Book Review : Alex Ferguson My Autobiography

ถึงตัวเองจะไม่ได้เป็นแฟน แมนยู  แต่ก็สนใจหนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่ได้ยินข่าวว่าจะออก ซึ่งตอนแรกนั้นได้ load ใน version ของ kindle มาแล้วอ่านไม่จบ เลยมาลองซื้อเล่มแปลไทยมาอ่าน ถือว่าเป็นหนังสือที่ให้ความรู้ในหลาย ๆ ทางมาก คือกว่า ป๋า แกจะผ่านความสำเร็จกับแมนยู มาขนาดนี้ เบื้องลึกเบื้องหลังนี่มีปัญหามากมาย ทั้งกับนักเตะ กับ ผู้บริหารสโมสรเอง เรามองจากภายในนอกในรอบสิบกว่าปีหลังนี่จะเห็นแต่ความสำเร็จของแมนยู แต่เราไม่รู้ว่าข้างในเค้าเป็นอย่างไรกันบ้าง ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็จะอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องภายในของแมนยู ในรอบสิบกว่าปีหลังนี้มา

ตัวหนังสือนั้นจะแบ่งเป็นบท ๆ กล่าวถึงเรื่องตั้งแต่ตอนป๋า แกเริ่มทำงาน ตั้งแต่อยู่ scotland คุมทีมเล็ก ๆ จนมาคุมทีม อเบอร์ดี คว้าแชมป์ลีก ได้ ก่อนจะถูกดึงมาสร้างทีมให้กับแมนยู และเกือบจะถูกไล่ออกในตอนแรก ๆ ที่ทำทีมไม่ได้แชมป์ รวมไปถึง การสร้างทีมจากเด็กในยุคที่ป๋าเรียกว่า class of 1992 ซึ่งมรดกที่หลงเหลือในปัจจุบัน คือ ไรอัน กิ๊กซ์ นั่งเอง รวมถึงปัญหากับนักเตะภายในทีม อย่าง เดวิด เบ๊คแคม , รอย คีน , เวย์ รูนนี่ย์  หนังสือเรื่องนี้อ่านดูแล้ว แสดงถึง พลังของความเป็นผู้นำของป๋า อย่างมาก ค่อนข้างเด็ดขาดกับการจัดการลูกทีม ไม่ให้ลูกทีมคนใด ใหญ่คับสโมสร  ไม่งั้นแกจะเฉดหัวออกจากทีมทันที่ ซึ่งผมมองว่า มันเป็น ศาสตร์ และ ศิลป์ ในการบริหารคน เช่นเดียวกับในองกรธุรกิจต่าง ๆ มันก็ต้องมีพวก star ทำตัวใหญ่คับองค์กร เรื่องนี้ได้เรียบรู้วิธีการบริหารคน บริหารทีมงาน  รวมถึงการบริหารเงิน ที่ทำให้แมนยูนั้น ยิ่งใหญ่มาจนถึงปัจจุบัน แต่ อนาคตนั้น ก็ต้องดูกันต่อไปหลังจาก David Moyes มาคุมทีม

 

เก็บตกจากหนังสือ

  • ป๋าแกเกือบถูกไล่ออกตอนคุมแมนยูช่วงแรก ๆ เนื่องจากไม่ได้แชมป์อะไรเลย
  • ทีมที่ป๋าบอกว่าเป็นคู่แข่งที่เจ๋งที่สุด ที่คุมทีมมา คือ บาเซโลน่า ในยุค เป๊บ
  • ป๋าแกเคยเป็นเจ้าของผับด้วยตอนคุมทีมแรกๆ ในสก๊อตแลนด์
  • ป๋าเคยคิดจะวางมือ ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2000 แต่เมียขอให้ทำงานต่อไป

เมื่ออาร์เซน่อลเดินทางกลับสู่เส้นทางลุ้นแชมป์อีกครั้ง

ปีนี้นี่ ถือว่าเป็นปีที่ลุ้น แชมป์ พรีเมียลีก มันส์สุด ๆ ในรอบหลาย ๆ ปีเลยก็ว่าได้หลังจากท่าน เซอร์เกษียณไป แล้วส่งต่อให้ David Moyes คุมทีม ก็รู้สึกเหมือนว่าทีมอื่น ๆ จะได้ลุ้นมากขึ้น พอดีประจวบเหมาะกับ มูรินโย่ กลับเข้ามาคุมทีมเชลซีพอดี เลยทำให้การลุ้นแชมป์ปีนี้ค่อนข้างมันส์

อารเซน่อลในปีนี้ ตอนแรก ๆ เหมือนกับจะได้ลุ้นกันส์มันทีเดียวฟอร์มช่วงแรกแจ่มมากมาย โอซิลที่ซื้อมาใหม่ก็เล่นได้อย่างเทพ assist กระจาย แต่หลังจากปีใหม่จะสังเกตได้ทันทีว่าฟอร์มเริ่ม drop ลงไปพอสมควร ความจริงผมสังเกตเห็นตั้งแต่โดนแมนซิตี้ ยำ 6-3 แล้วล่ะ น่าจะเริ่มจากเกมส์นั้นที่อาเซน่อลเริ่มแกว่งไปพอสมควร โอซิล ก็เริ่มฟอร์มตก หลังจากนัดนั้นเท่าที่สังเกตในเกมส์ใหญ่ ๆ นี่พี่แกไปไม่เป็นเลยโดนกระแทกปลิวตลอด แต่ปีนี้ อาเซน่อลก็เจอกับปัญหาเดิม ๆ คือผู้เล่นตัวหลักสลับกันบาดเจ็บตลอด พอคนหายอีกคนเจ็บเป็นแบบนี้มาตลอดสังเกตดี ๆ ยังไม่มีช่วงไหนที่ตัวหลักมากันพร้อมหน้าเลยซัก week เดียว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันเจ็บกันง่ายขนาดนี้นักเตะอาเซน่อล หลังปีใหม่มาก็เริ่มทำแต้มหล่นหายไปเรื่อย ๆ มีเสมอบ้าง มีแพ้บ้าง แต่ฟอร์มไม่แจ่มเท่าตอนต้นฤดูกาล แต่ก็ยังถือว่ายังพอลุ้นแชมป์ได้อยู่ จนมาถึงนัดล่าสุดที่เจอกับสเปอร์ เกมส์นี้ถ้าไม่ชนะก็เตรียมใจไว้เลยว่าคงหมดลุ้น ๆ แน่ ๆ เพราะ ลิเวอร์ เล่นไปถล่มทีมอย่างแมนยู ซะราบคาบ (ตอนแรกก็แอบเชียร์แมนยูอยู่เหมือนกันแต่เชียร์ไม่ขึ้นจริง ๆ แมนยูปีนี้)   ถ้ามองไปในโปรแกรมข้างหน้า ผมถือว่า พอฟัดพอเหวี่ยงกัน จะมีการตัดแต้มกันเองทั้ง เชลซี แมนซิตี้ ลิเวอร์พูล ซึ่ง ถ้าดูโปรแกรมดีๆ  อาเซน่อล พอผ่านนัดหน้า แล้วก็จะมีอีกเกมส์ที่หนักจิง ๆ คือ เปิดบ้านรับ แมนซิตี้ ซึ่งไม่น่าจะแพ้ เพราะเคยโดนถล่มมานัดแรกน่าจะเรียกศรัทธาคืนจากแฟนบอลได้  พอพ้นเกมส์ แมนซิตี้ อาเซน่อล ก็จะสบายก่อนใครเพื่อน นัดที่เหลือไม่น่าจะมีปัญหาเท่าไหร่ ซึ่ง หลังบุกเสมอบาเยิร์น น่าจะมีกำลังใจไม่กลัวใคร ขึ้นมามาก สำหรับอาเซน่อล ช่วงท้ายฤดูกาลนี้ ต้องมาลองดูกันว่านัดต่อไปที่เจอเชลซี ว่าจะเป็นยังไง ในใจลึก ๆ ตอนนี้คิดว่าคนที่กดดันสุดคือ มูรินโย่ และอาเซน่อลไม่น่าจะแพ้ทั้ง เชลซี และ แมนซิตี้  ซึ่งหากเกิดพลิกชนะทั้งคู่ขึ้นมา นี่ ถือว่าอาเซน่อลจะมีลุ้น มากสุด เพราะโปรแกรมปลายฤดูกาลไม่มีโปรแกรมหนัก  เหมือนทีมอื่น ที่ต้องมีโปรแกรมมาเตะตัดแต้มกันเอง

 

บันทึกไว้วันที่ 19/3/2014 ถือว่าตอนนี้ยังมีลุ้นอยู่ ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าผลงานจะเป็นยังไง

Instragram ล่ม (อีกแล้ว)

ตื่นมาพร้อมกับข่าว Instragram ล่มในวันนี้  อยู่ดี ๆ ก็อยากเขียน blog ขึ้นมาอีกข่าวนึงที่เห็นพร้อมกันที่น่าจะเป็น joke คือ Instragram ล่มอาจเป็นเพราะ Justin Bieber เรื่องนี้ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเท็จอย่างไร ทาง Instragram ก็คงไม่ออกมารับว่าเป็นเพราะเหตุนี้อยู่แล้ว แต่ที่น่าสงสัยคือ ระดับ Instram ที่ facebook ซื้อไปแล้วกว่าพันล้านเหรียญนั้นทำไมไม่ย้ายมาดูแลกันเอง ด้วยทีมงานของ facebook ได้แล้ว เพราะผมถือว่า facebook นี่ยังไม่เคยได้เห็นข่าวการ down เลยนะ แต่ Instragram ที่ไปผูกไว้กับ Amazon WS นั้นมีข่าวแบบนี้มาหลายครั้ง ซึ่งก็ทำให้ตกใจกับ Amazon WS เหมือนกันว่าทำไมถึงเกิดเหตุแบบการณ์แบบนี้หลายครั้ง ซึ่งก็ยังโชคดีที่บริการพวก Social นี้มันยังไม่ใช่พวกบริการที่เป็น Critical Service มีเวลา Downtime ได้ เพราะอย่างน้อยคนก็บ่นกันว่าเข้าไม่ได้ แล้วรอ server คืนมา  แต่ถ้าหากเรามีบริการที่เป็น Critical Service เช่นบริการด้านการแพทย์ ที่เกี่ยวกับชีวิตคนไข้ แล้วนำไปฝากไว้กับ Amazon Web Service หากเกิดปัญหาแบบนี้มาใครจะรับผิดชอบ มันก็น่าคิดถึงประเด็นนี้เหมือนกันหากจะฝากชีวิตกับ Amazon WS กรณีที่เป็นบริการแบบที่เป็น Critical Service

Movie Review : 12 Years A Slave

Review

เรื่องนี้ได้ดูมาพักนึงละกะว่าจะเขียนถึงมาซักพักแล้ว แต่วันนี้มีข่าวได้รางวัลออสการ์พอดีก็เรยขอเขียน blog ถึงซะหน่อย เรื่องนี้ยอมรับเรยว่าเป็นหนังที่ทำมาเน้นรางวัลโดยเฉพาะ โดยเฉพาะบทที่แต่งมาจากเรื่องจริง เนื้อเรื่องก็ว่ากันด้วย Solomon Northup ตัวเอกของเรื่องเดิมนั้นเป็น Freeman คือไม่ได้เป็นพวกทาส  บังเอิญได้พออ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อเมริการมาบ้างก็เลยพอรู้ว่า ช่วงนั้นเป็นอย่างไร เรื่องทาสระหว่างรัฐเหนือ กับ รัฐทางใต้ นั้นเป็นส่วนนึงที่เกิดแนวคิดที่ต่างกันระหว่าง รัฐทางฝั่งเหนือ กับ รัฐทางฝั่งใต้ของอเมริกา ทำให้มีสงครามกลางเมืองอยู่ในช่วงเวลานั้น อเมริกายังไม่ได้รวมประเทศได้อย่างจริง ๆ จรัง ๆ ซักเท่าไหร่ ว่าด้วยเนื้อเรื่องต่อ คือ Solomon Northup ได้ถูกจับมาเป็นทาสและส่งไปขายยังรัฐตอนใต้ หนังก็ดำเนินเรื่องให้เห็นถึงความเป็นจริงของอเมริกายุคนั้น ที่มีการเหยียดผิวอย่างชัดเจน ในสมัยที่ยังไม่เลิกทาส โดยมีบทที่เกี่ยวเนื่องที่เป็น Drama หน่อยก็คือ ความสัมพันธ์ทางเพศ ของชายผิวขาว กับทาสหญิง เรื่องนี้ดู ๆ แล้วก็เหมาะสมกับเป็นหนังรางวัลอย่างแท้จริง มีดารานำดัง ๆ ที่มาแสดงเป็นตัวสมทบค่อนข้างเยอะ เช่น แบรด พิท  ฯลฯ แต่เรื่องนี้ดูหนังมันจะเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ไปมากจนจบ สังเกตว่าเรื่อง Sound ประกอบของหนังไม่ค่อยมีเท่าที่ควร บางช่วงมันรู้สึกเงียบ ๆ ไป เหมือนปล่อยให้ดำเนินเรื่องด้วยบทพูดมากไป บางทีมันก็ทำให้ไม่รู้สึกแปลก ๆ เหมือน Feel มันจะยังไม่ได้เท่าที่ควร อันนี้ว่ากันตามตรงผมก็ได้ดูอีกเรื่องที่เกี่ยวกับการเหยียดผิวคือ The Butler ผมมองว่าคนทั่วไปดูนี่ คิดว่าน่าจะชอบ The Butler มากกว่า มันดูเข้าถึงคนทั่วไปได้มากกว่าเรื่องนี้

เก็บตกจากหนัง

  • หนังบอกถึงสังคมอเมริกันในสมัยนั้นได้ดี ถ้าเราเกิดมาในยุคนี้คงนึกภาพไม่ออก
  • ส่วนนึงที่ไม่เข้าใจคือตัวเอกมีโอกาสหนีไปหลา่ยครั้ง ทำไมไม่หนี มันก็ไม่ได้กั้นอะไรไว้ชัดเจนจากบ้านในสมัยนั้น ซึ่งคิดว่ามีโอกาสหนีได้ง่าย

ระดับความมันส์

8/10

สรุป
“เป็นหนังรางวัลแท้ ๆ เลยเรื่องนี้”