต่พัง : จาก Google Glass ถึง Theranos บทเรียนราคาแพงของความรีบร้อน

ในการดำเนินชีวิตและการทำงาน เราทุกคนมักเคยได้ยินคำว่า “แรงเสียดทาน (friction)” ในแง่ลบอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนท่องเที่ยว การประกอบโมเดล Lego หรือแม้แต่การบริหารองค์กร เรามักจะพยายามหลีกเลี่ยงหรือกำจัดแรงเสียดทานเหล่านี้ให้หมดไป

แต่ Bob Sutton นักจิตวิทยาองค์กรและผู้เขียนหนังสือขายดีถึง 8 เล่ม รวมถึง “The Friction Project” มองเห็นมุมมองที่แตกต่างและน่าสนใจ

เขาเปรียบเทียบการบริหารจัดการกับการแข่งรถอย่างน่าสนใจ ทีมที่ชนะการแข่งขันไม่ได้เหยียบคันเร่งตลอดเวลา แต่พวกเขารู้จังหวะในการเบรกเมื่อเข้าโค้ง รู้เวลาที่ควรแวะเข้าพิทสต็อป และที่สำคัญ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างไฟไหม้ พวกเขาก็พร้อมที่จะหยุดและออกจากรถเพื่อรักษาชีวิต นี่คือแก่นแท้ของการจัดการกับแรงเสียดทานอย่างชาญฉลาด

ในบริบทขององค์กร “แรงเสียดทานขององค์กร (organizational friction)” คือสิ่งที่ทำให้งานช้าลง ยากขึ้น หรือสร้างความหงุดหงิดให้กับพนักงาน ลูกค้า และผู้บริหาร แต่ Sutton ชี้ให้เห็นว่า แรงเสียดทานไม่ได้เลวร้ายเสมอไป บางครั้งมันกลับเป็นกลไกป้องกันที่มีคุณค่า

หลักการสำคัญที่ Sutton นำเสนอในหนังสือ “The Friction Project” คือการแยกแยะระหว่างสิ่งที่ควรทำให้ง่ายและสิ่งที่ควรทำให้ยาก กระบวนการพื้นฐานอย่างการจ่ายบิลหรือการเบิกค่าเดินทางควรทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่การกระทำที่ผิดกฎหมายหรือผิดจริยธรรม เช่น การทุจริต ควรมีอุปสรรคที่ยากจะฝ่าฝืน

กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือเรื่องของ Elizabeth Holmes อดีต CEO ของ Theranos ที่พยายามจำหน่ายอุปกรณ์ตรวจเลือดที่ไม่ได้มาตรฐาน เธอใช้อิทธิพลของนายพลระดับ 4 ดาวกดดันให้ติดตั้งอุปกรณ์บนเฮลิคอปเตอร์ทหาร

แต่ด้วยแรงเสียดทานของระบบและกฎระเบียบของ FDA ทำให้แผนการนี้ล้มเหลว นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าแรงเสียดทานบางอย่างมีไว้เพื่อปกป้องสังคม

ในทางตรงกันข้าม บริษัท Sequel ในซานฟรานซิสโกเลือกที่จะเผชิญกับแรงเสียดทานอย่างสร้างสรรค์ พวกเขาใช้เวลาพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าอนามัยแบบสอดรุ่นใหม่อย่างพิถีพิถัน ผ่านการทดสอบและขั้นตอนการอนุมัติจาก FDA อย่างครบถ้วน จนสามารถผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพได้ในที่สุด

Sutton แนะนำให้เรารู้จัก “นักแก้แรงเสียดทาน (friction fixer)” บุคคลที่มีความสามารถพิเศษในการจัดการกับแรงเสียดทานอย่างชาญฉลาด พวกเขาเข้าใจว่าเวลาของผู้อื่นมีค่า และตระหนักว่าการตัดสินใจของตนส่งผลต่อการใช้เวลาของผู้อื่นอย่างไร

ตัวอย่างที่น่าประทับใจคือเจ้าหน้าที่ที่ Department of Motor Vehicles (DMV) ที่ช่วยจัดการแถวคอยยาวให้มีประสิทธิภาพ ด้วยการคัดกรองและให้คำแนะนำที่ถูกต้องตั้งแต่แรก ทำให้กระบวนการที่คาดว่าจะใช้เวลา 3 ชั่วโมงเหลือเพียง 35 นาที

จากกรณีของ DMV นี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้คุณจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดขององค์กร คุณก็สามารถเป็น “นักแก้แรงเสียดทาน” ที่ช่วยทำให้ชีวิตของผู้อื่นง่ายขึ้นได้

นักแก้แรงเสียดทานที่มีประสิทธิภาพจะมีทักษะสำคัญในการวินิจฉัยว่าอะไรควรยากและอะไรควรง่าย โดย Sutton ได้นำเสนอคำถามสำคัญสองข้อที่นักแก้แรงเสียดทานควรถามตัวเองเสมอ

คำถามแรกคือ “เรารู้จริงๆ หรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่?” แม้ว่าในหลายสถานการณ์ การตัดสินใจที่รวดเร็วตามสัญชาตญาณจะเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อเราเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนหรือเสี่ยง บางครั้งการหยุดคิดและไม่ทำอะไรเลยกลับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ Google Glass นวัตกรรมแว่นตาอัจฉริยะที่ Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้ง Google หลงใหลจนรีบนำออกสู่ตลาดทั้งที่ทีมพัฒนายังบอกว่าผลิตภัณฑ์ยังไม่พร้อม

ผลลัพธ์คือความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ทั้งปัญหาด้านแบตเตอรี่ ความปลอดภัย การใช้งานที่ยุ่งยาก จนทำให้ Google Glass ถูกจัดอันดับเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์แย่ที่สุดตลอดกาล

คำถามที่สองที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “การตัดสินใจนี้สามารถย้อนกลับได้หรือไม่?” การตัดสินใจบางอย่าง เช่น การไล่ผู้บริหารระดับสูง การควบรวมกิจการ หรือการขายบริษัท เป็นการตัดสินใจที่แทบจะไม่สามารถย้อนกลับได้

ในกรณีเช่นนี้ จำเป็นต้องใช้เวลาพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่หากเป็นการตัดสินใจที่สามารถแก้ไขหรือย้อนกลับได้ การทดลองทำอาจให้บทเรียนที่มีค่า

เรื่องราวที่น่าสนใจของ David Kelly CEO และผู้ก่อตั้งบริษัท IDEO แสดงให้เห็นถึงแนวคิดนี้ได้อย่างชัดเจน เมื่อบริษัทเติบโตจาก 50 คนเป็น 150 คน เกิดความสับสนวุ่นวายในการบริหารจัดการ

Kelly ตัดสินใจปรับโครงสร้างองค์กร แต่สิ่งที่น่าสนใจคือวิธีการสื่อสารของเขา ก่อนการประชุมใหญ่ เขาตัดสินใจโกนหนวดแบบ Groucho Marx ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาออก สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนรวมถึงภรรยาของเขาเอง

Kelly ใช้การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของตนเองเป็นสัญลักษณ์ในการสื่อสารกับพนักงาน เขาอธิบายว่าการปรับโครงสร้างองค์กรก็เหมือนกับหนวดของเขา เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สามารถย้อนกลับได้ หากไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เขาเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดว่า หากเขาตัดนิ้วออก นั่นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถย้อนกลับได้

การบริหารจัดการแรงเสียดทานในองค์กรจึงเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยวิจารณญาณอย่างสูง ผู้นำที่ชาญฉลาดต้องรู้จักสร้างสมดุลระหว่างการลดแรงเสียดทานที่ไม่จำเป็นและการรักษาแรงเสียดทานที่มีประโยชน์ เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

แรงเสียดทานจึงไม่ใช่สิ่งที่ต้องกำจัดให้หมดไป แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ให้เป็น เหมือนกับนักแข่งรถที่ต้องรู้จังหวะเร่งและเบรก เพื่อพาตัวเองไปถึงเส้นชัยอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุดนั่นเองครับผม

References :
The universal hack: Why the friction principle applies everywhere | Bob Sutton for Big Think+
https://youtu.be/jnGYs_J4wjo?si=sSWRah3V5XgJJSsj

หยุด 3 ความคิดทำลายจิตใจ : บทเรียนจาก Amy Morin ที่จะทำให้คุณลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง

ชีวิตมักเต็มไปด้วยเรื่องราวที่คาดไม่ถึง เฉกเช่นเรื่องราวของ Amy Morin นักจิตบำบัดวัย 23 ปี ที่กำลังมีความสุขกับการดูบาสเกตบอลและหัวเราะร่วมกับแม่ของเธอ

แต่โชคชะตากลับพลิกผัน เมื่อเพียง 24 ชั่วโมงต่อมา แม่ของเธอจากไปอย่างกะทันหันด้วยโรคหลอดเลือดสมองแตก ความโศกเศร้าครั้งนั้นยังไม่ทันจางหาย อีกสามปีต่อมา สามีของเธอก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ

ความสูญเสียครั้งใหญ่ทั้งสองครั้งผลักให้ Amy ตกอยู่ในห้วงแห่งความซึมเศร้า แต่ด้วยความที่เธอเป็นนักจิตบำบัด เธอตระหนักดีว่าต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งไปมากกว่านี้ เธอจึงเริ่มบันทึกสิ่งที่คนจิตใจเข้มแข็งไม่ทำ เพื่อใช้เป็นเข็มทิศนำทางชีวิตของตนเอง

จากประสบการณ์การทำงานด้านจิตบำบัดและการเยียวยาตนเอง Amy ค้นพบว่ามีสามนิสัยทางความคิดสำคัญที่มักบั่นทอนจิตใจมนุษย์ หากเราสามารถแก้ไขนิสัยเหล่านี้ได้ ก็จะช่วยป้องกันพฤติกรรมทำลายจิตใจอื่นๆ ได้โดยอัตโนมัติ

นิสัยแรกคือ “การรู้สึกว่าโลกเป็นหนี้บุญคุณ” เมื่อประสบความล้มเหลวในการทำธุรกิจ หลายคนมักคิดว่า “ฉันทำงานหนักมาตลอด ฉันไม่สมควรได้รับสิ่งนี้” หรือ “ฉันเป็นคนดี มันไม่ยุติธรรมเลย”

ความคิดเช่นนี้เป็นการเปิดประตูต้อนรับความคับข้องใจและความโกรธเข้ามาในชีวิต Amy อธิบายว่าความคิดนี้มักหยั่งรากลึกมาตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อเราทำดีและขยัน พ่อแม่หรือครูก็จะตอบแทนด้วยรางวัลหรือคำชม แต่เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ โลกไม่ได้ทำงานในลักษณะเดียวกัน

นิสัยที่สองคือ “การหมกมุ่นกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้” เรื่องราวของ Heather von St. James เป็นแบบอย่างที่ดีของการเอาชนะนิสัยนี้ เมื่อเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตอนลูกสาวอายุเพียงสามเดือน แทนที่จะจมอยู่กับความกลัว เธอเลือกที่จะต่อสู้ หลังผ่านการรักษาด้วยการผ่าตัดและเคมีบำบัดเป็นเวลาหนึ่งปี เธอหายจากโรคร้าย แต่ความกลัวว่ามะเร็งจะกลับมายังคงหลอกหลอนเธอ

Heather จึงคิดค้นพิธีกรรมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือการเขียนความกลัวลงบนจานแล้วทุบจานทิ้งในกองไฟ พิธีกรรมนี้ช่วยให้เธอปลดปล่อยความกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และนำพลังงานไปใช้กับสิ่งที่เธอทำได้ ปัจจุบันเธอได้กลายเป็นผู้จัดงานระดมทุนวิจัยมะเร็งประจำปีที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่าแปดสิบคน

นิสัยที่สามคือ “การทำความผิดพลาดซ้ำซาก” คนที่มีจิตใจเข้มแข็งจะหยุดและวิเคราะห์สาเหตุของความล้มเหลวก่อนลุกขึ้นเริ่มต้นใหม่ Amy แนะนำเทคนิคการมองตัวเองจากมุมมองบุคคลที่สาม เสมือนเรากำลังให้คำปรึกษาเพื่อน วิธีนี้จะช่วยให้เรามองเห็นปัจจัยต่างๆ ที่นำไปสู่ความผิดพลาดได้ชัดเจนขึ้น ทั้งในแง่ความคิด พฤติกรรม และปัจจัยภายนอก

เทคนิคที่ Amy แนะนำอีกประการหนึ่งคือการเขียนรายการเหตุผลที่ไม่ควรทำผิดซ้ำและพกติดตัวไว้ เช่น หากต้องการสร้างนิสัยออกกำลังกายหลังอาหารเย็น ให้เขียนเหตุผลสำคัญที่เราควรออกกำลังกายแทนการดูโทรทัศน์ เมื่อใดที่รู้สึกท้อหรืออยากล้มเลิก การอ่านรายการนี้จะช่วยกระตุ้นแรงจูงใจให้เรายังคงเดินหน้าต่อไป

การเอาชนะนิสัยทั้งสามประการนี้จะส่งผลกระเพื่อมไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ ในชีวิต เมื่อเราเลิกคิดว่าโลกเป็นหนี้บุญคุณ เราจะเริ่มมองเห็นคุณค่าของการให้มากกว่าการรับ ความอิจฉาริษยาในความสำเร็จของผู้อื่นจะค่อยๆ จางหายไป เพราะเราตระหนักว่าทุกคนล้วนต้องฝ่าฟันอุปสรรคของตัวเอง

เมื่อเราหยุดหมกมุ่นกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ พลังงานที่เคยสูญเสียไปกับการครุ่นคิดถึงอดีตหรือกังวลกับคำพูดของผู้อื่นจะถูกนำมาใช้ในทางที่สร้างสรรค์มากขึ้น เราจะเริ่มเห็นว่าการพยายามเอาใจคนอื่นเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เพราะเราไม่มีทางควบคุมความคิดหรือการกระทำของพวกเขาได้

และเมื่อเรามุ่งมั่นที่จะไม่ทำผิดซ้ำ เราจะกล้าเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงอย่างมีเหตุผล ความกลัวที่จะล้มเหลวจะถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจว่าความผิดพลาดคือบทเรียน เราจะไม่คาดหวังผลลัพธ์ในทันที และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อเจอกับความล้มเหลวครั้งแรก

ที่สำคัญไปกว่านั้น เราจะเริ่มเห็นคุณค่าของการอยู่กับตัวเอง ช่วงเวลาที่อยู่ตามลำพังจะกลายเป็นโอกาสอันมีค่าในการทบทวนตนเอง เหมือนดังที่ Amy ได้ค้นพบในช่วงเวลาแห่งความสูญเสีย ว่าการอยู่คนเดียวไม่ได้หมายถึงความโดดเดี่ยว แต่เป็นโอกาสในการเยียวยาและค้นพบพลังภายในตัวเอง

บทเรียนจากประสบการณ์ของ Amy Morin แสดงให้เห็นว่าจิตใจที่เข้มแข็งไม่ได้หมายถึงการไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือท้อแท้ แต่หมายถึงความสามารถในการรับมือกับความท้าทายของชีวิตอย่างชาญฉลาด

เมื่อเราเข้าใจและหลีกเลี่ยงนิสัยทางความคิดที่บั่นทอนจิตใจ โดยเฉพาะสามนิสัยหลักที่ได้กล่าวมา เราจะพบว่าตัวเองมีความยืดหยุ่นทางจิตใจมากขึ้น พร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การเดินทางสู่การมีจิตใจที่เข้มแข็งอาจไม่ใช่เส้นทางที่ราบรื่น แต่ด้วยความเข้าใจและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เราทุกคนสามารถพัฒนาความเข้มแข็งทางจิตใจได้ เฉกเช่นที่ Amy ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ในยามที่ชีวิตมืดมน เรายังสามารถลุกขึ้นยืนและก้าวเดินต่อไปได้อย่างสง่างาม

References :
หนังสือ 13 Things Mentally Strong People Don’t Do: Take Back Your Power, Embrace Change, Face Your Fears, and Train Your Brain for Happiness and Success โดย Amy Morin