THESE ADS SUCK กับโน็ตเล็ก ๆ บนห้องครัวของ Larry Page ที่เปลี่ยนแปลง Google ไปตลอดกาล

ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 มีการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่กำลังจะเปลี่ยนโลกของการค้นหาข้อมูลไปตลอดกาล เป้าหมายคือการสร้างเครื่องมือซอฟต์แวร์ที่เชื่อมต่อการค้นหาของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกับโฆษณาที่ตรงเป้าหมาย

Overture เป็นหนึ่งในนั้นได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากนักธุรกิจชั้นยอด Bill Gross เป็นผู้บุกเบิกด้านการโฆษณาอินเทอร์เน็ตตัวจริงในวันที่โลกยังไม่รู้จักกับ Google

Gross เป็นคนแรกที่คิดค้นรูปแบบการโฆษณาแบบ Pay Per Click เขาได้เขียนโค้ด สร้าง Overture ให้เป็นธุรกิจที่เฟื่องฟูซึ่งสร้างผลกำไรหลายร้อยล้านดอลลาร์ และสามารถทำ IPO จนธุรกิจมีมูลค่าเป็นพันล้านดอลลาร์

Bill Gross เป็นผู้บุกเบิกด้านการโฆษณาอินเทอร์เน็ตตัวจริง (CR:Wikipedia)
Bill Gross เป็นผู้บุกเบิกด้านการโฆษณาอินเทอร์เน็ตตัวจริง (CR:Wikipedia)

ไม่มีใครคาดคิดว่าบริษัทเล็ก ๆ ที่ชื่อ Google จะถือกำเนิดขึ้นมาแข่งขันในธุรกิจที่ทำเงินได้อย่างมหาศาลนี้ ในขณะนั้นนักศึกษาจาก stanford สองคนอย่าง Larry Page และ Sergey Brin กำลังสร้างเครื่องมือค้นหาขึ้นมาใหม่และต้องการท้าทายอำนาจของ Overture

แต่มันไม่ได้เป็นเรื่องง่าย พวกเขาประสบกับปัญหามากมายกับการสร้าง Search Engine โดยเฉพาะโมเดลที่จะทำเงินจากธุรกิจนี้อย่าง AdsWord

วันที่ 24 พฤษภาคม 2002 ในห้องครัวของ Google ที่ 2400 Bayshore Parkway ในเมาน์เทนวิว แคลิฟอร์เนีย Larry Page ได้ปักข้อความไว้ที่ผนังที่ประกอบด้วยคำสามคำ

“THESE ADS SUCK”

ต้องบอกว่าในโลกธุรกิจแบบดั้งเดิม มันไม่ใช่เรื่องปรกติที่จะทิ้งโน้ตแบบนี้ไว้ในห้องครัวของบริษัท แต่นั่นไม่ใช่กับบริษัทสตาร์ทอัพเล็ก ๆ อย่าง Google ที่กำลังก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา

ในวันที่ Page ปักโน้ตไว้ที่ผนังห้องครัว การแข่งขันของ Google กับ Overture เรียกได้ว่ายังห่างชั้นนัก Google ได้สร้างเครื่องมือที่เรียกว่า AdsWords แต่ตอนนั้นกำลังประสบปัญหาใใหญ่ในการทำงานพื้นฐานการจับคู่ข้อความค้นหากับโฆษณาที่เหมาะสม

ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพิมพ์ค้นหารถจักรยานยนต์ Kawasaki H1B คุณจะได้รับโฆษณาจากนักกฎหมายที่เสนอความช่วยเหลือในการยื่นขอวีซ่าต่างประเทศ H-1B แทน

มันเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ของ Google ซึ่งอาจจะทำลายทั้งบริษัทได้เลย หากไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ดังนั้น Page จึงพิมพ์ตัวอย่างความล้มเหลวนี้ เขียนเป็นคำสามคำด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ และปักหมุดไว้ที่กระดานข่าวในครัว จากนั้นเขาก็จากไป

Jeff Dean เป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในออฟฟิสของ Google คนสุดท้ายในวันนั้น ซึ่งเขาก็มีงานส่วนตัวที่ยุ่งมากอยู่แล้ว แต่ในวันนั้น Dean ได้เดินไปที่ห้องครัวเพื่อทำคาปูชิโน่ และเห็นโน้ตของเพจ เขาพลิกดูโน้ตที่แนบมา และในขณะที่กำลังมองไปที่โน้ตใบนั้น ความคิดก็แล่นเข้ามาในหัวเขา

เขาคุ้นว่านี่เป็นปัญหาที่เขาเพิ่งเจอมาไม่นาน Dean ได้เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของเขา และเริ่มพยายามแก้ไขเครื่องมือ AdsWord เขาไม่ได้ขออนุญาตหรือบอกใครเลยด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่เห็นมัน และแก้ไขปัญหาทันที

แม้เขาจะมีงานกองดองมากมายอยู่เต็มโต๊ะ แต่เขาอยากที่จะแก้ไขปัญหายาก ๆ ที่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะจัดการได้ โดยใช้เวลาหลายชั่วโมงในวันหยุดสุดสัปดาห์

Jeff Dean วิศวกรผู้ลุกขึ้นมาแก้ปัญหาโดยแทบไม่ได้บอกใคร (CR:Quora)
Jeff Dean วิศวกรผู้ลุกขึ้นมาแก้ปัญหาโดยแทบไม่ได้บอกใคร (CR:Quora)

ในคืนวันอาทิตย์เขามีนัดรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวและต้องพาลูกเล็ก ๆ ทั้งสองเข้านอน ประมาณ 21.00 น. เขาขับรถกลับไปที่สำนักงาน ทำคาปูชิโน่อีกแก้ว และหาโซลูชั่นเพื่อแก้ไขปัญหาของ AdsWord ตลอดทั้งคืน

เวลา 05.05 น. ในเช้าวันจันทร์ เขาได้ส่งอีเมลสรุปข้อเสนอและวิธีการแก้ไข จากนั้นเขาก็ขับรถกลับบ้าน ขึ้นเตียงและนอน

มันได้ผล การแก้ไขของ Dean ช่วยปลดล็อกปัญหา โดยสามารถเพิ่มความแม่นยำของการค้นหาและจับคู่กับโฆษณา และมันได้ส่งผลต่อเนื่องในการปรับปรุงส่วนอื่น ๆ ที่ตามมาของ AdsWord

ไม่นานหลังจากนั้น Google ก็พลิกบริษัทเข้ามาครอบครองตลาดแบบ Pay Per Click ได้อย่างรวดเร็ว การแก้ไขเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ Dean คิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่เลย สร้างผลกำไรให้กับ Google เพิ่มขึ้นจาก 6 ล้านดอลลาร์ เป็น 99 ล้านดอลลาร์

ภายในปี 2014 เครื่องมือ AdsWord สร้างรายได้ 160 ล้านดอลลารต่อวัน และโฆษณาถือเป็นเครื่องจักรทำเงินหลักกว่า 90% ของรายได้ทั้งหมดของ Google

ในวันหนึ่งของปี 2013 Jonathan Rosenberg ที่ปรึกษาของ Google ได้ติดต่อ Dean เพื่อต้องการฟังเรื่องราวในเวอร์ชั่นของ Dean

แต่ Dean กลับจ้องไปที่ Rosenberg ด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า เขาแทบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ มันไม่ใช่คำตอบที่ Rosenberg คาดหวังที่จะได้จาก Dean มันไม่ต่างอะไรกับการที่ Michael Jordan ลืมไปว่าเขาคว้าแชมป์ NBA ได้ 6 สมัย

“ผมหมายความว่า ผมจำได้ว่ามันเกิดขึ้น” Dean กล่าว “แต่พูดตามตรง มันไม่ได้อยู่ในความทรงจำของผมมากนัก เพราะมันไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น มันไม่ได้รู้สึกพิเศษหรือแตกต่าง มันเป็นเรื่องปรกติ เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นตลอดเวลาที่ Google”

มันเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับของวัฒนธรรมองค์กรในแบบฉบับ Google เรื่องเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ มันเปลี่ยนโลก สำหรับ Google มันเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ และสามารถนำเงินทุนของพวกเขาไปสร้างแนวคิดและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
เรียบเรียงจากหนังสือ The Culture Code: The Secrets of Highly Successful Groups โดย Daniel Coyle

Russia x Tech Industry รัสเซียทำลายล้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของประเทศตัวเองอย่างไร

เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่การรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบเริ่มต้นขึ้น มีพลเรือนเสียชีวิตมากกว่า 8,300 รายและจำนวนยังเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เหล่าพนักงานด้านเทคโนโลยีก็ได้ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังเพื่อหนีออกจากรัสเซีย

ตามตัวเลขของรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีประมาณ 100,000 คนหนีออกจากรัสเซียในปี 2022 หรือประมาณ 10% ของพนักงานด้านเทคโนโลยีทั้งหมด

รัสเซียได้ตัดขาดจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก การวิจัย เงินทุน การแลกเปลี่ยนทางวิทยาศาสตร์ ในขณะเดียวกัน Yandex หนึ่งในความสำเร็จด้านเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทได้เริ่มแยกส่วนบริษัทและขายธุรกิจให้กับ VKontakte (VK) ซึ่งเป็นคู่แข่งที่ควบคุมโดยบริษัทของรัฐ

ในรัสเซีย เทคโนโลยีเป็นหนึ่งในไม่กี่ภาคส่วนที่ผู้คนรู้สึกว่าสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยความสามารถของตัวเองอย่างแท้จริงโดยไม่ใช้เส้นสาย

ผู้ประกอบการชาวรัสเซียได้รับเงินทุนระหว่างประเทศและทำข้อตกลงไปทั่วโลก ในช่วงเวลาหนึ่ง ดูเหมือนว่าเครมลินจะยอมรับการเปิดกว้างนี้เช่นกัน โดยเชิญชวนให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในรัสเซียเพิ่มมากขึ้นผ่านนโยบายของพวกเขา

แต่รอยร้าวในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของรัสเซียเริ่มปรากฏขึ้นก่อนสงคราม เป็นเวลากว่าทศวรรษแล้วที่รัฐบาลพยายามทำให้อินเทอร์เน็ตของรัสเซียและบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของรัสเซียตกอยู่ในภาวะความเสี่ยง โดยเริ่มคุกคามอุตสาหกรรมที่เคยมองว่าจะนำประเทศไปสู่อนาคต

“ผู้นำรัสเซียเลือกแนวทางการพัฒนาประเทศที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง” Ruben Enikolopov ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่ง Barcelona School of Economics และอดีตอธิการบดี Russia’s New Economic School กล่าว 

Ruben Enikolopov ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่ง Barcelona School of Economics และอดีตอธิการบดี Russia’s New Economic School  (CR:Econs.online)
Ruben Enikolopov ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่ง Barcelona School of Economics และอดีตอธิการบดี Russia’s New Economic School (CR:Econs.online)

การแยกธุรกิจได้กลายเป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์ เขากล่าวว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไม่ได้ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย แต่เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ

Enikolopov กล่าวว่าระหว่างปี 2015 ถึง 2021 ภาคส่วนไอทีในรัสเซียคิดเป็นหนึ่งในสามของการเติบโตของ GDP ของประเทศ โดยสูงถึง 3.7  ล้านล้านรูเบิล (47.8 พันล้านดอลลาร์)

ในปี 2021 แม้ว่าจะคิดเป็นเพียง 3.2% ของ GDP ทั้งหมด แต่ Enikolopov กล่าวว่า ในขณะที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังถอยหลังซึ่งจะส่งให้เศรษฐกิจของรัสเซียอย่างแน่นอน “ผมคิดว่านี่อาจเป็นหนึ่งในผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตของรัสเซีย” เขากล่าว 

เมื่อคลังสมองด้านไอทีเริ่มไหลออก

บรรยากาศตึงเครียดในสำนักงาน Yandex ที่สร้างด้วยอิฐสีแดงและผนังกระจกทางตอนใต้ของกรุงมอสโกเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งเป็นวันที่รัสเซียรุกรานยูเครนเริ่มต้นขึ้น

Anastasiia Diuzharden ซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดเนื้อหาของ Yandex Business ก็อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่เธอบอกว่าเธอเห็นคนไม่กี่คนที่ทำงานอยู่ พื้นที่สูบบุหรี่ของอาคารมีคนมากกว่าปกติถึงห้าเท่า พนักงานบางคนเดินทางออกนอกประเทศในวันเดียวกันเมื่อข่าวการบุกรุกแพร่สะพัดไปทั่วสำนักงาน

Diuzharden และเพื่อนร่วมงานของเธอก็ถูกเรียกตัวไปประชุมประจำสัปดาห์ที่ “khural,” ที่นั่น Tigran Khudaverdyan กรรมการบริหารและรอง CEO ของ Yandex ให้ความมั่นใจกับพวกเขาว่าบริษัทจะดำเนินธุรกิจต่อไป

Tigran Khudaverdyan กรรมการบริหารและรอง CEO ของ Yandex (CR:Banks.am)
Tigran Khudaverdyan กรรมการบริหารและรอง CEO ของ Yandex (CR:Banks.am)

Yandex เป็นบริษัทที่สร้างความภาคภูมิใจในรัสเซีย ดำเนินการทั่วโลก โดยส่วนหนึ่งของบริษัทจดทะเบียนในประเทศเนเธอร์แลนด์ วิศวกรของบริษัทประสบความสำเร็จในการแข่งขันกับบริษัทอเมริกัน

Yandex มีส่วนแบ่งในตลาดการค้นหาของรัสเซียมากกว่า Google และมีบริการกว่า 90 รายการที่ครอบงำโลกดิจิทัลของรัสเซีย หนึ่งในนั้นคือ Zen แพลตฟอร์มเนื้อหา และแพลตฟอร์มรวมข่าว Yandex News ซึ่งชาวรัสเซียจำนวนมากใช้ในการเริ่มต้นวันใหม่ทางออนไลน์ 

ในช่วงหลายสัปดาห์หลังจากรัสเซียบุกยูเครน มีผู้คนมากถึง14 ล้านคนต่อวันเข้าไปที่ Yandex News แต่แทนที่จะอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการเสียชีวิตและการทำลายล้างพลเรือนของยูเครน แต่เนื้อหาข่าวส่วนใหญ่กลับบอกว่าผู้ปลดปล่อยชาวรัสเซียกำลังทำลายล้างยูเครน 

ข้อมูล ประมาณ 70% ใน Yandex News มาจากแหล่งที่มาของสื่อที่ควบคุมโดยรัฐซึ่งผลักดันการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐปราบปรามสื่ออิสระของรัสเซียเป็นเวลานานนับทศวรรษ

แต่การปฏิบัติตามทางการรัฐของ Yandex ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย สามสัปดาห์หลังการรุกราน Khudaverdyan ถูกสหภาพยุโรปลงโทษฐานปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสงครามจากสาธารณะจนเขาต้องก้าวลงจากตำแหน่ง สี่วันต่อมา หุ้น Yandex ถูกหยุดไม่ให้ซื้อขายบน Nasdaq 

มีการประเมินว่ามีพนักงานมากถึงหนึ่งในสามของจำนวนพนักงานทั้งหมดได้หนีออกจากประเทศภายในเวลาเพียงสองเดือนแรกหลังการบุกรุก

หลังจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ Yandex ได้วางแผนที่จะทิ้งแพลตฟอร์มข่าวและเนื้อหา โดยขายให้กับ VK ในทางกลับกัน Yandex ได้ซื้อบริการส่งอาหารของ VK ซึ่งข้อตกลงเสร็จสิ้นในเดือนกันยายน

จากนั้น เก้าเดือนหลังจากการรุกรานเริ่มขึ้น Yandex ประกาศว่าจะยุติรูปแบบของธุรกิจเดิม บริษัทจะแบ่งออกเป็นสองส่วน: ส่วนที่เป็นของรัสเซียและอีกส่วนที่เป็นของบริษัทแม่เดิม ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ 

ส่วนของรัสเซียซึ่งยังคงควบคุมธุรกิจหลักของบริษัท ถูกกำหนดให้เป็นหุ้นส่วนการจัดการพิเศษซึ่งประกอบด้วยผู้นำ Yandex 3 คน และ Alexei Kudrin ที่เป็นพันธมิตรของประธานาธิบดีปูติน

เมื่อเครมลินเข้าครอบงำ 

Yandex เป็นเพียงตัวอย่างล่าสุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเครมลินในการพยายามเข้าควบคุมบริษัทเทคโนโลยีของรัสเซีย โดยเกรงกลัวในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลทางออนไลน์ของประชากรอย่างอิสระ 

ความพยายามเหล่านี้เกิดขึ้นในปี 2011 เมื่อ Facebook และ Twitter ช่วยจุดประกายการประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 

บางส่วนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเข้าร่วมการประท้วงโดยหวังว่าจะช่วยให้รัสเซียอยู่ในเส้นทางเสรีนิยมและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น

ในปีต่อๆ มา รัสเซียบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดมากขึ้น จับกุมผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์จากการโพสต์ เรียกร้องการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ และแนะนำให้มีการกลั่นกรองเนื้อหา 

สิ่งนี้สร้างแรงกดดันต่อทั้งแพลตฟอร์มโซเชียลตะวันตก เช่น Facebook, Twitter และ LinkedIn (ซึ่งถูกบล็อกในรัสเซียตั้งแต่ปี 2016) หรือแม้กระทั่งแพลตฟอร์มออนไลน์ในประเทศ

หลังจากที่ Pavel Durov ถูกบีบออกจากบริษัทในปี 2014 และผู้มีอำนาจของเครมลินเข้าควบคุม เขาได้ทำการหลบหนีออกจากประเทศ Durov ซึ่งต่อมาได้สร้างแอปส่งข้อความ Telegram อธิบายว่ารัสเซีย “เข้ากันไม่ได้กับธุรกิจอินเทอร์เน็ต” จากการศึกษาของ National Research University Higher School of Economics พบว่าผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ “Unicorn” ​​ได้หนีออกจากรัสเซียมากกว่าประเทศอื่นๆ

The Rise of RuNet

หลังจากที่นานาชาติบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียหลังจากการผนวกไครเมียในปี 2014 รัฐบาลรัสเซียก็เริ่มส่งเสริมแนวคิดเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตอธิปไตยของตนเอง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เรียกว่า RuNet 

สงครามกับยูเครนและการคว่ำบาตรทำให้มีการผลักดันแนวคิดนี้เพิ่มมากขึ้น ในเดือนมีนาคม 2022 เครมลินปิดกั้นการเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างประเทศ เช่น Instagram Facebook และ Twitter

มีการสร้างบริการเพื่อแทนที่แพลตฟอร์มต่างประเทศยอดนิยมดังกล่าวด้วยเวอร์ชันในประเทศ เพื่อแทนที่ Google Play และ Apple AppStore VK ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาดิจิทัลเปิดตัว App Store ในประเทศชื่อ RuStore ส่วนบริการอย่าง TikTok, Instagram และ YouTube มีการสร้างเลียนแบบขึ้นมา เช่น Yappy, Rossgram และ RuTube 

RuTube บริการเลียนแบบ Youtube จากรัสเซีย (CR:MediaSapiens)
RuTube บริการเลียนแบบ Youtube จากรัสเซีย (CR:MediaSapiens)

Yandex News จะมีส่วนร่วมในการรวมการควบคุมของรัฐเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้ภาษารัสเซียสามารถที่จะอ่านได้ ในที่สุดก็รวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ข่าวอื่น ๆ ของ VK

การควบคุมเนื้อหาออนไลน์ไม่ใช่วิธีเดียวที่รัสเซียต้องการใช้อำนาจอธิปไตยทางด้านดิจิทัล หลังจากมีมาตรการคว่ำบาตรเมื่อปีที่แล้ว รัฐได้เริ่มส่งเสริมเป้าหมายอย่างเร่งด่วนในการสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีแบบควบคุมตัวเองทั้งหมด ซึ่งครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่บริการทางการเงินไปจนถึงฮาร์ดแวร์และซัพพลายเชน 

รัฐบาลรัสเซียให้คำมั่นว่าจะจัดหาเงินทุนอย่างจำนวนมหาศาล สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของตน ซึ่งอาจมีมูลค่ามากกว่า 3.19 ล้านล้านรูเบิล (41.2 พันล้านดอลลาร์) ภายในปี 2030

แต่การสร้างภาคส่วนดังกล่าวของประเทศมันไม่ใช่เรื่องที่จะเสกขึ้นมาได้ง่าย ๆ เพราะลำพังอุตสาหกรรมชิปของรัสเซียก็ยังล้าหลังกว่าประเทศอื่นๆ ในโลกอยู่ราว ๆ 10 ถึง 15 ปี 

ก่อนการคว่ำบาตร รัสเซียนำเข้าสินค้าไฮเทคมูลค่า 19,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยการนำเข้าส่วนใหญ่ (66%) มาจากสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ตามรายงานของ Bruegel Think Tank ที่มีฐานอยู่ในบรัสเซลส์ ผู้เชี่ยวชาญเช่น Heli Simola นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารแห่งชาติฟินแลนด์ ประมาณการว่าการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีลดลง 30% ตั้งแต่ปีที่แล้ว

เนื่องจากข้อจำกัดทางการค้า รัสเซียจึงสูญเสียการเข้าถึงผลิตภัณฑ์จากบริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น Cisco, SAP, Oracle, IBM, TSMC, Nokia, Ericsson และ Samsung

การเปลี่ยนท่าทีของรัสเซียเพื่อสร้างธุรกิจเทคโนโลยีใหม่โดยไม่มีการพึ่งพาต่างประเทศ มันเหมือนการย้อนกลับไปสู่ยุคของสหภาพโซเวียต แต่ปัจจุบันรัสเซียมีแนวโน้มที่จะพึ่งพาผู้ลักลอบนำเข้าชิปและคู่ค้าเช่นจีนมากกว่าที่จะดำเนินการตามลำพังอย่างแท้จริง 

การล่มสลายของ Skolkovo

ก่อนการรุกรานของยูเครน รัฐบาลรัสเซียได้พยายามเสริมสร้างระบบนิเวศทางเทคโนโลยี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ Skolkovo ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูงที่รัสเซียพยายามเลียนแบบ Silicon Valley ขึ้นมา

Skolkovo ซึ่งเปิดตัวในปี 2010 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนำพาประเทศสู่ยุคใหม่ซึ่งริเริ่มโดยประธานาธิบดี Dmitry Medvedev ในขณะนั้น  

Skolkovo ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงมอสโก ใช้เวลาขับรถไม่ถึง 30 นาทีจากเครมลิน Skolkovo ดูเหมือนอุทยานเทคโนโลยีที่ดูล้ำหน้าไม่ต่างจาก Silicon Valley ความฝันคือมันจะกลายเป็นฐานสำหรับผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีของรัสเซีย โดยมอบทุนการศึกษา และพื้นที่สำนักงานจำนวนมากให้กับเหล่าผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี 

Skolkovo ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูงที่รัสเซียพยายามเลียนแบบ Silicon Valley (CR:Fondapol)
Skolkovo ซึ่งเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูงที่รัสเซียพยายามเลียนแบบ Silicon Valley (CR:Fondapol)

ในช่วงต้นเหล่าผู้บริหารด้านเทคโนโลยีของตะวันตกและบริษัทร่วมทุน เช่น Google, Intel, Nokia และ Siemens เข้าร่วมสภาและคณะกรรมการของ Skolkovo เพื่อช่วยผลักดันวิสัยทัศน์ดังกล่าวของ Medvedev

Skolkovo สามารถสร้างสตาร์ทอัพรัสเซียที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังจากสงครามเริ่มขึ้น เหล่าวิศวกร นักวิจัย จากนานาชาติจำนวนมากละทิ้ง Skolkovo และหนีออกจากรัสเซียแทบจะทันที 

ที่สำคัญกว่านั้น การร่วมทุนจากต่างชาติก็เริ่มที่จะถอยห่าง ในปี 2022 การลงทุนร่วมทุนในบริษัทรัสเซียลดลง 57%  เหลือ 1.1 พันล้านดอลลาร์

Medvedev ประกาศในเดือนธันวาคมว่า Skolkovo จะดำเนินการในรูปแบบใหม่หลังเกิดการคว่ำบาตร โดยจะนำเงินจากรัฐบาลบางส่วนมาอุดหนุนโดยมุ่งผลักดันภาคเทคโนโลยีของรัสเซียไปสู่การพึ่งพาตนเอง 

ในเดือนกุมภาพันธ์ Skolkovo ถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ  ผู้นำคนสำคัญ ๆ ในกลุ่มเทคโนโลยีของรัสเซีย เช่น Irina Travina ประธานคณะกรรมการสมาคมไอที SibAcademSoft ใน Novosibirsk เชื่อว่าบริษัทรัสเซียจะยังคงเติบโตต่อไปในรัสเซียโดยร่วมมือกับตลาดอื่นๆ นอกขอบเขตของ NATO เช่น ตลาดในรัสเซีย เอเชีย ละตินอเมริกา และตะวันออกกลาง 

ผลตอบแทนที่ไม่มีความแน่นอน

นับตั้งแต่เริ่มสงคราม ประเทศได้เห็นคลื่นของการควบรวมและซื้อกิจการ เนื่องจากบริษัทต่างชาติรีบหนีออกจากตลาด โดยมักจะขายสินทรัพย์ของตนให้กับคู่แข่งรัสเซียในราคาต่ำ หนึ่งในสินทรัพย์ดังกล่าวคือ Avito ซึ่งเป็นเว็บไซต์โฆษณาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในรัสเซียและใหญ่ที่สุดในโลก

ในเดือนตุลาคม บริษัทในเครือของ Naspers บริษัทในแอฟริกาใต้ได้ขายมันในราคา 2.46 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเศษเสี้ยวของมูลค่าประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อชิ่งหนีออกจากรัสเซีย บริษัทย่อยเดียวกันได้ขายหุ้นใน VKontakte ด้วย การทิ้งบริษัทเหล่านี้อาจทำให้เครมลินสามารถควบคุมภาคเทคโนโลยีได้มากขึ้น 

แต่สิ่งที่น่ากังวลคืออาจมีผู้ใช้ชาวรัสเซียไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมดิจิทัลในปัจจุบันของประเทศ รวมถึงเหล่าพนักงานด้านเทคโนโลยีจำนวนมากได้เดินทางหนีไปประเทศอื่น ๆ เช่น คาซัคสถาน จอร์เจีย อาร์เมเนีย และตุรกี

รัสเซียหวังว่าจะเกลี้ยกล่อมให้แรงงานเหล่านี้กลับมา ในเดือนพฤศจิกายน ป้ายโฆษณาบนไทม์สแควร์ของนิวยอร์กแสดงให้เห็นเครื่องบินลำหนึ่งบินผ่านท้องฟ้าสีครามสดใสและแสดงข้อความเป็นภาษารัสเซียว่า “ได้เวลากลับบ้านแล้ว!” โฆษณาได้เชิญชวนให้พนักงานเทคโนโลยีกลับบ้านและไปที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ Alabuga ซึ่งตั้งอยู่ในสาธารณรัฐตาตาร์สถานของรัสเซีย 

แต่สำหรับตอนนี้ ดูเหมือนว่าเหล่าคนทำงานด้านไอทีจะยังไม่กลับมาอย่างแน่นอน รัสเซียกำลังดิ้นรนกับภาวะขาดแคลนแรงงานทักษะสูงเหล่านี้ 

รายงานของ Gartner ที่เผยแพร่ในช่วงปลายปี 2021 ก่อนสงครามระบุว่าในปี 2025 การขาดแคลนแรงงานด้านดิจิทัลที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้น 50% ซึ่งอาจมีจำนวนสูงถึง 1 ล้านคน 

บุคคลที่มีชื่อเสียงระดับสูงหลายคนได้สละสัญชาติรัสเซียของตนตั้งแต่ช่วงสงคราม รวมทั้ง Yuri Milner มหาเศรษฐีนักลงทุนด้านเทคโนโลยี และ Oleg Tinkov ผู้ก่อตั้งธนาคารออนไลน์ Tinkoff อีกหลายคนเก็บตัวเงียบเพราะผลที่ตามมาของการขัดขืนคำสั่งเครมลินของพวกเขา

Yuri Milner มหาเศรษฐีนักลงทุนด้านเทคโนโลยี ที่ยอมทิ้งสัญชาติรัสเซีย (CR:Wikipedia)
Yuri Milner มหาเศรษฐีนักลงทุนด้านเทคโนโลยี ที่ยอมทิ้งสัญชาติรัสเซีย (CR:Wikipedia)

Diuzharden ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในเบลเกรด ประเทศเซอร์เบีย ซึ่งเป็นประเทศที่พนักงานไอทีชาวรัสเซียจำนวนมากย้ายถิ่นฐานมาอยู่ เนื่องจากเงื่อนไขด้านวีซ่าที่มีความเอื้ออำนวย

เธอไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่จะได้ไปเยี่ยมบ้านเกิดของเธอที่มักดาน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัสเซีย เพื่อนของเธอหลายคนที่ออกจากประเทศต้องการกลับมา

Diuzharden กล่าวว่า “ฉันพร้อมจะกลับมารัสเซีย แต่ภายใต้เงื่อนไขบางประการ” เธอกล่าว “ฉันไม่ต้องการอยู่ในประเทศที่ปูตินเป็นประธานาธิบดี ฉันไม่ต้องการอยู่ในประเทศที่เป็นผู้เริ่มก่อสงคราม”

References :
https://www.reuters.com/technology/russias-yandex-beats-fy-revenue-target-after-google-pulls-advertising-2023-02-15/
https://www.technologyreview.com/2023/04/04/1070352/ukraine-war-russia-tech-industry-yandex-skolkovo/
https://www.bbc.com/news/technology-38014501
https://www.reuters.com/technology/yandex-ceo-volozh-resigns-after-eu-sanctions-2022-06-03/
https://www.express.co.uk/news/world/1603418/Russia-exodus-IT-sector-AI-industry-Western-sanctions-economy-Putin

สตาร์ทอัพกำลังหมดแรง เมื่อยุคของเงินราคาถูกสำหรับการระดมทุนมันได้จบสิ้นลงแล้ว

ต้องบอกว่าเม็ดเงินที่ Venture capital ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพลดลงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งมันได้ส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีที่เพิ่งเริ่มตั้งไข่เป็นจำนวนมาก

กองทุนร่วมลงทุนทั่วโลกได้ลงทุน 76 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสามเดือนแรกของปี 2023 ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ที่พวกเขาใช้ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่สูงถึง 162 พันล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลจาก Crunchbase

ปัญหาใหญ่คือเงินทุนที่เริ่มฝืดเคือง ทศวรรษของเงินราคาถูกได้หลีกทางให้เงินเฟ้อที่สูงขึ้น การคาดการณ์การเติบโตที่มืดมน และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น นักลงทุนเริ่มวิตกกังวลกับการนำเงินไปกองในบริษัทที่ขาดทุน และมูลค่าหุ้นในบริษัท เช่น Uber, Lyft และ Deliveroo ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้จะมีการระดมทุนครั้งใหญ่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่กำลัง hot ในปีนี้ โดยในเดือนมกราคม Microsoft ได้ลงทุน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในบริษัท OpenAI รวมถึงบริษัทด้านการชำระเงิน Stripe สามารถระดมทุนได้ 6.5 พันล้านดอลลาร์จากนักลงทุนเมื่อเดือนที่ผ่านมา

หากไม่มีการลงทุนของ Microsoft กับ OpenAI ไตรมาสแรกของปี 2023 จะเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุดสำหรับการลงทุนของบริษัทร่วมทุนในรอบกว่าห้าปี

การล่มสลายของ Silicon Valley Bank ธนาคารที่เน้นให้กู้กับสตาร์ทอัพเมื่อเดือนที่แล้วทำให้ระบบนิเวศการระดมทุนสำหรับบริษัทเทคโนโลยีรุ่นใหม่ยากลำบากมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการกดดันเหล่าบริษัทสตาร์ทอัพที่ต้องหันไปพึ่งพาธนาคารแบบดั้งเดิมแทนซึ่งส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจรูปแบบของธุรกิจสตาร์ทอัพที่ต้องเน้นการเติบโตในช่วงแรก ๆ

ในขณะที่สภาวะทางเศรษฐกิจที่แย่ลงยังคงบั่นทอนความเชื่อมั่นในการลงทุนที่มีความเสี่ยง บริษัทใหม่หลายพันแห่งที่มีความต้องการเงินทุนอย่างเร่งด่วนกำลังถูกบีบให้เผชิญกับสถานะล้มละลาย

“แม้กระทั่งก่อนที่ SVB จะล่มสลาย นี่เป็นสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่แย่ที่สุดที่ทุกคนเคยเห็น” Sam Yagan ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์หาคู่ OKCupid และตอนนี้เป็นนักลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ กล่าว

“ผู้ประกอบการและผู้ร่วมทุนส่วนใหญ่ไม่เคยผ่านตลาดช่วงขาลงมาก่อน ซึ่งในขณะนี้มีบริษัทที่ดีจริงๆ แต่ไม่สามารถรับเงินทุนได้”

ในช่วงห้าปีจนถึงสิ้นปี 2021 ปริมาณการลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณสี่เท่าเนื่องจากกองทุนใช้เงินทุนมากขึ้นในนามของนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญและกองทุนมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับกองทุนป้องกันความเสี่ยง เช่น Tiger Global

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การประเมินมูลค่าบริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่งที่เคยเป็นที่รักของนักลงทุนในซิลิคอนแวลลีย์ก็ถูกทำลายลง Stripe ซึ่งมีมูลค่า 95 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 ถูกลดมูลค่าเหลือประมาณครึ่งหนึ่งจากการระดมทุนรอบล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วที่เหลือมูลค่าเพียงแค่ 50 พันล้านดอลลาร์ 

แนวโน้มดังกล่าวทำให้ VC บางรายต้องลดมูลค่าของบริษัทที่ถืออยู่ในกองทุนของตน Tiger Global ลดมูลค่าของพอร์ตการลงทุนของพวกเขาไปถึงหนึ่งในสาม เหลือประมาณ 23 พันล้านดอลลาร์จากมูลค่าก่อนหน้านี้ ซึ่งในพอร์ตโฟลิโอของพวกเขานั้นมีทั้ง Stripe และ ByteDance เจ้าของแพลตฟอร์มวีดีโอสั้นชื่อดังอย่าง TikTok

สิ่งนี้ทำให้สตาร์ทอัพจำนวนมากต้องเผชิญกับทางเลือกระหว่างการระดมทุนด้วยมูลค่าที่ต่ำกว่า การยอมรับภาระหนี้ หรือลดค่าใช้จ่ายภายในบริษัท และพยายามเอาตัวรอดจนกว่าสภาพแวดล้อมของการระดมทุนจะดีขึ้น

นักลงทุนคาดการณ์ว่าบริษัทสตาร์ทอัพชื่อดังหลายแห่งจะล้มละลายภายในปลายปีนี้ เนื่องจากธุรกิจสตาร์ทอัพบางแห่งไม่มีเงินสด รวมถึงบริษัทสตาร์ทอัพยักษ์ใหญ่อีกรายหลายที่ถูกบีบจากนักลงทุนให้เริ่มทำกำไร ซึ่งไม่สามารถที่จะนำเงินไปเผาผลาญเพื่อการเติบโตได้เหมือนเดิมอีกแล้วนั่นเอง

References :
https://www.ft.com/content/47747e24-01a4-431f-8ab6-da5fae62e480
https://www.wsj.com/articles/tech-downturn-slows-early-stage-startup-funding-11658333146
https://www.marketwatch.com/story/silicon-valley-lost-its-bank-expect-zombie-vcs-and-dark-times-for-startups-56d5cccf
https://economictimes.indiatimes.com/tech/startups/startups-shed-flab-amid-slowdown-in-large-funding-rounds/articleshow/91133193.cms?from=mdr

เมื่อ Neuralink กำลังถูกตรวจสอบฮาร์ดแวร์ที่สมองอาจถูกปนเปื้อนด้วยเชื้อโรค

Elon Musk ได้ให้คำมั่นสัญญาที่ชัดเจนเกี่ยวกับสตาร์ทอัพระบบเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สมอง (BCI) Neuralink แต่เมื่อดูเหมือนว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะทำให้เกิดข้อโต้แย้งมากกว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

ในกรณีดังกล่าวมีรายงานเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า Neuralink อยู่ภายใต้การสอบสวนของกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ (DOT) สำหรับการเคลื่อนย้ายฮาร์ดแวร์ที่ปนเปื้อนอย่างผิดกฎหมาย

ตามเอกสารสาธารณะที่ได้รับจากกลุ่มสิทธิสัตว์ คณะกรรมการแพทย์ของ Responsible Medicine สตาร์ทอัพที่นำโดย Musk ไม่ได้ขนส่งอวัยวะเทียมที่ปนเปื้อนออกจากสมองของลิงอย่างถูกต้อง ซึ่งอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคที่ติดเชื้อ รวมถึงไวรัสอันตราย เช่น Herpes B และ Hard เชื้อแบคทีเรีย เช่น Staphylococcus และ Klebsiella

ในบรรดาเอกสารที่มีการส่งผ่านอีเมลในปี 2019 เจ้าหน้าที่ของ University of California, Davis ซึ่งเป็นพันธมิตรกับ Neuralink ในขณะนั้น ได้กล่าวว่าฮาร์ดแวร์ที่ปนเปื้อนได้รับการจัดการอย่างไม่ถูกต้อง ขณะที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นของบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมในการจัดการกับวัตถุอันตราย

“เนื่องจากส่วนประกอบฮาร์ดแวร์ของอุปกรณ์เชื่อมต่อกับประสาทไม่ได้ถูกปิดผนึกและไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อก่อนออกจากศูนย์ไพรเมต สิ่งนี้จึงเป็นอันตรายต่อผู้ที่อาจสัมผัสกับอุปกรณ์”

พนักงานของ UC Davis อีกคนบ่นในการเอกสารที่ส่งผ่านทางอีเมลว่าอุปกรณ์ที่ถอดออกมาสามชิ้นส่งมาในกล่องเปิดที่ไม่มีภาชนะรอง

“นี่เป็นการเปิดเผยต่อใครก็ตามที่สัมผัสกับฮาร์ดแวร์ที่ตรวจพบการปนเปื้อน และเรากำลังทำเรื่องใหญ่เกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะเรากังวลเรื่องความปลอดภัยของมนุษย์” พวกเขากล่าว

ในขณะที่โฆษกของ DOT บอกกับสำนักข่าวอย่างรอยเตอร์ว่ากำลังดำเนินการตามข้อกล่าวหา “อย่างจริงจัง” พวกเขาชี้แจงว่าหน่วยงานดังกล่าวมีหน้าที่ในการให้แนวทางปฏิบัติมาตรฐานในการสอบสวนในสิ่งที่ Neuralink ถูกกล่าวหา

แม้ว่าจะปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้ว่าการดำเนินการของ DOT จะเป็นเพียงการติดตามตามปกติ แต่นั่นก็ทำให้เหล่าพนักงานของ Neuralink ตื่นตระหนกหลังจากที่ได้รับข้อมูลเหล่านี้ และสิ่งนี้เพิ่มหลักฐานจำนวนมากขึ้นที่ว่า Neuralink นั้นกำลังดำเนินการในสิ่งที่เป็นอันตราย

เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา อดีตพนักงานของ Neuralink บ่นว่า เป้าหมายที่ทะเยอทะยานมากเกินไปของ Musk และความคาดหวังที่เว่อร์เกินจริงทำให้เกิดสภาพแวดล้อมการทำงานที่วุ่นวายและ Toxic ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเลยที่ Max Hodak ผู้ร่วมก่อตั้งของบริษัทได้ออกจากบริษัทเมื่อช่วงต้นฤดูร้อนที่ผ่านมาเพื่อก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพ BCI ของตัวเอง

และถ้าคุณคิดว่าการปฏิบัติต่อมนุษย์ของ Neuralink นั้นไม่ดี ให้ดูรายงานในเดือนธันวาคม โดยอ้างว่า Neuralink ได้ฆ่าสัตว์ไปแล้ว 1,500 ตัวตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลิง

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องการที่จะได้ยินเกี่ยวกับบริษัทที่ต้องการใส่ชิปคอมพิวเตอร์เข้าไปในสมองของเราในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
https://www.reddit.com/r/Futurology/comments/srw71p/elon_musks_neuralink_accused_of_abusing/
https://www.cnbc.com/2023/02/11/elon-musks-neuralink-is-under-investigation.html
https://futurism.com/neoscope/neuralink-investigation-contaminated-brain-hardware

Nostr คืออะไร กับ Decentralized Social Media ใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Jack Dorsey

ไม่นานหลังจากที่ Elon Musk เข้ามายึดครอง Twitter หลาย ๆ คนก็มองว่า Twitter สูญเสียสเน่ห์เดิม ๆ ที่เคยมีไป พวกเขาจึงมองหาทางเลือกอื่น และ Nostr ซึ่งระบุตัวตนของผู้ใช้เพียง 63 Character Key (อักขระจำนวน 63 ตัวอักษร) ก็เป็นหนึ่งในนั้น 

Nostr ไม่เหมือนกับโซเชียลเน็ตเวิร์กทั่วไปที่เราคุ้นเคยกัน มันไม่ใช่โซเชียลเน็ตเวิร์กด้วยซ้ำ เป็นโปรโตคอลแบบกระจายศูนย์ เช่นเดียวกับโปรโตคอลที่ขับเคลื่อน cryptocurrencies ซึ่งนักพัฒนาสามารถสร้างแอปได้ทุกประเภท เช่น โซเชียลเน็ตเวิร์ก 

ในเดือนธันวาคม 2022 Jack Dorsey ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีต CEO ของ Twitter ทวีตว่าเขาได้บริจาค 14 bitcoins หรือมากกว่าสองแสนห้าหมื่นดอลลาร์ให้กับผู้ก่อตั้ง Nostr ซึ่งใช้นามแฝงว่า @fiatjaf 

การระดมทุนดังกล่าวได้จุดกระแสของ Nostr; เพียงสองสามวันต่อมา Musk ประกาศว่า Twitter จะแบนผู้คนจากการโปรโมตบัญชีโซเชียลมีเดียอื่น ๆ รวมถึงบัญชีบน Nostr (การแบนถูกยกเลิกในไม่ช้า)

แม้ว่าจะมีแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแบบโอเพ่นซอร์สมากมาย แต่ @fiatjaf ได้กล่าวว่าแรงจูงใจเบื้องหลังการสร้างแพลตฟอร์มตั้งแต่เริ่มต้นนั้นมีสองอย่างด้วยกัน 

อย่างแรก @fiatjaf บอกว่าการที่ผู้ใช้ต้องทนต่อการเซ็นเซอร์ ทุกวันนี้แม้แต่แพลตฟอร์มอย่าง Mastodon ที่สัญญาว่าจะเป็นที่ลี้ภัยจากโซเชียลเน็ตเวิร์กแบบรวมศูนย์เดิม ๆ ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่โม้ไว้

ประการที่สอง ข้อมูลระบุตัวตนของแต่ละคนควรเป็นอิสระจากแอปเพื่อให้สามารถย้ายไปมาระหว่างแพลตฟอร์มได้ ตัวอย่างเช่น หากมีคนเบื่อ Twitter และต้องการเปลี่ยนไปใช้ Facebook พวกเขาควรจะสามารถทำได้ในทันทีโดยไม่ต้องเริ่มจากโปรไฟล์เปล่า ๆ หรือสูญเสียเพื่อนของตน คล้ายกับวิธีที่คุณสามารถส่งอีเมลถึงใครก็ได้ โดยไม่คำนึงว่า พวกเขาอยู่ใน Gmail, Outlook หรือ Yahoo

Nostr ซึ่งย่อมาจาก “Notes and Other Stuff Transmission by Relays” ไม่ใช้เซิร์ฟเวอร์ส่วนกลาง และไม่ใช่สถาปัตยกรรมแบบเพียร์ทูเพียร์ ดำเนินการผ่านเครือข่าย Relay ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ทุกคนสามารถลงทะเบียนเพื่อใช้งานได้

Nostr ไม่ใช้เซิร์ฟเวอร์ส่วนกลาง และไม่ใช่สถาปัตยกรรมแบบเพียร์ทูเพียร์ ดำเนินการผ่านเครือข่าย Relay (CR:Medium)
Nostr ไม่ใช้เซิร์ฟเวอร์ส่วนกลาง และไม่ใช่สถาปัตยกรรมแบบเพียร์ทูเพียร์ ดำเนินการผ่านเครือข่าย Relay (CR:Medium)

เมื่อคุณต้องการเผยแพร่โพสต์ จะใช้ 63 Character Key แทนตัวตน ทุกคนมี 2 อัน อันหนึ่งเป็นแบบสาธารณะ (public key) สำหรับการให้ผู้อื่นค้นหา และอีกอันแบบส่วนตัว (private key) สำหรับการส่งข้อความที่ปลอดภัย หลังจากนั้นจะส่งไปที่ Relay หากคุณต้องการติดตามผู้ใช้ Nostr รายอื่น คุณต้องแจ้ง public key กับแอปที่ขับเคลื่อนด้วย Nostr และแอปจะตรวจสอบกับ Relay และดึงข้อมูลอัปเดตล่าสุดของพวกเขามาแสดงผล

“นี่คือพลังของโปรโตคอลแบบเปิด การแข่งขันจะทำให้เราดีขึ้นเรื่อย ๆ” @fiatjaf กล่าว

เหตุผลที่การเซ็นเซอร์ Nostr เป็นเรื่องยากก็คือคุณมีตัวเลือกในการส่งข้อความของคุณไปยัง Relay จำนวนมากเท่าที่คุณต้องการ และแอปจะค้นหาข้อความของเพื่อนของคุณในกลุ่ม Relay จำนวนมากในเวลาเดียวกัน 

นอกจากนี้ ตัวแอปเองยังไม่มีอะไรมากไปกว่าส่วนของ User Interface สำหรับแสดงข้อความเหล่านี้ แอปที่ใช้ Nostr โดดเด่นกว่าแอปอื่น ๆ ด้วยวิธีการแยกวิเคราะห์และแสดงผลรายการข้อความเหล่านี้ แต่พวกเขาไม่ได้ควบคุมข้อมูลหรือตัวตนของคุณ และคุณสามารถลงชื่อเข้าใช้ไคลเอนต์ Nostr ใดก็ได้ 

William Casarin นักพัฒนาที่อยู่เบื้องหลัง Damus ซึ่งเป็นแอป iOS ยอดนิยมสำหรับ Nostr กล่าวว่าความสามารถในการทำงานร่วมกันของแพลตฟอร์มผลักดันให้เขาคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพราะเมื่อแอปของเขาไม่ได้มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบน iPhone อีกต่อไป ผู้คนก็จะเปลี่ยนไปใช้ไคลเอนต์อื่นที่ดีกว่า

“นี่คือพลังของโปรโตคอลแบบเปิด” Casarin กล่าวเสริม “การแข่งขันจะทำให้เราดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่หยุดนิ่งเหมือนไคลเอนต์ของ Twitter” Casarin ทำงานที่ Mastodon เป็นเวลาหลายปี แต่เมื่อกลุ่มโปร Bitcoin ของเขาถูกแบน เขาก็เปลี่ยนไปใช้ Nostr

Damus ซึ่งเป็นแอป iOS ยอดนิยมสำหรับ Nostr  (CR:Web3plus)
Damus ซึ่งเป็นแอป iOS ยอดนิยมสำหรับ Nostr (CR:Web3plus)

แม้ว่าแอปโซเชียลเน็ตเวิร์กเช่น Damus จะเป็นจุดเด่นของ Nostr แต่โปรโตคอลของมันก็สามารถใช้ในการออกแบบแอปใดๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Messenging , กระดานสนทนาแบบ Reddit และแม้กระทั่งเกมอย่างเช่น หมากรุก. 

ข้อดีมาก ๆ ของ Nostr คือ การไม่ต้องกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนที่ยุ่งยากในแต่ละครั้งที่ใช้แอป Nostr ใหม่ และเนื่องจากข้อมูลของคุณถูกเลือกจาก Relay ที่เร็วที่สุดกว่า 250 รายการ ผู้ใช้จึงสามารถเห็นข้อความได้เร็วกว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ

นอกจาก Dorsey แล้ว ยังมีชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียงอีกหลายรายที่เข้าร่วมใช้งาน Nostr ซึ่งรวมถึง Edward Snowden ผู้ซึ่งกระตุ้นให้ผู้ติดตามของเขาย้ายไปที่ Nostr

แต่ผู้ใช้ที่กระตือรือร้นของ Nostr หลายคนสนใจด้วยเหตุผลอื่น ไม่ว่าจะเป็นความเข้ากันได้กับ Lightning Protocol ด้วยเหตุนี้ ทุกคนใน Nostr จึงสามารถทำธุรกรรม Bitcoin micropayment ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งสามารถให้ทิปผู้สร้างเนื้อหาและชำระค่าเนื้อหาและบริการอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีโฆษณาหรือการสมัครรับข้อมูล 

ตัวอย่างเช่น Dorsey ซื้อเครื่องดื่มให้กับผู้คนบน Nostr และยังเสนอรางวัล Bitcoin ให้กับผู้ที่ยินดีพัฒนาไคลเอนต์ Nostr ตัวใหม่

Dr. Subhayan Mukerjee ศาสตราจารย์ด้านสื่อใหม่แห่ง National University of Singapore และผู้ตรวจสอบที่ Center for Trusted Internet & Community ค้นพบ Nostr ผ่านทางทวีตของ Dorsey เขาเห็นด้วยว่าโปรโตคอลแบบเปิดสำหรับโซเชียลมีเดียนั้นยอดเยี่ยม

Dr.Mukerjee เชื่อว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจะสูญเสีย “ความเป็นปัจเจกบุคคล” ในระบบดังกล่าว และจะมีแรงจูงใจเพียงเล็กน้อยในการกระจายอำนาจในทางธุรกิจของพวกเขา 

บริการแบบ Nostr จำเป็นต้องมีกฎระเบียบเพื่อความอยู่รอด เขากล่าวเสริม เช่นเดียวกับที่กฎหมายกำหนดให้เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์มือถือระหว่างผู้ให้บริการ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในยุคแรก ๆ ของโทรศัพท์มือถือก็ตามที

การกลั่นกรองเนื้อหาเป็นสิ่งที่ท้าทาย หลายคนคาดหวังว่า Nostr จะปล่อยให้รัฐบาลเป็นผู้ตรวจสอบกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับวิธีการทำงานของอินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน 

อย่างไรก็ตาม @fiatjaf วางแผนที่จะให้ผู้ควบคุม Relay ตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการจำกัดอะไร และผู้ที่ควบคุมกฎหมายจะติดตาม Relay ได้อย่างไร 

“คุณจะต้องออกกฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้แพลตฟอร์มเหล่านี้กลายเป็นแหล่งรวมเนื้อหาที่เป็นอันตรายของคนส่วนใหญ่” Dr.Mukerjee กล่าว

ในขณะนี้ @fiatjaf กล่าวว่า Nostr ยังไม่พร้อมสำหรับผู้ใช้จำนวนมาก และยังเหลืออะไรต้องทำอีกมากมาย ในขณะที่เครือข่ายสังคมแบบดั้งเดิมยังคงประสบปัญหาและผู้คนตระหนักดีว่าพวกเขาถูกแทรกแซงทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น เขาหวังว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่จะยินดีที่จะมาลองใช้งาน Nostr

“ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้จะทำให้เรามีเครือข่ายที่ยิ่งใหญ่เพียงพอ ซึ่งเราสามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่และอาจจะชนะพวกเขาได้ในท้ายที่สุด” @fiatjaf กล่าว

References :
https://www.freethink.com/internet/nostr
https://github.com/nostr-protocol/nostr
https://www.forbes.com/sites/rogerhuang/2022/12/29/nostr-is-the-decentralized-protocol-that-might-replace-elon-musks-twitter/?sh=2add7841442a
https://www.republicworld.com/technology-news/social-media-news/jack-dorsey-avers-he-isnt-keen-to-become-twitter-ceo-again-as-musk-prepares-to-take-over-articleshow.html