บทเรียนจากซีรีส์ : อำนาจ การเมือง และความจริงที่ถูกซ่อนไว้ จาก 4 ประเทศของ Netflix

ซีรีส์ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองถือเป็นผลงานโปรดของผมเลยนะครับโดยเฉพาะในแพลตฟอร์มอย่าง Netflix เรียกได้ว่าผมเก็บหมดแทบจะของทุกประเทศ ซึ่งเราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับเบื้องหลังของการเมือง และระบอบการปกครองที่ดูเท่ห์อย่าง “ประชาธิปไตย”

เมื่อเราเปิดตำราเรียนหรือฟังคำกล่าวอ้างของนักการเมือง เรามักจะได้ยินถึงระบอบประชาธิปไตยอันสวยหรู ที่ซึ่งอำนาจถูกแบ่งสรรอย่างสมดุล ผู้นำทำงานเพื่อประชาชน และความยุติธรรมครอบคลุมทุกชนชั้น แต่นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาที่ถูกวาดขึ้นเพื่อปกปิดความจริงอันโหดร้าย

ซีรีส์อย่าง “House of Cards” จากสหรัฐอเมริกา “Borgen” จากเดนมาร์ก “The Whirlwind” จากเกาหลีใต้ และ “Anatomy of a Scandal” จากอังกฤษ ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังม่านการเมือง นักการเมืองที่เราเห็นบนหน้าจอไม่ได้ต่างจากตัวละครในซีรีส์เหล่านี้มากนัก พวกเขาต่างแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อก้าวขึ้นสู่อำนาจ

แม้แต่คนที่เคยมีอุดมการณ์สูงส่ง เมื่อได้ลิ้มรสชาติของอำนาจ ก็มักจะเปลี่ยนไป อำนาจกลายเป็นยาเสพติดที่น่ากลัวที่สุด ทำให้ผู้คนยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษามันไว้ การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจกลายเป็นเกมที่ไม่มีวันจบสิ้น

ระบบการถ่วงดุลอำนาจที่เราเรียนรู้มา ไม่ว่าจะเป็นอำนาจตุลาการ นิติบัญญัติ หรือบริหาร แทบจะไม่มีประสิทธิภาพในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะผู้ที่มีอำนาจสามารถสั่งการและแต่งตั้งพรรคพวกของตนเองเข้ามาครอบครองตำแหน่งสำคัญได้ทั้งหมด

แม้ภาพที่เห็นจะดูมืดมน แต่การที่ซีรีส์เหล่านี้ได้รับความนิยมและถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง แสดงให้เห็นว่าผู้คนเริ่มตระหนักถึงปัญหาที่แท้จริงในระบบการเมือง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

เราในฐานะประชาชนต้องเรียนรู้ที่จะมองทะลุภาพลวงตาที่นักการเมืองพยายามสร้างขึ้น ต้องเข้าใจว่าการเมืองไม่ได้สวยงามอย่างที่เห็นในตำรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราทุกคนต้องยอมจำนนต่อสภาพที่เป็นอยู่

การรับรู้ถึงปัญหาคือก้าวแรกของการแก้ไข ต้องมีการร่วมกันสร้างระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และสร้างวัฒนธรรมการเมืองที่โปร่งใสมากขึ้น

แม้ว่าประชาธิปไตยในอุดมคติอาจไม่มีอยู่จริง แต่สามารถที่จะสร้างระบบที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้ ด้วยการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในอดีตและร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีกว่า

ซีรีส์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้ความบันเทิง แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนสังคม ทำให้เราได้เห็นปัญหาที่แท้จริงและกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงที่สร้างสรรค์ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในอนาคต

References : Netflix

สรุปหนังสือ Power and Progress ประวัติศาสตร์ 1,000 ปี ของเทคโนโลยีและความรุ่งเรืองของมนุษย์

เรามักจะได้ยินคำกล่าวที่ว่าตอนนี้เรากำลังเดินหน้าสู่สังคมที่ดีขึ้นและมีชีวิตที่แสนสะดวกสบาย เราได้เห็นสิ่งใหม่ ๆ เช่น สมาร์ทโฟน รถยนต์ EV โซเชียลมีเดีย หรือ เทคโนโลยีสุดฮ็อตอย่าง AI

หนังสือเล่มนี้ผู้แต่งคือ Daren Acemoglu และ Simon Johnson ที่เป็นศาสตราจารย์ระดับท็อปจาก MIT โดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความจำเป็นในกำหนดทิศทางในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์มากขึ้น โดยกล่าวถึงประเด็นเรื่องอำนาจ และบทบาทของเทคโนโลยีที่มีผลต่อการสร้างความมั่งคั่งร่วมกัน

นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอเรื่องข้อคิดเห็นในเรื่องการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เช่น การปรับระบบภาษีให้เท่าเทียมกันสำหรับการทำงานอัตโนมัติ การควบคุมกำกับดูแล การบังคับให้บริษัทขนาดใหญ่แตกบริษัทลูกออกมา การสร้างสหภาพแรงงานที่เข้มแข็ง

เพราะไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย เทคโนโลยีแม้จะบันดาลให้ชีวิตคนดีขึ้นได้ก็จริง แต่มันก็ทิ้งบาดแผลไว้เช่นกัน ทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำ ความยากจน มลพิษ เพราะฉะนั้นเราทุกคนต้องสร้างความเจริญนั้นขึ้นมาเอง ไม่ปล่อยให้ผู้มีอำนาจกำหนดทิศทางได้ตามอำเภอใจ

Highlights

📝 เปิดด้วย quotes ที่เป็น message หลักของหนังสือเล่มนี้ได้ดีมาก ๆ “ความเจริญไม่เคยเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ความเจริญในปัจจุบันนี้ยังคงกระจายอยู่แค่ในกลุ่มนักธุรกิจและนักลงทุน ขณะที่คนส่วนใหญ่ยังคงอับจนไร้หนทาง”

🏭 การยกตัวอย่างประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีมีทั้งการปรับปรุงและเป็นอุปสรรคต่อชีวิตของคนงาน เช่น การใช้กังหันลมในยุคกลาง และการประดิษฐ์เครื่องปั่นฝ้ายในศตวรรษที่ 18

🔎 มีการอธิบายถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ด้านอำนาจและธรรมชาติของเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ผลกระทบของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยใช้ตัวอย่างจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษและสภาพปัจจุบันของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

💡 มีการเน้นถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีให้สอดคล้องและช่วยเหลือมนุษย์มากยิ่งขึ้น และเสนอมาตรการด้านนโยบาย เช่น การเปลี่ยนแปลงระบบภาษี การกำกับดูแลจากรัฐบาล การบังคับให้บริษัทขนาดใหญ่แตกบริษัทลูกออกมา และการสร้างสหภาพแรงงานที่เข้มแข็ง

🌍 หัวข้อในเรื่องบทบาทของการกระจายอำนาจ และโอกาสในการสร้างโครงสร้างองค์กรใหม่ เช่น สหกรณ์ เพื่อสร้างสังคมและเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

🎙️ มีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพิจารณามุมมองและแนวทางต่างๆ ต่อเทคโนโลยี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อมนุษยชาติ

Key Insights

🔑 ทิศทางของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมีความสำคัญต่ออนาคตของมนุษย์เรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับ AI และระบบอัตโนมัติทั้งหลาย การเลือกระหว่างการให้ความสำคัญกับการทำงานแบบอัตโนมัติหรือการสร้างงานใหม่ให้กับแรงงานมีผลกระทบอย่างมากต่อเรื่องของการเพิ่มผลผลิต ความเหลื่อมล้ำ และบทบาทการมีส่วนร่วมของมนุษย์

🔑 การย้อนประวัติศาสตร์เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของความสัมพันธ์ด้านอำนาจต่อผลลัพธ์ของเทคโนโลยี พลังอำนาจมีอิทธิพลต่อประโยชน์ที่เกิดจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทั้งในยุคกลางและยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งในตัวอย่างที่กล่าวในหนังสือเล่มนี้ เทคโนโลยีช่วยเพิ่มผลผลิต แต่ประโยชน์กลับตกอยู่กับชนชั้นสูง ในขณะที่คนงานไม่ได้รับการปรับปรุงคุณภาพชีวิตมากนัก

🔑 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสร้างผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของสังคมโดยรวม ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ การแสวงประโยชน์จากแรงงาน ภัยคุกคามต่อสาธารณสุข ในขณะที่ผู้ที่ได้รับประโยชน์กลับเป็นเพียงแค่ชนชั้นสูงแคบๆ ที่ควบคุมเทคโนโลยีในยุคนั้นๆ

🔑 วิสัยทัศน์หลักของวงการเทคโนโลยีในซิลิคอนวัลเลย์และแวดวงวิชาการส่งเสริมแนวคิดที่ว่า AI และระบบอัตโนมัติทั้งหลายคืออนาคต ทำให้เป็นการละเลยโอกาสในการใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์ เพิ่มผลิตภาพ และการให้ความสำคัญกับบทบาทของมนุษย์ที่น้อยลงไป

🔑 จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงสถาบันทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองเพื่อปรับเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยี มีการนำเสนอมาตรการด้านนโยบายหลายประการ เช่น ปรับระบบภาษีให้จูงใจการใช้แรงงานมนุษย์มากกว่าระบบอัตโนมัติ จัดตั้งหน่วยงานเพื่อกำหนดการใช้ AI ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง ภาษีโฆษณาดิจิทัลเพื่อส่งเสริมรูปแบบธุรกิจทางเลือก

🔑 การมีส่วนร่วมและบทบาทของมนุษย์ยังคงมีความสำคัญแม้จะมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ซึ่งเป็นการหักล้างแนวคิดที่ว่าเทคโนโลยี AGI (Artificial General Intelligence) จะทำให้มนุษย์ล้าสมัย โดยเน้นว่ามนุษย์จะยังคงมีบทบาทสำคัญในงานต่างๆ และการนำระบบอัตโนมัติมาใช้มากเกินไปอาจเป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มผลิตภาพและการพัฒนาของมนุษย์

🔑 บทเรียนจากภาคธุรกิจพลังงานสร้างความหวังในการเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยี โดยมีการชี้ให้เห็นความสำเร็จของนวัตกรรมพลังงานหมุนเวียน ซึ่งได้รับการผลักดันจากการกำกับดูแลของรัฐบาล การอุดหนุนจากภาครัฐ และการมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าความพยายามอย่างจริงจังสามารถเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้

🔑 ความสำคัญของการเปลี่ยนแนวความคิดซะใหม่ โดยไม่ใช่แค่เพียงการมุ่งเน้นไปที่การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพียงอย่างเดียว แต่ต้องหันมาโฟกัสกับนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์มากยิ่งขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงบทบาทของผู้นำด้านเทคโนโลยีที่มีอำนาจ และให้กระบวนการประชาธิปไตยมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคต

บทสรุป

ผมว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับแวดวงเทคโนโลยีที่น่าสนใจอีกเล่มหนึ่งเลยทีเดียว ที่ชี้ให้เห็นว่าทิศทางการพัฒนาโดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี (โดยเฉพาะ AI) ให้เป็นมิตรกับมนุษย์มากยิ่งขึ้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ

เนื่องจากมันจะส่งผลให้เทคโนโลยีได้รับการพัฒนาในทิศทางที่ตอบสนองความต้องการและเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เราอย่างแท้จริง ทำให้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มศักยภาพและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ แทนที่จะเป็นภัยคุกคามหรือมาแย่งชิงตำแหน่งงานของมนุษย์ไป

เพราะฉะนั้นเรื่องสำคัญก็คือ การมีส่วนร่วมของมนุษย์เราในการกำหนดทิศทางเทคโนโลยีเหล่านี้ และที่สำคัญต้องเป็นกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันมักจะถูกกำหนดโดยบริษัทเทคโนโลยีหน้าเลือดขนาดใหญ่ ที่มองแต่กำไรเป็นที่ตั้ง ซึ่งทำให้ขาดมุมมองที่เทคโนโลยีเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม

โดยสรุปแล้วแนวคิดหลักของหนังสือเล่มนี้คือ อยากให้ทุกคนตระหนักถึงการปรับเปลี่ยนทิศทางในการพัฒนาเทคโนโลยีเสียใหม่ ให้เอื้อต่อประโยชน์ของมนุษย์มากขึ้น ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการมีส่วนร่วม

โดยเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐในการกำหนดนโยบายและการกำกับดูแล ภาคเอกชนในการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ และประชาชนคนทั่วไปในการมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางเพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นประโยชน์ และมีความยั่งยืนต่อไปในอนาคต

หนังสือเล่มนี้จะช่วยเตือนสติพวกเราว่าความไม่เป็นกลางของเทคโนโลยี และความจำเป็นที่ต้องมีกลไกลทางการเมืองเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าประโยชน์ของเทคโนโลยีจะกระจายไปสู่ประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง ซึ่งผมคิดว่าเป็นบทเรียนที่เราทุกคนควรตระหนักเป็นอย่างมาก ในยุคแห่งความก้าวหน้าทางดิจิทัลที่ครอบงำโดยจักรวรรดิบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่างที่เราได้เห็นกันทุกวันนี้นั่นเองครับผม


สุดท้ายก็ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ bingo นะครับที่ส่งหนังสือเล่มนี้มาให้อ่าน ถ้าใครสนใจหนังสือเล่มนี้ก็ไปจัดกันได้เลยที่ -> https://bingobook.co/product/power-and-progress/


Movie Review : MONDO รัก|โพสต์|ลบ|ลืม หนังโรแมนติก ฟีลกู๊ด ที่เข้าใจโลกของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง

หนังไทยเรื่องสุดท้ายที่ตัวผมเองได้มีโอกาสเข้าไปรับชมในโรงนี่แทบจะจำไม่ได้แล้วนะครับ แต่หนังเรื่องใหม่จาก คุณมะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับหนังชื่อดังอย่าง รักแห่งสยาม และพล็อตเรื่องที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีโดยตรง ทำให้ผมเกิดสนใจหนังเรื่องนี้ขึ้นมา

ยอมรับตามตรงว่าก่อนเข้าไปรับชม ก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะ perfect สำหรับหนังไทย และมาเล่นกับเรื่องราวของเทคโนโลยี ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าหนังไทยที่ผ่านมานั้นทำเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ไม่แนบเนียนเท่าที่ควร

“MONDO” (มอนโด / Working Title) หนังรักโรแมนติกไซไฟสร้างสรรค์จากไอเดียและวิสัยทัศน์สุดล้ำไม่ซ้ำแนวหนังรักเรื่องใดๆ กับเรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์ ความสำเร็จในชีวิต และการก้าวผ่านวัยของหนุ่มสาววัยแสวงหาในโลกยุคใหม่

หนังเล่าเรื่องราวของ “ยี่หวา” หญิงสาวสดใสร่าเริงที่มีอาชีพเป็นยูทูบเบอร์ช่อง “โสดไปไหน” เธอพยายามจะผลักดันตัวเองให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน โดยตั้งเป้าอยากจะเพิ่มจำนวนผู้ติดตามโซเชียลมีเดียทุกช่องทางของตัวเอง

จนกระทั่งได้มาพบ “เม-บอต” (MayBot) ซึ่งเป็น AI ผู้ช่วยสุดอัจฉริยะที่เข้ามาช่วยวางแผนธุรกิจให้ โดยที่เธอต้องปิดเรื่องคบหากับ “ดอม” เพื่อนวัยมัธยมไว้เป็นความลับเพราะเหตุผลทางธุรกิจ จนกระทั่งวันที่ดอมอยากจะสร้างอนาคตร่วมกับยี่หวา

“หวัง” เพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนก็ปรากฏตัวขึ้นในฐานะนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่อยากเข้ามาสนับสนุนแชนแนลของยี่หวา ด้วยการพาเธอไปรู้จักกับโลกเมตาเวิร์สมอนโด (Mondo) จนกลายเป็นเรื่องราวความรักที่สวนทางกับความสำเร็จ พร้อมกับการตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิตที่ AI ก็ไม่อาจทำแทนได้

หลังดูจบ ต้องบอกว่าผิดคาดมาก ๆ หนังเรื่องนี้สะท้อนอะไรหลายๆ อย่างในสังคมปัจจุบัน และจิกกัดโลกเทคโนโลยีได้น่าสนใจมาก ๆ

ชีวิตที่เหมือนหนูถีบจักรของมนุษย์เราในปัจจุบัน บางครั้งมันถูกกดดันจากโลกเสมือนจริง ซึ่งในปัจจุบันมันก็คือโลกของโซเชียลนั่นเอง ที่ทุกคนต่างโชว์แต่ชีวิตด้านดี ๆ ของตนเอง แต่มันก็ช่วยผลักดันให้คนเรามักจะมองหาวิธีในการเร่งตัวเองให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วกันมากขึ้นเช่นเดียวกัน

มันกลายเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้วในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีต่างๆได้ นำพามนุษย์เราหลีกหนีไปจากสังคมจริง ๆ ไปจากคนรอบข้าง ทั้งเพื่อนฝูง พ่อแม่ พี่น้อง โดยเฉพาะคนในครอบครัวเองที่มักจะถูกมองข้ามมากที่สุด

หนังเรื่องนี้ได้นำเอาประเด็นของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI , Metaverse , Blockchain เข้ามาผสานเรื่องราวเข้ากับบทของหนังได้อย่างดี และที่สำคัญผมมองว่า ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในหนังเรื่องนี้นั้น มันไม่ใช่เรื่อง Sci-Fi เว่อร์เกินจริง แต่มันมีพื้นฐานจากเทคโนโลยีจริงที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ทีมงานผู้สร้างเรียกได้ว่า ทำการบ้านมาอย่างดี เข้าใจถึงเทคโนโลยีดังกล่าวที่เกี่ยวข้องและมาสร้างเป็นบทให้กับหนังเรื่องนี้ รวมถึงฉากต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งห้อง server ขนาดยักษ์ (แม้จะใช้ CG) หรือการจำลองโลก Metaverse , MayBot AI การจิกกัดเหรียญ Crypto และทำการผสานรวมเรื่องราวของทุกเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว

หนังเรื่องนี้สะท้อนภาพชีวิตมนุษย์ในยุคปัจจุบันได้ดี และสื่อให้เห็นว่าเทคโนโลยีมันมีบทบาทอย่างไรต่อชีวิต ต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์เรา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่จริงแท้เป็นอย่างมาก

ผสานกับเรื่องราวความรักแบบโรแมนติก ฟีลกู๊ด มีการผูกเรื่องราวของตัวละครทุกตัวได้อย่างน่าสนใจ แถมมีฉากเรียกเสียงฮาได้เป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะแอนนา ชวนชื่น ที่เล่นได้พีคมาก ๆ

จึงไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ว่า คุณพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมากล่าวชื่นชมพร้อมกับเชิญชวนให้ผู้คนออกมาสนับสนุนหนังเรื่องนี้ ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเอง

CR: Instagram (Pita.ig)
CR: Instagram (Pita.ig)

ซึ่งส่วนตัวเองก็มองว่า เป็นหนังที่ดูได้ทุกเพศทุกวัย มันทำให้เราได้หยุดคิดถึงชีวิต ซึ่งหลายๆ คนน่าจะอินกับหนังเรื่องนี้ บางครั้งการขวนขวายหาความสำเร็จด้วยการถูกบีบให้เกิดการแข่งขันกัน มันก็ทำให้พวกเราได้ทิ้งคนหลายคนที่รักเรามาก ๆ ไว้เบื้องหลังนั่นเองครับผม

Movie Review : Oppenheimer – ชีวประวัตินักวิทยาศาสตร์หรือเรื่องน่าอนาถของเกมการเมืองแบบอเมริกัน

ส่วนตัวเองก็ห่างหายจากการเข้าโรงภาพยนต์มาเป็นปี ๆ แล้ว แต่ต้องบอกว่าเรื่องราวของ Oppenheimer บิดาผู้สร้างระเบิดนิวเคลียร์นั้น ทำให้อดใจไม่ไหวที่จะต้องเข้าไปดูในโรง IMAX อีกครั้งหนึ่ง

มันเป็นเรื่องแปลกที่น่าเหลือเชื่อที่ชื่อของนักวิทยาศาสตร์ที่มีสร้างผลงานกระฉ่อนโลกอย่าง เจ. ออพเพนไฮเมอร์ นั้น ผมคิดว่าหลาย ๆ คนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเขาด้วยซ้ำมาก่อนหน้านี้ แม้กระทั่งบทเรียนทางวิทยาศาสตร์ของไทยเราก็แทบไม่ค่อยที่จะเอ่ยถึงชื่อของชายคนนี้มากนัก

ขอออกตัวก่อนว่าบทความนี้อาจจะมีการ spoil เนื้อหาบางส่วนของหนัง หากใครต้องการได้รับประสบการณ์ในการรับชมแบบเต็ม ๆ ที่ไม่ขัดใจสามารถเลื่อนผ่านไปได้ครับผม

หนังเรื่องนี้จะพาเราไปรู้จักกับชีวประวัติของ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ที่เป็นบิดาของระเบิดปรมาณู เรื่องราวดราม่าของชีวิตชายคนนี้ ทั้งเรื่องราวดราม่าความรัก เพื่อนเลิฟ และบุคคลสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขา กว่าที่เขาจะนำทีมสร้างระเบิดมหาประลัย ที่สามารถยุติสงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จที่ช่วยเหลือชีวิตเหล่าทหารชาวอเมริกันจำนวนมาก ที่ไม่ต้องยกพลขึ้นบกประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะมีการสูญเสียอย่างหนัก

เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ที่เป็นบิดาของระเบิดปรมาณู (CR:history.com)
เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ที่เป็นบิดาของระเบิดปรมาณู (CR:history.com)

ชื่อของคริสโตเฟอร์ โนแลน รับประกันผลงานได้ดี ซึ่งจะเห็นจากกระแสของหนังเรื่องนี้ ที่สามารถเรียกกระแสให้ผู้คนเข้ามาดูกันในโรงภาพยนตร์แบบเต็มโรงกันได้อีกครั้ง

เอาจริง ๆ ส่วนตัวก็หวังว่าหนังเรื่องนี้จะฉายภาพชีวประวัติของ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ กันแบบเต็ม ๆ เพราะหากมีโอกาสได้ดู trailer ของภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น มันค่อนข้างชัดเจนว่าจะเนื้อหามันจะสื่อไปทำนองนั้น

แต่กลายเป็นว่าเนื้อหาของ Oppenheimer กว่าครึ่งนั้นกลายเป็นเรื่องของเกมการเมืองแบบสไตล์อเมริกันในยุคนั้น ด้วยความยาว 3 ชั่วโมงเต็ม ๆ เป็นการตัดสลับฉากเล่าสองเหตุการณ์เข้าด้วยกัน ที่ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ กำลังโดนสืบสวนสอบสวนในข้อหาทรยศต่อชาติที่ตกอยู่ภายใต้เกมการเมืองของผู้มีอำนาจ และ หน้าที่หลักของเขาในการระดมเหล่านักวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างระเบิดนิวเคลียร์ในโปรเจคแมนฮัตตัน

มีดาราชื่อดังมากมายที่มาร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น เจ โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ (Cillian Murphy) , พันเอกเลสลีย์ โกรฟ (Matt Damon) ,  คิตตี้ ออปเพนไฮเมอร์ (Emily Blunt)  ภรรยาของ เจ โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ หรือแม้กระทั่ง ลิวอิส สเตราส์ (Robert Downey Jr.) รวมถึงดาราชื่อดังอีกมากมายที่เข้าร่วมในหนังเรื่องนี้

ดาราชื่อดังเพียงที่เข้าร่วมเล่นหนังเรื่องนี้ (CR:Digital Mafia Talkies)
ดาราชื่อดังเพียงที่เข้าร่วมเล่นหนังเรื่องนี้ (CR:Digital Mafia Talkies)

ถ้าจะดูให้สนุกจริง ๆ ต้องทำการบ้านมาบ้างพอสมควร เพราะเป็นการดำเนินเรื่องตัดสลับไปสลับมาตามสไตล์ของโนแลน และดำเนินเรื่องแบบรวดเร็วมาก ๆ ตัวละครในเรื่องบางคนนั้น แทบไม่ได้เกริ่นเรื่องราวของเขามาก่อนเลย อยู่ดี ๆ ก็จัดเข้ามาแบบเต็ม ๆ ตลอดทั้งเรื่อง ทำให้ไม่แปลกที่กระแสเรื่องนี้ ทำให้หลายคนอาจจะบ่นว่างงกับเนื้อหาของมัน ซึ่งเรียกได้ว่าต้องอ่าน sub กันแบบเมามัน พลาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว

ผมว่าถ้าเป็นแฟนโนแลนอยู่แล้ว ต้องชอบแน่นอนสำหรับหนังเรื่องนี้ เพราะยังคงสไตล์ของพี่เค้าได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะลำดับการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ติดตัวเขาไปเสียแล้ว มันเป็นการ Mixed รวมสไตล์การเล่าแบบทั้ง Interstellar , Dunkirk หรือแม้กระทั่ง Inception มารวม ๆ กันได้อย่างน่าสนใจอีกเรื่องนึงที่คนทั่วไปคงไม่งงเท่า Tenet และผลงานเรื่องนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งผลงานขึ้นหิ้งของ โนแลน ได้อีกเรื่องหนึ่งอย่างแน่นอน

แต่ผมมองว่าหากเป็นคนทั่วไป ที่ต้องการเสพเนื้อเรื่องแบบสนุก ๆ เล่าชีวประวัติแบบเพลิดเพลินเหมือนหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เล่าเรื่องราวชีวประวัติของเหล่านักวิทยาศาสตร์ อาจจะไม่ได้ประทับใจมากนัก

สิ่งที่ผมไม่ชอบจากผลงานหลัง ๆ ของ โนแลน ก็คือ เรื่อง sound ที่ใส่มาเกินเบอร์มาก ๆ บางครั้งฉากธรรมดามาก ๆ แต่ใส่ sound อลังการงานสร้างเกินจริง ผมสังเกตเห็นมาตั้งแต่เรื่อง Dunkirk แล้วว่า โนแลน พยายามยัด sound ที่มันเว่อร์วังอลังการเกินฉากของเนื้อเรื่องจริง ๆ ไปมาก

แต่เรื่องอื่น ๆ ทั้งงานออกแบบภาพ มุมกล้องในการถ่ายทำ การถ่ายทอดอารมณ์ของเหล่านักแสดงคุณภาพทั้งหมด มีฉากตื่นเต้นที่บีดรัดหัวใจตลอดแทบจะทั้งเรื่อง ผสมผสานการถ่ายทอดเรื่องราวความรู้ทั้ง ประวัติศาสตร์ ชีวประวัติของบุคคลสำคัญ การเมือง และวิทยาศาสตร์ ได้อย่างลงตัว

คือสรุปหนังเรื่องนี้ คุณอาจจะดูจากตัวอย่าง trailer หนังนั้น อาจจะไม่ตรงปกซะทีเดียว เพราะในตัวอย่างแทบไม่มีฉากของการสอบสวนอย่างหนักในข้อหาทรยศชาติของ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ที่เข้าไปพัวพันกับพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังก่อตัว ที่เป็นเนื้อหาเกินกว่าครึ่งของหนังเรื่องนี้

แต่เราก็ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชายที่ยิ่งใหญ่อีกคนที่เหมือนจะไม่ได้รับการยกย่อง และให้เครดิตกับผลงานของเขาเมื่อเทียบกับนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่น ๆ ซึ่งผลงานของเขาในเชิงวิทยาศาสตร์นั้นก็เป็นที่ประจักษ์ไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังหลายๆ ที่เป็นตำนานในบทเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์

เจ. ออพเพนไฮเมอร์ นั้นเป็นบุคคลสำคัญที่มีผลกระทบต่อจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์มนุษชาติ เพราะการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ที่เป็นผลงานเขาและทีมงาน กับเมืองฮิโรชิม่า และ นางาซากิ ของประเทศญี่ปุ่นนั้น มันเป็นเหตุการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของอาวุธที่จะสามารถทำลายล้างโลกของเราอย่างระเบิดนิวเคลียร์ไปตลอดกาลนั่นเองครับผม