มันได้กลายเป็นเรื่องดราม่าซ้ำซ้อนของ Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ที่ถูกกรรมการของบริษัทถีบตกเก้าอี้อย่างกะทันหัน และอีกวันถัดมาเหล่านักลงทุนและพนักงานของบริษัทบางส่วนพยายามที่จะดึงตัว Sam Altman กลับมา ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเมื่อเช้านี้ที่ Satya Nadell ซีอีโอของ Microsoft กระชากตัว Sam มาร่วมชายคาพร้อมตำแหน่งผู้นำทีมวิจัย AI ขั้นสูงสุด ซึ่งเป็นภารกิจที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของ Microsoft ในตอนนี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ OpenAI ถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดของความแตกแยกใน Silicon Valley ด้านหนึ่งเรียกว่ากลุ่ม Doomers ซึ่งเชื่อว่าหากปล่อยให้ AI ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อมนุษยชาติ และด้วยเหตุนี้จึงสนับสนุนให้มีกฎระเบียบที่เข้มงวดยิ่งขึ้น
อีกฟากฝั่งเรียกตัวว่า Boomers ที่เน้นย้ำถึงการผลักดันศักยภาพของเทคโนโลยี AI ขัดขวางกฎระเบียบต่าง ๆ ที่จะเข้ามาจัดการหรือควบคุม AI และผลักดันให้ใช้เชิงพาณิชย์และสร้างกำไรจากเทคโนโลยีให้ได้มากที่สุด
เนื่องจากการขับเคลื่อนเทคโนโลยีดังกล่าวให้ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วนั้น เงินทุนเป็นสิ่งสำคัญเพราะ AI สูบกิน Data และพลังการประมวลผลอย่างบ้างคลั่ง และทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย
กลุ่ม Boomers ใช้แนวคิดที่เรียกว่า “effective accelerationism” ซึ่งไม่เพียงแต่ผลักดันให้ AI พัฒนาต่อไปโดยไม่มีอุปสรรคเพียงเท่านั้น แต่ยังควรเร่งความเร็วมันอีกด้วย ผู้นำในเรื่องนี้คือ Marc Andreessen ผู้ก่อตั้ง Andreessen Horowitz บริษัทร่วมลงทุนผู้หิวกระหายเงิน
ดูเหมือนว่า Sam เองจะมีความเห็นอกเห็นใจทั้งสองกลุ่ม โดยเรียกร้องให้มีการสร้างแนวป้องกันเพื่อให้ทำให้ AI ปลอดภัยขึ้น ในขณะเดียวกันก็ผลักดันให้ OpenAI พัฒนาโมเดลที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น
การเปิดตัวเครื่องมือใหม่ ๆ เช่น App Store สำหรับผู้ใช้เพื่อสร้างแชทบอทของตนเอง ซึ่งนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของบริษัทอย่าง Microsoft ซึ่งทุ่มเงินกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่ OpenAI ด้วยสัดส่วน 49% โดยไม่ได้รับที่นั่งในบอร์ดแม้แต่เพียงเก้าอี้เดียว
เพราะฉะนั้นหลังจากที่ Sam ถูกบีบให้ออกทำให้ Microsoft ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นเหตุผลให้พวกเขาเสนอทางออกให้ Sam และเพื่อนร่วมงานของเขามาร่วมงานกับ Microsoft
กลุ่ม Doomers ถือเป็นผู้บุกเบิกการแข่งขัน AI ในยุคแรกมีทุนหนา ในขณะที่ฝั่ง Boomers ขยับจี้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นบริษัทขนาดเล็กกว่าและชอบรูปแบบของการเป็นโอเพ่นซอร์สมากกว่า
หรือฝั่งของนักวิจัยจาก Google เองซึ่งถือได้ว่าสะสมบุคลากรระดับเทพในวงการไว้มากมาย กำลังซุ่มพัฒนา AI ที่ได้รับการฝึกอบรมด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาลโดยเฉพาะจาก Google เอง พวกเขากำลังสร้างโมเดลที่ใหญ่กว่าและชาญฉลาดกว่าอย่าง Bard
และความแตกแยกระหว่างทั้งสองกลุ่มถูกกั้นกลางด้วยอนาคตของ AI แบบโอเพ่นซอร์ส การเปิดตัว LLAMA ซึ่งเป็นโมเดลที่สร้างโดย Meta ได้กระตุ้นกิจกรรมให้เกิดขึ้นในแวดวง AI แบบโอเพ่นซอร์สแบบคึกคักเป็นอย่างมาก
เหล่าผู้สนับสนุนโดยเฉพาะกลุ่มบริษัทสตาร์ทอัพขนาดเล็ก มอง Meta เหมือนฮีโร่ และพวกเขาก็สนับสนุนแนวคิดของ Meta เพราะมองว่าโมเดลโอเพ่นซอร์สนั้นปลอดภัยกว่าเนื่องจากเปิดให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยคนหมู่มาก
แต่อย่างไรก็ตามโลกคงไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น เนื่องจากนายทุนใหญ่คือ Meta บางทีการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส Mark Zuckerberg อาจจะพยายามหาทางสอดแนมหนทางในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จากเหล่าสตาร์ทอัพเพื่อมาไล่ล่าให้ตามทันยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley เจ้าอื่น ๆ
Mark Zuckerberg มาเหนือเมฆด้วยการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส (CR:Wikimedia)
มีบันทึกที่เขียนโดยคนวงในของ Google ซึ่งรั่วไหลออกมาในเดือนพฤษภาคมได้ยอมรับว่าโมเดลโอเพ่นซอร์สกำลังบรรลุผลงานในบางอย่างที่เทียบเท่ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ครอบครองกรรมสิทธิ์ของเทคโนโลยีนี้ แต่มีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่ามากในการสร้างสรรค์มันขึ้นมา
ไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ทุกแห่งจะตกอยู่ในวงวันแห่งความแตกแยกนี้ Meta เลือกทางเดินสายกลางสนับสนุนสตาร์ทอัพแล้วปล่อยให้โลกของโอเพ่นซอร์สดำเนินการไป ซึ่งท้ายที่สุดพวกเขาจะเข้าถึงโมเดลอันทรงพลังสำหรับสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้
Meta กำลังเดิมพันจากนวัตกรรมของกลุ่มโอเพ่นซอร์ส ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะช่วยให้แพลตฟอร์มของตนเองสามารถสร้างเนื้อหารูปแบบใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้ติดใจและผู้ลงโฆษณามีความสุขกับการจ่ายเงินเพื่อกด Boost
ฟากฝั่ง Apple เรียกได้ว่านิ่งเงียบแบบผิดปรกติ บริษัทเทคโนโลยีที่ร่ำรวยและใหญ่ที่สุดในโลกปิดปากเงียบเกี่ยวกับ AI แทบจะไม่พูดถึงคำ ๆ ดังกล่าวนี้ตามยักษ์ใหญ่ Silicon Valley เจ้าอื่น ๆ
ในทางกลับกัน Softbank บังคับให้ Adam สัญญาว่าจะไม่ลาออกไปไหน และ ห้ามไม่ให้มาเปิดบริษัทแข่งด้วย ซึ่งหากรายได้ของ WeWork เพิ่มขึ้นเป็น 5 หมื่นล้านดอลลาร์ในอีก 5 ปีข้างหน้า นั่นจะทำให้แผนการ Fortitude ของ ทั้ง Adam และ Son สัมฤทธิ์ผล
สำหรับ WeWork และ ตัว Adam แผนการ Fortitude มีเป้าหมายเพื่อแซงหน้า JPMorgan ในฐานะผู้ให้เช่าสำนักงานรายใหญ่ที่สุดของนิวยอร์กซึ่งนั่นเป็นความฝันสูงสุดของ Adam ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทที่เขาอยากจะทำมันให้สำเร็จให้จงได้
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกัน Adam มีความคิดที่จะเข้าซื้อกิจการของ Cushman & Wakefield ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์มูลค่า 4 พันล้านดอลลลาร์
Adam ทำการประมูลซื้อ Sweetgreen ผู้ผลิตสลัด ชื่อของบริษัทอย่าง WeWork ดูเหมือนมันจะถูกจำกัดแคบเกินไปที่จะครอบคลุมความทะเยอทะยานทั้งหมดของ Adam อีกต่อไปแล้ว
บริษัทเริ่มคิดเปลี่ยนชื่อแบรนด์ เหมือนกับที่ Google จัดการในการเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น Alpabet ด้วยการที่มีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ WeWork , WeLive และ WeGrow และอีกมากมายในอนาคต WeWork จะกลายเป็น We Company
แต่ต้องบอกว่า ภายใน Softbank เองนั้น ก็ไม่ได้หลงใหลไปตามคารมของ Adam มากนักดูเหมือนมี แค่ Son เท่านั้นที่ดูจะเอาอกเอาใจ Adam เป็นพิเศษ ถึงกับเคยกล่าวกับ Adam อย่างภาคภูมิใจว่า “คนสุดท้ายที่ผมรู้สึกเช่นนี้คือ Jack Ma” ผู้ก่อตั้ง Alibaba
แต่สถานะของ Adam ในฐานะลูกชายคนโปรดของ Son อาจจะถูกพรากไปในไม่ช้า ในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น Vision Fund ได้ลงทุนเพิ่มอีก 1 พันล้านดอลลาร์ใน Oyo ซึ่งเป็นบริษัท Startup ด้านการโรงแรมของอินเดียที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
Oyo นำโดยผู้ก่อตั้งอย่าง Ritesh Agarwal ที่อายุน้อยกว่า Adam ถึง 15 ปี “น้องชายของคุณทำได้ดีกว่าคุณมาก” Son บอกกับ Adam ในการประชุมที่ Son แสดงให้เห็นแผนการเติบโตที่ทะเยอทะยานของ Oyo
Ritesh Agarwal ผู้ก่อตั้ง Oyo ขึ้นแท่นลูกรักคนใหม่ของ Son (CR:Mint)
แม้ Adam จะพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับฝั่งกองทุนจากตะวันออกกลาง เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในปี 2018 ในการวางแผนการขยายธุรกิจในตะวันออกกลางในซาอุดิอาระเบียและอาบูดาบีซึ่งเป็นผู้สนับสนุนใหญ่ทั้งสองของ Vision Fund
เขามีแผนการที่จะนำเอา Flatiron School มาสู่อาณาจักรซาอุดิอาระเบียเพื่อช่วยให้ผู้หญิงเรียนรู้วิธีการเขียนโค้ด
Adam กล่าวว่า เขากำลังพูดคุยกับรัฐบาลซาอุดิอาระเบียเกี่ยวกับการรวม WeWork เข้ากับ Neom ซึ่งเป็นเมืองแห่งอนาคตที่สร้างขึ้นจากพื้นดินทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดิอาระเบียใกล้กับ อิสราเอล
Neom นั้นจะกลายเป็นเมืองที่คาดว่าจะมีหุ่นยนต์แม่บ้าน เมฆฝนเทียม และชายหาดที่มีหาดทรายเรืองแสงในความมืด Adam คิดว่า บทบาทของ WeWork ในโครงการนี้อาจมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
Neom โปรเจ็กต์ในฝันของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบียผู้กุมเงิน Vision Fund (CR:WriteCaliber)
แต่ทั้ง Son และ Adam คงไม่สามารถยอมรับตัวเลขน้อย ๆ ได้อย่างแน่นอน พวกเขากำลังขึ้นหลังเสือและที่สำคัญ Son กำลังหาเงินเพิ่มสำหรับ Vision Fund ที่สองของเขา
การประเมินมูลค่าที่เหนือกว่าสำหรับหนึ่งในการลงทุนครั้งสำคัญของ Vision Fund อย่าง WeWork นั้น เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเขามันสามารถทำให้ Softbank อวดผลลัพธ์ที่น่าประทับใจอย่างน้อยก็บนกระดาษได้
ในขณะเดียวกัน Adam ก็มีความภาคภูมิใจเป็นพิเศษในความจริงที่ว่าการประเมินมูลค่าใหม่และการเสนอขายหุ้นของ Uber ทำให้ WeWork กลายเป็น Startup ที่มีมูลค่ามากที่สุดในอเมริกา
และที่สำคัญยังให้เงินกู้กับ Adam จำนวน 97 ล้านดอลลาร์ ในการจำนองดอกเบี้ยต่ำสำหรับบ้านหลายหลังที่ Adam กำลังซื้อและยังช่วยอำนวยความสะดวกในสินเชื่อส่วนบุคคลกว่า 500 ล้านดอลลาร์ให้กับ Adam อีกด้วย
ชื่อรหัสของ S-1 คือ Wingspan หรือ นกที่กำลังบินและทิ้งฝูงไว้ข้างหลัง ตอนนี้ทุกอย่างใน WeWork ดูเหมือนจะมี code name เต็มไปหมด รวมถึงเคมเปญการตลาดที่เรียกว่า Stark ซึ่งตั้งชื่อตาม Tony Stark ในภาพยนตร์ Iron Man
WeWork ได้ดัดแปลงพื้นที่ห้องสมุดที่เงียบสงบใกล้กับสำนักงานของ Adam บนชั้นหกของสำนักงานใหญ่ของบริษัทให้เป็น War Room สำหรับทีมที่รับผิดชอบในการเขียนส่วนต่าง ๆ ของ Wingspan
Adam ได้หันไปหาคนที่เขาไว้ใจที่สุดซึ่งนั่นก็คือ Rebekah ศรีภรรยาของเขาให้มาช่วยเหลือในการดูแลโปรเจค Wingspan
WE DEDICATE THIS TO THE ENERGY OF WE— GREATER THAN ANY ONE OF US BUT INSIDE EACH OF US.
ปิดฉาก Adam Neumann
Son ทนความอัปยศของ Adam ไม่ไหวอีกต่อไป ได้เรียก Adam มาที่โตเกียว สำหรับนักลงทุนรายแรก ๆ ของ WeWork ต้องบอกว่าการตอบสนองต่อ Wingspan นั้นน่าอับอายเป็นอย่างมาก
Son คิดว่า WeWork ควรชะลอการเสนอขายหุ้น IPO เนื่องจากปฏิกิริยาต่อ Wingspan นั้นแทบจะโดนถล่มยับ จากเหล่านักลงทุนสถาบันที่ WeWork ได้ไปทำการ Road Show มาก่อนหน้านี้
ส่วนปัญหาของ Adam นั้นเรียกได้ว่า Son แทบจะฉุนขาดกับสิ่งที่เขาทำ แม้ก่อนหน้านี้ Son จะรู้สึกเหมือนว่า Adam เปรียบเหมือนเครือญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของเขาคนหนึ่งและฝากความหวังไว้กับ Adam สูงมาก ๆ ก็ตามที
ความผิดพลาดครั้งก่อนหน้า Son เคยให้อภัยไปแล้วหนึ่งครั้ง แต่ครั้งนี้มันทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถึงจุดแตกหัก แต่ Adam กลับตอบสนอง Son ด้วยการโต้เถียงกลับไปว่ามันสายเกินไปแล้วที่จะให้เขาออกจาก WeWork ในตอนนี้
ต้องบอกว่าในเอกสารของ Wingspan นั้น ส่วนใหญ่วิจารณ์มุ่งเน้นไปที่ตัว Adam โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่บริษัทได้จ่ายค่าเช่าไปมากกว่า 20 ล้านดอลลาร์สำหรับอาคารสี่หลังที่ Adam เป็นเจ้าของ
หรือการเข้ามามีบทบาทที่มากเกินไปของเหล่าคนใกล้ชิดของ Adam ทั้งพี่สาว พี่เขย รวมถึง Rebekah เองที่ถูกมองว่าจะเป็นตัวแทนของ Adam ในอนาคตในการสืบทอดต่อตำแหน่งของเขาที่ WeWork
Adam และ Rebekah นั้นต้องตกตะลึงกับปฏิกิริยาของสาธารณะชน โดยพวกเขาคาดหวังจะได้รับคำชมเชย แต่ทั้งคู่กับถูกวิจารณ์ยับ แบบเละเทะ ในเรื่องจริยธรรม ที่มีปัญหากับบริษัทตัวเอง
รวมถึงเรื่องปัญหาในเรื่องการบริหารงานที่ Adam ดูเหมือนจะไม่ใช่มืออาชีพ เหมือนเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งได้มีโอกาสจับเงินจำนวนมหาศาล และมีการใช้เงินอย่างบ้าคลั่ง The Wall Street Journal มีการรายงานว่า Frances Frei ทำงานเป็นที่ปรึกษาของ WeWork อยู่แล้ว และยังเรียกเก็บเงินจากบริษัทอีก 5 ล้านดอลลาร์
และแล้วมันก็ถึงวาระสุดท้ายของ Adam จริง ๆ เสียที เมื่อ Bruce Dunlevie , Michael Eisenberg ที่บินตรงมาจากอิสราเอล และ Steven Langman นักลงทุนที่ให้การสนับสนุน WeWork มาตั้งแต่ปี 2012 ได้นัด Adam มาทานมื้อค่ำในห้องส่วนตัวที่ร้านอาหารย่านมิดทาวน์
คนกลุ่มนี้เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มแรก ๆ ที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุน Adam มาโดยตลอดไม่ว่าเขาจะทำตัวอย่างไร คนกลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะยืนอยู่ข้าง Adam เสมอมา
แต่มื้อค่ำมื้อนี้ บรรยากาศมันเปลี่ยนไป มันเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่จริงใจ พวกเขาได้บอกกับ Adam ว่า มันถึงเวลาแล้วจริง ๆ ที่ Adam ควรก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ WeWork เสียที
และเมื่อคณะกรรมการของ WeWork พบกันในเช้าวันถัดไป ชะตากรรมของ Adam กับ WeWork ก็ถูกปิดฉากไปในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม
ในตอนแรก นิซาร์ ต้องการให้ Deutsche Bank เป็นตัวเลือกแรกสำหรับเงินกองทุนของโมฮัมเหม็ด แต่ในช่วงปลายปี 2015 เขาได้ออกจากงาน และตั้งบริษัทที่ปรึกษาร่วมกับพันธมิตรที่เป็นอดีตนายธนาคารจาก Goldman Sachs Group
วิศวกรการเงินผู้เย่อหยิ่งที่มีรสนิยมชอบหนี้สินและความเสี่ยง ราจีฟ เคยเป็นนายธนาคารอาวุโสของ Deutsche Bank ในช่วงวิกฤติการเงิน โดยเขาดูแลทีมที่ทำกำไรจากการเดิมพันในตลาดที่อยู่อาศัย หลังจากนั้นเขาได้มาร่วมงานกับ UBS ต่อด้วย Fortress Investment Group ก่อนจะมาลงเอยที่ SoftBank
References : หนังสือ Attention Factory : The Story of TikTok & China’s ByteDance โดย Brennan Matthew หนังสือ TikTok Boom : China’s Dynamite App and the Superpower Race for Social Media โดย Chris Stokel-Walker https://kr-asia.com/a-closer-look-at-tik-toks-expansion-overseas