Movie Review : MONDO รัก|โพสต์|ลบ|ลืม หนังโรแมนติก ฟีลกู๊ด ที่เข้าใจโลกของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง

หนังไทยเรื่องสุดท้ายที่ตัวผมเองได้มีโอกาสเข้าไปรับชมในโรงนี่แทบจะจำไม่ได้แล้วนะครับ แต่หนังเรื่องใหม่จาก คุณมะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับหนังชื่อดังอย่าง รักแห่งสยาม และพล็อตเรื่องที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีโดยตรง ทำให้ผมเกิดสนใจหนังเรื่องนี้ขึ้นมา

ยอมรับตามตรงว่าก่อนเข้าไปรับชม ก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะ perfect สำหรับหนังไทย และมาเล่นกับเรื่องราวของเทคโนโลยี ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าหนังไทยที่ผ่านมานั้นทำเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ไม่แนบเนียนเท่าที่ควร

“MONDO” (มอนโด / Working Title) หนังรักโรแมนติกไซไฟสร้างสรรค์จากไอเดียและวิสัยทัศน์สุดล้ำไม่ซ้ำแนวหนังรักเรื่องใดๆ กับเรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์ ความสำเร็จในชีวิต และการก้าวผ่านวัยของหนุ่มสาววัยแสวงหาในโลกยุคใหม่

หนังเล่าเรื่องราวของ “ยี่หวา” หญิงสาวสดใสร่าเริงที่มีอาชีพเป็นยูทูบเบอร์ช่อง “โสดไปไหน” เธอพยายามจะผลักดันตัวเองให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน โดยตั้งเป้าอยากจะเพิ่มจำนวนผู้ติดตามโซเชียลมีเดียทุกช่องทางของตัวเอง

จนกระทั่งได้มาพบ “เม-บอต” (MayBot) ซึ่งเป็น AI ผู้ช่วยสุดอัจฉริยะที่เข้ามาช่วยวางแผนธุรกิจให้ โดยที่เธอต้องปิดเรื่องคบหากับ “ดอม” เพื่อนวัยมัธยมไว้เป็นความลับเพราะเหตุผลทางธุรกิจ จนกระทั่งวันที่ดอมอยากจะสร้างอนาคตร่วมกับยี่หวา

“หวัง” เพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนก็ปรากฏตัวขึ้นในฐานะนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่อยากเข้ามาสนับสนุนแชนแนลของยี่หวา ด้วยการพาเธอไปรู้จักกับโลกเมตาเวิร์สมอนโด (Mondo) จนกลายเป็นเรื่องราวความรักที่สวนทางกับความสำเร็จ พร้อมกับการตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิตที่ AI ก็ไม่อาจทำแทนได้

หลังดูจบ ต้องบอกว่าผิดคาดมาก ๆ หนังเรื่องนี้สะท้อนอะไรหลายๆ อย่างในสังคมปัจจุบัน และจิกกัดโลกเทคโนโลยีได้น่าสนใจมาก ๆ

ชีวิตที่เหมือนหนูถีบจักรของมนุษย์เราในปัจจุบัน บางครั้งมันถูกกดดันจากโลกเสมือนจริง ซึ่งในปัจจุบันมันก็คือโลกของโซเชียลนั่นเอง ที่ทุกคนต่างโชว์แต่ชีวิตด้านดี ๆ ของตนเอง แต่มันก็ช่วยผลักดันให้คนเรามักจะมองหาวิธีในการเร่งตัวเองให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วกันมากขึ้นเช่นเดียวกัน

มันกลายเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้วในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีต่างๆได้ นำพามนุษย์เราหลีกหนีไปจากสังคมจริง ๆ ไปจากคนรอบข้าง ทั้งเพื่อนฝูง พ่อแม่ พี่น้อง โดยเฉพาะคนในครอบครัวเองที่มักจะถูกมองข้ามมากที่สุด

หนังเรื่องนี้ได้นำเอาประเด็นของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI , Metaverse , Blockchain เข้ามาผสานเรื่องราวเข้ากับบทของหนังได้อย่างดี และที่สำคัญผมมองว่า ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในหนังเรื่องนี้นั้น มันไม่ใช่เรื่อง Sci-Fi เว่อร์เกินจริง แต่มันมีพื้นฐานจากเทคโนโลยีจริงที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ทีมงานผู้สร้างเรียกได้ว่า ทำการบ้านมาอย่างดี เข้าใจถึงเทคโนโลยีดังกล่าวที่เกี่ยวข้องและมาสร้างเป็นบทให้กับหนังเรื่องนี้ รวมถึงฉากต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งห้อง server ขนาดยักษ์ (แม้จะใช้ CG) หรือการจำลองโลก Metaverse , MayBot AI การจิกกัดเหรียญ Crypto และทำการผสานรวมเรื่องราวของทุกเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว

หนังเรื่องนี้สะท้อนภาพชีวิตมนุษย์ในยุคปัจจุบันได้ดี และสื่อให้เห็นว่าเทคโนโลยีมันมีบทบาทอย่างไรต่อชีวิต ต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์เรา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่จริงแท้เป็นอย่างมาก

ผสานกับเรื่องราวความรักแบบโรแมนติก ฟีลกู๊ด มีการผูกเรื่องราวของตัวละครทุกตัวได้อย่างน่าสนใจ แถมมีฉากเรียกเสียงฮาได้เป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะแอนนา ชวนชื่น ที่เล่นได้พีคมาก ๆ

จึงไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ว่า คุณพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมากล่าวชื่นชมพร้อมกับเชิญชวนให้ผู้คนออกมาสนับสนุนหนังเรื่องนี้ ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเอง

CR: Instagram (Pita.ig)
CR: Instagram (Pita.ig)

ซึ่งส่วนตัวเองก็มองว่า เป็นหนังที่ดูได้ทุกเพศทุกวัย มันทำให้เราได้หยุดคิดถึงชีวิต ซึ่งหลายๆ คนน่าจะอินกับหนังเรื่องนี้ บางครั้งการขวนขวายหาความสำเร็จด้วยการถูกบีบให้เกิดการแข่งขันกัน มันก็ทำให้พวกเราได้ทิ้งคนหลายคนที่รักเรามาก ๆ ไว้เบื้องหลังนั่นเองครับผม

Movie Review : Oppenheimer – ชีวประวัตินักวิทยาศาสตร์หรือเรื่องน่าอนาถของเกมการเมืองแบบอเมริกัน

ส่วนตัวเองก็ห่างหายจากการเข้าโรงภาพยนต์มาเป็นปี ๆ แล้ว แต่ต้องบอกว่าเรื่องราวของ Oppenheimer บิดาผู้สร้างระเบิดนิวเคลียร์นั้น ทำให้อดใจไม่ไหวที่จะต้องเข้าไปดูในโรง IMAX อีกครั้งหนึ่ง

มันเป็นเรื่องแปลกที่น่าเหลือเชื่อที่ชื่อของนักวิทยาศาสตร์ที่มีสร้างผลงานกระฉ่อนโลกอย่าง เจ. ออพเพนไฮเมอร์ นั้น ผมคิดว่าหลาย ๆ คนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเขาด้วยซ้ำมาก่อนหน้านี้ แม้กระทั่งบทเรียนทางวิทยาศาสตร์ของไทยเราก็แทบไม่ค่อยที่จะเอ่ยถึงชื่อของชายคนนี้มากนัก

ขอออกตัวก่อนว่าบทความนี้อาจจะมีการ spoil เนื้อหาบางส่วนของหนัง หากใครต้องการได้รับประสบการณ์ในการรับชมแบบเต็ม ๆ ที่ไม่ขัดใจสามารถเลื่อนผ่านไปได้ครับผม

หนังเรื่องนี้จะพาเราไปรู้จักกับชีวประวัติของ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ที่เป็นบิดาของระเบิดปรมาณู เรื่องราวดราม่าของชีวิตชายคนนี้ ทั้งเรื่องราวดราม่าความรัก เพื่อนเลิฟ และบุคคลสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขา กว่าที่เขาจะนำทีมสร้างระเบิดมหาประลัย ที่สามารถยุติสงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จที่ช่วยเหลือชีวิตเหล่าทหารชาวอเมริกันจำนวนมาก ที่ไม่ต้องยกพลขึ้นบกประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะมีการสูญเสียอย่างหนัก

เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ที่เป็นบิดาของระเบิดปรมาณู (CR:history.com)
เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ที่เป็นบิดาของระเบิดปรมาณู (CR:history.com)

ชื่อของคริสโตเฟอร์ โนแลน รับประกันผลงานได้ดี ซึ่งจะเห็นจากกระแสของหนังเรื่องนี้ ที่สามารถเรียกกระแสให้ผู้คนเข้ามาดูกันในโรงภาพยนตร์แบบเต็มโรงกันได้อีกครั้ง

เอาจริง ๆ ส่วนตัวก็หวังว่าหนังเรื่องนี้จะฉายภาพชีวประวัติของ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ กันแบบเต็ม ๆ เพราะหากมีโอกาสได้ดู trailer ของภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น มันค่อนข้างชัดเจนว่าจะเนื้อหามันจะสื่อไปทำนองนั้น

แต่กลายเป็นว่าเนื้อหาของ Oppenheimer กว่าครึ่งนั้นกลายเป็นเรื่องของเกมการเมืองแบบสไตล์อเมริกันในยุคนั้น ด้วยความยาว 3 ชั่วโมงเต็ม ๆ เป็นการตัดสลับฉากเล่าสองเหตุการณ์เข้าด้วยกัน ที่ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ กำลังโดนสืบสวนสอบสวนในข้อหาทรยศต่อชาติที่ตกอยู่ภายใต้เกมการเมืองของผู้มีอำนาจ และ หน้าที่หลักของเขาในการระดมเหล่านักวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างระเบิดนิวเคลียร์ในโปรเจคแมนฮัตตัน

มีดาราชื่อดังมากมายที่มาร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น เจ โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ (Cillian Murphy) , พันเอกเลสลีย์ โกรฟ (Matt Damon) ,  คิตตี้ ออปเพนไฮเมอร์ (Emily Blunt)  ภรรยาของ เจ โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ หรือแม้กระทั่ง ลิวอิส สเตราส์ (Robert Downey Jr.) รวมถึงดาราชื่อดังอีกมากมายที่เข้าร่วมในหนังเรื่องนี้

ดาราชื่อดังเพียงที่เข้าร่วมเล่นหนังเรื่องนี้ (CR:Digital Mafia Talkies)
ดาราชื่อดังเพียงที่เข้าร่วมเล่นหนังเรื่องนี้ (CR:Digital Mafia Talkies)

ถ้าจะดูให้สนุกจริง ๆ ต้องทำการบ้านมาบ้างพอสมควร เพราะเป็นการดำเนินเรื่องตัดสลับไปสลับมาตามสไตล์ของโนแลน และดำเนินเรื่องแบบรวดเร็วมาก ๆ ตัวละครในเรื่องบางคนนั้น แทบไม่ได้เกริ่นเรื่องราวของเขามาก่อนเลย อยู่ดี ๆ ก็จัดเข้ามาแบบเต็ม ๆ ตลอดทั้งเรื่อง ทำให้ไม่แปลกที่กระแสเรื่องนี้ ทำให้หลายคนอาจจะบ่นว่างงกับเนื้อหาของมัน ซึ่งเรียกได้ว่าต้องอ่าน sub กันแบบเมามัน พลาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว

ผมว่าถ้าเป็นแฟนโนแลนอยู่แล้ว ต้องชอบแน่นอนสำหรับหนังเรื่องนี้ เพราะยังคงสไตล์ของพี่เค้าได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะลำดับการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ติดตัวเขาไปเสียแล้ว มันเป็นการ Mixed รวมสไตล์การเล่าแบบทั้ง Interstellar , Dunkirk หรือแม้กระทั่ง Inception มารวม ๆ กันได้อย่างน่าสนใจอีกเรื่องนึงที่คนทั่วไปคงไม่งงเท่า Tenet และผลงานเรื่องนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งผลงานขึ้นหิ้งของ โนแลน ได้อีกเรื่องหนึ่งอย่างแน่นอน

แต่ผมมองว่าหากเป็นคนทั่วไป ที่ต้องการเสพเนื้อเรื่องแบบสนุก ๆ เล่าชีวประวัติแบบเพลิดเพลินเหมือนหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เล่าเรื่องราวชีวประวัติของเหล่านักวิทยาศาสตร์ อาจจะไม่ได้ประทับใจมากนัก

สิ่งที่ผมไม่ชอบจากผลงานหลัง ๆ ของ โนแลน ก็คือ เรื่อง sound ที่ใส่มาเกินเบอร์มาก ๆ บางครั้งฉากธรรมดามาก ๆ แต่ใส่ sound อลังการงานสร้างเกินจริง ผมสังเกตเห็นมาตั้งแต่เรื่อง Dunkirk แล้วว่า โนแลน พยายามยัด sound ที่มันเว่อร์วังอลังการเกินฉากของเนื้อเรื่องจริง ๆ ไปมาก

แต่เรื่องอื่น ๆ ทั้งงานออกแบบภาพ มุมกล้องในการถ่ายทำ การถ่ายทอดอารมณ์ของเหล่านักแสดงคุณภาพทั้งหมด มีฉากตื่นเต้นที่บีดรัดหัวใจตลอดแทบจะทั้งเรื่อง ผสมผสานการถ่ายทอดเรื่องราวความรู้ทั้ง ประวัติศาสตร์ ชีวประวัติของบุคคลสำคัญ การเมือง และวิทยาศาสตร์ ได้อย่างลงตัว

คือสรุปหนังเรื่องนี้ คุณอาจจะดูจากตัวอย่าง trailer หนังนั้น อาจจะไม่ตรงปกซะทีเดียว เพราะในตัวอย่างแทบไม่มีฉากของการสอบสวนอย่างหนักในข้อหาทรยศชาติของ เจ. ออพเพนไฮเมอร์ ที่เข้าไปพัวพันกับพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังก่อตัว ที่เป็นเนื้อหาเกินกว่าครึ่งของหนังเรื่องนี้

แต่เราก็ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชายที่ยิ่งใหญ่อีกคนที่เหมือนจะไม่ได้รับการยกย่อง และให้เครดิตกับผลงานของเขาเมื่อเทียบกับนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่น ๆ ซึ่งผลงานของเขาในเชิงวิทยาศาสตร์นั้นก็เป็นที่ประจักษ์ไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังหลายๆ ที่เป็นตำนานในบทเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์

เจ. ออพเพนไฮเมอร์ นั้นเป็นบุคคลสำคัญที่มีผลกระทบต่อจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์มนุษชาติ เพราะการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ที่เป็นผลงานเขาและทีมงาน กับเมืองฮิโรชิม่า และ นางาซากิ ของประเทศญี่ปุ่นนั้น มันเป็นเหตุการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของอาวุธที่จะสามารถทำลายล้างโลกของเราอย่างระเบิดนิวเคลียร์ไปตลอดกาลนั่นเองครับผม

Movie Review : Tick, Tick… BOOM! เรื่องราวของ Jonathan Larson ฉายแววในละครเพลงที่ขับขานจากใจ

เป็นอีกหนึ่งภาพยนต์ที่น่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียวสำหรับ Tick,Tick… BOOM! จาก Netflix ซึ่งชื่อเรื่องมาจากผลงานการประพันธ์เพลงและบทละครเรื่องสุดท้ายของ โจนาธาน ลาร์สัน ที่มีชื่อว่า “Rent” และได้ถูกนำมาพัฒนาต่อ จนกระทั่งกลายมาเป็นโชว์ชื่อดังที่ broadway ในอีก 6 ปีต่อมา หลังจากที่ โจนาธาน ได้เสียชีวิตไป

โดยโจนาธานเป็นผู้เขียนบทละครเวทีเรื่อง “Rent” ที่ได้รับรางวัลมากมาย อาทิ รางวัลโทนี่สาขาละครเพลงยอดเยี่ยมในปี 1996 “Rent” ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์สาขาดราม่าในปี 1996 ซึ่งถือเป็นรางวัลทรงเกียรติที่ละคร “Hamilton” ของลิน มานูเอลได้รับในปี 2016

มีละครเวทีสาขาดราม่าเพียง 9 เรื่องเท่านั้นที่ได้รับรางวัลนี้ แต่โจนาธานได้เสียชีวิตในคืนก่อนรอบการแสดงรอบปฐมทัศน์ที่ Off-Broadway มีการจัดแสดง “Rent” นานถึง 12 ปีในบรอดเวย์ ซึ่งถือว่าเป็นละครที่มีการแสดงยาวนานที่สุดติดอันดับที่ 11 ในประวัติศาสตร์บรอดเวย์

เรื่องนี้ได้ดาราระดับซุปเปอร์สตาร์และคว้ารางวัลมามากมาย ร่วมในการแสดง โจชัว เฮนรี่ (จาก “See”) จะมาร่วมแสดงในบท “โรเจอร์”  แบรดลีย์ วิทฟอร์ด ผู้คว้ารางวัลเอมมี่  (จาก “The Handmaid’s Tale” “Perfect Harmony”) รับบท “สตีเฟน ซอนด์ไฮม์” และ  จูดิธ ไลต์ ผู้คว้ารางวัลเอมมี่และรางวัลโทนี่ (จาก “นักกวนเมือง (The Politician)” “Transparent”) รับบท “โรซ่า สตีเว่น” 

โดยทั้งหมดจะแสดงร่วมกับ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในบท “จอน” อเล็กซานดร้า ชิปป์ ในบท “คาเรสซ่า” โรบิน เด เฮซุส ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี่สามสมัย ในบท “ไมเคิล” และวาเนสซา ฮัดเจนส์ ในบท “ซูซาน” 

Tick, Tick…BOOM!” เป็นเรื่องราวในปี 1990 ที่ติดตามชีวิตจอน พนักงานเสิร์ฟในนิวยอร์กที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักแต่งเพลง เขาได้แต่งละครเพลง “Superbia” โดยหวังว่าจะกลายเป็นละครเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกาและทำให้ตัวเองแจ้งเกิดได้

ในขณะเดียวกันก็รู้สึกกดดันจากซูซาน แฟนสาวที่เบื่อกับการต้องรอเพื่อให้อาชีพของจอนถึงฝั่งฝัน ส่วนไมเคิล เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมห้องของเขาก็ได้ละทิ้งความฝัน และได้หันไปทำงานในวงการโฆษณาที่จ่ายเงินอย่างงาม และมีความมั่นคงทางการเงินที่มากกว่าการฝันลม ๆ แล้ง ๆ อย่างที่จอนทำ

วันเกิดปีที่ 30 ใกล้เข้ามาแล้ว จอนยิ่งรู้สึกกังวลและเริ่มคิดทบทวนว่าการทำฝันให้เป็นจริงครั้งนี้จะคุ้มกับสิ่งที่เสียไปไหม

เรื่องนี้ได้ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ มารับบทเป็น โจนาธาน ลาร์สัน ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ของ การ์ฟิลด์เลยก็ว่าได้ ด้วยพรสวรรค์ทางด้านการแสดงของเขา และการสวมบทบาทได้อย่างยอดเยี่ยม เหมือนกับว่าเขาเป็น โจนาธาน ลาร์สัน ตัวจริง

เรื่องนี้ต้องบอกว่าลืมภาพเก่า ๆ ของ การ์ฟิลด์ไปได้เลย เป็นการรีดศักยภาพการแสดงของเขาออกมาได้อย่างสุดยอดมาก ๆ ทั้งร้องเพลง ทั้งร้องไห้ ทั้งผิดหวัง สมหวัง หรือแม่กระทั่งการแสดงแบบสุดโต่ง ซึ่งผมคิดว่าเป็นภาพยนต์ที่รีดเอาพลังการแสดงของเขาออกมาได้มากที่สุดเรื่องนึงเลยทีเดียว

มีการถ่ายทอดความสัมพันธ์ ทั้งระหว่างเพื่อนด้วยกัน รวมถึงแฟนสาวของจอนอย่างซูซาน ที่วาดฝันชีวิตในมหานครนิวยอร์กไว้อีกแบบ ซึ่งด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่บีบคั้นจอนเอง นั่นทำให้เขาต้องเลือกตัดสินใจทางเดินชีวิตว่าเขาจะทำตามควาฝันของเขาต่อไปหรือไม่

ต้องบอกว่าภาพยนต์เรื่องนี้มีหลากหลายประเด็นที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องของสภาพสังคมของอเมริกาในยุคนั้น ปัญหาเรื่องโรคร้ายที่ถูกมองว่าเป็นโรคที่น่ากลัวใครติดแล้วต้องเสียชีวิตอย่างโรคเอดส์ กับเรื่องของเพศสภาพ LGBTQ 

แต่ภาพใหญ่ที่ภาพยนต์ต้องการสื่อ ผมมองว่าเป็นเรื่องของการสร้างแรงบันดาลใจ ในการทำตามความฝันของ โจนาธาน แม้ว่าจะผ่านอุปสรรคมามากมายขนาดไหนก็ตามที

แต่จุดต่างที่ไม่เหมือนกับภาพยนต์สร้างแรงบันดาลใจเรื่องอื่น ๆ ก็คือการถ่ายทอดในรูปแบบของละครเพลง ซึ่งเพลงประกอบในหนัง tick, tick…BOOM! นำมาจากเวอร์ชั่นละครเวทีแทบจะทั้งหมด

ซึ่งแน่นอนว่าเป็นต้นฉบับที่ โจนาธาน ลาร์สัน ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมและมีความลงตัวเอามาก ๆ เมื่อนำมาใช้ถ่ายทอดผ่านตัวภาพยนต์ ก็กลายเป็นส่วนที่ส่งเสริมเนื้อหาและอารมณ์ของภาพยนต์ ในหลายๆ ฉากได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

ต้องบอกว่า Tick,Tick… BOOM! เป็นอีหนึ่งภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้ภาพยนต์ เรื่องดัง ๆ อีกหลายเรื่อง ตัวผมเองก็ไม่เคยรับรู้เรื่องราวของโจนาธานมาก่อน หรือ “Rent” ที่เขาเป็นคนแต่ง ซึ่งคิดว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะไม่เคยได้ยินเหมือนกัน

ซึ่งภาพยนต์เรื่องนี้ให้แง่คิดที่สำคัญที่ผมมองว่าชีวิตหลายคนน่าจะเคยประสบพบเจอกับเรื่องราวอะไรแบบนี้ ที่เราพยายามทำอะไรให้ประสบความสำเร็จซักอย่าง พยายามในทุกวิถีทาง แต่มันก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเสียที อาจจะท้อถอยไปก่อน แต่ภาพยนต์เรื่องนี้จะมาปลุกไฟคุณให้กลับมาสู้เพื่อเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ อีกครั้ง เหมือนที่ โจนาธาน ทำได้สำเร็จนั่นเองครับผม

Squid Game vs 13 เกมสยอง กับความเหมือนที่แตกต่าง สู่ Soft Power อันทรงพลังของประเทศเกาหลีใต้

ต้องบอกว่าเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่คล้ายกัน และมีพล็อตที่ดูคล้ายคลึงกันมาก ๆ สำหรับซีรีส์ชื่อดังที่กำลังเป็นกระแสในตอนนี้อย่าง Squid Game กับภาพยนต์ระดับตำนานเรื่องนึงของไทยที่ไปคว้ารางวัลมามากมายอย่าง 13 เกมสยอง ที่นำแสดงโดยกฤษฎา สุโกศล แคลปป์ และกำกับโดยคุณมะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล

เราได้เห็น message หลักที่ทั้งสองเรื่องต้องการสื่อ ไม่ว่าจะเป็น เกม เงินรางวัล ผู้เข้าร่วมเกมที่เป็นคนที่ต้องการเงินอย่างสิ้นหวัง แม้รายละเอียดปลีกย่อยจะมีความแตกต่างกันมาก แต่ผมมองว่ามันเป็นพล็อตที่คล้ายกันอย่างเหลือเชื่อ

ซึ่งหลังจากดู ซีรีส์ Squid Game จบ ผมเลยต้องกลับไปหาดู 13 เกมสยองอีกครั้ง ที่เป็นภาพยนต์ที่ได้รับรางวัลมากมาย ในปี 2006 และเป็นอีกหนึ่งภาพยนต์ไทยที่ผมชอบลำดับต้น ๆ เลยทีเดียว

ด้วยความเหมือนที่แตกต่าง ต้องบอกว่า รายละเอียดปลีกย่อย รวมถึงคุณภาพด้านโปรดักชั่น ที่เกาหลีสามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม จึงไม่แปลกใจว่าทำไมมันถึงได้ฮิต จนขนาดที่ว่าไปแย่งทราฟฟิกจากบริการอื่น ๆ ของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในประเทศเกาหลีใต้เลยทีเดียว

แถมตอนนี้มันกำลังกลายเป็นกระแสไปทั่วโลก ที่เรียกได้ว่าติดเทรนด์ซีรีส์ยอดฮิตในเกือบทุกประเทศเลยก็ว่าได้ กลายเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงของวงการบันเทิงเกาหลีใต้ หลังจากก่อนหน้านี้ที่ภาพยนต์อย่าง Parasite ที่ได้รับรางวัลออสการ์ในปี 2020 มาแล้ว

ภาพยนตร์ Parasite ที่ประกาศศักดาคว้ารางวัลใหญ่ในเวทีออสการ์มาแล้ว (CR:bloomberg)
ภาพยนตร์ Parasite ที่ประกาศศักดาคว้ารางวัลใหญ่ในเวทีออสการ์มาแล้ว (CR:bloomberg)

Soft Power อันทรงพลังของประเทศเกาหลีใต้

ต้องบอกว่าก่อนหน้าที่วงการภาพยนต์ หรือ ซีรีส์จะโด่งดัง เกาหลีก็ได้ส่งวัฒนธรรม K-pop ที่ปรกติจะบุกไปทั่วเอเชีย แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แค่เพียง เอเชีย อีกต่อไป เพราะวัฒนธรรมนี้ มันได้บุกไปถึง อเมริกา และ ยุโรป ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องธรรมดาจริง ๆ สำหรับการดังขึ้นมาเปรี้ยงปร้างอย่างรวดเร็วของวงการบันเทิงเกาหลี ที่กลายเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่มูลค่ามหาศาลครอบคลุมไปทั่วโลก

แรกเริ่มเดิมทีนั้น วัฒนธรรมทางด้านเพลงของเกาหลี ก็ถูกกำหนดโดยรัฐบาล ซึ่งในยุคนั้นรัฐบาลยังควบคุมระบบการออกอากาศแทบจะทั้งหมดของทุกสื่อในประเทศ

มันไม่มีทีท่า ว่าเกาหลีจะพัฒนาวัฒนธรรมด้านบันเทิงหรือ K-Pop มาได้ไกลถึงเพียงนี้ ถ้ามองย้อนกลับไปในช่วงนั้น เป็นเรื่องยากที่จะเกิดวัฒนธรรมใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่การปรากฏตัวของ Seo Taiji &Boys ทางทีวี ในฤดูใบไม้ผลิปี 1992

มันได้กลายเป็นช่วงเวลาสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ความเจริญทางวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ มันคือสิ่งที่มีโอกาสเป็นไปได้ มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง กับกรอบความคิดเดิม ของวัฒนธรรมดนตรีของเกาหลี และที่สำคัญมันยังเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทั้งหมดของเกาหลีขึ้นมาใหม่ด้วย

รัฐบาลเกาหลีได้เริ่มมองเห็นว่า วัฒนธรรม อาจเป็นสินค้าส่งออกที่ยิ่งใหญ่ลำดับถัดไปของประเทศได้ มีการปรับแก้ไขกฏหมายเพื่อสนับสนุนผลงานด้านดนตรีและศิลปะ โดยจะเป็นการสละเงินงบประมาณ อย่างน้อย 1% ให้กับอุตสาหกรรมวัฒนธรรมนี้

รัฐบาลเกาหลีที่ให้ความสำคัญกับพลังของ Soft Power (CR:overseas.mofa.go.kr)
รัฐบาลเกาหลีที่ให้ความสำคัญกับพลังของ Soft Power (CR:overseas.mofa.go.kr)

และตอนนี้พลังของ Soft Power ของเกาหลีใต้นั้น มันกำลังแพร่กระจายไปยังคอนเท้นต์อื่น ๆ ทั้งภาพยนต์ หรือ ซีรีส์ เรียกได้ว่าครอบคลุมวงการบันเทิงแทบจะทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจ ก็คือ Netflix ได้กล่าวว่า ธุรกิจของพวกเขาได้เพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจของประเทศเกาหลีใต้ถึง 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และการจ้างงานจำนวนมหาศาลในอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้

ความบันเทิงเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดของเกาหลีควบคู่ไปกับเทคโนโลยี จำนวนคนงานในบริการสร้างสรรค์และศิลปะเพิ่มขึ้น 27% ระหว่างปี 2009 ถึง 2019

ขณะที่ในภาคการผลิต ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนดั้งเดิมสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้น 20% ในช่วงเวลาเดียวกัน ตามข้อมูลจากเว็บไซต์สถิติของเกาหลี ในรายงานเมื่อเดือนที่แล้ว Netflix กล่าวว่าได้ช่วยสร้างงานเต็มเวลา 16,000 ตำแหน่งในเกาหลีตั้งแต่ปี 2016

อุตสาหกรรมด้านคอนเทนต์ของเกาหลีมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับภาคการผลิตที่มีขนาดใหญ่มหึมา แต่ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การส่งออกคอนเทนต์มีมูลค่ารวม 10.8 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว หรือราว 1 ใน 10 ของธุรกิจชิป ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของเกาหลี แต่มีรายได้มากกว่าสินค้าส่งออกที่สำคัญอื่นๆ เช่น เครื่องใช้ในครัวเรือนและเครื่องสำอาง

มูลค่าการส่งออกความบันเทิงของเกาหลี ซึ่งรวมถึงสิ่งพิมพ์ เกม เพลง ภาพยนตร์ และรายการทีวี เพิ่มขึ้น 6.3% ในปีที่แล้ว แม้ในขณะที่การจัดส่งสินค้าโดยรวมลดลง 5.4% เนื่องจากการระบาดใหญ่

แม้แต่สินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้องกับกระแสเกาหลีที่เรียกว่า เช่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า และอาหาร ก็เพิ่มขึ้น 5.5% ในปีที่แล้ว ตามรายงานของมูลนิธิเพื่อการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศแห่งเกาหลี 

บทสรุป

ส่วนตัวผมก็มองว่าพลัง Soft Power ของประเทศไทยเราเอง ก็มีศักยภาพที่จะเติบโตอีกมาก ผมเคยดูในช่อง youtube ที่นำเสนอดาราของประเทศเรา เมื่อไปออกงานต่าง ๆ ในภูมิภาคของเรา โดยเฉพาะในอาเซียน ก็พบว่า กระแสดความนิยมของดาราไทย หรือ คอนเทนต์จากไทย ก็แรงไม่แพ้กัน

หรือแม้กระทั่งในประเทศจีนเอง ก็มีความสนใจในคอนเทนต์จากประเทศไทยอยู่มาก แม้จะไม่เท่าเกาหลีใต้ก็ตามที แต่ก็เป็นโอกาสใหญ่มาก ๆ ของประเทศเราเหมือนกัน หากมีการผลักดันให้เกิดขึ้นแบบบูรณาการเหมือนที่เกาหลีใต้ทำสำเร็จ

หากภาครัฐมีความจริงจัง และสนับสนุนอย่างเป็นระบบเหมือนที่เกาหลีใต้ทำ และเจียดเม็ดเงินมาสนับสนุน ตามสัดส่วน GDP ที่เหมาะสม ในอนาคตเราอาจจะไม่ต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลักเหมือนในทุกวันนี้ ซึ่งเมื่อเจอโรคระบาด ก็ได้เกิดเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจในประเทศ

ส่วนตัวผมเองก็มองว่าประเทศเราก็มีดีพอ ไม่แพ้ชาติใดนะครับ สำหรับเรื่องพลังของ Soft Power และยังมีโอกาสและตลาดใหญ่ ๆ อีกมากสำหรับคอนเทนต์จากประเทศไทยที่จะเติบโตได้ แล้วคุณล่ะคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ อย่าลืมมาแสดงความคิดเห็นกันนะครับผม

References : https://www.bloombergquint.com/pursuits/k-pop-to-squid-game-lift-korean-soft-power-and-the-economy