From Nothing to Something : ถอดรหัสความสำเร็จ Carl Pei กับการปฏิวัติวงการสมาร์ทโฟน

ในโลกของเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การสร้างสตาร์ทอัพด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสมาร์ทโฟน เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ แต่ Carl Pei ผู้ร่วมก่อตั้ง OnePlus และปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Nothing ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามันเป็นไปได้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ

Carl Pei เริ่มต้นเส้นทางในวงการเทคโนโลยีตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยความหลงใหลในอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ เขาเล่าว่า “ผมเป็นคนชอบเครื่องมือเทคโนโลยีมาตั้งแต่เด็ก ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นคนแรกๆ ในสวีเดนที่มี iPod และผมแน่ใจว่าผมเป็นคนแรกในกลุ่มเพื่อนๆ ที่มี iPhone” ความหลงใหลนี้นำพาเขาไปสู่การทำงานในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนที่กำลังเติบโตในประเทศจีน

การเดินทางของ Carl ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เขาเผชิญกับความท้าทายมากมายในการสร้างธุรกิจของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาตัดสินใจก่อตั้ง Nothing หลังจากออกจาก OnePlus

ในปี 2020 เขาเล่าถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากในการระดมทุนและหาพันธมิตรทางธุรกิจ “เรายังถูกปฏิเสธจากโรงงานหลายแห่งที่ผลิตโทรศัพท์ด้วย อย่าง Foxconn ตอนนั้น Foxconn เคยทำงานกับสตาร์ทอัพที่ทำโทรศัพท์มาแล้ว 5 ราย และทั้ง 5 รายนั้นล้มเหลวหมด”

แม้จะเจอกับอุปสรรคมากมาย Carl ไม่ยอมแพ้ เขาตัดสินใจเริ่มต้นด้วยการผลิตหูฟังไร้สายก่อน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเรียนรู้กระบวนการผลิต แต่แม้แต่การผลิตหูฟังก็ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย “โรงงานเดียวที่ยอมทำงานกับเราคือโรงงานที่ไม่มีลูกค้าอื่นเลย ถ้าไม่มีเรา พวกเขาก็จะล้มละลาย” Carl เล่า

ความยากลำบากไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น เมื่อผลิตภัณฑ์แรกของ Nothing คือหูฟัง Ear (1) เริ่มวางจำหน่าย พวกเขาพบว่าประมาณ 90% ของสินค้าในล็อตแรกมีปัญหาในการชาร์จ

นี่เป็นช่วงเวลาวิกฤตที่ Carl และทีมต้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน “เราเช่าอพาร์ตเมนต์สองห้องใกล้ๆ โรงงานทันที และเราส่งวิศวกร 15 คนไปอยู่ที่นั่น โดยพื้นฐานแล้ววิศวกรของเรากลายเป็นผู้จัดการโรงงานไปโดยปริยาย คอยดูแลทุกส่วนของโรงงานให้ผลิตตามข้อกำหนดของเรา” Carl เล่าถึงวิธีที่พวกเขาจัดการกับวิกฤตครั้งนั้น

ความพยายามของพวกเขาไม่สูญเปล่า ในที่สุด Nothing ก็สามารถขายหูฟัง Ear (1) ได้ถึง 600,000 ชิ้นในปีแรก นี่เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้พวกเขาสามารถก้าวไปสู่การผลิตสมาร์ทโฟนได้ในที่สุด

Carl เน้นย้ำถึงความสำคัญของการอยู่รอดในธุรกิจฮาร์ดแวร์ “ในการไม่มีทางเลือกอื่น มันบังคับให้คุณต้องอยู่รอด” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าแต่ละครั้งที่พวกเขาเผชิญกับอุปสรรค พวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น มีกระบวนการทำงานที่ดีขึ้น และมีทีมที่ดีขึ้น

นอกจากการเอาชนะความท้าทายด้านการผลิตแล้ว Nothing ยังให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์และชุมชนผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง

Carl อธิบายว่า “ผู้ใช้ปัจจุบันของเราบางส่วนเป็นคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยี และบางส่วนเป็นคนสร้างสรรค์ คนที่ชอบการออกแบบ ชอบแฟชั่นและดนตรี” การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการออกแบบที่สวยงามเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ Nothing

หนึ่งในนวัตกรรมที่โดดเด่นของ Nothing คือ อินเตอร์เฟซ Glyph บนสมาร์ทโฟนของพวกเขา Carl อธิบายแนวคิดเบื้องหลังว่า “เราต้องการให้ผู้คนสามารถพลิกโทรศัพท์และรู้ถึงสิ่งสำคัญทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นผ่านไฟที่ด้านหลังของโทรศัพท์ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องเปิดหน้าจอหรือปลดล็อคตลอดเวลา” นี่เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานของผู้ใช้เป็นหลัก

Carl ยังแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการสร้างสมดุลระหว่างการบริหารจัดการและความคิดสร้างสรรค์ในธุรกิจฮาร์ดแวร์ เขาแนะนำว่าผู้ประกอบการควรเน้นที่การอยู่รอดและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ (แบบ Tim Cook) ประมาณ 80% และใช้ความคิดสร้างสรรค์ (แบบ Jony Ive) ประมาณ 20% โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น และค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนของความคิดสร้างสรรค์เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจจะเริ่มต้นสตาร์ทอัพฮาร์ดแวร์ Carl มีคำแนะนำว่า “มันจะยากแน่ๆ แต่มันทำได้ถ้าคุณอยากทำ” เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนและการสร้างความน่าเชื่อถือไปทีละขั้น “ให้คิดว่าเราจะสร้างความน่าเชื่อถือไปสู่สิ่งต่อไปได้อย่างไร” เขากล่าว

Carl ยังเน้นย้ำถึงความพึงพอใจในการเห็นผู้คนใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขามีส่วนร่วมในการสร้าง โดยเฉพาะเมื่อแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เส้นทางของ Carl Pei และ Nothing แสดงให้เห็นว่าแม้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย การสร้างสตาร์ทอัพฮาร์ดแวร์ก็เป็นไปได้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ความมุ่งมั่น และความสามารถในการปรับตัว สตาร์ทอัพสามารถก้าวผ่านอุปสรรคและสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้

บทเรียนจากประสบการณ์ของ Carl ไม่เพียงแต่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่สนใจในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการในทุกสาขาอีกด้วย

References :
How Nothing Founder Carl Pei Built A Multi-Million Dollar Smartphone Brand In Just 2 Years
https://youtu.be/uZVyBc1CKN0?si=M7Q_q6Wqe9z5022u

เปิดกล่องดำ Tesla : กลยุทธ์เด็ดพลิกเกมอุตสาหกรรม กับเบื้องหลังการแจกสิทธิบัตรฟรีของ Elon Musk

ในปี 2014 โลกต้องตะลึงกับการประกาศครั้งสำคัญของ Elon Musk สุดยอดซีอีโอแห่ง Tesla เขาได้เปิดเผยว่าสิทธิบัตรทั้งหมดของบริษัทจะกลายเป็น “open source” ซึ่งต้องบอกว่านี่ไม่ใช่แค่การตัดสินใจทางธุรกิจธรรมดา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อวงการยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด

Elon ประกาศด้วยความมุ่งมั่นว่า “สิทธิบัตรทั้งหมดของเราเป็นของคุณ” เขาอธิบายว่า Tesla จะไม่ฟ้องร้องใครที่ต้องการใช้เทคโนโลยีของบริษัทโดยสุจริต

ต้องบอกว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญและน่าประหลาดใจเป็นอย่างมากสำหรับผู้คนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมรถยนต์ เพราะโดยทั่วไปแล้วบริษัทมักจะปกป้องสิทธิบัตรของตนอย่างเข้มงวด แต่ Elon มีเหตุผลที่น่าสนใจ

เขาเชื่อว่าการเปิดเผยสิทธิบัตรจะช่วยเร่งการพัฒนาการขนส่งที่ยั่งยืน ในมุมมองของ Elon คู่แข่งที่แท้จริงของ Tesla ไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้ออื่น แต่เป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินที่ผลิตออกมามหาศาลทุกวัน เขาต้องการให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตเร็วขึ้น เพื่อต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แต่การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ไม่ได้หมายความว่าใครก็สามารถทำอะไรก็ได้กับเทคโนโลยีของบริษัท มีเงื่อนไขสำคัญ คือผู้ที่ใช้เทคโนโลยีของ Tesla ต้องทำด้วยความสุจริต ไม่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของ

Tesla ไม่ท้าทายการใช้เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทอื่น และไม่ขายหรือช่วยขายผลิตภัณฑ์ Tesla ปลอม นี่เป็นวิธีที่ชาญฉลาดในการแบ่งปันความรู้ แต่ยังคงปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท

น่าสนใจที่ Elon ไม่ได้เชื่อมั่นในระบบสิทธิบัตรมาตลอด ในช่วงแรกของอาชีพ เขาเคยคิดว่าสิทธิบัตรเป็นสิ่งที่ดีและได้รับสิทธิบัตรมากมาย แต่ประสบการณ์ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด เขาเปรียบเทียบสิทธิบัตรกับการซื้อสลากกินแบ่งเพื่อการฟ้องร้อง โดยอ้างถึงคดีความระหว่าง Apple และ Samsung ที่ในที่สุดแล้วผู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆ คือทนายความเท่านั้น

แต่ทำไม Elon ถึงกล้าเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla? คำตอบอยู่ที่ปรัชญาของเขาเกี่ยวกับนวัตกรรม Elon เชื่อว่าวิธีที่แท้จริงในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาคือการสร้างนวัตกรรมให้เร็วพอต่างหาก

เขากล่าวว่าถ้าอัตราการสร้างนวัตกรรมของคุณสูง คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เพราะคู่แข่งจะกำลังลอกเลียนแบบสิ่งที่คุณทำเมื่อหลายปีก่อน ไม่ใช่สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน

นี่เป็นมุมมองที่น่าสนใจและท้าทายเป็นอย่างมาก มันแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจอย่างสูงในความสามารถของทีมงานและวิสัยทัศน์ของบริษัท Tesla ไม่กลัวที่จะแบ่งปันความรู้ เพราะเชื่อว่าจะยังคงเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมต่อไป

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของ Elon ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงสุญญากาศ มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมยานยนต์

ในปี 2014 เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน Toyota ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรของ Tesla ได้หันไปสนใจการผลิตรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนแทน

การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจาก Toyota ประกาศยุติความร่วมมือกับ Tesla และเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ Toyota จะเปิดตัวรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนรุ่นแรก นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการตอบโต้เชิงกลยุทธ์ของ Elon เพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า

การเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ส่งผลให้บริษัทได้เปรียบในระยะยาว เพราะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ มีแนวโน้มที่จะนำเทคโนโลยีของ Tesla ไปใช้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนและบริษัทพลังงานลงทุนในเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นด้วย นี่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม

แต่กลยุทธ์นี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เสี่ยงเลยซะทีเดียว เราสามารถเห็นตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ของ IBM PC ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบเปิดเช่นกัน ในตอนแรก IBM ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ในที่สุดก็สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งที่ผลิตคอมพิวเตอร์ที่เข้ากันได้กับ PC จนต้องขายธุรกิจ PC ทั้งหมดให้กับ Lenovo ในปี 2005

แต่ Elon และทีมงานของ Tesla ดูเหมือนจะไม่กังวลกับความเสี่ยงนี้ พวกเขามีความมั่นใจในความสามารถและเทคโนโลยีของตนเอง และเชื่อว่าจะยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าต่อไป นี่คือความมั่นใจที่มาจากการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอย่างแท้จริง

การตัดสินใจของ Elon ในการเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla เป็นการเดิมพันที่กล้าหาญ มันแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลที่มองเห็นประโยชน์ของการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมมากกว่าผลประโยชน์ระยะสั้นของบริษัท นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการคิดนอกกรอบและการกล้าท้าทายแนวปฏิบัติทางธุรกิจแบบเดิมๆ

แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่บริษัทอื่นๆ จะทำตามแนวทางนี้ เพราะระบบสิทธิบัตรยังคงมีข้อได้เปรียบหลายประการ แต่การกระทำของ Elon ก็ได้จุดประกายการสนทนาที่สำคัญเกี่ยวกับบทบาทของทรัพย์สินทางปัญญาในโลกที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว มันท้าทายให้เราคิดใหม่เกี่ยวกับวิธีที่เราสามารถส่งเสริมนวัตกรรมและความร่วมมือ โดยยังคงรักษาแรงจูงใจสำหรับการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา

ในท้ายที่สุด การตัดสินใจของ Elon Musk ในการเปิดเผยสิทธิบัตรของ Tesla ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทเดียว แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมและได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า มันแสดงให้เห็นว่าบางครั้งการแบ่งปันความรู้และการร่วมมือกันอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างให้เกิดขึ้นได้นั่นเองครับผม

กว่าจะเป็น ‘โจ โลว์’ จากเพื่อนลูกเศรษฐีสู่อาชญากรข้ามชาติ กับคดีทุจริตที่สั่นสะเทือนการเงินโลก

โจ โลว์มีอำนาจในการใช้จ่ายมากกว่าใครบนโลกใบนี้ เขาเป็นหนึ่งในนักต้มตุ๋นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โจ โลว์ขโมยเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในคดีทุจริตที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เขาได้รู้จักกับ Leonardo DiCaprio และสร้างอาณาจักรฮอลลีวูด พวกเขาสร้างภาพยนตร์เรื่อง “The Wolf of Wall Street” ด้วยเงินที่ถูกขโมยมา และไม่มีใครรู้ความจริงเกี่ยวกับเขา

และนี่คือหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกต้องการตัวมากที่สุดในโลก หลังจากขโมยเงินประมาณ 4.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในการฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เขาทำสำเร็จในขณะที่อายุยังไม่ถึง 30 ปี และเงินนั้นไม่ได้ถูกผูกมัดอยู่ในสินทรัพย์ แต่เป็นเงินสดที่พร้อมใช้จ่าย ซึ่งหมายความว่ าโจ โลว์ อาจมีอำนาจในการใช้จ่ายมากกว่าใครก็ตามบนโลกใบนี้

จุดเริ่มต้นของตำนาน

โจ โลว์ เกิดและเติบโตบนเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย ในครอบครัวที่มีฐานะดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะพอใจกับสิ่งที่มี ตั้งแต่เด็ก โจ โลว์ มีความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้าที่จะก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของสังคม

เมื่ออายุ 16 ปี พ่อแม่ส่ง โจ โลว์ ไปเรียนที่โรงเรียนประจำชื่อดังอย่าง Harrow ในอังกฤษ นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา ที่นั่น โจโลได้พบปะกับลูกหลานของตระกูลร่ำรวยและมีอิทธิพลจากทั่วโลก เขาตระหนักว่าการสร้างความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้อาจเป็นกุญแจสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์

แต่ โจ โลว์ รู้ดีว่าเขาไม่ได้ร่ำรวยเท่าเพื่อนร่วมชั้นหลายคน ดังนั้นเขาจึงเริ่มสร้างภาพลักษณ์ว่าตัวเองเป็นเจ้าชายจากมาเลเซีย เขาเชิญเพื่อนๆ มาเที่ยวบ้านในช่วงปิดเทอม และถึงขนาดยืมเรือยอชต์จากเพื่อนของครอบครัวมาแอบอ้างว่าเป็นของตัวเอง โดยเปลี่ยนรูปถ่ายครอบครัวบนเรือเป็นรูปของตัวเอง นี่เป็นก้าวแรกของ โจ โลว์ ในการสร้างตัวตนปลอมเพื่อเข้าถึงวงสังคมชั้นสูง

การสร้างเครือข่าย: บันไดสู่อำนาจ

หลังจบการศึกษาจาก Harrow โจ โลว์ เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย Wharton ในสหรัฐอเมริกา ที่นี่ เขายังคงใช้กลยุทธ์เดิมในการสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นคนร่ำรวยและมีอิทธิพล เขาขับรถหรู จัดปาร์ตี้ใหญ่โต และพยายามสร้างความสัมพันธ์กับนักศึกษาที่มาจากครอบครัวร่ำรวยและมีอำนาจ

หนึ่งในความสัมพันธ์สำคัญที่ โจ โลว์ สร้างขึ้นคือกับ Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib Razak ซึ่งในเวลานั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ความสัมพันธ์นี้จะกลายเป็นกุญแจสำคัญในแผนการของ โจ โลว์ ในอนาคต

 Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib Razak ที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของ โจว์ โล (CR:Wikipedia)
Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib Razak ที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของ โจ โลว์ (CR:Wikipedia)

โจ โลว์ เริ่มต้นอาชีพด้วยการตั้งบริษัทชื่อ The Winton Group โดยอ้างว่าจะเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมระหว่างนักลงทุนตะวันออกกลางกับโครงการในมาเลเซีย แม้จะไม่มีประสบการณ์จริง แต่ โจ โลว์ ก็สามารถสร้างภาพลักษณ์ของความสำเร็จได้ด้วยการเช่าสำนักงานหรูในตึก Petronas Towers อันโด่งดัง

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ: การก่อตั้ง 1MDB

ในปี 2009 Najib Razak ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย และ โจ โลว์ เห็นโอกาสทองที่จะก้าวกระโดดสู่อำนาจและความมั่งคั่ง เขาเสนอแนวคิดให้ Najib จัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ซึ่งจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

แนวคิดนี้นำไปสู่การก่อตั้ง 1Malaysia Development Berhad หรือ 1MDB อย่างเป็นทางการ 1MDB มีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในมาเลเซีย แต่ โจ โลว์ มีแผนลับที่จะใช้กองทุนนี้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวและทางการเมืองของ Najib โดย โจ โลว์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของกองทุน แม้จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่เขามีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของ 1MDB อย่างเต็มที่

การหลอกลวงครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น

ด้วยอำนาจในการควบคุม 1MDB โจ โลว์ เริ่มดำเนินการตามแผนการของเขา เขาใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อนในการโยกย้ายเงินจากกองทุนไปยังบัญชีส่วนตัวและบริษัทบังหน้าต่างๆ หนึ่งในวิธีการที่เขาใช้คือการสร้างข้อตกลงทางธุรกิจที่ดูเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในความเป็นจริงเป็นเพียงวิธีการในการขโมยเงินจากกองทุน

ตัวอย่างเช่น ในปี 2009 โจ โลว์ จัดการให้ 1MDB ลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ในบริษัทร่วมทุนกับ PetroSaudi ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย แต่ในความเป็นจริง เพียง 300 ล้านดอลลาร์เท่านั้นที่ถูกโอนไปยังบริษัทร่วมทุน ส่วนที่เหลือ 700 ล้านดอลลาร์ถูกโอนไปยังบริษัทชื่อ Good Star Limited ซึ่งเป็นบริษัทบังหน้าที่ โจ โลว์ เป็นเจ้าของ

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการฉ้อโกงครั้งใหญ่ ในช่วงหลายปีต่อมา โจ โลว์ ใช้วิธีการที่คล้ายคลึงกันในการโยกย้ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์จาก 1MDB ไปยังบัญชีส่วนตัวและบริษัทบังหน้าของเขา

ชีวิตหรูหราและการสร้างเครือข่ายในฮอลลีวูด

ด้วยเงินมหาศาลที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย โจ โลว์ เริ่มใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย เขาซื้อบ้านราคาแพง เรือยอชต์ และเครื่องบินส่วนตัว จัดปาร์ตี้สุดอลังการ และสร้างชื่อเสียงในฐานะ “เศรษฐีปริศนาแห่งเอเชีย” ที่ใช้เงินอย่างไม่อั้น

โจ โลว์ ไม่เพียงแต่ใช้เงินเพื่อความสุขส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังใช้มันเพื่อสร้างเครือข่ายกับคนดังในฮอลลีวูดด้วย เขาสร้างมิตรภาพกับดาราดังอย่าง Leonardo DiCaprio และ Paris Hilton และยังลงทุนในวงการภาพยนตร์ด้วยการสนับสนุนบริษัทผลิตภาพยนตร์ Red Granite Pictures

หนึ่งในโครงการที่โด่งดังที่สุดที่ โจ โลว์ มีส่วนร่วมคือภาพยนตร์เรื่อง “The Wolf of Wall Street” ซึ่งเขาให้เงินทุนสนับสนุนผ่าน Red Granite Pictures โดยใช้เงินที่ขโมยมาจาก 1MDB แต่สิ่งที่เหลือเชื่อก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของนักต้มตุ๋นในวงการการเงิน ซึ่งไม่ต่างจากตัวของ โจ โลว์ เองเสียด้วยซ้ำ

การพังทลายของอาณาจักรแห่งการหลอกลวง

แม้ว่า โจ โลว์ จะประสบความสำเร็จในการปกปิดการกระทำของเขาเป็นเวลาหลายปี แต่ในที่สุดความจริงก็เริ่มปรากฏ ในปี 2015 สื่อเริ่มรายงานข่าวเกี่ยวกับความผิดปกติในการดำเนินงานของ 1MDB ทำให้เกิดการสอบสวนในระดับนานาชาติ

เมื่อความจริงเริ่มปรากฏ โจ โลว์ ก็ตระหนักว่าเขาต้องหลบหนี เขาหายตัวไปจากสายตาสาธารณชน โดยมีรายงานว่าอาจหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศจีน ในขณะเดียวกัน การสอบสวนเกี่ยวกับ 1MDB ก็ดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น

ผลกระทบต่อมาเลเซียและโลกการเงิน

การล่มสลายของ 1MDB ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศมาเลเซีย ในปี 2018 Najib Razak พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศ หลังจากนั้นไม่นาน Najib ถูกจับกุมและถูกตัดสินจำคุกในข้อหาทุจริตที่เกี่ยวข้องกับ 1MDB

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อสถาบันการเงินระดับโลกด้วย Goldman Sachs ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการออกพันธบัตรให้กับ 1MDB ถูกสอบสวนและต้องจ่ายค่าปรับมหาศาล ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารหลายคนถูกดำเนินคดี รวมถึง Tim Leissner อดีตหัวหน้าฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Goldman Sachs ซึ่งสารภาพผิดในข้อหาสมคบคิดเพื่อติดสินบนและฟอกเงิน

Tim Leissner อดีตหัวหน้าฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Goldman Sachs (CR:FMT)
Tim Leissner อดีตหัวหน้าฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Goldman Sachs (CR:FMT)

บทเรียนและการสะท้อนสังคม

เรื่องราวของ โจ โลว์ และ 1MDB เป็นบทเรียนอันทรงพลังเกี่ยวกับอันตรายของความโลภและการทุจริต มันแสดงให้เห็นว่าแม้แต่สถาบันที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด เช่น ธนาคารและรัฐบาล ก็สามารถถูกทำลายได้ด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน

นอกจากนี้ เรื่องราวของ โจ โลว์ ยังสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมที่ผิดเพี้ยนในสังคมปัจจุบัน ที่มักให้ความสำคัญกับวัตถุนิยมและความร่ำรวยมากเกินไป จนทำให้บางคนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งและชื่อเสียง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่นและสังคมโดยรวม

ความรับผิดชอบของสื่อและสังคม

สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงการทุจริตของ 1MDB แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีคำถามว่าทำไมสื่อถึงไม่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับที่มาของความมั่งคั่งของ โจ โลว์ ตั้งแต่แรก นี่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับวงการสื่อในการทำหน้าที่ตรวจสอบและรายงานความจริงอย่างเข้มแข็งมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน สังคมโดยรวมก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย การที่ผู้คนยอมรับและชื่นชมความมั่งคั่งโดยไม่ตั้งคำถามถึงที่มา อาจเป็นการส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องโดยไม่รู้ตัว เราทุกคนควรตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนเองในการสร้างสังคมที่มีคุณธรรมและความยุติธรรม

บทส่งท้าย: ชีวิตหลังความล่มสลาย

แม้ว่า โจ โลว์ จะหลบหนีการจับกุมได้ แต่ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากชายหนุ่มที่เคยเป็นดาวเด่นในวงสังคมชั้นสูงและฮอลลีวูด เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่ถูกตามล่าตัวมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ต้องใช้ชีวิตในที่ซ่อน ไม่สามารถเดินทางได้อย่างอิสระ และต้องระแวดระวังตัวตลอดเวลา

มีรายงานว่าในช่วงท้ายของเรื่องราวนี้ โจ โลว์ เปลี่ยนจากคนที่เคยดูมีความสุขและมั่นใจ กลายเป็นคนที่หวาดระแวงและวิตกกังวลอย่างมาก แม้ในช่วงที่เขากำลังใช้ชีวิตอย่างหรูหราที่สุด คนใกล้ชิดก็บอกว่าเขาไม่เคยดูมีความสุขอย่างแท้จริง สะท้อนให้เห็นว่าความมั่งคั่งและชื่อเสียงที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้องนั้น ไม่สามารถนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงได้

เรื่องราวของ โจ โลว์ เป็นเหมือนนิทานเตือนใจสมัยใหม่ ที่เตือนเราว่าความสำเร็จที่แท้จริงนั้นไม่ได้วัดกันที่จำนวนเงินในบัญชีหรือความหรูหราฟุ่มเฟือย แต่อยู่ที่การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า และทำประโยชน์ให้กับสังคม

สุดท้ายแล้ว แม้ โจ โลว์ จะหลบหนีการลงโทษตามกฎหมายได้ในขณะนี้ แต่เขาก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกผิด นี่อาจเป็นการลงโทษที่รุนแรงที่สุดสำหรับคนที่เคยมีทุกอย่างแต่กลับต้องสูญเสียทุกสิ่งไปเพราะความโลภและการตัดสินใจที่ผิดพลาดด้วยตัวของเขาเอง

References :
https://en.wikipedia.org/wiki/Jho_Low
https://fortune.com/2022/03/07/jho-low-fugitive-1mdb-financier-biography/
https://en.wikipedia.org/wiki/1Malaysia_Development_Berhad_scandal
https://youtu.be/FHr1WnAn-kU?si=cHrK5BAKljeSy6e9
https://www.economist.com/books-and-arts/2019/09/19/the-story-behind-billion-dollar-whale

Trevor Milton จากฝันสู่คุก : ถอดหน้ากาก Nikola Motors เมื่อสิ่งที่โม้ว่าคือ ‘นวัตกรรม’ กลับกลายเป็นเพียงภาพลวงตา

ในทุกวันนี้เรามักได้ยินเรื่องราวของผู้ประกอบการหนุ่มสาวที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว สร้างธุรกิจพันล้านจากไอเดียเพียงเล็กน้อย แต่บางครั้ง เส้นแบ่งระหว่างวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่กับการหลอกลวงก็บางเฉียบเสียจนแทบมองไม่เห็น

เรื่องราวของ Trevor Milton และบริษัท Nikola Motors เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ความทะเยอทะยานและความโลภนำไปสู่การหลอกลวงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยียานยนต์

Trevor Milton เกิดในปี 1982 ในรัฐ Utah สหรัฐอเมริกา เขาเติบโตมาในครอบครัวที่มีความยากลำบาก แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่เขาอายุเพียง 14 ปี ทำให้เขาและพี่น้องอีก 4 คนต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอดด้วยตนเอง ประสบการณ์อันเจ็บปวดในวัยเด็กนี้อาจเป็นแรงผลักดันให้ Trevor มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต

หลังจบมัธยมปลาย Trevor ได้เป็นมิชชันนารีมอร์มอนในชุมชนแออัดของบราซิล ประสบการณ์นี้ทำให้เขาได้เห็นปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมในมุมมองที่กว้างขึ้น

เมื่อกลับมาที่ Utah ในปี 2003 เขาเข้าเรียนที่ Utah Valley State College ในสาขาการขายและการตลาด แต่เรียนได้เพียงเทอมเดียวก็ลาออก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง

จุดเริ่มต้นของเส้นทางธุรกิจ Trevor เริ่มจากการก่อตั้งบริษัทขายระบบรักษาความปลอดภัย ซึ่งเขาสามารถขายต่อได้ในราคา 300,000 ดอลลาร์ แม้จะเป็นความสำเร็จเล็กๆ แต่มันก็ดูเหมือนจะมีเค้าลางของปัญหาแล้ว

ผู้ซื้อกล่าวหาว่า Trevor สัญญาเกินจริงเกี่ยวกับศักยภาพของธุรกิจ ทำให้พวกเขาขาดทุน นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาว่าเขาโกงหุ้นส่วนทางธุรกิจเป็นเงิน 50,000 ดอลลาร์ระหว่างการขายอีกด้วย

ต่อมาในปี 2009 Trevor หันไปทำธุรกิจโฆษณาออนไลน์ด้วยเว็บไซต์ขายรถมือสอง ก่อนที่จะก้าวกระโดดครั้งใหญ่สู่การสร้างเครื่องยนต์สำหรับยานพาหนะ แม้จะไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนี้เลย แต่ด้วยความมั่นใจและทักษะการขาย Trevor สามารถก่อตั้งบริษัท dHybrid ขึ้นมาได้ โดยมีแผนการที่จะเปลี่ยนเครื่องยนต์ดีเซลที่มีอยู่ให้ทำงานด้วยก๊าซ CNG

ทักษะการขายขั้นเทพของ Trevor ทำให้เหยื่อหลายรายหลงเชื่อ (CR:Wikipedia)
ทักษะการขายขั้นเทพของ Trevor ทำให้เหยื่อหลายรายหลงเชื่อ (CR:Wikipedia)

แนวคิดนี้ดูน่าสนใจ เพราะก๊าซธรรมชาติปล่อยมลพิษน้อยกว่า มีค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า และโดยรวมแล้วปลอดภัยกว่าเชื้อเพลิงดีเซล Trevor สามารถโน้มน้าวให้บริษัท Swift Transportation ลงทุน 2 ล้านดอลลาร์ในโครงการนี้ โดยมีแผนจะเริ่มต้นด้วยการดัดแปลงรถบรรทุก 10 คันเป็นการทดลอง แล้วตามด้วยอีก 800 คันในภายหลัง

แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นไปตามที่สัญญา จากคดีความในปี 2012 เผยว่ามีการส่งมอบรถเพียง 5 คันเท่านั้น และเครื่องยนต์ที่ดัดแปลงก็มีปัญหาใหญ่ ไม่สามารถทำงานได้ตามที่อ้างไว้ ยิ่งไปกว่านั้น Trevor ยังใช้เงินลงทุนส่วนหนึ่งผลาญไปกับชีวิตส่วนตัวอันหรูหราของเขา

เมื่อถูกกดดันจากปัญหาทางกฎหมาย Trevor ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ด้วยการก่อตั้งบริษัท dHybrid Systems ร่วมกับพ่อของเขา โดยยังคงทำงานกับเทคโนโลยีเดียวกัน แต่หนีปัญหาทางกฎหมายที่เคยติดตัวเขามา ความคิดหัวหมอนี้ทำให้หุ้นส่วนทั้งหมดของ dHybrid เดิมสูญเสียผลประโยชน์ไปทั้งหมด

น่าประหลาดใจที่แผนการนี้ประสบความสำเร็จ บริษัท Worthington Industries ตกลงซื้อ dHybrid Systems ในราคา 16 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าในความเป็นจริงบริษัทจะอยู่ในสภาพย่ำแย่

ในการสนทนาส่วนตัว Trevor ยอมรับว่าชิ้นส่วนของระบบเครื่องยนต์หลุดออกจากรถบรรทุก ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่สิ่งเดียวที่สำคัญสำหรับเขาในตอนนั้นคือการได้รับเงินจากการขายกิจการ

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 2014 เมื่อ Trevor ก่อตั้งบริษัทที่ต่อมากลายเป็น Nikola Motors ในขณะที่ Worthington กำลังขาดทุนหลายล้านจากปัญหาเครื่องยนต์ของ dHybrid แต่ตัวของ Trevor กลับสามารถสร้างกำไรได้อย่างงดงาม

เขายังคงสามารถโน้มน้าวผู้คนคิดว่าเขามีเทคโนโลยีสุดล้ำ และในวันที่ 9 พฤษภาคม 2016 Nikola Motors ก็ประกาศเปิดตัว Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง

Nikola One ถูกนำเสนอว่าสามารถเดินทางได้ไกลถึง 1,000 ไมล์โดยไม่ต้องหยุด และใช้เวลาเติมพลังงานเพียง 15 นาทีก็สามารถวิ่งได้อีก 1,000 ไมล์ ในตลาดรถบรรทุกทั่วโลกที่มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ เทคโนโลยีเช่นนี้หากเป็นจริงย่อมเป็นตัวเปลี่ยนเกมได้อย่างแน่นอน

 Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง (CR:FreightWaves)
Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง (CR:FreightWaves)

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า Nikola ซื้อการออกแบบมาจากชายคนหนึ่งในโครเอเชียในราคาเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ แต่นี่ไม่ได้หยุดยั้งบริษัทจากการฟ้องร้อง Tesla เป็นเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่า Tesla ขโมยการออกแบบของพวกเขาไป ซึ่งเป็นการกระทำที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง

โลกต่างตื่นเต้นกับข่าวของรถบรรทุกปฏิวัติวงการนี้ แต่ความจริงแล้ว เทคโนโลยีที่ Nikola อ้างว่าจะใช้ก็คือเทคโนโลยีก๊าซ CNG เช่นเดียวกับที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในบริษัท dHybrid นั่นเอง

Nikola กำหนดจะเปิดตัวรถบรรทุกสุดล้ำของเขาในเดือนธันวาคม 2016 โดยที่พวกเขาเริ่มรับคำสั่งซื้อล่วงหน้าแล้ว โดยประกาศว่า Nikola One ได้รับการออกแบบ พัฒนา และกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการประกอบ

แต่ความจริงแล้ว ในเดือนสิงหาคม 2016 Nikola One เป็นเพียงโครงรถบนล้อเท่านั้น ตัวถังยังไม่มาถึงด้วยซ้ำ ไม่มีโรงงานผลิต และตามแหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับโครงการนี้ คนงานต้องรีบวิ่งไปร้านฮาร์ดแวร์เพื่อหาชิ้นส่วนพื้นฐาน แต่บัญชี Twitter ของ Nikola Motor Company ก็ยังคงโปรโมตงานอย่างหนัก เน้นย้ำว่ารถบรรทุกจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์

ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม บริษัทประกาศอย่างกะทันหันว่าพวกเขาได้เปลี่ยนจากเทคโนโลยีก๊าซ CNG ไปเป็นเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน การประกาศนี้ทำให้แม้แต่คนในบริษัทเองยังตกใจ

เมื่อใกล้ถึงวันงานในกลางเดือนพฤศจิกายน ทีมงานทำงานอย่างหนักเพื่อประกอบรถบรรทุกเข้าด้วยกัน แต่ไม่มีแกนมอเตอร์ไฟฟ้าหรือเกียร์ มีเพียงเพลาในโครงรถเปล่าๆ ตัวถังมาถึงในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนงาน สัญลักษณ์ H2 ซึ่งเป็นสูตรเคมีของไฮโดรเจน ถูกติดอย่างภาคภูมิใจที่ด้านข้างของรถ แม้ว่าจะไม่มีเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่ภายในก็ตาม

เมื่อถึงวันสำคัญ Trevor ดูเหมือนจะไม่สามารถระงับอารมณ์ได้เมื่อพูดบนเวที เขาเน้นย้ำถึงความสำเร็จของ Nikola One ว่าเป็น “รถบรรทุกที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์”

แม้ว่าความจริงแล้ว รถบรรทุกทั้งคันจะใช้พลังงานจากสายไฟหลักที่เชื่อมต่อใต้เวที หน้าจอสัมผัสภายในห้องโดยสารดูเหมือนจะเป็นส่วนเดียวของรถบรรทุกที่ทำงานได้จริง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการตกแต่งที่สวยงามเพื่อหลอกลวงผู้ชมเพียงเท่านั้น

แม้จะมีปัญหามากมาย แต่การนำเสนอของ Trevor ก็สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมและสื่อมวลชน ในโลกอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยกระแสความตื่นเต้น และจากนั้น Nikola ก็เริ่มก้าวสู่การแข่งขันในตลาดอย่างจริงจัง

หลังจากงานในเดือนมกราคม 2017 บริษัทได้ระดมทุนในรอบ Series A นอกจากนี้ Nikola ยังได้ลงนามความร่วมมือกับ Bosch รวมถึงพันธมิตรด้านเซลล์เชื้อเพลิงและไฮโดรเจน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปและความตื่นเต้นจากงานในเดือนธันวาคม 2016 จางหายไป ผู้คนที่ติดตามอย่างใกล้ชิดเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความคืบหน้าของ Nikola One

ดังนั้นในต้นปี 2018 จึงมีการผลิตวิดีโอของ Nikola One เพื่อขจัดข่าวลือที่ว่ามันไม่ใช่รถบรรทุกที่ทำงานได้จริง วิดีโอมีชื่อว่า “Nikola One in Motion” และดูเหมือนว่าวิดีโอจะสร้างความเชื่อมั่นได้ แม้แต่ผู้ว่าการรัฐ Arizona Doug Ducey ก็ยังประทับใจ เขาตกลงที่จะเป็นเจ้าภาพเพื่อจัดสร้างโรงงานผลิตหลักของ Nikola ในรัฐของเขา

แต่ความจริงที่น่าตกใจก็คือ วิดีโอนั้นเป็นเพียงผลจากการที่ Nikola ลากรถบรรทุกขึ้นไปบนยอดเนิน แล้วปล่อยให้มันไหลลงมาเท่านั้น ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ที่ทำงานในวิดีโอต้องเซ็นสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูล (NDA) เพื่อปกปิดความจริงนี้

ในเดือนพฤศจิกายน 2019 Trevor Milton ถอนเงินสด 70 ล้านดอลลาร์และซื้อบ้านสุดหรูในรัฐ Utah บ้านราคา 33 ล้านดอลลาร์บนที่ดิน 2,600 เอเคอร์ เขาบอกกับ Wall Street Journal ว่าสถานที่แห่งนี้เป็น “สถานที่พักผ่อนสำหรับครอบครัว เพื่อน และคนอื่นๆ ที่จะมาเพลิดเพลิน” แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งที่เขาได้รับจากความสำเร็จของ Nikola

ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2019 Nikola เริ่มเจรจาเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ วันถัดมา บริษัทประกาศว่าพวกเขาได้แก้ปัญหาที่ท้าทายที่สุดอย่างหนึ่งของเรื่องพลังงานยั่งยืน นั่นคือแบตเตอรี่ความหนาแน่นสูง โดยอ้างว่าต้นแบบแบตเตอรี่ใหม่นี้จะให้พลังงานมากกว่าลิเธียมไอออน 4 เท่า และสามารถขับเคลื่อนรถยนต์ Tesla Model S ได้ไกลกว่า 600 ไมล์

Trevor อ้างว่าเขาได้เห็นเทคโนโลยีนี้ทำงานด้วยตาตัวเอง และสัญญาว่าจะมีการสาธิตให้โลกได้ยลโฉม ซึ่งหลังจากการประกาศนี้ Nikola Motors ก็ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง และ Anheuser-Busch ก็เป็นรายแรกที่สั่งจองรถบรรทุก 800 คัน Trevor ประเมินว่ามูลค่าของเทคโนโลยีใหม่นี้จะมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

แต่ความจริงที่น่าตกใจก็คือ Nikola ไม่มีสิทธิบัตร วิศวกร นักเคมี หรือบทความวิจัยที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่นี้เลย ความจริงก็คือ Nikola ได้ซื้อบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ ZapGo มาในราคา 56 ล้านดอลลาร์ แต่ปรากฏว่าเทคโนโลยีของ ZapGo เป็นเพียงการหลอกลวง ไม่มีอยู่จริง

ที่น่าสนใจคือ ZapGo ที่นำโดย Charles Resnick เป็นตัวละครที่น่าสงสัยซึ่งเพิ่งหลอกลวง NASA เมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่จะมีการดีลกับ Nikola ซึ่งในภายหลัง Charles ได้รับสารภาพผิดในเดือนมกราคม 2020 แต่ Trevor ยังคงโฆษณาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ไม่มีอยู่จริงนี้อย่างต่อเนื่อง

ด้วยการที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำคุยโวว่าบริษัทกำลังสร้างรถบรรทุกที่ปฏิวัติวงการ และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่เปลี่ยนเกมซึ่งซื้อมาจากบริษัทที่เป็นการหลอกลวง

Nikola เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2020 ผ่านการควบรวมกิจการแบบย้อนกลับ (reverse merger) ซึ่งไม่จำเป็นต้องเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของบริษัทเหมือนการเสนอขายหุ้น IPO ปกติ

นักลงทุนต่างตื่นเต้น และหุ้นของ Nikola พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าตลาดของ Nikola พุ่งสูงกว่า Ford มากกว่า 30 พันล้านดอลลาร์ ทั้งที่ Ford ขายรถยนต์ได้ 5.5 ล้านคันในปี 2019 มีรายได้ 155 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ Nikola แทบจะยังไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ

ในวันที่ 8 กันยายน 2020 Nikola Motors ประกาศความร่วมมือมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์กับ General Motors โดย GM จะถือหุ้น 11% ในบริษัท และผลิตรถกระบะไฟฟ้า Nikola Badger ให้กับพวกเขา แต่ไม่มีใครเคยได้ยลโฉม Nikola Badger คันจริงๆ เลย มีแต่ภาพเรนเดอร์เท่านั้น

Nikola Badger ที่มีเพียงแต่ภาพเรนเดอร์ (CR:InsideEVs)
Nikola Badger ที่มีเพียงแต่ภาพเรนเดอร์ (CR:InsideEVs)

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2020 เมื่อบริษัทลงทุนที่เน้นการขายหุ้นชอร์ต Hindenburg Research เผยแพร่รายงานที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง เรียก Nikola Motors ว่าเป็น “การฉ้อโกงที่ซับซ้อน” โดยรวบรวมหลักฐานมากมาย ทั้งการบันทึกการโทรศัพท์ ข้อความ อีเมลส่วนตัว และภาพถ่ายเบื้องหลัง ซึ่งแสดงรายละเอียดคำแถลงเท็จหลายสิบรายการของ Trevor Milton

หลังจากรายงานนี้เผยแพร่ Trevor ได้ออกมากล่าวว่าจะโต้แย้งข้อกล่าวหาทั้งหมด แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขากลับลบบัญชีโซเชียลมีเดียของเขาและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ในวันที่ 21 กันยายน Trevor ลาออกจากตำแหน่งประธาน และ Stephen Girsky อดีตรองประธานของ GM เข้ามารับตำแหน่งแทน หุ้นของ Nikola ดิ่งลง 40% และการเจรจาระหว่าง Nikola กับพันธมิตรรายอื่นๆ หยุดชะงัก

ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2021 คณะลูกขุนใหญ่ของรัฐบาลกลางตั้งข้อหา Trevor Milton 3 ข้อหาเกี่ยวกับการฉ้อโกงทางอาญา สำนักงานอัยการสหรัฐในแมนฮัตตันกล่าวหามหาเศรษฐีวัย 39 ปีว่าโกหกนักลงทุน ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับบริษัท และฉ้อโกง

นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ยังยื่นฟ้องข้อหาฉ้อโกงหลักทรัพย์ทางแพ่งต่อเขา โดยขอให้ศาลสั่งห้ามเขาดำรงตำแหน่งในบริษัทแบบถาวร และสั่งให้เขาจ่ายค่าปรับ รวมถึงคืนรายได้ใดๆ ที่ได้มาจากการหลอกลวงของเขา

แน่นอนว่า Trevor Milton ปฏิเสธการกระทำผิดทั้งหมดและให้การปฏิเสธต่อข้อกล่าวหา ในขณะเดียวกัน Nikola ยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปภายใต้การบริหารงานชุดใหม่ แต่ต้องบอกว่าการแก้ไขทิศทางของบริษัทที่สร้างขึ้นจากคำกล่าวอ้างที่หลอกลวงโดยคนโกหกหน้าด้าน ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ข้อตกลงกับ GM ยังคงอยู่ในสภาวะคลุมเครือ ราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำสุดตลอดกาล และความเชื่อมั่นในบริษัทลดลงทุกวัน Bosch, General Motors และนักลงทุนอีกมากมายต้องแบกรับภาระนี้

คำถามสำคัญที่ต้องถามคือ บริษัทเหล่านี้ไม่ได้ทำการตรวจสอบ due diligence อย่างถี่ถ้วนก่อนเข้าร่วมลงทุนหรือทำสัญญากับ Nikola หรืออย่างไร

เรื่องราวของ Trevor Milton และ Nikola Motors เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักลงทุนและอุตสาหกรรมเทคโนโลยี มันแสดงให้เห็นว่าความกระตือรือร้นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของ “The Next Big Things” อาจทำให้ผู้คนมองข้ามสัญญาณเตือนภัยที่สำคัญได้ง่ายเพียงใด

แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสิ่งที่คุณสัญญาไว้กลายเป็นเรื่องยากกว่าที่มโนไว้มาก? เมื่อไหร่ที่คุณจะผ่านจุดที่ไม่มีทางที่จะหันหัวกลับและต้องโกหกต่อไปจนกว่าจะถูกจับได้? สำหรับ Trevor Milton เขาเลือกที่จะโกหกต่อไปจนถึงที่สุด โดยหวังว่าจะสามารถทำให้คำคุยโวโอ้อวดของเขาเป็นจริงได้ก่อนที่ความจริงจะถูกเปิดเผย

ในแง่หนึ่ง เรื่องราวของ Trevor Milton และ Nikola Motors ก็อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ บางทีเขาอาจทำทั้งหมดนี้เพื่อดูแลครอบครัวที่เคยทุกข์ทรมานมากในช่วงวัยเด็ก แต่มันก็อาจเป็นเพียงความโลภล้วนๆ ก็ได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การกระทำของเขาก็สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้กับนักลงทุน พนักงาน และความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าโดยรวม

บทเรียนสำคัญจากเรื่องราวนี้คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์อย่างละเอียดเป็นสิ่งจำเป็นในโลกธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า นักลงทุนควรระมัดระวังกับคำคุยโวที่ฟังดูดีเกินจริงและตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน

ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการควรตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับการระดมทุนและการสร้างความคาดหวังให้กับสาธารณชน การโกหกหรือการสร้างภาพลวงตาอาจนำไปสู่ผลกำไรในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้ว มันสามารถทำลายชื่อเสียงและอาชีพของคุณได้อย่างสิ้นเชิง

ท้ายที่สุด เรื่องราวของ Nikola Motors เป็นเครื่องเตือนใจว่าในโลกของนวัตกรรมและการลงทุน ความจริงมักจะปรากฏในที่สุด และผลของการหลอกลวงนั้นมีราคาแพงเกินกว่าที่ใครจะจ่ายไหว การสร้างธุรกิจบนพื้นฐานของความซื่อสัตย์และความโปร่งใสอาจเป็นเส้นทางที่ยากกว่า แต่ก็เป็นเส้นทางเดียวที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

References :

  1. CNBC – https://www.cnbc.com/2021/07/29/us-prosecutors-charge-trevor-milton-founder-of-electric-carmaker-nikola-with-three-counts-of-fraud.html
  2. The Verge – https://www.theverge.com/2020/9/21/21449203/nikola-trevor-milton-resigns-fraud-allegations-hindenburg-research
  3. Bloomberg – https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-09-28/nikola-founder-milton-s-fall-reveals-what-his-backers-feared
  4. Financial Times – https://www.ft.com/content/6711e9c0-dda5-43ab-89e7-7b17f10f87db
  5. https://en.wikipedia.org/wiki/Trevor_Milton

บทเรียนจาก Google Plus : จาก 500 ล้านยูสเซอร์ สู่ความล้มเหลว เมื่อการเป็นที่สองไม่เพียงพอในโลกโซเชียล

ในโลกของเทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ เรื่องราวของความสำเร็จและความล้มเหลวมักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิด แต่ไม่มีเรื่องราวใดที่น่าสนใจและให้บทเรียนมากไปกว่าเรื่องราวของ Google Plus ซึ่งถือเป็นความพยายามครั้งใหญ่ของ Google ในการก้าวเข้าสู่โลกของเครือข่ายสังคมออนไลน์

หลายคนคิดว่า Google เห็นศักยภาพของสื่อสังคมออนไลน์ช้าเกินไป แต่นั่นไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอน นานก่อนที่เราจะมี Facebook, Twitter และ Instagram หรือแม้แต่ก่อนเครือข่ายสังคมรุ่นแรกๆ อย่าง Bebo และ Myspace

มีเว็บไซต์ชื่อ Friendster.com ซึ่งเป็นหนึ่งในเว็บไซต์เครือข่ายสังคมแรกๆ ที่อนุญาตให้เชื่อมต่อกับเพื่อนและแบ่งปันโพสต์และรูปภาพ ซึ่งจริงๆ แล้ว Friendster นี่เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับ Myspace

และดูเหมือน Google น่าจะชนะสงครามเครือข่ายสังคมได้อย่างง่ายดาย ไม่เพียงแต่ Google จะมีเงินทุน ประสบการณ์ พนักงาน และผู้ใช้มากกว่าเท่านั้น แต่ Google ยังเปิดตัวเว็บไซต์เครือข่ายสังคมแรกของพวกเขาในเดือนมกราคม 2004 ซึ่งเร็วกว่า Facebook ไม่กี่สัปดาห์ และเร็วกว่า Twitter และ Instagram นานโข

ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษ 2000 Google เริ่มตระหนักถึงศักยภาพอันมหาศาลของเครือข่ายสังคมออนไลน์ พวกเขาพยายามซื้อ Friendster ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายสังคมยุคแรกๆ ด้วยข้อเสนอมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์ในรูปแบบของหุ้น Google

แต่ Friendster ปฏิเสธข้อเสนอนี้ ซึ่งในภายหลังกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะหุ้น Google ที่เสนอให้นั้นปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์

หลังจากความพยายามซื้อกิจการไม่สำเร็จ Google ตัดสินใจสร้างเครือข่ายสังคมของตัวเองขึ้นมา เริ่มจาก Orkut ในปี 2004

Orkut เป็นบริการเครือข่ายสังคมแรกที่ Google เป็นเจ้าของ เว็บไซต์นี้ตั้งชื่อตามผู้สร้างซึ่งเป็นพนักงานของ Google ชื่อ Orkut เขาเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ชาวตุรกีที่พัฒนาเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์นี้เป็นโครงการอิสระในขณะที่ทำงานที่ Google เนื่องจาก Google สนับสนุนให้พนักงานทุกคนใช้เวลาทำงานบางส่วนกับโครงการส่วนตัวของตนเอง

Orkut ที่ตั้งชื่อตามผู้สร้างซึ่งเป็นพนักงานของ Google  (CR:Vox)
Orkut ที่ตั้งชื่อตามผู้สร้างซึ่งเป็นพนักงานของ Google (CR:Vox)

Orkut ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อกับทั้งเพื่อนใหม่และเพื่อนเก่า และมีคุณสมบัติหลายอย่างที่มีอยู่ในเครือข่ายสังคมยุคปัจจุบัน เช่น การสร้างโพสต์ของตัวเอง การอัปเดตสถานะ การแบ่งปันรูปภาพ และการกดไลค์และแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่เพื่อนของคุณแบ่งปัน

สิ่งที่น่าสนใจคือ Orkut มีจุดเริ่มต้นก่อน Facebook เนื่องจากเปิดตัวในเดือนมกราคม 2004 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ Zuckerberg จะเปิดตัว Facebook ในเดือนกุมภาพันธ์ 2004 แม้ว่าตอนนั้นมันจะถูกเรียกว่า “The Facebook” ก็ตาม

ในขณะที่ Orkut ทำได้ค่อนข้างดี ความนิยมส่วนใหญ่มาจากแถบอินเดียและบราซิล ในปี 2008 Google ประกาศว่า Orkut จะถูกจัดการและดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบในประเทศบราซิล

เนื่องจากที่นั่นเป็นที่ที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่อยู่ ที่อื่นๆ ความนิยมของ Orkut ได้รับผลกระทบอย่างหนักหลังจากการละเมิดความปลอดภัยครั้งใหญ่ ซึ่งรหัสผ่านและข้อมูลธนาคารรั่วไหล และหลายคนสูญเสียความไว้วางใจในเว็บไซต์

ปัญหาอีกอย่างคือ Orkut มีทีมงานที่ค่อนข้างเล็ก ดังนั้นมักจะล้าหลังในแง่ของคุณสมบัติใหม่ๆ และพวกเขาพบกับความยากลำบากในการกำกับดูแลไซต์อย่างเหมาะสม

มีรายงานว่ามีสแปมและการละเมิดจำนวนมากบนแพลตฟอร์ม และเมื่อรวมทั้งหมดนี้เข้ากับข้อเท็จจริงที่ว่าไซต์สื่อสังคมอื่นๆ เริ่มปรากฏขึ้น เช่น Myspace และ Facebook ซึ่งผู้ใช้ดูเหมือนจะชอบมากกว่า Orkut จึงถูกปิดตัวลงในที่สุด

แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับ Google หลังจาก Orkut ไม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาก็กลับไปสู่จุดเริ่มต้นและพยายามสร้างเครือข่ายสังคมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

Google Friend Connect เปิดตัวในปี 2008 และอนุญาตให้เจ้าของเว็บไซต์ใดๆ เปลี่ยนหน้าเว็บของตนให้เป็นแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ใช้สามารถเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Google และดูว่าเพื่อนคนไหนกำลังใช้ไซต์เดียวกันและแบ่งปันความคิดเห็นบนเว็บไซต์ แต่อีกครั้งที่สิ่งนี้ล้มเหลว

ดังนั้นในปี 2009 พวกเขาจึงเปิดตัว Google Wave และครั้งนี้มีบทความปรากฏขึ้นโดยกล่าวว่า Google Wave อาจเป็นภัยคุกคามต่อ Facebook และ Twitter

โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่า Wave อาจเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในธุรกิจเครือข่ายสังคมออนไลน์ มันถูกอธิบายว่าเป็นการรวมคุณสมบัติของอีเมล การส่งข้อความ การเขียนบล็อก วิกิ การจัดการมัลติมีเดีย และการแบ่งปันเอกสาร ในขณะที่นำเสนอคุณสมบัติเครือข่ายสังคมที่หลากหลาย แต่เหล่าผู้ใช้พบว่ามันซับซ้อนเกินไปที่จะใช้งานและมันก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ

Google ยังคงยืนยันอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต้องการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ดังนั้นในปี 2010 พวกเขาจึงเปิดตัวโครงการใหม่ชื่อ Google Buzz และครั้งนี้ Google มีแนวคิดที่จะรวมบริการใหม่นี้เข้ากับ Gmail

ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วมีเหตุผล เนื่องจากพวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ที่พวกเขามีอยู่แล้วแทนที่จะเริ่มต้นจากศูนย์ ปัญหาคือการนำไปใช้จริงนั้นแย่มาก

ผู้ใช้ Gmail ประหลาดใจที่พบว่าวันหนึ่งพวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของ Google Buzz แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สมัครใช้งานก็ตาม และทันใดนั้นรายชื่อผู้ติดต่อทางอีเมลและข้อมูล Gmail อื่นๆ บางส่วนของพวกเขาก็ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ

ตัวอย่างเช่น ผู้ติดต่อทางอีเมลที่พวกเขาใช้บ่อยที่สุดถูกเพิ่มเป็นเพื่อนใน Google Buzz และทุกคนที่พวกเขาแบ่งปันอีเมลด้วยถูกเพิ่มเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของพวกเขา ซึ่งสำหรับหลายคนแล้วเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจ เนื่องจากพวกเขาอาจไม่ต้องการให้บางส่วนของชีวิตของพวกเขาทับซ้อนกันแบบนี้

สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลให้มีผู้ใช้ที่โกรธเคืองจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การฟ้องร้องแบบกลุ่มซึ่ง Google ต้องจ่ายเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดีในที่สุด

ในช่วงหลังของปี 2010 ในขณะที่การรวมเข้ากับ Gmail ควรจะช่วยให้ Google Buzz แจ้งเกิดได้ แต่มันกลับส่งผลตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

มันได้ทำให้บริการ Google Buzz มีอายุสั้นมาก มันถูกยกเลิกไปในที่สุดหลังจากมีความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวปัญหาเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล

อีกครั้งที่ Google ล้มเหลวกับเครือข่ายสังคม ดังนั้นหลังจากล้มเหลวในการซื้อ Friendster จากนั้นก็เปิดตัวและล้มเหลวกับผลิตภัณฑ์เครือข่ายสังคมออนไลน์ 4 ตัว ได้แก่ Orkut, Friend Connect, Wave และ Buzz ก็ถึงเวลาสำหรับกลยุทธ์ใหม่ ถึงเวลาสำหรับโครงการเครือข่ายสังคมที่ใหญ่ที่สุดของ Google

การเกิดขึ้นของ Google Plus

ในปี 2010 Google เริ่มกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Facebook ทั้งในแง่ของจำนวนผู้ใช้และศักยภาพด้านการโฆษณา Vic Gundotra รองประธานของ Google ในขณะนั้น ได้ผลักดันให้ Larry Page ซีอีโอของ Google เห็นถึงความสำคัญของการมีเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่แข็งแกร่ง จนนำไปสู่การเกิดขึ้นของ Google Plus

Vic Gundotra รองประธานของ Google ได้ผลักดันให้เข็น Google Plus ออกมาสู้ Facebook (CR:WSJ)
Vic Gundotra รองประธานของ Google ได้ผลักดันให้เข็น Google Plus ออกมาสู้ Facebook (CR:WSJ)

Google ทุ่มเททรัพยากรมหาศาลให้กับโครงการนี้ มีการจัดสรรพนักงานมากกว่าหนึ่งพันคนให้มาทำงานกับ Google Plus โดยตรง ซึ่งมากกว่าความพยายามด้านเครือข่ายสังคมก่อนหน้านี้ของ Google อย่างมาก นอกจากนี้ Larry Page ยังประกาศว่า 25% ของโบนัสประจำปีของพนักงานทั้งบริษัทจะขึ้นอยู่กับความสำเร็จของ Google Plus

Google Plus มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น:

  1. Circles: ฟีเจอร์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้จัดกลุ่มผู้ติดต่อของตนเองและควบคุมการแชร์เนื้อหากับกลุ่มต่างๆ ได้
  2. Hangouts: ฟีเจอร์แชทวิดีโอกลุ่ม
  3. Sparks: ฟีเจอร์ค้นหาเนื้อหาที่น่าสนใจเพื่อแชร์กับ Circles ของผู้ใช้

นอกจากนี้ Google Plus ยังถูกออกแบบให้รวมเข้ากับบริการอื่นๆ ของ Google เช่น การค้นหาและอีเมล เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด

Google Plus เปิดตัวในปี 2011 ด้วยระบบเชิญ (invite) เท่านั้น สร้างความรู้สึกพิเศษและกระแสความสนใจได้ในระดับหนึ่ง

หนึ่งในผู้ใช้ Google Plus รายแรกๆ คือ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ซึ่งได้รับคำเชิญจากคนที่เขารู้จักในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และมีรายงานว่า Facebook กำลังกังวลเกี่ยวกับ Google Plus เป็นอย่างมาก

Mark Zuckerberg ถึงกับสั่งระดมทีมงานทั่วทั้งบริษัท โดยเขาสั่งให้พนักงานทุกคนหยุดทำสิ่งอื่นใดที่พวกเขากำลังทำอยู่และอุทิศเวลาของพวกเขาเพื่อนำคุณสมบัติของ Facebook มาต่อสู้กับคู่แข่งใหม่ของพวกเขา

Facebook กังวลเกี่ยวกับการแข่งขันอย่างไม่ต้องสงสัย และจริงๆ แล้วเมื่อ Google ประกาศว่าจะใช้พลังและทรัพยากรอันมหาศาลของตนเพื่อสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดการณ์ว่า Google Plus จะประสบความสำเร็จในการเอาชนะ Facebook และกลายเป็นราชาแห่งสื่อสังคมออนไลน์

ภายในสิ้นปีแรก Google Plus มีผู้ใช้ประมาณ 90 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 500 ล้านคนภายในไม่กี่ปีต่อมา ตัวเลขเหล่านี้ดูน่าประทับใจ แต่ความจริงแล้วเป็นภาพลวงตา

แม้จะมีการลงทุนมหาศาลและความพยายามอย่างหนัก แต่ Google Plus ก็เผชิญกับปัญหามากมาย:

  1. การบังคับใช้: Google พยายามบังคับให้ผู้ใช้บริการอื่นๆ ของตน เช่น YouTube และ Gmail ต้องมีบัญชี Google Plus ด้วย สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้จำนวนมาก
  2. ความซับซ้อนของ Circles: แม้จะเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ แต่ Circles ก็ทำให้การใช้งานซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
  3. ขาดเอกลักษณ์: Google Plus ไม่ได้นำเสนออะไรที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากเครือข่ายสังคมอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว
  4. ปัญหาความเป็นส่วนตัว: มีความกังวลเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลส่วนตัวกับบริการอื่นๆ ของ Google
  5. การใช้งานจริงต่ำ: แม้จะมีจำนวนผู้ใช้มาก แต่การใช้งานจริงกลับต่ำมาก โดย 90% ของผู้ใช้ใช้เวลาน้อยกว่า 5 วินาทีต่อเซสชัน
Circles แม้จะเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ แต่ Circles ก็ทำให้การใช้งานซับซ้อนเกินไป (CR:Fabulous Blogging)
Circles แม้จะเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ แต่ Circles ก็ทำให้การใช้งานซับซ้อนเกินไป (CR:Fabulous Blogging)

Google Plus จึงกำลังเผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลำบาก แน่นอนว่าสถานการณ์ในตอนนั้น เหล่าผู้ใช้งานคงคิดว่าถ้าเพื่อนทั้งหมดอยู่ที่อื่นที่พวกเขาคุ้นเคยอยู่แล้ว แล้วอะไรคือแรงจูงใจให้เปลี่ยนไปใช้ Google Plus ที่ดูเหมือนจะเสนอสิ่งที่คล้ายกันแต่มีคนน้อยกว่าและมีโพสต์น้อยกว่า?

Google Plus ประกาศว่ามีผู้ใช้จำนวนมากและการเติบโตของผู้ใช้ที่ยอดเยี่ยม? แต่มันไม่ใช่ว่าผู้ใช้กำลังเข้าร่วม Google Plus แต่เพราะพวกเขาต้องใช้มัน พวกเขาถูกบังคับให้เข้าร่วมเพื่อที่จะใช้บริการอื่นๆ ที่พวกเขาชอบต่อไป เช่น YouTube

มันเหมือนกับเมื่อเราได้รับคอมพิวเตอร์ Windows ใหม่ เราต้องใช้เบราว์เซอร์ของ Microsoft เพื่อที่จะสามารถดาวน์โหลด Google Chrome หรือ Firefox ได้นั่นเอง

แต่สำหรับตัว Google Plus เอง บริการนี้ถูกอธิบายโดย New York Times ว่าเป็น “เมืองร้าง” แทบไม่มีใครใช้มันจริงๆ แม้ว่าจะมีผู้ใช้มากกว่าครึ่งพันล้านคนในช่วงที่พีคสุดแล้วก็ตาม

ดังนั้น Google Plus จึงถูกทำลายตั้งแต่เริ่มต้นเพราะประสบการณ์สุดแย่ของผู้ใช้งาน หลายคนแทบไม่ให้โอกาสมันเลย เพราะในตอนนั้น Facebook เป็นสถานที่เจ๋งๆ ที่เพื่อนๆ ของคนส่วนใหญ่อยู่ ในขณะที่ Google Plus กำลังทำลายบริการยอดนิยมอื่นๆ และไม่มีใครใช้มันจริงๆ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง Google พยายามที่จะโค่น Facebook โดยเสนอบางสิ่งที่คล้ายคลึงกับ Facebook ซึ่งความจริง Google ต้องเสนอบางสิ่งที่เป็นนวัตกรรมหรือดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ใช่แค่สื่อสังคมออนไลน์อีกเวอร์ชันหนึ่งที่ไม่มีอะไรใหม่

เหตุผลที่ Facebook เอาชนะคู่แข่งในช่วงแรกคือการเสนอบางสิ่งที่แตกต่าง และในปัจจุบันเมื่อความนิยมของ Facebook กำลังตกต่ำ มันไม่ใช่เพราะมีคนลอกเลียน Facebook โดยตรง แต่เป็นเพราะมีบริการใหม่ ๆ ที่สร้างนวัตกรรมและสดใหม่กว่าที่ผู้คนชอบตัวอย่างเช่น TikTok

Google Plus สร้างความแตกต่างน้อยนิด มันไม่มีจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์หรือแนวทางเฉพาะที่ทำให้ผู้คนมีเหตุผลชัดเจนที่จะกลับมาใช้อีก Facebook ดีสำหรับการติดตามเพื่อนๆ Twitter ดีสำหรับการอัปเดตแบบเรียลไทม์ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ Google Plus เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับอะไร? ไม่มีใครทราบอย่างชัดเจนในตอนนั้น

จุดจบของ Google Plus

ปัญหาสุดท้ายที่ตอกย้ำความล้มเหลวของ Google Plus คือการละเมิดความปลอดภัยครั้งใหญ่ในปี 2018 ที่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้มากกว่า 50 ล้านคน นำไปสู่การฟ้องร้องแบบกลุ่มและการตัดสินใจปิดบริการในที่สุด

Google Plus ถูกปิดอย่างเป็นทางการสำหรับผู้บริโภคในปี 2019 จบลงด้วยการถูกจดจำว่าเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของ Google

เรื่องราวของ Google Plus ให้บทเรียนสำคัญหลายประการ:

  1. ความสำคัญของการสร้างนวัตกรรม: การลอกเลียนแบบคู่แข่งไม่เพียงพอ ต้องนำเสนอสิ่งที่แตกต่างและมีคุณค่าจริงๆ
  2. การฟังเสียงของผู้ใช้: การบังคับให้ผู้ใช้ใช้บริการโดยไม่สนใจความต้องการที่แท้จริงนำไปสู่การต่อต้าน
  3. ความเรียบง่ายสำคัญ: ฟีเจอร์ที่ซับซ้อนเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปรู้สึกยุ่งยากและไม่อยากใช้งาน
  4. ความสำคัญของความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว: ปัญหาด้านความปลอดภัยสามารถทำลายความไว้วางใจของผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว
  5. การบริหารจัดการโครงการ: การขาดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและการทำงานแยกส่วนของทีมต่างๆ ส่งผลเสียต่อผลลัพธ์โดยรวม

สรุป

ความล้มเหลวของ Google Plus เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีทรัพยากรมหาศาลก็ไม่สามารถรับประกันความสำเร็จได้ โดยเฉพาะในโลกของสื่อสังคมออนไลน์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเข้าใจความต้องการของผู้ใช้ การสร้างนวัตกรรมที่แท้จริง และการรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตกับความไว้วางใจของผู้ใช้ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว

บทเรียนจาก Google Plus ยังคงมีความสำคัญในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อเราเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกของสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของ TikTok หรือความท้าทายที่ Facebook กำลังเผชิญ สิ่งเหล่านี้ล้วนเตือนใจเราว่าในโลกของเทคโนโลยี ไม่มีอะไรที่แน่นอน และการปรับตัวอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอดและเติบโตในระยะยาวได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
https://www.apptunix.com/blog/why-google-failed-5-lessons-to-learn-for-entrepreneurs/
https://www.failory.com/google/plus
https://onezero.medium.com/why-google-failed-4b9db05b973b
https://www.imperial.ac.uk/business-school/ib-knowledge/strategy-leadership/why-did-google-fail/