AI x Big Four เมื่อ PwC ทดลองแชทบอท ChatGPT เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงานของทนายความ

สงครามของโลกธุรกิจยุคใหม่มันได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อการเกิดขึ้นของ ChatGPT แม้ในตอนนี้มันอาจจะไม่สมบูรณ์ 100% แต่หากธุรกิจใดเริ่มก่อน ก็สามารถที่ช่วงชิงความได้เปรียบก่อนอย่างแน่นอน

ในอุตสาหกรรม Consultant หรือ บริษัทตรวจสอบบัญชีก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้เริ่มนำเอาเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT 4 เข้ามาช่วยเหลือพวกเขา โดยเฉพาะเกี่ยวกับงานด้านเอกสารต่าง ๆ

PricewaterhouseCoopers (PwC) ได้ประกาศการทดลองแชทบอทที่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความเร็วการทำงานของทนายความ 4,000 คน ซึ่งเป็นสัญญาณล่าสุดที่บริษัทผู้ให้บริการมืออาชีพต่างเร่งนำ AI มาใช้จริงในการดำเนินธุรกิจ

PwC ได้ทำสัญญา 12 เดือนกับสตาร์ทอัพที่มีชื่อว่า Harvey ซึ่งจะช่วยให้นักกฎหมายเข้าถึง AI ทางกฎหมาย ซึ่ง PwC กล่าวว่าจะช่วยให้พวกเขาทำงานได้เร็วขึ้น เช่น การวิเคราะห์สัญญาและดำเนินการตรวจสอบสถานะต่าง ๆ ของคดีความ

บริษัท Big Four กล่าวว่ามีแผนที่จะหาวิธีใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการปฏิบัติงานด้านภาษีด้วยเช่นกัน

นับตั้งแต่เปิดตัว ChatGPT แชทบอท AI ที่พัฒนาโดย OpenAI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft ได้กระตุ้นความสนใจในศักยภาพของเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพ

ซอฟต์แวร์ของ Harvey สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีล่าสุดของ OpenAI นั่นคือ GPT-4 ซึ่งบริษัทกล่าวว่าดูเหมือนจะมีความสามารถในการให้เหตุผลทางกฎหมายที่ดีกว่ารุ่นก่อนเป็นอย่างมาก

Carol Stubbings ผู้บริหารที่ดูแลด้านภาษีและกฎหมายระดับโลกของ PwC กล่าวว่า เทคโนโลยีดังกล่าว “ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในบริการด้านภาษีและกฎหมายทั่วทั้งอุตสาหกรรม”

บริษัทกล่าวว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยเร่งการตัดสินใจโดยการสร้างคำตอบสำหรับคำถาม ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบและเพิ่มเข้าไปข้อมูลที่ได้รับมาเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ChatGPT สามารถวิเคราะห์ข้อความจำนวนมหาศาลและเขียนคำตอบที่น่าเชื่อถือสำหรับคำถามได้ จึงสามารถใช้สรุปสาระสำคัญจากชุดสัญญาต่างๆ ได้ และท้ายที่สุดเพื่อจัดทำรายงานการตรวจสอบสถานะเบื้องต้นตามคำแนะนำจากทนายความ

บริษัท Big Four กล่าวว่ามีแผนที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ของตนเองสำหรับลูกค้าด้านภาษีและกฎหมายโดยใช้แพลตฟอร์มของ Harvey

ไม่แทนที่แค่นำมาช่วยเหลือ

PwC จะไม่ใช้ AI เพื่อให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและจะไม่แทนที่นักกฎหมาย แน่นอนว่าการมองหาวิธีการใช้ AI ของอุตสาหกรรมบริการระดับมืออาชีพถือเป็นพัฒนาการที่น่าสนใจในการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องสู่ระบบอัตโนมัติของงานที่มีลักษณะซ้ำซากจำเจ

ทั้งนี้ Bain & Co และ Boston Consulting Group กำลังทดลองใช้ OpenAI เช่นเดียวกัน รวมถึงบริษัทกฎหมาย Allen & Overy ที่มีการใช้ Harvey อยู่แล้ว และได้ออกมายืนยันว่าเทคโนโลยีนี้จะไม่แทนที่พนักงานคนใด พวกเขามองว่ามันจะช่วยลดต้นทุนของธุรกิจได้ในอนาคต

Robin AI ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Harvey กล่าวว่าได้ให้บริการแก่ที่ปรึกษา Big Four สองแห่งและสำนักงานกฎหมาย Clifford Chance ซึ่งใช้ซอฟต์แวร์เพื่อตรวจสอบและแก้ไขสัญญา บริการของพวกเขาสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีที่พัฒนาโดย Anthropic บริษัทสตาร์ทอัพของสหรัฐฯ

“เป้าหมายคือทำให้งานที่มีปริมาณมากที่ซ้ำซากจำเจเป็นไปโดยอัตโนมัติซึ่งไม่ควรใช้มนุษย์มาทำสิ่งเหล่านี้” Richard Robinson ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Robin กล่าว

กลัวความลับรั่วไหล

แม้จะมีความสนใจอย่างกว้างขวาง แต่ที่ปรึกษาบางคนกังวลเกี่ยวกับผลที่ตามมาของข้อมูลและการรักษาความลับ

บริษัทด้าน Consultant ชื่อดังอย่าง Accenture ได้ห้ามไม่ให้พนักงานใช้ ChatGPT และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่คล้ายกัน โดยไม่ได้รับอนุญาต 

บริษัทซึ่งมีพนักงานมากกว่า 700,000 คน แจ้งพนักงานในอีเมล โดยได้มีการปรับปรุงนโยบายเกี่ยวกับการรักษาความลับและการใช้เทคโนโลยีเพื่อป้องกันการเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน นอกจากนี้ยังกล่าวว่าบริษัทกำลังจัดตั้ง “centre of excellence” ด้าน AI เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าว

สำนักงานกฎหมายของเมือง Mishcon de Reya ได้บอกกับพนักงานว่าอย่าอัปโหลดข้อมูลลูกค้าไปยังเครื่องมือแชทบอทเหล่านี้ บริษัทกล่าวว่าทีมวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักกฎหมายบางคนกำลังหารือกันว่าบริษัทจะใช้เทคโนโลยีนี้ได้อย่างไร

บทสรุป

ลองจินตนาการสิ่งที่เกิดขึ้นจริงสำหรับเหล่าพนักงานในองค์กรต่าง ๆ หากได้ใช้งาน ChatGPT อย่างจริงจัง แน่นอนว่ามันต้องมีข้อมูลความลับของบริษัทที่อาจจะรั่วไหลออกไปได้เป็นเรื่องปรกติอยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับ ที่เราต้องไปค้นหาสิ่งต่าง ๆ ใน Google เราก็มักจะไม่ได้คำนึงถึงจุดเหล่านี้เช่นเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับองค์กรธุรกิจเป็นอย่างมาก

แต่อย่างไรก็ดี แม้เทคโนโลยีจะยังไม่พร้อมสมบูรณ์แบบ 100% อย่างที่หลายๆ คนคาดหวัง แต่ธุรกิจไหนเริ่มต้นก่อน ก็มีโอกาสได้เปรียบก่อน และได้เห็นถึงศักยภาพมันได้ก่อนใคร ซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจในยุค AI First ในวันข้างหน้านั่นเองครับผม

References :
https://www.ft.com/content/463f8cc1-9feb-46ac-a14e-7826c87e2bf4
https://www.ft.com/content/baf68476-5b7e-4078-9b3e-ddfce710a6e2
https://techcrunch.com/2022/11/23/harvey-which-uses-ai-to-answer-legal-questions-lands-cash-from-openai/
https://rivaltimes.com/ai-reaches-the-big-four-4000-professionals-from-one-of-the-large-consultancies-receive-a-text-generator-similar-to-chatgpt-to-streamline-their-work/

AI x Copyright เมื่อผลงานจาก AI อาจได้รับลิขสิทธิ์ที่ถูกต้องได้ตามกฎหมาย

ปัญหาใหญ่ของวงการ AI คือข้อมูลที่มันได้ทำการ training มา โดยเฉพาะเหล่างานศิลปะทั้งหลายที่ถูกคัดลอกกันเป็นว่าเล่น เพราะ AI เหล่านี้มันไม่ได้สร้างสรรค์มันด้วยสมองของมันเอง แต่มันได้รับเอาข้อมูลจากงานของคนอื่นแล้วสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ออกมา

ระบบ AI ใหม่ ๆ เช่น MidJourney , ChatGPT และ DALL-E ซึ่งสร้างทั้งข้อความและรูปภาพเพื่อตอบสนองต่อคำสั่งของมนุษย์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ลิขสิทธิ์นั้นเป็นทรัพย์สินทางปัญญารูปแบบหนึ่งที่คุ้มครองงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ เช่น วรรณกรรม ดนตรี ศิลปะ และซอฟต์แวร์

กฎหมายด้านลิขสิทธิ์ให้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานเหล่านี้ในการควบคุม ผลิตซ้ำ การแจกจ่าย และการใช้ผลงานสร้างสรรค์ของตน ซึ่งหมายความว่าเฉพาะผู้สร้างงานหรือผู้ที่ได้รับอนุญาตจากผู้สร้างสรรค์เท่านั้นที่สามารถทำซ้ำ แจกจ่าย หรือใช้ผลงานในลักษณะใดลักษณะหนึ่งได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

หากเรามาลองไล่เรียงเทคโนโลยีสุดฮ็อตล่าสุดอย่าง ChatGPT เองนั้น เป็นระบบที่ได้รับการฝึกฝนในชุดข้อมูลขนาดใหญ่ของข้อความและสามารถที่จะสร้างการตอบสนองในลักษณะที่เหมือนมนุษย์

อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญก็คือการตอบกลับจาก ChatGPT นั้นอาจมีข้อมูลที่ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายลิขสิทธิ์ เช่น ข้อความหรือรูปภาพที่คัดลอกมาจากแหล่งอื่น

แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วผลลัพธ์ของ ChatGPT จะไม่ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาของบุคคลที่สามที่อาจเกี่ยวข้องและผู้ที่ใช้งานมันต้องแน่ใจว่าจะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์เหล่านั้นในผลงานของตัวเองใหม่ที่ถูกสร้างสรรค์จากคำตอบของ ChatGPT

สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาของบุคคลที่สามที่อาจเกี่ยวข้องจาก ChatGPT (CR:Youtube)
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาของบุคคลที่สามที่อาจเกี่ยวข้องจาก ChatGPT (CR:Youtube)

ความน่าสนใจก็คือ สำนักงานลิขสิทธิ์ของอเมริกาได้ออกคำแนะนำใหม่ เมื่อชี้แจงว่า งานศิลปะที่สร้างขึ้นด้วยความช่วยเหลือของปัญญาประดิษฐ์มีสิทธิ์ที่จะได้รับลิขสิทธิ์เหมือนกัน

ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับ คำอธิบายที่ออกมาก็คือ การคุ้มครองลิขสิทธิ์จากผลงานพวกนี้นั้นขึ้นอยู่กับว่าการมีส่วนร่วมของ AI เป็นผลลัพธ์ จากการผลิตซ้ำหรือไม่ หรือ เป็นสิ่งที่สร้างจากความคิดของผู้สร้างมันขึ้นมาเอง

เดิมทีก่อนหน้านั้น สำนักงานด้านลิขสิทธิ์ปฏิเสธผลงานจากสิ่งเหล่านี้แทบจะทั้งหมด แต่ตอนนี้ได้มีนโยบายที่เปลี่ยนไป และเริ่มมองจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานของเครื่องมือ AI และวิธีการใช้เพื่อสร้างผลลัพธ์ในขั้นตอนสุดท้าย

เอาจริง ๆ เมื่อเทียบกับโลกแห่งความจริง งานศิลปะหลาย ๆ อย่าง มันก็ได้รับอิทธิผลจากผู้สร้างสรรค์คนอื่น ๆ เช่นเดียวกัน แม้จะไม่ได้ใช้ AI ช่วย แต่มนุษย์เรามักมีแรงบันดาลใจจากสิ่งต่าง ๆ อยู่เสมอ ทั้งงานด้านภาพ ทั้งภาพวาด ภาพถ่าย ดนตรี หรือแม้กระทั่งงานเขียนเองก็ตามที

ซึ่งความหมายก็คือ AI แค่ช่วยเร่งระยะเวลาในการสร้างแรงบันดาลใจเหล่านี้ให้เร็วยิ่งขึ้น แทนที่มนุษย์อาจจะต้องใช้เวลาสะสมประสบการณ์ การดูภาพถ่าย ภาพวาด หรืองานเขียนเป็นเวลานานแสนนาน เพื่อมาสร้างสรรค์งานของตัวเอง แต่ AI มันทำได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที

มีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงแล้วนั่นก็คือภาพที่สร้างโดย Midjourney ในหนังสือการ์ตูนเรื่อง “Zarya of the Dawn” ของ Kris Kashtanova นั้นถือว่าได้รับลิขสิทธ์ที่ถูกต้อง

ภาพที่สร้างโดย Midjourney ในหนังสือการ์ตูนเรื่อง "Zarya  of the Dawn" (CR:Onmanorama)
ภาพที่สร้างโดย Midjourney ในหนังสือการ์ตูนเรื่อง “Zarya of the Dawn” (CR:Onmanorama)

นั่นคือการดัดแปลงและการเรียบเรียงใหม่อย่างสร้างสรรค์ของงานที่สร้างโดย AI เช่นการ์ตูนของ Kashtanova นั้นยังคงมีลิขสิทธิ์ได้ เครื่องมือทางเทคโนโลยีสามารถเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการในการสร้างสรรค์งานได้เช่นเดียวกัน

แต่ทางสำนักงานได้ปิดท้ายไว้ว่า เหล่าผู้ขอลิขสิทธิ์ต้องเปิดเผยอย่างชัดเจนเมื่อผลงานของพวกเขามีเนื้อหาที่สร้างโดย AI ซึ่งในปัจจุบันนั้นศิลปินหรือเหล่า creator ทั้งหลายต่างเลือกที่จะปิดบังมันมากกว่านั่นเองครับผม

References :
https://www.madhusudangaire.com.np/ChatGPT-OpenAI/ChatGPT-copyright-legal-or-not.html
https://www.reuters.com/world/us/us-copyright-office-says-some-ai-assisted-works-may-be-copyrighted-2023-03-15
https://www.cliffordchance.com/insights/resources/blogs/talking-tech/en/latest-articles/browse-by-topic/artificial-intelligence.html

Cyprus Moment x Silicon Valley Bank ประวัติศาสตร์ไม่ได้ซ้ำรอยเสมอไป  แต่มันจะเกิดขึ้นในลักษณะที่คล้ายๆกัน

Bitcoin ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากวิกฤตการธนาคารในไซปรัสในเดือนมีนาคม 2013 โดยพุ่งขึ้นถึง 178% เป็น 93 ดอลลาร์ในเดือนนั้น และแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 265 ดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม 2013 ย้อนกลับไปในตอนนั้น มีรายงานของผู้ที่ถือครองเงินยูโรและรูเบิลรัสเซียที่เริ่มกระจายการลงทุนไปยัง bitcoin หลังจากเห็นการปิดตัวของธนาคารในไซปรัส

“เมื่อสิบปีที่แล้ว มีธนาคารแห่งหนึ่งในไซปรัสเต็มไปด้วยตู้เอทีเอ็มที่ว่างเปล่า เหตุการณ์นี้กระตุ้นราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้นครั้งใหญ่ที่สุด (ในแง่เปอร์เซ็นต์) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 45 ดอลลาร์ เป็น 260 ดอลลาร์ ในหนึ่งเดือน Cumberland ยักษ์ใหญ่ด้านการซื้อขาย crypto ทวีตเมื่อต้นวันจันทร์ที่ผ่านมา

ความน่าสนใจก็คือการล่มสลายของ Silicon Valley Bank (SVB) อาจเป็นข่าวดีสำหรับ bitcoin (BTC) เฉกเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับวิกฤติไซปรัส

วิกฤตไซปรัส ในปี 2013 ที่ตอกย้ำข้อบกพร่องในระบบธนาคารแบบดั้งเดิม และทำให้เหล่าผู้คนเริ่มหันมามองไปที่ BTC ที่ต่อต้านการเข้ามาควบคุมสิ่งต่าง ๆ ของธนาคารกลาง

วิกฤตการณ์ที่ SVB เริ่มขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่รุนแรงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน จาก 0.25% ไปที่ 4.75% ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีที่ผ่านมา เพื่อปราบเงินเฟ้อ และขณะเดียวกันก็เพิ่มต้นทุนทางการเงินด้วย

การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่รุนแรงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน (CR:9News)
การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่รุนแรงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน (CR:9News)

สิ่งนี้ส่งผลให้บริษัทที่ต้องใช้เงินลงทุนที่มาก และต้องเร่งขยายตลาด อย่าง Startup และธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) ซึ่งเป็น “ลูกค้าหลัก” ธนาคาร Silicon Valley หรือธนาคาร SVB ประสบปัญหาทางการเงิน ระดมทุนลำบาก จึงเลือกถอนเงินฝากจากธนาคาร SVB จำนวนมาก

การเข้าถอนเงินของบริษัท Startup จำนวนมาก ทำให้ธนาคาร SVB ขาดสภาพคล่อง เพราะเงินสำรองของธนาคารจำนวนมากอยู่ใน “พันธบัตรระยะยาว” 

ดังนั้น “เพื่อไม่ให้ผิดนัดชำระเงินฝากลูกค้า” ธนาคารจึงจำเป็นต้องขายขาดทุนพอร์ตพันธบัตรระยะยาวออกไป 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ รับรู้ขาดทุนจริงทันที 1.8 พันล้านดอลลาร์ และทำให้ขาดสภาพคล่อง

สิ่งที่ตามมาคือ Bank Run (การที่ผู้ฝากเงินเชื่อว่าธนาคารจะล้มละลาย เลยทำการถอนและปิดบัญชีเงินฝากเป็นจำนวนมาก) ผู้ฝาก SVB ต่างแเพื่อมาถอนเงิน โดยมีการถอนเงินฝากทั้งหมดถึง 42 พันล้านดอลลาร์ในวันพุธ ซึ่งเกือบ 25% ของฐานเงินฝากทั้งหมด 173 พันล้านดอลลาร์

Bank Run เกิดขึ้นเนื่องจากรูปแบบของ Fractional Banking ธนาคารต้องกันเงินที่ฝากไว้เป็นทุนสำรองเพียงบางส่วน ธนาคารใช้เงินฝากของลูกค้าเพื่อปล่อยสินเชื่อเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และให้ดอกเบี้ยเงินฝากของลูกค้า ซึ่งโดยปรกติระบบจะถือว่า ณ จุดใดก็ตาม จะไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง

อย่างไรก็ตาม สมมติฐานดังกล่าวถูกทำลายเมื่อความเชื่อมั่นของลูกค้าหมดไป เช่นเดียวกับในกรณีของ SVB ซึ่งนำไปสู่การถอนเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการขาดแคลนสภาพคล่องของธนาคาร

หน่วยงานกำกับดูแลมักจะเข้ามาหลังจากเกิดเหตุการณ์ Bank Run ทำการยึดหรือควบคุมเงินฝาก ทางออกของวิกฤตการธนาคารในไซปรัสในปี 2013 หน่วยงานกำกับดูแลได้เข้ามาจัดเก็บภาษี 15.6% กับผู้ฝากเงินที่มีฐานะร่ำรวย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเก็บภาษีจากบัญชีเงินฝากขนาดเล็ก

ในกรณีของ SVB หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐเข้าควบคุมเงินฝากและปิดธนาคารในวันศุกร์ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารของ Biden ประกาศว่าผู้ฝาก SVB ทุกคนสามารถเข้าถึงเงินของตนได้ตั้งแต่วันจันทร์ 

การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ Signature Bank (SBNY) ก็ถูกปิดไปเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสัญญาณของความตื่นตระหนกที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในภาคการธนาคาร

Signature Bank ที่ถูกปิดตามกันไป (CR:Reeuters)
Signature Bank ที่ถูกปิดตามกันไป (CR:Reuters)

แม้ว่ามาตรการที่ใช้เพื่อจัดการกับวิกฤต SVB จะไม่เข้มงวดเท่ากับมาตรการที่ใช้กับไซปรัส แต่มันได้ตอกย้ำประเด็นที่ว่าเงินของลูกค้าไม่ปลอดภัยในธนาคารที่มีการควบคุมอย่างที่เราเชื่อกัน 

ประเด็นนี้แตกต่างจาก bitcoin ในฐานะเครือข่ายแบบ peer-to-peer ที่กระจายอำนาจและสกุลเงินดิจิทัลที่มีการป้องกันการเข้ามายึดครองจากหน่วยงานใด ๆ ซึ่งเครือข่ายจะอำนวยความสะดวกในการดูแลเงินด้วยตนเอง

“Not your keys, not your coins” เป็นบทเรียนที่ต้องเรียนรู้เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” Mike Fay ผู้เขียน Blockchain Reaction กล่าวถึงนักลงทุน การล่มสลายของ SVB และ Silvergate Capital และวิกฤตการธนาคารในไซปรัสในปี 2013

“มันง่ายมากที่ผู้ฝากเงินจะรู้สึกสบายใจ แล้วมองอย่างโลกสวยว่าเหล่าสถาบันการเงินมีความปลอดภัยและได้รับการควบคุมอย่างดี แต่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าธนาคารสามารถทำการเดิมพันในสิ่งที่แย่ได้เช่นเดียวกัน” Fay กล่าวเสริม

และดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญเมื่อ Bitcoin มีราคาเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 15% ตั้งแต่วันศุกร์ โดยเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบสองเดือนใกล้ 22,500 ดอลลาร์

“ประวัติศาสตร์ไม่ได้ซ้ำรอยเสมอไป  แต่มันจะเกิดขึ้นในลักษณะที่คล้ายๆกัน” Cumberland กล่าวเสริม

References :
https://corporatefinanceinstitute.com/resources/economics/fractional-banking/
https://www.coindesk.com/markets/2023/03/13/silicon-valley-bank-crisis-a-cyprus-moment-for-bitcoin-crypto-observers/
https://www.bangkokbiznews.com/finance/1057560
https://www.siamturakij.com/news/315-วิกฤติ-ไซปรัส-สะเทือนโลก-แผนสหภาพธนาคารยูโรสะดุด

เบื่อหน่ายกับการศึกษา เมื่อแนวโน้มนักเรียนมัธยมในอเมริกาเลือกที่จะไม่เรียนต่อในมหาลัยเพิ่มสูงขึ้น

“ทำไมผมถึงอยากลงเงินทั้งหมดเพื่อไปซื้อกระดาษสักแผ่นที่ไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยจริงๆ” Grayson Hart ซึ่งเพิ่งจบการศึกษาระดับมัธยมปลายในเมืองแจ็กสัน รัฐเทนเนสซี ได้ให้ความเห็นกับอนาคตของชีวิตในมหาวิทยาลัยของเขา

หนึ่งปีหลังจบมัธยมปลาย Hart กำลังกำกับรายการละครเยาวชนในเมืองแจ็กสัน รัฐเทนเนสซี เขาได้รับคัดเลือกในทุกมหาวิทยาลัยที่เขาสมัครไป แต่เขาเลือกที่จะปฏิเสธมัน ค่าใช้จ่ายเป็นปัจจัยสำคัญ และการเรียนรู้ทางไกลหนึ่งปีในช่วงการแพร่ระบาดยังทำให้เขามีเวลาและความมั่นใจในการสร้างเส้นทางของตัวเอง

Hart เป็นหนึ่งในคนหนุ่มสาวหลายแสนคนที่โตขึ้นมาในช่วงที่มีการระบาดครั้งใหญ่และไม่เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย หลายคนหันไปหางานรายชั่วโมงหรืออาชีพที่ไม่ต้องการใบปริญญา ขณะที่อีกหลายคนถูกขวางกั้นด้วยค่าเล่าเรียนที่สูงเว่อร์จนเกินจริง

ในขณะที่สถิติการลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรีทั่วประเทศลดลง 8% จากปี 2019 ถึง 2022 ตามข้อมูลจาก National Student Clearinghouse อัตราการเข้าเรียนต่อในวิทยาลัยที่ลดลงนั้น เป็นสถิติที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ อ้างอิงจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ

เหล่านักเรียนที่เพิ่งจบมัธยมคิดว่ามันไม่คุ้มเลยที่จะจมอยู่กับกองหนี้สินที่พวกเขาต้องกู้มาเพื่อส่งเสียตัวเองเรียน

ตามรายงาน ของ Associated Press นักเศรษฐศาสตร์และนักวิชาการรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ในตอนแรกดูเหมือนเป็นแนวโน้มเพียงชั่วคราวของยุคการเรียนออนไลน์ในช่วงการแพร่ระบาดเท่านั้น แต่มันกลับดำเนินต่อไปหลังจากการกลับเข้ามาเรียนใน class แบบปรกติแล้วก็ตาม

ในขณะเดียวกันวิกฤตหนี้ของนักเรียนก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ รวมถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงานในประเทศที่เริ่มขยายวงกว้างขึ้น ทำให้แนวคิดในการเริ่มทำเงินทันทีหลังจากจบมัธยมปลายนั้นได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าผู้คนจำนวนมากขึ้นเริ่มเชื่อว่าการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกามีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป หรือปริญญาแทบไม่ได้ให้คุณค่าหรือประโยชน์เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา

ถึงกระนั้น ผู้ที่ส่งเสียงเตือนเกี่ยวกับความสนใจที่ลดลงในการลงทะเบียนเรียนในวิทยาลัย ซึ่งลดลงถึง 8 เปอร์เซ็นต์ระหว่างปี 2018 ถึง 2022 ตามข้อมูลจากสำนักงานแรงงานและสถิติของสหรัฐฯ ก็ไม่ผิดที่จะแนะนำว่าผู้สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยน้อยลงอาจทำให้การขาดแคลนแรงงานเพิ่มมากขึ้น การขาดแคลนในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การดูแลสุขภาพและการศึกษา ซึ่งประสบปัญหาอยู่แล้วก่อนยุคโควิด จะมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น

“ความคิดนี้ค่อนข้างอันตรายต่อความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจของประเทศเรา” Zack Mabel นักวิจัยจากจอร์จทาวน์ที่เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและเศรษฐศาสตร์กล่าว

ผลกระทบที่เลวร้ายที่สุด อาจเป็นการส่งสัญญาณถึงคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีความเชื่อมั่นในคุณค่าของปริญญาบัตร ผู้สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยที่น้อยลงอาจทำให้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในสาขาต่าง ๆ ตั้งแต่การดูแลสุขภาพไปจนถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ

สำหรับผู้ที่ละทิ้งการเรียนในมหาวิทยาลัย มักหมายถึงรายได้ตลอดชีพที่ลดลง ซึ่งน้อยกว่าผู้ที่จบปริญญาตรีถึง 75% ตามข้อมูลของ Center on Education and the Workforce ของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ และเมื่อเศรษฐกิจซบเซา ผู้ที่ไม่มีปริญญาก็มีแนวโน้มที่จะตกงานสูงกว่ามาก

สำหรับตัว Hart เขากำลังทำในสิ่งที่เขารักและช่วยเหลือชุมชนศิลปะที่กำลังเติบโตของเมือง ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับอนาคตของเขา งานของเขาจะมีรายได้เพียงพอในอนาคตหรือไม่ และเขาก็ยังไม่มีแผนที่ชัดเจนสำหรับ 10 ปีข้างหน้า

“ผมกังวลเกี่ยวกับอนาคต” เขากล่าว “แต่ตอนนี้ผมกำลังพยายามเตือนตัวเองว่าผมทำได้ดีในจุดที่ผมอยู่ และผมจะทำมันต่อไปทีละขั้น”

References :
https://futurism.com/americans-skipping-college
https://apnews.com/article/skipping-college-student-loans-trade-jobs-efc1f6d6067ab770f6e512b3f7719cc0
https://www.wuwm.com/2022-10-17/the-wisconsin-coalition-on-student-debt-answers-student-loan-forgiveness-questions

ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่ Youtube ควรจะแยกตัวออกจาก Alphabet

ธุรกิจวีดีโอสตรีมมิ่งกำลังถึงจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการกลับมาของ Bob Iger สู่ตำแหน่งผู้บริหารของ Disney และการกลับมาอีกครั้งของ Reed Hastings ที่ Netflix รวมถึงข่าวล่าสุดที่ว่า Susan Wojcicki จะลาออกจาก YouTube หลังจากเก้าปี นั่นถือได้ว่าเป็นสัญญาณที่สำคัญของธุรกิจนี้ 

สถานการณ์ที่เริ่มสั่นคลอนของบริษัทแม่อย่าง Alphabet เมื่อ Sundar Pichai กำลังต่อสู้กับสงครามในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก ChatGPT ของ Microsoft ซึ่งกำลังทำให้เกิดการรุกล้ำในธุรกิจที่เป็นเครื่องจักรทำเงินอย่างการค้นหาของ Google

ด้วยสถานการณ์ที่ตลาดโฆษณาออนไลน์ที่เริ่มชะลอตัวและการแข่งขันจาก TikTok ซึ่งเป็นแอปวิดีโอสั้นที่กำลังร้อนแรง ทำให้รายรับจากโฆษณาของ Youtube ลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สองเมื่อเทียบเป็นรายปี

YouTube ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของโลกของความบันเทิง ซึ่งสำหรับหลาย ๆ คนแล้ว มันเป็นทั้ง คู่มือdiy ตำราทำอาหาร ตู้เพลง ครูสอนโยคะ ช่องข่าว และสถานีด้านกีฬา ซึ่งทั้งหมดนี้รวมเป็นหนึ่งเดียวภายใต้แพลตฟอร์ม Youtube 

Youtube มีผู้ใช้ที่ใช้งานอยู่ 2.6 พันล้านคนต่อเดือนและมีรูปแบบการแบ่งรายได้ที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพที่ creator หลายล้านคนพึ่งพาเพื่อสร้างเนื้อหาออกมาอย่างต่อเนื่อง การตอบสนองต่อ TikTok โดยออกเวอร์ชั่น YouTube Shorts นั้นสามารถสร้างผู้ชมเฉลี่ยได้สูงถึง 5 หมื่นล้านครั้งต่อวัน

ข้อมูลที่เผยแพร่ในสัปดาห์นี้โดย Benedict Evans นักวิจารณ์ด้านเทคโนโลยี ตอกย้ำว่าแพลตฟอร์มนี้สามารถก้าวไปได้ไกลเกินกว่าสถานะที่อยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก

YouTube ได้บดบังความยิ่งใหญ่ของ Netflix ซึ่งตามการประมาณการของ Evans Youtube ได้จ่ายเงินให้กับเหล่า creator เกือบเท่าๆ กับที่ Netflix จ่ายให้กับการผลิตเนื้อหาที่ใช้งบประมาณมหาศาล ผู้ใช้ YouTube ระดับท็อปอย่าง MrBeast ได้สร้างฐานแฟนคลับที่ไม่ต่างจากรายการยอดนิยมของ Netflix

MrBeast ที่เป็น Youtuber ระดับท็อปได้สร้างฐานแฟนคลับที่ไม่ต่างจากรายการยอดนิยมของ Netflix (CR:Tubefilter)
MrBeast ที่เป็น Youtuber ระดับท็อปได้สร้างฐานแฟนคลับที่ไม่ต่างจากรายการยอดนิยมของ Netflix (CR:Tubefilter)

แม้ว่ารายได้ 29,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้วจะคิดเป็นประมาณ 1 ใน 10 ของรายได้ของ Alphabet แต่ Richard Broughton จากบริษัทวิจัย Ampere Analysis ชี้ให้เห็นว่ารายได้จากตลาดโฆษณาออนไลน์เหล่านี้เทียบเท่ากับเม็ดเงินก้อนใหญ่มาก ๆ เมื่อเทียบกับตลาดโฆษณาทางโทรทัศน์และธุรกิจ broadcast ทั่วโลกที่มีมูลค่า 140,000 ล้านดอลลาร์

ยิ่งไปกว่านั้น YouTube ยังมีรูปแบบรายได้จากเพลง , พอดคาสต์ และ YouTube TV และเช่นเดียวกับ Amazon และ Apple บริการสมัครสมาชิกบริการสตรีมมิ่งของพวกเขาก็สร้างรายได้มหาศาลเช่นกัน และพวกเขาเพิ่งควักเงิน 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดอเมริกันฟุตบอลในคืนวันอาทิตย์มาอีกด้วย 

เรียกได้ว่า Youtube สร้างกำแพงที่แข็งแกร่งในการปกป้องธุรกิจของตนเอง ทั้งภัยคุกคามของ TikTok จากจีน และพวกเขาจะเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับวิดีโอหน้าจอขนาดเล็กทั่วโลก ตั้งแต่คลิปที่ผู้ใช้สร้างขึ้นและการสตรีมไปจนถึงการถ่ายทอดสดกีฬาชั้นนำ

Wojcicki มีความผูกพันกับ Sergey Brin และ Larry Page เป็นอย่างมาก เพราะ Google ยุคแรก ๆ ได้เริ่มสร้างเครื่องมือค้นหาในโรงรถของเธอ ซึ่งเธอช่วยดึงความเป็นมืออาชีพของ Google มาสู่ YouTube อย่างไม่ต้องสงสัย 

หลังจากความยุ่งเหยิงในช่วงแรก ๆ ของ YouTube ที่ก่อตั้งขึ้นเพียงหนึ่งปีก่อนที่ Google จะเข้าซื้อในปี 2006 เมื่อ Wojcicki จากไป มันเป็นคำถามสำคัญที่ว่า YouTube ซึ่งตอนนี้เปรียบเสมือนได้ผ่านช่วงวัยรุ่นไปแล้ว จะได้รับประโยชน์จากความผูกพันกับยานแม่อย่าง Alphabet มากเท่าที่เคยเป็นมาหรือไม่ 

Tim Mulligan จาก MIDiA ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยอีกแห่งหนึ่งคิดว่า Alphabet อาจขัดขวางการเติบโตของ YouTube มากกว่าช่วยเหลือ 

ถึงเวลา spin off แล้วหรือยัง?

สำหรับ YouTube มีแรงสนับสนุนให้พวกเขาแยกตัวมากมาย อย่างแรกคือการโฟกัสที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมบันเทิง ไล่มาตั้งแต่ TikTok และสงครามการสตรีม ความเข้มข้นของการแข่งขันนั้นเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งสถานการณ์ในขณะนี้ของ Alphabet มีสิ่งอื่นๆ มากมายเกินกว่าจะให้ความสนใจ YouTube ได้อย่างเต็มที่ 

รวมถึงรูปแบบของธุรกิจ หากไม่มียักษ์ใหญ่ด้านการโฆษณาคอยครอบงำ Youtube ก็จะมีอิสระในการทดลองรายได้จากโมเดลธุรกิจอื่น ๆ ได้มากขึ้น

ส่วนเรื่องน่าปวดหัวที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานกำกับดูแล คดีที่ศาลสูงสุดตัดสินเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ว่า YouTube ละเมิดกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายโดยใช้อัลกอริทึมที่แนะนำวิดีโอของกลุ่มหัวรุนแรงหรือไม่  หรือแม้กระทั่ง Facebook เองก็ได้รับความเดือดร้อนจากเนื้อหาทางการเมืองมากมายในแพลตฟอร์มของพวกเขา 

แต่การเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่ใหญ่กว่า Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook ทำให้ YouTube เป็นเป้าหมายที่น่าสนใจกว่า เนื่องด้วยความสามารถในการขยายบริการต่างๆ เช่น YouTube TV ไปทั่วโลกอาจถูกตัดแข้งตัดขาโดยข้อกังวลด้านกฎระเบียบเกี่ยวกับขนาดของ Alphabet ที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ

และการตอบสนองอย่างตื่นตระหนกของ Sundar Pichai ต่อ ChatGPT ซึ่งเป็นหุ้นส่วนด้าน AI ระหว่าง Microsoft และสตาร์ทอัพชื่อดังอย่าง Open AI ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของเขา 

สถานการณ์ของ ChatGPT ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของ Sundar Pichai (CR:vnexpress)
สถานการณ์ของ ChatGPT ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของ Sundar Pichai (CR:vnexpress)

การแยกตัวออกจาก Alphabet ของ Youtube จะส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า Alphabet สามารถทุ่มเทสรรพกำลังไปยังเทคโนโลยี AI ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังช่วยให้ Alphabet สามารถแก้ข้อขรหาจากกระทรวงยุติธรรม ( doj ) ซึ่งในเดือนมกราคมได้ฟ้อง Google เกี่ยวกับการผูกขาดเทคโนโลยีโฆษณาดิจิทัลซึ่ง Alphabet ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าว 

การประเมินมูลค่าของ YouTube ในฐานะบริษัทมหาชนอาจจะพุ่งสูงขึ้นมาก ด้วยยอดขายโฆษณาใกล้เคียงกับรายได้ของ Netflix ที่ 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ไม่นับรวมคลังเพลงกว่า 80 ล้านรายการและสมาชิกระดับพรีเมียมหรือรายได้จาก Youtube TV

Laura Martin จาก Needham ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุน ประเมินว่ามูลค่าของ Youtube อาจมีมูลค่าอย่างน้อย 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมีมูลค่ามากกว่า Disney และ Netflix ถึงสองเท่า

แต่มันก็จะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญทางธุรกิจของผู้ก่อตั้งทั้งสองนั่นเพราะว่า Page และ Brin ควบคุมสิทธิ์ในการออกเสียงของ Alphabet มากกว่าครึ่งหนึ่ง และ Alphabet คงไม่ต้องการเป็นยักษ์ใหญ่แห่งเทคโนโลยีรายแรกที่เริ่มเทขายแหล่งทำเงินหลักของตัวเอง 

ฟากฝั่งของ TikTok ซึ่งเป็นของชาวจีน ดูเหมือนจะไม่เร่งรีบที่จะทำ IPO ออกสู่สาธารณะ นักลงทุนน่าจะชอบที่จะได้ครอบครองหุ้นบริษัทของชาวอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นบริษัทที่ครอบครองตั้งแต่คลิปที่ผู้ใช้สร้างขึ้น ,การสตรีม , การถ่ายทอดสดกีฬาชั้นนำไปจนถึงรายการโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ของโลกดั่งที่เราได้เห็นในทุกวันนี้นั่นเองครับผม

References :
https://www.cnbc.com/2019/10/29/analyst-alphabet-should-spin-off-youtube-would-be-worth-300-billion.html
https://fourweekmba.com/who-owns-youtube/
https://www.economist.com/business/2023/02/23/its-time-for-alphabet-to-spin-off-youtub
https://tek2day.com/2023/02/21/spin-off-youtube-and-google-cloud/
https://www.gizmodo.com.au/2023/02/youtubes-ceo-resigns/