ปฏิวัติชีวิตด้วยกิจวัตรยามเช้า : รีบูตร่างกาย รีชาร์จชีวิต ตื่นมาเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง ด้วยเคล็ดลับสุดเจ๋งนี้

หลายคนอาจสงสัยว่าจะทำอย่างไรให้มีสมาธิดีขึ้น จำอะไรได้แม่นยำขึ้น หรือมีพละกำลังมากขึ้น คำตอบก็คือเราต้องกลับไปดูที่รากฐานสำคัญ นั่นคือการนอนหลับที่มีคุณภาพ และสิ่งที่เรียกว่า “การพักผ่อนอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องหลับ (non-sleep deep rest)”

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจาก Dr. Andrew Huberman เป็นนักประสาทวิทยาและศาสตราจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยาประสาทที่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่ได้มาพูดไว้ในรายการพอดแคสต์ของเขา the Huberman Lab Podcast

การนอนหลับเป็นส่วนสำคัญในวงจร 24 ชั่วโมงของร่างกายเรา หากเราไม่ได้นอนอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ ประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นระบบเผาผลาญ ระบบภูมิคุ้มกัน ก็จะลดลงทั้งหมด แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป เพราะการนอนไม่ดีเพียงคืนเดียวไม่ได้หมายความว่าเราจะทำงานไม่ได้เลย

มีสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อปรับปรุงคุณภาพการนอน ประการแรก เราต้องเข้าใจว่าทุกเซลล์ในร่างกายของเรามีจังหวะเซอร์เคเดียน (circadian rhythm) หรือนาฬิกาชีวภาพ 24 ชั่วโมงที่ควบคุมโดยยีน

ให้ลองจินตนาการว่าร่างกายของเราเป็นนาฬิกาหลายล้านเรือนที่ต้องปรับให้ตรงกัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อเราเดินทางข้ามประเทศ ระบบย่อยอาหารจึงแปรปรวน หรือเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น เพราะนาฬิกาเหล่านั้นไม่ได้ปรับให้ตรงกัน หรือที่เรียกว่าไม่ได้ “ปรับจังหวะ (entrain)”

สิ่งสำคัญที่สุดที่เราควรทำเพื่อปรับจังหวะนาฬิกาชีวภาพ โดยเฉพาะเพื่อการนอนที่ดี คือพยายามรับแสงธรรมชาติเข้าดวงตาภายในหนึ่งชั่วโมงหลังตื่นนอน

ถ้าเราตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ให้เปิดไฟสว่างๆ หลายๆ ดวง แล้วออกไปรับแสงแดดทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น แม้วันไหนมีเมฆมาก ก็ยังมีแสงทะลุผ่านเมฆมาได้มากกว่าแสงจากหลอดไฟในบ้านเราเยอะ

ควรพยายามรับแสงแดดโดยไม่ใส่แว่นกันแดดเป็นเวลา 5-10 นาทีในตอนเช้าหลังจากพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้ทุกวันหรือเกือบทุกวัน สิ่งนี้มีผลอย่างมากต่อหลายอย่างในร่างกายเรา

ประการแรก มันจะปรับเวลาของสิ่งที่เรียกว่า “cortisol pulse” ทุก 24 ชั่วโมง เราจะได้รับการเพิ่มขึ้นของคอร์ติซอลครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่ดีต่อสุขภาพ มันกำหนดจังหวะอุณหภูมิร่างกาย ระดับความตื่นตัว ระดับสมาธิ และอารมณ์ของเรา ซึ่งเราต้องการให้ cortisol pulse นี้เกิดขึ้นเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในตอนเช้า

อะไรเป็นตัวกระตุ้น cortisol pulse? โดยธรรมชาติแล้ว cortisol pulse ถูกกำหนดโดยโปรแกรมทางพันธุกรรมให้เกิดขึ้นทุก 24 ชั่วโมง แต่แสงจะเป็นตัวยึดมันไว้กับช่วงเวลาที่เราเห็นแสงสว่าง

ลองนึกภาพ cortisol pulse ที่ล่าช้า เช่น เด็กที่ตื่นนอนแล้วใช้เวลาตอนเช้าอยู่บนเตียง หรือเราใช้เวลาตอนเช้าอยู่บนเตียงและเล่นมือถือหรืออยู่ในบ้านทำงานหน้าคอมพิวเตอร์

แสงเหล่านั้นไม่เพียงพอที่จะกระตุ้น cortisol pulse และเมื่อเราออกไปข้างนอกประมาณเที่ยงหรือบ่ายโมง เราจะอยู่ในช่วงที่เรียกว่า “circadian dead zone” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แสงที่เข้าตาไม่สามารถกำหนดเวลา cortisol pulse ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นั่นหมายความว่า cortisol pulse จะเกิดขึ้นในช่วงบ่าย ซึ่งส่งผลให้จังหวะอุณหภูมิร่างกายของเราเลื่อนช้าออกไป และนี่เป็นลักษณะที่พบได้ในภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล รวมถึงความยากลำบากในการนอนหลับ

คนจำนวนมากมักจะตื่นนอนแล้วใช้เวลาอยู่ในบ้าน ใส่แว่นกันแดดขึ้นรถแล้วขับไป หรือเห็นว่าท้องฟ้ามีเมฆมากก็คิดว่าไม่มีแสงแดด แต่จริงๆ แล้ว เราไม่จำเป็นต้องจ้องดวงอาทิตย์โดยตรง

เราไม่ควรจ้องแสงที่สว่างจนอาจทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตา แค่รับแสงอ้อม ๆ จากดวงอาทิตย์ก็เพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นเซลล์ในดวงตาที่เรียกว่า melanopsin ganglion cells เซลล์ประสาทเหล่านี้จะส่งสัญญาณไปยังไฮโปทาลามัส จากนั้นไฮโปทาลามัสจะปล่อยเปปไทด์ซึ่งเป็นสัญญาณปลุกสมองและร่างกายทั้งหมดของเรา และตั้งเวลาสำหรับการปล่อยเมลาโทนิน 16 ชั่วโมงต่อมา เมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เราง่วงและอยากนอน

ลองจินตนาการดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่ได้รับแสงนั้นจนกระทั่งผ่านไปสองสามชั่วโมง ทุกอย่างจะเลื่อนออกไป และเมื่อเราอยากจะนอน เราก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงยังตื่นตัวมากในเวลา 23:30 หรือเที่ยงคืน และทุกอย่างก็วุ่นวาย

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การรับแสงแดดยังมีผลต่อฮอร์โมนในร่างกายด้วย มีการศึกษาที่น่าสนใจทำในอิสราเอล พบว่าคนที่ได้รับแสงบนผิวหนัง 20-30 นาที สัปดาห์ละสามครั้ง มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและเอสโตรเจนทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งส่งผลให้มีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีชีวิตชีวามากขึ้น

เหตุผลก็คือ แสงที่เข้าตาและแสงที่ตกกระทบผิวหนัง (ซึ่งเป็นอวัยวะต่อมไร้ท่อ) จะกระตุ้นเส้นทางที่เกี่ยวข้องกับโมเลกุลที่เรียกว่า p53 และเคราติโนไซต์ ซึ่งเป็นเซลล์ผิวหนัง เมื่อรังสี UVB รังสีอัลตราไวโอเลต และแสงสีฟ้าทะลุผ่านผิวหนัง จะกระตุ้นเคราติโนไซต์เหล่านี้ให้ปล่อยโดปามีนในสมองและร่างกาย

ดังนั้นเมื่อเราได้รับแสงในดวงตาและบนผิวหนัง เราจะรู้สึกดีขึ้น มีการเพิ่มขึ้นของเทสโทสเตอโรน อะดรีนาลีน และโดปามีน นี่เป็นเหตุผลที่เรามักรู้สึกดีในช่วงฤดูร้อน และเป็นเหตุผลที่คนในประเทศแถบสแกนดิเนเวียมักมีไข้ในฤดูใบไม้ผลิหลังผ่านพ้นฤดูหนาวอันยาวนาน

ในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่มีแสงแดดน้อย เราควรพยายามเพิ่มเวลาอยู่กลางแจ้งในตอนเช้าให้มากขึ้น แทนที่จะเป็น 10 นาที ให้เพิ่มเป็น 30 นาที เพื่อชดเชยแสงแดดที่น้อยลง

นอกจากนี้ การจัดการกับคาเฟอีนก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอนและความสดชื่นตลอดวัน เราทุกคนคุ้นเคยกับความรู้สึกง่วงนอนและการหลับ ซึ่งเกิดจากระบบประสาทพาราซิมพาเทติกที่เข้ามาควบคุม

ยิ่งเราตื่นนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีการสะสมของสารที่เรียกว่าอะดีโนซีนในสมองและร่างกายมากขึ้นเท่านั้น อะดีโนซีนจะเปิดระบบประสาทพาราซิมพาเทติกและกดระบบประสาทซิมพาเทติก ทำให้เรารู้สึกง่วง เมื่อเรานอนหลับ อะดีโนซีนจะถูกกำจัดออกไป

คาเฟอีนทำงานโดยการปิดกั้นอะดีโนซีน ทำให้เรารู้สึกตื่นตัว แต่มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการดื่มคาเฟอีน ถ้าเราตื่นนอนในตอนเช้าและรู้สึกว่านอนไม่เพียงพอ นั่นหมายความว่าเรายังคงมีการสะสมของอะดีโนซีนในร่างกาย

หากเราดื่มคาเฟอีนทันที มันจะกดการทำงานของอะดีโนซีนและทำให้เราตื่นตัวมากขึ้น แต่เมื่อฤทธิ์ของคาเฟอีนหมดลง อะดีโนซีนจะจับกับตัวด้วยความแรงมากขึ้น ทำให้เรามีอาการหมดแรงในช่วงบ่าย

การปฏิบัติที่เป็นประโยชน์คือการชะลอการดื่มคาเฟอีนออกไป 60 ถึง 90 นาทีหลังตื่นนอน ปล่อยให้อะดีโนซีนถูกกำจัดออกไปตามธรรมชาติ เพราะมันไม่ได้ถูกกำจัดออกเฉพาะในช่วงการนอนหลับเท่านั้น แต่ยังถูกกำจัดออกในสภาวะง่วงๆ ของช่วงเช้าตรู่ด้วย นอกจากนี้ การออกกำลังกายก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยกำจัดอะดีโนซีนได้

ดังนั้น เมื่อเราตื่นนอนในตอนเช้าและรู้สึกง่วงนิดหน่อย อาจคิดว่า “ฉันไม่อยากทำอะไรเลย” แต่ถ้าเราดื่มน้ำให้ร่างกายชุ่มชื้นและออกกำลังกายเบาๆ เราจะสามารถกำจัดอะดีโนซีนออกไปได้

สำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟก่อนหรือระหว่างออกกำลังกาย ก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่สำหรับคนที่มักมีอาการหมดแรงในช่วงบ่าย การลองเลื่อนเวลาดื่มคาเฟอีนออกไปสัก 15 นาทีต่อวัน อาจทำให้เห็นความแตกต่างอย่างมาก

การปรับกิจวัตรยามเช้าให้เหมาะสมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความเข้าใจและความสม่ำเสมอ เริ่มจากการรับแสงแดดในตอนเช้า ปรับเวลาการดื่มคาเฟอีน และเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย สิ่งเหล่านี้จะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้เรามีพลังงานที่สม่ำเสมอตลอดวัน และนอนหลับได้ดีขึ้นในตอนกลางคืน

นอกจากนี้ การสร้างกิจวัตรเช้าที่ดียังช่วยเพิ่มความมั่นใจและทำให้เรารู้สึกว่าสามารถที่จะควบคุมชีวิตได้ เมื่อเราเริ่มต้นวันด้วยการดูแลตัวเองอย่างดี ทั้งร่างกายและจิตใจ เราจะพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างวันได้ดีขึ้น

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาจต้องใช้เวลา แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่า ลองเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ทีละอย่าง เช่น ตั้งนาฬิกาปลุกให้เร็วขึ้น 15 นาที เพื่อให้มีเวลาออกไปรับแสงแดดตอนเช้า หรือลองเลื่อนเวลาดื่มกาแฟออกไปสักครึ่งชั่วโมง สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจ แล้วค่อยๆ ปรับเพิ่มจนกลายเป็นกิจวัตรที่เหมาะสมกับตัวเอง

การสร้างกิจวัตรยามเช้าที่ดีไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อวันนั้นๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนระยะยาวให้กับสุขภาพและคุณภาพชีวิตของเราด้วย เมื่อเราให้ความสำคัญกับการเริ่มต้นวันอย่างมีคุณภาพ เราก็กำลังสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับความสำเร็จและความสุขในทุกๆ ด้านของชีวิต

ท้ายที่สุด การปรับปรุงกิจวัตรยามเช้าไม่ใช่เรื่องของการทำตามสูตรสำเร็จ แต่เป็นการค้นหาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเราเอง ผ่านการทดลองและปรับเปลี่ยน จนกว่าจะพบวิธีที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อเราทำได้ เราจะพบว่าชีวิตของเราไม่เพียงแค่ดีขึ้นในแต่ละวัน แต่ยังดีขึ้นในระยะยาวอีกด้วย

References :
The Optimal Morning Routine – Andrew Huberman
https://youtu.be/gR_f-iwUGY4?si=TJ3A4iXloFxrvVUb

เลิกโทษคนอื่นซะที! กับ 3 นิสัยที่จะทำให้คุณกลายเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากทำงานด้วย

เมื่อเผชิญกับความท้าทายหรือปัญหา คนส่วนใหญ่มักจะหาวิธีโทษผู้อื่นก่อนเสมอ Michael Timms ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นผู้นำได้มาแชร์ข้อมูลที่น่าสนใจบนเวที Ted Talks โดย Timms ชี้ให้เห็นว่าเหตุใดสัญชาตญาณแบบนี้จึงส่งผลเสีย โดยเน้นย้ำถึงลักษณะนิสัย 3 ประการในการรับผิดชอบต่อตนเอง ซึ่งจะช่วยให้คุณและผู้อื่นสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงาน

หลาย ๆ ท่านที่เป็นพ่อแม่คงเคยประสบปัญหาในการพาลูกๆ ออกจากบ้านให้ทันเวลา สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ท้าทาย ไม่ต่างจากที่เราต้องพยายามต้อนแมวนับสิบตัวให้เข้าไปอยู่ในกรงเดียวกัน ซึ่งตัวของ Timms เองก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน

ครอบครัวของ Timms มีลูกสาวสามคน และทุกเช้าเขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ทุกคนพร้อมออกจากบ้านตรงเวลา แม้ว่าตัวของ Timms และภรรยาจะเริ่มเตือนลูก ๆ ล่วงหน้าเป็นชั่วโมง แต่ดูเหมือนว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย สุดท้ายพวกเขาก็ยังคงออกจากบ้านสายอยู่ดี

จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อ Timms มีนัดสำคัญที่ต้องไปให้ทัน เขาพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวายอย่างที่สุด เพียงห้านาทีก่อนถึงเวลาที่ต้องออกจากบ้าน ลูกสาวคนโตยังคงอ่านหนังสืออยู่ที่ระเบียง ลูกสาวคนกลางกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นเปียโน และลูกสาวคนเล็กยังไม่ได้ใส่ถุงเท้าด้วยซ้ำ

ด้วยความร้อนรน Timms ตะโกนบอกพวกเธอว่า “หยุดอ่านหนังสือ หยุดเล่นเปียโน ใส่ถุงเท้า แล้วทุกคนไปขึ้นรถ!” แต่ห้านาทีผ่านไป ก็ยังไม่มีใครอยู่ในรถสักคน ทำให้ Timms รู้สึกหงุดหงิดมาก และกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่แล้วเขาก็นึกถึงสิ่งที่เคยสอนทีมผู้บริหารขึ้นมาได้

“คุณไม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นรับผิดชอบได้ จนกว่าคุณจะเป็นแบบอย่างด้วยตัวเอง”

นั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Timms ตระหนักว่า เขากำลังโทษลูกสาวทั้งหมด โดยไม่ได้มองย้อนกลับมาที่ตัวเองเลย

Timms จึงตัดสินใจลองใช้วิธีการที่แตกต่างออกไป โดยเริ่มจากการถามตัวเองว่า “ผมกำลังทำอะไรอยู่ หรือไม่ได้ทำอะไร ที่อาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้?”

จากประสบการณ์นี้ Timms ได้ค้นพบ “3 นิสัยแห่งความรับผิดชอบส่วนบุคคล” ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาในครอบครัวของเขาเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ในชุมชน หรือแม้แต่ในความสัมพันธ์ส่วนตัว

นิสัยที่ 1: อย่าโทษคนอื่น

การโทษคนอื่นเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเกิดปัญหา แต่คุณเคยสังเกตไหมว่า เมื่อเราโทษใครสักคน มักจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเลย? นั่นเป็นเพราะสมองของเรารับรู้การถูกโทษเหมือนกับการถูกโจมตีทางร่างกาย มันกระตุ้นการตอบสนองแบบ “สู้หรือหนี (Fight or Flee)” ซึ่งทำให้ส่วนของสมองที่ใช้ในการแก้ปัญหาหยุดทำงาน

Dr. Amy Edmondson นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Harvard ได้ทำการศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอพบว่าทีมที่มีประสิทธิภาพสูงในโรงพยาบาลกลับรายงานข้อผิดพลาดมากกว่าทีมอื่นๆ

เหตุผลก็คือ เมื่อสมาชิกในทีมไม่ถูกกล่าวโทษสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น พวกเขาจะยอมรับความผิดพลาดของตนเองและเรียนรู้จากมันได้มากขึ้น ในทางกลับกัน ในวัฒนธรรมที่ชอบโทษกัน ผู้คนมักจะปิดบังปัญหาหรือพยายามโยนความผิดให้คนอื่น

การโทษคนอื่นเป็นเหมือนยาพิษที่ทำลายการทำงานเป็นทีม การแก้ปัญหา การเรียนรู้ และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การโทษคนอื่นคือตัวการที่ฆ่าความรับผิดชอบของทีมนั่นเอง

นิสัยที่ 2: มองย้อนกลับมาที่ตัวเอง

แทนที่จะโทษคนอื่น เราควรหันมามองตัวเองก่อน ถามตัวเองว่า “เราอาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้อย่างไรบ้าง?” การทำเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกปัญหาเป็นความผิดของเรา แต่มันช่วยให้เรามองเห็นว่าการกระทำหรือการไม่กระทำของเราอาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหาได้อย่างไร

ตัวของ Timms เคยมีประสบการณ์ที่น่าสนใจกับเรื่องนี้ ครั้งหนึ่งผู้ช่วยของเขาทำผิดพลาดในการส่งแพ็คเกจการตลาดราคาแพงหลายร้อยชิ้น โดยลืมใส่ข้อมูลสำคัญในแพ็คเกจ

ในตอนแรก Timms รู้สึกโกรธและอยากจะโทษเธอทั้งหมด แต่เมื่อเขามองย้อนกลับมาที่ตัวเอง เขาก็ตระหนักได้ว่าเป็นตัวเขาเองที่ไม่ได้ไฮไลท์ฟิลด์ข้อมูลสำคัญด้วยสีเหลืองเหมือนที่ทำในแม่แบบอื่นๆ ถ้า Timms ทำแบบนั้น เธอคงไม่พลาดมันไป

การมองย้อนกลับมาที่ตัวเองเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน แต่เมื่อเราทำได้ มันจะเปิดโอกาสให้เราเห็นวิธีแก้ปัญหาที่เราสามารถควบคุมได้

นิสัยที่ 3: ออกแบบวิธีแก้ปัญหา

เมื่อเราหยุดโทษคนอื่นและมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง เราจะเริ่มเห็นปัจจัยแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคน นี่คือหัวใจของ “การคิดเชิงระบบ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือกรณีของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ประสบปัญหาเครื่องบินตกเป็นจำนวนมาก แทนที่จะโทษนักบิน พวกเขาได้จ้างที่ปรึกษามาวิเคราะห์ปัญหา ผลการวิจัยพบว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวนักบิน แต่อยู่ที่การออกแบบห้องนักบินที่ทำให้เกิดความสับสน เมื่อพวกเขาปรับปรุงการออกแบบให้ง่ายขึ้น อุบัติเหตุก็ลดลงอย่างมาก

การออกแบบวิธีแก้ปัญหาไม่ได้หมายถึงการแก้ไขคน แต่เป็นการปรับปรุงระบบและสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อพฤติกรรมของคน

ในกรณีของ Timms กับลูกสาว เมื่อเขาหยุดโทษลูก ๆ เขาก็เริ่มสังเกตเห็นปัจจัยแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของพวกเธอ เขาพบว่าไม่มีนาฬิกาในห้องน้ำของพวกเธอ และไม่มีตารางเวลาที่ชัดเจน

ดังนั้น Timms จึงออกแบบวิธีแก้ปัญหาโดยติดนาฬิกาขนาดใหญ่ไว้ทุกที่และติดตารางเวลาไว้ในพื้นที่ส่วนกลาง ผลลัพธ์ที่ได้คือ แม้จะยังไม่สามารถออกจากบ้านได้ตรงเวลาเป๊ะ แต่สถานการณ์ก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก

บทเรียนสำคัญที่ Timms ได้เรียนรู้คือ เราไม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นรับผิดชอบได้ จนกว่าเราจะเป็นแบบอย่างด้วยตัวเอง เมื่อผู้นำยอมรับบทบาทของตนในปัญหาก่อน มันจะสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยให้คนอื่นๆ ทำตาม

Timms ได้นำหลักการนี้ไปใช้ในการทำงานกับบริษัทต่างๆ และพบว่ามันสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าทึ่ง ตัวอย่างเช่น ในบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่ง หลังจากที่ผู้จัดการทั่วไปเริ่มใช้หลักการนี้ บรรยากาศในการประชุมทีมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยเป็นการกล่าวโทษกันไปมา กลายเป็นการร่วมกันแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

เมื่อผู้จัดการทั่วไปเริ่มต้นด้วยการมองย้อนกลับมาที่ตัวเองและยอมรับส่วนที่เขามีส่วนทำให้เกิดปัญหา สมาชิกในทีมก็เริ่มทำตามและแสดงความรับผิดชอบในส่วนของตนเองเช่นกัน

การนำ “3 นิสัยแห่งความรับผิดชอบส่วนบุคคล” มาใช้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในที่ทำงานหรือที่บ้านเท่านั้น แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในชุมชน ในสังคม หรือแม้แต่ในระดับประเทศ

เมื่อเราเริ่มเป็นแบบอย่างของพฤติกรรมเหล่านี้ เราจะพบว่าคนรอบข้างเราเริ่มทำตาม มันเหมือนเป็นเวทมนตร์ที่แพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น สร้างวงจรแห่งความรับผิดชอบที่ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ

การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นที่ตัวเรา เมื่อเราหยุดโทษคนอื่น มองย้อนกลับมาที่ตัวเอง และออกแบบวิธีแก้ปัญหา เราไม่เพียงแต่จะแก้ไขปัญหาที่เผชิญอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกัน

การเปลี่ยนแปลงอาจไม่เกิดขึ้นในทันที เหมือนกับกรณีของ Timms กับลูกสาวที่ยังไม่สามารถออกจากบ้านได้ตรงเวลาเป๊ะ แต่การปรับปรุงทีละเล็กละน้อยก็นำไปสู่ความก้าวหน้าที่ยั่งยืนในระยะยาว

ท้ายที่สุด จงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คุณอยากเห็นในโลก เริ่มต้นจากตัวคุณเอง แล้วคุณจะพบว่าโลกรอบตัวคุณจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

References :
How to Claim Your Leadership Power | Michael Timms | TED
https://youtu.be/dIYmzf21d1g?si=DeO7LobEt8J2AWyO

3 เทคนิคพิชิตความรู้ไร้ขีดจำกัด : หยุดเสียเวลากับการเรียนแบบเดิมๆ นี่คือวิธีเรียนรู้แบบใหม่ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ

ในโลกยุคปัจจุบัน การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความสำเร็จและการเติบโตส่วนบุคคล ดังที่ Albert Einstein เคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อคุณหยุดเรียนรู้ คุณก็เหมือนคนที่ตายแล้ว” คำพูดนี้ยังคงมีความหมายอย่างลึกซึ้งในยุคปัจจุบัน

การก้าวสู่การเป็นยอดนักเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์หรือความฉลาดแต่กำเนิด แต่เป็นเรื่องของการใช้กลยุทธ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ Jonathan Levy ผู้เขียนหนังสือ “The Only Skill that Matters: The Proven Methodology to Read Faster, Remember More, and Become a SuperLearner” ได้นำเสนอกลยุทธ์การเรียนรู้ที่ทรงพลังสามประการ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนรู้อย่างสิ้นเชิง

กลยุทธ์แรกคือการเรียนรู้แบบหลากหลาย หรือ Multi-learning เป็นแนวคิดที่น่าสนใจที่สนับสนุนให้เราเรียนรู้ทักษะที่เกี่ยวข้องกันอย่างหลวม ๆ ควบคู่กันไป แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงทักษะเดียว ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการพัฒนาทักษะการเล่นเทนนิส ลองฝึกเล่นพิคเคิลบอลควบคู่ไปด้วย หรือถ้าคุณกำลังเรียนภาษาสเปน ให้เพิ่มการเรียนภาษาเยอรมันเข้าไปในตารางการเรียนรู้ของคุณ

วิธีนี้อาจดูขัดแย้งกับสามัญสำนึกที่มักจะบอกให้เราโฟกัสกับสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวจนเชี่ยวชาญ แต่ความจริงแล้ว การเรียนรู้แบบหลากหลายช่วยให้สมองของเราสร้างการเชื่อมโยงใหม่ ๆ ระหว่างความรู้และทักษะต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งและมุมมองที่กว้างขึ้น

Cal Newport นักเขียนชื่อดัง ได้ค้นพบว่าการศึกษาภาพยนตร์ช่วยพัฒนาทักษะการเล่าเรื่องและทำให้งานเขียนสารคดีของเขาน่าสนใจมากขึ้น ในขณะที่ Jonathan Levy เองก็พบว่าการเรียนรู้เทคนิคการยกน้ำหนักแบบโอลิมปิกช่วยให้เขาพัฒนาทักษะในการเล่นโยคะแบบ Acro ได้อย่างรวดเร็ว

การสลับไปมาระหว่างทักษะที่เกี่ยวข้องกันช่วยให้เรามองเห็นความเชื่อมโยงและรายละเอียดที่อาจมองข้ามไปหากเราโฟกัสเพียงทักษะเดียว นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันความเบื่อหน่ายและรักษาแรงจูงใจในการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี

หากคุณไม่สามารถหาทักษะที่เกี่ยวข้องกันได้โดยตรง คุณสามารถประยุกต์ใช้แนวคิดนี้โดยการเจาะลึกในทักษะย่อยต่าง ๆ ของทักษะหลักที่คุณกำลังเรียนรู้ เช่น หากคุณกำลังเรียนการเจรจาต่อรอง ให้ศึกษาเรื่องภาษากายและจิตวิทยาการโน้มน้าวใจควบคู่กันไป

กลยุทธ์ที่สองคือการเรียนรู้แบบ Brute Force Learning แนวคิดนี้มีที่มาจากวงการแฮกเกอร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งหมายถึงการโจมตีระบบจากหลายทิศทางเพื่อเข้าถึงข้อมูล เมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนรู้ หมายถึงการใช้แหล่งข้อมูลที่หลากหลายเพื่อทำความเข้าใจแนวคิดหรือทักษะที่ซับซ้อน

ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเข้าใจเรื่องอคติทางความคิด (Cognitive Biases) อย่างลึกซึ้ง คุณอาจเริ่มจากการอ่านตำราจิตวิทยา ตามด้วยหนังสือกลุ่ม Nonfiction ที่เป็นที่นิยม จากนั้นเสริมด้วยการดูวิดีโอใน YouTube ที่อธิบายประเภทต่าง ๆ ของอคติด้วยภาพ และฟังพอดแคสต์ที่สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ การเรียนรู้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายช่วยให้คุณเห็นแนวคิดเดียวกันจากมุมมองที่แตกต่าง ทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

Jonathan Levy เล่าประสบการณ์ของเขาว่า หลังจากฟังการบรรยายที่สับสนในโรงเรียนธุรกิจ เขาหันไปใช้ Khan Academy เพื่อหาคำอธิบายที่แตกต่างออกไป และสามารถเข้าใจแนวคิดนั้นได้ภายในเวลาไม่กี่นาที นี่แสดงให้เห็นว่าบางครั้งเราอาจต้องการวิธีการอธิบายที่แตกต่างกันเพื่อเข้าใจแนวคิดเดียวกัน

การเรียนรู้แบบ Brute Force Learning ยังมีประโยชน์ในแง่ที่ช่วยให้เราสังเกตเห็นจุดร่วมและเข้าใจเนื้อหาที่มีคุณค่ามากที่สุดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังช่วยให้เราสร้างแผนการเรียนรู้ส่วนตัวโดยการรวมวิธีการที่ดีที่สุดจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ และปรับให้เข้ากับเป้าหมายการเรียนรู้ของเรา

กลยุทธ์ที่สามและเป็นกลยุทธ์สุดท้ายคือการผลักดันตัวเองขึ้นสู่ยอดปิรามิดแห่งการเรียนรู้ หรือ Pushing Up the Learning Pyramid แนวคิดนี้เน้นย้ำความสำคัญของการทดสอบความเข้าใจของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการหลอกตัวเองว่าเข้าใจมากกว่าที่เป็นจริง

ปิรามิดแห่งการเรียนรู้ประกอบด้วย 6 ระดับ โดยเริ่มจากการเข้าใจแนวคิดเบื้องต้น ไปจนถึงการสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากความรู้ที่ได้รับ การก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นของปิรามิดจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเราเข้าใจแนวคิดนั้นอย่างถ่องแท้และจะไม่ลืมมันไปอย่างง่ายดาย

เริ่มจากระดับแรก คือการทบทวนสิ่งที่เราเพิ่งเรียนรู้อย่างจริงจัง เช่น หลังจากอ่านบทความเกี่ยวกับการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ ให้ปิดหนังสือและพยายามทบทวนประเด็นสำคัญที่เพิ่งอ่าน การวิจัยในปี 2008 พบว่านักเรียนที่ทดสอบตัวเองทันทีหลังจากอ่านเนื้อหาใหม่ สามารถจำเนื้อหาได้มากกว่าโดยเฉลี่ยถึง 80%

ก้าวสู่ระดับที่สองด้วยการอธิบายสิ่งที่เรียนรู้ด้วยคำพูดของตัวเอง เช่น อธิบายการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ว่า “เป็นวิธีการปลูกพืชที่ไม่ต้องใช้ดิน เพราะพืชได้รับสารอาหารที่จำเป็นจากสารละลายที่หล่อเลี้ยงรากโดยตรง คล้ายกับการให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดในโรงพยาบาลที่ควบคุมการไหลของสารอาหารให้กับผู้ป่วย”

ระดับที่สามคือการนำความรู้ใหม่ไปใช้จริง เช่น ลองปลูกสตรอว์เบอร์รีแบบไฮโดรโปนิกส์โดยใช้ข้อมูลที่เพิ่งเรียนรู้ การลงมือปฏิบัติจริงช่วยให้เราเห็นช่องว่างในความเข้าใจและเรียนรู้จากความผิดพลาด

ระดับที่สี่คือการวิเคราะห์ผลลัพธ์ของสิ่งที่เราได้เรียนรู้และนำไปใช้ เช่น ประเมินผลลัพธ์ของสตรอว์เบอร์รีที่ปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เพื่อดูว่าความเข้าใจของเรามีข้อบกพร่องในด้านใดหรือไม่ และพิจารณาว่าต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม

สุดท้าย ระดับที่ห้าและหกคือการสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากความรู้ที่ได้รับ เช่น สร้างคู่มือการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ที่ละเอียดสำหรับผู้เริ่มต้น หรืออาจพัฒนาระบบไฮโดรโปนิกส์รูปแบบใหม่ที่แก้ไขปัญหาที่พบจากประสบการณ์ของตัวเอง

การก้าวขึ้นสู่ยอดปิรามิดแห่งการเรียนรู้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจในบางครั้ง เราอาจรู้สึกโง่เขลาหรือไม่มั่นใจเมื่อต้องอธิบายสิ่งที่เพิ่งเรียนรู้ หรือเมื่อต้องเผชิญกับความล้มเหลวในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ แต่นี่คือราคาที่เราต้องจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งความเข้าใจอย่างแท้จริงและความเชี่ยวชาญในที่สุด

ในการเดินทางแห่งการเรียนรู้ของเรา มักจะมีช่วงเวลาที่รู้สึกว่าการเรียนรู้หยุดชะงัก เราอาจรู้สึกว่าไม่ก้าวหน้าหรือไม่เข้าใจบางสิ่งบางอย่างอย่างถ่องแท้ เมื่อถึงจุดนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทบทวนและปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ของเรา นี่คือโอกาสที่ดีในการนำกลยุทธ์การเรียนรู้ทั้งสามประการที่เราได้กล่าวถึงมาใช้:

  1. เริ่มต้นด้วยการมองหาโอกาสในการฝึกฝนหรือศึกษาทักษะหรือหัวข้อที่เกี่ยวข้องกันอย่างหลวม ๆ สองอย่างพร้อมกัน การทำเช่นนี้จะช่วยกระตุ้นสมองของเราให้มองเห็นความเชื่อมโยงใหม่ ๆ และอาจช่วยให้เราเข้าใจแนวคิดที่ยากได้ดีขึ้น
  2. ไม่จำกัดตัวเองอยู่กับแหล่งข้อมูลเดียว แต่พยายามเรียนรู้จากครูหรือแหล่งข้อมูลที่หลากหลายในเวลาเดียวกัน วิธีนี้จะช่วยให้เราไม่ติดขัดกับแนวคิดหรือวิธีการสอนแบบใดแบบหนึ่ง และเปิดโอกาสให้เราได้เห็นมุมมองที่แตกต่างซึ่งอาจช่วยให้เข้าใจได้ดีขึ้น
  3. ท้าทายตัวเองอยู่เสมอด้วยการทดสอบความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการทบทวน การอธิบายให้ผู้อื่นฟัง การนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง การวิเคราะห์ผลลัพธ์ และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากความรู้ที่ได้รับ

การใช้กลยุทธ์การเรียนรู้ทั้งสามประการนี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราก้าวข้ามอุปสรรคในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรากลายเป็นยอดนักเรียนรู้ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์

การเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่เพียงแต่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จในอาชีพการงานเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของเราในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ การดูแลสุขภาพ หรือการค้นพบความหมายและเป้าหมายในชีวิต การเป็นยอดนักเรียนรู้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของการสะสมความรู้ แต่เป็นการเปิดประตูสู่โอกาสและประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ชีวิตของเราเติมเต็มและมีความหมายมากขึ้น

Jonathan Levy ผู้เขียนหนังสือ “The Only Skill That Matters” ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเรียนรู้วิธีการเรียนรู้ และหนังสือของเขาให้ข้อคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ซึ่งถือเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้

ในท้ายที่สุด การเรียนรู้คือการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่ละก้าวที่เราก้าวไปบนเส้นทางนี้ไม่เพียงแต่นำเราเข้าใกล้เป้าหมายเท่านั้น แต่ยังเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ ให้เราได้สำรวจต่อไป

ดังนั้น จงเปิดใจให้กว้าง ท้าทายตัวเองอยู่เสมอ และอย่าลืมว่าทุกประสบการณ์ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ล้วนเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต ด้วยทัศนคติเช่นนี้ และการใช้กลยุทธ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ เราทุกคนสามารถพัฒนาตนเองให้ประสบความสำเร็จในทุกด้านของชีวิตได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ The Only Skill that Matters: The Proven Methodology to Read Faster, Remember More, and Become a SuperLearner โดย Jonathan A. Levi

ทำไมคุณถึงขาดแรงจูงใจ? กับ 5 เทคนิคลับจากผู้เชี่ยวชาญที่จะทำให้คุณมีแรงจูงใจแบบไม่มีวันหมด

หลายคนอาจรู้สึกว่าตนเองกำลังสูญเสียแรงจูงใจไป แต่ความจริงแล้ว เราไม่ได้สูญเสียแรงจูงใจ เพราะแรงจูงใจไม่ใช่สิ่งที่เราเป็นเจ้าของตั้งแต่แรก แรงจูงใจเป็นทักษะที่เราสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ บทความนี้จะนำเสนอเคล็ดลับในการสร้างและรักษาแรงจูงใจ โดยอ้างอิงจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที Ted Talks โดย Ayelet Fishbach ศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมศาสตร์และการตลาดจาก University of Chicago ที่มาแบ่งปันเคล็ดลับที่ได้รับการสนับสนุนจากการวิจัยเกี่ยวกับแรงบันดาลใจกว่า 20 ปี โดยนำเสนอวิธีการง่าย ๆ เกี่ยวกับวิธีเพิ่มประสิทธิภาพเป้าหมายของเรา เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความสำเร็จ และหลีกเลี่ยงการผัดวันประกันพรุ่งที่ล่อตาล่อใจเรา

เข้าใจธรรมชาติของแรงจูงใจ

แรงจูงใจไม่ใช่เรื่องของความแข็งแกร่งทางจิตใจ แต่เป็นเรื่องของทักษะ แม้เราไม่สามารถบังคับตัวเองให้มีแรงจูงใจได้ แต่เราสามารถเรียนรู้วิธีการสร้างสภาพแวดล้อมและสภาวะทางจิตใจที่เอื้อต่อการเกิดแรงจูงใจได้

การสร้างแรงจูงใจเริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายที่เหมาะสม เป้าหมายที่ดีควรมีแรงจูงใจภายใน นั่นคือ เราควรตื่นเต้นกับกระบวนการทำงานเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้น ไม่ใช่แค่ตื่นเต้นกับผลลัพธ์สุดท้ายเท่านั้น

งานวิจัยพบว่า เป้าหมายส่วนใหญ่ถูกละทิ้งไม่ใช่เพราะมันไม่สำคัญ แต่เป็นเพราะผู้คนไม่สนุกกับการไล่ตามมัน ความสนุกเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำนายว่าเราจะยึดมั่นกับเป้าหมายหรือไม่ ดังนั้น เมื่อตั้งเป้าหมาย ให้พิจารณาว่าคุณจะสนุกกับกระบวนการทำงานเพื่อไปถึงเป้าหมายนั้นหรือไม่

เอาชนะปัญหาตรงกลาง

แรงจูงใจมักจะสูงเมื่อเราเพิ่งเริ่มต้นทำอะไรบางอย่างและเมื่อใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด แต่มักจะลดลงในช่วงกลาง นี่เรียกว่า “ปัญหาตรงกลาง (Middle Problem)” วิธีแก้ปัญหานี้คือการทำให้ช่วงกลางสั้นลง

ตัวอย่างเช่น การตั้งเป้าหมายการออกกำลังกายเป็นรายเดือน รายสัปดาห์ หรือแม้แต่รายวัน จะทำให้เรารู้สึกว่าใกล้ถึงจุดสิ้นสุดอยู่เสมอ ทำให้รักษาแรงจูงใจได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ เมื่อเผชิญกับอุปสรรคในช่วงกลาง วิธีที่ฉลาดคือการนำอีโก้ของเราออกไปจากสมการ เมื่อเรานำอีโก้ออกไป การเรียนรู้จะง่ายขึ้น เราสามารถมองความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา แทนที่จะรู้สึกท้อแท้หรือสิ้นหวัง

มองหาความไม่สบายชั่วคราว

แทนที่จะพยายามหลีกเลี่ยงความไม่สบาย ให้มองหาความไม่สบายชั่วคราว เพราะมันเป็นสัญญาณของการเติบโตและพัฒนา คำว่า “ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความก้าวหน้า” ไม่ได้ใช้ได้เฉพาะกับการออกกำลังกายเท่านั้น แต่เป็นกลยุทธ์การสร้างแรงจูงใจที่ใช้ได้ทั่วไป

ในการศึกษาที่ทำกับชมรมการแสดงด้นสด The Second City พบว่าเมื่อทำให้สมาชิกให้รู้สึกอึดอัดและไม่สบายขณะทำการฝึก พวกเขากลับมีความกล้ามากขึ้น อยู่บนเวทีนานขึ้น และพัฒนาตัวเองมากขึ้น

สร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายต่าง ๆ

ในชีวิตจริง เรามักมีหลายเป้าหมายพร้อมกัน เช่น การสร้างสมดุลระหว่างงานและครอบครัว แทนที่จะมองว่าเป้าหมายเหล่านี้ขัดแย้งกัน ให้มองว่ามันสามารถสร้างสมดุลและเสริมซึ่งกันและกันได้

ลองนึกถึงเป้าหมายของเราเหมือนจานอาหารรอบโต๊ะบุฟเฟ่ต์ เราสามารถสร้างการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบได้ บางทีอาจออกกำลังกายระหว่างทางไปทำงานและฟังพอดแคสต์ไปพร้อมกัน การหาความสมดุลและความกลมกลืนที่เหมาะสมจะช่วยให้เรารักษาแรงจูงใจในการทำเป้าหมายต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

จัดการกับสิ่งยั่วยุ

เป้าหมายบางอย่างอาจเป็น “สิ่งยั่วยุ” ที่ขัดขวางเป้าหมายหลักของเรา แทนที่จะพยายามผลักไสมันออกจากความคิด วิธีที่ฉลาดกว่าคือการคาดการณ์ล่วงหน้า เมื่อเราคาดการณ์ถึงสิ่งยั่วยุที่อาจเกิดขึ้น เราจะสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับมันจริง ๆ

ตัวอย่างเช่น ในการศึกษาหนึ่ง เมื่อเตือนพนักงานถึงทุกครั้งที่พวกเขาคิดที่จะนำอุปกรณ์สำนักงานไปใช้ส่วนตัว พวกเขามีแนวโน้มที่จะทำเช่นนั้นน้อยลง

ใช้ประโยชน์จากการสนับสนุนทางสังคม

เพื่อน ครอบครัว และคนรอบข้างมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อแรงจูงใจของเรา ในขณะเดียวกัน เราก็มีความสำคัญต่อพวกเขาเช่นกัน

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือครอบครัว Marie Curie ที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 4 รางวัล Marie Curie ไม่เพียงแต่พบคู่ชีวิตอย่าง Pierre Curie เท่านั้น แต่เธอยังพบผู้ที่ผลักดันให้เธอประสบความสำเร็จในงานวิจัย และยืนกรานให้เธอได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียม ครอบครัว Curie แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัวเพื่อไล่ตามเป้าหมาย

ในชีวิตประจำวัน เราทำงานร่วมกับผู้อื่น มีเป้าหมายร่วมกัน และสนับสนุนซึ่งกันและกัน การตระหนักถึงความสำคัญของการสนับสนุนทางสังคมนี้จะช่วยเสริมสร้างแรงจูงใจของเราได้

บทสรุป

แรงจูงใจไม่ใช่สิ่งที่เราสูญเสียไป แต่เป็นทักษะที่เราสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ ด้วยความเข้าใจในธรรมชาติของแรงจูงใจ การตั้งเป้าหมายที่เหมาะสม การจัดการกับปัญหาตรงกลาง การมองหาความไม่สบายชั่วคราว การสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายต่าง ๆ การจัดการกับสิ่งยั่วยุ และการใช้ประโยชน์จากการสนับสนุนทางสังคม เราสามารถสร้างและรักษาแรงจูงใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อคุณรู้สึกท้อแท้หรือขาดแรงจูงใจ จงจำไว้ว่า แรงจูงใจไม่ใช่เรื่องของความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจ แต่เป็นเรื่องของทักษะที่สามารถสร้างได้ และด้วยความรู้และเครื่องมือที่เหมาะสม เราทุกคนมีความสามารถในการสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเองได้แบบไม่มีวันหมด

References :
How to Set the Right Goals and Stay Motivated | Ayelet Fishbach | TED
https://youtu.be/g3CvsPAF3_0?si=PylSvYTrtiyQY1zG

ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ : How to Fail เปลี่ยนความล้มเหลวให้เป็นโอกาส กับบทเรียนจาก Elizabeth Day

คุณเคยรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวในชีวิตไหม? คุณกำลังดิ้นรนกับความผิดหวังและอุปสรรคอยู่หรือเปล่า? ถ้าเป็นเช่นนั้น หนังสือ “How to Fail” อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา

Elizabeth Day ได้นำเสนอมุมมองที่ลึกซึ้งและตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความล้มเหลว เธอเผยให้เห็นถึงพลังที่ซ่อนอยู่และศักยภาพในการเติบโตที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการยอมรับข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องของเรา

เนื้อหาสำคัญของหนังสือเล่มนี้ จะแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

  1. วัย 20 เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำผิดพลาดและเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น
  2. การล้มเหลวในความสัมพันธ์สามารถสอนเราได้มากมายเกี่ยวกับตัวเราเอง
  3. แม้ว่าเราจะประสบความสำเร็จในด้านหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พบกับความล้มเหลวในด้านอื่นๆ ของชีวิต

ประเด็นที่ 1: วัย 20 เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำผิดพลาดและเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น

แม้ว่าความล้มเหลวจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดี แต่มันก็มีบทเรียนสำคัญที่สอนเรา Elizabeth Day ยกตัวอย่างกรณีของ Dolly Alderton นักข่าวและนักเขียนขายดี ที่ถูกปฏิเสธจากวิทยาลัยที่เธอหวังไว้ ในตอนแรก Alderton รู้สึกช็อคมาก เพราะเธอไม่เคยประสบกับความล้มเหลวมาก่อน

แต่ในปัจจุบัน Alderton กลับรู้สึกขอบคุณสำหรับประสบการณ์นั้น เพราะมันเป็นการปลุกให้เธอตื่นจากความรู้สึกว่าตัวเองเจ๋งในช่วงต้นวัย 20 และช่วยเตรียมเธอให้พร้อมรับมือกับความเป็นจริงที่บางครั้งก็โหดร้ายของชีวิตผู้ใหญ่

วัย 20 เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเผชิญหน้ากับความล้มเหลวและเรียนรู้จากมัน เป็นช่วงเวลาที่เราได้เตรียมตัวสำหรับชีวิตผู้ใหญ่และค้นหาว่าเราเป็นใครและต้องการอะไรจากชีวิต แล้วเราจะเรียนรู้ได้อย่างไรถ้าไม่เคยสะดุดล้มเลย?

Day สะท้อนว่าเธอจริงจังกับการเริ่มอาชีพและการแต่งงานทันทีหลังจบมหาวิทยาลัยมากเกินไป ปัจจุบันเธอตระหนักว่าเธอไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น เธอควรใช้เวลามากขึ้นในการค้นหาสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ

ดังนั้น หากคุณอยู่ในวัย 20 และรู้สึกว่าตัวเองกำลังล้มเหลว อย่าเพิ่งกังวลไป จงมองว่านี่เป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต

ประเด็นที่ 2: การล้มเหลวในความสัมพันธ์สามารถสอนเราได้มากมายเกี่ยวกับตัวเราเอง

Day เล่าถึงประสบการณ์ความสัมพันธ์ของเธอในวัย 20 ที่นำไปสู่การแต่งงาน แต่น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์นั้นกลับไม่ราบรื่น เธอกลายเป็นแม่บ้านที่ต้องทำทุกอย่าง ทั้งทำอาหาร ทำความสะอาด และจ่ายตลาด ในขณะที่ยังต้องทำงานเต็มเวลาด้วย

เธอมักบอกกับตัวเองว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งที่สามารถจัดการงานบ้านทั้งหมดได้ แต่ความจริงแล้ว เธอกำลังให้ความสำคัญกับคู่ชีวิตมากกว่าความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเอง ท้ายที่สุด ความสัมพันธ์ของเธอก็ล้มเหลว

สิ่งนี้ส่งผลให้ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองของเธอลดลง และนำไปสู่การหย่าร้างในที่สุด แม้ว่าการหย่าร้างจะเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด แต่ Day ยอมรับว่ามันเป็นประสบการณ์ที่สำคัญมากสำหรับเธอ มันไม่เพียงแต่ช่วยให้เธอค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอ แต่ยังช่วยให้เธอตระหนักว่าเธอต้องการอะไรในชีวิต

หลังจากไตร่ตรองความสัมพันธ์ในอดีตของเธอ Day ก็ตระหนักได้ว่าเธอติดอยู่ในวงจรของการพยายามทำให้ตัวเองสมบูรณ์แบบด้วยคนอื่น ไม่นานเธอก็รู้สึกขอบคุณสำหรับแต่ละความสัมพันธ์และบทเรียนที่มันสอนเธอ

ประสบการณ์นี้ช่วยให้เธอกลับเข้าสู่การออกเดทอีกครั้งด้วยมุมมองใหม่ และเตรียมพร้อมสำหรับความสัมพันธ์ที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ในระหว่างที่ออกเดทใหม่ แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวบ้าง แต่มันก็ช่วยให้เธอเห็นว่าเธอยังคงต้องเรียนรู้วิธีหยุดเอาใจคนอื่นและเริ่มฟังเสียงของหัวใจตัวเอง

ความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวมักทำให้เรารู้สึกอยากปิดกั้นตัวเองและไม่ให้ใครเข้ามาใกล้ชิดอีก แต่หนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดที่ Day ได้เรียนรู้คือ การเปิดใจไว้เสมอ แม้ในยามที่เราเพิ่งผ่านความเจ็บปวดจากการอกหักมา

ประเด็นที่ 3: แม้ว่าเราจะประสบความสำเร็จในด้านหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พบกับความล้มเหลวในด้านอื่นๆ ของชีวิต

เป็นไปได้ที่คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจะยังรู้สึกไม่มีความสุข และอาจดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่คนที่มีแฟนคลับนับล้านหรือเงินทองมากมายจะไม่พอใจกับชีวิตของพวกเขา แต่ความจริงแล้ว เงินไม่สามารถซื้อความสุขได้เสมอไป Day พบว่าสิ่งนี้เป็นความจริงจากการวิจัยของเธอตลอดหลายปี

เธอได้พบกับคนมากมายที่เพิ่งร่ำรวยขึ้นมาหรือมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้รับประกันความสุข ในการสนทนากับนักแสดงชื่อดังอย่าง Robert Pattinson, Simon Pegg และ Nicole Kidman เธอได้เรียนรู้ว่าการมีชื่อเสียงมาพร้อมกับต้นทุนทางอารมณ์และความเป็นส่วนตัวที่สูง

ตัวอย่างเช่น Pattinson ต้องต่อสู้กับความรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่สามารถที่จะควบคุมชีวิตส่วนตัวของเขาได้ ส่วน Pegg กล่าวว่าเขามีความสุขมากกว่าตอนที่เขาเป็นนักแสดงระดับรองในรายการโทรทัศน์อังกฤษ หลังจากแสดงในภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ประสบความสำเร็จ เขาพบว่าตัวเองหลงทางในวงการบันเทิง ต้องใช้การจัดระเบียบชีวิตใหม่โดยให้ความสำคัญกับครอบครัวเพื่อให้เขากลับมาเป็นศูนย์กลางของชีวิตอีกครั้ง

Nicole Kidman ต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้าหลังจากที่เธอได้รับรางวัลออสการ์ วิธีเดียวที่จะค้นพบตัวตนอีกครั้งคือการออกไปสัมผัสธรรมชาติและหยุดพักจากการแสดงไปสักพัก ในที่สุดเธอก็สามารถประเมินค่าสิ่งที่สำคัญในชีวิตใหม่ และไม่นานเธอก็มีความสุขและพร้อมที่จะกลับมาทำงานอีกครั้ง

สิ่งสำคัญที่ควรจำไว้คือ เมื่อเรามองดูความล้มเหลวในชีวิตของเรา เราเป็นคนเดียวที่สามารถตัดสินได้ว่าประสบการณ์นั้นคือความสำเร็จหรือความล้มเหลว

ในความเป็นจริง เหตุการณ์ส่วนใหญ่สามารถเป็นได้ทั้งสองอย่าง ขึ้นอยู่กับมุมมองและทัศนคติของเราต่อสถานการณ์นั้นๆ

“How to Fail” โดย Elizabeth Day เป็นหนังสือที่นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับความล้มเหลว โดยชี้ให้เห็นว่าความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต หนังสือเล่มนี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่าความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบตัวเองและความสำเร็จในรูปแบบใหม่ได้

Day นำเสนอแนวคิดที่ว่า การยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองและการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเป็นกุญแจสำคัญสู่การพัฒนาตนเอง เธอกระตุ้นให้ผู้อ่านมองความล้มเหลวในแง่บวก และใช้มันเป็นเครื่องมือในการเติบโตทั้งในด้านส่วนตัวและอาชีพการงาน

หนึ่งในประโยคที่น่าประทับใจจากหนังสือคือ “ใช่ คุณอาจจะเจ็บปวด และการอกหักเป็นเรื่องที่ทำให้ใจสลายเสมอ แต่มันไม่เคยถึงตาย และมันจะดีขึ้น” ประโยคนี้สะท้อนให้เห็นถึงความหวังและกำลังใจที่ Day พยายามมอบให้กับผู้อ่าน แม้ในยามที่เผชิญกับความยากลำบากที่สุด

References :
หนังสือ How to Fail: Everything I’ve Ever Learned From Things Going Wrong โดย Elizabeth Day
https://andsoshethinks.wordpress.com/2019/04/05/elizabeth-day-how-to-fail/