10 ปีผ่านไป ฉันยังสงสัยว่าฉันคิดผิดหรือเปล่าที่ให้สมาร์ทโฟนกับลูกสาว

เมื่อเวลาเป็นสิ่งที่ย้อนกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ ก็ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีกับการเติบโตของเด็ก ๆ ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเหล่าผู้ปกครองว่าควรที่จะมอบสมาร์ทโฟนแก่ลูก ๆ ดีหรือไม่

มันมีข้ออ้างมากมายว่าเด็ก ๆ ควรจะได้รับสมาร์ทโฟน เพราะพวกเขาจะกลายเป็นคนนอกสังคมที่ไม่มีโทรศัพท์ใช้ เพราะคนอื่น ๆ ต่างมีโทรศัพท์

ผู้ปกครองหลายคนก็คิดว่าโทรศัพท์เป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย ทำให้เด็กที่เกิดปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้าสามารถที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้ปกครองได้

กลุ่มที่มีชื่อว่า Sapien Labs ซึ่งมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิตของเด็ก ได้สำรวจความคิดเห็นจากผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-24 ปี เกือบ 28,000 คน

Sapien ซึ่งได้ทำการวิจัยกับกลุ่มคน Gen Z อธิบายว่าคนกลุ่มนี้เป็น “กลุ่มคนรุ่นแรกที่ผ่านวัยรุ่นด้วยเทคโนโลยีนี้”

ไม่แปลกใจเลยที่การวิจัยของกลุ่มดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสภาพจิตใจของคน Gen Z นั้นแย่กว่าคนรุ่นก่อน ๆ

สุขภาพจิตของวัยรุ่นแย่ลงอย่างมากในทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่สมาร์ทโฟนกลายเป็นกระแสหลัก และปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ปัญหาดังกล่าวรุนแรงขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ Sapien ติดตามช่วงอายุผู้ที่ตอบแบบสอบถามในการมีโทรศัพท์มือถือเป็นครั้้งแรกและเปรียบเทียบสิ่งนี้กับผลสุขภาพจิตที่รายงานออกมา

มันแสดงให้เห็นรูปแบบที่ชัดเจน เด็กที่รับโทรศัพท์ตั้งแต่อายุยังน้อยมีสุขภาพจิตที่แย่ลง โดยสัดส่วนของเด็กผู้หญิงที่ประสบปัญหาด้านสุขภาพจิตมีตั้งแต่ 74% สำหรับผู้ที่ได้รับสมาร์ทโฟนเครื่องแรกเมื่ออายุ 6 ขวบ จนถึง 46% ของผู้ที่ได้รับสมาร์ทโฟนเมื่ออายุ 18 ปี ส่วนของเด็กผู้ชายนั้นตัวเลขอยู่ที่ 42% และ 36% ตามลำดับ

รูปแบบดังกล่าวมีความสำคัญอย่างหนึ่งในประเภทของสุขภาพจิตที่เรียกว่า “ตัวตนทางสังคม (social self)” ซึ่งจะติดตามว่าเรามองตนเองอย่างไรและเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอย่างไร

Sapien ระบุว่ารูปแบบดังกล่าวนี้ไม่เพียงแต่มีแนวโน้มในการเสพติดการใช้เทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ลดลงด้วย

จากสถิติการใช้เวลา 5-8 ชั่วโมงต่อวันทางออนไลน์ในช่วงวัยเด็ก มีการคาดการณ์ว่าสิ่งนี้อาจแทนที่จำนวนชั่วโมงมากถึง 1,000 – 2,000 ชั่วโมงต่อปี แทนที่จะใช้เวลาไปปฏิสัมพันธ์ทางสังคมแบบเห็นหน้ากันกับผู้อื่นในสังคม

ก่อนที่เราจะพิจารณาผลกระทบอื่น ๆ ของเทคโนโลยี ตั้งแต่เรื่องของเนื้อหาที่เด็กสามารถดูได้ทางออนไลน์ ไปจนถึงการกลั่นแกล้งบนอินเทอร์เน็ต และความกดดันที่ต้องโต้ตอบกับโซเชียลมีเดียตลอดเวลา

Jonathan Haidt ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าวว่า “โทรศัพท์โดยตัวมันเองนั้นไม่ได้เป็นอันตราย แต่สามารถโฟนที่เต็มไปด้วยแอปเปรียบดั่งคำสาปของซาตาน”

Jonathan Haidt ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (CR:The Chronicle of Higher Education)
Jonathan Haidt ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (CR:The Chronicle of Higher Education)

เมื่อเด็กมีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเองและใช้งานได้ตามต้องการ พวกเขาจะประสบปัญหาร้ายแรงเกี่ยวกับการอดนอนและการเสพติดไปกับมัน

ทางออกคืออะไร?

ในปัจจุบันมีความคืบหน้าเกี่ยวกับเนื้อหาจากบริษัทด้านเทคโนโลยีที่เผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการควบคุมเนื้อหาบางอย่าง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ Youtube ได้ร่วมมือกับสมาคมโรคการกินผิดปรกติแห่งชาติของอเมริกาเพื่อจำกัดเนื้อหาที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้มีอิทธิพลทางโซเชียลมีเดียรุ่นใหม่ เช่น Linda Sun และ Natacha Oceane ส่งเสริมทัศนคติเชิงบวกต่อร่างกายและรณรงค์ต่อต้านในเรื่องการทรมานตัวเองด้วยการอดอาหาร

Linda Sun Youtuber คนดังต้องช่วยให้ข้อมูลที่ถูกต้อง (CR:Youtube)
Linda Sun Youtuber คนดังต้องช่วยให้ข้อมูลที่ถูกต้อง (CR:Youtube)

แต่ก็ยังมีการถกเถียงเกี่ยวกับคำถามที่ว่า เราควรห้ามเด็กเล็กไม่ให้ใช้สมาร์ทโฟนหรือไม่? หรืออย่างน้อยก็ระงับอุปกรณ์ที่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต

แต่ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องยากมาก ๆ สำหรับเหล่าผู้ปกครองหรือโรงเรียนในยุคปัจจุบันที่จะควบคุมหรือจำกัดการใช้โทรศัพท์มือถือ

ในขณะที่มีความเห็นว่าโรงเรียนควรขอให้เด็ก ๆ ทิ้งโทรศัพท์ไว้ในล็อกเกอร์ขณะอยู่ในชั้นเรียน แต่ผู้ปกครองอาจคัดค้านเนื่องจากพวกเขาต่างกังวลว่าจะติดต่อลูก ๆ ไม่ได้หากเกิดอะไรขึ้น เช่น การกราดยิงในโรงเรียน

มีสัญญาณแห่งความเล็ก ๆ ได้เกิดขึ้นในรัฐเท็กซัส มีการเคลื่อนไหวให้กำหนดว่าเด็ก ๆ ควรจะรอจนกว่าจะถึงเกรด 8 ถึงจะใช้อุปกรณ์เหล่านี้ได้ โดยมีครอบครัวมากกว่า 45,000 คนที่ลงทะเบียนสนับสนุน

แน่นอนว่าหากใครมีลูกเล็ก ๆ ก็ต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการต่อสู้ในเรื่องนี้ในอนาคตข้างหน้า เพราะอย่าไปหวังพึ่งเหล่าผู้ประกอบการหิวเงินที่คิดจะประดิษฐ์โทรศัพท์มือถือโง่ๆ ที่ปราศจากสิ่งล่อใจจากอินเทอร์เน็ต เพราะเด็กคือกลุ่มเป้าหมายหลักเป้าหมายแรกที่พวกเขาต้องการที่จะล่อลวงมาเสพติดเทคโนโลยีเหล่านี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.ft.com/content/da7bd5c6-1d29-4c40-8578-05966b84346b
https://www.todaysparent.com/family/parenting/yes-your-smartphone-habit-is-affecting-your-kid-heres-how/
https://www.nytimes.com/2016/07/21/technology/personaltech/whats-the-right-age-to-give-a-child-a-smartphone.html
https://www.theatlantic.com/family/archive/2019/09/i-wont-buy-my-teenagers-smartphones/597805/

ไฮเออร์เปิดตัวภาพยนตร์ไวรัลในคอนเซ็ปต์ Inspire Future Dreams ทีมเทคโนโลยีที่พาชีวิตเราไปให้สุด ดึง บอย-ปอป้อ นำเสนอเทคโนโลยีเครื่องใช้ไฟฟ้าสุดล้ำ

ไฮเออร์เปิดตัวภาพยนตร์ไวรัลชุดใหม่ในคอนเซ็ปต์ Inspire Future Dreams ทีมเทคโนโลยีที่พาชีวิตเราไปให้สุด ชูจุดเด่นด้านเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า นำแสดงโดย บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ และ ปอป้อ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย แบรนด์แอมบาสเดอร์ ไฮเออร์ (ประเทศไทย) ตอกย้ำกลยุทธ์สปอร์ตมาร์เก็ตติ้งของไฮเออร์ในปีนี้ 

ภาพยนตร์ชุดใหม่นี้ นำเสนอภายใต้คอนเซ็ปต์ Inspire Future Dreams ทีมเทคโนโลยีที่พาชีวิตเราไปให้สุด  เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่หยุดที่จะคิดค้นและพัฒนาผลิตภันฑ์พร้อมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่อยู่เสมอ โดยมี บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ พระเอกหนุ่มมากความสามารถ ผู้ครองตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์เป็นปีที่ 5 และ ปอป้อ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย นักกีฬาแบดมินตันดีกรีแชมป์โลก ประเภทคู่ผสม นำแสดงภาพยนตร์ไวรัลชุดนี้ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ ไฮเออร์ (ประเทศไทย) โดยมีกำหนดออกอากาศวันที่ 14 มีนาคม 2566

“ภาพยนตร์ชุดนี้มาพร้อมแนวคิดที่ว่า ไฮเออร์พร้อมที่จะสนับสนุนให้ผู้คนก้าวไปสู้เป้าหมายอย่างไม่ยอมแพ้ เพราะทุกความสำเร็จล้วนแล้วแต่มีทีมเวิร์กอยู่เบื้องหลังเสมอ โดยเราได้คุณบอย ปกรณ์ และคุณปอป้อ ทรัพย์สิรี เข้ามาเสริมภาพลักษณ์ความเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ใส่ใจเลือกนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เหมาะกับตนเอง

ไฮเออร์ขอเป็นอีกหนึ่งทีมเวิร์กที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้มีเพียงแค่ดีไซน์สวย แต่ยังอำนวยความสะดวกด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากขึ้น” มร.จาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว

ไฮเออร์ ภูมิใจนำเสนอนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ประกอบด้วย เครื่องปรับอากาศรุ่น UV Cool Smart New Generation 2023 มาพร้อมเทคโนโลยี UVC Sterilization ที่สามารถกำจัดเชื้อโรคและไวรัสได้มากถึง 99.99% เครื่องซักผ้าฝาหน้าพร้อมถังซักขนาดใหญ่ 525 มม. และเครื่องอบผ้าที่ช่วยอบผ้าในอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ทำลายเนื้อผ้า หรือตู้เย็น IOT ที่สามารถควบคุมการทำงานผ่านแอปพลิเคชัน Haismart ได้อย่างอัจฉริยะ

นอกจากนี้ยังมี ตู้แช่ โทรทัศน์ เครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวและเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่ช่วยอำนวยความดวกทั้งด้านฟังก์ชันการใช้งานและการดูแลสุขภาพที่ดี 

เครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเออร์มีวางจำหน่ายทั้งในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ตัวแทนจำหน่ายไฮเออร์ทั่วประเทศ และบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ 

ติดตามชมภาพยนตร์ไวรัลของแบรนด์แอมบาสเดอร์คู่ซี้คู่ใหม่ ได้ที่ Facebook, Instagram และ YouTube : Haier Thailand หรือดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ www.haier.com/th หรือโทร 1789

เบื่อหน่ายกับการศึกษา เมื่อแนวโน้มนักเรียนมัธยมในอเมริกาเลือกที่จะไม่เรียนต่อในมหาลัยเพิ่มสูงขึ้น

“ทำไมผมถึงอยากลงเงินทั้งหมดเพื่อไปซื้อกระดาษสักแผ่นที่ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยจริงๆ” Grayson Hart ซึ่งเพิ่งจบการศึกษาระดับมัธยมปลายในเมืองแจ็กสัน รัฐเทนเนสซี ได้ให้ความเห็นกับอนาคตของชีวิตในมหาวิทยาลัยของเขา

หนึ่งปีหลังจบมัธยมปลาย Hart กำลังกำกับรายการละครเยาวชนในเมืองแจ็กสัน รัฐเทนเนสซี เขาได้รับคัดเลือกในทุกมหาวิทยาลัยที่เขาสมัครไป แต่เขาเลือกที่จะปฏิเสธมัน ค่าใช้จ่ายเป็นปัจจัยสำคัญ และการเรียนรู้ทางไกลหนึ่งปีในช่วงการแพร่ระบาดยังทำให้เขามีเวลาและความมั่นใจในการสร้างเส้นทางของตัวเอง

Hart เป็นหนึ่งในคนหนุ่มสาวหลายแสนคนที่โตขึ้นมาในช่วงที่มีการระบาดครั้งใหญ่และไม่เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย หลายคนหันไปหางานรายชั่วโมงหรืออาชีพที่ไม่ต้องการใบปริญญา ขณะที่อีกหลายคนถูกขวางกั้นด้วยค่าเล่าเรียนที่สูงเว่อร์จนเกินจริง

ในขณะที่สถิติการลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรีทั่วประเทศลดลง 8% จากปี 2019 ถึง 2022 ตามข้อมูลจาก National Student Clearinghouse อัตราการเข้าเรียนต่อในวิทยาลัยที่ลดลงนั้น เป็นสถิติที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ อ้างอิงจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ

เหล่านักเรียนที่เพิ่งจบมัธยมคิดว่ามันไม่คุ้มเลยที่จะจมอยู่กับกองหนี้สินที่พวกเขาต้องกู้มาเพื่อส่งเสียตัวเองเรียน

ตามรายงาน ของ Associated Press นักเศรษฐศาสตร์และนักวิชาการรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ในตอนแรกดูเหมือนเป็นแนวโน้มเพียงชั่วคราวของยุคการเรียนออนไลน์ในช่วงการแพร่ระบาดเท่านั้น แต่มันกลับดำเนินต่อไปหลังจากการกลับเข้ามาเรียนใน class แบบปรกติแล้วก็ตาม

ในขณะเดียวกันวิกฤตหนี้ของนักเรียนก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ รวมถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงานในประเทศที่เริ่มขยายวงกว้างขึ้น ทำให้แนวคิดในการเริ่มทำเงินทันทีหลังจากจบมัธยมปลายนั้นได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าผู้คนจำนวนมากขึ้นเริ่มเชื่อว่าการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกามีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป หรือปริญญาแทบไม่ได้ให้คุณค่าหรือประโยชน์เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา

ถึงกระนั้น ผู้ที่ส่งเสียงเตือนเกี่ยวกับความสนใจที่ลดลงในการลงทะเบียนเรียนในวิทยาลัย ซึ่งลดลงถึง 8 เปอร์เซ็นต์ระหว่างปี 2018 ถึง 2022 ตามข้อมูลจากสำนักงานแรงงานและสถิติของสหรัฐฯ ก็ไม่ผิดที่จะแนะนำว่าผู้สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยน้อยลงอาจทำให้การขาดแคลนแรงงานเพิ่มมากขึ้น การขาดแคลนในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การดูแลสุขภาพและการศึกษา ซึ่งประสบปัญหาอยู่แล้วก่อนยุคโควิด จะมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น

“ความคิดนี้ค่อนข้างอันตรายต่อความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจของประเทศเรา” Zack Mabel นักวิจัยจากจอร์จทาวน์ที่เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและเศรษฐศาสตร์กล่าว

ผลกระทบที่เลวร้ายที่สุด อาจเป็นการส่งสัญญาณถึงคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีความเชื่อมั่นในคุณค่าของปริญญาบัตร ผู้สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยที่น้อยลงอาจทำให้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในสาขาต่าง ๆ ตั้งแต่การดูแลสุขภาพไปจนถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ

สำหรับผู้ที่ละทิ้งการเรียนในมหาวิทยาลัย มักหมายถึงรายได้ตลอดชีพที่ลดลง ซึ่งน้อยกว่าผู้ที่จบปริญญาตรีถึง 75% ตามข้อมูลของ Center on Education and the Workforce ของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ และเมื่อเศรษฐกิจซบเซา ผู้ที่ไม่มีปริญญาก็มีแนวโน้มที่จะตกงานสูงกว่ามาก

สำหรับตัว Hart เขากำลังทำในสิ่งที่เขารักและช่วยเหลือชุมชนศิลปะที่กำลังเติบโตของเมือง ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับอนาคตของเขา งานของเขาจะมีรายได้เพียงพอในอนาคตหรือไม่ และเขาก็ยังไม่มีแผนที่ชัดเจนสำหรับ 10 ปีข้างหน้า

“ผมกังวลเกี่ยวกับอนาคต” เขากล่าว “แต่ตอนนี้ผมกำลังพยายามเตือนตัวเองว่าผมทำได้ดีในจุดที่ผมอยู่ และผมจะทำมันต่อไปทีละขั้น”

References :
https://futurism.com/americans-skipping-college
https://apnews.com/article/skipping-college-student-loans-trade-jobs-efc1f6d6067ab770f6e512b3f7719cc0
https://www.wuwm.com/2022-10-17/the-wisconsin-coalition-on-student-debt-answers-student-loan-forgiveness-questions

airasia Super App เปิดบริการใหม่ “บริการต่อคิว” ไม่ต้องเสียเวลาต่อคิว ได้กินเลยแบบ right Now ไร้คิว ตอบโจทย์สายกินทั้งไทยและต่างชาติ

airasia Super App ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวแบบครบวงจรตั้งแต่การเดินทางทางอากาศจนถึงภาคพื้นดินผู้ให้บริการเรียกรถรับส่ง จองตั๋วโดยสาร จองโรงแรมที่พัก ตลอดจนสั่งอาหาร เปิดบริการใหม่ “บริการต่อคิว” ให้คุณไม่พลาดมื้ออร่อยได้แล้ววันนี้

ตอบโจทย์สายกินทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติในแบบที่คุณไม่ต้องเสียเวลาคอยคิวง่ายๆเพียงเข้าผ่านแอปพลิเคชั่น airasia Super App พร้อมจองคิวไปทานอาหารร้านอร่อยในเวลา 18.00 – 20.00 น. ล่วงหน้าได้ทุกวันแล้ววันนี้ ประเดิม 5 ร้านแรก CQK HOTPOT, ร้านเจ๊โอว, ร้านเล็ก ซีฟู้ด เยาวราช, คุณเปิ้ลหมูกระทะ และอี้จา สุกี้หม่าล่า

โดย airasia food ตั้งใจเลือกร้านเด็ด ร้านดัง มาเพื่อตอบโจทย์ไลฟสไตล์คนรุ่นใหม่ และนักท่องเที่ยว ให้คุณจองคิวได้ง่ายๆ สะดวกสุดๆไม่ต้องรออีกต่อไป

นางสาวณัฏฐิณี ตะวันชุลี ผู้อำนวยการใหญ่ airasia Super App ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “สำหรับการเปิดบริการใหม่ “บริการต่อคิว” นับเป็นการตอกย้ำว่าเราเป็นผู้นำในแพลตฟอร์มแอปพลิเคชั่นด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวชั้นนำจากที่ทราบกันดีว่าร้านอาหารดังและเป็นที่นิยมในขณะนี้ต้องใช้เวลาในการรอคอยคิวนานหลายชั่วโมงจนทำให้ลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติพลาดโอกาสในการลิ้มลองเมนูเด็ดขึ้นชื่อของร้านอาหารรวมถึงข้อจำกัดด้านภาษาของนักท่องเที่ยวต่างชาติในสื่อสาร

เราเล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหานี้ที่สร้างความไม่สะดวกสบายต่อลูกค้าตลอดจนเป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวและฟื้นธุรกิจท้องถิ่นให้กลับมาคึกคักเราจึงเปิดตัวบริการใหม่ “บริการต่อคิว” ที่พร้อมบริการแล้วใน 5 ร้านแรก คือ CQK HOTPOT, ร้านเจ๊โอว,ร้านเล็ก ซีฟู้ด เยาวราช, คุณเปิ้ล หมูกระทะ และอี้จา สุกี้หม่าล่า ให้ลูกค้าสามารถลิ้มชิมรสเมนูเด็ดร้านดังได้ทันทีแบบ right now ไร้คิว”

วิธีใช้บริการต่อคิว (ร้านที่ไม่รับจองคิวออนไลน์ และต้อง walk-in เพื่อรับคิวอย่างเดียว)
● เข้า airasia Super App หรือไปที่ www.airasia.com แล้วกดไปที่เมนู food
● เลือกที่ icon “บริการต่อคิว” (Queuing service)
● เลือกร้านอาหารที่ต้องการจองคิว (โดยเฟสแรกมี 5 ร้านดัง คือ CQK HOTPOT, ร้านเจ๊โอว, ร้านเล็กซีฟู้ด เยาวราช, คุณเปิ้ล หมูกระทะ และอี้จา สุกี้หม่าล่า)
● เลือกจำนวนคน พร้อมกดยอมรับ เงื่อนไขการให้บริการ
● กดจอง แล้วเลือกวัน-เวลาที่ต้องการ (ให้บริการจองคิวไปทานอาหารร้านอร่อยในเวลา 18.00 – 20.00 น. ล่วงหน้าได้ทุกวันแล้ววันนี้)
● ชำระค่าบริการ โดยเริ่มต้นที่ 300 บ. เท่านี้ก็ไปนั่งกิน ชิวๆ ที่ร้านได้เลยเปิดแอร์เอเชีย ซูเปอร์แอพ แล้วจองคิวเลย!> https://app.airasia.com/F4uy/j076vmwb

*เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของบริษัทฯ

airasiafood #aafood ติดตามข่าวสารล่าสุดจาก airasia Super App โดยติดตาม @airasiasuperapp.id บน Instagram เพื่อประสบการณ์ที่ราบรื่นและดียิ่งขึ้น ดาวน์โหลด airasia Super App จาก Apple App Store และ
Google Play Store

วิถีผู้นำแบบ Elon Musk ผู้ที่มีวิธีการจัดการแบบโครต Toxic แต่ประสบความเร็จในทางธุรกิจได้เช่นเดียวกัน

หลังจากที่ผมได้ทำ Blog Series ชุด A Day In The Life ที่ถ่ายทอดเรื่องราวประจำวันของเหล่าผู้นำทั้งในทางธุรกิจหรือผู้นำทางการเมืองทั่วโลก ได้รับผลตอบรับที่ถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว

มันก็มีอีกแง่มุมหนึ่งที่ผมสนใจ นั่นก็คือสไตล์ของความเป็นผู้นำ หรือวิธีการจัดการบริหารองค์กรของผู้นำเหล่านี้ ที่มีสไตล์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนมาก ๆ ต้องบอกว่าแม้ในหนังสือแนวการจัดการจะมีข้อมูลส่วนใหญ่ที่เป็นด้านโลกสวยที่เหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จ แต่ผมเชื่อว่าในการบริหารธุรกิจจริงหรือแม้กระทั่งการบริหารประเทศให้ประสบความสำเร็จนั้น ทุกคนมีสไตล์การบริหารที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

หลายคนบริหารงานแบบฉีกกฎเกณฑ์ Playbook ด้านการบริหาร ตำราด้านการบริหารมากมาย และประสบความสำเร็จกลายเป็นสุดยอดนักธุรกิจได้เช่นกัน

วันนี้ตอนแรก จะมาพูดถึงชายที่ชื่อ Elon Musk ที่เรียกได้ว่า เป็นหนึ่งคนที่ฉีกทุกกฎเกณฑ์การบริหารงานธุรกิจ แทบจะเรียกได้ว่าสไตล์ของ Elon Musk นั้น แทบจะเป็นการจัดการแบบ Toxic ที่ไม่มี Playbook เล่มไหนเขียนถึงแนวนี้เลย แต่ Musk ได้กลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจมากที่สุดในโลกอีกหนึ่งคน

สไตล์ ‘ไม่ยอมใครง่าย ๆ’ ของ Musk

นับตั้งแต่เข้าครอบครอง Twitter เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2022 Musk ได้สั่งเลิกให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน ยกเลิกอาหารกลางวันของพนักงาน และเลิกจ้างพนักงานประมาณ 3,700 คน ประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนพนักงานทั้งหมด 

หลายคนต่างช็อคเมื่อพวกเขารู้ตัวว่ากำลังถูกไล่ออกโดยไม่สามารถเข้าถึงแล็ปท็อปของบริษัทได้อีกต่อไป

เพียงไม่กี่วันต่อมา Musk มีทีมสอดแนมค้นหาข้อความส่วนตัวของพนักงานใน Slack และไล่คนที่วิจารณ์เขาออกทันที

Musk เลิกจ้างพนักงานประมาณ 3,700 คน ประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนพนักงานทั้งหมด (CR:Truthout)
Musk เลิกจ้างพนักงานประมาณ 3,700 คน ประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนพนักงานทั้งหมด (CR:Truthout)

Musk ได้ยื่นคำขาดถึงพนักงานเพื่อให้คำมั่นกับ Twitter ยุคใหม่ที่ “ฮาร์ดคอร์สุดๆ” ซึ่ง “หมายถึงการทำงานเป็นเวลานานหลายชั่วโมงด้วยความเข้มข้นในการทำงานสูง” พนักงานมีเวลาจนถึง 17.00 น. ของวันถัดไปในการตัดสินใจว่าจะอยู่หรือไป

มีรายงานว่าพนักงานประมาณ 500 คนเขียนใบลาออกทันที

ดูเหมือนว่า Musk จะไม่ได้คาดการณ์ถึงปฏิกิริยานี้ เมื่อใกล้ถึงเส้นตาย เขาเริ่มนำพนักงานคนสำคัญเข้าร่วมการประชุมโดยพยายามโน้มน้าวให้พวกเขาอยู่ต่อ

นอกจากนี้ เขายังยกเลิกคำสั่งห้ามทำงานจากที่บ้านโดยส่งอีเมลถึงพนักงานว่า “สิ่งที่จำเป็นสำหรับการอนุมัติในเรื่องดังกล่าวคือผู้จัดการของคุณที่ต้องรับผิดชอบในการรับรองว่าคุณทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมจากที่บ้าน”

แต่พนักงานจำนวนมากตัดสินใจลาออก Twitter ล็อกไม่ให้พนักงานทุกคนออกจากสำนักงานจนถึงวันจันทร์ถัดไป ท่ามกลางความสับสนว่าใครยังคงทำงานอยู่อีกบ้าง

การปลดพนักงานและการปรับโครงสร้างเป็นเรื่องปกติในการเปลี่ยนแปลงองค์กร แต่วิธีที่ Musk จัดการมีผลกระทบอย่างมากต่อผู้ที่จากไปเช่นเดียวกับผู้ที่ยังคงอยู่ 

ทางเลือกมีความสำคัญ

แล้ว SpaceX และ Tesla บริษัทที่ Musk สร้างชื่อเสียงล่ะ? ความสำเร็จของบริษัทเหล่านี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้นำที่ดีหรือ?

ต้องบอกว่ามีความแตกต่างอย่างมากระหว่างบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยพันธกิจอย่าง SpaceX และแพลตฟอร์มอย่าง Twitter

เมื่อมีภารกิจร่วมกันเพื่อบรรลุสิ่งที่พิเศษหรือที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนพนักงานมักจะตั้งใจทำงานเป็นเวลานานมาก ๆ และพร้อมทุ่มเทให้กับองค์กรแบบสุด ๆ แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

พวกเขาจะเลือกที่จะทำงานให้มากกว่าและทำงานหลายชั่วโมงหากรู้สึกว่าสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ขององค์กร พวกเขาต่างคิดว่างานของพวกเขามีความสำคัญ แต่ประเด็นสำคัญก็คือพวกเขาเลือกที่จะทำตามวิสัยทัศน์ของ Musk

พนักงานใน SpaceX เลือกที่จะทำตามวิสัยทัศน์ของ Musk (CR:Orange County Register)
พนักงานใน SpaceX เลือกที่จะทำตามวิสัยทัศน์ของ Musk (CR:Orange County Register)

ดังที่พนักงาน Twitter คนหนึ่งทวีตหลังจากมีการแจ้งผ่านอีเมลของ Musk:

“ฉันไม่ต้องการทำงานให้กับคนที่ขู่เราทางอีเมลหลายครั้งเกี่ยวกับ ‘คนที่ทุ่มเททำงานแบบพิเศษเท่านั้นที่ควรทำงานที่นี่’ ในเมื่อฉันทำงาน 60-70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อยู่แล้ว”

Musk ปฏิบัติต่อพนักงานเหมือนเครื่องจักร

ทั้ง Tesla และ SpaceX มีพนักงานที่ไม่มีความสุขจำนวนมากโดยมีเคสการฟ้องร้องเกี่ยวกับสภาพการทำงานและรูปแบบการจัดการของ Musk อยู่บ่อยครั้ง หลายคนบอกว่าการทำงานกับ Musk นั้น Toxic มาก ๆ

แต่เขาได้รับการยกย่องในเรื่องความคิดของเขา การแก้ปัญหาทางวิศวกรรม การท้าทายโมเดลธุรกิจแบบเก่า ๆ ที่อาจไม่มีประโยชน์อีกต่อไป แต่พื้นฐานของความเป็นผู้นำยังคงมีความสำคัญ และ Musk ก็ยังขาดในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างมาก

Musk ยึดถือรูปแบบการบริหารที่ปฏิบัติต่อพนักงานเหมือนฟันเฟืองในเครื่องจักร ไม่ใช่มองพวกเขาว่าเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจ พนักงานของเขาต้องเสียสละความเป็นอยู่ที่ดีเพื่อทำตามวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ของเขา

สิ่งที่คุณสามารถเรียนรู้ได้จากสไตล์ความเป็นผู้นำของ Elon Musk

Elon Musk เป็นบุคคลที่ซับซ้อน และสไตล์ความเป็นผู้นำของเขาก็มีความซับซ้อนเช่นกัน ในหลาย ๆ ด้าน เขาเหมือนเป็นแรงผลักดันในวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ แต่ในอีกทางหนึ่งเขาเรียกร้องจากพนักงานมากจนเกินไปและบางครั้งเลยเถิดไปถึงขั้นข่มขู่พนักงาน

เช่นเดียวกับ ผู้นำคนอื่นๆแนวทางของเขามีทั้งด้านบวกและด้านลบ และยังมีเรื่องราวอีกมากที่ต้องเรียนรู้จากวิธีที่เขาเป็นผู้นำ รวมถึงบทเรียนที่น่าสนใจดังต่อไปนี้:

  • เชื่อในตัวคุณเอง. ผู้คนจำนวนมากมักมองว่าแนวคิดของ Musk นั้นบ้าๆ บอๆ แต่เขาเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์และความทะเยอทะยานของเขา เขาไล่ล่าในสิ่งที่เขาเชื่อมั่นอย่างไม่ลดละ
  • กำหนดขอบเขตที่ชัดเจน Musk ผลักดันตัวเองจนถึงขีดจำกัด และในหลาย ๆ ด้าน มันคือบทเรียนที่ดีในสิ่งที่ไม่ควรทำ กำหนดขอบเขตสำหรับตัวคุณเอง เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องทำงาน 100 ชั่วโมงและนอนบนพื้นสำนักงานของคุณ
  • ทำให้รู้สึกว่ามีปลอดภัยที่จะล้มเหลว หนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่บริษัทต่างๆ ของ Musk สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยวิธีที่พวกเขาทำนั้นเป็นเพราะ Musk เป็นผู้ที่ไม่แคร์ความล้มเหลว เขารู้ว่าพนักงานของเขาต้องรู้สึกว่าพวกเขาสามารถล้มเหลวได้โดยไม่ต้องกลัวผลกระทบหรือการโดนตำหนิ นั่นเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับผู้นำทุกคนที่ต้องเป็นหัวหอกในทีมที่มีนวัตกรรมซึ่งความผิดพลาดล้มเหลวถือเป็นเรื่องปรกติมาก ๆ  

ต้องบอกว่า Elon Musk ไม่ได้เป็นผู้นำที่สมบูรณ์แบบ และจริงๆ แล้วแทบไม่เข้าใกล้สิ่งนั้นเลย เมื่อเราศึกษาจาก Playbook ตำราการเป็นผู้นำที่มีอยู่มากมาย 

เรียกได้ว่า Musk กำลังสร้างแบบอย่างที่เป็นอันตรายสำหรับธุรกิจอื่นๆ ที่จะปฏิบัติตาม หากวิธีการจัดการของเขาพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จสำหรับ Twitter อาจส่งผลให้ผู้นำธุรกิจรายอื่นทำตามตัวอย่างของเขาในอนาคต

แต่ด้วยความที่บริษัทของ Musk ประสบความสำเร็จมากมายและชื่อเสียงของเขาในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ถือได้ว่าแหวกแนวที่สุดในตลาด เขาจึงเป็นหนึ่งในผู้นำที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบคนอย่างเขาเช่นเดียวกัน เพราะดูเหมือนว่าจะมีน้อยคนในโลกที่สามารถทำสิ่งเดียวกับชายที่ชื่อ Elon Musk ทำได้สำเร็จนั่นเองครับผม

References :
https://www.fingerprintforsuccess.com/blog/elon-musk-leadership-style
https://theconversation.com/elon-musks-hardcore-management-style-a-case-study-in-what-not-to-do-194999
https://theconversation.com/elon-musks-archaic-management-style-prioritizes-profit-over-people-195520#:~:text=Musk%20adheres%20to%20a%20mechanistic,for%20the%20sake%20of%20profit.
https://www.reddit.com/r/askmanagers/comments/yzb08z/elon_musk_management_style/
https://www.nbcnews.com/tech/tech-news/elon-musks-twitter-takeover-gives-new-type-power-rcna26211