การปรับตัวที่ช้าไป กับความยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นอดีตของ MSN Messenger

เริ่มแรกที่เรารู้จัก MSN Messenger นั้นต้องนับย้อนไปตั้งแต่การถือกำเนิดของแพลตฟอร์มนี้ในปี 1999 และ ในภายหลังได้ถูกแปรเปลี่ยนมาเป็น Windows Live Messenger ซึ่งอดีตยักษ์ใหญ่แห่งบริการส่งข้อความถูกปิดฉากบริการไปในวันที่ 31 ตุลาคม 2014 และคุณอาจสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น?

MSN Messenger ได้แข่งขันกับยักษ์ใหญ่ด้านการส่งข้อความอื่น ๆ ในยุคบุกเบิก ซึ่งได้แก่ ICQ, AOL AIM และ Yahoo!  

ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 และในช่วงกลางของการเปิดตัว Windows 95 ที่ทำให้ Microsoft เผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ครั้งแรกนั่นคือกระแสความนิยมของอินเทอร์เน็ตในบ้าน 

ยักษ์ใหญ่แห่ง Redmond กำลังจะปล่อยระบบปฏิบัติการใหม่อย่าง Windows 95 และในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น Bill Gates ได้ส่งบันทึกให้ทีมผู้บริหารของเขาซึ่งกลายเป็นเอกสารที่มีความหมายมากสำหรับสถานการณ์ของ Microsoft ในขณะนั้น

เอกสารดังกล่าวมีชื่อว่า“ The Tidal Wave” ที่กล่าวถึง ความสำคัญของการพัฒนาอินเทอร์เน็ตสำหรับบริษัทในยุคต่อไป

ใจความสำคัญของเอกสารก็คือ Bill Gates ให้ความสำคัญสูงสุดกับอินเทอร์เน็ต ในบันทึกนี้ Gates ต้องการทำให้ชัดเจนว่าการให้ความสำคัญกับอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจของ Microsoft ในทุก ๆ ส่วน 

อินเทอร์เน็ตเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ IBM เปิดตัวพีซีเครื่องแรกในปี 1981 มันสำคัญยิ่งกว่าการมาถึงของส่วนต่อประสานกราฟิกผู้ใช้ (GUI) เสียอีก

Gates ตกใจกับภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตที่มีต่อธุรกิจของเขา เขาพิจารณาว่า Microsoft ยังไม่พร้อมสำหรับการมาถึงของอินเทอร์เน็ต และซอฟต์แวร์หลักของ Microsoft ในยุคนั้น ซึ่งก็คือ Internet Explorer และ MSN ยังไม่พร้อมให้บริการ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็สามารถผลักดันมันออกมาได้พร้อมกับ Windows 95 ในวันเปิดตัวได้แบบฉิวเฉียด

ในเวลานั้นอินเทอร์เน็ตถูกลดขนาดให้เหมาะกับสิ่งที่บริษัทอย่าง AOL หรือ Microsoft ที่มี MSN เสนอบนพอร์ทัลของพวกเขา การรวม MSN เข้ากับ Windows 95 เป็นการกระทำที่นำปัญหาทางกฎหมายมาสู่ Microsoft เนื่องจากคู่แข่งกล่าวหาว่าเขากำลังผูกขาดตลาดในทางที่ผิด

AOL (America OnLine) เป็นรายแรกที่เปิดตัวบริการ AIM (AOL Instant Messenger) ในปี 1997 ซึ่งทันทีที่ผู้ใช้เริ่มเข้ามาใช้บริการนี้มันก็ดังกระฉูดแทบจะทันที แทบจะทุกบ้านของชาวอเมริกันที่ใช้อินเทอร์เน็ตต้องมีบริการของ AIM

เนื่องจากความนิยมของคู่แข่ง Microsoft จึงเปิดตัว Client การส่งข้อความของตัวเองในปี 1999 MSN Messenger ถือกำเนิดขึ้นเป็นบริการแรกที่มีรายชื่อผู้ติดต่อ และบริการส่งข้อความผ่านออนไลน์

ตั้งแต่ต้น MSN Messenger ต้องการเสนอความเป็นไปได้ในการแชทกับผู้ใช้บริการส่งข้อความอื่น ๆ เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีการเปิดตัว พวกเขาก็ได้ทำให้มันสามารถเข้ากันได้กับเครือข่ายของ AIM ซึ่งทำให้ AOL ไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นที่มาของการเริ่มเปิดสงครามระหว่างบริการทั้งสอง

เมื่อใดก็ตามที่ Microsoft เปิดใช้งานการสื่อสารนี้ AIM จะแก้ไขรหัสเพื่อยืนยันว่าลูกค้าสื่อสารกับลูกค้า AIM ได้เพียงเท่านั้น และ block บริการจากทางฝั่งของ MSN Messenger  ซึ่งในที่สุด Microsoft ได้ละทิ้งในความพยายามที่จะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของ AIM

ทุกคนที่เป็นวัยรุ่นในช่วงยุคทองของ MSN Messenger จะจดจำความสำคัญของโปรแกรมนี้ ทันทีที่คุณกลับถึงบ้านคุณจะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แล้วเปิดโปรแกรมแชทกับเพื่อนที่โรงเรียนด้วย “ Messenger” แทนที่การโทรไปยังโทรศัพท์พื้นฐานซึ่ง MSN Messenger นั้นจะให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า

MSN Messenger ที่เป็นที่นิยมสำหรับวัยรุ่นมาก ๆ ในยุคนั้น
MSN Messenger ที่เป็นที่นิยมสำหรับวัยรุ่นมาก ๆ ในยุคนั้น (CR:CNBC)

MSN Messenger เริ่มที่จะรวมฟังก์ชั่นการใช้งานซึ่งเป็นพื้นฐานของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ใช้แต่ละคนมีแถบสถานะที่เขาสามารถแสดงข้อความส่วนตัวได้ มันเป็นต้นแบบสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ Facebook ประสบความสำเร็จในทุกวันนี้

นอกจากนี้ปุ่มสถานะยังได้รับความนิยมอย่างมากซึ่งคุณสามารถบอกผู้ติดต่อของคุณได้อย่างรวดเร็วว่า คุณว่าง ไม่ว่าง หรือออฟไลน์อยู่ หรือการตั้งค่าให้มองไม่เห็น ดังนั้นไม่มีใครจะรบกวนคุณได้ผ่าน MSN Messenger 

ฟังก์ชั่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจนมีการสร้างเว็บไซต์ที่อนุญาตให้รู้สถานะของผู้ใช้แต่ละรายหากมีอีเมลของเขาหรือแม้กระทั่งรู้ว่าเพื่อนมีการบล็อกคุณหรือไม่

เมื่อถึงสิ้นปี 2005 MSN Messenger ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Windows Live Messenger การเติบโตอย่างรวดเร็วของบริการรับส่งข้อความโดยเฉพาะตลาดนอกสหรัฐฯที่ AIM ยังคงเป็นผู้นำ และจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการขยายบริการนี้อย่างรวดเร็วมาก ๆ จนทำให้บริษัท Tencent ตัดสินใจที่จะสร้างบริการส่งข้อความ QQ ของตัวเองออกมา

บริการส่งข้อความมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด : เพื่อให้บริการของตนเองดียิ่งขึ้นแต่ละแพลตฟอร์มจึงมีค่าใช้จ่ายสูงในการบำรุงรักษา แต่ในตอนนั้นมันยังไม่สามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเอง และนั่นคือในยุคที่บริการส่งข้อความเป็นเพียงแค่ตัวช่วยให้สมาชิกของบริการอินเทอร์เน็ตภายในพอร์ทัลของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นเพียงเท่านั้น ในยุคนั้นพวกเขาไม่ได้มองถึง Business Model รูปแบบอื่น ๆ เหมือนอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

Business Model ที่เพียงแค่เพิ่มฐานสมาชิกในเว๊บพอร์ทัลหลักเท่านั้น
Business Model ที่เพียงแค่เพิ่มฐานสมาชิกในเว๊บพอร์ทัลหลักเท่านั้น (CR:AOL)

เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนมิถุนายน 2009 MSN Messenger ก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดมีผู้ใช้งานถึง 330 ล้านคนต่อเดือน แต่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อเรากำลังเข้าสู่ยุคสมาร์ทโฟน

แนวคิดเกี่ยวกับเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้นกำลังเข้ามากลืนกินเครือข่ายการส่งข้อความ เช่น Windows Live Messenger แน่นอนว่า Facebook ไม่ได้เป็นเครือข่ายโซเชียลมีเดียแห่งแรกที่ทำการเปิดตัว แต่เป็นบริการแรกที่ทำได้ดี และเข้าใจถึงเรื่องเครือข่ายสังคมอย่างแท้จริง

เมื่อเครือข่ายโซเชียลมีเดียของ Mark Zuckerberg คลายข้อจำกัดลงจากเดิมที่ Focus แค่กลุ่มผู้ใช้งานมหาลัยหลังจากเปิดให้ใช้งานกับกลุ่มผู้ใช้อื่น ๆ แบบอิสระมากขึ้น ก็ทำให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่เริ่มที่จะหนีออกจาก MSN Messenger มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่แท้จริงอย่าง Facebook 

แต่สิ่งที่ทำให้ Windows Live Messenger ต้องจบชะตากรรมไป คือ การเกิดขึ้นของสมาร์ทโฟน แม้ว่า Microsoft จะไม่พลาดในคลื่นลูกใหม่นี้ และพยายามผลักดัน Windows Live Messenger ไปในทุก ๆ แพล็ตฟอร์มในยุคนั้นไม่ว่าจะเป็น BlackBerry OS, Xbox 360, iOS, Java ME, Symbian หรือแม้แต่เครื่องเล่น mp3 Zune HD ของ Microsoft เอง แต่ดูเหมือนมันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

คู่แข่งอย่าง BlackBerry Messenger กลายเป็นผู้บุกเบิกในการส่งข้อความมือถือ แต่มันเป็นเช่นนั้นได้เพียงไม่นาน จนกระทั่งการปรากฏตัวขึ้นของ iPhone ในเดือนมกราคม 2007 การเปิดตัว App Store ในปี 2008 และความนิยมของ Android จากปี 2010 ทำให้ Windows Live Messenger ได้รับผลกระทบอย่างหนักมาก ๆ

Blackberry Messenger ที่กลายเป็นบริการยอดฮิตแรกในยุคของสมา์ทโฟน
Blackberry Messenger ที่กลายเป็นบริการยอดฮิตแรกในยุคของสมา์ทโฟน (CR:TechCrunch)

การล่มสลายของ Messenger สามารถตีความได้ว่าเป็นตัวบ่งชี้ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังในตลาดพีซี 

เมื่อสถานการณ์ตลาดพีซีในขณะนั้นยอดขายกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นการล่มสลายของ Windows Live Messenger เป็นเหมือนสัญญาณเตือน ที่กำลังบ่งชี้ว่าสมาร์ทโฟนกำลังจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่สมบูรณ์แบบเพื่อแทนที่การส่งข้อความแบบเดิม ๆ ผ่านพีซี นั่นเอง

สมาร์ทโฟนถือเป็นการปฏิวัติชนิดหนึ่ง มีบริษัทใหม่ ๆ ที่เริ่มสร้างบริการส่งข้อความบนแพล็ตฟอร์ม สมาร์ทโฟน ไม่วาจะเป็น  WhatsApp, Telegram, Facebook Messenger, Line, WeChat และดูเหมือนว่าพวกเขาก็เข้าใจ Ecosystem ใน สมาร์ทโฟนได้ดีกว่าที่ Microsoft สามารถเข้าใจได้ในยุคนั้น

Windows Live Messenger ไม่สามารถกู้คืนสถานการณ์ที่ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องของยุค Post-PC และในท้ายที่สุด ในช่วงปลายปี 2012 Microsoft ประกาศการรวมบริการ Windows Live Messenger เข้ากับ Skype และในช่วงสิ้นปี 2013 ถือเป็นเป็นการปิดฉากอดีตที่ยิ่งใหญ่ของ Windows Live Messenger ไปในท้ายที่สุด

ต้องบอกว่าถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจของการไม่สามารถปรับตัวได้ เมื่อธุรกิจถูก Disrupt ซึ่งในยุคนั้นก็คือการเปลี่ยนผ่านจากยุค PC ไปยังยุคของสมาร์ทโฟนที่ดูเหมือน Microsoft นั้นจะปรับตัวช้าเกินไป ทั้งที่บริการอย่าง Windows Live Messenger มีผู้ใช้งานสูงสุดถึงกว่า 300 ล้านคนในยุคนั้น

ซึ่งตัวอย่างดังกล่าว มันแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้จะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แค่ไหนมีเงินมากมายขนาดไหน แต่ในยุค Disruption นั้น การเคลื่อนตัวที่ช้าอาจจะส่งผลให้ธุรกิจถึงคราวล่มสลายได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเลยทีเดียว เหมือนอย่างที่เราได้เห็นบทเรียนจาก MSN Messenger ในบทความนี้นั่นเองครับผม

References : https://pandorafms.com/blog/what-happened-with-msn-messenger/
https://www.msnmessenger-download.com/rise-and-fall-msn-messenger
https://www.theverge.com/2014/8/29/6082199/msn-messenger-shutting-down-15-years-history
https://community.plus.net/t5/Plusnet-Blogs/The-Rise-and-Demise-of-MSN-Messenger/ba-p/1322022

Compaq Computer ผู้ปฏิวัติวงการ PC ตัวจริงที่ถูกลืม

ถ้ากล่าวถึงแบรนด์อย่าง Compaq คิดว่าหลายคนคงจะลืมกันไปแล้วว่ามีแบรนด์ นี้อยู่ในโลกด้วยหรือ แต่ถ้าย้อนไปในยุคเริ่มต้นของการกำหนดของ PC หรือ ยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้น ต้องถือว่า Compaq เป็นแบรนด์แรก ๆ ที่กล้ามาต่อกรกับยักใหญ่อย่าง IBM ในสมัยนั้นได้

ต้องบอกว่า Compaq นั้นมีประวัติที่น่าสนใจ ที่ไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงกันนัก ซึ่ง Campaq นั้นเกิดขึ้นในช่วงประมาณปี 1982 ซึ่งเป็นยุคตั้งไข่ของ PC พอดิบพอดี ซึ่งก่อตั้งโดยอดีตพนักงานของบริษัทยักษ์ใหญ่ในสมัยนั้นอย่าง Texus Intrument ซึ่งเหล่าผู้ก่อตั้งทั้ง 3 คนประกอบไปด้วย Rod Canion , Jim Harris และ Bill Murto

ต้องบอกว่าเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเลยทีเดียวสำหรับการเริ่มธุรกิจ ซึ่ง Rod Canion นั้นถนัดทางด้านบริหารธุรกิจ Murto ถนัดทางด้านการตลาด ส่วน Harris นั้น จะถนัดทางด้าน Engineer แต่ต้องบอกว่า การที่ทั้งสามออกจากบริษัทยักษ์ และมั่นคงอย่าง Texus Intrument แล้วมาเริ่มธุรกิจนั้น มีแต่คนหาว่าพวกเขาบ้าแม้กระทั่งครอบครัวของพวกเขาเองก็ตาม

เริ่มต้นจากงานอดิเรก และความคิดบ้า ๆ

มันเป็นการเริ่มต้นจากงานอดิเรกพร้อมกับความคิดบ้า ๆ ของทั้งสามคน ที่ต้องการจะก่อตั้งบริษัท ซึ่งตอนนั้นต้องบอกว่าทั้งสามไม่ได้มีเงินมากมายรวมถึงไม่ได้มีแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงง่ายอย่าง Startup ในปัจจุบัน ทั้งสามต้องจำนองบ้าน รวมถึงขายรถเพื่อมาเป็นทุนในการเริ่มต้นเปิดบริษัท

ในยุคนั้นต้องบอกว่า IBM นั้นถือเป็นยักษ์ใหญ่มาก ๆ ของวงการธุรกิจของอเมริกาควบคุมทุกอย่างอย่างเบ็ดเสร็จในโลกเทคโนโลยี ทำทุกอย่างตั้งแต่ computer mainframe สำหรับองค์กร ไปจนถึง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การที่จะมาสู้กับยักษ์ใหญ่อย่าง IBM นั้นถือว่าไม่ใ่ช่เรื่องที่ควรจะทำเป็นอย่างยิ่ง

แต่อย่างไรก็ดีเหล่า 3 ผู้ก่อตั้งแห่ง Compaq นั้นได้เห็นช่องว่างทางการตลาดบางอย่าง ที่ IBM ยังครอบครองแบบไม่เบ็ดเสร็จนั่นก็คือตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่สามารถพกพาได้ หรือ ตลาด notebook ในปัจจุบันนั่นเอง

ถ้าย้อนกลับไปในยุคนั้น ต้องบอกว่าแม้จะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถพกพาได้ แต่ขนาดเครื่องก็มีขนาดใหญ่เทอะทะ และมีรูปร่างไม่สวยรวมถึงไม่ได้มีแบตเตอรี่ที่รองรับการใช้งานแบบไม่ต้องเสียบปลั๊กเหมือนในยุคปัจจุบัน

การเริ่มหาทุนในการตั้งบริษัทนั้น ในขณะที่ทั้งสามมีแต่ไอเดียและร่างแบบคร่าว ๆ ของคอมพิวเตอร์แบบพกพา ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะหาทุนเริ่มต้นในสมัยนั้น

ทาง Rod Canion จึงได้เขียนแผนธุรกิจคร่าว ๆ ขึ้นมา และได้มีโอกาสไปพบกับ Ben Rosen โดยเริ่มลงทุนให้ 750,000 เหรียญเป็นทุนตั้งต้นในการเริ่มธุรกิจ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปในยุคนั้น Silicon Valley ยังคงเป็นเพียงแค่ทุ่งและ สวนผลไม้

ทั้งสามคนก็ได้เริ่มว่าจ้างทีมงานจากเงินลงทุนเริ่มต้น และเริ่มทำการผลิตตัว Compaq Portable ตัวแรกออกมา โดยใช้วิธีการ Reverse Engineer หรือ วิศวกรรมย้อนกลับจาก IBM PC  เนื่องจาก IBM ขณะนั้นประสบความสำเร็จ และขายได้ติดตลาดไปแล้ว ต้องทำทุกอย่างให้สามารถ Run Software ของ IBM ได้ทั้งหมด ก็จะเข้าถึงตลาดขนาดมหาศาลที่ IBM ได้เริ่มเปิดตลาดไว้แล้ว

การเริ่มต้นคือต้องทำการลอก Code ของ IBM ที่เป็นตัว Chip หลักที่ใช้ Control PC เพราะส่วนประกอบอื่น ๆ ของ PC นั้นสามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไป สิ่งที่เป็นจุดต่างคือ Chip ที่มีรหัสพิเศษของ IBM เท่านั้น เครื่องก็จะสามารถทำงานกับ Software และ Hardware ต่าง ๆ ของ IBM ได้

ผลิตภัณฑ์ตัวแรก Compaq Portable PC
ผลิตภัณฑ์ตัวแรก Compaq Portable PC

ในทีุ่สดพวกเขาก็ทำสำเร็จ และสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ตัวแรกอย่าง Compaq Portable PC ออกมาได้ และสามารถใช้งานได้กับ Software ของ IBM ได้ทุกอย่าง โดยมีขนาดเบากว่าและราคาที่ถูกกว่า บริษัทได้เชิญสื่อมามากมายในวันเปิดตัวปี 1982 ใน นิวยอร์ก

จากการเปิดตัวทำให้บริษัทเริ่มมีชื่อเสียงผู้คนเริ่มชอบในผลิตภัณฑ์ของ Compaq ซึ่งต้องบอกว่าพวกเขาได้สร้างผลิตภัณฑ์ตัวแรกมาได้อย่างดีมาก พนักงานที่ขายผลิตภัณฑ์ของ IBM อยู่แล้วก็ไม่ยากเลยที่จะขายผลิตภัณฑ์ของ Compaq เพราะมันสามารถทำงานได้เหมือนกัน ต้องบอกว่าสินค้าขายดีมากและผลิตแทบจะไม่ทันกันเลยทีเดียวในปีแรกที่ออกวางจำหน่าย

แค่ปีแรกเพียงปีเดียว Compaq สามารถขาย Portable PC ของตัวเองไปได้ถึง 53,000 เครื่อง สื่อถึงกับยกให้บริษัท Compaq นั้นเป็นบริษัทที่เติบโตได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา

สู้กับยักษ์ใหญ่อย่าง IBM

หลังจากนั้น IBM ก็ได้ออก Portable PC เพื่อมาตอบโต้กลับในปี 1984  โดยออกมาเพื่อจะฆ่า Compaq โดยเฉพาะ แต่สิ่งที่พวกเขาพลาดไปและมั่นใจเกินไปนั่นคือ Portable PC ของ IBM นั้นไม่สามารถรัน Software บางส่วนของ IBM PC เดิมได้

และนั่นได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของอุตสาหกรรม PC เลยก็ว่าได้  Compaq แทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะ Portable PC นั้นสามารถ run ทุกอย่างของ IBM PC ได้ ทำให้ยอดขายยิ่งกระฉูดขึ้นไปอีก มีการขยายโรงงานการผลิต รวมถึงรับพนักงานมากจนถึงกว่า 1000 คนภายในเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น

สร้างวัฒนธรรมใหม่ให้กับ Silicon Valley

ถ้าถามว่าวัฒนธรรมการแจกอาหารฟรี รวมถึงบริการต่าง ๆ ที่ให้กับพนักงานได้อย่างเต็มที่ของบริษัท Startup ในปัจจุบันนั้นใครเป็นคนริเริ่ม ก็ต้องบอกว่า Compaq นี่แหละเป็นผู้ที่สร้างวัฒนธรรมนี้ให้กับ Silicon Valley

เพราะ Compaq เป็นบริษัทแรกที่มีการแจกอาหารและเครื่องดื่ม ให้พนักงานได้รับประทานกันแบบฟรี ๆ ในยุคนั้น ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่แปลกใหม่พอสมควร ทำให้คนสนใจที่จะมาทำงานกับ Compaq มากยิ่งขึ้น และสามารถ Focus กับงานที่ทำได้อย่างเต็มที่

แล้วบริษัทอย่าง Apple หายไปไหนในช่วงนั้น

ช่วงปีต้น ๆ ของ Compaq นั้น Apple ก็ได้ออกวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ขนาดตลาดของ Apple เมื่อเทียบกับขนาดตลาดของ PC ที่ IBM เป็นคนเปิดตลาดมีความแตกต่างกันอย่างมาก ถ้าเทียบตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั้งหมดนั้น Apple สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้เพียงแค่ 4-5% เท่านั้น


และการที่ Apple เป็บระบบปิดไม่สามารถเชื่อมต่อกับใครได้ software ก็รันของตัวเอง ก็ทำให้ครองส่วนแบ่งการตลาดได้น้อยมาก ๆ แม้จะวางจำหน่ายแมคอินทอชพร้อมระบบ Inteface ใหม่ พร้อม mouse ที่เป็นการปฏิวัติวงการในขณะนั้น

แต่ก็ต้องยอมรับว่าสุดท้ายแล้ว Apple เป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ ไปเลยเมื่อเทียบกับตลาด PC ที่ IBM ครองตลาดอยู่ในตอนนั้น ซึ่ง Compaq มาแย่งส่วนแบ่งการตลาดของ IBM ซึ่งใหญ่มาก ๆ ทำให้ Compaq แทบจะเป็นบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์การก่อตั้งบริษัทของประเทศอเมริกา

การเติบโตแบบก้าวกระโดด

ด้วยความผิดพลาดของ IBM รวมถึง Apple ก็ไม่สามารถแจ้งเกิดได้กับแมคอินทอชรวมถึงลิซ่า ทำให้ Steve Jobs ก็ต้องถูกบีบให้ออกจาก apple ไปในที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น ก็ไม่มีใครจะมาขัดขวางการเติบโตของ compaq ได้อีกต่อไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องของเทคโนโลยีรวมถึงการตลาด ที่เริ่มนำเอาผู้มีเชื่อเสียงมาช่วยในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทำให้ยอดขายของ Compaq เติบโตขึ้นเกินกว่าปีละ 100% ตลอดในช่วงแรกเริ่มและพุ่งไปถึงกว่า 500 ล้านเหรียญในปี 1985

จุดเปลี่ยนที่สำคัญกับการเข้ามาของ Intel Chipset 386

IBM นั้นมักจะได้สิทธิ์ Exclusive กับ Chip ของบริษัทชื่อดังอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ IBM ถูกปฏิเสธโดย Intel ซึ่ง Chipset 386 นั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่ รวมถึงเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานของ Chip ที่ทำให้การทำงานของ PC ก้าวกระโดดไปอีกขั้น

เมื่อ Intel ไม่ได้ Exclusive ตัว Chip 386 กับ IBM แล้ว  Compaq ก็เร่งในการสร้างผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่ใช้ Chipset 386 เพื่อออกสู่ตลาดให้เร็วที่สุด

ผลิตภัณฑ์อย่าง Desktop386 ขายดีสุด ๆ
ผลิตภัณฑ์อย่าง Desktop386 ขายดีสุด ๆ

ไม่เพียงแค่ Chipset Intel 386 เท่านั้น เมื่อ Compaq ออกผลิตภัณฑ์อย่าง Desktop386 ก็ได้มีการร่วมมือกับ Microsoft ของ Bill Gate ที่ยอมให้ระบบปฏิบัติการของ Windows สามารถรันได้บน Compaq ได้แบบที่ว่าไม่ต้องไปทำการ Copy Chip Code ใด ๆ จาก IBM อีกต่อไป  เป็นการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างสิ้นเชิงและปลดแอกจาก IBM ในที่สุด

ความสุดยอดของ Chipset 386 ทำให้ Compaq เติบโตอย่างก้าวกระโดด และเริ่มฉีกหนี IBM ออกไป และสามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดจาก IBM ไปได้อย่างมาก

แม้ตลาดองค์กร IBM จะเป็นเจ้าตลาดอยู่ก็ตามแต่ตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้นต้องบอกว่า Compaq ได้ทำยอดขายแซง IBM ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว Compaq ใช้เวลาเพียง 3 ปีก็เข้าสู่ทำเนียบ Fortune 500 ได้สำเร็จ

สามผู้ก่อตั้งต่างร่ำรวยจากมูลค่าหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่พนักงานกลุ่มแรก ๆ ที่ได้หุ้น ก็ทยอยกลายเป็นเศรษฐีกันไปด้วย ต้องบอกว่า Compaq เป็นบริษัทที่ใช้เวลาสร้างกิจการได้รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา และสามารถทำยอดขายแตะ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐได้เร็วที่สุดอีกด้วย

ความผิดพลาดซ้ำสองของ IBM

การพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของ IBM ถือเป็นครั้งแรก ๆ ในประวัติศาสตร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM ที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับบริษัทที่เพิงเกิดใหม่เพียงไม่กี่ปีอย่าง Compaq

IBM ต้องเริ่มใช้การฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิบัตรของ Compaq โดยใช้การ Reverse Engineer ที่ Compaq ทำมาตั้งแต่ต้น ซึ่งก็ถือว่ามีความสุ่มเสี่ยงเหมือนกันที่ Compaq จะถูกฟ้องร้องจนอาจต้องถูกปิดบริษัทไปเลย แต่สุดท้าย Rod Canion ก็ใช้วิธีการเจรจาและชดใช้ค่าเสียหายจนตกลงกันได้ที่ประมาณ 130 ล้านเหรียญสหรัฐ

IBM PS2 ความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยของ IBM
IBM PS2 ความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยของ IBM

ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของ IBM คือการต้องการออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด เพื่อไม่ให้ Compaq สามารถลอกเลียนแบบได้ โดยออกระบบปฏิบัติการใหม่คือ PS/2 ที่ยากที่คู่แข่งจะเลียนแบบ ซึ่งต้องบอกว่า IBM ต้องการฆ่าทุกคนในธุรกิจนี้เลยก็ว่าได้

แต่หารู้ไม่การสร้างระบบปฏิบัติการใหม่ที่ไม่สามารถเข้ากับผลิตภัณฑ์ตัวเดิมของ IBM ได้เลยนั้นถือเป็นการฆ่าตัวตายของ IBM เอง เพราะองค์กรใหญ่หลาย ๆ องค์กรในสหรัฐได้สั่งซื้อเครื่อง computer ของ IBM ไปเป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่งหากต้องการเปลี่ยนต้องมีการเปลี่ยนแบบยกองค์กรและต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ทำให้องค์กรหลาย ๆ องค์กรไม่ต้องการซื้อ PS/2 ของ IBM เพราะต้องมาเริ่มเรียนรู้กันใหม่หมดซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่มหาศาลมาก ๆ

เหมือนยื่นดาบให้ศัตรูมาฆ่าตัวเองเลยก็ว่าได้สำหรับ IBM ชัดเจนว่าต่อจากนี้ ตลาด PC นั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว IBM ไม่ได้เป็นผู้กำหนดตลาดอีกต่อไป มีการรวมตัวของผู้ผลิต PC ขนาดใหญ่จำนวน 9 ราย รวมถึงมีการเจรจากับ Bill Gate จาก Microsoft และพัฒนามาตรฐานของพวกเค้าเองในชื่อ EISA (Extended Industry Standard Architecture) โดยที่ไม่เกี่ยวข้องใด  ๆ กับ IBM อีกต่อไปเป็นการถีบ IBM ออกจากตลาด PC แบบถาวรเลยก็ว่าได้

เมื่อ Compaq เข้าสู่ยุคตกต่ำ

แม้การรวมตัวจะเป็นผลดีและทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้นและที่สำคัญสามารถกำจัด IBM ออกจากตลาดได้สำเร็จ แต่ขนาดองค์กรของ Compaq ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มยากที่จะบริหารให้ได้เหมือนตอนเริ่มต้นกิจการ

Compaq เริ่มมีการขยายตลาดไปยังยุโรป ทำให้ได้เจอกับ Eckhard Pfeiffer ที่ถนัดในเรื่องการผลิตในปริมาณมาก ๆ แต่ตัว Rod Canion เองนั้นอยากให้ผลิตภัณฑ์ยังมีคุณภาพเหมือนเดิมต่อไป รวมถึงผู้ผลิตจากญี่ปุ่นอย่างโตชิบ้าก็สามารถผลิตในราคาที่ถูกกว่าซึ่งเป็นการเข้ามากำจัดจุดเด่นของ Compaq ในยุคแรก ๆ ไปเลยก็ว่าได้

ปัญหาต่าง ๆ เริ่มรุมเร้าตัว Rod Canion เองและไม่สามารถแก้ปัญหาได้เริ่มมีการตีตลาดจากแบรนด์นอก รวมถึงดาวรุ่งที่พุ่งแรงขึ้นมาอย่าง Dell ที่สามารถผลิตสินค้าในราคาถูกกว่า Compaq

ทำให้ยอดขายของ Compaq เริ่มตก บริษัทเริ่มปลดพนักงานออกไป Rod Canion เริ่มถูกกดดันจากกรรมการบริษัทคล้าย ๆ กรณีของ Steve Jobs ที่ถูกกดดันให้ออกจาก Apple

Rod Canion เริ่มทนกระแสกดดันไม่ไหวจนต้องยอมถอนตัวออกไป เป็นการสิ้นสุด Compaq ของยุคผู้ก่อตั้งทั้งสามและให้ Eckhard Pfeiffer เข้ามาเป็น CEO แทน

ซึ่งสุดท้ายก็มีการควบรวมกิจการกับ HP เพื่อกลายเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2002 เป็นการสิ้นสุดแบรนด์ Compaq ไปในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
https://www.wikipedia.org
https://history-computer.com/the-real-reason-compaq-failed-spectacularly/
https://www.pcmag.com/news/the-golden-age-of-compaq-computers
https://www.wnyc.org/story/unlikely-pioneers-who-founded-compaq-and-transformed-tech/

Geek Daily EP102 : เหตุใด Microsoft สามารถที่จะเอาชนะ Meta ในการเป็นผู้นำในโลก ​​metaverse ได้

Microsoft ได้ตกลงซื้อ Activision Blizzard ผู้ผลิตวิดีโอเกมในราคาประมาณ 68.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นข้อตกลงที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาสำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ก่อตั้งโดย Bill Gates

เมื่อโลกกำลังเข้าสู่ยุคของ metaverse จะเห็นได้ว่า เมื่อมองภาพรวมจริง ๆ แล้วนั้น Microsoft มีอาวุธที่ครบมือมากกว่า Meta อย่างเห็นได้ชัด ทั้ง know how ในธุรกิจเกม หรือ การสามารถปรับใช้ไลฟ์สไตล์จากเครือข่ายของ Microsoft เพื่อเข้าสู่โลกของ metaverse ได้ดีกว่า

ดังนั้นในขณะที่เรายังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนว่าโลก metaverse ที่มีรูปแบบสมบูรณ์จะมีลักษณะอย่างไร แต่ถ้ามองกันที่องค์ประกอบรวมทั้งหมดดูเหมือน Microsoft จะมีความได้เปรียบ Meta อยู่มากเลยทีเดียวครับผม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3Fznrb7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/3rqDPFT

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://bit.ly/3rwji2D

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/3tDrYXG

🎧 ฟังผ่าน Youtube : 
https://youtu.be/LcVrAgqGGiE

ผู้สนับสนุน..

Fillgoods ผู้ช่วยมืออาชีพของธุรกิจออนไลน์ ที่จะทำให้ชีวิตง่ายและสะดวกสบายขึ้นกว่าเดิม ด้วยฟีเจอร์ทั้งหมดออกแบบมาเพื่อซัพพอร์ตการทำงานของธุรกิจออนไลน์อย่างแท้จริง

ให้ทุกธุรกิจสามารถทำกำไรและสามารถขยายธุรกิจให้เติบโตได้ตามที่ต้องการอย่างไร้กังวล ร้านค้าที่ยังประสบปัญหาที่คอยฉุดยอดขายและโอกาสเติบโตให้ดิ่งเหว

สามารถติดต่อให้ Fillgoods เข้าไปเป็นผู้ช่วยธุรกิจคุณได้ที่สมัครใช้งานและติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://fillgoods.co/  สมัครตอนนี้มีโปรโมชันพิเศษมากมาย อัปเดตกิจกรรมและข่าวสารที่ https://www.facebook.com/fillgoods.co/ หรือโทร 021146800 กด 1

Geek Story EP101 : Smartphone War (ตอนที่ 1)

สงคราม Smartphone ถือได้ว่าเป็นสงครามธุรกิจ Case ที่ Classic Case นึงทีเดียวในวงการธุรกิจโลก การล่มสลายของ Nokia ผู้ครองตลาดมาอย่างยาวนาน รวมถึง Microsoft ที่มีที่ยืนอยู่ใน Windows Mobile ในช่วงเริ่มต้นของ Smartphone นั้น ถือว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

การเกิดขึ้นของ iPhone จาก Apple ในปี 2007 ได้เปลี่ยนแปลง รูปแบบธุรกิจมือถือ ที่มีเจ้าตลาดอย่าง Nokia เคยครองมาก่อนอย่างสิ้นเชิง ซึ่ง เหล่ายักษ์ใหญ่ที่เป็นอดีตเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ประมาท การแจ้งเกิดของ iPhone เป็นอย่างมาก ไม่คิดว่า Apple จะสามารถมาล้มล้าง การครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จของ Nokia ลงได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น

รวมถึง Android ระบบปฏิบัติการของ Google ที่ถือว่าสามารถแจ้งเกิดได้อย่างทันท่วงที ซึ่งคงกล่าวไม่เกิดเลยว่า พวกเขานั้นได้รับแรงบันดาลใจที่สำคัญจากระบบปฏิบัติการ iOS ของ Apple นั่นเอง

แล้วมันเกิดอะไรขึ้นระหว่างศึกครั้งนี้ ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี แต่ได้ปฏิวัติวงการมือถือ รวมถึงได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลกไปตลอดกาลผ่านระบบ SmartPhone ที่ได้แจ้งเกิดขึ้นใหม่นี้ อย่าพลาดติดตามได้จาก Podcast Series ชุดนี้ครับผม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3dIixNU

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/e-KiRhzZuYw

Geek Story EP70 : The Google Story (ตอนที่ 7 – ตอนจบ)

การที่ Google ทำให้ข้อมูลทั่วโลกเข้าถึงได้ผ่านทางออนไลน์  และการที่ Google สามารถที่จะดึงดูดเอาวิศวกรที่ฉลาดที่สุดจากทั่วโลกได้พร้อมกันนั้น มันส่งผลอย่างชัดเจนต่อการเติบโตขึ้นและพัฒนามาจนถึงขั้นนี้ได้

ตอนนี้ Microsoft เริ่มที่จะหนาว ๆ ร้อน ๆ แล้วกับการเติบโตอย่างรวดเร็ว และ ดึงเอาคนเก่ง ๆ ฉลาด ๆ จากแทบทั่วทั้งโลกของ Google แล้ว Microsoft จะแก้หมากเกมส์นี้อย่างไร ก่อนที่จะยักษ์ใหญ่ที่ทำลายคู่แข่งให้ย่อยยับมามากมายจะถูก Google แซงหน้าไปได้สำเร็จ ติดตามรับฟังกันต่อได้เลยครับผม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/37bHqia

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/i_27B6zIWPo

References : https://www.tharadhol.com/blog-series-the-google-story/