Operation Bear Hug กับหนึ่งในการตัดสินใจทางธุรกิจครั้งสำคัญที่สุดที่พลิกบริษัท IBM

ในช่วงทศวรรษที่ 1990 IBM กำลังประสบกับวิกฤติ พวกเขาได้สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดทั้งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและหัวใจหลักของธุรกิจอย่างคอมพิวเตอร์เมนเฟรม จนใกล้จะล้มละลายเต็มที

Louis V. Gerstner ชายที่เคยเป็นอดีตที่ปรึกษาของ McKinsey และเป็น CEO ของ American Express แทบไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจทางด้านเทคโนโลยี ถูกเรียกตัวให้มากอบกู้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของโลกอย่าง IBM

Gerstner ไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกที่จะมากอบกู้บริษัทอย่าง IBM ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดยักษ์ในยุคนั้น เขาไม่ใช่นักเทคโนโลยี เป็นเพียงที่ปรึกษาด้านการจัดการให้กับ McKinSey และเคยเป็นผู้ออกบัตรเครดิต American Express

ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของเขายังเป็นผู้นำในการฟื้นตัวของบริษัทผลิตบุหรี่และคุกกี้ RJR Nabisco บริษัท IBM ที่เขากำลังจะเข้าร่วมมีภาระใหญ่ที่หนักอึ้งมาก ๆ เพราะกำลังสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งเทรนด์ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังเติบโตและแอปพลิเคชั่นรูปแบบใหม่ที่มีแนวคิดที่ตรงกันข้ามอย่างชัดเจนกับคอมพิวเตอร์เมนเฟรมแบบรวมศูนย์ของ IBM

Gerstner ที่เคยเป็นผู้บริหารบริษัทผลิตบุหรี่และคุกกี้ อย่าง RJR Nabisco (CR:Fortune)
Gerstner ที่เคยเป็นผู้บริหารบริษัทผลิตบุหรี่และคุกกี้ อย่าง RJR Nabisco (CR:Fortune)

ราคาหุ้นของ IBM ลดลงจาก 43 ดอลลาร์ในปี 1987 เหลือเพียงแค่ 12 ดอลลาร์ในช่วงต้นปี 1990 ซึ่ง ณ เวลานั้น Gerstner เพิ่งได้พบกับผู้ถือหุ้น IBM เป็นครั้งแรก

การเดิมพันของ IBM กับ Gerstner ต่างได้รับการเย้ยหยันจากคนในวงการ ทุกคนต่างมองว่า IBM ไม่น่าจะรอด Gerstner ขาดความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์

สื่อถึงขึ้นออกมาประโคมข่าวว่า Gerstner เป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาด้านการจัดการให้กับ IBM ได้เท่านั้น ซึ่งมันตรงกันข้ามกับวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่หรือผลิตภัณฑ์สุดล้ำที่บริษัทสามารถทำได้ในยุคก่อนหน้า

หนึ่งสัปดาห์หลังจากเข้ามารับตำแหน่งที่ IBM Gerstner ได้พบกับกลุ่มลูกค้าชั้นนำ และอธิบายมุมมองของเขา

“ผมเป็นลูกค้าของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศมานานก่อนที่ผมจะกลายมาเป็นพนักงานของ IBM ในขณะที่ผมไม่ใช่นักเทคโนโลยี แต่ผมเชื่ออย่างแท้จริงว่าเทคโนโลยีสารสนเทศจะเปลี่ยนแปลง ทุก ๆ สถาบันในโลก”

Gerstner รู้สึกตกใจกับสิ่งที่เขาค้นพบที่ IBM เขาพบว่าบริษัทมีระบบการเมืองและทำตัวเชื่องช้าเหมือนกับหน่วยงานราชการ เขามองเห็นเหล่าผู้บริหารต่างแก่งแย่งชิงดีกันเองมากกว่าที่จะแสดงถึงความกังวลต่อลูกค้าที่กำลังหนีหายออกไปเรื่อย ๆ

ในเวลานั้นเหล่าผู้บริหารของ IBM ต่างมีผู้ช่วยที่เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง แต่กลายเป็นว่าคนหนุ่มเหล่านี้กลับเพียงแค่เตรียมการนำเสนอสไลด์ผลิตภัณฑ์แบบละเอียดยิบ แต่แทบไม่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้าเอาเสียเลย

Gerstner เข้าใจดีว่าการฟังลูกค้าถือเป็นกุญแจสำคัญในการปรับเปลี่ยนทิศทางของธุรกิจใหม่ ในการพบปะผู้บริหารระดับสูง 50 คนที่ IBM Gerstner ได้สั่งให้พวกเขาแต่ละคนไปเยี่ยมลูกค้ารายใหญ่อย่างน้อยห้ารายในช่วงสามเดือนแรก

Gerstner ต้องการให้ผู้บริหารของเขาตั้งใจฟังให้มากพอที่จะรายงานสิ่งที่ค้นพบให้เขาทราบได้โดยตรง เขาต้องการรายงานสั้น ๆ เพียงแค่หนึ่งหน้า สูงสุดไม่เกินสองหน้า ซึ่ง Gerstner เรียกปฏิบัติการดังกล่าวว่า “Operation Bear Hug”

เมื่อได้รับรายงานก็จะมีการส่งไปยังทีมงานอื่น ๆ ในองค์กรของ IBM ที่สามารถจะช่วยแก้ปัญหานั้น ๆ ได้ Operation Bear Hug นั้นถือเป็นก้าวแรกในการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรรมองค์กรของ IBM ซึ่ง Gerstner มองว่า ไม่เพียงแค่ IBM จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยมุมมองจากภายนอกเข้ามาเพียงเท่านั้น แต่เขายังให้ความสนใจกับสิ่งที่เหล่าผู้บริหารทำและให้พวกเขารับผิดชอบเป็นการส่วนตัวอีกด้วย

เรียกได้ว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ยิงเข้าไปตรงจุดของ IBM ที่ก่อนหน้านี้มีปัญหาอย่างชัดเจน เพราะ Operation Bear Hug นั้นสามารถบรรลุวัตถุประสงค์สามประการ คือ ทำให้ IBM กลับสู่รากเหง้าเดิมที่มุ้งเน้นไปที่ลูกค้า ทำให้ Gerstner มีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจ และ ทำให้ ซีอีโอคนใหม่ เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้นำคนเก่าของ IBM ที่เขาได้สืบทอดตำแหน่งมา

มันช่วยให้ Gerstner สามารถวิเคราะห์ถึงการตัดสินใจของผู้บริหารคนเก่าก่อนที่เขาจะมาถึง ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปตอนที่ Gerstner เดินเข้าประตูที่ IBM ในตอนแรก สถานการณ์ ณ ตอนนั้น IBM เตรียมที่จะเลิกกิจการแล้วเสียด้วยซ้ำ

สิ่งที่ Gerstner ได้ยินจากลูกค้าที่เขาพบ ควบคู่ไปกับรายงานของ Bear Hug และประสบการณ์ของเขาเองที่ American Express ทำให้เขาได้ข้อสรุปที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

สิ่งที่ Gerstner ทำแม้จะเป็นสิ่งง่าย ๆ แต่มันทำให้ IBM มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เดิมทีที่แต่ละแผนกต่างรู้สึกแตกแยก แต่ตอนนี้พวกเขาได้รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นแผนก คอมพิวเตอร์เมนเฟรม คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ดิสก์ไดรฟ์ ซอฟต์แวร์ และ ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทำให้คนในองค์กรรู้ว่า คู่แข่งยังตามหลังพวกเขาอยู่มาก

ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจเมนเฟรมที่ IBM คิดค้นและครอบครองตลาดมานานหลายปีสามารถทำกำไรได้อีกครั้ง หลังจากที่มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์โดยไม่ได้ปรับราคาให้สูงเว่อร์จนคู่แข่งสามารถเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดไป

ธุรกิจเมนเฟรมที่ IBM คิดค้นและครอบครองตลาดมานานหลายปี (CR:The Newyork Times)
ธุรกิจเมนเฟรมที่ IBM คิดค้นและครอบครองตลาดมานานหลายปี (CR:The Newyork Times)

Gerstner มองว่า IBM นั้นจะเป็นผู้ให้บริการแบบเต็มรูปแบบเพียงรายเดียวในอุตสาหกรรมนี้ แต่สิ่งที่สามารถรวบรวมข้อมูลได้จากลูกค้าก็คือพวกเขาต้องการให้ IBM เป็นบริษัทที่ให้บริการโซลูชั่นแบบครบวงจร

ก่อนหน้าที่ Gerstner จะเข้ามากุมบังเหียนนั้น ผู้บริหารคนเก่า ๆ ต่างมุ่งเน้นไปที่ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แบบสะเปะสะปะ และพลาดการให้ความสำคัญกับ “โซลูชั่น”

ยุคถัดไป IBM จะเปลี่ยนความสำคัญทั้งหมดไปที่การจัดหา “โซลูชั่น” ที่มีอัตรากำไรสูง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของการให้คำปรึกษา และ โครงการบูรณาการทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้ IBM แตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน

ด้วยการให้ความสำคัญกับลูกค้า Gerstner ยังได้ปลูกฝังนวัตกรรมบางอย่างที่เป็นแนวทางปฏิบัติมาตรฐานของ IBM มาจวบจนถึงปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงการประชุมสภา CIO กลุ่มหัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านสารสนเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของ IBM ซึ่งจะมีการรวมตัวกันเป็นระยะเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมและวิธีที่สินค้าและบริการของ IBM สามารถช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้

Operation Bear Hug ของ Gerstner นั้นได้ถูกสรุปเรื่องราวของความสำเร็จกับสิ่งที่เกิดขึ้นไว้ว่า “Louis V. Gerstner ได้กำหนดแซนด์บ็อกซ์ของเขาและเป็นแซนด์บ็อกซ์ที่ใหญ่มากและเป็นแซนด์บ็อกซ์ที่เหมาะสมมากสำหรับ IBM” Andy Grove จาก Intel กล่าวกับ Fortune ไว้ในปี 1997

References :
หนังสือ FORTUNE The Greatest Business Decisions of All Time: How Apple, Ford, IBM, Zappos, and others made radical choices that changed the course of business โดย Verne Harnish
https://moneycrown.wordpress.com/2015/07/20/the-1993-2002-turnaround-of-international-business-machines-corporation-ibm-by-louis-gerstner/

“สิงห์” เปิดตัว “Singha 89 Cals” ชูจุดแข็ง แคลอรี่ต่ำ-ไร้กลูเตน

“สิงห์” ส่งโปรดักท์ใหม่ “Singha 89 Cals” ลงตลาด รับเทรนด์โลก โดยเฉพาะสายรักสุขภาพ New Gen ด้านช่องทางจำหน่าย ปูพรมสินค้าผ่านห้างค้าปลีกทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร และ ผับบาร์ ในจังหวัดท่องเที่ยวทั่วประเทศ

คุณภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า หัวใจสำคัญในการพัฒนาสินค้าใหม่ของบริษัทบุญรอดฯ คือคุณภาพที่ต้องมาเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า

และสินค้าใหม่ครั้งนี้ เราได้จับเทรนด์รักสุขภาพ ที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จนกลายเป็นไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ซึ่ง Singha 89 Cals จะเข้ามาตอบโจทย์เทรนด์ดังกล่าวที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ให้ทางเลือกที่มีคุณภาพระดับพรีเมียมกับผู้บริโภค

คุณธิตินันท์ ชุ่มภาณี ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาดแบรนด์แอลกอฮอล์ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า Singha 89 Cals เป็นเบียร์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกของผู้บริโภค สามารถดื่มได้ในขณะทำกิจกรรมระหว่างวัน สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพและใส่ใจในเรื่องอาหารการกิน 

สำหรับ Singha 89 Cals มีทั้งรูปแบบกระป๋องและขวด ขนาด 320 มล. มีจำหน่ายตามร้านอาหาร ผับบาร์ บีชคลับ และ สปอร์ตคลับ ในกรุงเทพฯและจังหวัดท่องเที่ยว รวมถึงในช่องทางร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ต โดยวางจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศในเดือนพฤศจิกายนนี้

ยุค AI แล้วไง? เมื่อโลกเรากำลังเข้าสู่ยุคทองของคนทำงาน

ต้องบอกว่าแม้ยุค AI กำลังจะบูมถึงจุดสูงสุด เทคโนโลยีอย่าง Generative AI กำลังเข้ามาแย่งงานจากผู้คนจำนวนมากในหลากหลายอาชีพ แต่ยุคทองของการทำงานจริง ๆ กำลังจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะงานที่ใช้แรงงานทางกายภาพซึ่งยากต่อการถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี

รายงานจาก World Economic Forum แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าเครื่องจักร AI จะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงาน 85 ล้านตำแหน่งในปี 2025 แต่ก็จะมีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้นมา 97 ล้านตำแหน่งในปีเดียวกัน

ย้อนกลับไปในยุคพีคที่สุดของการย้ายฐานการผลิตในปี 2015 ในช่วงที่ประชากรวัยทำงานจากประเทศจีนอยู่ในระดับจุดสูงสุดถึง 998 ล้านคน

บริษัทจากโลกตะวันตกส่วนใหญ่ต่างข่มขู่แรงงาน ขูดรีดเงินเดือน ค่าจ้างอย่างไม่เป็นธรรม โดยขู่ว่าจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศจีน เพื่อบีบค่าแรงให้ต่ำลง

แต่ตัดภาพมาถึงวันนี้ ประชากรวัยทำงานของจีนกำลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ก็ประสบปัญหาในการสร้างขีดความสามารถทางด้านอุตสาหกรรม

ความไม่แน่นอนโดยเฉพาะปัญหาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ทำให้การจ้างงานในต่างประเทศลดน้อยลง โลกตะวันตกเองกำลังเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก โดยเฉพาะจำนวนประชาการที่มีอายุระหว่าง 20-54 กำลังสูญหายไป

การสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ใน 41 ประเทศโดย ManPowerGroup พบว่า 77% ของบริษัทส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานเพิ่มขึ้น 2 เท่านับตั้งแต่ปี 2015

สองในสามของโรงงานอุตสาหกรรมในโปแลนด์มีการรายงานว่าปัญหาการขาดแคลนแรงงานเป็นหนึ่งในอุปสรรคหลักต่อการผลิต

ในเยอรมนี บริการขนส่งสาธารณะถูกลดจำนวนลงไปเพราะขาดพนักงานขับรถและพนักงานรถไฟ ในเกาหลีใต้ผู้สูงอายุจำนวนมากยังคงทำงานต่อเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดแคลนแรงงาน โดย 59% ของประชากรอายุ 55 ถึง 79 ปี ยังคงทำงาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 53% เมื่อ 10 ปีที่แล้ว

การสำรวจบริษัทขนาดเล็กในอเมริกาพบว่า มากกว่า 90% พยายามรักษาพนักงานไว้หากเป็นไปได้ ในเยอรมนีที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะงักงันตั้งแต่ต้นปีที่แล้วมีการโฆษณารับสมัครงานที่ศูนย์จัดหางานกว่า 730,000 ตำแหน่ง ซึ่งใกล้เคียงกับสถิติสูงสุด

ส่วนใหญ่ของประเทศกลุ่ม OECD รวมถึงอเมริกาและฝรั่งเศส ต้องเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้เป็นไปตามอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา ในประเทศตะวันตกส่วนใหญ่มีการใช้จ่ายหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสีเขียว ลดการพึ่งพาจีน และสร้างงานใหม่ ๆ

ด้วยยุคทองของตลาดแรงงานกระตุ้นให้สหภาพแรงงานเรียกร้องวันหยุดที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนายจ้างต่างก็กังวลเป็นอย่างมาก ในขณะที่พวกเขากำลังประสบสภาวะขาดแคลนแรงงานอยู่แล้ว

คนงานเหล็กในเยอรมนีเรียกร้องให้ลดเวลาทำงานลงเหลือ 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในสเปนรัฐบาลใหม่ต้องตัดเวลาทำงานมาตรฐานที่ราว ๆ 40 ชั่วโมงลง 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งแม้แต่ชาวอเมริกันก็ต้องการทำงานน้อยลง

เทคโนโลยีกับตลาดแรงงาน

นายจ้างหลายรายหวังว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะช่วยแบ่งเบาภาระของพวกเขา เทคโนโลยี AI สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้มากยิ่งขึ้น การใช้ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่เมื่อก่อนอาจจะเป็นข้อจำกัดของเทคโนโลยีเหล่านี้

Dean Alderucci จากมหาวิทยาลัย คาร์เนกี้ เมลอน และเพื่อนร่วมงานได้ใช้ข้อมูลจากสิทธิบัตรอเมริการะหว่างปี 1990 ถึง 2018 พบว่าบริษัทที่นำ AI ขั้นพื้นฐานมาใช้มีอัตราการเติบโตของการจ้างงานสูงขึ้น 25% และรายได้เพิ่มขึ้น 40%

หากเทคโนโลยีช่วยเหลือพนักงานบริการ เช่น ในศูนย์ Call Center ทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นทำให้ประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของลูกค้าสูงขึ้นด้วย

งานวิจัยใหม่โดย Erik Brynjolfsson จาก MIT พบว่าเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากบอท AI พนักงานเหล่านี้สามารถแก้ไขปัญหาได้มากขึ้นถึง 14% ต่อชั่วโมง โดยพนักงานที่มีผลงานต่ำ ๆ จะได้รับประโยชน์จากเครื่องมือเหล่านี้มากที่สุด

พนักงานบางกลุ่มจะได้รับประโยชน์จาก AI มากกว่า เช่น แพทย์หรือทนายความ ซึ่งต้องมีการตัดสินใจระดับสูงที่มีความเสี่ยงในสถานการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งมันอาจไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเสมอไป การตัดสินใจเหล่านี้จึงต้องการการฝึกฝนอย่างหนักและประสบการณ์ ซึ่ง AI อาจช่วยคนเหล่านี้ไปถึงระดับความเชี่ยวชาญที่จำเป็น

ซึ่ง AI จะนำพาผู้คนจำนวนมากเข้าสู่งานที่ต้องการความเชี่ยวชาญที่ได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น จินตนาการว่าพยาบาลสามารถที่จะช่วยเหลือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้มากยิ่งขึ้น หรือ โปรแกรมเมอร์มือใหม่ที่สามารถรับงานโหด ๆ ได้มากขึ้นพร้อมกับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น

ค่าตอบแทนน้อยลงแต่ได้รับผลผลิตที่สูงขึ้น

ต้องบอกว่าคนงานในงานที่ได้รับผลกระทบจาก AI อาจะได้รับประโยชน์จากผลผลิตที่สูงขึ้นของพวกเขา เพราะสามารถรับจำนวนลูกค้าได้มากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะได้รับค่าตอบแทนจากงานแต่ละงานน้อยลงไปก็ตาม

ผลผลิตที่สูงขึ้นนำไปสู่อุปสงค์ที่มากขึ้นในส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น หากมีหุ่นยนต์ที่ทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ในการผลิตโทรศัพท์มือถือ การใช้หุ่นยนต์ก็จะนำไปสู่โทรศัพท์ที่มีราคาถูกลง

อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น และการผลิตที่มากขึ้นส่งผลต่อจำนวนงานของเหล่านักออกแบบโทรศัพท์และนักเขียนแอปพลิเคชั่นที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย

การศึกษาล่าสุดโดย Daron Acemoglu จาก MIT โดยใช้ข้อมูลระหว่างปี 2009 ถึง 2020 พบว่าการใช้หุ่นยนต์หมายความว่าค่าจ้างจะเพิ่มสูงขึ้นสำหรับเหล่าคนงานที่ไม่ได้ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ และประโยชน์เหล่านี้ยังแพร่กระจายไปยังบริษัทอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

บทสรุป

เศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยีอย่าง AI ทำให้มีกิจกรรมที่ไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ระหว่างปี 1980 ถึง 2010 ประมาณครึ่งหนึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจมาจากการเติบโตของการจ้างงาน หรือสร้างงานใหม่ ๆ แม้ว่า AI จะแย่งงานบางอย่างไป งานใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ AI และในส่วนอื่นๆ ของระบบเศรษฐกิจ

ซึ่งทักษะที่จำเป็นในการทำงานใหม่ๆ เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นทักษะทางด้านเทคโนโลยีเสมอไป แต่เป็นทักษะที่ใช้ในการตอบโต้กับ AI ได้ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลอาจมองหาพยาบาลยุคใหม่ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องมือ AI

และการเปลี่ยนแปลงด้านประชากร โดยเฉพาะประชากรสูงอายุที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ แห่ง จะทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้แรงงานทางกายภาพ

ตราบใดที่นโยบายการคลังยังขยายตัว ความกดดันให้เพิ่มค่าจ้างจะดำเนินต่อไป ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการใช้ AI มากขึ้น ที่อาจเป็นการผลักดันค่าจ้างให้สูงขึ้นด้วย และสุดท้ายทุกคนจะได้ใช้ประโยชน์จาก AI มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/finance-and-economics/2023/11/28/welcome-to-a-golden-age-for-workers
https://www.makeuseof.com/reasons-artificial-intelligence-cant-replace-humans/
https://www.weforum.org/publications/the-future-of-jobs-report-2020/in-full/executive-summary/

มาสด้าสร้างเซอร์ไพรส์นำ Mazda6 20th Anniversary Edition ฉลองครบรอบ 20 ปี เปิดรับจองสิทธิ์เพียง 100 คัน ในประเทศไทย

บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด มีความภูมิใจอย่างยิ่งที่จะประกาศให้ลูกค้าชาวไทยทราบว่า วันนี้ การรอคอยได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อมาสด้าเตรียมนำเข้ารถยนต์นั่งสปอร์ตซีดานระดับไฮเอนด์ที่ให้ความหรูหราภูมิฐานจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้คนไทยได้สัมผัสและเป็นเจ้าของ กับการเผยโฉมครั้งแรกของ Mazda6 20th Anniversary Edition ที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี ของมาสด้า6 โดยจะนำเข้ามาเพียง 100 คัน เท่านั้น เพื่อเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมี่ยม นักธุรกิจชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ผู้บริหารระดับผู้นำสูงสุดขององค์กร

โดยจะเริ่มเปิดให้ลูกค้าจองสิทธิ์เพื่อเป็นเจ้าของรถยนต์รุ่นพิเศษได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผ่านผู้จำหน่ายทั่วประเทศไทย และมีกำหนดส่งมอบให้กับลูกค้ารายแรกในช่วงเดือนเมษายนปี พ.ศ. 2567 โดยจะวางราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณการณ์ 2.4 ล้านบาท  พร้อมแพ็กเกจพิเศษเพื่อเอาใจใส่ดูแลลูกค้าแบบพิเศษสุดกับโปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ Mazda Ultimate Service นานสูงสุด 7 ปี และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆ อีกมากมาย

มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้า6 เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ไอคอนที่สำคัญของมาสด้า ภายใต้สโลแกน “Zoom-Zoom” โดยนับตั้งแต่ มาสด้า6 เจเนอเรชั่นแรก (หรือที่รู้จักในชื่อ Mazda Atenza ในประเทศญี่ปุ่น) ได้วางจำหน่ายเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2545 ในประเทศญี่ปุ่น ก็เรียกได้ว่าเป็นรถยนต์นั่งขนาดกลางที่เติมเต็มความสุขในการขับขี่ให้กับลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แม้ว่ามาสด้า6 ผ่านการออกแบบใหม่ทั้งหมดมาแล้วสองครั้ง แต่ยังคงเอกลักษณ์ตัวตนที่ชัดเจนในด้านการส่งมอบความสุขในการขับขี่ ด้วยการนำเสนอคุณค่าในระดับสากลที่รถยนต์สามารถมอบให้ได้อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้รถรุ่นนี้ได้รับความนิยมและกลายเป็นรถที่ส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าทั่วโลกมาแล้วกว่า 4 ล้านคัน

เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้ามาสด้า และร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี ของ มาสด้า6 เจเนอเรชั่นแรก เมื่อปี พ.ศ. 2545 เช่นเดียวกับ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และแฟนมาสด้าทั่วโลก ทาง มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จึงเตรียมนำรถยนต์ Mazda6 20th Anniversary Edition เข้ามาเปิดตัวแนะนำ เพื่อแทนคำขอบคุณลูกค้าที่เชื่อมั่นในแบรนด์มาสด้า เพื่อให้แฟนมาสด้าได้เป็นเจ้าของด้วยความภาคภูมิใจ

โดยรถที่จะนำเข้ามานี้เป็นรถโมเดลเดียวกับที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นและผลิตจากโรงงานมาสด้า ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งยังคงความสนุกสนานในการขับขี่สไตล์มาสด้าเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม ผสานกับการออกแบบที่มีสไตล์ทำให้เกิดรูปลักษณ์อันสง่างาม พิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียด จนกลายเป็นรถยนต์ที่ไม่ธรรมดา และให้สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ซึ่งได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตลอดประวัติศาสตร์ 20 ปี ของรถยนต์รุ่นนี้ 

มาสด้ายังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่สร้างความรักความผูกพันอันแน่นแฟ้นกับลูกค้า โดยมุ่งเน้นไปที่แก่นแท้ของรถยนต์ นั่นคือ “ความสุขในการขับขี่” หรือ Joy of Driving และมุ่งมั่นที่จะรักษาโลกของเราให้ยังคงสวยงาม ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน และสร้างสังคมที่น่าอยู่ เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของทุกคน

ในโอกาสพิเศษนี้ มาสด้าจึงนำเข้า Mazda6 20th Anniversary Edition ไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าและแฟนๆ มาสด้าในประเทศไทย เพื่อให้รถยนต์มาสด้าเป็นยานพาหนะคู่ใจของทุกคนในครอบครัว โดยมาสด้าจะเริ่มเปิดให้จองสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 ในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023 และโชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ โดยจำกัดจำนวนเพียง 100 คัน เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น 

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด รถยนต์นั่งสุดหรู Mazda6 20th Anniversary Edition มาพร้อมแนวคิด “The Ultimate Maturation of Sportiness and Elegance” โดยเป็นรถที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ด้านสมรรถนะในการขับขี่ เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่และฟีเจอร์อำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่ถูกออกแบบให้มีความสปอร์ตโฉบเฉี่ยว ในรูปแบบสปอร์ตซีดาน 4 ประตู โดดเด่นด้วยล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ไฟหน้าแบบ LED และหลังคาซันรูฟไฟฟ้า มาพร้อมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 2.5 ลิตร เจเนอเรชั่นใหม่ พร้อมเทคโนโลยี Cylinder Deactivation อัจฉริยะ ที่เปิดตัวแนะนำเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

โดยระบบสามารถคำนวณและลดการทำงานของกระบอกสูบตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงความเร็ว จาก 4 สูบ ให้เหลือเพียง 2 สูบ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันที่เหนือกว่าถึง 14.3 กม./ลิตร* ให้พละกำลังสูงสุด 192 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 223 กม./ชั่วโมง พร้อมเกียร์อัตโนมัติสกายแอคทีฟ 6 สปีด และแมนนวลโหมด ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ MRCC แบบ Stop & Go ปรับเพิ่ม-ลดความเร็วตามรถคันหน้าแบบอัตโนมัติจนถึงจุดหยุดนิ่ง

*ทดสอบตามมาตรฐาน UN R101 ในห้องปฏิบัติการ

ในด้านการออกแบบนั้น Mazda6 20th Anniversary Edition ได้รับการถ่ายทอดภาพลักษณ์ความภูมิฐาน ที่ผสมผสานระหว่างความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวและความหรูหราสง่างามในรูปแบบสปอร์ตซีดาน

ภายในตกแต่งอย่างประณีตด้วยวัสดุคุณภาพสูง ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยหนัง Faux Suede Leganu® สีแทน พรีเมี่ยมทุกจุดสัมผัส รวมถึงเบาะหนัง Nappa สีแทน ระบบเสียง Bose® คุณภาพพรีเมี่ยม ระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัย i-Activsense ครบทุกระบบ พร้อมสัญลักษณ์บ่งบอกความพิเศษบริเวณต่างๆ ของตัวรถ ได้แก่ สัญลักษณ์พิเศษครบรอบ 20 ปี ที่พนักพิงศีรษะเบาะคู่หน้า และชุดพรมปูพื้นห้องโดยสาร ป้ายสัญลักษณ์พิเศษครบรอบ 20 ปี ที่ซุ้มล้อหน้าซ้าย-ขวา และกุญแจรีโมทตามสีภายนอก

บ่งบอกถึงการเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 20 ปี ทำให้รถยนต์รุ่นพิเศษนี้แตกต่างโดดเด่นจากรถรุ่นอื่นอย่างชัดเจน โดยมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมี่ยม นักธุรกิจชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ผู้บริหารระดับผู้นำสูงสุดขององค์กร แฟนพันธุ์แท้มาสด้า และผู้ที่ชื่นชอบคาแร็กเตอร์ของรถมาสด้า ที่มอบความสนุกสนานในการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจน ถ่ายทอดภาพลักษณ์ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลงตัว

ไม่เพียงเท่านี้ มาสด้ายังได้พัฒนา Mazda6 20th Anniversary Edition ให้มีความพิเศษมากยิ่งขึ้น ด้วยการเลือกสีตัวถังพิเศษที่เรียกว่า สีแดง Artisan Red Premium และ สีขาว Rhodium White Premium เป็นสีใหม่ที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีการพ่นสีขั้นสูง ประกอบด้วยเกล็ดอลูมินัมที่มีความบางเป็นพิเศษแต่มีหนาแน่นสูง ด้วยเทคโนโลยี Takuminuri โดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญพิเศษ เป็นสีที่ได้รับการพัฒนาเพื่อถ่ายทอดความงดงามในทุกมุมมองเรียบลื่นราวกับผ้าไหม บ่งบอกถึงความพรีเมี่ยมเหนือระดับ

นอกจากมาสด้าจะนำ Mazda6 20th Anniversary Edition มาแนะนำและเปิดให้จองสิทธิ์ภายในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023 แล้ว มาสด้ายังได้นำยนตรกรรมมาสด้าทุกรุ่นมาจัดแสดงให้ลูกค้าได้จับจองเป็นเจ้าของ พร้อมกับเซอร์ไพรส์พิเศษ ด้วยการนำรถ New Mazda2 ในแบบแฮชท์แบ็ค 5 ประตู ที่ตกแต่งด้วยชุดแต่ง Sci-Fi** มาจัดแสดงให้แฟนๆ ได้ยลโฉม โดยเลือกใช้สีภายนอกโทนเข้มและหลังคาสีดำ ที่ตัดกับชุดตกแต่งสีเขียว Lime Green บนชุดสปอยเลอร์หลัง คิ้วตกแต่งกระจังหน้าและกันชนหลัง มาพร้อมชุดสติกเกอร์ Sci-Fi บริเวณกระจังหน้า ชุดครอบกระจกมองข้างและฝาครอบล้อสีดำ ที่มอบความเรียบง่าย สนุกสนาน และเต็มไปด้วยลูกเล่นที่โดดเด่นลงตัว

นอกจากนั้นยังนำ New Mazda2 ในแบบซีดาน 4 ประตู ที่ได้รับการเนรมิตโฉมแบบใหม่ด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่ง Clap Pop Sedan** ชุดครอบกระจกมองข้าง สีขาว Ceramic Metallic ชุดฝาครอบล้อ สีขาว Ceramic Metallic และหลังคาสีขาว มาจัดแสดงให้เป็นไอเดียให้ลูกค้าที่ชอบความมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใครได้นำไปเป็นแบบอย่างในการแต่งรถอีกหนึ่งรุ่น ที่สำคัญมาสด้ายังมอบข้อเสนอสุดพิเศษอีกมากมาย

อาทิ ลูกค้า 300 ท่านแรก ที่จองขั้นต่ำ 5,000 บาท ภายในงานฯ และออกรถภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 รับฟรีของพรีเมี่ยมสุดพิเศษจากมาสด้า พร้อมมอบสิทธิพิเศษให้กับเจ้าของรถมาสด้าและครอบครัว เมื่อออกรถใหม่ รับ ฟรี บัตรน้ำมัน มูลค่า 10,000 บาท*** รวมถึงมอบข้อเสนอมากมายส่งท้ายปี ไม่ว่าจะเป็น

  • New Mazda2: ดอกเบี้ย 0%1, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 หรือ ดอกเบี้ย 0.59%3, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 หรือ ดอกเบี้ย 1.39%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรีแพ็กเกจบำรุงรักษารถตามระยะ Mazda Care 5 ปี (รวมค่าแรง ค่าอะไหล่ และของเหลว)5 
  • Mazda3 และ Mazda3 Carbon Edition: ดอกเบี้ย 2.39%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS)6 หรือ ดอกเบี้ย 1.39%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2
  • New Mazda CX-3: ดอกเบี้ย 2.39%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรีแพ็กเกจบำรุงรักษารถตามระยะ Mazda Care 5 ปี (รวมค่าแรง ค่าอะไหล่ และของเหลว)5 หรือ ดอกเบี้ย 1.19%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2
  • Mazda CX-30 และ Mazda CX-30 Carbon Edition: ดอกเบี้ย 0%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 หรือ ดอกเบี้ย 0.99%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS)6
  • Mazda CX-5: ดอกเบี้ย 2.39%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS)6 หรือ ดอกเบี้ย 1.39%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2
  • Mazda CX-8: ดอกเบี้ย 2.39%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS)6 หรือ ดอกเบี้ย 1.49%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2

ลูกค้าที่สนใจรถยนต์นั่ง Mazda6 20th Anniversary Edition รุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 20 ปี ที่มีให้ครอบครองเป็นเจ้าของเพียง 100 คัน ในประเทศไทย สามารถยลโฉมคันจริงได้ที่งาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023 ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 – 11 ธันวาคม 2566 นี้ เท่านั้น สำหรับลูกค้าที่สนใจรถยนต์มาสด้าทุกรุ่น ทุกคัน รับข้อเสนอพิเศษดีๆ เช่นนี้เฉพาะช่วงปลายปี สามารถเข้าชมและจับจองได้ภายในงานฯ หรือที่โชว์รูมมาสด้าใกล้บ้านทั่วประเทศ

MarketHub Asia 2023 ปฏิวัติอนาคตวงการ: วางแผนทิศทางท่องเที่ยวทั่วโลกเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ยั่งยืน

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา งาน MarketHub Asia 2023 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยบริษัท Hotelbeds ได้จุดประกายการพูดคุยที่ผสานรวมความหลากหลายในเชิงลึกระหว่างผู้นำในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่การได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทิศทางของวงการท่องเที่ยวในอนาคตภายใต้แนวคิด “Where Next?” อินฟลูเอนเซอร์และผู้นำแนวหน้าในอุตสาหกรรมได้พูดคุยแบบเจาะลึกในหัวข้อสำคัญต่าง ๆ ครอบคลุมตั้งแต่ข้อมูลและเทคโนโลยี ไปจนถึงอิทธิพลเบื้องลึกของกลุ่มคนทำงาน

ท่ามกลางการหยุดชะงักครั้งใหญ่ในภาคการท่องเที่ยว Hotelbeds เผยข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญ ซึ่งได้มาจากงานประจำปีของบริษัท อันเป็นการเล่าเรื่องที่พร้อมจะกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมสู่ความสำเร็จในอีกหลายปี หรือหลายทศวรรษข้างหน้า

การเพิ่มที่ว่างสำหรับบุคคลากร

รายงานของสภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก (World Travel & Tourism Council) ระบุว่า ภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกจะสร้างโอกาสการจ้างงานในตำแหน่งใหม่มากถึง 110 ล้านตำแหน่งในทศวรรษที่จะถึง โดยตำแหน่งงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะคิดเป็นเกือบ 70% ของทั้งหมด การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้มีสาเหตุมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งภายในพื้นที่ และจำนวนประชากรชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้เป็นสิ่งที่มาขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตอย่างมากภายในตลาดงานด้านการท่องเที่ยว

นักเดินทางแห่งอนาคต

กระแสการเพิ่มขึ้นของเอเจนซี่ท่องเที่ยงเผยให้เห็นว่า นักเดินทางมากถึง 90% มองหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการรายบุคคล เพื่อสอดรับต่อความต้องการที่จะเต็มที่ไปกับประสบการณ์ที่ถูกใจและไร้รอยต่อ Hotelbeds รายงานว่า ลูกค้าปลายทางเหล่านี้ไม่ได้มองหาแค่บริการที่จำเป็น อย่างประกันภัย หรือเงินสำรองเท่านั้น แต่พวกเขายังมองหาแพ็คเกจการเดินทางที่ครอบคลุม ซึ่งจะให้การช่วยเหลือลูกค้า 24 ชั่วโมง ตลอดทั้งสัปดาห์ ด้วยภาษาท้องถิ่นของลูกค้าเอง

นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพยังกำลังเผชิญกับกระแสที่เพิ่มขึ้นจากการที่นักเดินทางให้ความสำคัญต่อการสร้างความสมดุลภายในและภายนอกในชีวิตมากขึ้น ในขณะเดียวกัน การบรรเทาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมก็ก้าวขึ้นมาเป็นหัวใจสำคัญในการท่องเที่ยว ซึ่งผลักดันแนวปฏิบัติด้านการเดินทางอย่างยั่งยืนให้มีความโดดเด่น และเนื่องจากนักเดินทาง 70% คาดหวังที่จะได้รับประสบการณ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ความนิยมของการเดินทางที่ไม่สร้างมลพิษออกสู่แวดล้อมโดยรอบจึงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

อารมณ์คือมาตรฐานใหม่ของแบรนด์

ตามข้อมูลจาก Skift ความชื่นชอบของผู้บริโภคยุคใหม่นั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดยประมาณแล้ว 60% ของกลุ่มมิลเลนเนียล (Millennials) และเจนซี (Gen Z) ให้ความสำคัญกับบริการมากกว่าราคา โดยจะเฟ้นหาประสบการณ์ที่จะสร้างความทรงจำอันยาวนานระหว่างการเดินทาง ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับความคาดหวังที่สูงกำลังขับเคลื่อนความจำเป็นของการมีโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ

โมเดลเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงของ AI ภายในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นอกจากการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของดีเวลลอปเปอร์ (Developer) แล้ว ยังช่วยยกระดับการช่วยเหลือลูกค้า การจัดการชื่อเสียง และการปรับปรุงฟังก์ชันการค้นหาที่พักอีกด้วย

เอเชียคือผู้นำด้านเทคโนโลยี

เอเชียก้าวนำภูมิภาคอื่น ๆ ไปมากถึง 10 ปี หากพูดถึงเรื่องของเทคโนโลยี และผู้บริโภคต่างก็ต้องการผลิตภัณฑ์การเดินทางใหม่ๆ อันรวมไปถึงผลิตภัณฑ์ในแวดวงฟินเทคด้วย อีกทั้งยังได้เรียนรู้ว่า การยอมรับนำเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งรวมไปถึงปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality: AR) เป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องแน่ใจเสียก่อนว่า คุณภาพของข้อมูลที่มีนั้นอยู่ในระดับสูง

“MarketHub Asia รวมตัวแนวหน้าของอุตสาหกรรมจากทั่วเอเชียแปซิฟิกและจากนอกภูมิภาค เพื่อสำรวจอนาคตของการเดินทาง” Carlos Munoz ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของ HBX Group กล่าว “ภายใต้ธีม ‘Where Next?’ เราได้พิจารณาลงลึกถึงอนาคตของการท่องเที่ยวที่โอบล้อมไปด้วยการหยุดชะงักครั้งใหญ่ ผ่านการศึกษาข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญซึ่งจะช่วยกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมในปีต่อ ๆ ไป

สิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นคลื่นลูกใหม่แห่งความตื่นเต้นและสิ่งดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่งานครั้งนี้ได้ขับเคลื่อนวงการไปสู่ยุคแห่งนวัตกรรมด้านการเดินทางอย่างแท้จริง”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MarketHub Asia กรุณาไปที่เว็บไซต์