From Nothing to Something : ถอดรหัสความสำเร็จ Carl Pei กับการปฏิวัติวงการสมาร์ทโฟน

ในโลกของเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การสร้างสตาร์ทอัพด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสมาร์ทโฟน เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ แต่ Carl Pei ผู้ร่วมก่อตั้ง OnePlus และปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Nothing ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามันเป็นไปได้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ

Carl Pei เริ่มต้นเส้นทางในวงการเทคโนโลยีตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยความหลงใหลในอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ เขาเล่าว่า “ผมเป็นคนชอบเครื่องมือเทคโนโลยีมาตั้งแต่เด็ก ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นคนแรกๆ ในสวีเดนที่มี iPod และผมแน่ใจว่าผมเป็นคนแรกในกลุ่มเพื่อนๆ ที่มี iPhone” ความหลงใหลนี้นำพาเขาไปสู่การทำงานในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนที่กำลังเติบโตในประเทศจีน

การเดินทางของ Carl ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เขาเผชิญกับความท้าทายมากมายในการสร้างธุรกิจของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาตัดสินใจก่อตั้ง Nothing หลังจากออกจาก OnePlus

ในปี 2020 เขาเล่าถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากในการระดมทุนและหาพันธมิตรทางธุรกิจ “เรายังถูกปฏิเสธจากโรงงานหลายแห่งที่ผลิตโทรศัพท์ด้วย อย่าง Foxconn ตอนนั้น Foxconn เคยทำงานกับสตาร์ทอัพที่ทำโทรศัพท์มาแล้ว 5 ราย และทั้ง 5 รายนั้นล้มเหลวหมด”

แม้จะเจอกับอุปสรรคมากมาย Carl ไม่ยอมแพ้ เขาตัดสินใจเริ่มต้นด้วยการผลิตหูฟังไร้สายก่อน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเรียนรู้กระบวนการผลิต แต่แม้แต่การผลิตหูฟังก็ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย “โรงงานเดียวที่ยอมทำงานกับเราคือโรงงานที่ไม่มีลูกค้าอื่นเลย ถ้าไม่มีเรา พวกเขาก็จะล้มละลาย” Carl เล่า

ความยากลำบากไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น เมื่อผลิตภัณฑ์แรกของ Nothing คือหูฟัง Ear (1) เริ่มวางจำหน่าย พวกเขาพบว่าประมาณ 90% ของสินค้าในล็อตแรกมีปัญหาในการชาร์จ

นี่เป็นช่วงเวลาวิกฤตที่ Carl และทีมต้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน “เราเช่าอพาร์ตเมนต์สองห้องใกล้ๆ โรงงานทันที และเราส่งวิศวกร 15 คนไปอยู่ที่นั่น โดยพื้นฐานแล้ววิศวกรของเรากลายเป็นผู้จัดการโรงงานไปโดยปริยาย คอยดูแลทุกส่วนของโรงงานให้ผลิตตามข้อกำหนดของเรา” Carl เล่าถึงวิธีที่พวกเขาจัดการกับวิกฤตครั้งนั้น

ความพยายามของพวกเขาไม่สูญเปล่า ในที่สุด Nothing ก็สามารถขายหูฟัง Ear (1) ได้ถึง 600,000 ชิ้นในปีแรก นี่เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้พวกเขาสามารถก้าวไปสู่การผลิตสมาร์ทโฟนได้ในที่สุด

Carl เน้นย้ำถึงความสำคัญของการอยู่รอดในธุรกิจฮาร์ดแวร์ “ในการไม่มีทางเลือกอื่น มันบังคับให้คุณต้องอยู่รอด” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าแต่ละครั้งที่พวกเขาเผชิญกับอุปสรรค พวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น มีกระบวนการทำงานที่ดีขึ้น และมีทีมที่ดีขึ้น

นอกจากการเอาชนะความท้าทายด้านการผลิตแล้ว Nothing ยังให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์และชุมชนผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง

Carl อธิบายว่า “ผู้ใช้ปัจจุบันของเราบางส่วนเป็นคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยี และบางส่วนเป็นคนสร้างสรรค์ คนที่ชอบการออกแบบ ชอบแฟชั่นและดนตรี” การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการออกแบบที่สวยงามเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ Nothing

หนึ่งในนวัตกรรมที่โดดเด่นของ Nothing คือ อินเตอร์เฟซ Glyph บนสมาร์ทโฟนของพวกเขา Carl อธิบายแนวคิดเบื้องหลังว่า “เราต้องการให้ผู้คนสามารถพลิกโทรศัพท์และรู้ถึงสิ่งสำคัญทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นผ่านไฟที่ด้านหลังของโทรศัพท์ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องเปิดหน้าจอหรือปลดล็อคตลอดเวลา” นี่เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานของผู้ใช้เป็นหลัก

Carl ยังแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการสร้างสมดุลระหว่างการบริหารจัดการและความคิดสร้างสรรค์ในธุรกิจฮาร์ดแวร์ เขาแนะนำว่าผู้ประกอบการควรเน้นที่การอยู่รอดและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ (แบบ Tim Cook) ประมาณ 80% และใช้ความคิดสร้างสรรค์ (แบบ Jony Ive) ประมาณ 20% โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น และค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนของความคิดสร้างสรรค์เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจจะเริ่มต้นสตาร์ทอัพฮาร์ดแวร์ Carl มีคำแนะนำว่า “มันจะยากแน่ๆ แต่มันทำได้ถ้าคุณอยากทำ” เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนและการสร้างความน่าเชื่อถือไปทีละขั้น “ให้คิดว่าเราจะสร้างความน่าเชื่อถือไปสู่สิ่งต่อไปได้อย่างไร” เขากล่าว

Carl ยังเน้นย้ำถึงความพึงพอใจในการเห็นผู้คนใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขามีส่วนร่วมในการสร้าง โดยเฉพาะเมื่อแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เส้นทางของ Carl Pei และ Nothing แสดงให้เห็นว่าแม้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย การสร้างสตาร์ทอัพฮาร์ดแวร์ก็เป็นไปได้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ความมุ่งมั่น และความสามารถในการปรับตัว สตาร์ทอัพสามารถก้าวผ่านอุปสรรคและสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้

บทเรียนจากประสบการณ์ของ Carl ไม่เพียงแต่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่สนใจในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการในทุกสาขาอีกด้วย

References :
How Nothing Founder Carl Pei Built A Multi-Million Dollar Smartphone Brand In Just 2 Years
https://youtu.be/uZVyBc1CKN0?si=M7Q_q6Wqe9z5022u

สร้างธุรกิจด้วยหัวใจ : จากทะเลทรายโกบีสู่แบรนด์ร้อยล้าน เส้นทางสุดผจญภัยของแบรนด์ Naadam

ในโลกของการเริ่มต้นธุรกิจ บางครั้งเส้นทางสู่ความสำเร็จอาจไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ แต่กลับเป็นการผจญภัยที่พาเราไปสู่จุดหมายปลายทางที่ไม่คาดคิด นี่คือเรื่องราวของ Matt Scanlan ผู้ก่อตั้ง Naadam แบรนด์เสื้อผ้าแคชเมียร์ที่ไม่เพียงแต่สร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิตในอุตสาหกรรมแฟชั่นอีกด้วย

Matt เริ่มต้นเส้นทางของเขาในวัย 24 ปี ด้วยความรู้สึกว่าชีวิตขาดจุดหมาย แม้จะมีงานในแวดวงการเงินที่มั่นคง แต่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่เส้นทางที่จะนำไปสู่ความสุขที่แท้จริง การตัดสินใจครั้งสำคัญของเขาคือการลาออกจากงานและออกเดินทาง ซึ่งนำพาเขาไปพบกับ Diederik Rijsemus เพื่อนร่วมวิทยาลัยที่มีความสนใจในการพัฒนาเศรษฐกิจของมองโกเลีย

การเดินทางครั้งนั้นพาพวกเขาไปสู่ทะเลทรายโกบี ที่ซึ่งพวกเขาได้ใช้เวลาสามสัปดาห์อาศัยอยู่กับครอบครัวผู้เลี้ยงแพะ ประสบการณ์นี้ไม่เพียงแต่เปิดโลกทัศน์ของพวกเขา แต่ยังทำให้พวกเขาเห็นถึงความไม่เป็นธรรมในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมแคชเมียร์ ผู้เลี้ยงแพะซึ่งเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบตั้งต้นกลับได้รับผลตอบแทนน้อยที่สุด ในขณะที่คนกลางกลับได้รับส่วนแบ่งที่มากเกินไป

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ Matt และ Diederik ตัดสินใจที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง แต่การเริ่มต้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาต้องหาเงินทุน 2.5 ล้านดอลลาร์ ซึ่งในที่สุดก็ได้มาจากการกู้ยืมโดยใช้บ้านของพ่อแม่ Matt เป็นหลักประกัน นี่เป็นการเสี่ยงครั้งใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของครอบครัวในวิสัยทัศน์ของพวกเขา

การซื้อขนแกะโดยตรงจากผู้เลี้ยงแพะในมองโกเลียเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการผจญภัยอันยาวนาน พวกเขาต้องจัดการกับความท้าทายมากมาย ตั้งแต่การขนส่งขนแกะออกจากทะเลทรายโกบี ไปจนถึงการแปรรูปในจีนและอิตาลี แต่ละขั้นตอนเต็มไปด้วยอุปสรรคที่ต้องเอาชนะ

เมื่อได้ผลิตภัณฑ์แรกออกมา Matt ไม่รอช้าที่จะนำออกไปเสนอขาย เขาขับรถจาก Maine ไปจนถึง Charleston แวะตามร้านค้าต่างๆ เพื่อนำเสนอเสื้อกันหนาวของพวกเขา การเล่าเรื่องราวเบื้องหลังผลิตภัณฑ์กลายเป็นจุดขายสำคัญ ทำให้ลูกค้าเข้าใจถึงคุณค่าและความพิเศษของสินค้า

Naadam เติบโตอย่างรวดเร็วจากธุรกิจเล็กๆ ที่ดำเนินการจากอพาร์ตเมนต์ กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกที่มียอดขายกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 ความสำเร็จนี้มาจากหลายปัจจัย ทั้งคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การตั้งราคาที่สมเหตุสมผล และเรื่องราวที่น่าสนใจของแบรนด์

แม้ว่า Naadam จะขายเสื้อกันหนาวแคชเมียร์ในราคาเพียง 98 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ แต่พวกเขายังคงสามารถจ่ายให้ผู้เลี้ยงแพะในราคาที่สูงกว่าคู่แข่งถึงสองเท่า นี่เป็นผลมาจากการตัดคนกลางออกและการควบคุมทุกขั้นตอนในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้สามารถลดต้นทุนและส่งต่อประโยชน์นี้ให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่ความสำเร็จไม่ได้ราบรื่นเสมอไป Matt เผชิญกับความท้าทายมากมาย รวมถึงความพยายามที่ล้มเหลวในการควบรวมกิจการกับแบรนด์อื่นๆ ในปี 2023 แต่ประสบการณ์เหล่านี้กลับทำให้เขาเห็นความสำคัญของการโฟกัสที่ความสามารถในการทำกำไรและการสร้างอัตลักษณ์ของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

Matt มองว่าการเป็นผู้ประกอบการเป็นประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกถ่อมตัวมากที่สุด เขาเปรียบเทียบมันกับการนั่งรถไฟเหาะที่บางครั้งก็ท้าทายและยากลำบาก แต่เมื่อทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี มันก็เป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นและน่าทึ่งที่สุด

สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง บทเรียนสำคัญที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากเรื่องราวของ Naadam คือ:

  1. มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่มากกว่าแค่การทำกำไร
  2. กล้าที่จะท้าทายวิธีการดั้งเดิมและมองหาโอกาสในการสร้างนวัตกรรม
  3. ให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้ผลิตไปจนถึงผู้บริโภค
  4. เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายและมีความยืดหยุ่นในการปรับตัว

ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสร้างธุรกิจที่มีความหมายและยั่งยืนอาจเป็นความท้าทาย แต่เรื่องราวของ Naadam แสดงให้เห็นว่า ด้วยความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และความรับผิดชอบต่อสังคม เราสามารถสร้างธุรกิจที่ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จ แต่ยังสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับโลกของเราได้

การเดินทางของ Matt Scanlan และ Naadam เป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคนกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะลงมือทำ และกล้าที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในจุดไหนของการเดินทางในโลกธุรกิจ จงจำไว้ว่าทุกการเดินทางเริ่มต้นด้วยก้าวแรก และด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน คุณก็สามารถสร้างความสำเร็จที่มีความหมายและยั่งยืนได้เช่นกัน

References :
I Took A $2.5 Million Loan To Start A Fashion Brand — Now It Brings In $100 Million/Year
https://youtu.be/2C0rPOlIZzw?si=gdffwnlmMeP7alJ8

Trevor Milton จากฝันสู่คุก : ถอดหน้ากาก Nikola Motors เมื่อสิ่งที่โม้ว่าคือ ‘นวัตกรรม’ กลับกลายเป็นเพียงภาพลวงตา

ในทุกวันนี้เรามักได้ยินเรื่องราวของผู้ประกอบการหนุ่มสาวที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว สร้างธุรกิจพันล้านจากไอเดียเพียงเล็กน้อย แต่บางครั้ง เส้นแบ่งระหว่างวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่กับการหลอกลวงก็บางเฉียบเสียจนแทบมองไม่เห็น

เรื่องราวของ Trevor Milton และบริษัท Nikola Motors เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ความทะเยอทะยานและความโลภนำไปสู่การหลอกลวงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยียานยนต์

Trevor Milton เกิดในปี 1982 ในรัฐ Utah สหรัฐอเมริกา เขาเติบโตมาในครอบครัวที่มีความยากลำบาก แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่เขาอายุเพียง 14 ปี ทำให้เขาและพี่น้องอีก 4 คนต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอดด้วยตนเอง ประสบการณ์อันเจ็บปวดในวัยเด็กนี้อาจเป็นแรงผลักดันให้ Trevor มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต

หลังจบมัธยมปลาย Trevor ได้เป็นมิชชันนารีมอร์มอนในชุมชนแออัดของบราซิล ประสบการณ์นี้ทำให้เขาได้เห็นปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมในมุมมองที่กว้างขึ้น

เมื่อกลับมาที่ Utah ในปี 2003 เขาเข้าเรียนที่ Utah Valley State College ในสาขาการขายและการตลาด แต่เรียนได้เพียงเทอมเดียวก็ลาออก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง

จุดเริ่มต้นของเส้นทางธุรกิจ Trevor เริ่มจากการก่อตั้งบริษัทขายระบบรักษาความปลอดภัย ซึ่งเขาสามารถขายต่อได้ในราคา 300,000 ดอลลาร์ แม้จะเป็นความสำเร็จเล็กๆ แต่มันก็ดูเหมือนจะมีเค้าลางของปัญหาแล้ว

ผู้ซื้อกล่าวหาว่า Trevor สัญญาเกินจริงเกี่ยวกับศักยภาพของธุรกิจ ทำให้พวกเขาขาดทุน นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาว่าเขาโกงหุ้นส่วนทางธุรกิจเป็นเงิน 50,000 ดอลลาร์ระหว่างการขายอีกด้วย

ต่อมาในปี 2009 Trevor หันไปทำธุรกิจโฆษณาออนไลน์ด้วยเว็บไซต์ขายรถมือสอง ก่อนที่จะก้าวกระโดดครั้งใหญ่สู่การสร้างเครื่องยนต์สำหรับยานพาหนะ แม้จะไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนี้เลย แต่ด้วยความมั่นใจและทักษะการขาย Trevor สามารถก่อตั้งบริษัท dHybrid ขึ้นมาได้ โดยมีแผนการที่จะเปลี่ยนเครื่องยนต์ดีเซลที่มีอยู่ให้ทำงานด้วยก๊าซ CNG

ทักษะการขายขั้นเทพของ Trevor ทำให้เหยื่อหลายรายหลงเชื่อ (CR:Wikipedia)
ทักษะการขายขั้นเทพของ Trevor ทำให้เหยื่อหลายรายหลงเชื่อ (CR:Wikipedia)

แนวคิดนี้ดูน่าสนใจ เพราะก๊าซธรรมชาติปล่อยมลพิษน้อยกว่า มีค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า และโดยรวมแล้วปลอดภัยกว่าเชื้อเพลิงดีเซล Trevor สามารถโน้มน้าวให้บริษัท Swift Transportation ลงทุน 2 ล้านดอลลาร์ในโครงการนี้ โดยมีแผนจะเริ่มต้นด้วยการดัดแปลงรถบรรทุก 10 คันเป็นการทดลอง แล้วตามด้วยอีก 800 คันในภายหลัง

แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นไปตามที่สัญญา จากคดีความในปี 2012 เผยว่ามีการส่งมอบรถเพียง 5 คันเท่านั้น และเครื่องยนต์ที่ดัดแปลงก็มีปัญหาใหญ่ ไม่สามารถทำงานได้ตามที่อ้างไว้ ยิ่งไปกว่านั้น Trevor ยังใช้เงินลงทุนส่วนหนึ่งผลาญไปกับชีวิตส่วนตัวอันหรูหราของเขา

เมื่อถูกกดดันจากปัญหาทางกฎหมาย Trevor ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ด้วยการก่อตั้งบริษัท dHybrid Systems ร่วมกับพ่อของเขา โดยยังคงทำงานกับเทคโนโลยีเดียวกัน แต่หนีปัญหาทางกฎหมายที่เคยติดตัวเขามา ความคิดหัวหมอนี้ทำให้หุ้นส่วนทั้งหมดของ dHybrid เดิมสูญเสียผลประโยชน์ไปทั้งหมด

น่าประหลาดใจที่แผนการนี้ประสบความสำเร็จ บริษัท Worthington Industries ตกลงซื้อ dHybrid Systems ในราคา 16 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าในความเป็นจริงบริษัทจะอยู่ในสภาพย่ำแย่

ในการสนทนาส่วนตัว Trevor ยอมรับว่าชิ้นส่วนของระบบเครื่องยนต์หลุดออกจากรถบรรทุก ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่สิ่งเดียวที่สำคัญสำหรับเขาในตอนนั้นคือการได้รับเงินจากการขายกิจการ

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 2014 เมื่อ Trevor ก่อตั้งบริษัทที่ต่อมากลายเป็น Nikola Motors ในขณะที่ Worthington กำลังขาดทุนหลายล้านจากปัญหาเครื่องยนต์ของ dHybrid แต่ตัวของ Trevor กลับสามารถสร้างกำไรได้อย่างงดงาม

เขายังคงสามารถโน้มน้าวผู้คนคิดว่าเขามีเทคโนโลยีสุดล้ำ และในวันที่ 9 พฤษภาคม 2016 Nikola Motors ก็ประกาศเปิดตัว Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง

Nikola One ถูกนำเสนอว่าสามารถเดินทางได้ไกลถึง 1,000 ไมล์โดยไม่ต้องหยุด และใช้เวลาเติมพลังงานเพียง 15 นาทีก็สามารถวิ่งได้อีก 1,000 ไมล์ ในตลาดรถบรรทุกทั่วโลกที่มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ เทคโนโลยีเช่นนี้หากเป็นจริงย่อมเป็นตัวเปลี่ยนเกมได้อย่างแน่นอน

 Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง (CR:FreightWaves)
Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง (CR:FreightWaves)

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า Nikola ซื้อการออกแบบมาจากชายคนหนึ่งในโครเอเชียในราคาเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ แต่นี่ไม่ได้หยุดยั้งบริษัทจากการฟ้องร้อง Tesla เป็นเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่า Tesla ขโมยการออกแบบของพวกเขาไป ซึ่งเป็นการกระทำที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง

โลกต่างตื่นเต้นกับข่าวของรถบรรทุกปฏิวัติวงการนี้ แต่ความจริงแล้ว เทคโนโลยีที่ Nikola อ้างว่าจะใช้ก็คือเทคโนโลยีก๊าซ CNG เช่นเดียวกับที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในบริษัท dHybrid นั่นเอง

Nikola กำหนดจะเปิดตัวรถบรรทุกสุดล้ำของเขาในเดือนธันวาคม 2016 โดยที่พวกเขาเริ่มรับคำสั่งซื้อล่วงหน้าแล้ว โดยประกาศว่า Nikola One ได้รับการออกแบบ พัฒนา และกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการประกอบ

แต่ความจริงแล้ว ในเดือนสิงหาคม 2016 Nikola One เป็นเพียงโครงรถบนล้อเท่านั้น ตัวถังยังไม่มาถึงด้วยซ้ำ ไม่มีโรงงานผลิต และตามแหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับโครงการนี้ คนงานต้องรีบวิ่งไปร้านฮาร์ดแวร์เพื่อหาชิ้นส่วนพื้นฐาน แต่บัญชี Twitter ของ Nikola Motor Company ก็ยังคงโปรโมตงานอย่างหนัก เน้นย้ำว่ารถบรรทุกจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์

ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม บริษัทประกาศอย่างกะทันหันว่าพวกเขาได้เปลี่ยนจากเทคโนโลยีก๊าซ CNG ไปเป็นเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน การประกาศนี้ทำให้แม้แต่คนในบริษัทเองยังตกใจ

เมื่อใกล้ถึงวันงานในกลางเดือนพฤศจิกายน ทีมงานทำงานอย่างหนักเพื่อประกอบรถบรรทุกเข้าด้วยกัน แต่ไม่มีแกนมอเตอร์ไฟฟ้าหรือเกียร์ มีเพียงเพลาในโครงรถเปล่าๆ ตัวถังมาถึงในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนงาน สัญลักษณ์ H2 ซึ่งเป็นสูตรเคมีของไฮโดรเจน ถูกติดอย่างภาคภูมิใจที่ด้านข้างของรถ แม้ว่าจะไม่มีเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่ภายในก็ตาม

เมื่อถึงวันสำคัญ Trevor ดูเหมือนจะไม่สามารถระงับอารมณ์ได้เมื่อพูดบนเวที เขาเน้นย้ำถึงความสำเร็จของ Nikola One ว่าเป็น “รถบรรทุกที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์”

แม้ว่าความจริงแล้ว รถบรรทุกทั้งคันจะใช้พลังงานจากสายไฟหลักที่เชื่อมต่อใต้เวที หน้าจอสัมผัสภายในห้องโดยสารดูเหมือนจะเป็นส่วนเดียวของรถบรรทุกที่ทำงานได้จริง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการตกแต่งที่สวยงามเพื่อหลอกลวงผู้ชมเพียงเท่านั้น

แม้จะมีปัญหามากมาย แต่การนำเสนอของ Trevor ก็สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมและสื่อมวลชน ในโลกอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยกระแสความตื่นเต้น และจากนั้น Nikola ก็เริ่มก้าวสู่การแข่งขันในตลาดอย่างจริงจัง

หลังจากงานในเดือนมกราคม 2017 บริษัทได้ระดมทุนในรอบ Series A นอกจากนี้ Nikola ยังได้ลงนามความร่วมมือกับ Bosch รวมถึงพันธมิตรด้านเซลล์เชื้อเพลิงและไฮโดรเจน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปและความตื่นเต้นจากงานในเดือนธันวาคม 2016 จางหายไป ผู้คนที่ติดตามอย่างใกล้ชิดเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความคืบหน้าของ Nikola One

ดังนั้นในต้นปี 2018 จึงมีการผลิตวิดีโอของ Nikola One เพื่อขจัดข่าวลือที่ว่ามันไม่ใช่รถบรรทุกที่ทำงานได้จริง วิดีโอมีชื่อว่า “Nikola One in Motion” และดูเหมือนว่าวิดีโอจะสร้างความเชื่อมั่นได้ แม้แต่ผู้ว่าการรัฐ Arizona Doug Ducey ก็ยังประทับใจ เขาตกลงที่จะเป็นเจ้าภาพเพื่อจัดสร้างโรงงานผลิตหลักของ Nikola ในรัฐของเขา

แต่ความจริงที่น่าตกใจก็คือ วิดีโอนั้นเป็นเพียงผลจากการที่ Nikola ลากรถบรรทุกขึ้นไปบนยอดเนิน แล้วปล่อยให้มันไหลลงมาเท่านั้น ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ที่ทำงานในวิดีโอต้องเซ็นสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูล (NDA) เพื่อปกปิดความจริงนี้

ในเดือนพฤศจิกายน 2019 Trevor Milton ถอนเงินสด 70 ล้านดอลลาร์และซื้อบ้านสุดหรูในรัฐ Utah บ้านราคา 33 ล้านดอลลาร์บนที่ดิน 2,600 เอเคอร์ เขาบอกกับ Wall Street Journal ว่าสถานที่แห่งนี้เป็น “สถานที่พักผ่อนสำหรับครอบครัว เพื่อน และคนอื่นๆ ที่จะมาเพลิดเพลิน” แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งที่เขาได้รับจากความสำเร็จของ Nikola

ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2019 Nikola เริ่มเจรจาเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ วันถัดมา บริษัทประกาศว่าพวกเขาได้แก้ปัญหาที่ท้าทายที่สุดอย่างหนึ่งของเรื่องพลังงานยั่งยืน นั่นคือแบตเตอรี่ความหนาแน่นสูง โดยอ้างว่าต้นแบบแบตเตอรี่ใหม่นี้จะให้พลังงานมากกว่าลิเธียมไอออน 4 เท่า และสามารถขับเคลื่อนรถยนต์ Tesla Model S ได้ไกลกว่า 600 ไมล์

Trevor อ้างว่าเขาได้เห็นเทคโนโลยีนี้ทำงานด้วยตาตัวเอง และสัญญาว่าจะมีการสาธิตให้โลกได้ยลโฉม ซึ่งหลังจากการประกาศนี้ Nikola Motors ก็ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง และ Anheuser-Busch ก็เป็นรายแรกที่สั่งจองรถบรรทุก 800 คัน Trevor ประเมินว่ามูลค่าของเทคโนโลยีใหม่นี้จะมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

แต่ความจริงที่น่าตกใจก็คือ Nikola ไม่มีสิทธิบัตร วิศวกร นักเคมี หรือบทความวิจัยที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่นี้เลย ความจริงก็คือ Nikola ได้ซื้อบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ ZapGo มาในราคา 56 ล้านดอลลาร์ แต่ปรากฏว่าเทคโนโลยีของ ZapGo เป็นเพียงการหลอกลวง ไม่มีอยู่จริง

ที่น่าสนใจคือ ZapGo ที่นำโดย Charles Resnick เป็นตัวละครที่น่าสงสัยซึ่งเพิ่งหลอกลวง NASA เมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่จะมีการดีลกับ Nikola ซึ่งในภายหลัง Charles ได้รับสารภาพผิดในเดือนมกราคม 2020 แต่ Trevor ยังคงโฆษณาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ไม่มีอยู่จริงนี้อย่างต่อเนื่อง

ด้วยการที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำคุยโวว่าบริษัทกำลังสร้างรถบรรทุกที่ปฏิวัติวงการ และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่เปลี่ยนเกมซึ่งซื้อมาจากบริษัทที่เป็นการหลอกลวง

Nikola เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2020 ผ่านการควบรวมกิจการแบบย้อนกลับ (reverse merger) ซึ่งไม่จำเป็นต้องเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของบริษัทเหมือนการเสนอขายหุ้น IPO ปกติ

นักลงทุนต่างตื่นเต้น และหุ้นของ Nikola พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าตลาดของ Nikola พุ่งสูงกว่า Ford มากกว่า 30 พันล้านดอลลาร์ ทั้งที่ Ford ขายรถยนต์ได้ 5.5 ล้านคันในปี 2019 มีรายได้ 155 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ Nikola แทบจะยังไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ

ในวันที่ 8 กันยายน 2020 Nikola Motors ประกาศความร่วมมือมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์กับ General Motors โดย GM จะถือหุ้น 11% ในบริษัท และผลิตรถกระบะไฟฟ้า Nikola Badger ให้กับพวกเขา แต่ไม่มีใครเคยได้ยลโฉม Nikola Badger คันจริงๆ เลย มีแต่ภาพเรนเดอร์เท่านั้น

Nikola Badger ที่มีเพียงแต่ภาพเรนเดอร์ (CR:InsideEVs)
Nikola Badger ที่มีเพียงแต่ภาพเรนเดอร์ (CR:InsideEVs)

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2020 เมื่อบริษัทลงทุนที่เน้นการขายหุ้นชอร์ต Hindenburg Research เผยแพร่รายงานที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง เรียก Nikola Motors ว่าเป็น “การฉ้อโกงที่ซับซ้อน” โดยรวบรวมหลักฐานมากมาย ทั้งการบันทึกการโทรศัพท์ ข้อความ อีเมลส่วนตัว และภาพถ่ายเบื้องหลัง ซึ่งแสดงรายละเอียดคำแถลงเท็จหลายสิบรายการของ Trevor Milton

หลังจากรายงานนี้เผยแพร่ Trevor ได้ออกมากล่าวว่าจะโต้แย้งข้อกล่าวหาทั้งหมด แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขากลับลบบัญชีโซเชียลมีเดียของเขาและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ในวันที่ 21 กันยายน Trevor ลาออกจากตำแหน่งประธาน และ Stephen Girsky อดีตรองประธานของ GM เข้ามารับตำแหน่งแทน หุ้นของ Nikola ดิ่งลง 40% และการเจรจาระหว่าง Nikola กับพันธมิตรรายอื่นๆ หยุดชะงัก

ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2021 คณะลูกขุนใหญ่ของรัฐบาลกลางตั้งข้อหา Trevor Milton 3 ข้อหาเกี่ยวกับการฉ้อโกงทางอาญา สำนักงานอัยการสหรัฐในแมนฮัตตันกล่าวหามหาเศรษฐีวัย 39 ปีว่าโกหกนักลงทุน ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับบริษัท และฉ้อโกง

นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ยังยื่นฟ้องข้อหาฉ้อโกงหลักทรัพย์ทางแพ่งต่อเขา โดยขอให้ศาลสั่งห้ามเขาดำรงตำแหน่งในบริษัทแบบถาวร และสั่งให้เขาจ่ายค่าปรับ รวมถึงคืนรายได้ใดๆ ที่ได้มาจากการหลอกลวงของเขา

แน่นอนว่า Trevor Milton ปฏิเสธการกระทำผิดทั้งหมดและให้การปฏิเสธต่อข้อกล่าวหา ในขณะเดียวกัน Nikola ยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปภายใต้การบริหารงานชุดใหม่ แต่ต้องบอกว่าการแก้ไขทิศทางของบริษัทที่สร้างขึ้นจากคำกล่าวอ้างที่หลอกลวงโดยคนโกหกหน้าด้าน ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ข้อตกลงกับ GM ยังคงอยู่ในสภาวะคลุมเครือ ราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำสุดตลอดกาล และความเชื่อมั่นในบริษัทลดลงทุกวัน Bosch, General Motors และนักลงทุนอีกมากมายต้องแบกรับภาระนี้

คำถามสำคัญที่ต้องถามคือ บริษัทเหล่านี้ไม่ได้ทำการตรวจสอบ due diligence อย่างถี่ถ้วนก่อนเข้าร่วมลงทุนหรือทำสัญญากับ Nikola หรืออย่างไร

เรื่องราวของ Trevor Milton และ Nikola Motors เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักลงทุนและอุตสาหกรรมเทคโนโลยี มันแสดงให้เห็นว่าความกระตือรือร้นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของ “The Next Big Things” อาจทำให้ผู้คนมองข้ามสัญญาณเตือนภัยที่สำคัญได้ง่ายเพียงใด

แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสิ่งที่คุณสัญญาไว้กลายเป็นเรื่องยากกว่าที่มโนไว้มาก? เมื่อไหร่ที่คุณจะผ่านจุดที่ไม่มีทางที่จะหันหัวกลับและต้องโกหกต่อไปจนกว่าจะถูกจับได้? สำหรับ Trevor Milton เขาเลือกที่จะโกหกต่อไปจนถึงที่สุด โดยหวังว่าจะสามารถทำให้คำคุยโวโอ้อวดของเขาเป็นจริงได้ก่อนที่ความจริงจะถูกเปิดเผย

ในแง่หนึ่ง เรื่องราวของ Trevor Milton และ Nikola Motors ก็อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ บางทีเขาอาจทำทั้งหมดนี้เพื่อดูแลครอบครัวที่เคยทุกข์ทรมานมากในช่วงวัยเด็ก แต่มันก็อาจเป็นเพียงความโลภล้วนๆ ก็ได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การกระทำของเขาก็สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้กับนักลงทุน พนักงาน และความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าโดยรวม

บทเรียนสำคัญจากเรื่องราวนี้คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์อย่างละเอียดเป็นสิ่งจำเป็นในโลกธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า นักลงทุนควรระมัดระวังกับคำคุยโวที่ฟังดูดีเกินจริงและตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน

ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการควรตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับการระดมทุนและการสร้างความคาดหวังให้กับสาธารณชน การโกหกหรือการสร้างภาพลวงตาอาจนำไปสู่ผลกำไรในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้ว มันสามารถทำลายชื่อเสียงและอาชีพของคุณได้อย่างสิ้นเชิง

ท้ายที่สุด เรื่องราวของ Nikola Motors เป็นเครื่องเตือนใจว่าในโลกของนวัตกรรมและการลงทุน ความจริงมักจะปรากฏในที่สุด และผลของการหลอกลวงนั้นมีราคาแพงเกินกว่าที่ใครจะจ่ายไหว การสร้างธุรกิจบนพื้นฐานของความซื่อสัตย์และความโปร่งใสอาจเป็นเส้นทางที่ยากกว่า แต่ก็เป็นเส้นทางเดียวที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

References :

  1. CNBC – https://www.cnbc.com/2021/07/29/us-prosecutors-charge-trevor-milton-founder-of-electric-carmaker-nikola-with-three-counts-of-fraud.html
  2. The Verge – https://www.theverge.com/2020/9/21/21449203/nikola-trevor-milton-resigns-fraud-allegations-hindenburg-research
  3. Bloomberg – https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-09-28/nikola-founder-milton-s-fall-reveals-what-his-backers-feared
  4. Financial Times – https://www.ft.com/content/6711e9c0-dda5-43ab-89e7-7b17f10f87db
  5. https://en.wikipedia.org/wiki/Trevor_Milton

นักลงทุนอัจฉริยะหรือนักพนันผู้โชคดี? ถอดรหัสความสำเร็จของ Masayoshi Son ฉายา ‘คนบ้า’ แห่งวงการเทคโนโลยี

ในโลกแห่งธุรกิจและเทคโนโลยี มีชื่อหนึ่งที่โดดเด่นและสร้างความฮือฮามาโดยตลอด นั่นคือ มาซาโยชิ ซัน (Masayoshi Son) ชายผู้มาจากครอบครัวผู้อพยพเกาหลีที่ต้องเริ่มต้นชีวิตด้วยความยากจนในญี่ปุ่น แต่กลับสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี

เรื่องราวของมาซาโยชิเริ่มต้นจาก ปู่ย่าตายายของเขาอพยพมาญี่ปุ่นจากเกาหลีใต้โดยซ่อนตัวในเรือประมงเล็กๆ พวกเขามาถึงญี่ปุ่นโดยไม่มีอะไรติดตัวเลย ไม่มีอาหาร ไม่มีที่พัก และไม่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้

ชีวิตในวัยเด็กของมาซาโยชิก็ไม่ได้สดใสนัก เขาถูกมองว่าเป็นคนนอกในสังคมญี่ปุ่นเพราะเชื้อสายของเขา เพื่อนร่วมชั้นถึงกับขว้างก้อนหินใส่เขา ส่วนพ่อของเขาแทบจะหาเงินไม่พอเลี้ยงปากท้องครอบครัว ต้องทำงานสารพัดอย่างเท่าที่จะหาได้ ตั้งแต่เลี้ยงหมูไปจนถึงขายเหล้าเถื่อน

แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความฝันอันยิ่งใหญ่ เด็กชายผู้นี้ได้วางแผนชีวิตของตัวเองตั้งแต่ยังเรียนมัธยมต้น เขาตั้งใจว่าจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดในญี่ปุ่น ความมุ่งมั่นนี้นำพาให้เขาได้พบกับ เด็น ฟูจิตะ ผู้นำแมคโดนัลด์เข้ามาในญี่ปุ่น ซึ่งต่อมากลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของเขา

ด้วยคำแนะนำของฟูจิตะ มาซาโยชิตัดสินใจเดินทางไปอเมริกาเพื่อไล่ตามความฝันทางธุรกิจ เมื่ออายุเพียง 16 ปี เขาเดินทางไปแคลิฟอร์เนีย ฝึกภาษาอังกฤษ และเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายอเมริกัน

แต่ด้วยความกระตือรือร้นและความสามารถอันโดดเด่น เขาสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างรวดเร็ว โดยเรียนเศรษฐศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

ช่วงเวลาในมหาวิทยาลัยเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยทางธุรกิจของมาซาโยชิ เขาเริ่มคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ โดยใช้เวลาเพียงวันละ 5 นาที ด้วยความคิดที่ว่านี่คือการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

แนวคิดนี้นำไปสู่การคิดค้นอุปกรณ์แปลภาษาพกพา ซึ่งต่อมาเขาได้ขายสิทธิบัตรให้กับบริษัท Sharp ในราคา 1.7 ล้านดอลลาร์ ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีเงินล้านตั้งแต่อายุเพียง 19 ปี

นอกจากนี้ มาซาโยชิยังริเริ่มธุรกิจนำเข้าเครื่องเกมอาร์เคด Space Invaders จากญี่ปุ่นมาสู่สหรัฐฯ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว สร้างกำไรให้เขามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 6 เดือน

ความสำเร็จเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวไกลของมาซาโยชิ ซัน สู่การเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี

การก่อตั้ง SoftBank และการผจญภัยในโลกเทคโนโลยี

หลังจากจบการศึกษา มาซาโยชิกลับไปญี่ปุ่นตามที่สัญญากับแม่ไว้ ด้วยเงินที่หาได้จากอเมริกา เขาตั้งใจจะสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในบ้านเกิด หลังจากวิเคราะห์ไอเดียธุรกิจหลายสิบแบบ เขาตัดสินใจก่อตั้งบริษัทจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ชื่อ SoftBank

แม้ว่าในช่วงต้นทศวรรษ 1980 คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่มาซาโยชิมองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมนี้ เขาเชื่อมั่นว่า SoftBank จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์อันดับหนึ่งในญี่ปุ่น แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มีประสบการณ์ด้านซอฟต์แวร์เลยก็ตาม

การเริ่มต้นของ SoftBank ไม่ได้ราบรื่นนัก มาซาโยชิพยายามสร้างความสนใจในธุรกิจคอมพิวเตอร์ด้วยการทำนิตยสาร แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ หลายคนแนะนำให้เขาล้มเลิก แต่ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์อันกว้างไกล เขายังคงทุ่มเททรัพยากรและความพยายามเข้าไปในธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง

ในที่สุด ความพยายามของเขาก็เริ่มเห็นผล SoftBank ได้รับประโยชน์จากความต้องการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงต้นทศวรรษ 1990 แต่แล้วโชคร้ายก็เกิดขึ้น มาซาโยชิได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

ช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้มาซาโยชิมุ่งมั่นที่จะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เร็วกว่าเดิม และกล้าได้กล้าเสียมากขึ้น เพราะเขาตระหนักว่าชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะเสียเวลาไปกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ

ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 SoftBank เติบโตอย่างรวดเร็ว มีพนักงานถึง 800 คนและมีรายได้พันล้านดอลลาร์ มาซาโยชินำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนเพิ่มเติม และเริ่มขยายการลงทุนไปสู่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ

หนึ่งในการลงทุนที่โดดเด่นที่สุดของเขาคือการลงทุนในบริษัท Yahoo ด้วยมูลค่า 40 ล้านดอลลาร์ เมื่อ Yahoo เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่นานหลังจากนั้น มูลค่าของมันพุ่งขึ้นเป็น 808 ล้านดอลลาร์ สร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับ SoftBank

มาซาโยชิไม่เคยหยุดนิ่ง เขามักจะนำเงินที่ได้ไปลงทุนต่อในโอกาสใหม่ๆ เสมอ เมื่อถึงปลายทศวรรษ 1990 SoftBank ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เหมือนกองทุนร่วมลงทุน (venture capital fund) โดยเน้นการซื้อและลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีที่มาซาโยชิเชื่อมั่นในศักยภาพ

การลงทุนของมาซาโยชิมักจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและกล้าได้กล้าเสีย เช่น การลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ใน E-Trade หลังจากโทรศัพท์คุยกับผู้ก่อตั้งเพียงครั้งเดียว หรือการลงทุน 20 ล้านดอลลาร์ใน Alibaba ทั้งที่บริษัทยังไม่มีแผนธุรกิจหรือรายได้ชัดเจน เพียงเพราะเขาเห็น “ประกายในดวงตา” ของ Jack Ma ผู้ก่อตั้ง

มาซาโยชิ ที่เห็นอะไรบางอย่างในตัว Jack Ma (CR:Manager Magazin)
มาซาโยชิ ที่เห็นอะไรบางอย่างในตัว Jack Ma (CR:Manager Magazin)

แม้ว่าไม่ใช่ทุกการลงทุนจะประสบความสำเร็จ แต่มาซาโยชิเข้าใจดีว่าในโลกของการลงทุนแบบ venture capital เพียงเจอห่านทองคำในธุรกิจที่ประสบความสำเร็๗เพียงรายเดียวก็สามารถเอาชนะความล้มเหลวอื่นๆ ทั้งหมดได้ เขาไม่จำเป็นต้องถูกต้องในทุกการลงทุน ตราบใดที่เขามีความสำเร็จครั้งใหญ่ไม่กี่ครั้ง

Vision Fund และความท้าทายในยุค AI

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 มาซาโยชิยังคงมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ เขาเล็งเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อไปในวงการเทคโนโลยีจะเป็นการเปลี่ยนจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปสู่มือถือ ด้วยวิสัยทัศน์นี้ เขาได้ติดต่อ Steve Jobs และขอสิทธิ์ขาย iPhone แต่เพียงผู้เดียวในญี่ปุ่น

แม้ว่า Jobs จะปฏิเสธในตอนแรกเพราะ SoftBank ไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทมือถือในญี่ปุ่น แต่มาซาโยชิก็ไม่ย่อท้อ เขาตัดสินใจซื้อ Vodafone Japan ในราคาประมาณ 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้ได้สิทธิ์นั้นมา การตัดสินใจอันกล้าหาญนี้ทำให้ SoftBank สามารถขายสัญญาโทรศัพท์ได้จำนวนมหาศาล เพราะทุกคนต่างตื่นเต้นที่จะได้ใช้ iPhone รุ่นใหม่

ต่อมา มาซาโยชิได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ว่าจะเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ต่อไปในวงการเทคโนโลยี เขาเชื่อว่าสังคมกำลังเข้าใกล้จุดที่เรียกว่า Singularity ซึ่งเป็นจุดที่ปัญญาประดิษฐ์จะเหนือกว่าสติปัญญาของมนุษย์ ด้วยความเชื่อนี้ เขาจึงริเริ่มโครงการ Vision Fund

Vision Fund เป็นกองทุนร่วมลงทุนขนาดมหึมาถึง 100 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งใหญ่กว่ากองทุนอื่นๆ กว่า 4 เท่า วัตถุประสงค์หลักของกองทุนนี้คือการลงทุนในเทคโนโลยี AI และบริษัทที่นำ AI มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ

การระดมทุนสำหรับ Vision Fund เป็นเรื่องที่น่าทึ่ง มาซาโยชิสามารถระดมทุนเบื้องต้น 45 พันล้านดอลลาร์จากซาอุดีอาระเบียภายในเวลาเพียง 45 นาที นอกจากนี้ ยังมีเงินลงทุนจาก SoftBank เอง รวมถึงจากอาบูดาบี และบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Foxconn

อย่างไรก็ตาม Vision Fund ก็ไม่ได้ปราศจากข้อวิพากษ์วิจารณ์ หลายคนกล่าวหาว่ามาซาโยชิกำลังสร้างฟองสบู่ขนาดใหญ่และบิดเบือนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทต่างๆ โดยการทุ่มเงินมหาศาลเข้าไปในบริษัทที่อาจไม่ได้เป็น “บริษัทเทคโนโลยี” อย่างแท้จริง

นอกจากนี้ วิธีการลงทุนของมาซาโยชิที่มักจะตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยอาศัยสัญชาตญาณและการประชุมเพียงไม่กี่นาที ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการประมาทเลินเล่อ ตัวอย่างเช่น การลงทุน 4 พันล้านดอลลาร์ใน WeWork หลังจากการประชุมที่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โดยที่เขาไม่ได้ดูเอกสารนำเสนอด้วยซ้ำ

มาซาโยชิ ที่ดูเหมือนจะผิดพลาดกับ WeWork (CR:Mingtiandi)
มาซาโยชิ ที่ดูเหมือนจะผิดพลาดกับ WeWork (CR:Mingtiandi)

มาซาโยชิยังถูกกล่าวหาว่าใช้เงินทุนเป็นอาวุธ โดยทุ่มเงินไม่จำกัดให้กับบริษัทต่างๆ ด้วยความเชื่อว่าสตาร์ทอัพที่มีเงินทุนมากที่สุดจะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ในตลาดที่มีผู้ชนะเพียงรายเดียว แต่วิธีการนี้ก็ทำให้หลายบริษัทละเลยการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและทำกำไรได้จริง

แม้จะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาซาโยชิ ซัน เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกเทคโนโลยี เขามีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและความกล้าที่จะเสี่ยง ซึ่งทำให้เขาสามารถมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้าม

บทสรุป: มรดกและคำถามที่ยังคงค้างคาใจ

เรื่องราวของมาซาโยชิ ซัน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำเร็จที่เกิดจากความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ และความกล้าที่จะเสี่ยง เขาเริ่มต้นจากเด็กชายผู้ยากจนในครอบครัวผู้อพยพ และก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี

ตลอดเส้นทางอาชีพของเขา มาซาโยชิได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการมองเห็นแนวโน้มเทคโนโลยีในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การปฏิวัติอินเทอร์เน็ต การเปลี่ยนแปลงสู่ยุคสมาร์ทโฟน และล่าสุดคือการมาถึงของยุค AI เขามักจะเป็นคนแรกๆ ที่เข้าไปลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ และได้รับผลตอบแทนมหาศาล

อย่างไรก็ตาม วิธีการลงทุนของมาซาโยชิก็ไม่ได้ปราศจากข้อโต้แย้ง การตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยอาศัยสัญชาตญาณ และการทุ่มเงินมหาศาลเข้าไปในบริษัทที่ยังไม่มีกำไร ทำให้หลายคนสงสัยว่าเขากำลังสร้างฟองสบู่ขนาดใหญ่หรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีคำถามเกี่ยวกับผลกระทบของการลงทุนแบบ “ทุ่มสุดตัว” ของเขาที่มีต่อระบบนิเวศของสตาร์ทอัพและตลาดเทคโนโลยีโดยรวม

แม้ว่าจะมีทั้งผู้สนับสนุนและผู้วิจารณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ มาซาโยชิ ซัน ได้สร้างผลกระทบอย่างมหาศาลต่อโลกเทคโนโลยี การลงทุนของเขาได้ช่วยให้บริษัทมากมายเติบโตและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก

ในขณะเดียวกัน เรื่องราวของเขาก็เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างความกล้าที่จะเสี่ยงและความรอบคอบในการลงทุน แม้ว่าความกล้าและวิสัยทัศน์ของมาซาโยชิจะน่าชื่นชม แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาถึงความยั่งยืนและผลกระทบระยะยาวของการตัดสินใจทางธุรกิจด้วย

ท้ายที่สุดแล้ว คำถามที่ยังคงค้างคาใจคือ มาซาโยชิ ซัน เป็นนักลงทุนอัจฉริยะที่มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนกว่าใคร หรือเป็นเพียงนักพนันที่โชคดีกันแน่? คำตอบอาจจะไม่ใช่เพียงข้อใดข้อหนึ่ง แต่อาจเป็นการผสมผสานระหว่างความฉลาด วิสัยทัศน์ ความกล้า และโชคที่เข้ากันได้อย่างลงตัว

ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องราวของมาซาโยชิ ซัน ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เราตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้น กล้าที่จะฝัน และไม่กลัวที่จะเสี่ยงเพื่อสิ่งที่เราเชื่อ แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะสามารถหรือควรทำตามแนวทางของเขาทั้งหมด แต่เราทุกคนสามารถเรียนรู้จากความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของเขาได้

ในท้ายที่สุด มรดกของมาซาโยชิ ซัน อาจไม่ใช่แค่บริษัทที่เขาสร้างหรือเงินที่เขาทำได้ แต่เป็นการกระตุ้นให้เราทุกคนคิดใหญ่ มองไกล และกล้าที่จะท้าทายสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะบางทีสิ่งที่ดูเหมือนความบ้าคลั่งในวันนี้ อาจกลายเป็นความปกติในวันข้างหน้าก็เป็นได้นั่นเองครับผม

References :
https://en.wikipedia.org/wiki/Masayoshi_Son
https://money.cnn.com/interactive/technology/masayoshi-son-profile/index.html
https://fortune.com/2023/11/07/wework-bankruptcy-unicorns-venture-capital-softbank-masayoshi-son-billionaire/
https://www.linkedin.com/pulse/from-discrimination-billionaire-story-masayoshi-son-tech-vishwkarma/

จาก ‘0’ สู่จักรวรรดิ ‘Visa’ : ตำนานการถือกำเนิดบัตรเครดิตที่เปลี่ยนโลกการเงินไปตลอดกาล

ในโลกของการเงินและการชำระเงิน มีบริษัทหนึ่งที่ยืนเหนือคู่แข่งแทบจะทั้งหมด นั่นก็คือ Visa บริษัทที่กำหนดการไหลเวียนของเงินทั่วโลกมาเกือบ 8 ทศวรรษ ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่แทบไม่มีคู่แข่ง มาถึงวันนี้ Visa ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรมการเงินไปอย่างสิ้นเชิง

ในอดีต ผู้นำในวงการการเงินมักเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่มีงบดุลเป็นล้านล้านดอลลาร์ แต่ปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ Visa ซึ่งเป็นเพียงบริษัทประมวลผลการชำระเงิน ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทบริการทางการเงินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก โดยในปี 2023 Visa ประมวลผลปริมาณธุรกรรมรวมมูลค่ามหาศาลถึง 14.8 ล้านล้านดอลลาร์

แต่ Visa ไม่ได้ประสบความสำเร็จเช่นนี้โดยบังเอิญ เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้คือเรื่องราวอันน่าทึ่งของการต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ รวมถึงการแข่งขันที่ดุเดือดในอุตสาหกรรม และวิสัยทัศน์อันกล้าหาญของผู้นำที่มองการณ์ไกล

Visa สามารถก้าวขึ้นเป็นราชาแห่งบัตรเครดิตได้สำเร็จด้วยการกำจัดคู่แข่งอย่างไร้ความปรานี แต่เส้นทางสู่ความสำเร็จนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

จุดเริ่มต้นของ Visa ย้อนกลับไปในปี 1928 เมื่อ Amadeo Giannini นายธนาคารผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา สามารถทำให้ธนาคารของเขา Bank of America บรรลุเป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้ด้วยการมีสินทรัพย์มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์

ในขณะที่ฝั่งตะวันออกมีธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JP Morgan, Citibank และ Chase Bank ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ในฝั่งตะวันตก Bank of America กลับเป็นกำลังหลักในตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการอพยพของประชากรจำนวนมากเข้าสู่แคลิฟอร์เนีย

Giannini เป็นบุคคลที่มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เขาเกิดในครอบครัวผู้อพยพชาวอิตาเลียนและสามารถสร้างอาชีพที่ประสบความสำเร็จในฐานะพ่อค้าขายของชำ แต่เขารู้ดีว่าความสำเร็จของเขาจะไม่มีความหมายเลยหากเขาไม่สามารถช่วยเหลือคนในชุมชนของเขาเองได้ นั่นคือผู้อพยพชาวอิตาเลียนด้วยกัน

ความพิเศษของ Giannini คือความสามารถในการเข้าใจว่าผู้อพยพชาวอิตาเลียนถูกเลือกปฏิบัติและดูถูกอย่างไร ดังนั้นเขาจึงยืนหยัดเคียงข้างพวกเขาเพื่อพัฒนาทั้งชุมชนอิตาเลียน-อเมริกันและทั้งรัฐแคลิฟอร์เนีย เขาเป็นหนึ่งในนายธนาคารคนแรกๆ ที่กล้าปล่อยกู้ให้กับชนชั้นกลางและกลุ่มผู้อพยพ

ไม่นานนัก Giannini ก็ตระหนักถึงความจริงที่สำคัญ การเปิดธนาคารของตัวเองจะช่วยให้เขาสามารถปล่อยกู้ให้กับคนในชุมชนได้มากขึ้นและสร้างผลกระทบได้มากขึ้น

Amadeo Giannini ที่ก่อตั้งธนาคารเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้อพยพ (CR:Wikipedia)
Amadeo Giannini ที่ก่อตั้งธนาคารเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้อพยพ (CR:Wikipedia)

ในปี 1904 เขาจึงตัดสินใจก่อตั้ง Bank of Italy ในซานฟรานซิสโก การทำงานหนักและความเอื้อเฟื้อของเขาต่อชนชั้นแรงงานกลายเป็นรากฐานของความสำเร็จที่กำลังเติบโตของเขา ธนาคารของเขาเป็นธนาคารที่แตกต่างจากที่อื่นโดยสิ้นเชิง ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเอื้อเฟื้อแบบสมบูรณ์

แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือวิสัยทัศน์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นจากการติดต่อใกล้ชิดกับคนธรรมดาสามัญ Giannini คว้าโอกาสที่สมบูรณ์แบบในขณะที่แคลิฟอร์เนียก้าวเข้าสู่ยุคการเติบโตในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในขณะที่เศรษฐกิจของแคลิฟอร์เนียกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ธนาคารของ Giannini ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในช่วงปลายทศวรรษ 1920 ธนาคารของเขามีสินทรัพย์มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และผ่านการควบรวมกิจการหลายครั้ง จนได้ชื่อใหม่ว่า Bank of America

ตั้งแต่แรกเริ่ม Giannini มีวิสัยทัศน์เฉพาะตัว เขาต้องการให้ Bank of America กลายเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตทางการเงินที่นำเสนอบริการทุกประเภทให้กับมวลชน นั่นหมายถึงไม่เพียงแค่บริการธนาคารแบบดั้งเดิมอย่างบัญชีออมทรัพย์และบัญชีกระแสรายวันเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่ด้านอื่นๆ เช่น การปล่อยสินเชื่อจำนอง สินเชื่อรถยนต์ ประกันภัย และบริการด้านการลงทุน

ด้วยการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้บริโภคชนชั้นกลางที่กำลังเติบโต ธุรกิจของธนาคารก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด ในทศวรรษถัดมา สินทรัพย์ของ Bank of America พุ่งสูงขึ้นเป็นกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ และก้าวขึ้นมาเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ในปี 1954 S. Clark Beise ได้รับเลือกให้เป็นประธานของ Bank of America ซึ่ง Beise เคยเป็นผู้จัดการที่ทุ่มเทให้กับงานมาโดยตลอด ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับ Giannini เพื่อสร้างอาณาจักร Bank of America โดยในช่วงกลางทศวรรษ 1950 ธนาคารแห่งนี้เป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ขยายบริการและสาขาไปทั่วประเทศ

ในฐานะผู้นำของ Bank of America ต้องเรียกได้ว่า Beise เป็นคนที่มีความคิดก้าวหน้าและมองการณ์ไกล สำหรับ Beise เงาของผู้นำคนก่อนๆ โดยเฉพาะ Giannini ยังคงทอดยาวและเขามุ่งมั่นที่จะสร้างมรดกของตัวเองให้ได้

ด้วยความรู้ด้านเทคโนโลยี Beise เริ่มสำรวจความเป็นไปได้ของธุรกิจรูปแบบใหม่ ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง

ทศวรรษ 1950 ในสหรัฐอเมริกาเป็นทศวรรษแห่งความรุ่งเรืองหลังสงคราม เป็นช่วงเวลาที่ชนชั้นกลางเฟื่องฟู มีรายได้สูงขึ้นและกำลังซื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าแรงที่สูงขึ้นและการจ้างงานที่แพร่หลาย ลัทธิบริโภคนิยมกำลังเฟื่องฟู โดยได้แรงหนุนจากตลาดที่อยู่อาศัยที่กำลังเติบโตและการมีสินค้าอุปโภคบริโภคใหม่ๆ อย่างรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนอย่างแพร่หลาย

ในช่วงเวลานี้ เราเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากของสินเชื่อผู้บริโภค ซึ่งหมายความว่าลูกค้าสามารถซื้อสินค้าและบริการโดยไม่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ปั๊มน้ำมันแนะนำบัตรน้ำมัน ช่วยให้ลูกค้าสามารถเติมน้ำมันด้วยเครดิตได้ และสายการบินก็เสนอบัตรของตนเองเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางด้วยเครดิต แม้กระทั่งร้านค้าทั่วไปอย่าง Sears ก็ออกบัตรเหล่านี้เพื่อการซื้อสินค้าในร้านค้าปลีกของตน บัตรเหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าด้วยเครดิตได้

ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ Bank of America Beise มีเป้าหมายที่จะสร้างธุรกิจใหม่ให้กับธนาคาร และหนึ่งในผู้จัดการของเขาก็มีแผนที่จะทำให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง

Joseph Williams เกิดที่ Newark รัฐ New Jersey เข้าเรียนที่ University of Pennsylvania และรับใช้ชาติเป็นนายทหารในกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังสงคราม Williams มองหาอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต และในไม่ช้าเขาก็กลายเป็นพนักงานของ Bank of America

Williams เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างบัตรอเนกประสงค์เพียงใบเดียวเพื่อทดแทนบัตรทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาด ซึ่งจะทำให้คุณค่าของบัตรใบเดียวนี้เองสามารถแทนที่รูปแบบเครดิตอื่นๆ ทั้งหมดได้ในทันที

เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้จัดการระดับกลางที่กำลังเติบโต ก่อนการแนะนำให้โลกรู้จักกับบัตรเครดิต การขอสินเชื่อส่วนบุคคลจำเป็นต้องมีการพบกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานมาก

แต่ Williams มีแนวคิดที่ท้าทายกรอบความคิดเดิม ๆ เขามองว่าควรที่จะมีบัตรพิเศษที่มีวงเงินเครดิต 300 ดอลลาร์ และแจกฟรีให้กับลูกค้าทุกคนของ Bank of America

แนวคิดเรื่องระยะเวลาผ่อนผัน 1 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลูกค้าสามารถชำระยอดคงค้างโดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย เกิดขึ้นจากการวิจัยของ Williams เช่นเดียวกับแนวคิดการคิดดอกเบี้ย 18% ต่อปีสำหรับเงินกู้บัตรเครดิต

ตัวเลขนี้ดูเหมือนจะถูกกำหนดไว้ถาวรมาจวบจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยอื่นๆ จะมีความผันผวนอย่างรุนแรงก็ตาม หากรูปแบบบัตรเครดิตนี้ใช้ได้ผล Bank of America จะสามารถคิดอัตราดอกเบี้ยสูง และมีศักยภาพที่จะกลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้สูงมาก

ในเดือนกันยายน 1958 Bank of America เริ่มสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “Fresno Drop” เป็นแคมเปญการส่งจดหมายขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่บ้าคลั่งที่สุดในวงการธนาคาร

พวกเขาเลือกเมืองในแคลิฟอร์เนียชื่อ Fresno ซึ่งมีประชากร 250,000 คน และมอบบัตรเครดิตที่เรียกว่า “BankAmericard” ให้กับแต่ละคน บัตรเครดิต Bank of America ประมาณ 60,000 ใบถูกส่งไปยังเกือบทุกครัวเรือนในเมืองโดยไม่มีการร้องขอ

“Fresno Drop” เป็นแคมเปญการส่งจดหมายขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน (CR:a16z)

การเคลื่อนไหวที่ปฏิวัติวงการครั้งนี้ทาง Bank of America ให้วงเงินสินเชื่อโดยไม่มีการสมัครหรือการอนุมัติล่วงหน้าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การธนาคาร บัตรนี้มาพร้อมกับวงเงิน 300 ดอลลาร์ ระยะเวลาผ่อนผัน 1 เดือน และอัตราดอกเบี้ย 18% ต่อปี เป็นบัตรสำหรับทุกความต้องการ สามารถใช้ซื้อสินค้าได้หลากหลายจากร้านค้าหลายแห่ง

Williams และทีมของเขาเห็นว่าบัตรเครดิตสามารถใช้ได้สองวิธี มันสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ที่ให้ความสะดวกสบาย เหมือนบัตร Diners Club หรือใช้เป็นอุปกรณ์ที่สร้างเงินกู้ส่วนบุคคลได้ทันที

เมื่อบัตรเครดิตปรากฏขึ้นมาเหมือนเสกมาจากอากาศ ลูกค้าก็กระตือรือร้นที่จะใช้จ่ายสิ่งที่ดูเหมือนเป็นเงินฟรีนี้ ในช่วงสัปดาห์แรก โครงการดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ Bank of America รีบแจกบัตรเครดิตเพิ่มเติมไปยังเมืองอื่นๆ ในแคลิฟอร์เนีย โดยมีเป้าหมายที่จะครองตลาดก่อนที่คู่แข่งจะตามทัน

โดยก่อนเปิดตัวบัตรเครดิตของ Bank of America ลูกค้าทั่วไปของธนาคารจะมีอัตราการผิดนัดชำระหนี้ประมาณ 4% ซึ่ง Williams ใช้ตัวเลขนี้เป็นสมมติฐานสำหรับผู้ถือบัตรเครดิตใหม่

แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คืออัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่แท้จริงพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจถึง 20% โดยมีลูกค้าเกือบหนึ่งในห้าคนที่ไม่สามารถชำระคืนเงินกู้บัตรเครดิตภายในสิ้นเดือน ลูกค้าและร้านค้าเรียนรู้อย่างรวดเร็วที่จะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ระบบ โดยการปลอมลายเซ็นและรายงานธุรกรรมปลอม

ในช่วงเวลาสั้นๆ Bank of America พบว่าตัวเองกำลังสูญเสียเงิน 8.8 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากโขสำหรับธนาคารใดๆ ในช่วงปลายทศวรรษ 1950

ผลที่ตามมาคือ Joseph Williams ถูกไล่ออก Williams เป็นตัวละครที่น่าเศร้า เขามีแนวคิดที่ถูกต้อง แต่การดำเนินการจริงกลับไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เขาคิด

การเปิดตัวครั้งแรกของบัตรเครดิต Bank of America คือความหายนะ เพื่อชดเชยความสูญเสีย ธนาคารเริ่มเรียกคืนบัตรจากลูกค้าที่ผิดนัดชำระหนี้และจ้างบริษัทติดตามทวงหนี้เพื่อติดตามหนี้สินและดอกเบี้ยค้างชำระ

แม้ว่าการตลาดแบบ Fresno drop จะล้มเหลว แต่ก็พิสูจน์ทฤษฎีที่น่าสนใจโดยไม่ตั้งใจว่าคนส่วนใหญ่ต้องการบัตรเครดิต หนึ่งปีหลังจากเปิดตัว BankAmericard ค่อยๆ เริ่มชดเชยความสูญเสีย กลายเป็นกิจการที่ทำกำไร แต่ไม่นานธนาคารก็ค้นพบวิธีปฏิวัติใหม่ในการทำเงินจากบัตรเครดิต

ในช่วงกลางทศวรรษ 1960 BankAmericard ยังคงสร้างกำไรอย่างต่อเนื่อง มันเริ่มดึงดูดความสนใจจากธนาคารอื่นๆ สำหรับคู่แข่งหลายรายพวกเขาตระหนักว่าพวกเขามาช้าเกินไปเพราะไม่มีทรัพยากรในการสร้างระบบการออกบัตรเครดิตและการประมวลผลการชำระเงินของตนเอง

และหลังจากการเกษียณของ S. Clark Beise ชายคนใหม่ที่เข้ามาบริหารธนาคารอย่าง Rudolph A. Peterson มุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ เขาเห็นโอกาสนี้อย่างรวดเร็วว่ามันจะกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่

Peterson ตระหนักว่า Bank of America สามารถให้ธนาคารอื่นๆ ออกบัตรเครดิตของตนเองได้ โดยอนุญาตให้พวกเขาใช้โครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้นอย่างดีของ Bank of America โดยเสียค่าธรรมเนียมเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งการให้ใบอนุญาตหมายถึงการให้ธนาคารอื่นๆ ใช้ระบบของ BankAmericard โดยไม่ต้องลงทุนเพื่อสร้างระบบของตนเอง

ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 Bank of America เริ่มอนุญาตให้ธนาคารอื่นๆ ออกบัตรภายใต้โปรแกรม BankAmericard นั่นหมายความว่าธนาคารเหล่านี้สามารถออกบัตรเครดิตโดยใช้ชื่อ BankAmericard และที่สำคัญกว่านั้นคือให้ Bank of America จัดการธุรกรรม ในขณะที่ธนาคารเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การให้สินเชื่อ

รูปแบบการให้ใบอนุญาตนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ภายในไม่กี่ปี BankAmericard พัฒนาเป็นหนึ่งในกิจการที่ทำกำไรมากที่สุดในอุตสาหกรรม แต่เมื่อมีธนาคารมากขึ้นที่นำมาใช้และออกเครดิตโดยใช้ BankAmericard ปัญหาอีกรูปแบบหนึ่งก็เริ่มปรากฏขึ้น

หลังจากการเปิดตัวและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วของ BankAmericard อาชญากรก็เห็นโอกาสบางอย่าง แทนที่จะปล้นธนาคารโดยตรง อาชญากรได้บุกเข้าไปในคลังสินค้าและขโมยบัตร BankAmericards ที่ยังไม่ได้ส่งให้ลูกค้า

ในเวลานั้น โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการติดตามและยกเลิกบัตรแต่ละใบยังไม่มีประสิทธิภาพเหมือนในปัจจุบัน บัตรที่ถูกขโมยไปยังไม่ได้ปั๊มนูน หมายความว่ายังไม่ได้กำหนดให้กับผู้ถือบัญชีใดโดยเฉพาะ

อาชญากรเหล่านี้พยายามขายบัตรที่ขโมยมาคืนให้กับธนาคาร ทำให้ธนาคารตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก การโจรกรรมบัตรเครดิตเป็นอาชญากรรมรูปแบบใหม่ ธนาคารกลัวว่าการใช้บัตรเครดิตที่ถูกขโมยโดยไม่ได้รับอนุญาตจะทำให้พวกเขาเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการจ่ายค่าไถ่ ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจซื้อบัตรคืนจากอาชญากรเพื่อป้องกันการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม การฉ้อโกงเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหามากมายที่ BankAmericard และธนาคารพันธมิตรกำลังเผชิญ เนื่องจากธุรกรรมบัตรเครดิตส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับธนาคารสองแห่งแยกจากกัน

ในทุกธุรกรรม ธนาคารของร้านค้าจะชำระเงินคืนให้กับร้านค้าสำหรับการจ่ายด้วยบัตรเครดิตทุกรายการ จากนั้นธนาคารของร้านค้าจะส่งใบบันทึกการขายไปยังธนาคารสมาชิกทั่วประเทศที่ลูกค้าของพวกเขาทำการซื้อ

ธนาคารของลูกค้าจะชำระเงินคืนให้กับธนาคารของร้านค้า โดยหักส่วนแบ่งเล็กน้อยจากธุรกรรมไว้เอง นั่นคือค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยน สุดท้ายธนาคารของลูกค้าจะเรียกเก็บเงินจากลูกค้าสำหรับรายการนั้น เมื่อลูกค้าชำระเงิน ธุรกรรมก็เสร็จสมบูรณ์

ในขณะที่ธุรกรรมยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบก็ใกล้จะถึงจุดแตกหักที่สำคัญ หาก Bank of America card ไม่สามารถหาวิธีที่มีประสิทธิภาพในการขยายขนาดได้ ธุรกิจทั้งหมดอาจพังทลายลง

เพื่อแก้ไขวิกฤตนี้ ชายคนหนึ่งจากสถานที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้ก้าวออกมาพร้อมกับวิธีแก้ปัญหาที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไปอย่างสิ้นเชิง

ต้องบอกว่าชายที่มีความสามารถมากที่สุดในการแก้ปัญหาของ BankAmericard มาจากต้นกำเนิดที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ นั่นคือ Utah รัฐมอร์มอนของอเมริกา

Dee Hock เติบโตในฟาร์ม วัยเด็กของเขาเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและความรักในธรรมชาติ ในฐานะชาวมอร์มอน Dee Hock พัฒนานิสัยการตื่นเช้าและทำงานหนักตลอดชีวิต แต่เขาก็เริ่มต่อต้านความเชื่อและโรงเรียนของเขาอย่างรวดเร็ว

Hock เล่าถึงประสบการณ์ในวัยเด็กของเขาว่า “ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนั้น พ่อของผมตัวสูงมากและให้ความสำคัญกับร่างกาย ส่วนผมค่อนข้างเก็บตัวและชอบอยู่คนเดียว เดินเล่นในทุ่งนอกบ้าน ผมไม่สนิทกับพ่อ เราขัดแย้งกันตลอดเวลา เขาเป็นพวกที่บอกว่ามีเพียงวิธีเดียว วิธีที่ถูกต้องเพียงวิธีเดียวในการทำทุกอย่าง และแน่นอนว่านั่นคือวิธีของเขา และผมก็เกลียดเขาเสมอ”

Hock มักจะมีปัญหากับพ่ออยู่ตลอด เกลียดการเข้าเรียนและชอบความโดดเดี่ยวของธรรมชาติและการศึกษาด้วยตนเองมากกว่า Dee Hock ไม่ชอบการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เลย เขาเป็นคนประเภทที่จะเปลี่ยนโลกรอบตัวแทนที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

ผลที่ตามมาคือ หลังจบการศึกษา Dee Hock ต้องทำงานอย่างยากลำบาก แม้เขาจะเป็นคนที่มีผลงานดี แต่ Dee Hock ก็เกลียดโครงสร้างของสำนักงานและมักจะขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา ซึ่งนำไปสู่การถูกไล่ออกในที่สุด

ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ด้วยภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ Hock เผชิญกับความเป็นจริงที่น่าอับอายที่ต้องไปขอรับเงินช่วยเหลือการว่างงานจากรัฐบาล

Hock เล่าถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ว่า “ผมไม่มีเงินในธนาคาร ไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว มีแค่ภรรยา Pearl กับผม และลูกสองคนกับอีกคนที่กำลังคลอด ผมตกงานและไม่รู้จะทำอะไร ผมกำลังซึมเศร้า สิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับเราคือ เราไม่มีรายได้และผมมีคนสามคนที่ต้องเลี้ยงดู ผมควรไปขอรับเงินช่วยเหลือคนว่างงาน ดังนั้นผมจึงขับรถไปที่สำนักงานจัดหางาน ฝั่งตรงข้ามมีคนต่อแถวรอเข้าไปเพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย และผมก็ไม่สามารถลงจากรถได้ ผมนั่งอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง พยายามโน้มน้าวตัวเองว่าผมมีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือคนว่างงาน แต่ผมก็ทำไม่ได้”

Hock ตัดสินใจว่าเขาจะทำทุกอย่างเท่าที่จำเป็นเพื่อให้ประสบความสำเร็จและไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นอีก ในที่สุดเขาก็ได้งานเป็นผู้ช่วยที่ National Bank of Commerce

การทำงานในครั้งครั้งนี้เขามีเป้าหมายหลักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว เขาเต็มใจที่จะทำงานทุกอย่างที่จำเป็น ไม่นานเขาก็ได้รับมอบหมายให้ทำงานที่ขัดกับความเชื่อของเขาอีกครั้ง นั่นคือการช่วยเปิดตัวธุรกิจบัตรเครดิตสำหรับธนาคารของเขา

Hock เป็นคนประหยัดมาก และเขาไม่ชอบแนวคิดเรื่องบัตรเครดิตเลย แต่ Hock ทุ่มเทให้กับงานนี้ มุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุด

ภายในปี 1967 หลังจากได้รับใบอนุญาตจาก Bank of America National ทาง Bank of Commerce ประสบความสำเร็จในการเปิดตัวโปรแกรมบัตรเครดิตของตน ธุรกิจเติบโตทันทีและ Hock ก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบัตรเครดิต

ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 อุตสาหกรรมบัตรเครดิตเติบโตแบบพุ่งกระฉูด ขับเคลื่อนด้วยความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของอเมริกา ในฐานะผู้บุกเบิก BankAmericard ของ Bank of America กลายเป็นบัตรเครดิตชั้นนำ แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ข้อบกพร่องในระบบก็ปรากฏชัดขึ้น

ในขณะที่ Bank of America สามารถลดการฉ้อโกงได้ ระบบการให้ใบอนุญาตทำให้การป้องกันการฉ้อโกงยากขึ้นเรื่อยๆ

ในทศวรรษ 1960 โปรแกรม BankAmericard ของ Bank of America อนุญาตให้ธนาคารต่างๆ แจกจ่ายบัตรของตนได้ด้วยตัวเอง สิ่งนี้ก่อให้เกิดปัญหามากมายเกี่ยวกับการโจรกรรมบัตรเครดิต ซึ่งในสมัยนั้นเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าพอที่จะตรวจจับการฉ้อโกงในวงกว้างได้ ดังนั้นจึงทำให้ยากมากที่จะจัดการกับปัญหาการฉ้อโกงที่เกิดขึ้นทุกที่

หาก BankAmericard ไม่แก้ไขปัญหานี้ คู่แข่งอาจใช้ประโยชน์จากมันด้วยระบบที่ดีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้น Bank of America ต้องการใครสักคนที่จะออกแบบระบบที่รับประกันว่าบัตรเครดิตของพวกเขาจะยังคงครองความเป็นผู้นำต่อไป

และในฐานะผู้ได้รับใบอนุญาตจาก Bank of America National ทาง Bank of Commerce ก็จะได้รับประโยชน์หากสามารถแก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ

ในตอนนั้น Hock เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบัตรเครดิต และเขาก็เสนอทันทีให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยธนาคารสมาชิกทั้งหมดเพื่อแก้ไขปัญหาการฉ้อโกงอย่างเด็ดขาด จากนั้นเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการเพื่อมาดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ

ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการ Hock มีภารกิจในการออกแบบระบบที่จะปฏิวัติวงการ เป็นโอกาสที่ Hock จะได้ทำสิ่งต่างๆ ในแบบของเขาในที่สุด เขาเริ่มต้นด้วยการไตร่ตรองถึงวัยเด็กของตัวเองและบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากธรรมชาติ

Hock เล่าว่า “ผมเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างธรรมชาติและมนุษย์ ซึ่งในธรรมชาติดูเหมือนไม่เคยมีปัญหาเหล่านี้ สิ่งมีชีวิตทุกอย่างในธรรมชาติจะประกอบไปด้วยการแข่งขันและความร่วมมือ ทั้งสองสิ่งนี้ดูเหมือนจะผสมผสานและอยู่ร่วมกันตลอดเวลาได้อย่างลงตัว ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์ เมื่อคุณย้ายผู้คนเข้าไปในองค์กรไม่ว่าเขาจะเป็นคนแบบไหน ความแตกแยกก็เริ่มขึ้น มันเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง มันเป็นความจริงหรือเป็นเท็จ มันถูกหรือผิด มันดีหรือเลว”

แนวคิดของ Hock นั้นลึกซึ้ง เขามองเห็นระบบที่จัดการตัวเอง ทำงานด้วยตัวเอง และปกครองตัวเองแบบกระจายอำนาจ เขากำลังมองเห็นระบบเครือข่ายแบบกระจายอำนาจที่ไม่มีตัวกลางควบคุม เป็นเครือข่ายแบบกระจายศูนย์ และแต่ละโหนดต้องตกลงที่จะปฏิบัติตามชุดของหลักการและอัลกอริทึม และโดยรวมแล้วระบบจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

เพื่อปลดปล่อยพลังของการออกแบบของเขาอย่างเต็มที่ Hock เสนอให้จัดตั้งองค์กรใหม่ที่เป็นอิสระจาก Bank of America เขาเรียกมันว่า National Bank AmeriCard Inc. (NBI) เพราะเครือข่ายบัตรเครดิตเป็นเพียงระบบการชำระเงิน ธนาคารต่างหากที่เป็นผู้ออกบัตรเครดิต ดังนั้น NBI จึงเป็นเครือข่ายการชำระเงินที่ตัวเองไม่ได้ปล่อยกู้ใดๆ

แม้ว่าแนวคิดของเขาจะเป็นนวัตกรรม แต่ Hock ยังไม่แน่ใจว่าธนาคารสมาชิกอื่นๆ จะเข้าร่วมหรือไม่ โดยเฉพาะพันธมิตรรายใหญ่ที่สุดของเขา นั่นคือ Bank of America

Hock เล่าว่า “มันยากในตอนแรก คนเหล่านี้กำลังถูกขอให้เอาชื่อเสียงของพวกเขาเป็นเดิมพัน และเข้าร่วมทำบางสิ่งที่พวกเขาไม่คุ้นเคยเลย ผมเข้าใจความลังเลของพวกเขา”

ด้วยการสนับสนุนของ Bank of America Dee Hock ได้เป็นประธานขององค์กรใหม่นี้ แต่สิ่งที่ Hock ไม่รู้คือ Bank of America กำลังทำงานลับๆ กับ American Express เพื่อสร้างระบบใหม่ ซึ่งอาจบ่อนทำลายความพยายามทั้งหมดของเขา

สำหรับ Hock เพื่อให้ระบบของ Bank of America ประสบความสำเร็จ เขาต้องทำให้แน่ใจว่าเครือข่ายการชำระเงินมีความปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในยุคดิจิทัลภัยคุกคามด้านความเป็นส่วนตัวมีอยู่ตลอดเวลาเมื่อชีวิตของเรามีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ

เนื่องจากกลัวว่าระบบแบบกระจายอำนาจที่ Hock เสนออาจล้มเหลว Bank of America จึงร่วมมือกับ American Express อย่างลับๆ เพื่อสร้างระบบอนุมัติบัตรเครดิตทั่วประเทศที่ควบคุมโดยพวกเขาเพียงผู้เดียว

หาก Bank of America และ American Express ประสบความสำเร็จกับระบบใหม่ของพวกเขา มันอาจทำให้ความพยายามของ Hock สูญเปล่า เป็นเหมือนการสร้างทางด่วนสองเส้นที่แข่งขันกัน มันไม่ดีต่อสังคมและเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ

Hock เล่าถึงความรู้สึกของเขาในช่วงเวลานั้นว่า “ผมรู้สึกถูกทรยศอย่างสิ้นเชิง มันขัดกับเจตนารมณ์ของความพยายามในการก่อตั้ง NBI และอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสำเร็จของมัน Bank of America ตกลงที่จะเข้าร่วมองค์กรใหม่ที่ผมออกแบบ แต่ผมไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังทำงานกับ American Express เพื่อบ่อนทำลายความพยายามของผม”

เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายนี้ Hock และคณะกรรมการ NBI ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ พวกเขาตัดสินใจแยกตัวออกจากความพยายามของทั้งอุตสาหกรรมและสร้างระบบแข่งขันที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองสำหรับการอนุมัติทางอิเล็กทรอนิกส์และการชำระเงิน ที่รู้จักกันในชื่อ Bank Authorization System Experimental Base 1 เพื่อตรวจสอบว่าบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรมีเงินเพียงพอและได้รับการอนุมัติให้ซื้อจากร้านค้าหรือไม่

Dee Hock ได้ออกแบบระบบใหม่ที่ปฏิวัติวงการ (CR:Visa)
Dee Hock ได้ออกแบบระบบใหม่ที่ปฏิวัติวงการ (CR:Visa)

แต่สิ่งที่ Hock ไม่ตระหนักคือภัยคุกคามที่แท้จริงไม่ใช่ American Express ระบบเครดิตใหม่กำลังเติบโตขึ้น และมันกำลังพุ่งเข้าหาธุรกิจของเขา

ช่วงกลางทศวรรษ 1970 มีความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งมีสัญญาณบ่งชี้ด้วยวิกฤตน้ำมัน เงินเฟ้อสูง และภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน ในช่วงเวลานี้นโยบายการเงินพยายามหาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

แต่ท่ามกลางความยากลำบากเหล่านี้ อุตสาหกรรมบัตรเครดิตกลับเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ยุคนี้เป็นรากฐานสำหรับการยอมรับบัตรเครดิตอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นการกำหนดรูปแบบการเงินผู้บริโภคและแนวปฏิบัติด้านการธนาคารสมัยใหม่

การแนะนำ Base 1 ปฏิวัติการประมวลผลธุรกรรม ผลักดันให้ NBI ก้าวขึ้นสู่แนวหน้าของอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชายชื่อ Dee Hock โมเดลธุรกิจนี้เป็นเหมือนเครื่องพิมพ์เงินจริงๆ

เพราะโมเดลดังกล่าวนี้มันสร้างรายได้ทุกครั้งที่มีคนใช้เครือข่ายในการชำระเงิน ยิ่งมีคนและร้านค้าใช้มากขึ้นก็ยิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากผลกระทบของเครือข่าย (Network Effect) และนอกจากนั้นมันยังสเกลได้ง่ายมากเพราะสามารถรองรับการชำระเงินที่มากขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก

แต่ความสำเร็จก่อให้เกิดการแข่งขัน และคู่แข่งก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมที่จะมาท้าทายความสำเร็จทั้งหมดของ Hock โดยเมื่อเห็นความสำเร็จของ NBI ธนาคารอื่นๆ ในอุตสาหกรรมก็เริ่มตระหนักถึงศักยภาพของการก่อตั้งเครือข่ายบัตรเครดิตของตนเอง

Master Charge ซึ่งต่อมารู้จักกันในชื่อ MasterCard เกิดขึ้นจากความร่วมมือของสมาคมบัตรธนาคารระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างการแข่งขันที่เป็นเอกภาพในตลาดบัตรเครดิตที่กำลังเติบโต เพื่อท้าทายความเป็นผู้นำของ Bank AmeriCard โดย Master Charge โฟกัสไปที่การขยายเครือข่ายและเพิ่มการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ

หาก Master Charge ได้รับแรงผลักดันมากพอ มันมีศักยภาพที่จะแซงหน้า Bank AmeriCard ในฐานะระบบการชำระเงินด้วยบัตรชั้นนำได้อย่างสมบูรณ์

ด้วยความสิ้นหวังที่จะปกป้องสิ่งที่เขาสร้างขึ้น Hock ตัดสินใจอย่างยากลำบาก เขาออกนโยบายห้ามธนาคารสมาชิกของเขาไปใช้บริการคู่แข่งอย่าง Master Charge เขาหวังว่าข้อบังคับนี้จะป้องกันไม่ให้ธนาคารสมาชิกของเขาไปใช้งานบริการของ Master Charge แต่เขาไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

Worthen Bank of Little Rock รัฐ Arkansas เป็นสมาชิกรายเล็ก ๆ ของ NBI ในช่วงปลายปี 1971 คณะกรรมการ Worthen Bank ได้นำข้อบังคับในการห้ามใช้ Master Charge มาเป็นประเด็นในการต่อสู้เรื่องการผูกขาด

Worthen Bank รีบฟ้องร้องทันที โดยกล่าวหาว่า NBI ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดและขออำนาจศษลสั่งห้ามการบังคับใช้ที่ NBI สั่งไม่ให้พวกเขาใช้บริการของคู่แข่ง และในท้ายที่สุด Worthen Bank ก็ได้เข้าไปเป็นสมาชิกของ Master Charge

Hock เล่าถึงเหตุการณ์นั้นว่า “ผมบินไป Little Rock เพื่อพบกับประธานและเจ้าหน้าที่อาวุโสคนอื่นๆ ของ Worthen Bank ในความพยายามที่จะโน้มน้าวพวกเขา แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถตกลงกันได้ Worthen Bank รีบฟ้องร้องทันที โดยกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด”

สถานการณ์ก็เริ่มแย่ลงไปอีก การตัดสินใจของ Hock ที่จะห้ามธนาคารสมาชิกของเขาใช้ Master Charge มีผลที่ไม่คาดคิด มันกลายเป็นเรื่องส่วนตัว

ในระหว่างการฟ้องร้องของ Worthen Bank ตัวของ Hock ยังเผชิญกับการคุกคามส่วนตัวมากมาย เขาได้รับข้อความที่ไม่เหมาะสมมากมาย แม้กระทั่งพบเครื่องหมายกากบาทถูกกรีดบนเก้าอี้สำนักงานของเขา และเขาได้รับพัสดุที่ถูกข่มขู่เอาชีวิตเขา

Hock เล่าถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ว่า “ทุกวันผมต้องลุกขึ้นมาและจัดการกับปัญหามากมาย ธุรกิจต้องดำเนินต่อไป และความรับผิดชอบไม่สามารถผลักไสออกไปได้ ผมเริ่มจมดิ่งสู่ภาวะซึมเศร้าที่ทำลายความสามารถในการคิดหรือทำหน้าที่ตามปกติของผม”

ในที่สุด Worthen Bank ชนะคดี และ Dee Hock ถูกบังคับให้ยกเลิกนโยบายห้ามใช้บริการของคู่แข่ง ทำให้ธนาคารสมาชิกของเขาสามารถออกทั้งบัตร Bank AmeriCard และ Master Charge ได้อย่างอิสระ แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมาย แต่ NBI กำลังจะเข้าสู่หนึ่งในช่วงการเติบโตสูงสุดในประวัติศาสตร์

แม้ว่าทศวรรษ 1970 จะเป็นทศวรรษที่ยุ่งยากสำหรับสหรัฐอเมริกา แต่การเดินทางและการค้าระหว่างประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างมากสำหรับประเทศอื่นๆ ในโลก นำไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วสำหรับการใช้บัตรเครดิต

ด้วยการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจไร้เงินสดและความต้องการความสะดวกสบายของผู้บริโภค Bank AmeriCard ได้กลายเป็นระบบการชำระเงินชั้นนำระดับโลก

แต่ Dee Hock ตระหนักว่าเพื่อที่จะทำให้ธุรกิจระหว่างประเทศของบริษัทง่ายขึ้นไปอีก จำเป็นต้องมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและทรงพลัง ในช่วงกลางทศวรรษ 1970 บริษัทของเขาตัดสินใจเปลี่ยนชื่อจาก Bank AmeriCard เป็น Visa Bank

AmeriCard กำลังจะสูญพันธุ์ อย่างน้อยก็ในแง่ของชื่อ โดยเริ่มตั้งแต่ปีถัดไปชื่อของบัตรเครดิตนี้จะถูกเปลี่ยนไปทั่วโลกเป็น Visa ซึ่งเป็นคำที่คาดว่าจะเป็นที่ยอมรับอย่างเป็นสากล

ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 แม้จะเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง Visa ก็สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดที่สำคัญได้ถึง 60% ด้วยการแนะนำผลิตภัณฑ์อย่างเช็คเดินทาง Visa และคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่เป็นนวัตกรรมเช่นโฮโลแกรมบนบัตร ยอดการเรียกเก็บเงินของ Visa พุ่งสูงถึง 59 พันล้านดอลลาร์

ผลที่ตามมาคือ Visa กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทรงพลังที่สุดในวงการการเงิน ทฤษฎีของ Dee Hock ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเขาถูกต้อง เขาได้สร้าง Visa ให้เป็นองค์กรแบบกระจายอำนาจที่เติบโตแบบฉุดไม่อยู่ และเพื่อพิสูจน์ต่อไปว่า Visa เป็นองค์กรที่มีเอกลักษณ์ซึ่งสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่มีเขาเป็นผู้นำ เขาตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะเกษียณ

สิ่งที่ Hock ไม่รู้คือภายในเพียงทศวรรษเดียว Visa จะเติบโตกลายเป็นสัตว์ร้าย เป็นมหาอำนาจในอุตสาหกรรม ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 Visa ได้จัดการธุรกรรมมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเห็นโอกาสที่น่าดึงดูดใจนี้ เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมหลายคนก็กระตือรือร้นที่จะฉกฉวยโอกาสจากแนวโน้มนี้

หนึ่งในนั้นคือ Phil Purcell ที่มีความเป็นผู้ประกอบการมาตั้งแต่เริ่มแรก แม้แต่ตอนเป็นหนุ่ม เขาก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเขา โดยการขายนิตยสารและทำงานในร้านซักแห้งในท้องถิ่นตั้งแต่เด็ก เขาเข้าใจธุรกิจอย่าลึกซึ้งมาโดยตลอด

ในขณะทำงานที่ Sears Purcell เป็นผู้นำในการเปิดตัว Discover เป็นบัตรเครดิตที่มุ่งเป้าไปที่นักช้อปชนชั้นกลาง ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 บัตร Discover มีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ ทำให้บัตรนี้กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับ Visa และ MasterCard

เมื่อเห็นภัยคุกคามจาก Discover และบัตรเครดิตที่กำลังเติบโตอื่นๆ Visa และ MasterCard จึงต้องร่วมมือกัน พวกเขานำนโยบายเก่ามาใช้โดยป้องกันไม่ให้ธนาคารสมาชิกรับบัตรของคู่แข่ง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ Visa เคยลองใช้มาก่อนหน้านี้แล้ว Purcell มองว่าพวกเขาถูกรังแก และสิ่งที่ Visa และ MasterCard ทำมันไม่ยุติธรรม

Purcell ตัดสินใจเข้าร่วมกับ American Express ฟ้องร้อง Visa และ MasterCard ต่อหน่วยงานกำกับดูแล Purcell หวังว่า Visa และ MasterCard จะถูกลงโทษด้วยค่าปรับจำนวนมากเพื่อชดเชยให้กับบริษัทของเขา

การฟ้องร้องที่ยื่นโดยกระทรวงยุติธรรมในศาลรัฐบาลกลางแมนฮัตตัน กล่าวหาว่าพวกเขาจำกัดทางเลือกของผู้บริโภคและยับยั้งการแข่งขันโดยการควบคุมทั้งสองสมาคมผ่านธนาคารเดียวกันและห้ามธนาคารสมาชิกเสนอบัตรของคู่แข่งเช่น American Express และ Discover การฟ้องร้องนี้เป็นการโจมตีครั้งใหญ่ต่อธุรกิจของ Visa

หากพวกเขาแพ้ พวกเขาอาจสูญเสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์ ปัญหาของ Visa ยังไม่จบเพียงเท่านี้ แม้ว่าการฟ้องร้องต่อต้านการผูกขาดจะคุกคาม ยังมีบริษัทใหญ่อีกแห่งหนึ่งก็ตั้งเป้าที่จะโค่นล้ม Visa ด้วยเช่นกัน

ในช่วงต้นปี 2000 กลุ่มผู้ค้าปลีกนำโดย Walmart ยื่นฟ้องคดีแบบกลุ่มต่อ Visa พวกเขากล่าวหาว่า Visa ใช้อำนาจเหนือตลาดในการบังคับใช้ค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตที่สูงเกินไปและจำกัดไม่ให้ผู้ค้ายอมรับบัตรของคู่แข่ง การฟ้องร้องครั้งนี้อ้างว่าเป็นการจำกัดทางเลือกของผู้บริโภคและยับยั้งการแข่งขัน

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าทำไม Visa ถึงกลายเป็นผู้ผูกขาด เช่นเดียวกับบริษัทเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เกิดขึ้นในภายหลัง อย่างเช่น Facebook เมื่อมีผู้ค้าและผู้บริโภคใช้เครือข่ายการชำระเงินมากขึ้น มันก็ยิ่งสะดวกและแพร่หลายมากขึ้น ดึงดูดผู้ใช้มากขึ้นไปอีก วงจรนี้สามารถนำไปสู่การยึดครองตลาด ซึ่งอาจสร้างสถานะคล้ายกับการผูกขาด

การต่อสู้ทางกฎหมายที่เพิ่มขึ้นบังคับให้ Visa ต้องจ่ายเงินหลายพันล้านในการตกลงกับบริษัทต่างๆ เช่น American Express, Discover และผู้ค้าปลีกที่เกี่ยวข้องในการฟ้องร้องแบบกลุ่ม ในไม่ช้าแม้ธุรกิจของพวกเขาจะเปรียบเสมือนเครื่องจักรผลิตเงิน แต่ Visa กำลังจะล้มละลาย

ในมุมมองของผู้บริหาร Visa แล้ว มีเพียงทางออกเดียวเท่านั้น นั่นคือการเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งได้มีการเสนอขายหุ้นสู่สาธารณะชนในปี 2008 และสามารถทำลายสถิติใหม่ โดยระดมทุนได้กว่า 17 พันล้านดอลลาร์แม้จะมีวิกฤตการเงินที่กำลังจะมาถึง นักลงทุนชอบบริษัทที่มีสถานะผูกขาด โมเดลธุรกิจของ Visa นั้นดีมาก และนักลงทุนสามารถมองข้ามความจริงที่ว่าบริษัทอาจจะถูกฟ้องร้องได้อย่างต่อเนื่อง

Visa ได้มีการเสนอขายหุ้นสู่สาธารณะชนในปี 2008 (CR:SFGate)
Visa ได้มีการเสนอขายหุ้นสู่สาธารณะชนในปี 2008 (CR:SFGate)

จากเครือข่ายการชำระเงินแบบกระจายอำนาจ Visa ได้กลายเป็นมหาอำนาจที่ครอบงำวงการการเงิน ในปี 2023 Visa มีรายได้ 33 พันล้านดอลลาร์และมีกำไรสุทธิ 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ด้วยปริมาณการชำระเงินกว่า 12.3 ล้านล้านดอลลาร์ที่ผ่าน Visa ทำให้พวกเขากลายเป็นราชาแห่งการชำระเงินอย่างไม่ต้องสงสัย

ความสำเร็จของ Visa เป็นบทเรียนที่น่าทึ่งในการสร้างและรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยวิสัยทัศน์ของ Dee Hock และความสามารถในการปรับตัวของบริษัทต่อความท้าทายต่างๆ Visa ไม่เพียงแต่อยู่รอด แต่ยังเติบโตเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการชำระเงินระดับโลก

การเดินทางของ Visa จากแนวคิดที่กล้าหาญของ Hock ไปสู่การเป็นบริษัทมหาชนที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงพลังของนวัตกรรม ความยืดหยุ่น และความสามารถในการมองเห็นโอกาสในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ก็มาพร้อมกับคำถามเกี่ยวกับการผูกขาดและการแข่งขันที่เป็นธรรม การต่อสู้ทางกฎหมายและการควบคุมที่เพิ่มขึ้นที่ Visa กำลังเผชิญ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่บริษัทที่มีอำนาจสูงต้องเผชิญในโลกที่มีการควบคุมมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม

ในท้ายที่สุด เรื่องราวของ Visa เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าความคิดที่ปฏิวัติวงการสามารถเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมและสังคมได้อย่างไร แม้ว่าจะเริ่มต้นจากแนวคิดเรียบง่ายของการทำให้การชำระเงินสะดวกขึ้น แต่ Visa ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินระดับโลก ที่มีอิทธิพลต่อวิธีที่ผู้คนและธุรกิจทำธุรกรรมทั่วโลกมาจวบจนถึงทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.britannica.com/money/Visa-Inc
https://www.quora.com/Why-does-Visa-have-the-most-dominant-market-share-among-card-issuers
https://einvestingforbeginners.com/the-history-of-visa-daah/
https://youtu.be/YpZiTrWGmL4?si=G4Rg_5o1qn4Z9Qfq
https://www.forbes.com/advisor/credit-cards/history-of-credit-cards/
https://karthikkalyanaraman.medium.com/a-brief-history-of-visa-and-mastercard-81c5d42343c6
https://en.wikipedia.org/wiki/Visa_Inc.