เหตุผลที่แท้จริงที่ Disney เปิดตัว Disney Plus

ต้องเรียกได้ว่าแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียวหลังการเปิดตัว Disney Plus + Hotstar เมื่อคืนที่ผ่านมา ด้วยการอัดแน่นไปด้วย content คุณภาพในบริษัทเครือข่ายของ Disney

ต้องบอกว่าเป็นเริ่มเป็นธุรกิจที่มีการแข่งแข่งเริ่มดุเดือดกันเลยทีเดียวสำหรับบริการ Streaming ที่เมื่อก่อนเราอาจจะเห็นทางฝั่งของ Netflix เป็นเจ้าตลาดยึดครองตลาดอยู่เพียงแห่งเดียว

Bob Iger CEO ของ Disney กล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเป็น Disney Plus เป็นลำดับความสำคัญสูงสุด ของ Walt Disney Company

Disney ภายใต้การนำของประธานและซีอีโอ Iger ได้ปรับโครงสร้างส่วนปฏิบัติการและปรับตำแหน่งผู้บริหารเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตของการ Streaming 

ก่อนหน้านี้ Disney ได้ลงทุนมหาศาลในด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค และ Igner เองก็ได้เขย่าวงการฮอลลีวูดในปี 2017 ด้วยการเข้าซื้อกิจการ Fox ของรูเพิร์ต เมอร์ด็อก

Bob Iger ซีอีโอ disney สั่งลุย streaming เต็มตัว (CR:indiewire.com)
Bob Iger ซีอีโอ disney สั่งลุย streaming เต็มตัว (CR:indiewire.com)

ในเดือนสิงหาคม 2016 Disney ได้เข้าถือหุ้นใน BAMTech (ซึ่งแยกออกจากธุรกิจเทคโนโลยีสตรีมมิ่งของ MLB Advanced Media ) มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของบริการ Streaming อย่าง Disney Plus

หลังจากการซื้อ ESPN ได้ประกาศแผนสำหรับเทคโนโลยี ( ESPN+ ) เพื่อแทนที่บริการที่ฉายทางโทรทัศน์ในรูปแบบเดิม ๆ ผ่านโครงสร้างพื้นฐานอันแข็งแกร่งที่พวกเขาเพิ่งได้ take over มา

แม้ว่า Netflix จะสามารถระดมทุนได้อย่างมหาศาล และเริ่มสร้าง original content เป็นของตนเอง และถือว่าทำได้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ตัวเลขของสมาชิกก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

แต่การเข้ามาของ Disney Plus ต้องบอกว่า มาได้ถูกจังหวะเวลาเป็นอย่างยิ่ง การเกิดขึ้นของการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 นั้นทำให้คนทั้งโลกถูก lockdown

ซึ่งมันคงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการเสพสื่อบันเทิงผ่านบริการ Streaming Service เหล่านี้ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และทำให้ Disney Plus นั้น สร้างฐานสมาชิก 50 ล้านคนในเวลาเพียงแค่ 6 เดือนเพียงเท่านั้น

ทั้งที่เป้าหมายเดิมของ Disney ตัวเลข 50 ล้านคนของจำนวนสมาชิกนั้นพวกเขาวางไว้ในปี 2024 เรียกได้ว่า COVID-19 นั้นช่วยลดระยะเวลาการเข้าสู่ตลาด Mass ของ Disney ได้ถึง 4 ปีเลยทีเดียว

ด้วยจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของ Disney ด้วยจำนวน content ที่มีมหาศาล ทำให้พวกเขาไม่ต้องกังวลกับการที่จะต้องสร้าง content ใหม่ตลอดเวลาเหมือนที่ Netflix กำลังประสบอยู่ในตอนนี้

แน่นอนว่าเมื่อเจอคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Disney ทำให้ Netflix เองก็ต้อง Speed ตัวเองให้เร็วขึ้น ซึ่ง content ของพวกเขาหลายส่วนก็มาจากค่ายยักษ์ใหญ่แห่งนี้ ที่ต้องส่งคืนกลับต้นสังกัดทั้งหมด

Disney เองได้ประกาศสร้างภาพยนตร์และรายการทีวีใหม่กว่า 105 เรื่องสำหรับ Disney Plus ซึ่งจะทยอยออกมาในอีก 2-3 ปีข้างหน้า แน่นอนว่า Disney เองไม่ต้องลงไปเล่นสงครามกับ Netflix ด้วยรายการใหม่ 30 รายการที่จะออกทุกวันศุกร์แบบที่ Netflix ทำ

ด้วยทีมงานเบื้องหลังแบรนด์ยักษ์ใหญ่ 4 แบรนด์ของ Disney อย่าง Disney , Marvel , Lucasfilm และ Pixar รวมถึง Fox , Fox Searchlight และ National Geographic มันคือทีมงานระดับคุณภาพที่มีเหนือ Netflix ที่เติบโตมาจากธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีเสียมากกว่าการมีรากฐาน DNA ของบริษัทบันเทิงอย่างที่ Disney เป็น

หลัง COVID-19 เครื่องจักรทำเงินของ Disney จะเร่งเครื่องเต็มที่

อย่างที่เราทราบตอนนี้ สวนสนุกของ Disney ทุกแห่งปิดให้บริการเนื่องจาก COVID-19 ซึ่งในรายงานทางการเงินฉบับล่าสุด บริษัทยังรายงานถึงการหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งทำให้การขายสินค้าที่เป็นรายได้หลักต้องหยุดชะงักไป

การระบาดครั้งใหญ่ทำให้ แหล่งทำเงินใหญ่ที่สุดของ Disney ต้องหยุดชะงัก นั่นเป็นเหตุผลที่ Disney ไม่สามารถที่จะต่อยอดธุรกิจเพื่อสร้างกำไรทั้งหมดจากฐานแฟน ๆ ของ Disney Plus ได้ ผ่านสินค้าที่ระลึกต่าง ๆ รวมถึงธุรกิจสวนสนุก

แต่ในที่สุดโรคระบาดก็จะผ่านพ้นไป สวนสนุกของ Disney จะกลับมาคึกคักอีกครั้งด้วยเด็กๆ หลายล้านคน ของเล่นของ Disney จะขายดีอย่างถล่มทลายอีกครั้งจากแฟน ๆ ที่ติดตาม content ผ่าน Disney Plus และเครื่องจักรทำเงินของ Disney จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งและแน่นอนว่ามันจะมีพลังมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมหาศาล

เครื่องจักรทำเงินที่แท้จริงของ Disney ด้วยการสร้างฐานแฟนเพิ่มเพิ่ม Disney Plus (CR:wikipedia.org)
เครื่องจักรทำเงินที่แท้จริงของ Disney ด้วยการสร้างฐานแฟนเพิ่มเพิ่ม Disney Plus (CR:wikipedia.org)

และที่สำคัญ อาวุธหลักของ Disney มันมีมากกว่าแค่เพียงบริการ Streaming อีกไม่นานเด็ก ๆ หลายล้านคนเหล่านี้จะขอพ่อแม่ของพวกเขาสำหรับซื้อของเล่นของที่ระลึกอย่างดาบไลท์เซเบอร์สตาร์วอร์สที่ราคาสุดแพง และทริปวันเกิดที่ Disney Land

และพ่อแม่ที่ชอบใจจะยัดเยียดเงินเข้ากระเป๋าของ Disney ด้วยเงินหลายพันล้านเหรียญ นี่คือที่ที่ศักยภาพที่แท้จริงของ Disney Plus รออยู่นั่นเองครับผม

References : https://en.wikipedia.org/wiki/Disney%2B
https://www.forbes.com/sites/danrunkevicius/2020/07/08/disney-master-plan-with-disney-plus-that-no-one-is-talking-about
https://variety.com/2019/biz/features/disney-plus-streaming-plans-bob-iger-1203120734/
https://www.fastcompany.com/90607786/how-disney-plus-is-winning-by-ripping-up-the-streaming-playbook
https://adage.com/article/cmo-strategy/netflix-already-feeling-impact-disney/2164726

Geek Daily EP84 : Facebook กับก้าวผ่านบริษัทมูลค่าล้านล้านดอลลาร์ สู่เป้าหมายบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

Facebook กำลังค่อยๆ สร้างอาณาจักรจนสามารถมีมูลค่ามากกว่าล้านล้านดอลลาร์ได้สำเร็จ และเมื่อวิสัยทัศน์ทั้งหมดของ Mark Zuckerberg เสร็จสมบูรณ์แล้วก็อาจจะทำให้ Facebook กลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/3druxU2

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/dl0o4ZMZLb0

References Image : https://www.cnbc.com/

 

Billion Dollar Loser ตอนที่ 14 : Spectacular Fall

WeWork เข้าสู่สุดสัปดาห์ที่สองของเดือนกันยายนอย่างชอกช้ำ แต่ก็ยังพอมีความหวัง Road Show ของบริษัท มีกำหนดจะเริ่มขึ้นในวันจันทร์ถัดไปเมื่อ Adam และ นายธนาคารจะออกทัวร์เพื่อแสวงหานักลงทุนที่พวกเขาคาดหวัง

WeWork ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับ Softbank เพื่อซื้อหุ้น WeWork อีก 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหุ้นที่จะทำ IPO นอกจากนี้ WeWork ยังใกล้ที่จะสรุปข้อตกลงกับ Zoom เพื่อซื้อหุ้น WeWork มูลค่า 25 ล้านดอลลาร์

ในวันอาทิตย์ถัดไป นายธนาคารจาก JPMorgan และ Goldman Sachs ได้พบกันที่สำนักงานใหญ่ของ WeWork เพื่อกำหนดราคาสุดท้าย

หากการเสนอขายหุ้นของ WeWork ประสบความสำเร็จในการระดมทุน 3 พันล้านดอลลาร์ จะทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงวงเงินสินเชื่อที่จัดเตรียมโดย JPMorgan มูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์ นั่นจะทำให้ WeWork มีเงินทุน 11,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับการขยายธุรกิจ

Son ได้เดินทางมายังแคลิฟอร์เนีย อยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งใน Pasadena ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาบริษัทในกองทุน Vision Fund ของเขา ซึ่ง Adam ควรจะมาเข้าร่วมงานนี้ แต่เขายังอยู่ที่นิวยอร์ก

Son ใช้เวลาส่วนใหญ่พูดคุยกับนักลงทุนและ CEO ของบริษัทที่ Vision Fund ได้เข้าไปลงทุนคนอื่น ๆ เกี่ยวกับ Adam ซึ่งส่วนใหญ่นั้นมีความเห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการกำจัด Adam ออกไปให้พ้นทาง

Son ไม่ได้กล่าวถึง WeWork ในสุนทรพจน์ของเขาในการประชุมเลยแม้แต่น้อย แต่เขาเตือนบริษัทต่าง ๆ เกี่ยวกับความสำคัญของผลกำไร และการกำกับดูแลกิจการ การทำตัวบ้า ๆ มันไม่พออีกต่อไป

สถานการณ์ของ WeWork เปลี่ยนไป Adam พบว่าตัวเองกำลังต่อสู้เพื่อรักษาอำนาจในการควบคุมบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นมากับมือ : การรัฐประหารกำลังก่อขึ้นในคณะกรรมการของ WeWork

ความพยายามดังกล่าวนำโดย Softbank ซึ่งมีสองใน 7 ที่นั่งของ WeWork เจ้าหน้าที่ของ Softbank นั้นรู้สึกผิดหวังกับเจ้านายอย่าง Son ที่ให้ความเอ็นดู Adam มากเกินไปมานานแล้ว

ในตอนนั้น Adam ใช้เวลาส่วนใหญ่ใน Hamptons และเขาเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเขากำลังจะสูญเสียอำนาจในการควบคุมบริษัท แม้ในตอนนั้นเขาจะยังคงมีอำนาจและสามารถไล่คณะกรรมการ หากพวกเขาพยายามขับไล่ Adam ออกจากบริษัทก็ตามที

แต่ในจุดนั้น มันไม่คุ้มที่เขาจะทำอีกต่อไป เพราะจะทำให้บริษัทเสียหายหนัก และมันอาจจะทำให้มูลค่าของ WeWork ลดลง และส่งผลต่อสถานะทางการเงินของเขาได้อีกด้วย

มาถึงตอนนี้ Adam ได้ดึงวงเงินเครดิต 500 ล้าน ที่ใช้หุ้นของ WeWork ในการค้ำประกัน มาใช้ไปแล้วกว่า 380 ล้านดอลลาร์ เพื่อมาสนองตัณหาส่วนตัวของเขา ซึ่งแน่นอนว่าหาก WeWork ล่มสลาย จะทำให้เขาหมดตัวได้ทันที มันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่ Adam จะต้องละทิ้งอัตตาและมุ่งเน้นไปที่อนาคตทางการเงินของครอบครัวของเขา

ต้องบอกว่าทั้ง JPMorgan , Softbank และนักลงทุนรายอื่น ๆ ของ WeWork นั้นสนับสนุน Adam มาโดยตลอด แต่เมื่อพฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของเขากำลังคุกคามชื่อเสียงของเขาเอง และมันกำลังจะส่งผลโดยตรงมายัง WeWork ความสัมพันธ์กับเหล่านักลงทุนก็ต้องถึงคราวที่จะต้องขาดสะบั้นลงไป

และแล้วมันก็ถึงวาระสุดท้ายของ Adam จริง ๆ เสียที เมื่อ Bruce Dunlevie , Michael Eisenberg ที่บินตรงมาจากอิสราเอล และ Steven Langman นักลงทุนที่ให้การสนับสนุน WeWork มาตั้งแต่ปี 2012 ได้นัด Adam มาทานมื้อค่ำในห้องส่วนตัวที่ร้านอาหารย่านมิดทาวน์

คนกลุ่มนี้เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มแรก ๆ ที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุน Adam มาโดยตลอดไม่ว่าเขาจะทำตัวอย่างไร คนกลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะยืนอยู่ข้าง Adam เสมอมา

แต่มื้อค่ำมื้อนี้ บรรยากาศมันเปลี่ยนไป มันเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่จริงใจ พวกเขาได้บอกกับ Adam ว่า มันถึงเวลาแล้วจริง ๆ ที่ Adam ควรก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ WeWork เสียที

และเมื่อคณะกรรมการของ WeWork พบกันในเช้าวันถัดไป ชะตากรรมของ Adam กับ WeWork ก็ถูกปิดฉากไปในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

แล้วเราได้อะไรจากการเรื่องราวของ Adam Neumann และ WeWork จาก Blog Series ชุดนี้

ต้องบอกว่าว่าเรื่องราวของ Adam Neumann และ WeWork นั้น ได้ให้แง่คิดที่น่าสนใจ ผมว่ามีสองประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ ส่วนของคนที่ทำธุรกิจ Startup กับ ส่วนของการหาแหล่งเงินทุน

จากเรื่องราวของ WeWork หากเรามองวิเคราะห์ธุรกิจจริง ๆ ของเขานั้น แทบจะไม่มีอะไรใหม่ และมันไม่ใช่ธุรกิจที่เป็นเทคโนโลยีหรือเป็นแพล็ตฟอร์มด้วยซ้ำ ที่จะสามารถ Scale ได้ และ สร้าง Network Effect ให้เกิดขึ้นได้

เมื่อเทียบกับธุรกิจที่มีอยู่แล้วอย่าง IWG ที่ทำแบบเดียวกับที่ WeWork ทำนั้น มันก็แทบจะบอกได้ว่า มูลค่าของ WeWork นั้นมันสูงเกินจริงไปอย่างมาก

แต่แน่นอนว่าสิ่งที่น่าสนใจมันอยู่ที่ตัว Adam เอง ผู้ก่อตั้งที่มีบุคลิก ลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่เรียกได้ว่าแตกต่างจาก ผู้ก่อตั้งบริษัท Startup เทคโนโลยีอื่น ๆ

นั่นเองที่ทำให้เสน่ห์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะจากคำพูด หรือบุคลิกลักษณะของเขานั้น กลายเป็นว่าสามารถที่จะหลอกล่อนักลงทุนระดับยักษ์ใหญ่ได้ ซึ่งคนเหล่านี้ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา แม้กระทั่ง Masayoshi Son เองก็ตาม

เพราะฉะนั้น ในโลกธุรกิจ Startup เราจะเห็นได้ว่า มันไม่ใช่เพียงแค่มีโปรดักที่ดีเพียงอย่างเดียว หรือ มีผู้ก่อตั้งที่มี Skill ระดับเทพเหมือน Mark Zuckerberg เหมือน Jeff Bezos หรือ Elon Musk ที่สามารถที่จะดึงดูดเงินจากนักลงทุนได้

แต่การมีเอกลักษณ์พิเศษ แบบที่ Adam มี นั้น มันก็สามารถที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนมหาศาลได้อย่างง่าย ๆ เช่นเดียวกัน แม้ตัวธุรกิจ ยังมีหลายคนสงสัยว่า WeWork กำลังทำอะไรกันแน่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้เงินมา และเงินจำนวนไม่ใช่น้อย ๆ ในการระดมทุนแต่ละครั้งในระดับพันล้านดอลลาร์ ที่จะมาขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วแบบที่ WeWork ทำ

มันคือจังหวะ เวลา และ โอกาส ที่ Adam นั้นสามารถเข้าไปอยู่ในที่ถูกที่และถูกเวลาเสมอ และเมื่อเข้าถึง Connection ในระดับเงินทุนมหาศาลอย่างกองทุน Vision Fund ของ Softbank นั้น

เราจะเห็นได้ว่า Son เองพร้อมที่จะเทเงินให้อยู่แล้ว และมันเป็นการตัดสินใจแบบรวดเร็วทุก ๆ ครั้ง เหมือนที่เขาทำ ซึ่งหลังจากผมได้อ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของ Son มาหลายเล่ม ส่วนตัวผมมีความเชื่อว่า Son นั้นอาจจะดูแค่โหงวเฮ้ง จริง ๆ ก็ได้

ถ้าพูดจาถูกคอถูกใจ เขาพร้อมจะทุ่มเงินให้ทันที เหมือนที่ Adam ร่ายมนต์เสน่ห์ให้เขาลงทุนได้สำเร็จทั้งที่ธุรกิจแทบจะไม่มีอะไรเป็นนวัตกรรมใหม่เลย และดูจะไม่มีเหตุผลอะไรที่บริษัทระดับ Softbank ต้องมาลงทุนกับธุรกิจแบบ WeWork เลยด้วยซ้ำ

และสุดท้าย เมื่อธุรกิจมันไม่สามารถไปต่อได้จริง ๆ แม้จะพยายามปรับธุรกิจให้กลายเป็นเทคโนโลยีอย่างไรก็ตาม เมื่อพื้นฐานทางธุรกิจมันไม่ใช่ สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ และจุดจบมันก็เป็นอย่างที่เราได้เห็นในเรื่องราวจาก Blog Series ชุดนี้นั่นเองครับผม

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

รวม Blog Series ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

อย่าลืมติดตามผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของผมก่อนใครได้ที่ blockdit นะครับ โหลดได้เลย

อย่าลืม ค้นหา “ด.ดล Blog” แล้ว กด follow กันด้วยนะครับผม

Billion Dollar Loser ตอนที่ 13 : Coup d’etat

หลังจากความล้มเหลวในความพยายามในการแสวงหาการลงทุนจากพันธมิตรที่มีศักยภาพในซิลิกอน วัลเลย์ แต่มาถึงตอนนี้มันดูเหมือนเริ่มจะเป็นไปไม่ได้ในการบรรลุเป้าหมายของ WeWork ในการระดมทุน 3 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้บริษัทสามารถเดินหน้าต่อไปได้

นั่นเองที่ทำให้ Adam ต้องเรียกเหล่านักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินต่าง ๆ มาที่ office หลักของ WeWork ในนิวยอร์ก

เมื่อเหล่านักวิเคราะห์มาถึง office ของ Adam เขาได้บอกกับเหล่านักวิเคราะห์จากสถานบันการลงทุนต่าง ๆ ว่า ให้สนุกกับการอ่านเอกสาร Wingspan เขากล่าวว่า WeWork ได้พยายามทำให้ S-1 อ่านสนุกมากขึ้นกว่าเอกสารปรกติจากบริษัทอื่น ๆ

เขายังคงเทียบ WeWork กับ Amazon และโต้แย้งเหล่านักวิเคราะห์ว่า ไม่มีใครที่สามรถทำให้อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์นั้นสามารถหยุดชะงักได้อย่างที่ WeWork กำลังทำ

แต่คำถามหลักของนักวิเคราะห์คือคำถามง่าย ๆ นั่นคือ คุณกำลังทำอะไรกันแน่? Adam ยังคงพยายามที่จะพูดให้ชัดเจนว่าอะไรที่ทำให้ธุรกิจของ WeWork แตกต่างจาก IWG ซึ่งในตอนนั้นมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ด้วยมูลค่าตลาดประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์

ในขณะที่ Adam ได้ออกทัวร์พบปะนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง เขาพบว่าการเสนอขายแบบนี้นั้นยากกว่าการทำแบบเดิม ๆ ที่เขาเคยทำมา ในการขายฝัน ลม ๆ แล้ง ๆ ให้กับเหล่านักลงทุนก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก

ในเดือนสิงหาคมเขาได้ไปที่ซานฟรานซิสโก เพื่อนำเสนอผลงานหลายชิ้นรวมถึงพบปะกับกับ Tiger Global Management ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีได้รับฟังเรื่องราวของ WeWork

Tiger Global Management ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี (CR:Crunchbase)
Tiger Global Management ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี (CR:Crunchbase)

ในระหว่างการนำเสนอ Adam ได้พูดในสิ่งที่เขาชื่นชอบเรื่องหนึ่ง : “เราไม่เคยปิดอาคารใด ๆ เลย” นักวิเคราะห์คนหนึ่งกล่าวเพิ่มเติมว่าแม้ว่าสิ่งนี้จะฟังดูเป็นความสำเร็จ แต่มูลค่าที่ประเมินมาสูงขนาดนี้ ก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี

ในระหว่างการนำเสนออีกครั้ง Adam ได้สร้างสไลด์ที่แสดงตัวเลขกำไรและขาดทุนสำหรับสถานที่ตั้ง WeWork ซึ่งสไลด์ดังกล่าวนั้นมีการรวมเงินเดือนของพนักงานที่บริหารอาคารเพื่อแสดงให้เห็นว่า WeWork สามารถดำเนินการพื้นที่เหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด

ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังฟังการนำเสนอยกมือขึ้น “เงินเดือนเหล่านี้แทบจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่ค่าครองชีพสูงอย่างซานฟรานซิสโกไม่ได้เลย”

ในทางปฏิบัติ WeWork จะรักษาฐานเงินเดือนที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหล่านี้ไปตลอดได้อย่างในอนาคต เมื่อไม่มีตัวเลือกหุ้นที่มีคุณค่าให้กับพนักงานในอนาคตอีกต่อไป ซึ่งในการนำเสนอครั้งต่อมา Adam ได้ลบตัวเลขเงินเดือนเหล่านี้ออกจากสไลด์ทันที

Wingspan เป็นเหมือนสิ่งแปลกปลอมสำหรับ Adam จนดูเหมือนว่าเขากำลังแสดงละครเพื่อหลอกล่อเหล่านักลงทุนให้มาติดกับดักเขาอยู่ แต่มันไม่ง่ายเหมือนกับที่เขาทำกับ Son หรือนักลงทุนก่อนหน้า

การมี Adam อยู่ในการประชุมเหล่านี้ มันไม่ได้ทำให้ภาพของ WeWork ดีขึ้นเลยเมื่อเหล่านักลงทุนต้องการตัวเลขจริง ๆ และต้องการคำตอบจริง ๆ ว่าตอนนี้ WeWork กำลังทำอะไรอยู่กันแน่

“การประชุมทุก ๆ ครั้งที่มี Adam เข้าร่วม” นายธนาคารคนหนึ่งบอกกับ Artie Minson ว่า “WeWork กำลังเสียมูลค่าไปเป็นพันล้านดอลลาร์”

Son ทนความอัปยศของ Adam ไม่ไหวอีกต่อไป ได้เรียก Adam มาที่โตเกียว สำหรับนักลงทุนรายแรก ๆ ของ WeWork ต้องบอกว่าการตอบสนองต่อ Wingspan นั้นน่าอับอายเป็นอย่างมาก

Softbank ได้ลงทุนมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ใน WeWork และยังดูทีท่าว่าแทบจะไม่ได้ผลตอบแทนใด ๆ เลย Vision Fund มูลค่าลดลงเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุดซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่หุ้นของ Uber ลดลง รวมถึง หุ้น Softbank ลดลง 10% นับตั้งแต่การเปิดตัว Wingspan

ทั้งผู้บริหารของ WeWork และ Softbank ต่างเริ่มตระหนักว่าการเสนอขายหุ้น IPO อาจมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินไว้ 47,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากการประเมินมูลค่าต่ำกว่าที่ Softbank จ่ายให้กับหุ้น หมายความว่าการลงทุนครั้งนี้ของ Son จะขาดทุนทันทีเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับ Uber

และสิ่งที่ทำให้ปัญหามันอาจจะยิ่งแย่ไปอีก เมื่อ Son เปิดตัว Vision Fund 2 อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฏาคม เขาได้ประกาศคำมั่นสัญญาที่ไม่ผูกมัดจากพันธมิตรที่มีอยู่อย่างจำกัดของกองทุนเดิมหลายราย

รวมถึงการได้นักลงทุนหน้าใหม่ เช่น Koch Industries และ National Bank of Kazakhstan แต่ความคาดหวังของการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดสองครั้งกับ Uber และ WeWork ใน Vision Fund รอบแรก ที่ดูเหมือนกำลังจะล้มเหลว อาจจะมีปัญหาต่อ Son ในการระดมทุนของ Vision Fund 2

ทั้ง Son และ Adam นั้นชอบที่จะพบกันแบบตัวต่อตัวเมื่อทำได้ พกวเขาทั้งคู่รู้สึกดีที่สุดเมื่อพวกเขาทำงานในห้อง แต่ต้องบอกว่ามันไม่ใช่สัญญาณที่ดีนักสำหรับ Adam ที่โดนเรียกตัวด่วนข้ามมหาสมุทรแปซิกมายังโตเกียวในครั้งนี้

Adam ได้บินไปโตเกียวพร้อมกับ Michael Gross และ Noah Wintroub จาก JPMorgan ลงจอดที่สนามบินนาริตะในช่วงบ่าย โดยมีแผนที่จะบินกลับในคืนนั้นเลยทันที

ทั้งกลุ่มได้เข้าไปพบกับ Son ที่คฤหาสน์ในโตเกียวของเขา ซึ่งได้ร่วมกับ Dan Dees ผู้บริหารจาก Goldman Sachs ซึ่งต้องบอกว่ามันเป็นการประชุมที่น่าอึดอัดใจอย่างมาก

Son คิดว่า WeWork ควรชะลอการเสนอขายหุ้น IPO เนื่องจากปฏิกิริยาต่อ Wingspan นั้นแทบจะโดนถล่มยับ จากเหล่านักลงทุนสถาบันที่ WeWork ได้ไปทำการ Road Show มาก่อนหน้านี้

 Son ตั้งใจจะเชือด Adam ที่คฤหาสน์ในโตเกียวของเขา (CR:BusinessInsider.com)
Son ตั้งใจจะเชือด Adam ที่คฤหาสน์ในโตเกียวของเขา (CR:BusinessInsider.com)

ส่วนปัญหาของ Adam นั้นเรียกได้ว่า Son แทบจะฉุนขาดกับสิ่งที่เขาทำ แม้ก่อนหน้านี้ Son จะรู้สึกเหมือนว่า Adam เปรียบเหมือนเครือญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของเขาคนหนึ่งและฝากความหวังไว้กับ Adam สูงมาก ๆ ก็ตามที

ความผิดพลาดครั้งก่อนหน้า Son เคยให้อภัยไปแล้วหนึ่งครั้ง แต่ครั้งนี้มันทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถึงจุดแตกหัก แต่ Adam กลับตอบสนอง Son ด้วยการโต้เถียงกลับไปว่ามันสายเกินไปแล้วที่จะให้เขาออกจาก WeWork ในตอนนี้

Adam กล่าวว่า สถานการร์ในตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องเดินหน้า นั่นเองที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขาดสะบั้นลงทันที Son จึงส่ง Adam กลับไปยังอเมริกา พร้อมกับคำเตือนว่า เส้นทางที่ Adam กำลังจะเลือกทำ เป็นเส้นทางที่ไม่ฉลาด ทั้งสำหรับบริษัท และ สำหรับตัว Adam เอง

และเมื่อเขากลับไปที่นิวยอร์ก IPO ของ WeWork ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างร้ายแรง JPMorgan และ Goldman Sachs บอกกับ WeWork ว่า บริษัทอาจจะต้องพิจารณาตัวเลขการประเมินมูลค่าบริษัทเพียงแค่ 2 หมื่นล้านดอลลาร์หรือน้อยกว่านั้น

ซึ่งในระหว่างการประชุมของคณะอนุกรรมการทางด้านการเงินของสภาผู้แทนของสหรัฐอเมริกา ส.ส. Alexandria Ocasio-Cortez ได้กล่าวถึงการประเมินมูลค่าของ WeWork ว่า เป็นตัวอย่างของการที่ตลาดเอกชนที่กำลังลอยตัวอยู่เหนือนักลงทุนสาธารณะ

พวกเขาได้เพิ่มมูลค่าจากการประเมินก่อนหน้านี้ที่ 47,000 ล้านดอลลาร์ และตอนนี้พวกเขาเพิ่งตัดสินใจในช่วงข้ามคืนว่า “ล้อเล่นเรามีมูลค่าแค่ 2 หมื่นล้านดอลลาร์เท่านั้น” Ocasia-Cortez กล่าว

Adam เริ่มหงุดหงิดกับทีมสื่อสารของ WeWork มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจู่ ๆ ก็ไม่สามารถที่จะควบคุมวงจรข่าวสารได้ มีข้อมูลรั่วไหลออกไป Softbank กำลังพยายามหนีการทำ IPO หรือไม่? หรือ Benchmark หวังที่จะก่อรัฐประหารเขา?

ต้องบอกว่าในเอกสารของ Wingspan นั้น ส่วนใหญ่วิจารณ์มุ่งเน้นไปที่ตัว Adam โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่บริษัทได้จ่ายค่าเช่าไปมากกว่า 20 ล้านดอลลาร์สำหรับอาคารสี่หลังที่ Adam เป็นเจ้าของ

หรือการเข้ามามีบทบาทที่มากเกินไปของเหล่าคนใกล้ชิดของ Adam ทั้งพี่สาว พี่เขย รวมถึง Rebekah เองที่ถูกมองว่าจะเป็นตัวแทนของ Adam ในอนาคตในการสืบทอดต่อตำแหน่งของเขาที่ WeWork

Adam และ Rebekah นั้นต้องตกตะลึงกับปฏิกิริยาของสาธารณะชน โดยพวกเขาคาดหวังจะได้รับคำชมเชย แต่ทั้งคู่กับถูกวิจารณ์ยับ แบบเละเทะ ในเรื่องจริยธรรม ที่มีปัญหากับบริษัทตัวเอง

รวมถึงเรื่องปัญหาในเรื่องการบริหารงานที่ Adam ดูเหมือนจะไม่ใช่มืออาชีพ เหมือนเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งได้มีโอกาสจับเงินจำนวนมหาศาล และมีการใช้เงินอย่างบ้าคลั่ง The Wall Street Journal มีการรายงานว่า Frances Frei ทำงานเป็นที่ปรึกษาของ WeWork อยู่แล้ว และยังเรียกเก็บเงินจากบริษัทอีก 5 ล้านดอลลาร์

ในวันที่ 12 กันยายน Adam ได้ไปพบกับนายธนาคารจาก JPMorgan และ Goldman Sachs ที่สำนักงานใหญ่ของ WeWork พร้อมด้วยทนายของ WeWork เพื่อหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจทำให้การทำ IPO นั้นเป็นที่ถูกใจนักลงทุนมากยิ่งขึ้น

แต่เหล่านายธนาคาร มาในครั้งนี้ เป้าหมายก็เพื่อการทำรัฐประหาร Adam โดยตรง พวกเขาต้องการให้กำจัดหุ้นที่มีอำนาจของทั้ง Adam และ Rebekah ทิ้งไปซะ และทิ้งคำขู่ว่า หากพวกเขาไม่ทำอะไรบางอย่าง การเสนอขายหุ้น IPO ของ WeWork อาจจะตกอยู่ในอันตราย

เรื่องราวกำลังจะมาถึงตอนจบ ในตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้าย ที่จะสรุปเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับ WeWork และ Adam กันแล้วนะครับ อย่าลืมติดตามกันด้วยนะคร้าบ

–> อ่านตอนที่ 14 : Spectacular Fall (ตอนจบ)

ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ

Geek Monday EP92 : เมื่อพฤติกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ของมนุษย์เราจะอยู่ได้นานกว่าโรคระบาด

ยินดีต้อนรับสู่อนาคต ไม่ใช่แค่ปี 2021 เท่านั้น แต่ในปี 2025 หรือแม้แต่ปี 2030  การนำพฤติกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพื่อรับมือกับการระบาดใหญ่ ตั้งแต่การประชุมทางวิดีโอออนไลน์ ไปจนถึงการช็อปปิ้งออนไลน์ หมายความว่าการใช้งานได้มาถึงระดับที่ไม่คาดคิดมานานหลายปีแล้ว

และในหลายกรณี การระบาดใหญ่ได้เร่งแนวโน้มการนำเทคโนโลยีที่มีอยู่มาใช้อย่างรวดเร็ว การช็อปปิ้งกำลังเคลื่อนไหวทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง การชำระเงินเข้าสู่ดิจิทัลอย่างช้าๆ การเรียนรู้ออนไลน์เริ่มแพร่หลายมากขึ้นอย่างช้าๆ มีคนทำงานจากที่บ้านมากขึ้น ตอนนี้ผู้คนในหลายประเทศถูกขับเคลื่อนอย่างกะทันหันไปสู่อนาคตที่พฤติกรรมเหล่านี้แพร่หลายมากขึ้น

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://bit.ly/362BqXz

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://spoti.fi/2m0PTzR

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/D6pf8y3fujk