เบื้องหลังหุ้นพุ่งทะยานของ Palantir ผู้ชนะที่แท้จริงในสงคราม เมื่อความขัดแย้งทั่วโลกคือเงินทองของพวกเขา

ทุกวันนี้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มักจะคุยโวโอ้อ้วยว่าพวกเขา “กำลังเชื่อมโยงโลก” แต่จริงๆ แล้วพวกเขากำลังทำอะไรกันแน่? หลายคนมองว่าพวกเขาแค่สร้างแพลตฟอร์มอย่าง Facebook , Instagram หรือ TikTok ที่ทำให้ผู้คนเสพติด

ท่ามกลางบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย มี Palantir ที่เป็นยูนิคอร์นจาก Silicon Valley ซึ่งมีผลการดำเนินงานเติบโตแบบก้าวกระโดดที่สุดในปีที่ผ่านมา หลายคนอาจคิดว่าพวกเขาทำบริการสตรีมมิ่ง แอปเช่าบ้าน หรือหูฟังไร้สาย

แต่ Palantir แตกต่างจากบริษัทเทคอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง พวกเขาพูดอย่างเปิดเผยว่า “เราสร้างห่วงโซ่การสังหารดิจิทัล” และ “ผลิตภัณฑ์ของเราถูกใช้เพื่อฆ่าผู้คน”

เว็บไซต์ของ Palantir อธิบายว่าพวกเขาทำงานเกี่ยวกับการใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์และส่งมอบผลลัพธ์ให้กับสถาบันที่ทรงพลังที่สุดของโลกตะวันตก ถึงจะฟังดูซับซ้อน แต่มีอย่างหนึ่งที่ชัดเจน นั่นคือพวกเขาทำเงินมหาศาล

หุ้นของ Palantir พุ่งทะยานอย่างไม่น่าเชื่อ พุ่งกระฉูดถึง 340% ในปี 2024 ทำให้บริษัทมีมูลค่ากว่า 250 พันล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับยักษ์ใหญ่อย่าง AT&T, IBM และ Cisco เลยทีเดียว

Sharon Weinberger บรรณาธิการด้านความมั่นคงแห่งชาติของ Wall Street Journal ผู้มีประสบการณ์โชกโชนกับอุตสาหกรรมการป้องกันของสหรัฐฯ กว่า 20 ปี เล่าว่า Palantir เริ่มต้นในปี 2003 ระหว่างสงครามต่อต้านการก่อการร้าย

ช่วงนั้นกองทัพอเมริกากำลังเผชิญปัญหาใหญ่ในอัฟกานิสถานและอิรัก นั่นคือระเบิด IEDs ที่กำลังฆ่าทหารในอัตราที่น่าสะพรึงกลัว Palantir จึงเสนอตัวเข้ามาช่วย

พวกเขารังสรรค์แนวคิดในการรวบรวมข้อมูลมหาศาลที่กระทรวงกลาโหมเก็บรวบรวมจากสนามรบ นำมาวิเคราะห์ในฐานข้อมูล เพื่อระบุผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นแนวทางที่สุดยอดมากในยุคนั้น

ปัจจุบัน Palantir ได้พัฒนาตัวเองเป็น “ผู้แก้ปัญหา” ให้กับกระทรวงกลาโหม พวกเขาบอกว่า “คุณมีปัญหา เราจะแก้ไขมัน” เป็นการวางตำแหน่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง

สิ่งที่ทำให้ Palantir เจ๋งมาก ๆ คือความกล้าที่จะประกาศตัวว่าทำงานกับกองทัพ พวกเขาพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เราให้บริการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงกลาโหมทำสงคราม” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในปี 2003

Mark O’Mara นักประวัติศาสตร์และศาสตราจารย์ผู้ศึกษาการเมืองและธุรกิจอเมริกัน บอกว่า Palantir กำลังช่วยทำลายล้างระบบการทำสัญญาแบบดั้งเดิมของกระทรวงกลาโหม

ปกติแล้ว มีผู้รับเหมารายใหญ่เพียงไม่กี่รายที่ผูกขาดสัญญาขนาดใหญ่และมักมีค่าใช้จ่ายเกินงบประมาณ ทำให้งบกลาโหมบวมโต การมีบริษัทใหม่ๆ เข้ามาแข่งขันจึงเป็นเรื่องดี

Palantir ประสบความสำเร็จในการทำสัญญากับรัฐบาลอย่างมาก ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาจ้างพนักงานระดับสูงจากหน่วยงานรัฐบาลจำนวนมาก

ผู้บริหารระดับสูงของ Palantir หลายคนได้รับการแต่งตั้งโดย Trump ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล สร้างความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับรัฐบาล ทำให้ได้ข้อมูลจากคนวงในที่ทำงานในภารกิจสำคัญของกองทัพ

ตั้งแต่ปี 2009 Palantir ได้ทำสัญญากับกระทรวงกลาโหมมากกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการสุดล้ำต่างๆ มากมาย

พวกเขาพัฒนาแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล Vantage ของกองทัพ, กระเป๋าคอมพิวเตอร์ดาวเทียม AI แบบ James Bond และระบบโดรนที่ควบคุมด้วย AI ชื่อ Project Maven

ที่เจ๋งสุดๆ คือ Titan ยานพาหนะที่ควบคุมด้วย AI ตัวแรกของกองทัพ ซึ่งลดเวลาจากการตรวจจับเป้าหมายถึงการยิง ลดภาระทหาร และช่วยให้ยิงแม่นยำในระยะไกล

แต่ความร่วมมือของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านทหาร ในช่วงโควิด-19 สหรัฐฯ ได้ทำสัญญากับ Palantir เพื่อติดตามข้อมูลการระบาดและพัฒนาระบบแจกจ่ายวัคซีน

มีรายงานว่า Palantir ยังช่วยหน่วยงาน Immigration and Customs Enforcement (ICE) พัฒนาระบบเฝ้าระวังและวางแผนปฏิบัติการด้วยสัญญาเริ่มต้นมูลค่าสูงถึง 127 ล้านดอลลาร์

ในช่วงทศวรรษ 2010 ตำรวจนิวออร์ลีนส์ร่วมมือกับ Palantir อย่างลับๆ เพื่อทดสอบเทคโนโลยีทำนายอาชญากรรม คล้ายๆ กับในหนัง Minority Report เลยทีเดียว

ทั่วโลก เทคโนโลยีของ Palantir ถูกใช้โดยกองทัพยูเครน กองทัพอิสราเอลสำหรับภารกิจสงคราม และโดยรัฐบาลอังกฤษเพื่อปรับปรุงระบบสุขภาพ NHS England

แต่ความร่วมมือเหล่านี้ก็สร้างความขัดแย้งไม่น้อย โดยเฉพาะประเด็นความเป็นส่วนตัว กลุ่มเสรีภาพพลเมืองแสดงความกังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล

Palantir ไม่ได้หยุดอยู่แค่งานด้านความมั่นคง พวกเขาขยายธุรกิจสู่ภาคเอกชนได้อย่างน่าทึ่ง ขายผลิตภัณฑ์ให้ธนาคารและหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อต่อต้านการฟอกเงิน

บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่าง BP เป็นพันธมิตรระยะยาวที่ใช้ซอฟต์แวร์ของ Palantir สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และยังมีลูกค้าอื่นๆ อีกมากมาย

ลูกค้า AI ของ Palantir รวมถึงบริษัทชั้นนำอย่าง United Airlines, Lowe’s, General Mills และ Tampa General Hospital ทำให้รายได้เชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 54% ในปีที่ผ่านมา

การเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้ส่วนหนึ่งมาจากการปรับเปลี่ยนโฟกัสของบริษัทจากการเฝ้าระวังข้อมูลในช่วงแรก มาเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI สุดล้ำในปัจจุบัน

เบื้องหลังความสำเร็จของ Palantir คือผู้ก่อตั้งที่มีวิสัยทัศน์อย่าง Peter Thiel และ Alex Karp โดย Thiel มักอยู่ในมุมมืด ส่วน Karp เป็นผู้นำที่พูดจาตรงไปตรงมา

Karp มีแฟนคลับมากมายในหมู่นักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะชุมชน Reddit ที่มีคนติดตามราว 100,000 คน บางคนถึงกับเรียกเขาว่า “Daddy Karp”

Karp ตอบสนองด้วยคำพูดที่ทะลึ่งและน่าตกใจ เช่น “ผมไม่คิดในแง่ชนะแพ้ ผมคิดในแง่การครอบงำ แทบไม่มีอะไรทำให้มนุษย์มีความสุขมากไปกว่าการเอาโคเคนไปจากพวกขายชอร์ต”

Alex Karp เป็นตัวละครที่ลึกลับซับซ้อน ในด้านหนึ่ง เขาร่วมมือกับ Peter Thiel นักสนับสนุนฝ่ายขวาและผู้ให้ทุน Trump ในปี 2016 เพื่อสร้างบริษัทเฝ้าระวังข้อมูลต่อต้านการก่อการร้าย

แต่อีกด้าน Karp กลับสนับสนุน Kamala Harris ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีล่าสุด บริจาคให้พรรคเดโมแครตบ่อยครั้ง และใช้ชีวิตแบบที่ไม่เหมือนกับผู้บริหารเทคโนโลยีทั่วไป

Karp มาจากพื้นฐานฝ่ายซ้าย ขณะที่ Thiel เป็นที่รู้จักในฐานะนักอนุรักษ์นิยมที่พูดตรงๆ แม้จะมีแนวคิดทางการเมืองต่างกัน แต่ทั้งคู่มีความเชื่อร่วมกันคล้ายยุคสงครามเย็น

พวกเขาเชื่อในความจำเป็นของความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมเอกชนกับสถาบันป้องกันประเทศ เพื่อให้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดอยู่ในมือของรัฐบาลสหรัฐฯ

ความสัมพันธ์ที่ Karp และ Palantir กำลังผลักดันทั้งเทคโนโลยีและกระทรวงกลาโหมไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการหวนกลับไปสู่โมเดลแบบเก่า

Karp เปิดเผยว่าเขาชื่นชอบอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม ที่มี Lockheed เป็นนายจ้างรายใหญ่ใน Silicon Valley จนถึงทศวรรษ 1980 ยุคที่กระทรวงกลาโหมสร้างอินเทอร์เน็ต

เขายังยกตัวอย่างโครงการแมนฮัตตันที่ Oppenheimer รวบรวมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรเทพที่สุดในสหรัฐฯ เพื่อร่วมมือกับรัฐบาล เป็นตัวอย่างที่ควรทำตาม

ในหนังสือล่าสุด Karp โต้แย้งว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีหลงทางในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นแค่ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคที่ไม่ได้พัฒนาสังคมอย่างแท้จริง

เขาเสนอว่าอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ควรกลับมาสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลใหม่ เพื่อปกป้องตะวันตก แม้ว่าหลายคนจะรู้สึกไม่ดีกับแนวคิดนี้ก็ตาม

Karp แยกตัวเองจากผู้นำเทคโนโลยีร่วมสมัยด้วยความเปิดเผยเรื่องความรักชาติและการยอมรับว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทถูกใช้ในการปฏิบัติการทางทหาร

แนวคิดนี้กำลังได้รับการยอมรับมากขึ้นในหมู่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เริ่มเปิดเผยความสัมพันธ์กับวอชิงตัน ดี.ซี. แทนที่จะแกล้งทำเป็นไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล

แม้ว่า Palantir จะมีความทะเยอทะยานสูงส่ง แต่ยังไม่แน่ชัดว่าพวกเขาจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการป้องกันและล้มล้างยักษ์ใหญ่อย่าง Lockheed Martin, Boeing หรือ Raytheon ได้หรือไม่

พวกเขายังไม่ได้พิสูจน์ว่าสามารถสร้างระบบอาวุธหลักได้เจ๋งกว่าบริษัทเหล่านี้ แต่มีความเป็นไปได้ว่า Palantir อาจเป็นตัวแทนของอนาคตในอุตสาหกรรมนี้

ความแตกต่างชัดเจนระหว่าง Palantir กับบริษัทป้องกันแบบดั้งเดิมคือการสื่อสารต่อสาธารณะ ผู้บริหารของ Lockheed Martin หรือ Raytheon แทบไม่เคยแสดงความเห็นเรื่องการเมืองโลก

Palantir กำลังทำสิ่งที่แตกต่างโดยพยายามขายตัวเองให้กับสังคมโดยรวม พวกเขาสร้างวัฒนธรรมที่บอกว่า “การทำงานกับเพนตากอนไม่ใช่ธุรกิจที่สกปรก แต่เป็นการช่วยปกป้องประเทศ”

ความสำเร็จในระยะยาวของแนวทางนี้ยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตาม แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ Palantir กำลังท้าทายรูปแบบการทำธุรกิจเดิมในอุตสาหกรรมการป้องกันและความมั่นคง

ในอนาคต บทบาทของบริษัทอย่าง Palantir และความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับความมั่นคงจะยิ่งสำคัญ เมื่อเราเข้าสู่ยุค AI และเทคโนโลยีขั้นสูงนั่นเองครับผม

กว่าจะมาเป็น ASML จากทีมวิศวกร 100 คนสู่ผู้กำหนดชะตาชีวิตดิจิทัลของมนุษยชาติ

ย้อนกลับไปปี 1984 ASML เป็นแค่บริษัทเกิดใหม่ที่แทบไม่มีอะไรติดตัว ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและเงินทุน การคิดถึงการสร้างเครื่องจักรผลิตชิปรุ่นใหม่ของโลกในเวลานั้นเป็นเพียงแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ

ปีเดียวกันนั้นเอง Philips บริษัทยักษ์ใหญ่อิเล็กทรอนิกส์จากเนเธอร์แลนด์ ตัดสินใจแยกแผนกสร้างเครื่องจักรผลิตชิปออกมา ก่อตั้งเป็นบริษัทใหม่ชื่อ ASML โดยมีสำนักงานใหญ่ที่เมือง Veldhoven ไม่ไกลจากชายแดนเนเธอร์แลนด์ติดเบลเยียม

ช่วงเวลานั้น การที่ ASML จะก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทระดับโลกในวงการเซมิคอนดักเตอร์ดูเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝัน แม้ยุโรปจะเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ แต่ก็ยังตามหลัง Silicon Valley และญี่ปุ่นอยู่มากโข

สิ่งที่ทำให้ ASML มีความแตกต่างจากบริษัทญี่ปุ่นหรืออเมริกาคือแนวคิดในการทำธุรกิจ พวกเขาตัดสินใจประกอบระบบจากชิ้นส่วนที่จัดหาอย่างพิถีพิถันจากซัพพลายเออร์ทั่วโลก

เป็นการพึ่งพาบริษัทอื่นในการสร้างส่วนประกอบหลักของเครื่องจักร ซึ่งในเวลานั้นดูเหมือนเป็นแนวคิดที่เสี่ยงสุด ๆ

แต่ ASML กลับรังสรรค์วิธีจัดการความเสี่ยงได้อย่างยอดเยี่ยม ต่างจากคู่แข่งอย่าง Canon และ Nikon จากญี่ปุ่นที่พยายามสร้างทุกอย่างภายในบริษัทตัวเอง

ด้วยกลยุทธ์นี้ ASML ซื้อชิ้นส่วนที่ดีที่สุดในตลาดได้ เมื่อเริ่มมุ่งพัฒนาเครื่อง EUV (Extreme Ultraviolet Lithography) ความสามารถในการรวมชิ้นส่วนชั้นเลิศจากทั่วโลกกลายเป็นจุดแข็งของพวกเขา

ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดัน ASML ไปสู่ความสำเร็จ ช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 ASML จากเนเธอร์แลนด์ถูกมองว่าเป็นกลางในข้อพิพาททางการค้าระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา

Micron บริษัทสตาร์ทอัพผู้ผลิต DRAM สัญชาติอเมริกัน เมื่อต้องการซื้อเครื่องจักรสำหรับผลิต จึงเลือก ASML แทนการพึ่ง Canon หรือ Nikon ซึ่งมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคู่แข่งของ Micron ในญี่ปุ่น

การแยกตัวจาก Philips ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับ TSMC จากไต้หวัน เพราะ Philips เป็นนักลงทุนสำคัญใน TSMC ถ่ายทอดเทคโนโลยีกระบวนการผลิตและทรัพย์สินทางปัญญาให้ TSMC ตั้งแต่เริ่มต้น

ASML ได้ฐานลูกค้าจาก TSMC เพราะโรงงาน TSMC ออกแบบตามกระบวนการผลิตของ Philips และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อโรงงาน TSMC เกิดไฟไหม้ใหญ่ปี 1989 ทำให้ต้องซื้อเครื่องจักรผลิตชิปเพิ่ม 19 เครื่อง ทั้งหมดสั่งตรงจาก ASML

ทั้ง ASML และ TSMC เริ่มจากบริษัทเล็กๆ ที่แทบไม่มีใครชายตามองในวงการผลิตชิปช่วงแรก แต่พวกเขาเติบโตไปด้วยกันและสร้างความร่วมมือแน่นแฟ้น จนก้าวขึ้นเป็นลูกพี่ในอุตสาหกรรมของตนในปัจจุบัน

ในขณะเดียวกัน ฝั่งอเมริกา Andy Grove กำลังเตรียมอนุมัติการลงทุนครั้งใหญ่แรกของ Intel ในการวิจัยเครื่องมือ EUV เช่นเดียวกับที่ ASML กำลังทำ

ช่วงปี 1992-1996 Intel สร้างความร่วมมือกับห้องปฏิบัติการหลายแห่งจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญจำเป็นต่อการสร้างเครื่อง EUV

แรกๆ ดูเหมือนจะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า เพราะแม้ห้องวิจัยอเมริกาจะเชี่ยวชาญการสร้างต้นแบบระบบ EUV แต่พวกเขาโฟกัสที่วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การผลิตระดับอุตสาหกรรม

เป้าหมายของ Intel คือสร้างสิ่งใหม่ ไม่ใช่แค่วัดผลทดลองทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ต้องหาบริษัทที่ผลิตเครื่อง EUV จำนวนมากได้ ซึ่งมองไปทั่วอเมริกาแทบไม่มีบริษัทไหนทำได้สักที่

บริษัทที่สร้างเครื่องมือพวกนี้ที่ใหญ่สุดในอเมริกาคือ Silicon Valley Group (SVG) ซึ่งล้าหลังทางเทคโนโลยี รัฐบาลสหรัฐฯ ยังบาดเจ็บจากสงครามการค้าช่วง 1980 กับญี่ปุ่น จึงไม่อยากให้ Nikon และ Canon เข้ามาร่วมวง

แม้ Nikon เองก็ไม่คิดว่าเทคโนโลยี EUV จะใช้งานได้จริง ทำให้ ASML เป็นความหวังเดียวที่จะช่วย Intel ได้

การให้บริษัทต่างชาติเข้าถึงงานวิจัยล้ำสมัยจากห้องทดลองระดับชาติของอเมริกาสร้างความตะหงิดใจให้กับฝั่งวอชิงตัน ตอนนั้นยังไม่มีการใช้เทคโนโลยี EUV ในวงการทหาร และยังไม่แน่ใจว่า EUV จะใช้งานได้จริงหรือไม่

แต่นักการเมืองอเมริกันมองว่า ASML และรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ สิ่งสำคัญกว่าสำหรับพวกเขาคือผลกระทบต่อการสร้างงาน ไม่ใช่เรื่องภูมิรัฐศาสตร์

รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดให้ ASML สร้างโรงงานในสหรัฐฯ เพื่อผลิตชิ้นส่วนสำหรับเครื่อง EUV และจ้างพนักงานชาวอเมริกัน แต่การวิจัยและพัฒนาหลักของ ASML ส่วนใหญ่ยังเกิดในเนเธอร์แลนด์

เมื่อถูกปิดกั้นไม่ให้วิจัยในห้องแล็บแห่งชาติสหรัฐฯ Nikon และ Canon ตัดสินใจไม่สร้างเครื่องมือ EUV ของตัวเอง ปล่อยให้ ASML เป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในโลก

ปี 2001 ASML เข้าซื้อกิจการ Silicon Valley Group บริษัทผลิตเครื่องจักรผลิตชิปแห่งสุดท้ายของอเมริกา แต่ในตอนนั้นมันก็มีคำถามว่าดีลนี้เหมาะสมหรือไม่ และจะกระทบความมั่นคงอเมริกาหรือเปล่า

ภายใน DARPA และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งให้ทุนอุตสาหกรรมนี้มานาน เจ้าหน้าที่บางคนคัดค้านดีลนี้ สภาคองเกรสก็กังวลเช่นกัน วุฒิสมาชิกสามคนเขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี George W. Bush แสดงความกังวลว่า “ASML จะครอบครองเทคโนโลยี EUV ทั้งหมดของรัฐบาลสหรัฐฯ”

ทางด้าน Intel ออกมาสนับสนุนการขายนี้ ชี้แจงว่าการขาย Silicon Valley Group ให้ ASML สำคัญต่อการพัฒนา EUV และเป็นพื้นฐานสำหรับอนาคตของการประมวลผล หากไม่มีการควบรวมกิจการ การพัฒนาเครื่องมือใหม่ในสหรัฐฯ จะล่าช้าออกไปอีก

สุดท้าย เครื่อง EUV ยุคถัดไปถูกประกอบในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าชิ้นส่วนบางอย่างจะยังสร้างในโรงงานที่คอนเนตทิคัต เครือข่ายวิทยาศาสตร์ที่ผลิต EUV มีอยู่ทั่วโลก รวมนักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศทั้งอเมริกา ญี่ปุ่น สโลวีเนีย และกรีซ

แต่การผลิต EUV ไม่ได้กระจายไปทั่วโลก แต่ถูกผูกขาดทั้งห่วงโซ่อุปทานโดยบริษัทเดียวคือ ASML ซึ่งสามารถควบคุมอนาคตการผลิตชิปของโลกอย่างที่เห็นทุกวันนี้

จากบริษัทเล็กๆ ที่แยกตัวจาก Philips ปี 1984 ASML ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก ด้วยการผูกขาดเทคโนโลยี EUV ที่จำเป็นสำหรับผลิตชิปประสิทธิภาพสูง

ทำให้บริษัทจากประเทศเล็กๆ อย่างเนเธอร์แลนด์กลายเป็นผู้ขีดชะตาชีวิตการพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญของโลก

เทคโนโลยีของ ASML ปัจจุบันเป็นหัวใจของการผลิตชิปประมวลผลที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ รถยนต์ หรืออุปกรณ์ IoT ต่างๆ

ทำให้บริษัทมีอิทธิพลมหาศาลต่อห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีระดับโลก ราวกับมีเวทมนตร์ในการควบคุมอุตสาหกรรมนี้

ช่วงวิกฤตขาดแคลนชิปทั่วโลกหลังการระบาดของ COVID-19 ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของ ASML ในฐานะผู้ผลิตเครื่องจักรจำเป็นสำหรับการขยายกำลังผลิตชิปทั่วโลก

รัฐบาลประเทศต่างๆ ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างหมายปองดึง ASML เข้าสู่อ้อมอกของตน เพื่อรักษาความสามารถแข่งขันด้านเทคโนโลยี

ความสำเร็จของ ASML ไม่ได้เกิดจากการเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการรวบรวมความเชี่ยวชาญจากทั่วโลกและสร้างระบบซับซ้อนให้ทำงานได้จริงในระดับอุตสาหกรรม

นับเป็นบทเรียนที่สำคัญว่าในโลกเทคโนโลยีสมัยใหม่ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศอาจสำคัญไม่น้อยกว่าการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพียงอย่างเดียว

ในอนาคต ASML ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีผลิตชิปรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบสนองความต้องการประมวลผลที่พุ่งกระฉูดอย่างฉุดไม่อยู่

โดยเฉพาะจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) การประมวลผลควอนตัม และเทคโนโลยี 5G ที่กำลังมาแรงแซงทางโค้ง

ความท้าทายสำคัญของ ASML ในอนาคตคือการรักษาความเป็นกลางทางการเมืองท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจเทคโนโลยีอย่างสหรัฐฯ และจีน

โดยเฉพาะประเด็นการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังประเทศที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์

ประเทศต่างๆ ทั่วโลกพยายามลงทุนสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของตัวเอง แต่การที่ ASML ผูกขาดเทคโนโลยีการผลิตสำคัญทำให้ความพยายามเหล่านี้ต้องพึ่งพา ASML อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สะท้อนให้เห็นอำนาจต่อรองมหาศาลของบริษัทจากประเทศเล็กๆ ในยุโรปแห่งนี้ สมฉายาผู้ควบคุมอนาคตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก

เรื่องราวของ ASML เป็นตัวอย่างของการที่บริษัทขนาดเล็กสามารถเติบโตจนกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมระดับโลก ด้วยการเลือกกลยุทธ์ที่แตกต่าง

การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และการมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่ตลาดต้องการ ทำให้บริษัทจากประเทศที่ไม่ได้เป็นมหาอำนาจเทคโนโลยีสามารถก้าวขึ้นมาเป็นที่เชิดหน้าชูตาในการกำหนดทิศทางอนาคตของเทคโนโลยีโลกได้

อิทธิพลของ ASML ในปัจจุบันทำให้หลายประเทศต้องแข่งขันกันอัดฉีดเงินลงทุนและสิทธิพิเศษเพื่อดึงดูดให้บริษัทขยายฐานการผลิตไปยังประเทศของตน

ความสำเร็จของ ASML ยังแสดงให้เห็นว่าแม้แต่บริษัทจากประเทศขนาดเล็กก็สามารถฝ่าฝันต่อสู้จนประสบความสำเร็จในเวทีโลกได้ หากมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและกล้าตัดสินใจเลือกเส้นทางที่แตกต่าง

นับเป็นแรงบันดาลใจให้กับบริษัทสตาร์ทอัพทั่วโลกที่กำลังมุ่งมั่นสร้างเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต

บทเรียนราคาแพงจาก Ghost Kitchens ความล้มเหลวที่ซ่อนอยู่ จากกระแสล้านล้านดอลลาร์ สู่โมเดลที่กำลังดิ้นรน

ธุรกิจจัดส่งอาหารกำลังบูมสุดๆ และยังไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัว แอปจัดส่งอาหารยักษ์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่มีเทรนด์หนึ่งที่ไม่ได้รุ่งแรงไปกับกระแสนี้ นั่นคือ “Ghost Kitchens” หรือร้านอาหารเสมือนจริง

ช่วงหนึ่งเราเห็นแบรนด์แปลกๆ เกิดขึ้นมากถึง 80-100 แบรนด์ที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน พวกเขาตั้งชื่อดึงดูดใจ สร้างโปรไฟล์ปลอมๆ ว่าเป็นร้านดัง แต่ความจริงอาจเป็นแค่เชฟในร้านทั่ว ๆ ไปที่ทำอาหารส่งให้เรา

ในสหรัฐอเมริกาแบรนด์ใหญ่อย่าง Wendy’s และ Kroger ที่ร่วมกับ Kitchen United กำลังถอนตัวออกจากโมเดลร้านอาหารเสมือนจริง บริษัทจัดส่งอาหารเองก็กำลังถอดพวกเขาออกจากแอป และบริษัท Ghost Kitchens อย่าง Cloud Kitchens ที่นำโดยอดีต CEO ของ Uber กำลังปิดร้านและเลิกจ้างพนักงานเพื่อประคองธุรกิจไม่ให้ดับสูญ

การระบาดของ Covid-19 เปลี่ยนพฤติกรรมการกินของชาวอเมริกันและผู้คนทั่วโลกชั่วคราว ร้านอาหารปิดตัวทำให้คนหันไปใช้แอปสั่งอาหาร ร้านที่ไม่มีบริการจัดส่งต้องปิดกิจการ และเชฟของพวกเขาหันมาใช้ Ghost Kitchens เป็นทางรอด

พวกเขาจ่ายค่าเช่าเพียงนิดหน่อยก็สามารถเริ่มทำธุรกิจได้เลย นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ Ghost Kitchens เป็นที่หมายปองของนักลงทุนมากมาย ทางเลือกอื่นๆ เช่น รถขายอาหารหรือเปิดร้านเอง ล้วนมีต้นทุนสูงลิบสำหรับแนวคิดใหม่ๆ

“สำหรับพวกเรา เราต้องการให้ต้นทุนในการเปิดตัวต่ำที่สุด เพื่อที่เราจะทดสอบไอเดียได้ เราไม่รู้เลยว่ามันจะได้ผลหรือไม่ หรือลูกค้าจะตอบรับอย่างไร เราแค่ต้องออกไปลองทำดู” นักธุรกิจรายหนึ่งให้ความเห็น

ไม่นานนัก แบรนด์ยักษ์ใหญ่ก็โดดเข้าวงการนี้ พวกเขามีสาขามากมายทั่วสหรัฐฯ ที่ต้องปิดตัวลงในช่วงโควิด ทำให้การใช้ครัวที่มีอยู่แล้วเพื่อบริการลูกค้าเป็นเรื่องง่ายและสะดวก

เครือร้านอาหารดังอย่าง Denny’s, Ruby Tuesday, Boston Market, Applebee’s และ Wingstop ต่างก็กระโจนเข้าสู่กระแส Ghost Kitchens อย่างบ้าคลั่ง นักลงทุนทั้งหลายก็อัดฉีดเงินเข้าอย่างเต็มที่

บริษัทชั้นนำในวงการ Ghost Kitchens ระดมทุนได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์จากการลงทุนแบบ venture financing ระหว่างปี 2020 ถึง 2022 ตามข้อมูลของ Crunchbase

กระแส Ghost Kitchens ทำให้บริษัทอย่าง Nimbus Kitchen ในนิวยอร์กซิตี้พยายามฉกฉวยโอกาสนี้ สตาร์ทอัพแห่งนี้เปิดพื้นที่ครัวเชิงพาณิชย์หลายแห่งให้เชฟเช่า

“ผมก่อตั้ง Nimbus จากความต้องการส่วนตัว ผมกำลังมองหาที่จะเปิดธุรกิจอาหารของตัวเอง แต่ไม่สามารถหาพื้นที่ครัวเชิงพาณิชย์ที่จะดำเนินการได้” ผู้ก่อตั้งกล่าว

ธุรกิจอาหารมาหา Nimbus เพื่อเช่าพื้นที่ครัวที่พร้อมใช้งานทันที โดยส่วนใหญ่เช่าระยะยาวตั้งแต่ 6 เดือนถึงหลายปี Nimbus ดูแลเรื่องค่าสาธารณูปโภค การทำความสะอาดบ่อดักไขมัน การกำจัดแมลง และการบำรุงรักษาทั้งหมด

บริษัทอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ CBRE คาดการณ์ว่า Ghost Kitchens จะมีสัดส่วน 21% ของอุตสาหกรรมร้านอาหารในสหรัฐฯ ภายในปี 2025 นักวิเคราะห์ด้านอาหารประมาณการว่าอุตสาหกรรมนี้จะมีขนาดตลาดถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

“มีความคาดหวังจากชุมชนนักลงทุนว่าเทรนด์ที่เริ่มต้นหรือเติบโตอย่างมากในช่วงการระบาดจะยังคงดำเนินต่อไปหลังโควิด” ผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งกล่าว

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ Ghost Kitchens กลับได้รับความนิยมน้อยลง ผู้บริโภคกลับไปสู่พฤติกรรมเดิมๆ ที่ Deloitte พวกเขาทำการศึกษาลูกค้าร้านอาหารทุกปี และติดตามความรู้สึกของลูกค้าอย่างใกล้ชิด

ลูกค้ากว่าครึ่งบอกว่าพวกเขากำลังกลับไปใช้บริการร้านอาหารในอัตราเท่าเดิมหรือมากกว่าช่วงก่อนโควิด และสิ่งสำคัญคือพวกเขาต้องการกลับไปยังแบรนด์โปรดของตัวเอง ไม่ใช่แบรนด์เสมือนจริงที่ไม่มีใครรู้จักที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้

ปัจจัยที่สามที่ทำให้ Ghost Kitchens ตกต่ำคือภาวะเงินเฟ้อในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความจริงคือการจัดส่งอาหารไม่ใช่เรื่องถูก ทั้งสำหรับเจ้าของร้านและผู้บริโภค

อีกปัจจัยคือการควบคุมแอปจัดส่งอาหารที่เข้มงวดขึ้น ลูกค้าหลายรายร้องเรียนเกี่ยวกับลักษณะลับๆ ล่อๆ ของ Ghost Kitchens บางแห่ง ซึ่งไม่มีที่อยู่จริงหรือแม้แต่อาจเป็นที่อยู่บ้านของใครบางคน

“ในท้ายที่สุด สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงครัวเสมือน และนั่นทำให้ลูกค้ายากที่จะรู้ว่าอาหารมาจากไหน ใครทำ และแบรนด์ไหนอยู่เบื้องหลัง นี่เป็นจุดที่แอปจัดส่งอาหารบุคคลที่สามเข้ามาและบอกว่า ‘เฮ้ เราต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย'” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว

ความโปร่งใสเป็นกุญแจสำคัญ “มันน่าตะหงิดใจจริงๆ สำหรับผู้บริโภคที่จะพบว่าอาหารถูกปรุงในห้องใต้ดินของโบสถ์หรือในเขตคลังสินค้าที่ไม่เคยเห็นแสงอาทิตย์”

Nimbus ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสโดยตั้งอยู่ในพื้นที่ชั้นล่างที่มีหน้าต่างกระจกจากพื้นถึงเพดาน คนเดินผ่านสามารถมองเห็นอาหารกำลังถูกเตรียม พวกเขายังมีพื้นที่ด้านหน้าเปิดรับชุมชน มีครัวโชว์และพื้นที่จัดกิจกรรมที่ผู้บริโภคสามารถเข้ามาได้ สั่งอาหาร ทานในสถานที่ และมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์

แอปจัดส่งอาหารได้กำจัด Ghost Kitchens ที่มีปัญหาหลายพันรายออกจากระบบ และเพิ่มกฎระเบียบเข้มงวดขึ้น โดยกำหนดให้มีเมนูที่แตกต่างจากบริษัทแม่ รูปภาพอาหารที่ไม่ซ้ำใคร และคะแนนรีวิวจากลูกค้าที่สูงขึ้น

การปิดกิจการและการยกเลิกแผนขยายธุรกิจสั่นคลอนอุตสาหกรรมนี้เป็นอย่างมาก Cloud Kitchens ของ Travis Kalanick ผู้ร่วมก่อตั้ง Uber ซึ่งระดมทุนได้มากกว่า 850 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 ประกาศลดจำนวนพนักงาน ปิดกิจการมากมาย และข้อตกลงกับร้านอาหารก็ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ

สองปีที่ผ่านมามีการปิดกิจการเพิ่มขึ้นทั่วอุตสาหกรรม ตลาดที่อิ่มตัวเกินไปเริ่มเห็นการล่มสลาย และธุรกิจยอดนิยมในช่วงโควิดเริ่มทยอยปิดกันไปอย่างเงียบๆ

“ผมไม่คิดว่าแบรนด์ใหญ่หลายรายจะยังลงทุนใน Ghost Kitchens ต่อไป” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว “แต่ผมไม่ได้บอกว่าพวกเขาจะหายไปทั้งหมด เพราะยังมีกรณีการใช้งานสำหรับแบรนด์เล็กๆ อยู่”

ยังคงมีประสิทธิภาพในการใช้ครัวร่วมกัน และ Ghost Kitchens หลายแห่งอยู่ใกล้ลูกค้า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นพื้นที่ที่แบรนด์ไม่มีร้านจริงอยู่แล้ว

แม้ว่า Ghost Kitchens แบบมีแบรนด์จะซบเซา แต่ Nimbus Kitchen กำลังพบโมเมนตัมโดยมุ่งเน้นไปที่การจัดงานอีเวนต์และการจัดเลี้ยง ไม่ใช่แค่การจัดส่งเท่านั้น ซึ่งบริษัทเรียกว่า “พื้นที่ครัวร่วม” (co-cooking spaces)

Nimbus มีสี่สาขาทั่วนิวยอร์กซิตี้ มีหน่วยครัวให้เช่า 40 หน่วยและพื้นที่จัดงานให้เช่า 4 แห่ง พวกเขาเป็นบริการที่ยืดหยุ่นสูง ทำให้ธุรกิจอาหารสามารถทำอาหารได้ตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงหลายปี

พวกเขาทำงานร่วมกับแนวคิดต่างๆ ในอุตสาหกรรมและในทุกขั้นตอนของการเติบโต มีสมาชิกเพียง 20% ที่พึ่งพาการจัดส่ง ส่วนที่เหลือเป็นธุรกิจจัดเลี้ยง แนวคิดการเตรียมอาหาร แบรนด์สินค้าบรรจุภัณฑ์ และเชฟที่ทำการพัฒนาสูตรอาหาร

“เราเชื่อว่าอนาคตของอุตสาหกรรมคือการให้บริการไม่เพียงแค่แนวคิดการจัดส่ง แต่รวมถึงธุรกิจอาหารประเภทต่างๆ ที่ต้องการพื้นที่ครัวเพื่อขายอย่างถูกกฎหมาย” ผู้บริหาร Nimbus กล่าว

แม้ว่าพื้นที่ครัวร่วมจะเสนอทางเลือกที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเมื่อเทียบกับร้านอาหาร แต่ต้นทุนการดำเนินงานก็ไม่ได้ถูก และค่าธรรมเนียมสำหรับธุรกิจจัดส่งอาหารอาจทำให้กระเป๋าฉีกได้

“แพลตฟอร์มต่างๆ มีต้นทุนในการหาลูกค้าที่สูงลิบ ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มอยู่ที่ 15% ถึงมากกว่า 30% ขึ้นอยู่กับว่าคุณรับการสนับสนุนด้านการตลาดจากแพลตฟอร์มมากแค่ไหน” ผู้ประกอบการกล่าว

อย่างไรก็ตาม การมีช่องทางตรงของตัวเองก็สำคัญไม่แพ้กัน “เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่เกือบครึ่งหนึ่งของคำสั่งซื้อทุกสัปดาห์มาจาก happyboards .com (แพลตฟอร์มของ Nimbus เอง) โดยตรง ซึ่งเราไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มใดๆ”

ในช่วงโควิด ผลกระทบของ Ghost Kitchens ถูกประเมินสูงเกินไป เราเห็นสิ่งนี้จากการลดลงของพวกเขาในปัจจุบัน และในสิ่งที่แบรนด์ร้านอาหารกำลังลงทุน

ยังคงมีการเปลี่ยนจากกายภาพสู่ดิจิทัล นั่นหมายความว่าลูกค้าต้องการตัวเลือก แต่ไม่ใช่เรื่องของ Ghost Kitchens อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการขยายช่องทางที่ลูกค้าขับรถผ่าน หรือการลดขนาดพื้นที่รับประทานอาหารและสร้างพื้นที่มากขึ้นสำหรับจุดรับอาหารเมื่อสั่งผ่านแอป

ครัวร่วมและโครงสร้างพื้นฐานการทำอาหารร่วมกันเช่น Nimbus จะยังอยู่ต่อไป พวกเขาเห็นแต่ความต้องการที่เพิ่มขึ้น “ภาพใหญ่ของ Happy Boards คือเราต้องการให้กลายเป็นคำที่เป็นที่รู้จักสำหรับชีสและเนื้อสัตว์แปรรูป เหมือนที่ Sweetgreen เป็นที่รู้จักสำหรับสลัด” ผู้ก่อตั้งกล่าว

ผู้เล่นรายอื่นในธุรกิจนี้ต้องมุ่งเน้นไปที่ชุมชน นั่นคือสิ่งที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการต้องการ แม้จะไม่มีวันแทนที่ประสบการณ์ร้านอาหารจริงได้ แต่พวกเขาสามารถเชื่อมช่องว่างระหว่าง Ghost Kitchens ที่มีประสิทธิภาพสูงกับประสบการณ์ร้านอาหารจริง

ทุกคนจะได้ประโยชน์เมื่อมีการมุ่งเน้นที่ชุมชนและประสบการณ์ และนี่คือทิศทางที่อุตสาหกรรมกำลังมุ่งไป ใครจะคิดว่าธุรกิจที่เคยเป็นที่หมายปองของนักลงทุนมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์จะต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด? นี่คือบทเรียนโหดๆ ของการธุรกิจที่ไม่ควรพึ่งพาเพียงกระแสชั่วครั้งชั่วคราว

ทำไม Elon Musk ถึงไม่เอา SpaceX เข้าตลาดหุ้น? ล้มเหลว 3 ครั้ง สำเร็จครั้งเดียว เมื่อบริษัทเอกชนเปลี่ยนเกมอวกาศทั้งหมด

ผมว่าหลายคนอาจจะสงสัยว่าบริษัทเอกชนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกตอนนี้คือใคร? ไม่ใช่ Apple หรือ Microsoft แต่เป็น SpaceX บริษัทอวกาศของ Elon Musk ที่มีมูลค่าพุ่งทะยานถึง 350 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024

มูลค่าของ SpaceX สูงกว่า GDP ของประเทศฟินแลนด์หรือชิลีซะอีก แถมเรื่องที่น่าทึ่งคือนักลงทุนแทบไม่มีใครยอมขายหุ้นเลย พวกเขามั่นใจว่ามูลค่าจะพุ่งกระฉูดขึ้นไปอีก

ใครจะไปคิดว่าบริษัทที่เกือบล้มละลายเมื่อยี่สิบปีก่อน หลังจากความล้มเหลวในการปล่อยจรวดติดๆ กันหลายครั้ง จะกลายเป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการอวกาศที่ NASA ต้องพึ่งพา

เรื่องราวเริ่มต้นในวันหยุดสุดสัปดาห์วันแรงงานปี 2001 เมื่อ Elon Musk วัย 30 ปี เข้าเว็บไซต์ของ NASA เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับแผนการเดินทางไปดาวอังคาร

Musk คิดว่าน่าจะมีแผนชัดเจนอยู่แล้ว เพราะมนุษย์ลงจอดบนดวงจันทร์ตั้งแต่ปี 1969 แต่เขาต้องอึ้งเมื่อพบว่าไม่มีแผนดังกล่าวเลย

การค้นหาต่อไปทำให้เขาพบข้อมูลเกี่ยวกับงานดินเนอร์ใน Silicon Valley ที่จัดโดยองค์กรชื่อ The Mars Society Musk และภรรยา Justine จึงซื้อตั๋วราคา 500 ดอลลาร์

นอกจากนี้ Musk ยังเขียนเช็คบริจาค 5,000 ดอลลาร์ให้กับองค์กร ซึ่งดึงดูดความสนใจของประธาน Robert Zubrin ที่จัดให้เขานั่งข้างผู้กำกับชื่อดัง James Cameron

ที่งานนี้ พวกเขาพูดคุยถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการตั้งอาณานิคมบนดาวอังคาร และความเสี่ยงต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติหากไม่ดำเนินการ

นี่เป็นจุดพีคในชีวิตของ Musk เขาได้พบภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าธุรกิจก่อนหน้านี้อย่าง PayPal ที่เขาร่วมก่อตั้ง ราวกับมีเวทมนตร์มาดลใจให้เขาเริ่มต้นสิ่งใหม่

เมื่อเขาแบ่งปันแผนการตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารกับเพื่อนร่วมงานเก่า Reid Hoffman ในงานศิษย์เก่า PayPal คำถามแรกที่ได้รับคือ “นี่มันเป็นธุรกิจได้อย่างไร?”

แต่สำหรับ Musk แล้ว มันไม่เคยเกี่ยวกับเรื่องของเงิน แต่เกี่ยวกับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า เขามองว่าการตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของมนุษยชาติ

Musk เคยกล่าวว่า “ดาวอังคารเป็นการมุ่งสู่อนาคตที่น่าตื่นเต้น ชีวิตไม่สามารถเป็นแค่การแก้ปัญหา ต้องมีสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้คุณ”

แผนแรกของ Musk นั้นฟังดูง่ายๆ – ส่งหนูไปดาวอังคาร แต่ถ้าหนูไม่รอด? มันไม่ใช่ภารกิจที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนมากมายเท่าไรนัก

แผนที่สองเจ๋งกว่า คือการส่งเรือนกระจกขนาดเล็กไปดาวอังคารเพื่อแสดงให้เห็นว่าชีวิตสามารถเติบโตบนดาวเคราะห์อื่นได้ เขาประมาณการค่าใช้จ่ายที่ 30 ล้านดอลลาร์

จากการขาย PayPal ให้ eBay ทำให้ Musk ได้รับเงินมากโข 180 ล้านดอลลาร์ เงินก้อนนี้จะช่วยให้เขาเริ่มต้นธุรกิจอวกาศได้

Musk บินไปมอสโกเพื่อซื้อจรวดรัสเซีย แต่การเจรจากลับไม่ราบรื่น เมื่อชาวรัสเซียขึ้นราคาจรวดจาก 18 ล้านดอลลาร์เป็น 21 ล้านดอลลาร์ต่อลำ

พวกเขายังทะลึ่งถามว่า “โอ้ เด็กน้อย คุณไม่มีเงินหรือ?” นี่เป็นจุดที่ Musk ตะหงิดใจและตัดสินใจว่าถ้าซื้อจรวดไม่ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล เขาจะสร้างของเขาเอง

Musk เริ่มพัฒนาสิ่งที่เขาเรียกว่า “ดัชนีคนโง่” (idiot index) วิธีวัดความไม่มีประสิทธิภาพโดยเปรียบเทียบต้นทุนของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปกับต้นทุนวัตถุดิบ

เขาพบว่าจรวดสำเร็จรูปมีราคาสูงกว่าวัตถุดิบถึง 50 เท่า เขาตระหนักว่าสามารถสร้างจรวดที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่ามากได้

เพื่อนสนิทพยายามพูดให้เขาล้มเลิกความคิดบ้า ๆ ที่จะเริ่มธุรกิจจรวด คนหนึ่งถึงกับรวบรวมฟุตเทจความหายนะของจรวดมาให้ดู

แต่ Musk ยังคงมุ่งมั่น เขาบอกว่าให้โอกาสตัวเองประสบความสำเร็จเพียง 10% แต่ก็เต็มใจที่จะเสี่ยง “มีบางครั้งที่บางสิ่งมีความสำคัญมากพอจนคุณต้องทำมันแม้จะมีความกลัว” Musk กล่าว

ในเดือนพฤษภาคม 2002 Musk ก่อตั้ง Space Exploration Technologies หรือ SpaceX ขึ้นในโกดังเก่าใน Southern California พื้นที่ซึ่งมีวิศวกรอวกาศฝีมือเทพอยู่มากมาย

เป้าหมายแรกคือการปล่อยจรวดลำแรกภายในเดือนกันยายน 2003 และส่งภารกิจไร้คนขับไปดาวอังคารภายในปี 2010 เป็นกรอบเวลาที่ดูเพ้อฝันสุดๆ

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ Musk และภรรยา Justine ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เมื่อลูกชายคนแรกของพวกเขา Nevada เสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 10 สัปดาห์

Maye มารดาของ Musk เล่าว่า “เขาร้องไห้เหมือนคนบ้า” มันเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดรวดร้าวอย่างยิ่ง หลังจากนั้น Musk ทุ่มเทให้กับงานมากขึ้นเพื่อรับมือกับความสูญเสีย

การตัดสินใจสำคัญของ Musk คือการจ้าง Tom Mueller วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์จาก TRW มาพัฒนาเครื่องยนต์ Merlin อันเป็นหัวใจของจรวด Falcon

เมื่อ Mueller กำหนดเวลาสำหรับการสร้างเครื่องยนต์ Musk ได้ยืนยันให้ลดเวลาลงครึ่งหนึ่ง แม้ Mueller จะคัดค้านว่าเป็นไปไม่ได้

Musk ยืนกรานว่า “เมื่อฉันขออะไร คุณต้องให้มันกับฉัน” แม้ว่าเครื่องยนต์จะไม่เสร็จตามกำหนด แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกเร่งด่วนของ Musk ที่จะไปถึงดาวอังคาร

อีกบุคคลสำคัญคือ Gwynne Shotwell ผู้เข้าร่วมบริษัทในตำแหน่งรองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บุคลิกที่เด็ดขาดแต่เป็นกันเองของเธอสร้างความสมดุลกับ Musk

Shotwell ช่วยให้ SpaceX ได้รับสัญญาสำคัญแรกกับกระทรวงกลาโหมในปี 2003 มูลค่า 3.5 ล้านดอลลาร์ เพื่อปล่อยดาวเทียมขนาดเล็ก

ถนนสู่ความสำเร็จของ SpaceX ไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยขวากหนาม การปล่อยจรวด Falcon 1 ครั้งแรกในวันที่ 24 มีนาคม 2006 จบลงด้วยความเละเทะ

เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากทะยานขึ้น เกิดไฟไหม้ที่เครื่องยนต์ Merlin จากการรั่วไหลของน้ำมันผ่านนัตขนาดเล็กที่ยึดท่อน้ำมัน ภารกิจจบลงในไม่ถึงหนึ่งนาที

การปล่อยครั้งที่สองในเดือนมีนาคม 2007 ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าอีกครั้ง เมื่อขั้นที่สองของจรวดเริ่มหมุนควบคุมไม่ได้เนื่องจากเชื้อเพลิงกระฉอก

ชะตาชีวิตของ SpaceX แขวนอยู่บนเส้นด้ายในช่วงการปล่อยครั้งที่สามในเดือนสิงหาคม 2008 เมื่อเงินกำลังจะหมด Musk บอกทีมว่าพวกเขามีเงินพอสำหรับการปล่อยอีกเพียงครั้งเดียว

ในขณะเดียวกัน Tesla ก็กำลังดิ่งลงเหว และ Musk เองก็กำลังผ่านการหย่าร้างที่ขมขื่น เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ชีวิตของเขากำลังวิกฤตเลยทีเดียว

การปล่อยครั้งที่สามดูเหมือนจะไปได้สวย จนกระทั่งขั้นแรกของจรวดชนกับขั้นที่สอง ทำให้ทั้งคู่ตกกลับสู่โลก สาเหตุเกิดจากระบบระบายความร้อนที่ออกแบบใหม่

ความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้พนักงานหลายคนหมดกำลังใจ แต่ Musk ไม่ยอมแพ้ เขาบอกทีมว่า “สำหรับผม ผมจะไม่ยอมแพ้และผมหมายถึงไม่มีวันยอมแพ้”

“ถ้าคุณยังอยู่กับผม เราจะชนะ” คำพูดนี้สร้างแรงบันดาลใจให้ทีมงานลุกขึ้นสู้ต่อไป ในไม่กี่นาทีพลังงานของทั้งอาคารก็เปลี่ยนจากความสิ้นหวังเป็นความมุ่งมั่นฝ่าฟันต่อสู้

โชคดีที่ Peter Thiel และ Founders Fund ตัดสินใจอัดฉีดเงิน 20 ล้านดอลลาร์ หลังจากการปล่อยครั้งที่สามล้มเหลว ทำให้ SpaceX มีทุนสำหรับความพยายามครั้งที่สี่

ในวันที่ 28 กันยายน 2008 การปล่อยจรวด Falcon 1 ครั้งที่สี่ประสบความสำเร็จ ทำให้ SpaceX กลายเป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่ส่งจรวดเข้าสู่วงโคจรโลกได้

Musk บอกกับพนักงานด้วยความภูมิใจว่า “นี่เป็นเพียงก้าวแรกของอีกหลายก้าว” เป็นคำพูดที่แสดงถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของเขา

ความเจ๋งของ SpaceX ไม่ได้หยุดแค่นั้น สามเดือนต่อมา NASA มอบสัญญามูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ให้ SpaceX เพื่อเติมเสบียงให้สถานีอวกาศนานาชาติ

Musk ตื่นเต้นมากจนเปลี่ยนรหัสผ่านคอมพิวเตอร์เป็น “ilovenasa” สัญญานี้ส่งให้ SpaceX พัฒนาจรวด Falcon 9 ที่ใหญ่และทรงพลังกว่าเดิมมาก

ความสำเร็จของ SpaceX มาจากความสามารถในการสั่นคลอนอุตสาหกรรมอวกาศด้วยการลดต้นทุนอย่างมหาศาล พวกเขาผลิตชิ้นส่วนประมาณ 80% ภายในบริษัทเอง

Musk และทีมรังสรรค์วิธีประหยัดต้นทุนที่สร้างสรรค์แบบสุดมัน เช่น ใช้สลักประตูห้องน้ำที่ดัดแปลงแล้วแทนสลักราคาแพงของ NASA

วิธีนี้ลดค่าใช้จ่ายจาก 1,500 ดอลลาร์ต่อชิ้นเหลือเพียง 30 ดอลลาร์! เป็นตัวอย่างของการคิดนอกกรอบแบบที่บริษัทอวกาศดั้งเดิมไม่เคยทำ

อีกตัวอย่างคือการใช้เครื่องปรับอากาศบ้านราคา 6,000 ดอลลาร์ที่ดัดแปลงแล้ว แทนระบบระบายความร้อนมาตรฐานที่มีราคา 3 ล้านดอลลาร์

นวัตกรรมและการประหยัดต้นทุนทำให้ Falcon 9 มีค่าใช้จ่ายในการปล่อยประมาณ 50 ล้านดอลลาร์ต่อครั้ง เทียบกับกระสวยอวกาศที่แพงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ต่อครั้ง

ประธานาธิบดี Obama เล็งเห็นประสิทธิภาพนี้ จึงตัดสินใจยุติแผนการของ NASA สำหรับผู้สืบทอดกระสวยอวกาศ Constellation และหันไปสนับสนุนบริษัทเอกชนแทน

วิสัยทัศน์สุดล้ำของ Musk คือการสร้าง Starship จรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นศูนย์กลางของภารกิจไปดาวอังคาร

Starship เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ SpaceX มีมูลค่าพุ่งทะยานสูงที่สุดในโลก บริษัทที่เป็นเนื้อหอมที่นักลงทุนหมายปอง แต่ Musk ไม่มีแผนที่จะนำเข้าตลาดหุ้นในเร็วๆ นี้

เขาอธิบายว่า “ดาวอังคารต้องใช้การพัฒนาเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเป็นเวลากว่าทศวรรษ แต่ตลาดสนใจแค่ 3 เดือนข้างหน้า ทำให้เกิดลำดับความสำคัญที่ขัดแย้งกัน”

แต่ Starlink บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมของ SpaceX อาจมีโอกาสเข้าตลาดหุ้น บริการนี้เติบโตดังกระฉูดจาก 60,000 รายในปี 2021 เป็น 5 ล้านรายในปี 2024

Musk บอกว่าอาจนำ Starlink เข้าตลาดหุ้น “ในอีกหลายปีข้างหน้าเมื่อการเติบโตของรายได้ราบรื่นและคาดการณ์ได้” เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับภารกิจดาวอังคาร

จากบริษัทที่เกือบสิ้นไร้ไม้ตอกเมื่อยี่สิบปีก่อน SpaceX ได้ก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นบริษัทเอกชนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

วิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ Elon Musk ความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ต่อความล้มเหลว และนวัตกรรมที่ลดต้นทุนอย่างมหาศาล ทำให้ SpaceX เป็นที่เชิดหน้าชูตาในวงการอวกาศ

SpaceX ไม่เพียงปฏิวัติอุตสาหกรรมอวกาศ แต่ยังนำพามนุษยชาติใกล้ความฝันในการเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถอาศัยอยู่ได้บนหลายดาวเคราะห์

ความสำเร็จของ SpaceX ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของกำไรหรือมูลค่าตลาด แต่เป็นก้าวสำคัญของมนุษยชาติในการก้าวข้ามขีดจำกัดและมุ่งสู่การสำรวจที่ไม่เคยมีมาก่อน

ดังที่ Musk เคยกล่าวไว้ “ชีวิตต้องมีสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ” และสำหรับเขาและทีมงาน SpaceX นั่นคือการทำให้มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถเดินทางระหว่างดาวเคราะห์ได้

เรื่องราวของ SpaceX สอนเราว่าแม้จะล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตราบใดที่คุณไม่ยอมแพ้และมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน คุณสามารถเปลี่ยนความฝันลมๆ แล้งๆ ให้กลายเป็นความจริงได้