เบื่อรถติด! สหรัฐเตรียมเข้าสู่ยุคยานพาหนะบินได้

Skai ยานพาหนะบินได้โดยใช้ไฟฟ้าตัวแรก ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานของผู้โดยสารและขับเคลื่อนโดยเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน ซึ่งมีผู้ผลิตคือ Alaka’i Technologies บริษัท ออกแบบและผลิตพาหนะด้านอวกาศที่มีสำนักงานใหญ่ในเมือง Hopkinton รัฐแมสซาชูเซตส์ 

ทีมผู้บริหารของ บริษัท ได้ทำงานร่วมกันในด้านการบินและอวกาศตั้งแต่ปี 1990 และมีผลงานที่น่าประทับใจจากองค์กรต่าง ๆ เช่น NASA, Raytheon, Hughes และ heavyweights รวมถึงองค์การด้านการบินอื่น ๆ ปรัชญาการก่อตั้งของ 
Alaka’i Technologies คือการสร้าง “โซลูชั่นการเคลื่อนที่บนอากาศเพื่อนำเสนอการขนส่งแบบ A-to-Anywhere ที่เรียบง่ายปลอดภัยและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน”

ซึ่งนำเราไปสู่โดรนพลังงานไฮโดรเจนยักษ์ ที่คุณสามารถนั่งกับเพื่อนสนิทของคุณสี่คน เครื่องบินหกใบพัดที่ Alaka’i เปิดตัวใน LA ที่งาน BMW Designworks ในสัปดาห์นี้

พาหนะบินได้ แก้ปัญหารถติดในอนาคต
พาหนะบินได้ แก้ปัญหารถติดในอนาคต

โดยจะสามารถรองรับการขนส่งได้ถึง 1,000 ปอนด์และความเร็วที่สูงถึง 118 ไมล์ต่อชั่วโมงตามการบินขึ้นในแนวตั้ง  ซึ่ง Alaka’i มองว่า Skai เป็นยานยนต์ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อยที่สุด ระบบสามารถขับบนเครื่องบินหรือจากพื้นดินหรือสามารถบินได้ด้วยตนเองแบบอัตโนมัติ

ซึ่งการขับเคลื่อนไปด้วยพลังงานไฮโดรเจนนั้นยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  แต่ถึงกระนั้นเทคโนโลยียังช้าเกินไปที่จะใช้ในยานพาหนะภาคพื้นดิน 

ปัญหาที่เร่งด่วนมากก็คือ FAA clearance ซึ่งเป็นข้อกำหนดในเรื่องความปลอดภัย ซึ่ง Alaka’i ยังไม่มี  ซึ่งเป็นส่วนที่รวมถึง คุณสมบัติด้านความปลอดภัยของตัวเครื่อง รวมถึงร่มชูชีพ และการป้องกันแม่เหล็กไฟฟ้าและฟ้าผ่าสำหรับการควบคุมให้มีความปลอดภัยสูงสุด 

ซึ่งสิ่งที่ท้าทายที่สุดของ Skai น่าจะเป็นเรื่องการผลิตให้ทันเวลา ซึ่งบริษัท เชื่อว่าจะได้รับการอนุมัติ FAA ทันทีในปี 2020 และจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ภายในไม่ช้าหลังจากนั้นซึ่งในตลาดนี้ก็ยังมีคู่แข่งอย่าง  Lilium และ Bell สำหรับราคาสำหรับยานพาหนะการบินจะอยู่ที่ประมาณ 200,000 ดอลลาร์ ซึ่งราคาที่ลดต่ำลงจนสามารถจับต้องได้นี้ ก็มาจากต้นทุนฮาร์ดแวร์ที่ลดลงไปตามกาลเวลานั่นเอง

ซึ่งดูจากเทรนด์ในตอนนี้แล้วนั้น เราจะพบว่า โลกกำลังจะเข้าสู่ยุคของยานพาหนะบินได้ เหมือนจินตนาการที่เกิดขึ้นในหนัง Hollywood ซึ่งจากเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทำให้เราอาจจะได้เห็นยานพาหนะบินได้จริง ๆ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ก็เป็นได้

References : 
https://www.zdnet.com/article/hydrogen-powered-air-taxi-yup-its-real/

0-100 ใน 2.5 วิ กับ รถยนต์ Hybrid ตัวแรกของ Ferrari

เฟอร์รารีได้ประกาศรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเป็นครั้งแรกในรุ่น SF90 Stradale นอกเหนือจากเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบ ซึ่ง บริษัท อ้างว่ามีกำลังสูงสุด 8 สูบ ถือเป็นประวัติศาสตร์ใหม่ของรถที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมดสามตัว (สองตัวที่แกนหน้าและอีกตัวที่อยู่ด้านหลัง) เมื่อรวมกันแล้วเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์จะผลิตแรงม้า 985 แรงม้า ทำให้รถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 2.5 วินาทีและสามารถทำความเร็วสูงสุด 340 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

แต่หากคุณต้องการควบคุมรถในโหมด eDrive ด้วยระบบไฟฟ้าทั้งหมด คุณอาจผิดหวังเล็กน้อยเพราะสามารถใช้งานได้ในระยะทางสูงสุด 24 กิโลเมตรเพียงเท่านั้น แต่นั่นอาจจะเพียงพอสำหรับการเดินทางไปที่ร้านค้า หรือการเดินทางสั้น ๆ

แต่การเดินทางด้วยเฟอร์รารี่ที่คุณอุตส่าห์ซื้อมานั้นระยะทาง 24 กิโลเมตรนั้นจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว: โดย Ferrari ประกาศว่า SF90 Stradale สามารถทำความเร็วได้สูงสุดที่ 135 กิโลเมตรต่อชั่วโมงหากไม่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยเครื่องยนต์นี้จะปิดโดยอัตโนมัติเมื่อคุณถอยหลังหมายความว่าภายในกระปุกเกียร์ของรถไม่จำเป็นต้องมีเกียร์ถอยหลังอีกต่อไป

ภายในรถมีหน้าจอโค้ง HD ขนาด 16 นิ้วด้านหลังพวงมาลัยซึ่งสามารถควบคุมได้ทั้งหมดโดยใช้ทัชแพดและปุ่มแฮบติคบนพวงมาลัย คุณจะสามารถใช้การควบคุมเหล่านี้เพื่อสลับโหมดเครื่องยนต์สี่แบบที่แตกต่างกันของรถ  ซึ่งมีความสมดุลของความเร็วแบตเตอรี่และการใช้เชื้อเพลิงที่แตกต่างกัน

เฟอร์รารียังไม่ได้ประกาศราคาสำหรับ SF90 Stradale แต่การเข้าสู่วงการรถยนต์ไฟฟ้านั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกยานยนต์ในขณะนี้ ที่หลาย ๆ ประเทศรวมถึงสหราชอาณาจักรและจีนได้ประกาศแผนการห้ามขายรถยนต์เบนซินและดีเซลในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้านั่นเอง 

References : 
https://www.theverge.com/2019/5/30/18645508/ferrari-sf90-stradale-plug-in-hybrid-electric-car-range-specs-features

สุดยอดนวัตกรรม Apple ปีนี้อยู่ที่ Cardiogram

Electrocardiogram หรือในศัพท์ทางการแพทย์จริง ๆ ก็คือ การวัด ECG ที่เราใช้ตรวจคลื่นหัวใจเพื่อวัดความผิดปรกติของหัวใจ ซึ่งต้องบอกว่า มีผู้คนมากมาย ในโลกนี้ ต้องจบชีวิต ไปอย่างฉับพลัน ด้วยโรคหัวใจ

บางคนต้องเสียหัวหน้าครอบครัว สูญเสียคนที่ตัวเองรัก ไปแบบฉับพลัน จากโรคหัวใจ ซึ่งต้องบอกว่าจากความเปลี่ยนแปลงของโลกเราในยุคปัจจุบัน ทั้งเรื่องรูปแบบการกิน รวมถึง รูปแบบการใช้ชีวิต ทำให้คนในรุ่นใหม่ ๆ มีความเสี่ยงกับเรื่องโรคหัวใจมากยิ่งขึ้น

การที่ apple เข้ามาเจาะในตลาด Healthcare อย่างเต็มตัว รวมถึงการเพิ่มความสามารถในส่วนการวัดค่า ECG ได้  ต้องบอกว่า เป็น Features ที่ปฏิวัติ วงการเลยก็ว่าได้ ให้คนทั่วไปสามารถ คอยมอนิเตอร์ การเปลี่ยนแปลงของคลื่นหัวใจได้ และการทำงานร่วมกับ Apple Watch ก็สามารถทำให้ส่งสัญญาณเตือนให้กับผู้ใช้ได้ โดยหากยิ่งเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจอยู่แล้ว ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจได้อย่างมาก

Cardiogram จะอนุญาตให้ผู้ใช้เริ่มบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจของพวกเขาใน Apple Watch เป็นการโหมโรงอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ WWDC จะเริ่มขึ้นในวันที่ 3 มิถุนายน ปีนี้ ซึ่งเซ็นเซอร์อัตราการเต้นหัวใจของ Apple Watch ข้อมูลที่ได้จะถูกแชร์นาทีต่อนาทีกับ บริษัท ซึ่งหมายความว่าจะรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้รายอื่นด้วย

งาน WWDC ปีนี้ จะมี Features ใหม่ ๆ จาก Apple Watch ในเรื่องข้อมูลสุขภาพ
งาน WWDC ปีนี้ จะมี Features ใหม่ ๆ จาก Apple Watch ในเรื่องข้อมูลสุขภาพ

คุณสมบัติใหม่ที่ Cardiogram จะเพิ่มขึ้นคือการตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจในเชิงลึก ซึ่งก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคมได้เปิดตัว บริการระดับพรีเมี่ยม ที่เปิดตัว Family Mode เพื่อแบ่งปันตัวชี้วัดสุขภาพระหว่างบุคคล และเพิ่มความสามารถในการแบ่งปันข้อมูลให้กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  

ซึ่งในงาน WWDC ปีนี้นั้น คิดว่า apple คงได้ทำการทดสอบมาอย่างดีแล้วหลังจากการเปิดตัวไปในปีที่ผ่านมา และทีสำคัญ ได้รับการรับรองจาก FDA ของสหรัฐอเมริกา เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย ซึ่งคิดว่า และแน่นอนว่านี่ถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญที่จะทำให้ apple เติบโตไปอีกก้าวอย่างแน่นอน ไม่ได้พึ่งเพียงแค่ผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Iphone เหมือนเดิมอีกต่อไป

References : 
https://appleinsider.com/articles/19/05/30/cardiogram-judging-most-exciting-wwdc-keynote-moments-by-monitoring-apple-watch-heart-rates

ช่างเตรียมตกงาน! หุ่นยนต์ดูแลรถไฟจีนพร้อมใช้งานแล้ว

รถไฟความเร็วสูง 350 กิโลเมตร / ชั่วโมงของจีนกำลังเปลี่ยนวิธีการเดินทางของชาวจีนอย่างรวดเร็ว แต่เพื่อรักษาให้เหล่ารถไฟความเร็วสูงมีความปลอดภัยและมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับการเดินทางของผู้คนหลายพันคน

ก็ต้องมีการทำงานอย่างหนักเพื่อบำรุงรักษารถไฟความเร็วสูงเหล่านี้ และด้วยเทคโนโลยีด้านหุ่นยต์ที่ก้าวหน้ามากขึ้นในปัจจุบันนั้น ทำให้มีการเปิดตัวหุ่นยนต์มากขึ้นในการปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระหว่างการบำรุงรักษารถไฟ  

ที่ Shanghai Bullet Train Depot หุ่นยนต์สองตัวได้ถูกใช้งานอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤษภาคมมันเป็นสถานีรถไฟแห่งแรกที่ใช้หุ่นยนต์ในการบำรุงรักษารถไฟ หุ่นยนต์ช่วยให้มนุษย์ทำงานน้อยลงได้เยอะมาก ในงานที่เป็น Routine รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงดูแลรักษาได้อย่างดีเยี่ยม

หุ่นยนต์จะใช้สแกนเนอร์เพื่อตรวจสอบว่าจำเป็นต้องแก้ไขส่วนใด ๆ  หลังจากตรวจสอบชนิดและระดับของข้อบกพร่องได้แล้วนั้น พวกมันจะแจ้งให้ระบบทราบโดยอัตโนมัติ กระบวนการทั้งหมดพร้อมกับเทคโนโลยีหุ่นยนต์แขนสองข้าง ร่วมด้วยเทคโนโลยี Computer Vision และเทคโนโลยี Image Recognition ทำให้มันสามารถดำเนินการตรวจสอบข้อบกพร่องด้วยตนเอง เพื่อแก้ไขปัญหาและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดซึ่งนั่นรวมถึง “ข้อผิดพลาดของมนุษย์” ที่ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากความเหนื่อยล้า

ซึ่งในงานดังกล่าวนั้นก่อนหน้านี้ต้องใช้คนแปดคนและใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่งในการสรุปงานซ่อมบำรุงบนรถไฟเพียงแค่ขบวนเดียว ด้วยความช่วยเหลือของหุ่นยนต์ ซึ่งช่วยลดคนงานโดยใช้เพียงสี่คน และใช้เวลาภายใน 70 นาที เพียงเท่านั้น

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหุ่นยนต์จะเข้ามาแทนที่กำลังคน?  ช่างเทคนิคที่มีความชำนาญจะต้องตรวจสอบงานที่ทำโดยหุ่นยนต์ อีกครั้งหนึ่ง

“ฉันเคยทำสิ่งที่หุ่นยนต์ทำอยู่ตอนนี้ ฉันรู้สึกผ่อนคลายจากการทำงานหนักในรูปแบบเดิม ๆ เพื่อตรวจสอบรถไฟ” กวงเหยา หนึ่งในพนักงานบอกกับ CGTN “ตอนนี้ส่วนใหญ่ฉันสามารถแก้ไขบนคอมพิวเตอร์ของฉันซึ่งทำให้การตรวจสอบของฉันทำงานได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น”

หุ่นยนต์ มาช่วยเหลืองานซ้ำ ๆ ของเหล่าพนักงานเทคนิค
หุ่นยนต์ มาช่วยเหลืองานซ้ำ ๆ ของเหล่าพนักงานเทคนิค

ในขณะที่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI สามารถที่จะรองรับงานที่หนักกว่าและช่วยให้พนักงานมนุษย์ปรับตัวเข้ากับบทบาทใหม่ของพวกเขา ซึ่งยังคงมีงานอีกหลายอย่างที่ต่อไปสถานีรถไฟจะสามารถดำเนินการบำรุงรักษา AI ได้อย่างเต็มที่

“หุ่นยนต์ถูกนำมาใช้สำหรับการทดสอบตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2561 เราได้เห็นอะไรถึงการลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจนถึงขณะนี้” แพนเหว่ย ผู้อำนวยการการประชุมเชิงปฏิบัติการกล่าวกับ CGTN “หากราคาสามารถลดลงได้และความแม่นยำและประสิทธิภาพทางเทคนิคเพิ่มขึ้นจริง ก็จะทำให้ง่ายขึ้นสำหรับรถไฟความเร็วสูงที่จะใช้งานเทคโนโลยี AI กันมากขึ้น” 

จากข้อมูลของ แพนเหว่ย คลังรถไฟเซี่ยงไฮ้  จะจ้างหุ่นยนต์เพิ่มอีกสี่ตัวในขณะที่หุ่นยนต์สองตัวจะถูกใช้งานที่ Nanjing Train Train Depot ในปีนี้

References : 
https://news.cgtn.com/news/3d3d414e3049544f34457a6333566d54/index.html

เมื่อเทคโนโลยี Augmented Reality กำลังเข้าสู่ห้องผ่าตัด

Augmented  Reality กำลังมาถึงในห้องผ่าตัดเร็วกว่าที่ใคร ๆคาดการณ์ไว้ โดยบริษัท Medivis ซึ่งเปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์ SurgicalAR ช่วยในการนำทางผ่าตัดเมื่อต้นปี ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ และจะเริ่มให้บริการในโรงพยาบาลทั่วประเทศ

แพลตฟอร์ม SurgicalAR เป็นเครื่องมือสร้างภาพข้อมูลที่เป็นแนวทางในการนำทางผ่าตัดโดยใช้เทคโนโลยี Augmented Reality ซึ่ง บริษัทอ้างว่าสามารถลดภาวะแทรกซ้อนและปรับปรุงผลลัพธ์ของผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงช่วยในการลดต้นทุนของการผ่าตัด

บริษัท ที่ตั้งอยู่ในนิวยอร์กซึ่งก่อตั้งโดย Osamah Choudhry และ Christopher Morley  ซึ่งระดมทุนได้ 2.3 ล้านเหรียญที่นำการลงทุนโดย  Initialized Capital และได้รับความร่วมมือกับ Dell และ Microsoft ในการช่วยจัดหาในส่วนของฮาร์ดแวร์

เมื่อเทคโนโลยี Augmented Reality กำลังเข้าสู่ห้องผ่าตัด
เมื่อเทคโนโลยี Augmented Reality กำลังเข้าสู่ห้องผ่าตัด

Osamah Choudhry ศัลยแพทย์ระบบประสาทที่ได้รับการฝึกฝนซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้บริหารของ Medivis กล่าวว่า “ โลกแห่งการผ่าตัดยังคงพึ่งพาเทคโนโลยีการถ่ายภาพสองมิติเป็นหลักเพื่อทำความเข้าใจและดำเนินการกับพยาธิสภาพของผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนสูง Medivis แนะนำความก้าวหน้าในการสร้างภาพโฮโลแกรมและการนำทางไปสู่การผ่าตัดโดยการผ่าตัดขั้นพื้นฐานและปฏิวัติรูปแบบในการช่วยศัลยแพทย์ในการผ่าตัดเพื่อให้ปลอดภัยกับผู้ป่วย”

นอกเหนือจากการเป็นพันธมิตรด้านฮาร์ดแวร์กับ Microsoft แล้วนั้น  Medivis ยังมี Verizon (กลุ่มสื่อที่เป็นเจ้าของ TechCrunch) ในฐานะหุ้นส่วนสำหรับอีกหุ้นส่วนหนึ่ง

บริษัท ยังได้เปิดตัวชุดเครื่องมือสำหรับการฝึกอบรมด้านการศึกษาในความเป็นจริง เช่นแพลตฟอร์ม AnatomyX ที่ใช้สำหรับการฝึกอบรมทางการแพทย์มีให้บริการในอุปกรณ์ทั้ง Hololens และ Magic Leap และเริ่มมีการใช้งานแล้วที่ West Coast University

Medivis เป็นหนึ่งในหลาย ๆ บริษัท ที่ต้องการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AR และ VR มาสู่ ห้องผ่าตัด

ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้มีอะไรที่เหมือนกันและเหตุผลที่ Verizon ได้เป็นพันธมิตรกับ บริษัท อย่าง Medivis นั้น ก็คือแบนด์วิดธ์จำนวนมหาศาลจากเครือข่าย 5G ของ Verizon ที่จะต้องใช้เพื่อให้วิสัยทัศน์ของพวกเขาในอนาคตเป็นจริงได้สำเร็จ

References : 
https://techcrunch.com/2019/05/30/medivis-gets-fda-approval-for-its-augmented-reality-surgical-planning-toolkit/