ทำไมถึงต้อง Blockdit : แพลตฟอร์มที่ยืนหยัดเพื่อคอนเทนต์คุณภาพ ท่ามกลางกระแส Short Video

ต้องเรียกได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ส่วนตัวผมใช้ประจำมาตั้งแต่เริ่มต้นก็ว่าได้สำหรับ blockdit เครือข่ายโซเชียลมีเดียของคนไทยแท้ ๆ

ซึ่งก่อนที่ blockdit จะกลายมาเป็นแพลตฟอร์มอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ ต้องเรียกได้ว่ามีการพัฒนาปรับปรุงแพลตฟอร์มมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลาย ๆ ฟีเจอร์ผมมองว่าพัฒนาได้ดีกว่ายักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียจากต่างประเทศเสียด้วยซ้ำ

ส่วนตัวก็เป็นแฟนเพจลงทุนแมนเหมือนกับหลาย ๆ ท่าน และได้มาเห็นแพลตฟอร์มนี้ตั้งแต่ช่วงที่มีการโปรโมตช่วงแรก ๆ เลยก็ว่าได้ ซึ่งจำได้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงปลายปี 2018 ยังมีสมาชิกยังไม่มากนัก ในตอนนั้นยังมีผู้ใช้งานหลักหมื่นคน

แต่ผมได้เห็นถึงพลังอันเหลือล้นของผู้พัฒนาแพลตฟอร์มที่ต้องการนำสิ่งที่ดี่ที่สุดมาสำหรับผู้เสพคอนเทนต์เชิงลึกจริง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างจากที่มีอยู่ในตลาดในขณะนั้น

การเติบโตของ blockdit นั้นเริ่มต้นจากการได้รับความไว้วางใจจากนักเขียนที่มีชื่อเสียงหลาย ๆ ท่าน อย่างเช่น ลงทุนแมน วิเคราะห์บอลจริงจัง ฯลฯ ที่เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการสร้างเนื้อหาบนแพลตฟอร์มนี้ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม การมีนักเขียนคุณภาพเข้ามาร่วมสร้างเนื้อหาทำให้ blockdit กลายเป็นแหล่งรวมความรู้และมุมมองที่หลากหลาย

ในยุคปัจจุบันที่โซเชียลมีเดียต่างชาติกำลังผลักดันรูปแบบการนำเสนอแบบวิดีโอสั้น ที่เน้นความรวดเร็ว ฉาบฉวย และไวรัล blockdit ยังคงยืนหยัดในจุดยืนของการเป็นพื้นที่สำหรับเนื้อหาที่มีคุณภาพและความลึกของเนื้อหา

สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความผูกพันกับการอ่านมาตลอดหลายพันปี และจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปแม้ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม แม้แพลตฟอร์มอื่น ๆ จะพยายามลดความสำคัญในเรื่องการอ่าน และไปโฟกัสกับสิ่งที่ฉาบฉวยอย่างรูปแบบของวีดีโอสั้นและสร้างรายได้ให้กับแพลตฟอร์มของพวกเขาให้ได้มากที่สุด

แต่เรายังมีแพลตฟอร์มอย่าง blockdit ที่ไม่เคยเปลี่ยนจุดยืนในเรื่องนี้เลย เป็นแพลตฟอร์มที่ให้คุณค่ากับการเขียนและอ่าน ที่ส่วนตัวมองว่าดีที่สุดในตลาดในตอนนี้แล้ว

และที่สำคัญที่ทำให้แพลตฟอร์มเติบโตอย่างต่อเนื่องนั่นก็คือการไม่หยุดพัฒนา มีฟีเจอร์ต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Topics , Tag , Podcast หรือ Community ที่สร้างพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น นวัตกรรมเหล่านี้ล้วนเกิดจากการรับฟังความต้องการของผู้ใช้งานและการวิเคราะห์แนวโน้มการบริโภคเนื้อหาในอนาคต

ต้องบอกว่าถึงตอนนี้ blockdit ก็เติบโตขึ้นมาอีกขั้นนึงแล้ว นักเขียนหลาย ๆ ท่านก็อยู่กันมาตั้งแต่ในยุคที่สมาชิกยังไม่มากมายเหมือนในยุคปัจจุบัน ซึ่งหลาย ๆ ท่านก็เป็นแรงผลักดันให้ blockdit ก้าวขึ้นมาได้ถึงวันนี้ และผมเองก็คิดว่า blockdit นั้นยังมีช่องว่างให้เติบโตได้อีกมาก

ส่วนตัวผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อในศักยภาพของคนไทย โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี ที่ผมมองว่าคนไทยเราก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก

ต้องบอกว่าปัจจุบันแพล็ตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียนั้น เราถูกบุกรุกจากต่างชาติ จนเข้ามากลืนกินพฤติกรรมของคนไทยในหลาย ๆ ด้าน จนแทบจะไม่เหลือที่ยืนให้ผู้ประกอบการชาวไทย

ในวันนี้พวกเราคนไทยยังมีพื้นที่อย่าง blockdit ซึ่งยังเป็นสถานที่ ๆ เปิดโอกาสให้ทุกท่านได้มาแสดงฝีมือในการเขียน หรือสร้างสรรค์คอนเทนต์ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งบทความ , Podcast หรือ VDO ตามความชอบของแต่ละท่าน

blockdit ถือเป็นสังคมที่มีความแตกต่าง ที่ท่านจะไม่ได้เห็นในแพล็ตฟอร์มอื่น ๆ มี เนื้อหา สาระ หลากหลายรูปแบบ หรือ ข้อถกเถียงมากมายที่เกิดขึ้นที่แพล็ตฟอร์มนี้ ที่ส่วนใหญ่จะมีการยอมรับเหตุผลซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในแพล็ตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ในยุคปัจจุบัน

ในฐานะคนไทย เราควรภาคภูมิใจที่มีแพลตฟอร์มที่พัฒนาโดยคนไทย และมีศักยภาพไม่แพ้แพลตฟอร์มจากต่างประเทศ Blockdit ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่สำหรับการแบ่งปันความรู้และความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าคนไทยมีความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลก

และในอนาคต ส่วนตัวผมเองก็อยากเห็นภาพที่คนไทยหันมาสนับสนุนโซเชียลมีเดีย ของไทยอย่าง blockdit กันมากยิ่งขึ้น เหมือนกับที่เราสนับสนุนแพล็ตฟอร์มจากต่างชาติ เพราะอย่างน้อยทั้งในเรื่องของเงินทอง และข้อมูลต่างๆ  ของเรานั้นมันไม่ได้รั่วไหลไปไหน แต่ฝากไว้กับ blockdit ที่ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยแท้ ๆ นั่นเองครับผม

From Nothing to Something : ถอดรหัสความสำเร็จ Carl Pei กับการปฏิวัติวงการสมาร์ทโฟน

ในโลกของเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การสร้างสตาร์ทอัพด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสมาร์ทโฟน เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ แต่ Carl Pei ผู้ร่วมก่อตั้ง OnePlus และปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Nothing ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามันเป็นไปได้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ

Carl Pei เริ่มต้นเส้นทางในวงการเทคโนโลยีตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยความหลงใหลในอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ เขาเล่าว่า “ผมเป็นคนชอบเครื่องมือเทคโนโลยีมาตั้งแต่เด็ก ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นคนแรกๆ ในสวีเดนที่มี iPod และผมแน่ใจว่าผมเป็นคนแรกในกลุ่มเพื่อนๆ ที่มี iPhone” ความหลงใหลนี้นำพาเขาไปสู่การทำงานในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนที่กำลังเติบโตในประเทศจีน

การเดินทางของ Carl ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เขาเผชิญกับความท้าทายมากมายในการสร้างธุรกิจของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาตัดสินใจก่อตั้ง Nothing หลังจากออกจาก OnePlus

ในปี 2020 เขาเล่าถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากในการระดมทุนและหาพันธมิตรทางธุรกิจ “เรายังถูกปฏิเสธจากโรงงานหลายแห่งที่ผลิตโทรศัพท์ด้วย อย่าง Foxconn ตอนนั้น Foxconn เคยทำงานกับสตาร์ทอัพที่ทำโทรศัพท์มาแล้ว 5 ราย และทั้ง 5 รายนั้นล้มเหลวหมด”

แม้จะเจอกับอุปสรรคมากมาย Carl ไม่ยอมแพ้ เขาตัดสินใจเริ่มต้นด้วยการผลิตหูฟังไร้สายก่อน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเรียนรู้กระบวนการผลิต แต่แม้แต่การผลิตหูฟังก็ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย “โรงงานเดียวที่ยอมทำงานกับเราคือโรงงานที่ไม่มีลูกค้าอื่นเลย ถ้าไม่มีเรา พวกเขาก็จะล้มละลาย” Carl เล่า

ความยากลำบากไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น เมื่อผลิตภัณฑ์แรกของ Nothing คือหูฟัง Ear (1) เริ่มวางจำหน่าย พวกเขาพบว่าประมาณ 90% ของสินค้าในล็อตแรกมีปัญหาในการชาร์จ

นี่เป็นช่วงเวลาวิกฤตที่ Carl และทีมต้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน “เราเช่าอพาร์ตเมนต์สองห้องใกล้ๆ โรงงานทันที และเราส่งวิศวกร 15 คนไปอยู่ที่นั่น โดยพื้นฐานแล้ววิศวกรของเรากลายเป็นผู้จัดการโรงงานไปโดยปริยาย คอยดูแลทุกส่วนของโรงงานให้ผลิตตามข้อกำหนดของเรา” Carl เล่าถึงวิธีที่พวกเขาจัดการกับวิกฤตครั้งนั้น

ความพยายามของพวกเขาไม่สูญเปล่า ในที่สุด Nothing ก็สามารถขายหูฟัง Ear (1) ได้ถึง 600,000 ชิ้นในปีแรก นี่เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้พวกเขาสามารถก้าวไปสู่การผลิตสมาร์ทโฟนได้ในที่สุด

Carl เน้นย้ำถึงความสำคัญของการอยู่รอดในธุรกิจฮาร์ดแวร์ “ในการไม่มีทางเลือกอื่น มันบังคับให้คุณต้องอยู่รอด” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าแต่ละครั้งที่พวกเขาเผชิญกับอุปสรรค พวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น มีกระบวนการทำงานที่ดีขึ้น และมีทีมที่ดีขึ้น

นอกจากการเอาชนะความท้าทายด้านการผลิตแล้ว Nothing ยังให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์และชุมชนผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง

Carl อธิบายว่า “ผู้ใช้ปัจจุบันของเราบางส่วนเป็นคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยี และบางส่วนเป็นคนสร้างสรรค์ คนที่ชอบการออกแบบ ชอบแฟชั่นและดนตรี” การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการออกแบบที่สวยงามเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ Nothing

หนึ่งในนวัตกรรมที่โดดเด่นของ Nothing คือ อินเตอร์เฟซ Glyph บนสมาร์ทโฟนของพวกเขา Carl อธิบายแนวคิดเบื้องหลังว่า “เราต้องการให้ผู้คนสามารถพลิกโทรศัพท์และรู้ถึงสิ่งสำคัญทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นผ่านไฟที่ด้านหลังของโทรศัพท์ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องเปิดหน้าจอหรือปลดล็อคตลอดเวลา” นี่เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานของผู้ใช้เป็นหลัก

Carl ยังแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการสร้างสมดุลระหว่างการบริหารจัดการและความคิดสร้างสรรค์ในธุรกิจฮาร์ดแวร์ เขาแนะนำว่าผู้ประกอบการควรเน้นที่การอยู่รอดและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ (แบบ Tim Cook) ประมาณ 80% และใช้ความคิดสร้างสรรค์ (แบบ Jony Ive) ประมาณ 20% โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น และค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนของความคิดสร้างสรรค์เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจจะเริ่มต้นสตาร์ทอัพฮาร์ดแวร์ Carl มีคำแนะนำว่า “มันจะยากแน่ๆ แต่มันทำได้ถ้าคุณอยากทำ” เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนและการสร้างความน่าเชื่อถือไปทีละขั้น “ให้คิดว่าเราจะสร้างความน่าเชื่อถือไปสู่สิ่งต่อไปได้อย่างไร” เขากล่าว

Carl ยังเน้นย้ำถึงความพึงพอใจในการเห็นผู้คนใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขามีส่วนร่วมในการสร้าง โดยเฉพาะเมื่อแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เส้นทางของ Carl Pei และ Nothing แสดงให้เห็นว่าแม้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย การสร้างสตาร์ทอัพฮาร์ดแวร์ก็เป็นไปได้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ความมุ่งมั่น และความสามารถในการปรับตัว สตาร์ทอัพสามารถก้าวผ่านอุปสรรคและสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้

บทเรียนจากประสบการณ์ของ Carl ไม่เพียงแต่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่สนใจในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการในทุกสาขาอีกด้วย

References :
How Nothing Founder Carl Pei Built A Multi-Million Dollar Smartphone Brand In Just 2 Years
https://youtu.be/uZVyBc1CKN0?si=M7Q_q6Wqe9z5022u

สร้างธุรกิจด้วยหัวใจ : จากทะเลทรายโกบีสู่แบรนด์ร้อยล้าน เส้นทางสุดผจญภัยของแบรนด์ Naadam

ในโลกของการเริ่มต้นธุรกิจ บางครั้งเส้นทางสู่ความสำเร็จอาจไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ แต่กลับเป็นการผจญภัยที่พาเราไปสู่จุดหมายปลายทางที่ไม่คาดคิด นี่คือเรื่องราวของ Matt Scanlan ผู้ก่อตั้ง Naadam แบรนด์เสื้อผ้าแคชเมียร์ที่ไม่เพียงแต่สร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตในอุตสาหกรรมแฟชั่นอีกด้วย

Matt เริ่มต้นเส้นทางของเขาในวัย 24 ปี ด้วยความรู้สึกว่าชีวิตขาดจุดหมาย แม้จะมีงานในแวดวงการเงินที่มั่นคง แต่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่เส้นทางที่จะนำไปสู่ความสุขที่แท้จริง การตัดสินใจครั้งสำคัญของเขาคือการลาออกจากงานและออกเดินทาง ซึ่งนำพาเขาไปพบกับ Diederik Rijsemus เพื่อนร่วมวิทยาลัยที่มีความสนใจในการพัฒนาเศรษฐกิจของมองโกเลีย

การเดินทางครั้งนั้นพาพวกเขาไปสู่ทะเลทรายโกบี ที่ซึ่งพวกเขาได้ใช้เวลาสามสัปดาห์อาศัยอยู่กับครอบครัวผู้เลี้ยงแพะ ประสบการณ์นี้ไม่เพียงแต่เปิดโลกทัศน์ของพวกเขา แต่ยังทำให้พวกเขาเห็นถึงความไม่เป็นธรรมในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมแคชเมียร์ ผู้เลี้ยงแพะซึ่งเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบตั้งต้นกลับได้รับผลตอบแทนน้อยที่สุด ในขณะที่คนกลางกลับได้รับส่วนแบ่งที่มากเกินไป

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ Matt และ Diederik ตัดสินใจที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่การเริ่มต้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาต้องหาเงินทุน 2.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งในที่สุดก็ได้มาจากการกู้ยืมโดยใช้บ้านของพ่อแม่ Matt เป็นหลักประกัน นี่เป็นการเสี่ยงครั้งใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของครอบครัวในวิสัยทัศน์ของพวกเขา

การซื้อขนแกะโดยตรงจากผู้เลี้ยงแพะในมองโกเลียเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการผจญภัยอันยาวนาน พวกเขาต้องจัดการกับความท้าทายมากมาย ตั้งแต่การขนส่งขนแกะออกจากทะเลทรายโกบี ไปจนถึงการแปรรูปในจีนและอิตาลี แต่ละขั้นตอนเต็มไปด้วยอุปสรรคที่ต้องเอาชนะ

เมื่อได้ผลิตภัณฑ์แรกออกมา Matt ไม่รอช้าที่จะนำออกไปเสนอขาย เขาขับรถจาก Maine ไปจนถึง Charleston แวะตามร้านค้าต่างๆ เพื่อนำเสนอเสื้อกันหนาวของพวกเขา การเล่าเรื่องราวเบื้องหลังผลิตภัณฑ์กลายเป็นจุดขายสำคัญ ทำให้ลูกค้าเข้าใจถึงคุณค่าและความพิเศษของสินค้า

Naadam เติบโตอย่างรวดเร็วจากธุรกิจเล็กๆ ที่ดำเนินการจากอพาร์ตเมนต์ กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกที่มียอดขายกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 ความสำเร็จนี้มาจากหลายปัจจัย ทั้งคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การตั้งราคาที่สมเหตุสมผล และเรื่องราวที่น่าสนใจของแบรนด์

แม้ว่า Naadam จะขายเสื้อกันหนาวแคชเมียร์ในราคาเพียง 98 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ แต่พวกเขายังคงสามารถจ่ายให้ผู้เลี้ยงแพะในราคาที่สูงกว่าคู่แข่งถึงสองเท่า นี่เป็นผลมาจากการตัดคนกลางออกและการควบคุมทุกขั้นตอนในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้สามารถลดต้นทุนและส่งต่อประโยชน์นี้ให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่ความสำเร็จไม่ได้ราบรื่นเสมอไป Matt เผชิญกับความท้าทายมากมาย รวมถึงความพยายามที่ล้มเหลวในการควบรวมกิจการกับแบรนด์อื่นๆ ในปี 2023 แต่ประสบการณ์เหล่านี้กลับทำให้เขาเห็นความสำคัญของการโฟกัสที่ความสามารถในการทำกำไรและการสร้างอัตลักษณ์ของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

Matt มองว่าการเป็นผู้ประกอบการเป็นประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกถ่อมตัวมากที่สุด เขาเปรียบเทียบมันกับการนั่งรถไฟเหาะที่บางครั้งก็ท้าทายและยากลำบาก แต่เมื่อทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี มันก็เป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นและน่าทึ่งที่สุด

สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง บทเรียนสำคัญที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากเรื่องราวของ Naadam คือ:

  1. มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่มากกว่าแค่การทำกำไร
  2. กล้าที่จะท้าทายวิธีการดั้งเดิมและมองหาโอกาสในการสร้างนวัตกรรม
  3. ให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้ผลิตไปจนถึงผู้บริโภค
  4. เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายและมีความยืดหยุ่นในการปรับตัว

ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสร้างธุรกิจที่มีความหมายและยั่งยืนอาจเป็นความท้าทาย แต่เรื่องราวของ Naadam แสดงให้เห็นว่า ด้วยความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และความรับผิดชอบต่อสังคม เราสามารถสร้างธุรกิจที่ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จ แต่ยังสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับโลกของเราได้

การเดินทางของ Matt Scanlan และ Naadam เป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคนกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะลงมือทำ และกล้าที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในจุดไหนของการเดินทางในโลกธุรกิจ จงจำไว้ว่าทุกการเดินทางเริ่มต้นด้วยก้าวแรก และด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน คุณก็สามารถสร้างความสำเร็จที่มีความหมายและยั่งยืนได้เช่นกัน

References :
I Took A $2.5 Million Loan To Start A Fashion Brand — Now It Brings In $100 Million/Year
https://youtu.be/2C0rPOlIZzw?si=gdffwnlmMeP7alJ8

Trevor Milton จากฝันสู่คุก : ถอดหน้ากาก Nikola Motors เมื่อสิ่งที่โม้ว่าคือ ‘นวัตกรรม’ กลับกลายเป็นเพียงภาพลวงตา

ในทุกวันนี้เรามักได้ยินเรื่องราวของผู้ประกอบการหนุ่มสาวที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว สร้างธุรกิจพันล้านจากไอเดียเพียงเล็กน้อย แต่บางครั้ง เส้นแบ่งระหว่างวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่กับการหลอกลวงก็บางเฉียบเสียจนแทบมองไม่เห็น

เรื่องราวของ Trevor Milton และบริษัท Nikola Motors เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ความทะเยอทะยานและความโลภนำไปสู่การหลอกลวงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยียานยนต์

Trevor Milton เกิดในปี 1982 ในรัฐ Utah สหรัฐอเมริกา เขาเติบโตมาในครอบครัวที่มีความยากลำบาก แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่เขาอายุเพียง 14 ปี ทำให้เขาและพี่น้องอีก 4 คนต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอดด้วยตนเอง ประสบการณ์อันเจ็บปวดในวัยเด็กนี้อาจเป็นแรงผลักดันให้ Trevor มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต

หลังจบมัธยมปลาย Trevor ได้เป็นมิชชันนารีมอร์มอนในชุมชนแออัดของบราซิล ประสบการณ์นี้ทำให้เขาได้เห็นปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมในมุมมองที่กว้างขึ้น

เมื่อกลับมาที่ Utah ในปี 2003 เขาเข้าเรียนที่ Utah Valley State College ในสาขาการขายและการตลาด แต่เรียนได้เพียงเทอมเดียวก็ลาออก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง

จุดเริ่มต้นของเส้นทางธุรกิจ Trevor เริ่มจากการก่อตั้งบริษัทขายระบบรักษาความปลอดภัย ซึ่งเขาสามารถขายต่อได้ในราคา 300,000 ดอลลาร์ แม้จะเป็นความสำเร็จเล็กๆ แต่มันก็ดูเหมือนจะมีเค้าลางของปัญหาแล้ว

ผู้ซื้อกล่าวหาว่า Trevor สัญญาเกินจริงเกี่ยวกับศักยภาพของธุรกิจ ทำให้พวกเขาขาดทุน นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาว่าเขาโกงหุ้นส่วนทางธุรกิจเป็นเงิน 50,000 ดอลลาร์ระหว่างการขายอีกด้วย

ต่อมาในปี 2009 Trevor หันไปทำธุรกิจโฆษณาออนไลน์ด้วยเว็บไซต์ขายรถมือสอง ก่อนที่จะก้าวกระโดดครั้งใหญ่สู่การสร้างเครื่องยนต์สำหรับยานพาหนะ แม้จะไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนี้เลย แต่ด้วยความมั่นใจและทักษะการขาย Trevor สามารถก่อตั้งบริษัท dHybrid ขึ้นมาได้ โดยมีแผนการที่จะเปลี่ยนเครื่องยนต์ดีเซลที่มีอยู่ให้ทำงานด้วยก๊าซ CNG

ทักษะการขายขั้นเทพของ Trevor ทำให้เหยื่อหลายรายหลงเชื่อ (CR:Wikipedia)
ทักษะการขายขั้นเทพของ Trevor ทำให้เหยื่อหลายรายหลงเชื่อ (CR:Wikipedia)

แนวคิดนี้ดูน่าสนใจ เพราะก๊าซธรรมชาติปล่อยมลพิษน้อยกว่า มีค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า และโดยรวมแล้วปลอดภัยกว่าเชื้อเพลิงดีเซล Trevor สามารถโน้มน้าวให้บริษัท Swift Transportation ลงทุน 2 ล้านดอลลาร์ในโครงการนี้ โดยมีแผนจะเริ่มต้นด้วยการดัดแปลงรถบรรทุก 10 คันเป็นการทดลอง แล้วตามด้วยอีก 800 คันในภายหลัง

แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นไปตามที่สัญญา จากคดีความในปี 2012 เผยว่ามีการส่งมอบรถเพียง 5 คันเท่านั้น และเครื่องยนต์ที่ดัดแปลงก็มีปัญหาใหญ่ ไม่สามารถทำงานได้ตามที่อ้างไว้ ยิ่งไปกว่านั้น Trevor ยังใช้เงินลงทุนส่วนหนึ่งผลาญไปกับชีวิตส่วนตัวอันหรูหราของเขา

เมื่อถูกกดดันจากปัญหาทางกฎหมาย Trevor ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ด้วยการก่อตั้งบริษัท dHybrid Systems ร่วมกับพ่อของเขา โดยยังคงทำงานกับเทคโนโลยีเดียวกัน แต่หนีปัญหาทางกฎหมายที่เคยติดตัวเขามา ความคิดหัวหมอนี้ทำให้หุ้นส่วนทั้งหมดของ dHybrid เดิมสูญเสียผลประโยชน์ไปทั้งหมด

น่าประหลาดใจที่แผนการนี้ประสบความสำเร็จ บริษัท Worthington Industries ตกลงซื้อ dHybrid Systems ในราคา 16 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าในความเป็นจริงบริษัทจะอยู่ในสภาพย่ำแย่

ในการสนทนาส่วนตัว Trevor ยอมรับว่าชิ้นส่วนของระบบเครื่องยนต์หลุดออกจากรถบรรทุก ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่สิ่งเดียวที่สำคัญสำหรับเขาในตอนนั้นคือการได้รับเงินจากการขายกิจการ

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 2014 เมื่อ Trevor ก่อตั้งบริษัทที่ต่อมากลายเป็น Nikola Motors ในขณะที่ Worthington กำลังขาดทุนหลายล้านจากปัญหาเครื่องยนต์ของ dHybrid แต่ตัวของ Trevor กลับสามารถสร้างกำไรได้อย่างงดงาม

เขายังคงสามารถโน้มน้าวผู้คนคิดว่าเขามีเทคโนโลยีสุดล้ำ และในวันที่ 9 พฤษภาคม 2016 Nikola Motors ก็ประกาศเปิดตัว Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง

Nikola One ถูกนำเสนอว่าสามารถเดินทางได้ไกลถึง 1,000 ไมล์โดยไม่ต้องหยุด และใช้เวลาเติมพลังงานเพียง 15 นาทีก็สามารถวิ่งได้อีก 1,000 ไมล์ ในตลาดรถบรรทุกทั่วโลกที่มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ เทคโนโลยีเช่นนี้หากเป็นจริงย่อมเป็นตัวเปลี่ยนเกมได้อย่างแน่นอน

 Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง (CR:FreightWaves)
Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง (CR:FreightWaves)

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า Nikola ซื้อการออกแบบมาจากชายคนหนึ่งในโครเอเชียในราคาเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ แต่นี่ไม่ได้หยุดยั้งบริษัทจากการฟ้องร้อง Tesla เป็นเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่า Tesla ขโมยการออกแบบของพวกเขาไป ซึ่งเป็นการกระทำที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง

โลกต่างตื่นเต้นกับข่าวของรถบรรทุกปฏิวัติวงการนี้ แต่ความจริงแล้ว เทคโนโลยีที่ Nikola อ้างว่าจะใช้ก็คือเทคโนโลยีก๊าซ CNG เช่นเดียวกับที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในบริษัท dHybrid นั่นเอง

Nikola กำหนดจะเปิดตัวรถบรรทุกสุดล้ำของเขาในเดือนธันวาคม 2016 โดยที่พวกเขาเริ่มรับคำสั่งซื้อล่วงหน้าแล้ว โดยประกาศว่า Nikola One ได้รับการออกแบบ พัฒนา และกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการประกอบ

แต่ความจริงแล้ว ในเดือนสิงหาคม 2016 Nikola One เป็นเพียงโครงรถบนล้อเท่านั้น ตัวถังยังไม่มาถึงด้วยซ้ำ ไม่มีโรงงานผลิต และตามแหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับโครงการนี้ คนงานต้องรีบวิ่งไปร้านฮาร์ดแวร์เพื่อหาชิ้นส่วนพื้นฐาน แต่บัญชี Twitter ของ Nikola Motor Company ก็ยังคงโปรโมตงานอย่างหนัก เน้นย้ำว่ารถบรรทุกจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์

ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม บริษัทประกาศอย่างกะทันหันว่าพวกเขาได้เปลี่ยนจากเทคโนโลยีก๊าซ CNG ไปเป็นเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน การประกาศนี้ทำให้แม้แต่คนในบริษัทเองยังตกใจ

เมื่อใกล้ถึงวันงานในกลางเดือนพฤศจิกายน ทีมงานทำงานอย่างหนักเพื่อประกอบรถบรรทุกเข้าด้วยกัน แต่ไม่มีแกนมอเตอร์ไฟฟ้าหรือเกียร์ มีเพียงเพลาในโครงรถเปล่าๆ ตัวถังมาถึงในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนงาน สัญลักษณ์ H2 ซึ่งเป็นสูตรเคมีของไฮโดรเจน ถูกติดอย่างภาคภูมิใจที่ด้านข้างของรถ แม้ว่าจะไม่มีเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่ภายในก็ตาม

เมื่อถึงวันสำคัญ Trevor ดูเหมือนจะไม่สามารถระงับอารมณ์ได้เมื่อพูดบนเวที เขาเน้นย้ำถึงความสำเร็จของ Nikola One ว่าเป็น “รถบรรทุกที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์”

แม้ว่าความจริงแล้ว รถบรรทุกทั้งคันจะใช้พลังงานจากสายไฟหลักที่เชื่อมต่อใต้เวที หน้าจอสัมผัสภายในห้องโดยสารดูเหมือนจะเป็นส่วนเดียวของรถบรรทุกที่ทำงานได้จริง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการตกแต่งที่สวยงามเพื่อหลอกลวงผู้ชมเพียงเท่านั้น

แม้จะมีปัญหามากมาย แต่การนำเสนอของ Trevor ก็สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมและสื่อมวลชน ในโลกอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยกระแสความตื่นเต้น และจากนั้น Nikola ก็เริ่มก้าวสู่การแข่งขันในตลาดอย่างจริงจัง

หลังจากงานในเดือนมกราคม 2017 บริษัทได้ระดมทุนในรอบ Series A นอกจากนี้ Nikola ยังได้ลงนามความร่วมมือกับ Bosch รวมถึงพันธมิตรด้านเซลล์เชื้อเพลิงและไฮโดรเจน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปและความตื่นเต้นจากงานในเดือนธันวาคม 2016 จางหายไป ผู้คนที่ติดตามอย่างใกล้ชิดเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความคืบหน้าของ Nikola One

ดังนั้นในต้นปี 2018 จึงมีการผลิตวิดีโอของ Nikola One เพื่อขจัดข่าวลือที่ว่ามันไม่ใช่รถบรรทุกที่ทำงานได้จริง วิดีโอมีชื่อว่า “Nikola One in Motion” และดูเหมือนว่าวิดีโอจะสร้างความเชื่อมั่นได้ แม้แต่ผู้ว่าการรัฐ Arizona Doug Ducey ก็ยังประทับใจ เขาตกลงที่จะเป็นเจ้าภาพเพื่อจัดสร้างโรงงานผลิตหลักของ Nikola ในรัฐของเขา

แต่ความจริงที่น่าตกใจก็คือ วิดีโอนั้นเป็นเพียงผลจากการที่ Nikola ลากรถบรรทุกขึ้นไปบนยอดเนิน แล้วปล่อยให้มันไหลลงมาเท่านั้น ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ที่ทำงานในวิดีโอต้องเซ็นสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูล (NDA) เพื่อปกปิดความจริงนี้

ในเดือนพฤศจิกายน 2019 Trevor Milton ถอนเงินสด 70 ล้านดอลลาร์และซื้อบ้านสุดหรูในรัฐ Utah บ้านราคา 33 ล้านดอลลาร์บนที่ดิน 2,600 เอเคอร์ เขาบอกกับ Wall Street Journal ว่าสถานที่แห่งนี้เป็น “สถานที่พักผ่อนสำหรับครอบครัว เพื่อน และคนอื่นๆ ที่จะมาเพลิดเพลิน” แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งที่เขาได้รับจากความสำเร็จของ Nikola

ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2019 Nikola เริ่มเจรจาเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ วันถัดมา บริษัทประกาศว่าพวกเขาได้แก้ปัญหาที่ท้าทายที่สุดอย่างหนึ่งของเรื่องพลังงานยั่งยืน นั่นคือแบตเตอรี่ความหนาแน่นสูง โดยอ้างว่าต้นแบบแบตเตอรี่ใหม่นี้จะให้พลังงานมากกว่าลิเธียมไอออน 4 เท่า และสามารถขับเคลื่อนรถยนต์ Tesla Model S ได้ไกลกว่า 600 ไมล์

Trevor อ้างว่าเขาได้เห็นเทคโนโลยีนี้ทำงานด้วยตาตัวเอง และสัญญาว่าจะมีการสาธิตให้โลกได้ยลโฉม ซึ่งหลังจากการประกาศนี้ Nikola Motors ก็ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง และ Anheuser-Busch ก็เป็นรายแรกที่สั่งจองรถบรรทุก 800 คัน Trevor ประเมินว่ามูลค่าของเทคโนโลยีใหม่นี้จะมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

แต่ความจริงที่น่าตกใจก็คือ Nikola ไม่มีสิทธิบัตร วิศวกร นักเคมี หรือบทความวิจัยที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่นี้เลย ความจริงก็คือ Nikola ได้ซื้อบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ ZapGo มาในราคา 56 ล้านดอลลาร์ แต่ปรากฏว่าเทคโนโลยีของ ZapGo เป็นเพียงการหลอกลวง ไม่มีอยู่จริง

ที่น่าสนใจคือ ZapGo ที่นำโดย Charles Resnick เป็นตัวละครที่น่าสงสัยซึ่งเพิ่งหลอกลวง NASA เมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่จะมีการดีลกับ Nikola ซึ่งในภายหลัง Charles ได้รับสารภาพผิดในเดือนมกราคม 2020 แต่ Trevor ยังคงโฆษณาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ไม่มีอยู่จริงนี้อย่างต่อเนื่อง

ด้วยการที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำคุยโวว่าบริษัทกำลังสร้างรถบรรทุกที่ปฏิวัติวงการ และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่เปลี่ยนเกมซึ่งซื้อมาจากบริษัทที่เป็นการหลอกลวง

Nikola เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2020 ผ่านการควบรวมกิจการแบบย้อนกลับ (reverse merger) ซึ่งไม่จำเป็นต้องเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของบริษัทเหมือนการเสนอขายหุ้น IPO ปกติ

นักลงทุนต่างตื่นเต้น และหุ้นของ Nikola พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าตลาดของ Nikola พุ่งสูงกว่า Ford มากกว่า 30 พันล้านดอลลาร์ ทั้งที่ Ford ขายรถยนต์ได้ 5.5 ล้านคันในปี 2019 มีรายได้ 155 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ Nikola แทบจะยังไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ

ในวันที่ 8 กันยายน 2020 Nikola Motors ประกาศความร่วมมือมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์กับ General Motors โดย GM จะถือหุ้น 11% ในบริษัท และผลิตรถกระบะไฟฟ้า Nikola Badger ให้กับพวกเขา แต่ไม่มีใครเคยได้ยลโฉม Nikola Badger คันจริงๆ เลย มีแต่ภาพเรนเดอร์เท่านั้น

Nikola Badger ที่มีเพียงแต่ภาพเรนเดอร์ (CR:InsideEVs)
Nikola Badger ที่มีเพียงแต่ภาพเรนเดอร์ (CR:InsideEVs)

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2020 เมื่อบริษัทลงทุนที่เน้นการขายหุ้นชอร์ต Hindenburg Research เผยแพร่รายงานที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง เรียก Nikola Motors ว่าเป็น “การฉ้อโกงที่ซับซ้อน” โดยรวบรวมหลักฐานมากมาย ทั้งการบันทึกการโทรศัพท์ ข้อความ อีเมลส่วนตัว และภาพถ่ายเบื้องหลัง ซึ่งแสดงรายละเอียดคำแถลงเท็จหลายสิบรายการของ Trevor Milton

หลังจากรายงานนี้เผยแพร่ Trevor ได้ออกมากล่าวว่าจะโต้แย้งข้อกล่าวหาทั้งหมด แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขากลับลบบัญชีโซเชียลมีเดียของเขาและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ในวันที่ 21 กันยายน Trevor ลาออกจากตำแหน่งประธาน และ Stephen Girsky อดีตรองประธานของ GM เข้ามารับตำแหน่งแทน หุ้นของ Nikola ดิ่งลง 40% และการเจรจาระหว่าง Nikola กับพันธมิตรรายอื่นๆ หยุดชะงัก

ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2021 คณะลูกขุนใหญ่ของรัฐบาลกลางตั้งข้อหา Trevor Milton 3 ข้อหาเกี่ยวกับการฉ้อโกงทางอาญา สำนักงานอัยการสหรัฐในแมนฮัตตันกล่าวหามหาเศรษฐีวัย 39 ปีว่าโกหกนักลงทุน ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับบริษัท และฉ้อโกง

นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ยังยื่นฟ้องข้อหาฉ้อโกงหลักทรัพย์ทางแพ่งต่อเขา โดยขอให้ศาลสั่งห้ามเขาดำรงตำแหน่งในบริษัทแบบถาวร และสั่งให้เขาจ่ายค่าปรับ รวมถึงคืนรายได้ใดๆ ที่ได้มาจากการหลอกลวงของเขา

แน่นอนว่า Trevor Milton ปฏิเสธการกระทำผิดทั้งหมดและให้การปฏิเสธต่อข้อกล่าวหา ในขณะเดียวกัน Nikola ยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปภายใต้การบริหารงานชุดใหม่ แต่ต้องบอกว่าการแก้ไขทิศทางของบริษัทที่สร้างขึ้นจากคำกล่าวอ้างที่หลอกลวงโดยคนโกหกหน้าด้าน ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ข้อตกลงกับ GM ยังคงอยู่ในสภาวะคลุมเครือ ราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำสุดตลอดกาล และความเชื่อมั่นในบริษัทลดลงทุกวัน Bosch, General Motors และนักลงทุนอีกมากมายต้องแบกรับภาระนี้

คำถามสำคัญที่ต้องถามคือ บริษัทเหล่านี้ไม่ได้ทำการตรวจสอบ due diligence อย่างถี่ถ้วนก่อนเข้าร่วมลงทุนหรือทำสัญญากับ Nikola หรืออย่างไร

เรื่องราวของ Trevor Milton และ Nikola Motors เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักลงทุนและอุตสาหกรรมเทคโนโลยี มันแสดงให้เห็นว่าความกระตือรือร้นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของ “The Next Big Things” อาจทำให้ผู้คนมองข้ามสัญญาณเตือนภัยที่สำคัญได้ง่ายเพียงใด

แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสิ่งที่คุณสัญญาไว้กลายเป็นเรื่องยากกว่าที่มโนไว้มาก? เมื่อไหร่ที่คุณจะผ่านจุดที่ไม่มีทางที่จะหันหัวกลับและต้องโกหกต่อไปจนกว่าจะถูกจับได้? สำหรับ Trevor Milton เขาเลือกที่จะโกหกต่อไปจนถึงที่สุด โดยหวังว่าจะสามารถทำให้คำคุยโวโอ้อวดของเขาเป็นจริงได้ก่อนที่ความจริงจะถูกเปิดเผย

ในแง่หนึ่ง เรื่องราวของ Trevor Milton และ Nikola Motors ก็อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ บางทีเขาอาจทำทั้งหมดนี้เพื่อดูแลครอบครัวที่เคยทุกข์ทรมานมากในช่วงวัยเด็ก แต่มันก็อาจเป็นเพียงความโลภล้วนๆ ก็ได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การกระทำของเขาก็สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้กับนักลงทุน พนักงาน และความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าโดยรวม

บทเรียนสำคัญจากเรื่องราวนี้คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์อย่างละเอียดเป็นสิ่งจำเป็นในโลกธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า นักลงทุนควรระมัดระวังกับคำคุยโวที่ฟังดูดีเกินจริงและตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน

ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการควรตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับการระดมทุนและการสร้างความคาดหวังให้กับสาธารณชน การโกหกหรือการสร้างภาพลวงตาอาจนำไปสู่ผลกำไรในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้ว มันสามารถทำลายชื่อเสียงและอาชีพของคุณได้อย่างสิ้นเชิง

ท้ายที่สุด เรื่องราวของ Nikola Motors เป็นเครื่องเตือนใจว่าในโลกของนวัตกรรมและการลงทุน ความจริงมักจะปรากฏในที่สุด และผลของการหลอกลวงนั้นมีราคาแพงเกินกว่าที่ใครจะจ่ายไหว การสร้างธุรกิจบนพื้นฐานของความซื่อสัตย์และความโปร่งใสอาจเป็นเส้นทางที่ยากกว่า แต่ก็เป็นเส้นทางเดียวที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

References :

  1. CNBC – https://www.cnbc.com/2021/07/29/us-prosecutors-charge-trevor-milton-founder-of-electric-carmaker-nikola-with-three-counts-of-fraud.html
  2. The Verge – https://www.theverge.com/2020/9/21/21449203/nikola-trevor-milton-resigns-fraud-allegations-hindenburg-research
  3. Bloomberg – https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-09-28/nikola-founder-milton-s-fall-reveals-what-his-backers-feared
  4. Financial Times – https://www.ft.com/content/6711e9c0-dda5-43ab-89e7-7b17f10f87db
  5. https://en.wikipedia.org/wiki/Trevor_Milton

นักลงทุนอัจฉริยะหรือนักพนันผู้โชคดี? ถอดรหัสความสำเร็จของ Masayoshi Son ฉายา ‘คนบ้า’ แห่งวงการเทคโนโลยี

ในโลกแห่งธุรกิจและเทคโนโลยี มีชื่อหนึ่งที่โดดเด่นและสร้างความฮือฮามาโดยตลอด นั่นคือ มาซาโยชิ ซัน (Masayoshi Son) ชายผู้มาจากครอบครัวผู้อพยพเกาหลีที่ต้องเริ่มต้นชีวิตด้วยความยากจนในญี่ปุ่น แต่กลับสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี

เรื่องราวของมาซาโยชิเริ่มต้นจาก ปู่ย่าตายายของเขาอพยพมาญี่ปุ่นจากเกาหลีใต้โดยซ่อนตัวในเรือประมงเล็กๆ พวกเขามาถึงญี่ปุ่นโดยไม่มีอะไรติดตัวเลย ไม่มีอาหาร ไม่มีที่พัก และไม่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้

ชีวิตในวัยเด็กของมาซาโยชิก็ไม่ได้สดใสนัก เขาถูกมองว่าเป็นคนนอกในสังคมญี่ปุ่นเพราะเชื้อสายของเขา เพื่อนร่วมชั้นถึงกับขว้างก้อนหินใส่เขา ส่วนพ่อของเขาแทบจะหาเงินไม่พอเลี้ยงปากท้องครอบครัว ต้องทำงานสารพัดอย่างเท่าที่จะหาได้ ตั้งแต่เลี้ยงหมูไปจนถึงขายเหล้าเถื่อน

แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความฝันอันยิ่งใหญ่ เด็กชายผู้นี้ได้วางแผนชีวิตของตัวเองตั้งแต่ยังเรียนมัธยมต้น เขาตั้งใจว่าจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดในญี่ปุ่น ความมุ่งมั่นนี้นำพาให้เขาได้พบกับ เด็น ฟูจิตะ ผู้นำแมคโดนัลด์เข้ามาในญี่ปุ่น ซึ่งต่อมากลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของเขา

ด้วยคำแนะนำของฟูจิตะ มาซาโยชิตัดสินใจเดินทางไปอเมริกาเพื่อไล่ตามความฝันทางธุรกิจ เมื่ออายุเพียง 16 ปี เขาเดินทางไปแคลิฟอร์เนีย ฝึกภาษาอังกฤษ และเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายอเมริกัน

แต่ด้วยความกระตือรือร้นและความสามารถอันโดดเด่น เขาสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างรวดเร็ว โดยเรียนเศรษฐศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

ช่วงเวลาในมหาวิทยาลัยเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยทางธุรกิจของมาซาโยชิ เขาเริ่มคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ โดยใช้เวลาเพียงวันละ 5 นาที ด้วยความคิดที่ว่านี่คือการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

แนวคิดนี้นำไปสู่การคิดค้นอุปกรณ์แปลภาษาพกพา ซึ่งต่อมาเขาได้ขายสิทธิบัตรให้กับบริษัท Sharp ในราคา 1.7 ล้านดอลลาร์ ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีเงินล้านตั้งแต่อายุเพียง 19 ปี

นอกจากนี้ มาซาโยชิยังริเริ่มธุรกิจนำเข้าเครื่องเกมอาร์เคด Space Invaders จากญี่ปุ่นมาสู่สหรัฐฯ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว สร้างกำไรให้เขามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 6 เดือน

ความสำเร็จเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวไกลของมาซาโยชิ ซัน สู่การเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี

การก่อตั้ง SoftBank และการผจญภัยในโลกเทคโนโลยี

หลังจากจบการศึกษา มาซาโยชิกลับไปญี่ปุ่นตามที่สัญญากับแม่ไว้ ด้วยเงินที่หาได้จากอเมริกา เขาตั้งใจจะสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในบ้านเกิด หลังจากวิเคราะห์ไอเดียธุรกิจหลายสิบแบบ เขาตัดสินใจก่อตั้งบริษัทจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ชื่อ SoftBank

แม้ว่าในช่วงต้นทศวรรษ 1980 คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่มาซาโยชิมองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมนี้ เขาเชื่อมั่นว่า SoftBank จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์อันดับหนึ่งในญี่ปุ่น แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มีประสบการณ์ด้านซอฟต์แวร์เลยก็ตาม

การเริ่มต้นของ SoftBank ไม่ได้ราบรื่นนัก มาซาโยชิพยายามสร้างความสนใจในธุรกิจคอมพิวเตอร์ด้วยการทำนิตยสาร แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ หลายคนแนะนำให้เขาล้มเลิก แต่ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์อันกว้างไกล เขายังคงทุ่มเททรัพยากรและความพยายามเข้าไปในธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง

ในที่สุด ความพยายามของเขาก็เริ่มเห็นผล SoftBank ได้รับประโยชน์จากความต้องการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงต้นทศวรรษ 1990 แต่แล้วโชคร้ายก็เกิดขึ้น มาซาโยชิได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

ช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้มาซาโยชิมุ่งมั่นที่จะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เร็วกว่าเดิม และกล้าได้กล้าเสียมากขึ้น เพราะเขาตระหนักว่าชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะเสียเวลาไปกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ

ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 SoftBank เติบโตอย่างรวดเร็ว มีพนักงานถึง 800 คนและมีรายได้พันล้านดอลลาร์ มาซาโยชินำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนเพิ่มเติม และเริ่มขยายการลงทุนไปสู่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ

หนึ่งในการลงทุนที่โดดเด่นที่สุดของเขาคือการลงทุนในบริษัท Yahoo ด้วยมูลค่า 40 ล้านดอลลาร์ เมื่อ Yahoo เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่นานหลังจากนั้น มูลค่าของมันพุ่งขึ้นเป็น 808 ล้านดอลลาร์ สร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับ SoftBank

มาซาโยชิไม่เคยหยุดนิ่ง เขามักจะนำเงินที่ได้ไปลงทุนต่อในโอกาสใหม่ๆ เสมอ เมื่อถึงปลายทศวรรษ 1990 SoftBank ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เหมือนกองทุนร่วมลงทุน (venture capital fund) โดยเน้นการซื้อและลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีที่มาซาโยชิเชื่อมั่นในศักยภาพ

การลงทุนของมาซาโยชิมักจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและกล้าได้กล้าเสีย เช่น การลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ใน E-Trade หลังจากโทรศัพท์คุยกับผู้ก่อตั้งเพียงครั้งเดียว หรือการลงทุน 20 ล้านดอลลาร์ใน Alibaba ทั้งที่บริษัทยังไม่มีแผนธุรกิจหรือรายได้ชัดเจน เพียงเพราะเขาเห็น “ประกายในดวงตา” ของ Jack Ma ผู้ก่อตั้ง

มาซาโยชิ ที่เห็นอะไรบางอย่างในตัว Jack Ma (CR:Manager Magazin)
มาซาโยชิ ที่เห็นอะไรบางอย่างในตัว Jack Ma (CR:Manager Magazin)

แม้ว่าไม่ใช่ทุกการลงทุนจะประสบความสำเร็จ แต่มาซาโยชิเข้าใจดีว่าในโลกของการลงทุนแบบ venture capital เพียงเจอห่านทองคำในธุรกิจที่ประสบความสำเร็๗เพียงรายเดียวก็สามารถเอาชนะความล้มเหลวอื่นๆ ทั้งหมดได้ เขาไม่จำเป็นต้องถูกต้องในทุกการลงทุน ตราบใดที่เขามีความสำเร็จครั้งใหญ่ไม่กี่ครั้ง

Vision Fund และความท้าทายในยุค AI

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 มาซาโยชิยังคงมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ เขาเล็งเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อไปในวงการเทคโนโลยีจะเป็นการเปลี่ยนจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปสู่มือถือ ด้วยวิสัยทัศน์นี้ เขาได้ติดต่อ Steve Jobs และขอสิทธิ์ขาย iPhone แต่เพียงผู้เดียวในญี่ปุ่น

แม้ว่า Jobs จะปฏิเสธในตอนแรกเพราะ SoftBank ไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทมือถือในญี่ปุ่น แต่มาซาโยชิก็ไม่ย่อท้อ เขาตัดสินใจซื้อ Vodafone Japan ในราคาประมาณ 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้ได้สิทธิ์นั้นมา การตัดสินใจอันกล้าหาญนี้ทำให้ SoftBank สามารถขายสัญญาโทรศัพท์ได้จำนวนมหาศาล เพราะทุกคนต่างตื่นเต้นที่จะได้ใช้ iPhone รุ่นใหม่

ต่อมา มาซาโยชิได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ว่าจะเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ต่อไปในวงการเทคโนโลยี เขาเชื่อว่าสังคมกำลังเข้าใกล้จุดที่เรียกว่า Singularity ซึ่งเป็นจุดที่ปัญญาประดิษฐ์จะเหนือกว่าสติปัญญาของมนุษย์ ด้วยความเชื่อนี้ เขาจึงริเริ่มโครงการ Vision Fund

Vision Fund เป็นกองทุนร่วมลงทุนขนาดมหึมาถึง 100 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งใหญ่กว่ากองทุนอื่นๆ กว่า 4 เท่า วัตถุประสงค์หลักของกองทุนนี้คือการลงทุนในเทคโนโลยี AI และบริษัทที่นำ AI มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ

การระดมทุนสำหรับ Vision Fund เป็นเรื่องที่น่าทึ่ง มาซาโยชิสามารถระดมทุนเบื้องต้น 45 พันล้านดอลลาร์จากซาอุดีอาระเบียภายในเวลาเพียง 45 นาที นอกจากนี้ ยังมีเงินลงทุนจาก SoftBank เอง รวมถึงจากอาบูดาบี และบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Foxconn

อย่างไรก็ตาม Vision Fund ก็ไม่ได้ปราศจากข้อวิพากษ์วิจารณ์ หลายคนกล่าวหาว่ามาซาโยชิกำลังสร้างฟองสบู่ขนาดใหญ่และบิดเบือนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทต่างๆ โดยการทุ่มเงินมหาศาลเข้าไปในบริษัทที่อาจไม่ได้เป็น “บริษัทเทคโนโลยี” อย่างแท้จริง

นอกจากนี้ วิธีการลงทุนของมาซาโยชิที่มักจะตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยอาศัยสัญชาตญาณและการประชุมเพียงไม่กี่นาที ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการประมาทเลินเล่อ ตัวอย่างเช่น การลงทุน 4 พันล้านดอลลาร์ใน WeWork หลังจากการประชุมที่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โดยที่เขาไม่ได้ดูเอกสารนำเสนอด้วยซ้ำ

มาซาโยชิ ที่ดูเหมือนจะผิดพลาดกับ WeWork (CR:Mingtiandi)
มาซาโยชิ ที่ดูเหมือนจะผิดพลาดกับ WeWork (CR:Mingtiandi)

มาซาโยชิยังถูกกล่าวหาว่าใช้เงินทุนเป็นอาวุธ โดยทุ่มเงินไม่จำกัดให้กับบริษัทต่างๆ ด้วยความเชื่อว่าสตาร์ทอัพที่มีเงินทุนมากที่สุดจะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ในตลาดที่มีผู้ชนะเพียงรายเดียว แต่วิธีการนี้ก็ทำให้หลายบริษัทละเลยการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและทำกำไรได้จริง

แม้จะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาซาโยชิ ซัน เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกเทคโนโลยี เขามีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและความกล้าที่จะเสี่ยง ซึ่งทำให้เขาสามารถมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้าม

บทสรุป: มรดกและคำถามที่ยังคงค้างคาใจ

เรื่องราวของมาซาโยชิ ซัน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำเร็จที่เกิดจากความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ และความกล้าที่จะเสี่ยง เขาเริ่มต้นจากเด็กชายผู้ยากจนในครอบครัวผู้อพยพ และก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี

ตลอดเส้นทางอาชีพของเขา มาซาโยชิได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการมองเห็นแนวโน้มเทคโนโลยีในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การปฏิวัติอินเทอร์เน็ต การเปลี่ยนแปลงสู่ยุคสมาร์ทโฟน และล่าสุดคือการมาถึงของยุค AI เขามักจะเป็นคนแรกๆ ที่เข้าไปลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ และได้รับผลตอบแทนมหาศาล

อย่างไรก็ตาม วิธีการลงทุนของมาซาโยชิก็ไม่ได้ปราศจากข้อโต้แย้ง การตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยอาศัยสัญชาตญาณ และการทุ่มเงินมหาศาลเข้าไปในบริษัทที่ยังไม่มีกำไร ทำให้หลายคนสงสัยว่าเขากำลังสร้างฟองสบู่ขนาดใหญ่หรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีคำถามเกี่ยวกับผลกระทบของการลงทุนแบบ “ทุ่มสุดตัว” ของเขาที่มีต่อระบบนิเวศของสตาร์ทอัพและตลาดเทคโนโลยีโดยรวม

แม้ว่าจะมีทั้งผู้สนับสนุนและผู้วิจารณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ มาซาโยชิ ซัน ได้สร้างผลกระทบอย่างมหาศาลต่อโลกเทคโนโลยี การลงทุนของเขาได้ช่วยให้บริษัทมากมายเติบโตและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก

ในขณะเดียวกัน เรื่องราวของเขาก็เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างความกล้าที่จะเสี่ยงและความรอบคอบในการลงทุน แม้ว่าความกล้าและวิสัยทัศน์ของมาซาโยชิจะน่าชื่นชม แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาถึงความยั่งยืนและผลกระทบระยะยาวของการตัดสินใจทางธุรกิจด้วย

ท้ายที่สุดแล้ว คำถามที่ยังคงค้างคาใจคือ มาซาโยชิ ซัน เป็นนักลงทุนอัจฉริยะที่มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนกว่าใคร หรือเป็นเพียงนักพนันที่โชคดีกันแน่? คำตอบอาจจะไม่ใช่เพียงข้อใดข้อหนึ่ง แต่อาจเป็นการผสมผสานระหว่างความฉลาด วิสัยทัศน์ ความกล้า และโชคที่เข้ากันได้อย่างลงตัว

ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องราวของมาซาโยชิ ซัน ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เราตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้น กล้าที่จะฝัน และไม่กลัวที่จะเสี่ยงเพื่อสิ่งที่เราเชื่อ แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะสามารถหรือควรทำตามแนวทางของเขาทั้งหมด แต่เราทุกคนสามารถเรียนรู้จากความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของเขาได้

ในท้ายที่สุด มรดกของมาซาโยชิ ซัน อาจไม่ใช่แค่บริษัทที่เขาสร้างหรือเงินที่เขาทำได้ แต่เป็นการกระตุ้นให้เราทุกคนคิดใหญ่ มองไกล และกล้าที่จะท้าทายสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะบางทีสิ่งที่ดูเหมือนความบ้าคลั่งในวันนี้ อาจกลายเป็นความปกติในวันข้างหน้าก็เป็นได้นั่นเองครับผม

References :
https://en.wikipedia.org/wiki/Masayoshi_Son
https://money.cnn.com/interactive/technology/masayoshi-son-profile/index.html
https://fortune.com/2023/11/07/wework-bankruptcy-unicorns-venture-capital-softbank-masayoshi-son-billionaire/
https://www.linkedin.com/pulse/from-discrimination-billionaire-story-masayoshi-son-tech-vishwkarma/